อัจฉริยะสมองเพชร 1788-1791

 ตอนที่ 1788 เสียงตะโกนขับไล่

สมาชิกที่เหลือพากันตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึงและเสียใจ


พวกเขาได้ยินเรื่องร่ำลือมามากมายว่าอาณาจักรใต้ดินเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติล้ำค่า และตราบใดที่โชคชะตาของพวกเขาไม่เลวร้ายจนเกินไป ก็จะได้ทรัพย์สมบัติมาด้วยการเข้าสู่ดินแดนนั้น ซึ่งจากทรัพย์สมบัติที่ได้ ทุกคนจะสามารถซื้อหาทรัพยากรที่เพียงพอต่อการยกระดับวรยุทธ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะมาพบกับหมาป่าทรงพลังทั้งฝูงตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่เข้าสู่อาณาจักรใต้ดิน ถึงขนาดที่แม้แต่ปรมาจารย์อู๋ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาก็ยังพ่ายแพ้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!


ถ้าแม้แต่ปรมาจารย์อู๋ยังรับมือไม่ไหว แล้วพวกเขาจะเอาชนะหมาป่าใบเมเปิ้ลได้อย่างไร?


“เราต้องร่วมมือกันเพื่อจัดการหมาป่าพวกนี้ ไม่อย่างนั้น ต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่แน่…” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพึมพำอย่างเคร่งเครียดขณะกัดฟันแล้วชักหอกออกมา


เขาถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่หอก จากนั้นก็เงื้อมันเพื่อเตรียมสังหาร


เขาเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 4 จิตวิญญาณต้นกำเนิด ขั้นต้น แต่มีความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงหอก ถ้าเป็นครั้งอื่นๆ เขาคงได้รับความชื่นชมยกย่องจากใครๆแล้ว


แต่ในสายตาของหมาป่าฝูงนั้น พละกำลังที่เขาสำแดงออกมาไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง


ฟึ่บ!


หมาป่าใบเมเปิ้ลตัวหนึ่งกระโจนเข้าใส่ ด้วยการขย้ำเพียงครั้งเดียว หมาป่าสีเทาตัวนั้นก็ยับยั้งหอกไว้ได้ ในเวลาเดียวกัน มันก็ตะปบกรงเล็บเข้าใส่ผู้อาวุโส บาดแผลน่าสะพรึงปรากฏบนแผงอกของเขาทันที


“หลัวกง!”


เห็นผู้อาวุโสได้รับบาดเจ็บ ชายวัยกลางคนที่ยืนข้างเขาชักอาวุธออกมาทันทีและพุ่งเข้าใส่ ในเวลาเดียวกัน สมาชิกที่เหลือก็รู้ตัวแล้วว่าพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายขนาดไหน จึงรีบตามไปติดๆและสำแดงกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองโดยปราศจากความลังเล


ปึ้ก! ปึ้ก! ปึ้ก!


เสียงดังเหมือนต่อยกระสอบทรายดังขึ้นกลางอากาศ ฝูงชนที่พุ่งเข้าใส่หมาป่าใบเมเปิ้ลถูกสอยกระเด็นไป แต่ละคนร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง เนื้อตัวเปื้อนฝุ่น เลือดสีแดงก่ำไหลซึมออกจากมุมปากของพวกเขา


ความเหลื่อมล้ำในประสิทธิภาพการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายนั้นมีมากเกินไป และข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยก็ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงอีก ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้จึงจบลงตั้งแต่ยังไม่เริ่ม


เห็นสมาชิกในกลุ่มของเขาพ่ายแพ้ยับเยิน อู๋ควงรู้สึกสิ้นหวัง


ถ้าเขารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ คงเลือกเดินทางเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินโดยลำพัง เพราะหากเกิดอะไรขึ้น ก็สามารถหันหลังกลับแล้วเผ่นหนีได้โดยไม่ลังเล


แต่สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ ดูเหมือนพวกเขาจะเอาตัวไม่รอด…


ขณะที่อู๋ควงกำลังถอดใจ ก็เห็นชายสองคนที่เขาไม่เต็มใจให้เดินทางมาด้วยกำลังนั่งมองอย่างสงบนิ่งอยู่ข้างๆ ไม่เคลื่อนไหวแม้ฝูงหมาป่าใบเมเปิ้ลกำลังเข้าโจมตี ราวกับพวกเขาไม่รู้สึกรู้สากับการสู้รบที่ดำเนินอยู่


“พวกนั้น…” เขาอยากจะเกรี้ยวกราดใส่ทั้งคู่ที่ทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่ลงท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจและพึมพำ “ช่างมันเถอะ ด้วยพละกำลังของพวกเขา ต่อให้เข้ามาช่วยเราก็ไม่มีประโยชน์…”


เด็กชายวัยรุ่นที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกับชายหนุ่มที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่นักรบระดับเซียนขั้น 1…เมื่อพิจารณาถึงการที่ปรมาจารย์ระดับ 7 ดาวขั้นสูงสุดอย่างเขายังรับมือกับหมาป่าใบเมเปิ้ลไม่ได้ ต่อให้ทั้งสองเข้ามาช่วยก็คงไม่มีประโยชน์อะไร


“พลังงานที่อยู่ในร่างของปรมาจารย์นั้นบริสุทธิ์กว่านักรบธรรมดาสามัญมาก ผมต้องการคนนี้ ส่วนคนที่เหลือ ผมจะให้พวกคุณแบ่งสรรปันส่วนตามที่คุณพอใจ!” เมื่อเห็นเหยื่อของพวกมันถอดใจและล้มเลิกการตอบโต้ ราชาหมาป่าสั่งการด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะตรงเข้าหาอู๋ควง


ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นหรือเผ่าพันธุ์อสูร พลังปราณบริสุทธิ์ที่ไหลเวียนอยู่ในทางเดินพลังปราณของเหล่าปรมาจารย์คือน้ำทิพย์ล้ำค่าที่ใช้ในการยกระดับวรยุทธของพวกมัน


เห็นราชาหมาป่าย่างสามขุมเข้าหา อู๋ควงรู้ดีว่าตัวเองชะตาขาดแล้ว จึงก้มหน้าลงอย่างหม่นหมอง “ไม่นึกเลยว่าตัวผม, อู๋ควง จะต้องมาตายแบบนี้…”


เขาเคยคิดว่าตัวเองน่าจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในการเดินทางเข้าสู่อาณาจักรใต้ดิน แต่ยังไม่ทันจะได้อะไรสักอย่าง ทุกอย่างก็มาถึงจุดจบ


เขาแอบรวบรวมพละกำลังทั้งหมด ตั้งใจจะจบชีวิตของตัวเองไปพร้อมกับราชาหมาป่า แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร พื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างกะทันหัน เสียงทุ้มลึกดังมาจากใต้ดิน กระตุกจิตวิญญาณของทุกคน


“ไสหัวไป!”


พรึ่บ!


เสียงนั้นเย็นเยียบ ราวกับพายุคมปลาบท่ามกลางฤดูหนาว มันให้ความรู้สึกของการเป็นภัยคุกคามดุร้ายที่ทำให้ขนของราชาหมาป่าใบเมเปิ้ลกับพรรคพวกของมันต้องตั้งชันด้วยความหวาดระแวง พวกมันล่าถอยออกไปโดยสัญชาตญาณ ร่างมหึมาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวขณะเลือดไหลเป็นทางออกจากปาก


การตวาดเพียงครั้งเดียวก็ทำให้พวกมันทุกตัวได้รับความบอบช้ำภายในแล้ว!


ราชาหมาป่ามองไปรอบๆด้วยความสงสัย พยายามค้นหาผู้ที่เป็นตัวการเล่นงานพวกมัน


แต่รอบข้างก็มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีใครสักคนให้เห็น สายลมโชยอ่อนพัดเข้าสู่ความมืดมิด ฝูงหมาป่าใบเมเปิ้ลรู้สึกได้ว่าเลือดในกายค่อยๆแข็งตัว


เสียงเมื่อครู่นี้เป็นเสียงทุ้มลึก แต่ทิ่มแทงทะลุทะลวงเข้าสู่จิตวิญญาณของพวกมัน มันรู้สึกได้เลยว่าจะต้องถูกสังหารแน่หากกล้าเล่นงานมนุษย์กลุ่มนั้น


“ไปกันเถอะ!”


เมื่อรู้สึกได้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญคอยจ้องจะเล่นงานพวกมันอยู่ ราชาหมาป่าสั่งการอย่างร้อนรนให้ทั้งกลุ่มล่าถอย พวกมันปากสั่น หางตกลงไปอยู่ที่หว่างขา จากนั้นก็รีบหันหลังกลับและหนีไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


คนพวกนี้ก็แค่ปรมาจารย์กลุ่มหนึ่ง ถึงเนื้อของพวกเขาจะโอชาแค่ไหน ก็ไม่อาจมีค่ามากไปกว่าชีวิตของพวกมัน


เห็นหมาป่าทั้งฝูงหนีกระเจิง อู๋ควงกับคนอื่นๆมองหน้ากันด้วยความสงสัยระคนโล่งอก ก่อนจะรีบทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและโค้งคำนับอย่างงาม


“ผู้อาวุโส ขอบคุณที่ช่วยชีวิตพวกเรา!”


แม้จะไม่รู้ว่าผู้อาวุโสอยู่ที่ไหน แต่การที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตพวกเขาไว้ได้ ก็หมายความว่าเขาจะต้องอยู่ในจุดที่มองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


ทั้งกลุ่มยังคงโค้งคำนับเพื่อแสดงความสำนึกในบุญคุณอยู่นาน แต่ก็ไม่มีใครแสดงตัวตอบรับการโค้งคำนับนั้น ราวกับผู้อาวุโสเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของจินตนาการ และพวกเขากำลังคิดไปเอง


เมื่อเห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ หลัวกงหันไปถามอู๋ควง “ปรมาจารย์อู๋ เราจะทำอย่างไรต่อ?”


อู๋ควงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พวกเราไม่มีทางหยั่งถึงความคิดของผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นได้หรอก ถ้าเขาไม่อยากพบหน้าพวกเรา เราควรรีบจากไปจะดีกว่า!”


พวกเขาถึงขนาดกล่าวขอบคุณผู้อาวุโสแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปรากฏตัว แสดงให้เห็นว่าผู้อาวุโสไม่เต็มใจเปิดเผยตัวเอง และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพียรพยายามให้เขาทำแบบนั้น


“ได้!”


ด้วยเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นจากฝูงหมาป่าใบเมเปิ้ล ทั้งกลุ่มรู้แล้วว่าอาณาจักรใต้ดินอันตรายแค่ไหนแม้จะไม่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ในพื้นที่ ต่างคนต่างไม่อยากจะอยู่ให้นานไปกว่านี้ จึงรีบลุกขึ้น แล้วมุ่งหน้าไป


พวกเขาเดินทางไปอีกราว 1 ชั่วโมง และโชคดีที่ไม่พบอันตรายใดๆ ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก


“ผมรู้จักสถานที่ที่พวกเราจะได้พบสมุนไพร” อู๋ควงพูด “เราควรรีบไปที่นั่น รีบเก็บสมุนไพร และออกจากพื้นที่นี้เสีย ไม่อย่างนั้น อันตรายอาจเข้ามาอีก!”


ในเมื่อพวกเขาลงทุนเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินซึ่งเป็นดินแดนอันตรายแล้ว ก็ไม่อาจกลับไปมือเปล่าได้


คนอื่นๆพยักหน้ารับ


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งลุกพรวดและพูดว่า “ก่อนจะออกเดินทางต่อ ผมอยากพูดอะไรสักหน่อย!”


ทุกคนหันขวับไปมอง


“ระหว่างการเผชิญหน้ากับหมาป่าใบเมเปิ้ลเมื่อครู่นี้ สองคนนั้นเอาแต่นิ่งเฉย ไม่ยอมทำอะไรเลย ผมขอเสนอว่าเราไม่ควรพาพวกเขาไปยังพื้นที่ที่มีสมุนไพร” ชายวัยกลางคนคำรามขณะชี้นิ้วไปที่จางเซวียนกับหวู่เฉิน


เมื่อครู่นี้ ตอนที่ฝูงหมาป่าใบเมเปิ้ลเข้าโจมตี ทั้งสองคนได้แต่นั่งนิ่งอยู่กับที่ราวกับเป็นรูปปั้น แต่ถึงขนาดนั้นแล้ว ก็ยังมีหน้าจะติดตามพวกเขาไปเก็บสมุนไพรล้ำค่าอีก จะหน้าหนาไปถึงไหน?


“จริงด้วย เราไม่ควรพาพวกเขาไป!”


“พวกเขาไม่มีประโยชน์อะไรเลย พาไปด้วยก็มีแต่จะเป็นภาระ”


คนอื่นๆต่างพยักหน้ารับ


ในเมื่อพวกเขากำลังจะเข้าสู่ดินแดนอันตราย ก็เป็นการดีที่สุดที่จะแน่ใจว่าสมาชิกทุกคนในกลุ่มแข็งแกร่งเต็มที่เท่าที่จะเป็นไปได้ สองคนนั้นไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลย แต่ยังอยากขอติดสอยห้อยตามไปด้วย แล้วพวกเขาจะต้องแบ่งสมุนไพรให้เจ้าคนหน้าหนาไร้ประโยชน์สองคนนี้หรือ?


ได้ยินคำพูดนั้น อู๋ควงย่นหน้าผากก่อนจะหันไปถามจางเซวียนกับหวู่เฉิน “พวกคุณมีอะไรจะแก้ตัวไหม?”


ไม่ใช่ว่าเขาอยากทอดทิ้งคนทั้งสอง แต่สิ่งที่ทั้งคู่แสดงออกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหมาป่าใบเมเปิ้ลนั้นทำร้ายจิตใจกันเกินไป ไม่ยุติธรรมที่สมาชิกทั้งกลุ่มจะต้องแบ่งสมุนไพรกับสองคนนี้ เพราะพวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์เลย


หวู่เฉินกำลังจะอ้าปากพูด แต่จางเซวียนโบกมือและพูดแทรก “ผมไม่มีอะไรจะพูดหรอก…”


“ถ้าอย่างนั้นก็รออะไรอยู่ล่ะ? ไสหัวไปซะ!” ชายวัยกลางคนคำรามลั่น


“ก็ได้ พวกคุณดูแลตัวเองนะ…”


เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่เป็นที่ต้อนรับ จางเซวียนส่ายหน้าและเดินจากไป ในตอนนั้นเอง รังสีอันทรงพลังก็ถาโถมเข้าใส่ทั้งกลุ่ม จากนั้น นกอินทรีหัวล้านตัวมหึมาก็ร่อนปราดลงมาหาพวกเขา


ตอนที่ 1789 เขาคือผู้อาวุโสที่ซ่อนอยู่!

นกอินทรีหัวล้านตัวมหึมาเป็นอสูรที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 5 เหมือนกับราชาหมาป่าใบเมเปิ้ล นัยน์ตาของมันแดงก่ำอย่างน่าสะพรึง ขนแข็งกระด้างราวกับเหล็ก มันยืนตระหง่านเหมือนของล้ำค่าระดับเซียนขั้นกลาง แค่จะป้องกันตัวจากมันก็ยากแล้ว นับประสาอะไรกับการสังหาร


“มันคือนกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือด!”


“เวรละ คราวนี้พวกเราแย่แน่!”


ทุกคนต่างไม่คิดว่าตัวเองจะโชคร้ายถึงขนาดมาพบศัตรูที่ทรงพลังอีกตัวหนึ่งหลังจากหนีพ้นจากราชาหมาป่ามาได้ไม่นาน เมื่อเหตุการณ์พลิกผันอย่างกะทันหัน พวกเขาก็ไม่เสียเวลาวุ่นวายกับจางเซวียนและหวู่เฉิน ต่างคนต่างหันมาจ้องศัตรูตัวใหม่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


นกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดมีชื่อเสียงโด่งดังเสียยิ่งกว่าราชาหมาป่าใบเมเปิ้ล ไม่ใช่เพราะมัน แข็งแกร่งกว่า แต่มันขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายในการทรมานเหยื่อก่อนจะสังหารพวกเขา


พูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้มันสังหารเหยื่อได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่มันก็จะเลือกเล่นงานเหยื่อให้เกิดบาดแผลเล็กๆจนอ่อนแรงไปทีละน้อยและเสียเลือดตาย แน่นอนว่ามันเป็นการล่าเหยื่อที่โหดร้ายมาก เป้าหมายคือถ่วงเวลาให้เหยื่อทุกข์ทรมานนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


ยิ่งไปกว่านั้น มันยังไวมากและมีทักษะการโจมตีกลางอากาศ ทำให้ยากที่จะหลบเลี่ยงการโจมตีหรือหนีมันให้พ้น ด้วยเหตุนี้ นักรบส่วนใหญ่จึงยินดีจะเผชิญหน้ากับราชาหมาป่าใบเมเปิ้ลสิบตัวมากกว่าจะต้องเจอกับนกอินทรี


ต่อให้ราชาหมาป่าสิบตัวตีวงล้อมพวกเขา หากโชคเข้าข้างก็ยังอาจหนีรอด แต่หากต้องเผชิญหน้ากับนกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดเพียงตัวเดียว ชะตากรรมของพวกเขาก็เป็นอันจบสิ้น


“เราต้องสู้เพื่อเอาชีวิตรอด!” อู๋ควงพูดอย่างเคร่งเครียดขณะกำหมัดแน่นจนเล็บจิกลงไปในฝ่ามือ


ราวกับพวกเขาพาเทพเจ้าแห่งความโชคร้ายติดตัวมาด้วย นักผจญภัยส่วนใหญ่สามารถตระเวนอยู่ในอาณาจักรใต้ดินได้อย่างปลอดภัยและกลับสู่โลกภายนอกพร้อมทรัพย์สมบัติมากมายในมือ แต่ใครจะไปคิดว่าภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงที่เข้าสู่ดินแดนนี้ พวกเขาก็ต้องเผชิญกับอสูรทรงพลังถึง 2 เผ่าพันธุ์?


“พวกเราก็ได้แต่หวัง…”


ฝูงชนพึมพำขณะชักอาวุธของตัวเองออกมาและเข้าประจำตำแหน่งป้องกันตัว


นกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดรับรู้ได้ถึงความร้อนรนของคู่ต่อสู้ นัยน์ตาสีแดงก่ำของมันฉายแววเยาะเย้ยดูถูก มันกระพือปีกขนาดใหญ่ แผ่ความเกรี้ยวกราดออกไปโดยรอบ ก้อนหินหลากหลายขนาดจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนถูกกวาดขึ้นสู่กลางอากาศ มันพุ่งเข้าใส่ทั้งกลุ่มราวกับลูกบอล


ทุกคนต่างไม่ทันระวังตัว พวกเขารีบชูอาวุธขึ้นเพื่อปัดป้องก้อนหินที่ถาโถมเข้าใส่ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ยืนหยัดเท่านั้น สองมือของพวกเขาเปื้อนเลือดจากการถูกหินกระแทกใส่ แขนขาเป็นเหน็บ


ทุกคนล่าถอยไปสองสามก้าว ความสิ้นหวังสะท้อนอยู่ในดวงตา


ถ้านกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดปลดปล่อยพละกำลังได้มากขนาดนี้จากการกระพือปีกเพียงครั้งเดียว ก็มีความเป็นไปได้ว่าต่อให้พวกเขาเผชิญหน้ากับมัน ก็คงทำอะไรไม่ได้ มองไม่เห็นหนทางที่จะหนีพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้โดยยังมีชีวิตอยู่


“ดูเหมือนพวกเราจนมุมแล้วจริงๆ รีบหนีทันทีที่มีโอกาสนะ” อู๋ควงพึมพำอย่างสิ้นหวัง


พวกเขาโชคดีพอที่จะได้ผู้อาวุโสนิรนามคนหนึ่งมาช่วยชีวิตไว้ในคราวแรก แต่คงเป็นความหวังอันโง่เง่าเต็มทีหากคิดว่าเรื่องนั้นจะเกิดขึ้นอีกครั้ง อีกอย่าง ผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นคงไม่ทำตัวน่าเบื่อถึงขนาดที่จะติดตามกลุ่มของเขา


“อย่างมากที่สุดผมก็แค่ฆ่าตัวตาย ไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้เจ้านกอินทรีชั่วร้ายนั่นดูถูก…” รู้ดีถึงความโหดร้ายของนกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือด อู๋ควงสูดหายใจลึกขณะส่งพลังงานทั้งหมดของเขาเข้าสู่จุดตันเถียน ตั้งใจจะสังหารตัวเองไปพร้อมกับศัตรู อย่างน้อยที่สุด เขาก็ยังรักษาเกียรติยศศักดิ์ศรีไว้ได้


แต่ยังไม่ทันจะได้ทำแบบนั้น ชายสองคนที่พวกเขาเพิ่งกล่าวหาว่าไม่ทำประโยชน์อะไรเลยก็ก้าวออกมา


เมื่อเห็นว่ามีมนุษย์สองคนอาจหาญเผชิญหน้ากับมัน นกอินทรีกระพือปีกของมันอีกครั้ง ตั้งใจจะเล่นงานผู้เข้าท้าทายทั้งคู่ แต่ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งในสองคนนั้นพร่าเลือนไปอย่างกะทันหัน ในชั่วพริบตา อีกฝ่ายก็มายืนอยู่ตรงหน้า แล้วเตะใบหน้าของมันเข้าอย่างจัง


พลั่ก!


นกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดร่วงลงมากระแทกพื้น เกิดรอยร้าวเป็นทางยาว


แม้นกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดจะร่วงผล็อย แต่ชายหนุ่มก็ดูเหมือนจะไม่ปล่อยมันไปง่ายๆ เขาพุ่งเข้าใส่มันแล้วเตะต่อยเป็นชุด


เพียงครู่เดียวหลังจากที่นกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดฟื้นตัวจากการถูกซ้อมและยืนได้อีกครั้ง ก็เป็นไปได้ว่าฝูงชนอาจคิดมากไปเอง…แต่พวกเขาสาบานได้ว่าเห็นความอ่อนโยนล้ำลึกในดวงตาสีเลือดของอสูรที่ขึ้นชื่อเรื่องความป่าเถื่อนและโหดเหี้ยม


ตอนที่จางเซวียนรับมือกับราชาหมาป่าใบเมเปิ้ล วรยุทธของเขาเพิ่งฟื้นคืนมาได้เพียงแค่ระดับเซียนขั้น 3 จึงยากที่เขาจะรับมือกับมันได้ตรงๆ ได้แต่ใช้พลังจิตวิญญาณทำให้มันหวาดกลัวและหนีไป แต่หลังจากเดินทางมาอีก 1 ชั่วโมง วรยุทธของเขาก็ฟื้นคืนขึ้นมาเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 4 ซึ่งหมายความว่าคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 5 ไม่เป็นอันตรายกับเขาอีกต่อไป


“ไปกันเถอะ!” จางเซวียนพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาก่อนจะปีนขึ้นไปบนร่างของนกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดพร้อมกับหวู่เฉิน


จากนั้น เขาก็หันไปมองฝูงชนเป็นครั้งสุดท้ายและกล่าวลา “พวกผมยังมีภารกิจที่ต้องจัดการ คงต้องขอตัวก่อน ถ้าโชคชะตาเป็นใจ เราคงได้พบกันอีก!”


นกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดกระพือปีกของมันเพื่อโผขึ้นสู่กลางอากาศ ก่อนจะหายลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่ช้า ทั้งสามก็ลับขอบฟ้า


“….”


“เขาทรงพลังขนาดนั้นเลยหรือ?”


“เมื่อครู่นี้ผมพยายามขับไล่เขาไป…”


ทุกคนปากคอแห้งผาก สีหน้างุนงงสุดขีด


ที่ผ่านมา ทุกคนรู้สึกว่าชายทั้งสองเป็นตัวถ่วง แต่ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงแล้วพวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญทรงพลังที่ปลอมตัวมา!


สามารถเล่นงานอสูรที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 5 และทำให้มันยอมจำนนได้ด้วย…ความเก่งกาจน่าทึ่งขนาดนั้นคืออะไร?


“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ พวกเขาก็น่าจะเป็นผู้ที่ขับไล่ราชาหมาป่าไปเมื่อครู่นี้!” อู๋ควงพูดขึ้น


ได้ยินคำนั้น ทุกคนต่างพูดไม่ออก


อันที่จริง ทันทีที่พวกเขาเห็นชายหนุ่มสำแดงกระบวนท่า ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์


‘ผู้อาวุโส’ ที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้จะเป็นใครอื่นได้นอกจากชายคนนี้?


แต่ทั้งที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ พวกเขาก็ยังหยาบคายถึงขนาดเรียกร้องให้อีกฝ่ายออกจากกลุ่มไป ช่างน่าอับอายเหลือเกินที่ปฏิบัติตัวต่อผู้มีพระคุณแบบนี้


ในตอนนั้น ทุกคนรู้สึกเสียใจสุดซึ้งกับการกระทำของตัวเอง


…..


จางเซวียนไม่รับรู้ความคิดของใคร เขานั่งอยู่บนหลังนกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือดและบอกหวู่เฉิน “ผมจะปล่อยมันให้คุณควบคุมนะ ผมอยากฝึกฝนวรยุทธสักหน่อยเพื่อเรียกพละกำลังกลับคืนมา”


เรื่องด่วนตอนนี้คือฟื้นคืนพละกำลังให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


หวู่เฉินพยักหน้ารับก่อนจะสั่งการบางอย่างกับนกอินทรีหัวล้านนัยน์ตาสีเลือด


10 วันต่อมา นกอินทรีก็ร่อนลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง เหน็ดเหนื่อยเกินกว่าที่จะไปต่ออีกแม้แต่ก้าวเดียว จางเซวียนจึงจัดการให้อสูรระดับเซียนขั้น 9 อีกตัวหนึ่งยอมจำนนก่อนจะเดินทางต่อ


5 วันผ่านไป แล้วจางเซวียนก็ทำให้อสูรระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 ตัวหนึ่งพาพวกเขาเดินทาง


อีก 5 วันให้หลัง จางเซวียนรู้สึกได้ว่าพละกำลังมหาศาลไหลเวียนอยู่ในร่างของเขา เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่


“ในที่สุดวรยุทธของผมก็กลับคืนมา…”


ผ่านไปแล้ว 1 เดือนนับตั้งแต่เขาจบชีวิตตัวเองที่สภาปรมาจารย์ ด้วยทรัพย์สมบัติที่มีมากมายและเคล็ดวิชาเทียบฟ้าอันทรงพลัง จางเซวียนก็เรียกคืนวรยุทธกลับสู่ความแข็งแกร่งสูงสุดได้ ไม่เพียงเท่านั้น คราวนี้เขายังรู้สึกว่ารากฐานวรยุทธแข็งแกร่งกว่าเดิม ดูเหมือนพละกำลังของเขาจะมั่นคงขึ้นมาก


หอสมุดเทียบฟ้ายังไม่เปิดอีกหรือ? เกิดอะไรขึ้นที่นั่น? จางเซวียนเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า แต่ก็เห็นบานประตูขนาดมหึมานั้นยังคงปิดตาย เขาขมวดคิ้วจนเป็นร่องลึก


ที่ผ่านมา หอสมุดเทียบฟ้าก็เคยยกระดับตัวเองมาก่อน แต่ระยะเวลายาวนานที่สุดที่เขาเคยพบก็เพียงแค่ 3 วันเท่านั้น เขาไม่คิดว่ามันจะยังคงปิดอยู่แม้จะผ่านมาเดือนหนึ่งแล้ว เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนทั้งงุนงงและกังวล


เขาพิจารณาหอสมุดเทียบฟ้าอีกครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่อาจทำความเข้าใจความผิดปกติครั้งนี้ได้ จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่และตัดสินใจทิ้งเรื่องนี้ไปก่อน


ช่างมันเถอะ! ในเมื่อหอสมุดเทียบฟ้ายังปิด ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 แรงผลักดันสัญชาตญาณ จางเซวียนคิด


เขาสะสมพลังงานไว้ได้มากพอที่จะฝ่าด่านวรยุทธได้ทุกขณะ แต่ธรรมชาติของหอสมุดเทียบฟ้าได้สกัดกั้นเขาไว้ไม่ให้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ แต่ในเมื่อตอนนี้ประตูยังคงปิดตาย ก็น่าจะเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่สุดที่เขาจะพยายามฝ่าด่านวรยุทธให้สำเร็จ


จางเซวียนหลับตา เขาสะบัดข้อมือและนำหยดเลือดนักปราชญ์โบราณหยดหนึ่งออกมา


จากการสะสมพลังงานครั้งใหญ่ สมุนไพรและยาเม็ดทั่วไปจึงไม่อาจส่งผลอะไรมากนักกับวรยุทธของเขา หยดเลือดนักปราชญ์โบราณดูจะเป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ที่ช่วยให้เขายกระดับวรยุทธได้


หยดเลือดนักปราชญ์โบราณที่จางเซวียนนำออกมาครั้งนี้มาจากนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้น 1 การสืบสายเลือด จางเซวียนแตะมันอย่างแผ่วเบา พลังงานที่อยู่ในหยดเลือดพุ่งเข้าสู่ร่างของเขาทันทีผ่านทางจุดชีพจร เขาผลักดันพลังงานให้ไหลเวียนไปทั่วร่าง และแปรสภาพมันให้กลายเป็นพลังปราณ


ฟิ้ววววว!


จางเซวียนขับเคลื่อนพลังปราณจนถึงจุดสูงสุดโดยไม่ลังเล และพยายามฝ่าด่านคอขวดที่สกัดกั้นเขาไว้จากการยกระดับวรยุทธให้สูงขึ้น


ไม่มีเทคนิควรยุทธเฉพาะสำหรับนักรบที่กำลังไต่เต้าวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เพราะจางเซวียนได้ผ่านภูเขาหนังสือและมหาสมุทรแห่งการเรียนรู้มาแล้ว จึงมีความเข้าใจในวรยุทธขั้นนี้ เขาคุ้นเคยกับการฝ่าด่านวรยุทธมาหลายครั้งจนไม่อาจจะรู้จักมันได้ดีไปกว่าที่เป็นอยู่อีกแล้ว


เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงการระเบิดย่อมๆในจุดตันเถียนขณะที่มันขยายตัวขึ้นอีกครั้ง เขาฝ่าด่านคอขวดของนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติได้สำเร็จ และเข้าถึงวรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ!


สิ่งแรกที่จางเซวียนรู้สึกได้เมื่อสำเร็จวรยุทธขั้นนั้นก็คือการรับรู้สภาพแวดล้อมโดยรอบที่ล้ำลึกกว่าเดิม มันเป็นเรื่องที่ยากจะบรรยาย ให้ความรู้สึกราวกับว่าหากเขาเพ่งสมาธิ ก็จะรับรู้ได้ทันทีว่า อะไรกำลังจะเกิดขึ้นรอบตัวในอนาคตอันใกล้


รู้ดีว่าความพยายามในการล้วงความลับสวรรค์จะทำให้ต้องแบกรับแรงตีกลับจากหอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนจึงไม่กล้าทดสอบความสามารถมากนัก เขานำหยดเลือดนักปราชญ์โบราณอีกหยดหนึ่งออกมาแล้วกลืนมันลงไป


วรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ ขั้นต้น!


แรงผลักดันสัญชาตญาณ ขั้นกลาง!


แรงผลักดันสัญชาตญาณ ขั้นสูง!


…..


4 ชั่วโมงต่อมา จางเซวียนก็สำเร็จวรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ โลกจารึก


เอาล่ะ หลังจากขัดเกลาวรยุทธสักหน่อย เราก็น่าจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 4 ชั่วกัลปาวสานได้! จางเซวียนคิดด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย


เขากำลังจะนำหยดเลือดนักปราชญ์โบราณอีกหยดหนึ่งออกมาและฝึกฝนวรยุทธต่อ ก็พอดีกับที่รู้สึกถึงการกระตุกในสมอง จางเซวียนรีบเพ่งสมาธิเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น เขายืนอยู่ตรงหน้าหอสมุดเทียบฟ้าและเห็นรอยร้าวบนบานประตูขนาดใหญ่ที่ปิดตาย


หลังจากแน่นิ่งมา 1 เดือนเต็ม หอสมุดเทียบฟ้าก็ยกระดับตัวเองได้สำเร็จหลังจากที่จางเซวียนฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณได้เพียงไม่นาน!


ตอนที่ 1790 หรือว่าหนังสือนี่คือ…

ครืดดดด!


รอยร้าวระหว่างประตูบานใหญ่ทั้ง 2 บานค่อยๆขยายกว้างขึ้น จางเซวียนเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า


เขาอยากรู้มากว่าหอสมุดเทียบฟ้าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างหลังจากการยกระดับตัวเองตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา


สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาคือชั้นหนังสือและหนังสือมากมายนับไม่ถ้วนอยู่เต็มทั่วทั้งพื้นที่ ยาวไปจนสุดลูกหูลูกตาเหมือนอย่างที่เคย


ครั้งแรกที่เขาเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า ส่วนใหญ่หนังสือเหล่านี้จะเป็นภาพลวงตา เหมือนอะไรสักอย่างที่ถูกนำมาใส่ไว้เพื่อไม่ให้ชั้นหนังสือดูโล่งเกินไป แต่ตอนนี้ชั้นหนังสือเหล่านั้นเต็มไปด้วยหนังสือของจริงมากมายนับไม่ถ้วนที่สามารถถมทะเลสาบขนาดใหญ่ให้เต็มได้หากโยนมันลงไปทั้งหมด


ตลอด 1 ปีที่จางเซวียนใช้เวลาเดินทางตระเวนทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ ปริมาณหนังสือที่เขาได้อ่านนั้นมีมากกว่าที่ใครสักคนหนึ่งจะอ่านได้ในชั่วชีวิต ในแง่ของขอบเขตและความลึกซึ้งของความรู้ ไม่มีใครเทียบชั้นกับเขาได้อีกต่อไป


โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ผ่านภูเขาหนังสือ จางเซวียนไม่ได้ใช้เวลานานนักที่นั่น แต่หนังสือที่เขาได้อ่านนั้นครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงอันหลากหลายตั้งแต่ยุคสมัยดึกดำบรรพ์จนถึงปัจจุบัน ทำให้ หัวสมองและภูมิปัญญาของเขาก้าวหน้าขึ้นมาก


“เอ๊ะ? ดูเหมือนจะมีบันไดมาเพิ่มตรงนั้น…” จางเซวียนเดินไปรอบๆหอสมุดเทียบฟ้า และรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เขาต้องเลิกคิ้ว


แม้หอสมุดเทียบฟ้าจะมีเพดานสูงมาก แต่ที่ผ่านมา ก็ดูเหมือนจะเป็นอาคารชั้นเดียวสำหรับเขา ใครจะไปคิดว่าบันไดช่วงหนึ่งจะปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันกลางหอสมุด หรือว่าบนนั้นจะมีของล้ำค่าอยู่?


จางเซวียนรีบขึ้นบันไดไป แต่หลังจากก้าวไปได้เพียงก้าวเดียว ก็เซจนเกือบล้มลงกับพื้น


“บ้าจริง! บันไดนี่ของปลอมหรือ?” จางเซวียนมีสีหน้าไม่สู้ดี


ขั้นบันไดที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นภาพลวงตาอย่างแน่นอน เหมือนกับหนังสือจำนวนหนึ่งที่เขาได้เห็นในช่วงแรก อย่าว่าแต่จะก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเลย แค่แตะต้องมันยังไม่ได้!


สร้างขั้นบันไดขึ้นมาใหม่แต่ไม่อนุญาตให้เขาขึ้นไป หอสมุดเทียบฟ้าคิดอะไรอยู่?


“หรือเราต้องก้าวข้ามขั้นบันไดในชีวิตจริงให้ได้ก่อน เพื่อให้บันไดนี้มีจริง?” จางเซวียนสงสัย


ครั้งแรกที่เขาได้หอสมุดเทียบฟ้ามา หนังสือที่อยู่ในนั้นจับต้องไม่ได้ หยิบมาอ่านก็ไม่ได้ แต่หลังจากที่เขาได้อ่านหนังสือมากมาย ก็สามารถเติมชั้นหนังสือเหล่านั้นให้เต็มไปด้วยหนังสือที่จับต้องได้จริง หรือว่าขั้นบันไดนี้ก็เป็นทำนองเดียวกัน?


เพียงแต่…เขาพอเข้าใจแนวคิดเรื่องการอ่านหนังสือเพื่อเติมเต็มชั้นหนังสือ แต่เขาจะไปหาขั้นบันไดที่มีลักษณะเดียวกันเพื่อทำให้บันไดนี้จับต้องได้ขึ้นมาได้อย่างไร?


“ช่างมันเถอะ!” เมื่อไม่อาจทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น จางเซวียนส่ายหัวก่อนจะมุ่งหน้าต่อไป


ครู่ต่อมา เขาก็หยุด


นอกจากขั้นบันได จางเซวียนยังรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในโครงสร้างภายในของหอสมุดเทียบฟ้า ที่ส่วนลึกของหอสมุดเทียบฟ้า มีห้องขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นโดยที่เขาไม่รู้มาก่อน


เมื่อมองจากภายนอก ห้องนั้นมีรูปร่างคล้ายกับหนังสือเล่มใหญ่


“ห้องนักอ่าน?” จางเซวียนอ่านคำที่อยู่บนป้ายซึ่งแขวนไว้บริเวณทางเข้าห้อง


เป็นความจริงที่ว่าห้องสมุดส่วนใหญ่มีพื้นที่สำหรับให้ผู้มาเยือนได้อ่านหนังสืออย่างสงบ แต่หอสมุดเทียบฟ้าไม่เคยมีของแบบนั้น หรือนี่เป็นความก้าวหน้าใหม่ที่มาพร้อมกับการยกระดับที่ผ่านมา?


หรือว่าเมื่ออยู่ในห้องนักอ่านแล้วเขาจะอ่านหนังสือได้เร็วขึ้นกว่าเดิม?


จางเซวียนเก็บความสงสัยไว้ จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไป


ไม่เหมือนกับขั้นบันได ประตูนี้จับต้องได้และเขาก็ผลักมันได้อย่างง่ายดาย ทันทีที่ก้าวเข้าไป จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีด้วยความอัศจรรย์ใจ


“กระแสของกาลเวลาที่นี่แตกต่างจากข้างนอก?”


ด้วยความเข้าใจเรื่องแก่นสารของกาลเวลา เขารู้สึกได้ทันทีถึงความแตกต่างของกระแสกาลเวลาภายในห้องนักอ่าน


“ความแตกต่างของกระแสกาลเวลาน่าจะอยู่ที่ราว 1 ใน 10” จางเซวียนวิเคราะห์


กระแสของกาลเวลาที่ 1 ใน 10 ก็หมายความว่า หากเขาฝึกฝนวรยุทธอยู่ในห้องนักอ่านเป็นเวลา 10 วัน เวลาของโลกภายนอกจะผ่านไปเพียง 1 วันเท่านั้น!


“แต่ในเมื่อมีแต่จิตใต้สำนึกของเราที่เข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าได้ เราก็คงทำได้แค่ขัดเกลาเทคนิคการต่อสู้เท่านั้น คงไม่เป็นประโยชน์กับวรยุทธหรอก”


หลังจากอัศจรรย์ใจอยู่ครู่หนึ่งกับการค้นพบ จุดด้อยของประสิทธิภาพของห้องนักอ่านก็ค่อยๆปรากฏ


มันเหมือนกับคลังตรวจสอบเลือดของตระกูลจางในแง่ที่ว่า มีแต่จิตใต้สำนึกของเขาเท่านั้นที่จะเข้าถึงห้องนักอ่านได้ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทำได้แค่บ่มเพาะเจตจำนง ยกระดับความรู้และขัดเกลาเทคนิควรยุทธ ส่วนการจะยกระดับวรยุทธหรืออะไรทำนองนั้น ในเมื่อกายเนื้อของเขาเข้าสู่พื้นที่นี้ไม่ได้ ก็ไม่อาจใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของกระแสกาลเวลา


แต่นั่นแหละ มันก็ไม่แตกต่างอะไรมากนักตั้งแต่แรก เพราะเคล็ดวิชาเทียบฟ้าก็ทำให้เขาไม่ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนวรยุทธนานอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่สำคัญว่าเขาจะสามารถฝึกฝนวรยุทธได้เร็วขึ้นจากเดิมเป็น 10 เท่าหรือไม่


ด้วยอายุขัยอันยาวนานของนักรบ ไม่ว่านักรบคนหนึ่งจะใช้เวลายกระดับวรยุทธหนึ่งขั้นเพียง 6 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง ก็ไม่ได้เกิดความแตกต่างอะไร


อย่างน้อยที่สุด นั่นก็คือวิธีที่จางเซวียนใช้ปลอบใจตัวเองเพื่อกลบเกลื่อนความผิดหวัง


จางเซวียนส่ายหน้าขณะกำลังครุ่นคิดถึงความไร้ประโยชน์ของประสิทธิภาพอันนี้ ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงกระแสพลังปราณที่ไหลเวียนในกายเนื้อของเขาโดยเชื่อมโยงกับความคิดนั้น


เดี๋ยวก่อน…ถึงเราจะนำกายเนื้อเข้าสู่พื้นที่นี้ไม่ได้ แต่ถ้าเราสามารถขับเคลื่อนพลังปราณในกายเนื้อจากที่นี่ ก็น่าจะได้ประโยชน์จากการยกระดับวรยุทธเร็วขึ้นเป็น 10 เท่า! จางเซวียนคิดอย่างตื่นเต้น


กลับกลายเป็นว่าห้องนักอ่านไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่เขาเคยคิด!


รวมแล้ว จางเซวียนใช้เวลา 1 เดือนเต็มในการเยียวยาตัวเองจากอาการบาดเจ็บที่ได้รับจากการจบชีวิตของเขาที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ ซึ่งถ้าห้องนักอ่านเปิดให้เขาเข้าไปตั้งแต่ตอนนั้น ก็มีโอกาสที่เขาจะฟื้นคืนพละกำลังอย่างสมบูรณ์ได้ภายใน 3 วัน!


อันที่จริง ถ้าเขานำความสามารถนี้ไปใช้ในการสู้รบได้ ต่อให้ถูกตัดแขน แขนของเขาก็จะสามารถงอกใหม่ได้อย่างรวดเร็วภายใน 1 หรือ 2 วินาทีด้วยอานุภาพของห้องนักอ่าน


“มันไม่ใช่แค่การเพิ่มความเร็วในการยกระดับวรยุทธแล้ว…ด้วยสิ่งนี้ เราจะสู้รบได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องหวาดกลัวอะไรทั้งนั้น!”


แม้แต่ผู้ที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพอย่างจางเซวียนก็ไม่อาจตำหนิติติงเรื่องความเร็วในการฝ่าด่านวรยุทธด้วยการฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าได้ แต่เรื่องนี้ไม่อาจใช้ได้กับอาการบาดเจ็บ เพราะแม้พลังปราณเทียบฟ้าจะสามารถเยียวยาบาดแผลพื้นฐานโดยทั่วไป แต่ก็ไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะรักษาอาการบอบช้ำภายในที่สั่นคลอนรากฐานวรยุทธของเขา อาการบาดเจ็บในรูปแบบนั้นทำให้เขาต้องใช้เวลาเยียวยาหลายวัน


ยกตัวอย่าง ในคราวนี้จางเซวียนต้องใช้เวลา 1 เดือนเต็มกว่าจะฟื้นคืนพละกำลังได้เต็มที่ ซึ่งหากใครสักคนใช้โอกาสนี้สังหารเขา ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะสามารถปกป้องตัวเอง


แต่การเกิดขึ้นของห้องนี้ช่วยบรรเทาความรุนแรงของภัยคุกคามนั้นได้มาก


คราวต่อไปที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก ก็จะสามารถฟื้นฟูสภาพของตัวเองได้อย่างรวดเร็วและตอบโต้ได้


ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนความคิดอ่านของเราจะกระจ่างกว่าเดิมเมื่อฝึกฝนวรยุทธที่นี่ ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง บรรยากาศที่นี่ดูคล้ายกับที่วิหารแห่งขงจื๊อ จางเซวียนคิดพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ


แม้เขาเพิ่งเข้ามาที่นี่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็รู้สึกได้ถึงรังสีวิชาการปริมาณมหาศาลที่พุ่งเข้าสู่หัวสมอง ทำให้ความคิดอ่านว่องไวกว่าเดิม จางเซวียนรู้สึกสดชื่นและหัวสมองแจ่มใสกว่าเก่ามาก


เขาหลับตา จากนั้นก็เพ่งสมาธิเพื่อขัดเกลาวรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ ไม่ช้าก็รู้สึกได้ว่าตัวเองมาสะดุดเข้ากับด่านคอขวด ทำให้รู้ว่าใกล้จะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นชั่วกัลปาวสานเต็มทีแล้ว


ไม่แปลกใจแล้วที่คราวนี้หอสมุดเทียบฟ้าใช้เวลายกระดับตัวเองนานกว่าเดิมมาก เพราะประสิทธิภาพใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นน่าอัศจรรย์จริงๆ


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอานุภาพใหม่ของหอสมุดเทียบฟ้าจะมีส่วนช่วยเขาอย่างมากสำหรับการเดินทางในอนาคต


จางเซวียนผลักประตูห้องนักอ่านและเดินออกไป เขากำลังจะกลับเข้าสู่กายเนื้อ ก็พอดีกับที่เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ทำให้ตัวแข็งทื่อ


“เดี๋ยวก่อน…ห้องนักอ่านมีหน้าตาเหมือนหนังสือนี่ หรือว่ามันคือ…มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง?”


มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงถูกหลัวลั่วชิงทำให้ยอมจำนน นั่นคือสิ่งที่เขาเห็นกับตา แต่ไม่นานหลังจากที่หลัวลั่วชิงจากไป เขาก็เข้าสู่ภาวะโคม่า และหอสมุดเทียบฟ้าก็ทำการยกระดับตัวเอง


เป็นสิ่งที่รู้กันทั่วไปในหมู่ชนชั้นนำของทวีปแห่งปรมาจารย์ว่ามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงมีอานุภาพในการเบี่ยงเบนกฎเกณฑ์ของกาลเวลา และในเมื่อจู่ๆหอสมุดเทียบฟ้าก็มีประสิทธิภาพแบบใหม่เกิดขึ้น เขาจึงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องนั้น


จางเซวียนรีบหันกลับไปพิจารณาห้องนักอ่านที่เกิดขึ้นใหม่


เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่ในตอนนี้ เมื่อเพ่งดูมันอย่างละเอียด ก็มีบางอย่างที่คล้ายคลึงกับมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงที่เขาได้เห็นในครั้งนั้น


ยิ่งไปกว่านั้น ความคล้ายคลึงยังไม่ได้หยุดอยู่แค่รูปลักษณ์หน้าตา ยังรวมถึงรังสีที่มันแผ่ออกมาด้วย แต่รังสีของห้องนักอ่านเบาบางและอ่อนแรงกว่ามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงมาก ทำให้เขายังไม่อาจแน่ใจในความเชื่อมโยงนั้น


จางเซวียนไม่เคยเข้าใกล้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงมาก่อน จึงไม่อาจระบุลงไปให้แน่ชัด


หรือว่า…ลั่วชิงนำมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงใส่เข้าไปในหอสมุดเทียบฟ้า ทำให้มันเกิดการยกระดับตัวเอง? จางเซวียนครุ่นคิด


เป็นวินาทีสุดท้ายที่จางเซวียนได้รู้ว่าหลัวลั่วชิงรู้เรื่องหอสมุดเทียบฟ้า ซึ่งทำให้เขางงมาก เป็นไปได้หรือไม่ว่าเธอตั้งใจใส่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเข้าไปในหอสมุดเทียบฟ้าและปล่อยให้ทั้งสองหลอมรวมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างห้องนั้นขึ้น?


เรื่องแบบนี้ดูเหลือเชื่อเกินกว่าที่จะเป็นความจริง


แต่ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ ตัวตนที่แท้จริงของเธอคืออะไร?


ทั้งรับรู้การมีอยู่ของหอสมุดเทียบฟ้า และกระตุ้นให้มันเกิดการยกระดับตัวเองได้ด้วย…เธอกำลังปิดบังความลับอะไรจากเขา?


จางเซวียนจ้องมองไปข้างหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย


ตอนที่ 1791 พบกันอีกครั้งหลังการรอคอยเนิ่นนาน

จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงครั้งแรกที่เขาได้พบหลัวลั่วชิง


ทันทีที่เขาสบตาเธอ หัวใจของเขาก็เต้นรัว เป็นความรู้สึกละเอียดอ่อนที่อธิบายยาก ราวกับเขารู้จักเธอมาแล้วชั่วชีวิต เขาพบว่าตัวเองร่วงหล่นลงสู่เกลียวคลื่นของความโหยหาในตัวเธอที่ไม่อาจถอนตัวได้


เขาจับมือเธอแน่นและหนีจากวงล้อมของอสูรเข้าสู่ถ้ำแห่งหนึ่ง แต่เพราะความไม่สอดคล้องกันระหว่างกายเนื้อกับจิตวิญญาณของเขา ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็เข้าสู่ภาวะโคม่า


จากนั้นไม่นาน เขาได้พบเธออีกครั้งที่สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน เขาพยายามใช้หอสมุดเทียบฟ้ากับเธอ แต่แล้วก็ต้องเข้าสู่ภาวะโคม่าอีก เมื่อฟื้นขึ้นมา ก็ได้รู้ว่าหอสมุดเทียบฟ้าทำการยกระดับตัวเองแล้ว


ตอนที่จางเซวียนรู้ว่าไม่อาจใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบตัวตนที่แท้จริงของหลัวลั่วชิงได้ เขาคิดว่าเป็นเพราะเธอมีสภาวะของการปฏิเสธคำทำนายแต่กำเนิด จึงไม่ได้คิดมากเรื่องนั้น


แต่มาตอนนี้ เขารู้สึกว่าอะไรๆไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ดูเหมือนจะเป็น


จางเซวียนเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ตอนที่เธอจากไป เราคว้ามือของเธอไว้ และรู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นที่ไหลเข้าสู่ร่างของเรา ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เป็นไปได้หรือไม่ว่าเธอได้ถ่ายทอดมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าของเราแล้ว?


หลัวลั่วชิงหายวับเข้าไปในรอยแยกแห่งมิติต่อหน้าต่อตาเขา เพื่อยับยั้งเธอไม่ให้จากไป เขาพยายามยื้อตัวเธอไว้ แต่ก็ไม่เป็นผล ไม่นานหลังจากที่เธอหายไป เขาก็เข้าสู่ภาวะโคม่าจากการกระตุกอย่างแรงของหอสมุดเทียบฟ้า…


เป็นไปได้หรือไม่ว่าเธอใช้โอกาสนั้นมอบมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเป็นของขวัญให้เขา?


“เหตุผลที่เธอเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ก็เพื่อมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงไม่ใช่หรือ แล้วเธอมอบมันให้เราทำไม?”


ตัวตนของหลัวลั่วชิงในฐานะเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเป็นที่แน่ชัดแล้ว และแรงผลักดันที่ทำให้เธอเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ก็น่าจะเป็นการค้นหามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมเธอถึงมอบมันให้เขาทั้งที่ต้องลงทุนลงแรงไปมากมายเพื่อให้ได้มันมา?


เท่าที่เห็น ดูเหมือนประสิทธิภาพของมหาคัมภีร์จะลดลงมากนับจากครั้งแรกที่เขาได้พบมัน เธอทำอะไรกับมหาคัมภีร์ในช่วงระยะเวลาสั้นๆระหว่างที่เธอทำให้มันยอมจำนนและมอบมันให้เขา?


จางเซวียนเกิดความสงสัยขึ้นมากมาย ทำให้รู้สึกไม่แน่ใจอย่างหนัก


ตอนที่เขาพบหลัวลั่วชิง อีกฝ่ายไม่ยอมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง โดยอ้างว่าเพื่อประโยชน์ของตัวเขา ซึ่งจางเซวียนก็ออกจะผิดหวังไม่น้อยในตัวหลัวลั่วชิงหลังจากที่รู้ว่าเธอเป็นเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แต่ในตอนนี้ จางเซวียนรู้สึกว่าความลับต่างๆที่เธอเก็บงำไว้ดูจะลึกซึ้งกว่านั้น เขาเชื่อมั่นสุดใจว่าเธอไม่ได้โกหกเขา


ความลับที่เกี่ยวข้องกับหอสมุดเทียบฟ้าและมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง…บางที มันอาจเป็นสิ่งที่สร้างความสั่นสะเทือนได้แม้แต่กับสวรรค์ อย่างคำพูดที่พูดกันว่า ความลับสวรรค์นั้นไม่ควรจะพูดให้ดังไป บางทีเธออาจมีเหตุผลอันชอบธรรมที่จะปกปิดตัวตนของเธอจากเขา


ไม่ว่าเธอจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ เราจะต้องหาตัวเธอให้พบและค้นหาความจริงให้ได้… จางเซวียนคิดอย่างมุ่งมั่นขณะเก็บซ่อนทุกสิ่งไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ


เขาต้องมีพละกำลังมหาศาลหากต้องการเข้าใกล้ความจริง แต่สิ่งที่เป็นอยู่ในเวลานี้ก็คือเขายังอ่อนแอนัก


อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องเป็นนักปราชญ์โบราณและมีอำนาจของผู้เชี่ยวชาญขั้นการทำลายล้างมิติเสียก่อน ไม่อย่างนั้น จะต้องถูกปราการแห่งมิติที่อยู่โดยรอบทวีปแห่งปรมาจารย์สกัดกั้นไว้ตลอดกาล ไม่อาจหนีพ้นได้


จางเซวียนดึงจิตใต้สำนึกกลับเข้าสู่กายเนื้อของเขา จากนั้นก็สูดหายใจลึกและกลับสู่ความเป็นจริง


เพราะสภาวะจิตของเขาเข้าถึงระดับที่เทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณแล้ว จึงสามารถควบคุมความคิดและอารมณ์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้คงความมีเหตุผลไว้ได้ตลอดเวลา


เห็นจางเซวียนเสร็จสิ้นการฝึกฝนวรยุทธ หวู่เฉินมองมาและรายงาน “นายน้อย เราเข้าใกล้อาณาเขตของเมืองหลวงแห่งเผ่าพันธุ์จิตวิญญาณแล้ว อันตรายมากหากเราจะบินอย่างเปิดเผยอยู่แบบนี้โดยที่ยังไม่รู้สถานการณ์ภายใน ผมข้อเสนอให้พวกเราร่อนลงก่อน”


“ร่อนลงไกลจากนี้ไปอีกหน่อยก็แล้วกัน” จางเซวียนพยักหน้า


อสูรที่ทั้งคู่ขี่อยู่เป็นอสูรที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 ซึ่งการใช้อสูรระดับนี้เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงย่อมดึงดูดความสนใจ เพื่อปลอดภัยไว้ก่อน จึงดีที่สุดหากจะร่อนลงในพื้นที่ใกล้เคียง


ด้วยความสามารถในการปรับตัวของพวกเขา ก็น่าจะลอบเข้าไปข้างในได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ


ดังนั้น จางเซวียนกับหวู่เฉินจึงบินไกลออกไปอีกเล็กน้อย จนกระทั่งเมืองหลวงปรากฏที่เส้นขอบฟ้า พวกเขาก็ให้อสูรร่อนลงพื้น จากนั้นก็รีบปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ก่อนจะเดินทางเข้าสู่เมืองหลวง


ระหว่างการเดินทาง จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาตั้งคำถาม “หวู่เฉิน คุณออกหมัดพื้นฐานให้ผมดูหน่อยได้ไหม?”


“คุณอยากให้ผมออกหมัดพื้นฐาน?” หวู่เฉินถึงกับชะงักกับคำขอนั้น


แต่เขาก็ออกหมัดพื้นฐานให้จางเซวียนดูโดยไม่ลังเล


เพราะอาการบาดเจ็บที่ได้รับ หวู่เฉินจึงไม่สามารถสำแดงพละกำลังเต็มพิกัด แต่เสียงระเบิดดังลั่นก็สั่นสะเทือนออกไปโดยรอบ รอยแยกแห่งมิติสีดำสนิทปรากฏ


จางเซวียนหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่ใช่เพราะพละกำลังน่าทึ่งที่หวู่เฉินสำแดงออกมา


จางเซวียนมีเหตุผลที่ขอให้หวู่เฉินออกหมัดพื้นฐาน คืออยากตรวจสอบประสิทธิภาพของหอสมุดเทียบฟ้าหลังจากที่มันยกระดับตัวเองเสร็จแล้ว


ซึ่งก็เป็นอย่างที่เขาหวังไว้ ความสามารถในการตรวจสอบของหอสมุดเทียบฟ้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน


เมื่อตอนอยู่ในวิหารแห่งขงจื๊อ จางเซวียนรู้ตัวว่าไม่อาจมองเห็นข้อบกพร่องของนักปราชญ์โบราณได้ด้วยการมองดูแค่เทคนิคการต่อสู้ของคนเหล่านั้น เขาจึงต้องสัมผัสใกล้ชิดโดยตรงกับหยดเลือดนักปราชญ์โบราณเพื่อประมวลหนังสือขึ้นมา แต่ตอนนี้ ทันทีที่หวู่เฉินออกหมัดพื้นฐาน หนังสือหลายเล่มก็ถูกประมวลเข้าด้วยกัน แต่ละเล่มระบุข้อบกพร่องของอีกฝ่ายไว้อย่างชัดเจน และที่น่าประหลาดใจกว่านั้น มันบอกวิธีแก้ไขข้อบกพร่องขั้นพื้นฐานเอาไว้ด้วย!


อานุภาพของการยกระดับครั้งนี้ช่างน่าทึ่งเสียจริง!


มองทะลุได้แม้แต่ข้อบกพร่องของนักปราชญ์โบราณ…นั่นหมายความว่านักปราชญ์โบราณจะไม่อาจปกปิดความลับไว้จากเขาได้อีกต่อไป ด้วยสิ่งนี้ จางเซวียนจะถือไพ่เหนือกว่าเมื่อต้องรับมือกับคนเหล่านั้น


เรื่องนี้ทำให้เขาหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น


เขาเคยคิดว่า เพียงเท่านี้ก็น่าทึ่งพอแล้วที่หอสมุดเทียบฟ้าสามารถสร้างห้องๆหนึ่งที่กระแสของกาลเวลาเร็วกว่าโลกภายนอก 10 เท่า แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าความสามารถในการตรวจสอบของมันจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมอีกมากด้วย!


ขอแค่เขาใช้ไอ้โหดกับกระบี่เปลวเพลิงสีดำอย่างระมัดระวัง แม้ระดับวรยุทธจะยังอ่อนด้อย ก็น่าจะสามารถสังหารนักปราชญ์โบราณทั่วๆไปได้อย่างง่ายดาย


“นายน้อย…” เห็นจางเซวียนจับจ้องเขาด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย หวู่เฉินได้แต่ขมวดคิ้วอย่างงงๆ


จางเซวียนรีบฉุดตัวเองออกจากภวังค์ เขาส่ายหน้าและพูดว่า “อ๋อ ไม่มีอะไรมากหรอก!”


แน่นอนว่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับหอสมุดเทียบฟ้าไม่อาจนำมาอธิบายกันได้ง่ายๆ จางเซวียนมองหวู่เฉินและตั้งคำถามต่อ “ในเมื่อสถานการณ์ในเมืองหลวงยังคลุมเครือ แล้วคุณมีข้อเสนอไหมว่าเราควรทำอย่างไร? เราควรเดินหน้าเข้าไปและหาทางสืบเสาะสถานการณ์ด้วยตัวเอง? หรือคุณมี บริวารในพื้นที่ที่เราสามารถพึ่งพาได้?”


แม้หวู่เฉินจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเด็ก แต่อันที่จริง เขาคือผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น, อำมาตย์เฉินหย่ง ไม่มีทางที่เขาจะบังคับบัญชาเผ่าพันธุ์ปีศาจมาได้เนิ่นนานหลายปีหากปราศจากสติปัญญาที่เฉียบแหลม ซึ่งในเมื่อเขากล้ากลับมาที่เมืองหลวง ก็แปลว่าน่าจะมีแผนการอยู่ในใจแล้ว


“นายน้อย ผมพบผู้สืบทอดคนหนึ่งระหว่างที่กำลังเดินทางตระเวนอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ ทั้งนิสัยใจคอและความสามารถของเขาเยี่ยมยอดมาก อีกทั้งจงรักภักดีต่อผมด้วย ผมได้ติดต่อเขาและแจ้งให้เขาทราบถึงการมาของพวกเราแล้ว เราคงจะได้พบเขาเร็วๆนี้ เมื่อมีเขา เราจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองหลวง และหาวิธีตอบโต้ไอ้สารเลวสองตัวนั้นได้” หวู่เฉินตอบ


“อย่างนั้นก็ดี” จางเซวียนพยักหน้า


ในเมื่อคนที่หวู่เฉินคิดจะเรียกใช้คือผู้สืบทอดของเขา ก็คงจะเป็นใครสักคนหนึ่งที่ไว้ใจได้


ไม่มีประโยชน์ที่จะวางแผนใดๆตอนนี้ หากยังไม่ได้รับข่าวสารที่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองหลวง


ทั้งคู่เดินทางต่อไปอีกหน่อย ก่อนจะมาถึงจุดนัดพบที่หวู่เฉินนัดผู้สืบทอดของเขาไว้ ทั้งคู่รออยู่ราว 1 ชั่วโมง ก่อนจะเห็นเผ่าพันธุ์ปีศาจร่างสูงใหญ่ตัวหนึ่งเดินออกจากเมืองหลวงและตรงมาหา


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนี้มีผิวคล้ำ ทันทีที่เห็นจางเซวียนกับหวู่เฉิน ก็รีบตรงเข้ามาแล้วทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น


“คารวะฝ่าบาท!”


“ลุกขึ้นเถอะ!” หวู่เฉินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เขาโบกมือและสร้างปราการปิดกั้นโลกภายนอกล้อมรอบทั้ง 3 ไว้ก่อนจะถามว่า “มีใครเห็นคุณหรือเปล่า?”


“ผมจัดการจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามผมมาก่อนที่ผมจะออกมาที่นี่” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นรายงาน


เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายไม่ได้ถูกติดตาม หวู่เฉินถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันไปมองจางเซวียน “ดีเลย ให้ผมแนะนำคุณนะ ชายหนุ่มคนนี้คือนายน้อยของผม ถ้าผมเป็นอะไรไป คุณจะต้องฟังคำสั่งของเขา…”


“ขอรับ!” เมื่อได้ยินว่าอำมาตย์เฉินหย่งผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจถึงกับเรียกขานชายหนุ่มว่า ‘นายน้อย’ เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นชะงักไปอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะรีบหันมามองชายหนุ่ม


เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่าย ร่างของเขาก็กระตุกขึ้นมาทันที


แม้จะมีรูปลักษณ์ไม่คุ้นตา แต่บุคลิกและรังสีของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกได้ถึงเดจาวู ราวกับเขาเคยพบชายหนุ่มคนนี้ที่ไหนสักแห่งมาก่อน


ขณะที่เขากำลังพยายามจะทำความเข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้น ก็ได้ยินเสียงที่บ่งบอกความประหลาดใจดังขึ้นในหัว “หลิวหยาง? คุณมาทำอะไรที่นี่?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)