ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1782-1793
ตอนที่ 1782 มีหนอนบ่อนไส้
ผู้กองหลินให้ตำรวจผู้หญิงไปหยิบเครื่องเล่นเสียงมา ถึงแม้ตำรวจหญิงจะไม่ยินยอมนักแต่ก็รีบไปหยิบมาอย่างว่องไว เธอถลึงตามองเหมยเหมยอย่างแค้นใจแล้วยัดเทปอัดเสียงเข้าไปก่อนกดปุ่มเล่นเสียง
เสียงดังครืดครืด…
“คนระยำแบบนี้ควรโดนมีดแทงให้ตัวพรุน ให้ฉันช่วยไหม?”
“ขอบคุณลุงหัวมากนะคะ รอวันหลังถ้ามีความจำเป็นแล้วหนูค่อยขอความช่วยเหลือจากลุงหัวดีกว่า ตอนนี้หนูอยากรอดูว่าคนคนนี้จะกระโดดโลดเต้นไปได้อีกกี่วัน!”
……
เสียงที่ดังออกจากเทปอัดเสียงกลับเป็นบทสนทนาระหว่างเธอกับโจวจื่อหัวเมื่อหลายวันก่อน อีกทั้งเสียงยังฟังชัดเจนดีมาก
“นี่เป็นเทปอัดเสียงจากสายโทรศัพท์ของคุณกับโจวจื่อหัวเมื่อหลายวันก่อนซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่หร่วนหวาไฉ่เสียชีวิต พอจะดูออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับโจวจื่อหัวไม่ได้เป็นไปอย่างที่คุณจ้าวได้บอกไว้ว่าแค่รู้จักกันแบบผิวเผิน หรือว่าคุณจ้าวกำลังจงใจปิดบังความสัมพันธ์ของตัวเองกับโจวจื่อหัวเพราะใจฝ่อขึ้นมา?”
ท่าทีของผู้กองหลินให้เกียรติมากขึ้นแต่น้ำเสียงคาดคั้นที่มั่นใจว่าเหมยเหมยต้องเป็นผู้ว่าจ้างก่อคดีฆาตกรรม
เหมยเหมยใจดิ่งลง มิน่าตำรวจคู่หูหลินถึงคิดว่าเธอเป็นฆาตกรเบื้องหลัง
พอมีเทปอัดเสียงนี้ ต่อให้เป็นเธอก็คงเริ่มสงสัยตัวเธอเองเหมือนกัน ทำไมถึงได้บังเอิญขนาดนี้?
เพิ่งโทรคุยกันไม่ถึงสองวันดีหร่วนหวาไฉ่ก็ถูกคนฆ่าตายเสียแล้ว!
เธอกลายเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญที่สุด!
แต่สิ่งที่เหมยเหมยแปลกใจมากกว่าคือผู้กองหลินไปได้เทปอัดเสียงนี้มาจากที่ไหน โจวจื่อหัวทำอะไรรอบคอบไม่ประมาทอยู่แล้ว แม้แต่บอดี้การ์ดรอบตัวยังเป็นผู้มีทักษะการต่อสู้ขั้นสูง คนที่อยู่ในวงการนี้มาอย่างโชกโชนจะถูกติดตั้งเครื่องดักฟังได้อย่างไร?
ทางฝั่งเธอมีเสี่ยวอวิ๋นกับเสียวหลีอยู่ซึ่งสองคนนี้เป็นผู้มีทักษะการต่อสู้ขั้นสูง ฉะนั้นบ้านพักของเธอไม่มีทางโดนติดตั้งเครื่องดักฟังได้ เหลือเพียงทางฝั่งโจวจื่อหัวแล้ว
“แค่โทรคุยกันสายเดียว โจวจื่อหัวแค่เห็นแก่ความเป็นเพื่อนของเราถึงได้คิดจะเสนอตัวสั่งสอนหร่วนหวาไฉ่เพื่อให้เขารู้ว่าอะไรคือความละอายใจในคุณธรรม แต่พวกคุณไม่ได้ยินหรือว่าฉันได้ปฏิเสธไปแล้ว? ฉะนั้นเทปอัดเสียงอันนี้บ่งบอกปัญหาอะไรได้ล่ะ?”
เหมยเหมยทำหน้าใสซื่อแต่แววตาแฝงด้วยความเย้ยหยันคล้ายกำลังเยาะเย้ยในความไร้ความสามารถของสองคนนี้
ตำรวจหญิงตวาดเสียงคุกรุ่น “บางทีคุณอาจจะเสียใจทีหลังแล้วโทรให้โจวจื่อหัวช่วยฆ่าคนแทนคุณก็ได้!”
“งั้นคุณก็เอาหลักฐานออกมาสิ ขอแค่คุณมีหลักฐานว่าฉันว่าจ้างให้ฆ่าคนฉันจะยอมรับผิดแน่ แต่ถ้าพวกคุณคิดจะกำหนดโทษให้ฉันเพียงเพราะเทปอัดเสียงอันนี้อันเดียว…
เหอเหอ งั้นก็ขอโทษด้วย ฉันจะให้สำนักงานประสานงานติดต่อเจ้านายพวกคุณ!”
เหมยเหมยตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้าและรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ต่อให้เธอไม่รู้กฎหมายฮ่องกงดีแต่ก็รู้ว่าลำพังแค่เทปอัดเสียงนี้ไม่มีทางกำหนดโทษเธอได้
ตอนนี้เธอเป็นห่วงโจวจื่อหัวมากกว่า
มั่นใจได้ว่ามีหนอนบ่อนไส้เกิดขึ้นทางฝั่งโจวจื่อหัว เขาไม่ปลอดภัยแล้ว
เรื่องเทปอัดเสียงจะต้องแจ้งให้โจวจื่อหัวทราบเพื่อให้เขารับรู้เรื่องนี้ ในเมื่อตอนนี้เขาร่วมมือกับเหยียนหมิงซุ่นย่อมจะเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด
ไม่นานจินป๋อเหวินก็มาถึงอีกทั้งผู้บังคับบัญชาการสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้โทรมาด่านายของผู้กองหลินไปยกหนึ่งก่อนสั่งให้พวกเขารีบปล่อยตัวเธอออกมา
นายของผู้กองหลินโดนด่าไปยกหนึ่งอย่างงุนงง หลังจากทำความเข้าใจแล้วก็ด่าผู้กองหลินไปอีกยกหนึ่งจนเกือบจะสร้างความบาดหมางระหว่างสองฝ่ายขึ้น
“รีบปล่อยตัวจ้าวเหมย พวกแกทำอะไรซี้ซั้ว ฉันเกือบเสียตำแหน่งไปเพราะพวกแกเลย” นายเอ่ยอย่างนึกกลัว
ผู้นำสูงสุดได้โทรถามคดีนี้กับทางสำนักงานประสานงานเพราะไม่ว่าใครเขาก็ไม่อยากมีเรื่องด้วย ลูกน้องเผลอไปจับตัวคนใหญ่คนโตแบบนี้เข้าเขาก็นึกใจหายเสียจริง
ผู้กองหลินแปลกใจเลยสอบถามประวัติของจ้าวเหมย “เธอคงไม่ใช่ลูกสาวของผู้ปกครองสูงสุดจริงๆ หรอกนะ?”
“ผู้ปกครองสูงสุดมีลูกสาวเสียที่ไหนกัน? แต่ก็เกือบแล้วละ อย่างไรเสียก็เป็นคนที่แกกับฉันไม่ควรมีเรื่องด้วย ใกล้จะปีเก้าเจ็ดแล้วพวกแกทำตัวดี ๆหน่อย อย่าสร้างปัญหาให้ฉัน!”
นายคำรามใส่ยกหนึ่งแล้วไปคุยประจบประแจงเหมยเหมยด้วยตัวเองก่อนจะส่งเธอขึ้นรถด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า กระทั่งรถยนต์ไปไกลแล้วเขาถึงผ่อนลมหายใจออกมาพลางวิ่งกลับไปรายงานเรื่องนี้ต่อเบื้องบน
……………………
ตอนที่ 1783 เตือน
หลังเหมยเหมยกลับมาบ้านก็ได้ยินเสี่ยวอวิ๋นบอกว่าเซียวเซ่อโทรศัพท์ข้ามน้ำข้ามทะเลติดต่อไปยังคุณย่าท่านเคานต์วิคตอเรียหลังเธอถูกทางตำรวจพาตัวไป เพื่อให้ท่านเคานต์โทรหาผู้นำสูงสุดของฮ่องกง ผู้บริหารสูงสุดฮ่องกงถึงได้โทรไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
“ขอบคุณนะเซ่อเซ่อ!”
เหมยเหมยกอดเซียวเซ่อไว้แน่น แม้เพื่อนสนิทกันไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันแต่เธอก็อยากขอบคุณอยู่ดี
เซียวเซ่อพยักพเยิดปลายคางอย่างไม่ใส่ใจก่อนเอ่ยถามอย่างมาดเท่ “เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่? ตำรวจได้หลักฐานอะไรมา?”
เหมยเหมยเล่าเรื่องเทปอัดเสียงไป “ฉันสงสัยว่าทางฝั่งโจวจื่อหัวมีหนอนบ่อนไส้ แต่ดีที่ฉันไม่ได้พูดอะไรไป ทางตำรวจแค่สงสัยกำหนดโทษอะไรให้ฉันไม่ได้หรอก”
สยงมู่มู่เอ่ยปากด่า “ลำพังแค่เทปอัดเสียงอันเดียวก็คิดจะกำหนดโทษเหรอ นี่กินขี้เป็นข้าวกันหรือไง?”
เหมยเหมยนวดขมับไปมาเพราะถูกความเหนื่อยล้ากัดกินร่างกายมาเกือบสองชั่วโมงเลยปวดศีรษะแทบแย่แต่ก็นอนไม่หลับ สติของเธอยังมีอยู่เต็มเปี่ยม “ฉันขอโทรหาลุงหัวหน่อย”
เสี่ยวอวิ๋นยกเครื่องโทรศัพท์มาให้เธอก่อนที่เหมยเหมยจะโทรไปยังเบอร์บ้านตระกูลโจวโดยหวังว่าโจวจื่อหัวจะอยู่บ้าน แต่ช่างเสียดายที่โชคไม่ดีนักเพราะน้อยครั้งที่ตอนกลางวันโจวจื่อหัวจะอยู่บ้าน ฉะนั้นคนรับสายคือคุณนายโจว
“คุณป้า ฉันมีเรื่องสำคัญจะถามลุงหัว ถ้าคุณป้าเจอลุงหัวช่วยให้เขาโทรกลับอย่างเร่งด่วนทีนะคะ” เหมยเหมยกล่าว
“ได้ ฉันจะส่งคนไปตามหาเขาเดี๋ยวนี้”
แค่คุณนายโจวได้ฟังน้ำเสียงของเหมยเหมยก็รู้ว่าต้องไม่ใช่เรื่องเล็ก เธอเองก็ไม่กล้าชักช้าก่อนออกไปตามเขาด้วยตัวเอง คนที่รู้ใจสามีคงไม่พ้นคนเป็นภรรยา เวลานี้ส่วนมากโจวจื่อหัวจะพาคู่นอนไปฟังละครเวทีที่หอละคร
เป็นไปตามอย่างที่คาดเมื่อคุณนายโจวหาตัวโจวจื่อหัวเจอที่ห้องระดับแขกกิตติมาศักดิ์ซึ่งโอหยางซานซานเองก็อยู่ด้วย ขณะคุณนายโจวเดินเข้าไปโอหยางซานซานก็กำลังซบอยู่บนตัวโจวจื่อหัวพร้อมป้อนองุ่นให้เขาทาน ระหว่างนี้เองก็มีการหยอกเอินตามประสาบ้าง
คุณนายโจวทำหน้าเรียบนิ่งคล้ายไม่เห็นโอหยางซานซานก่อนกล่าวเสียงเรียบ “มีเรื่องสำคัญ คุณช่วยกลับบ้านที”
โจวจื่อหัวสีหน้าอึดอัดเล็กน้อยแล้วรีบผลักโอหยางซานซานที่ตัวติดเนื้อแนบเนื้อกับเขาออก ลุกขึ้นจะตามคุณนายโจวกลับบ้านโดยไม่คิดถามอะไร
โอหยางซานซานแอบนึกแค้นในใจเลยแสร้งทักเสียงออดอ้อน “สวัสดีค่ะคุณแม่บุญธรรม”
คุณนายโจวชะงักฝีเท้าพลางมองโอหยางซานซานอย่างเรียบนิ่ง ได้ข่าวมาว่าโจวจื่อหัวสนใจผู้หญิงคนนี้มากเหลือเกินถึงขั้นสั่งจองยาบำรุงร่างกายจากเป่าจือถังมาไม่น้อย ยัยปีศาจตัวน้อยหน้าตาดีไม่หยอกเสียงก็น่าหลงใหล คิดว่าเรื่องบนเตียงก็คงฝีมือไม่แย่เช่นกัน
แต่แล้วอย่างไรล่ะ?
ตำแหน่งคุณนายโจวก็เป็นของเธอตลอดไปอยู่ดี!
“ฉันไม่กล้ารับไว้หรอก ถ้าจะให้เรียกอย่างคุณโอหยางกันทุกคนถ้างั้นฉันคงมีลูกบุญธรรมมากเกินไปแล้ว”
คุณนายโจวเอ่ยเสียงเรียบแล้วหมุนตัวเดินออกไป หากเป็นอดีตคงจะปวดใจอยู่บ้างแต่ตอนนี้เธอชินชาไปแล้ว สักวันหนึ่งรอโจวจื่อหัวแก่จนเดินไม่ไหวก็จะกลับบ้านแต่โดยดีเอง
โจวจื่อหัวตวัดตาใส่โอหยางซานซานเป็นการตักเตือนแล้วก้าวขึ้นรถตามคุณนายโจวไป
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เมื่อกี้เหมยเหมยโทรมาบอกว่ามีเรื่องสำคัญหาคุณ ฉันกลัวเสียเวลาเลยมาหาคุณเอง” คุณนายโจวอธิบาย
“คุณจัดการทุกอย่างให้ผมสบายใจที่สุดเหมือนเดิมเลย”
โจวจื่อหัวลูบหลังมือภรรยาเบา ๆ คู่นอนช่วยให้ร่างกายเขาได้รับการผ่อนคลายแต่มีเพียงภรรยาเท่านั้นที่เขาให้ความเชื่อใจ
คุณนายโจวหลุบตาลงกระตุกยิ้มมุมปากเย้ย สบายใจแค่ไหนก็รั้งหัวใจคุณไว้ไม่ได้อยู่ดี!
“คุณก็อายุไม่น้อยแล้ว บางเรื่องก็เพลาๆ ลงหน่อย คิดว่าตัวเองยังวัยรุ่นอยู่หรือไง?” คุณนายโจวอดเตือนไม่ได้ ต่อให้ผิดหวังแค่ไหนแต่ท้ายที่สุดเธอก็หวังว่าสามีจะมีชีวิตที่ดี
โจวจื่อหัวยิ้มแหย
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเหมยเหมยก็ได้รับสายจากโจวจื่อหัวก่อนที่เธอจะเล่าเรื่องเทปอัดเสียงไป “ลุงหัว รอบตัวลุงมีหนอนบ่อนไส้ ลุงต้องระวังตัวด้วยนะคะ”
ตอนที่ 1784 ไม่รับรู้ความหวังดี
โจวจื่อหัวหัวคิ้วกระตุกดูท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไร เขาเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูงฉะนั้นเลยมั่นใจกับระบบความปลอดภัยที่ตัวเองจัดวางไว้อย่างมาก
อีกอย่างเขายิ่งมั่นใจในความจงรักภักดีของบรรดาลูกน้องของเขามาก
เหมยเหมยสงสัยฝีมือและลูกน้องของเขาจนล่วงเกินเขตต้องห้ามของโจวจื่อหัวเข้า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก แต่ก็เห็นแก่เหยียนหมิงซุ่น หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นโจวจื่อหัวจะต้องไม่ไว้หน้าแน่ ๆ
“เหมยเหมยไม่สงสัยบ้างหรือว่าเป็นปัญหาของฝั่งเธอ?” น้ำเสียงของโจวจื่อหัวเปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่ได้เป็นมิตรอย่างเคยจึงทำเอาเหมยเหมยชะงักงัน
เธอไม่ได้โง่ย่อมต้องฟังออกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่นานเธอก็รู้ตัวว่าไม่เหมาะสม ครั้งนี้เธอโทรมาโดยขาดการไตร่ตรองเกินไป
คนที่มีความมั่นใจสูงอย่างโจวจื่อหัว แต่จู่ ๆเธอกลับสงสัยว่าเขามีหนอนบ่อนไส้อยู่ข้างกาย นี่ก็ไม่ต่างกับเธอกำลังตบหน้าเขาฉาดใหญ่ โจวจื่อหัวดีใจสิแปลก!
เหมยเหมยถอนหายใจอ่อน จะโทรก็ไม่ได้ไม่โทรก็ไม่ได้ จริง ๆเลยนะ…
“ลุงหัว ฉันมีเสี่ยวอวิ๋นกับเสียวหลี่อยู่ข้างกาย พวกเขาเป็นทหารจากหน่วยรบพิเศษที่ฝีมือเก่งกล้าที่สุดในหน่วยของแผ่นดินใหญ่ เมื่อก่อนเคยร่วมทำงานเป็นบอดี้การ์ดของผู้นำไห่ มีฝีมือและมีความเป็นมืออาชีพมาก ๆ…”
เหมยเหมยแนะนำประวัติการทำงานของเสี่ยวอวิ๋นกับเสียวหลี่คร่าว ๆซึ่งไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย การจะเป็นที่ถูกตาต้องใจของเหยียนหมิงซุ่นจนรับไว้เป็นทหารนั้น แต่ละคนล้วนต้องมีฝีมือระดับสุดยอดและเก่งกว่าบอดี้การ์ดรอบตัวโจวจื่อหัวหลายสิบเท่าอย่างไม่ต้องสงสัย
มือสมัครเล่นย่อมสู้มืออาชีพไม่ได้อยู่แล้ว!
แต่โจวจื่อหัวกลับไม่เชื่อเพราะถึงแม้ว่าเขาจะมีความสัมพันธ์อันดีกับฮวาเซี่ยมากแค่ไหนแต่ในใจลึก ๆก็ยังเหยียดหยามแผ่นดินใหญ่อยู่ดี หากประเทศแข็งแกร่งกองทัพทหารถึงจะแข็งแกร่ง ในตอนนี้ฮวาเซี่ยเศรษฐกิจไม่ค่อยดีเท่าไร ฉะนั้นโจวจื่อหัวถึงคิดว่ากองทัพทหารของแผ่นดินใหญ่เองก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพไปกว่ากันเท่าไร
ถึงขั้นสู้บอดี้การ์ดรอบตัวเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
บอดี้การ์ดพวกนี้เขาเชิญมาจากทหารรับจ้างในราคาสูงทั้งนั้น หลายคนเคยร่วมทำสงครามเขตชายแดนมาก่อน เรื่องคุณสมบัติก็ไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน
“ขอบคุณเหมยเหมยที่เตือนนะ ฉันจะตรวจสอบคนรอบตัวแน่นอน เธอเองก็ตรวจสอบให้ดีแล้วกัน”
โจวจื่อหัวไม่ได้พูดท้วงตรงไปตรงมาแต่ความหมายกลับแน่ชัด
ทางเขาไม่มีปัญหาแน่นอน ต้องเป็นฝั่งเธอมีปัญหาแน่
เหมยเหมยถอนหายใจเบา ๆ ดื้อรั้นเสียจริง!
ในเมื่อไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้นเหมยเหมยเองก็ไม่อยากพูดอะไรต่อ “ลุงหัวพูดถูก เราควรต่างตรวจสอบกันหน่อยจะได้รู้ว่าปัญหาเกิดขึ้นจากตรงไหน ถ้ากำจัดตัวต้นเหตุนี้ไม่ได้อนาคตจะต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่”
จุดนี้โจวจื่อหัวกลับเห็นด้วย “ถูก จะต้องจับให้ได้ ทางตำรวจเป็นอย่างไรบ้าง? ให้ฉันไปช่วยพูดไหม?”
“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะลุงหัว”
เหมยเหมยเอ่ยตอบเชิงเกรงใจไปไม่กี่ประโยคก็วางสายไป ไม่รู้ว่าคฤหาสน์โจวจื่อหัวจะถูกคนติดตั้งเครื่องดักฟังหรือเปล่า พูดอะไรก็ต้องคอยระมัดระวัง เฮ้อ!
“โจวจื่อหัวไม่เชื่อเหรอ?” เสี่ยวอวิ๋นถาม
“ใช่…เขาคิดว่าเป็นปัญหาของฝั่งเรา” เหมยเหมยนวดขมับ ปวดหัวขึ้นเรื่อย ๆเหมือนโดนเข็มแทงก็ไม่ปาน
“โอ้โห…เขาเอาความมั่นใจมาจากไหนเนี่ย? กะอีแค่บอดี้การ์ดยอดฝีมือที่เขาพูดน่ะฉันคนเดียวก็ล้มได้เป็นสิบคนแล้ว” เสี่ยวอวิ๋นโมโหมาก หมากัดหลี่ว์ต้งปินไม่รู้จักสำนักบุญคุณเอาเสียเลย
ทหารรับจ้างที่โจวจื่อหัวจ้างมาในราคาสูงที่ว่านั้น ใช่ว่าเธอดูถูกหรืออะไร ถ้าเรื่องสมรรถภาพทางร่ายกายอาจไม่มีปัญหาแต่เรื่องเทคนิคสู้เธอกับเสียวหลีไม่ได้อย่างแน่นอน
ยุคสมัยกำลังพัฒนาขึ้นรวมถึงกองทัพทหารเองก็เช่นกัน เทคโนโลยีเครื่องดักฟังขั้นสูงพวกนั้นมีหลากหลายรูปแบบ เหยียนหมิงซุ่นถึงได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาอบรมให้ความรู้ด้านนี้แก่ลูกน้องเป็นประจำทุกปี เพราะกังวลกลัวว่าพวกเขาจะล้าสมัย
บอดี้การ์ดของโจวจื่อหัวไม่เคยได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นทางการ ส่วนมากจะเป็นเพียงมือสมัครเล่น อีกอย่างพวกเขาไม่มีต้นทุนไปเรียนรู้ แล้วจะเทียบเธอกับเสียวหลี่ได้อย่างไร?
“ในเมื่อเขาไม่เชื่อเราก็ทำอะไรไม่ได้ เราแค่ทำตัวเราให้ดีก็พอ” เหมยเหมยเหนื่อยใจแต่เหนื่อยกายมากกว่า ทั้งที่ร่างกายอ่อนล้าถึงขีดสุดแต่พอล้มตัวนอนกลับนอนไม่หลับ
ใครฆ่าหร่วนหวาไฉ่กันแน่?
……………………
ตอนที่ 1785 เกิดเรื่องอีกแล้ว
โจวจื่อหัววางสายไปและมีสีหน้าท่าทางที่ดูไม่ต่างจากยามปกตินัก แต่คุณนายโจวกลับดูออกว่าเขากำลังไม่พอใจอย่างมาก
“ไม่พอใจอะไรเหรอ? คุณกับเหมยเหมยโกรธอะไรกัน?” คุณนายโจวยิ้มเกลี้ยกล่อม เธอชอบเหมยเหมยพอตัวและสิ่งสำคัญที่สุดคือเธอคิดว่าเหมยเหมยจะนำพาตระกูลโจวไปสู่เส้นทางใหม่ได้
โจวจื่อหัวแค่นเสียงเบา ๆทีหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ “นังเด็กนั่นกลับสงสัยว่ารอบตัวผมมีหนอนบ่อนไส้ ไม่รู้อะไรซะแล้ว รอบตัวผมเหมือนมีกำแพงเหล็กอยู่แล้วจะมีหนอนบ่อนไส้ได้อย่างไร? ผมว่าฝั่งเธอต่างหากที่มีปัญหา”
คุณนายโจวใจกระตุกวูบและเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆก่อนรีบถามที่มาที่ไปของเรื่อง
โจวจื่อหัวเองก็เล่าเรื่องเทปอัดเสียงไปจนหลังเล่าเสร็จเขาก็หายโกรธแล้วเอ่ยต่อคุณนายโจวว่า “ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับผม ผมจะไปตามสืบดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนังหนูจ้าวเหมยหรือเปล่า”
เขาเองก็รู้สึกขำเช่นกัน อายุปูนนี้แล้วทำไมต้องโมโหนังหนูตัวเล็ก ๆด้วยนะ?
คุณนายโจวเอ่ยถาม “คุณคุยโทรศัพท์สายนี้ที่ไหน? รอบตัวมีใครบ้าง?”
เธอไม่ได้มั่นใจเต็มร้อยเหมือนโจวจื่อหัวเพราะจิตใจคนยากจะคาดเดาได้ ใครเล่าจะรับประกันได้ว่ารอบตัวจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์
ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลโจวในเวลานี้เหมือนอยู่ตรงปากเหว มีคนอยากล้มตระกูลโจวไม่รู้ตั้งเท่าไร อายุขนาดเธอไม่กลัวตายแต่เธอจะปล่อยให้ลูกหลานลำบากด้วยไม่ได้
โจวจื่อหัวไม่ใส่ใจกับความจริงจังของภรรยาอีกทั้งเขาไม่อยากเอ่ยถึงโอหยางซานซานต่อหน้าภรรยาเลยมีสีหน้าลำบากใจหน่อย ๆ
“สบายใจเถอะ ต้องเป็นฝั่งจ้าวเหมยที่โดนติดตั้งเครื่องดักฟังแน่ เดี๋ยวผมจะลองส่งคนไปช่วยตรวจสอบให้พวกเขาด้วย ผมไปละ คืนนี้ไม่กลับมาทานข้าวแล้วนะ”
คุณนายโจวทำหน้าเคร่งเครียด เธอรู้สึกเช่นเดียวกับเหมยเหมย คนในครอบครัวมีตั้งมากมายขนาดนี้เธอไม่กล้าเสี่ยง
“คุณหนู คุณนายโจวโทรศัพท์มาบอกว่ามีเรื่องจะถามคุณหนู”
เสี่ยวอวิ๋นถือโทรศัพท์เข้ามา เหมยเหมยงีบไปพักหนึ่งเลยรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง เธอรับโทรศัพท์แล้วเอ่ยว่า “คุณป้าโจวมีเรื่องอะไรเหรอคะ?”
“เหมยเหมย เธอมั่นใจว่าทางลุงหัวของเธอมีหนอนบ่อนไส้แน่ใช่ไหม?” คุณนายโจวเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา เหมยเหมยนึกขุ่นใจว่าสองสามีภรรยาคู่นี้มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
“ค่ะ ไม่ถึงกับร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็มั่นใจกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ โทรศัพท์ของลุงหัวต้องถูกติดตั้งเครื่องดักฟังแน่”
เหมยเหมยคิด ๆแล้วก็พูดต่อ “คุณป้าโจว คุณป้าลองเกลี้ยกล่อมลุงหัวดูนะคะ ในเมื่อหนูกล้าพูดขนาดนี้ก็ต้องมั่นใจเต็มร้อยอยู่แล้ว ถึงบอดี้การ์ดข้างตัวเขาจะเก่งก็จริงแต่ก้าวไม่ทันยุคสมัย เตรียมการดีแค่ไหนก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้าง”
พูดถึงขนาดนี้แล้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่พวกเขาแล้วกัน!
“ขอบคุณเหมยเหมยมากนะ เรื่องนี้ฉันจะตรวจสอบอย่างดี”
คุณนายโจวเข้าใจความหมายของเหมยเหมยดี อย่าเห็นว่าตอนนี้เธอเป็นหญิงแก่ใจดีสวดมนต์กินเจ แต่ตอนสาว ๆก็โหดเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ไหนจะเคยช่วยชีวิตโจวจื่อหัวไว้ด้วยไม่อย่างนั้นโจวจื่อหัวจะเชื่อใจเธอมากขนาดนี้ได้อย่างไร!
หลังวางสายคุณนายโจวก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเรียกพ่อบ้านมาสั่งไม่กี่ประโยค พ่อบ้านรับคำสั่งแล้วก็ออกไป
คุณนายโจวหัวเราะเยาะตัวเอง เมื่อครู่โจวจื่อหัวไม่ยอมบอกว่าคุยโทรศัพท์ที่ไหนก็บ่งบอกว่าตอนคุยโทรศัพท์ต้องมีคู่นอนคนนั้นของเขาอยู่ข้างกายแน่ ๆ เพราะเหตุนี้คุณนายโจวถึงได้ยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม
สัญชาตญาณของผู้หญิงบอกเธอว่านางแพศยาโอหยางซานซานต้องมีปัญหาแน่นอน!
ไม่ใช่คนแพศยาที่เรียกร้องแต่เงินทองอย่างที่เคยมีมา เธอจะต้องเปิดโปงภูมิหลังของนางแพศยาคนนี้ให้ได้!
คดีของหร่วนหวาไฉ่ไม่มีอะไรคืบหน้า ตำรวจหลินจะโทรมาถามบ้างเป็นครั้งคราวซึ่งเหมยเหมยก็ตอบกลับไปอย่างซื่อสัตย์ ไม่มีอะไรน่าปิดบังในเมื่อเธอไม่ได้เป็นคนฆ่า
“คุณหนู เกิดเรื่องอีกแล้ว!”
เพิ่งสงบไปได้สองวันเสี่ยวอวิ๋นก็รีบกลับมาด้วยท่าทีตื่นตระหนก
ตอนที่ 1786 โอหยางสยงก็ตายแล้วเหมือนกัน
เหมยเหมยเพิ่งนั่งลงทานข้าวเช้า เมื่อคืนนอนหลับไม่สนิทจึงปวดศีรษะไม่หาย เธอนวดคลึงขมับไปมานึกเหนื่อยใจเหลือเกิน ทำไมถึงไม่จบไม่สิ้นสักทีนะ
“เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ?”
เสี่ยวอวิ๋นตอบเสียงนิ่ง “โอหยางสยงตายแล้ว คนของเราตามสืบไปถึงบ้านหลังสุดท้ายที่เขาเคยปรากฏตัวแต่พบว่าบ้านหลังนั้นว่างเปล่า บนพื้นมีรอยเลือดที่ยังล้างไม่สะอาด ถึงจะไม่เจอศพแต่คิดว่าสถานการณ์น่าจะไม่สู้ดีนัก”
เหมยเหมยรู้สึกจุกอกและหมดความอยากอาหารอย่างสิ้นเชิง วางซาลาเปาไส้เนื้อที่เพิ่งหยิบขึ้นมาลง
“เธอหมายถึงว่าโอหยางสยงถูกฆ่าแล้วกำจัดศพทิ้งงั้นเหรอ?” เหมยเหมยถาม
เสี่ยวอวิ๋นพยักหน้า “เราเคยตรวจดูรอยเลือดในบ้านหลังนั้นแล้วพบว่ามีร่องรอยขนาดใหญ่และไม่ใช่แค่จุดเดียว ภายใต้สถานการณ์อย่างนั้นความเป็นไปได้ที่โอหยางสยงจะมีชีวิตรอดน้อยมาก”
“ใครฆ่าเขา?” เหมยเหมยพึมพำเอง คนแรกคือหร่วนหวาไฉ่ต่อมาคือโอหยางสยง เธอรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
คล้ายกำลังมีแหขนาดใหญ่กำลังเข้ามาใกล้เธอช้า ๆ
แต่เธอกลับไม่รู้ว่าใครคือคนหว่านแห!
เสี่ยวอวิ๋นส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าใครคือฆาตกร ฉันให้พวกเขาไปตามสืบแล้ว”
เธอเองก็แปลกใจไม่ต่างกันเพราะเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องขึ้นแถมยังเป็นคนที่พวกเขารู้จักดี จะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญคงไม่ได้หรอกมั้ง?
เหมยเหมยตาเป็นประกายแล้วเอ่ยว่า “หร่วนหวาไฉ่กับโอหยางสยงโดนฆ่าด้วยฆาตกรคนเดียวกันหรือเปล่า?”
เสี่ยวอวิ๋นปฏิเสธทันควัน “เป็นไปไม่ได้ คนที่ฆ่าหร่วนหวาไฉ่น่าจะเป็นนักฆ่ามืออาชีพเพราะใช้วิธีการคล่องแคล่วสะอาด คนที่ฆ่าโอหยางสยงกลับลนลานกว่ามากอีกอย่างไม่ใช่คนแรงเยอะ ก่อนตายโอหยางสยงน่าจะเคยขัดขืนอย่างแรงก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะเขากำลังบาดเจ็บอยู่ไม่แน่อาจจะไม่ตาย”
เหมยเหมยดึงหน้าตึงรู้สึกกลัดกลุ้มใจอย่างมาก หรือว่าจะมีแหสองผืนอย่างนั้นเหรอ?
มันเป็นคนเลวที่ไหนกันแน่นะ?
เสี่ยวอวิ๋นพูดต่อ “คุณชายหมิงรู้เรื่องนี้แล้วพรุ่งนี้เขาจะเดินทางมาเลย โอหยางสยงเป็นพนักงานข้าราชการของฮวาเซี่ยแล้วยังมาตายโดยไม่รู้สาเหตุ ถึงอย่างไรรัฐบาลทางนี้ก็ต้องมีข้อสรุปให้ทางเราด้วย”
ในที่สุดก็ได้ฟังข่าวดีสักที เหมยเหมยอารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็นและเกิดเจริญอาหารขึ้นมา
หร่วนหวาไฉ่โอหยางสยงบ้าบออะไร ตายก็ตายไปเถอะในเมื่อต่างไม่ใช่คนดีอะไรทั้งคู่ ตรงกันข้ามแถมยังเสียสละให้เธอกับเหยียนหมิงซุ่นได้ฮันนีมูนกันที่ฮ่องกงอีกต่างหาก
ฮิฮิ!
“ทางสถานีตำรวจรู้เรื่องโอหยางสยงหรือยัง?” เหมยเหมยถามอีก
“โทรไปแล้ว ตอนนี้น่าจะอยู่ในที่เกิดเหตุแล้ว”
เหมยเหมยผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาเพราะนึกบางอย่างขึ้นได้เลยถามไปว่า “โอหยางสยงกับโอหยางซานซานเคยเจอกันไหม? เธอรู้เรื่องโอหยางสยงหรือเปล่า?”
“ฉันถามชาวบ้านละแวกนั้นดูแล้วโอหยางซานซานเคยไปหาโอหยางสยงสองวันก่อนเกิดเหตุ แต่ฟังจากแผงเจ้าของร้านลูกชิ้นปลาร้านหนึ่งบอกว่าเมื่อก่อนโอหยางสยงจะต้องไปทานลูกชิ้นที่ร้านเขาทุกคืน แต่หลังจากโอหยางซานซานไปก็ไม่เคยเห็นไปทานอีกเลย…”
เสี่ยวอวิ๋นเล่าข้อสรุปที่เขาได้ตามสืบตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมาให้ฟัง เธอบอกอีกว่าโอหยางซานซานได้ซ้อมอันธพาลกลุ่มหนึ่งไปด้วยซึ่งเหมยเหมยได้ฟังแล้วก็สงสัย “ทักษะการต่อสู้ของโอหยางซานซานดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
ยัยนี่โง่จะตาย แขนขาก็ไม่ว่องไว ขนาดเต้นรำยังทำได้ไม่ดีเลย แต่กลับฝึกทักษะการต่อสู้ได้ดีขนาดนี้ภายในระยะเวลาสั้น ๆเพียงสองปีงั้นเหรอ?
ไหนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดได้อีก แม้จะเป็นคณะการละครแต่แค่สอบเข้าได้ก็นับว่าเก่งมากแล้ว!
ไหนจะเรื่องบุคลิกของเธออีก ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีใบหน้าเดิมเธอคงคิดว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้ว!
“เซ่อเซ่อ เธอเองก็คิดว่าโอหยางซานซานเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันใช่ไหม เหมือนเกิดใหม่เลย” เหมยเหมยอดถามเซียวเซ่อที่กำลังกินซาลาเปาไส้เนื้อคำโตอยู่ข้างกายไม่ได้ อยากหาคนระบายความในใจมากเหลือเกิน
เซียวเซ่อเอียงศีรษะครุ่นคิดแล้วตอบอย่างจริงจัง “ฉันแค่คิดว่าเธอโตช้าไปหน่อย ตอนอายุสิบเจ็ดก็สูงแค่นั้นแล้ว แต่ผ่านไปสี่ปีกลับไม่สูงขึ้นเลยสักนิด กินขนมปังไส้เนื้อที่อเมริกาสูญเปล่าจริง ๆ”
…………………….
ตอนที่ 1787 ใครอยู่บนใครอยู่ล่าง
สยงมู่มู่เองก็พูดเออออตามไปด้วย “ฉันก็คิดงั้นเหมือนกัน ยายหมีสีน้ำตาลสูงเท่านี้ตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน ตอนนี้ก็ยังสูงเท่าเดิม ฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตในร่างกายไม่เพียงพออย่างรุนแรง”
อู่เชาเอ่ยแทรกขึ้นมา “นี่ก็ไม่แปลกหรอกเพราะพอหลังอายุสิบหกไปจะมีผู้หญิงบางส่วนที่ไม่สูงแล้ว ไม่แน่โอหยางซานซานอาจจะอยู่ในประเภทนี้ก็ได้”
“แหงสิ ไม่เห็นหล่อนสูงขึ้นสักนิด เมื่อก่อนสูงเท่าคางฉัน ตอนนี้ใส่รองเท้าส้นสูงก็ยังสูงเท่าตรงนี้ของฉันเหมือนเดิม” สยงมู่มู่พูดอย่างได้ใจ ต่อให้เขาจะอายุยี่สิบปีแล้วก็ยังสูงขึ้นอีกตั้งหนึ่งเซนติเมตรแหนะ!
เหมยเหมยผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาในใจเพราะเพิ่งสังเกตว่าหลายครั้งที่ได้เจอโอหยางซานซานเธอก็ใส่แต่รองเท้าส้นสูง ไม่เคยเห็นสวมรองเท้าพื้นเรียบเลยสักครั้งฉะนั้นเธอถึงไม่เคยสังเกตถึงเรื่องส่วนสูงของอีกฝ่าย
“พวกเธอไม่พูดฉันก็ยังไม่สังเกตเห็นด้วยซ้ำ หล่อนไม่สูงขึ้นจริง ๆด้วย”
“เธอมันโง่ไง!” เซียวเซ่อโพล่งออกมาคำหนึ่งแล้วก้มหน้ากินซาลาเปาไส้เนื้อลูกใหญ่ต่อไป แม่ครัวที่เสี่ยวอวิ๋นจ้างมาทำอาหารประเภทแป้งได้เยี่ยมมาก ซาลาเปาไส้เนื้อหอมกรุ่นอร่อยจนเซียวเซ่ออยากทานทุกมื้อเลย
สยงมู่มู่กับอู่เชาเองก็หัวเราะเสียงดังพลางเล่นหูเล่นตาจนเหมยเหมยได้แต่กัดฟันอย่างนึกโมโห สุดท้ายเธอก็หลุดขำเองเช่นกัน
พอถูกเบี่ยงออกนอกประเด็นเธอก็รู้สึกเจริญอาหารขึ้นมากพลางหยิบซาลาเปามาทานคำเล็ก ๆ และไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องส่วนสูงของโอหยางซานซานอีก ผู้หญิงที่ไม่สูงขึ้นหลังอายุสิบหกปีมีมากมายซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลก
สิ่งที่เธอแปลกใจกว่าคือหน้าตาและสติปัญญาของโอหยางซานซานเพราะมันเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน
เหมยเหมยไม่ได้สนใจการตายของโอหยางสยงนักหรอกแต่สัญชาตญาณของเธอกำลังบอกว่าต้องตามสืบหาสาเหตุการตายของโอหยางสยงให้พบ ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องมีปัญหาในภายหลังแน่ ๆ
“เสี่ยวอวิ๋น ฉันขอไปดูสถานที่เกิดเหตุหน่อยได้ไหม?” เธอคิดว่าสมควรไปสักหน่อยบางทีอาจจะได้เบาะแสเพิ่ม
“ที่นั่นบรรยากาศไม่ดี คุณหนูอย่าไปเลยดีกว่า” เสี่ยวอวิ๋นพูดโน้มน้าว
“ไม่เป็นไร ฉันคิดว่าน่าจะมีเบาะแสอะไรเพิ่มเติม” เหมยเหมยดึงดันจะไปให้ได้ หากไม่ไปเธอยากจะทำใจให้สบายได้
เซียวเซ่อเองก็เริ่มสนใจขึ้นมาเช่นกัน “ฉันก็จะไปดูด้วย”
ดังนั้นสุดท้ายแล้วทุกคนก็ไปด้วยกันหมดในเมื่ออยู่บ้านไปก็ไม่มีอะไรให้ทำ อู่เชากลับไม่ค่อยอยากไปนักเพราะเขาขี้กลัวที่สุดแต่ก็ระงับความสงสัยไม่ได้
“โอหยางสยงพักที่นี่เหรอ? เขาเลือกได้ถูกที่จริง ๆนะ!” เหมยเหมยเห็นบ้านทรงเตี้ยหลังเก่าก็แค่นเสียงหัวเราะ
อดีตโอหยางสยงเคยรุ่งโรจน์มากแค่ไหนตอนนี้กลับต้องมาเบียดเสียดในบ้านหลังเก่ากับคนจรจัดเร่ร่อนแล้วยังตายอย่างอนาถอีก สมน้ำหน้า!
“บ้านหลังนี้โอหยางซานซานเป็นคนหา อีกอย่างฉันสืบได้ว่าช่วงนี้โอหยางซานซานก็ติดต่อพวกเสอโถว น่าจะคิดลอบส่งตัวโอหยางสยงไปต่างประเทศ” เสี่ยวอวิ๋นเดินนำอยู่ข้างหน้าเพราะทางเดินมืดสลัวขับให้ดูวังเวงแปลก ๆ
อู่เชาถูแขนไปมาเพราะรู้สึกเหงื่อออกแปลก ๆเขาพูดด้วยความระแวงว่า “หรือว่าเราอย่าเข้าไปดี พวกพี่เสี่ยวอวิ๋นเคยตรวจสอบดูแล้วจะมีอะไรน่าดูอีก ดูที่นี่สิโทรมขนาดไหน!”
สยงมู่มู่แค่นหัวเราะทีหนึ่ง “เจ้าอ้วนนายกลัวสินะ? กลางวันแสก ๆมีอะไรน่ากลัวกัน? ฉันว่าความกล้าของนายนี่ตรงกันข้ามกับเนื้อไขมันของนายเลยนะ!”
“ใครกลัวกัน? ฉันแค่รังเกียจความสกปรกที่นี่ต่างหาก นายดูสิบนพื้นมีแต่ขยะ จิ๊ แม้แต่ที่จะวางเท้ายังไม่มีเลย”
อู่เชาปากแข็งพลางจ้องพื้นดำสนิทอย่างขุ่นเคืองและไม่ยอมรับความขี้กลัวของตัวเอง
สยงมู่มู่หลุดขำอีกที “แน่จริงคืนนี้นายอย่าแอบย่องเข้าห้องฉันแล้วกัน!”
เขาจะไม่รู้ได้ไงว่าเจ้าอ้วนขี้กลัวอย่างกับอะไรดี เมื่อก่อนแค่ดูหนังผีเรื่องเดียวยังกลัวไม่เหลือสภาพดึงดันจะมาปูฟูกนอนพื้นห้องเขาให้ได้ ผ่านไปครึ่งเดือนกว่าจะหายกลัว
เซียวเซ่อกวาดตามองพวกเขาอยู่นานจนพวกเขาขนลุกซู่ สยงมู่มู่อ้าปากอยากจะด่า เซียวเซ่อถึงได้ค่อย ๆเอ่ยปากถาม“พวกนายใครอยู่บนใครอยู่ล่างเหรอ?”
สยงมู่มู่ชะงักหลงคิดว่าเซียวเซ่อถามตำแหน่งที่นอนของเขากับอู่เชาเลยตอบกลับอย่างใสซื่อ “ก็ต้องฉันอยู่บนเขาอยู่ล่างสิ!”
“อ๋อ…” เซียวเซ่อมองเขาด้วยความตกใจแวบหนึ่งคล้ายจะคิดไม่ถึงว่าจะเป็นคำตอบนี้ เธอเลยกล่าวอีกประโยค “ดูไม่ออกเลยนะ!”
สยงมู่มู่รู้สึกว่ามันแปลกพิกล แต่พอเดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้สติขึ้นมาเลยโมโหตวาดใส่ว่า “ไอ้ทอมรนหาที่ตาย…ฉันหมายถึงฉันนอนบนเตียง เจ้าอ้วนนอนพื้น”
สายตาของเซียวเซ่อฉายแววยิ้มหยันแล้วตอบกลับไปว่า “ฉันไม่ได้พูดถึงอย่างอื่นสักหน่อย นายร้อนตัวเองนะ!”
“อ้าว…ยัยทอมบ้าระวังฉันจะซัดเอานะ…”
“เอาสิ…ฉันจะเตะนายให้ตายทีเดียวเลย!”
ตอนที่ 1788 มีตัวหนังสือตรงประตู
คู่รักคู่แค้นโต้เถียงกันตลอดทางกลับช่วยให้บรรยากาศสดใสขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ดูวังเวงอีกต่อไป ห้องของโอหยางสยงอยู่ชั้นสามซึ่งระเบียงทางเดินมีของเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น และมีสองสามคนกำลังเดินสัญจรไปมาอยู่
ตึกแบบเก่านี้ไม่ใช่ตึกเดี่ยวแบบที่เห็นกันโดยทั่วไป แต่เป็นห้องชุดแบบเก่าที่มีระเบียงทางเดินยาว โดยมีทางเดินคั่นอยู่ตรงกลางและทั้งสองฝั่งจะเป็นห้อง ฉะนั้นตอนกลางวันระเบียงทางเดินเลยค่อนข้างมืดเป็นพิเศษ
ห้องของโอหยางสยงอยู่ริมในสุด พื้นที่ไม่กว้างมากและถูกตำรวจปิดตายไว้แล้ว ตอนนี้มีตำรวจวัยรุ่นคนหนึ่งเฝ้าอยู่หน้าประตู เสี่ยวอวิ๋นเดินไปพูดบางอย่างกับตำรวจคนนี้ก่อนที่ตำรวจวัยรุ่นจะปล่อยให้พวกเขาเข้าไป
“ฉันมีบัตรยืนยันสถานะตำรวจของในประเทศ โอหยางสยงเป็นคนแผ่นดินใหญ่ คดีของเขาควรให้แผ่นดินใหญ่เป็นฝ่ายจัดการ” เสี่ยวอวิ๋นอธิบายคร่าว ๆเหมยเหมยถึงได้เข้าใจ
ภายในห้องสกปรกรกรุงรังอย่างมากราวกับคอกหมูก็ไม่ปาน เสี่ยวอวิ๋นบอกว่าเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ก่อนโอหยางสยงเสียชีวิต ตำรวจที่ต้องรักษาสภาพสถานที่เกิดเหตุไว้เลยไม่ได้ขยับเขยื้อนอะไรแม้แต่น้อย นอกจากสกปรกรกรุงรังแล้วในห้องยังมีกลิ่นแปลก ๆที่ทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก
อู่เชาตามติดสยงมู่มู่ไม่ห่าง ดวงหน้ากลมใหญ่กระตุกรัว ๆ นึกเสียใจแทบแย่
เขาไม่น่าตามมาเลย ดูโทรทัศน์คนเดียวดีกว่าต้องมาหวาดผวาที่นี่
เหมยเหมยหยิบผ้าปิดปากขึ้นมาสวมถึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง แล้วจากนั้นถึงค่อย ๆตรวจสอบทีละจุด ขนาดห้องไม่ใหญ่มากซึ่งมีห้องนอนเล็ก ๆหนึ่งห้องกับห้องน้ำอีกหนึ่งห้องแล้วก็ห้องนั่งเล่นขนาดเล็กอีกหนึ่งห้อง โดยรวมมีขนาดพื้นที่ยี่สิบกว่าตารางเมตรเล็กเหมือนกรงนก
“เห็นได้ชัดว่าก่อนโอหยางสยงตายเคยขัดขืนอย่างรุนแรงมาก่อน พวกเธอดูรอยเลือดที่กระจายพวกนี้สิเต็มกำแพงเลย” เซียวเซ่อชี้ไปที่กำแพงด้วยท่าทีเรียบนิ่ง บนนั้นเคยถูกพ่นด้วยน้ำยามาก่อนแต่รอยสีแดงเป็นดวง ๆก็ทำเอาใจผวาตอนเห็นเช่นกัน
อู่เชาตัวสั่นระริกแล้วรีบหลับตาลง แต่ความขี้สงสัยกลับทำให้เขาลืมตาอย่างอดไม่ได้ ปากหนาก็สั่นเทาไปด้วย พอมองอยู่พักหนึ่งก็หันไปมองทางอื่นแต่ไม่นานก็หันกลับมามองอีกจนหน้าแทบขึ้นสีเขียวช้ำ
พวกเหมยเหมยค้นไปรอบหนึ่งแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไรจึงผิดหวังอย่างมาก หรือว่าเธอคิดมากไป?
“ฉันว่า…ควรกลับบ้านแล้วไหม…ฉันรู้สึกคันไปทั้งตัวเลย…” อู่เชาพูดเร่งเร้าเป็นรอบที่สิบพลางถูแขนจนแดงเถือก หากดูให้ละเอียดแล้วก็จะเห็นผื่นขึ้นบาง ๆด้วย
สยงมู่มู่ผลักเขาทีหนึ่งแล้วพูดติดดูถูกว่า “ขี้ขลาดตาขาว นายยังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า ยัยทอมนั่นยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
“นายยังเรียกเธอว่าทอมเลยแล้วฉันจะสู้เธอได้ไง!” อู่เชาน้อยใจพลันความอับอายก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ
คิดว่าเขาไม่อยากใจกล้ากว่านี้หรือไง?
ขี้กลัวมาตั้งแต่เกิดแล้วจะให้เขาทำอย่างไรได้ล่ะ?
เซียวเซ่อหันมามองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง จู่ ๆก็พูดขึ้นว่า “ด้านหลังนายมีคน!”
“อ๊าก…อ๊าก…”
อู่เชากอดศีรษะกระโดดสูงแล้วกรีดร้องโหยหวนที่ดูแล้วน่าสงสารจับใจ
เหมยเหมยถลึงตาใส่เซียวเซ่อแวบหนึ่งก่อนจะพูดเสียงอ่อนโยน “เซ่อเซ่อหลอกนายต่างหาก ไม่มีใครหรอก นายหยุดร้องได้แล้ว!”
อู่เชาหันไปมองด้านหลังอย่างหวาดผวา ถึงแม้จะไม่มีใครจริง ๆแต่เขาใกล้จะสติหลุดเต็มทีแล้วเลยเอ่ยเสียงติดสะอื้น “เรากลับบ้านเถอะ…เราไม่ใช่ตำรวจสักหน่อยจะมาทำคดีอะไรกันเล่า…”
“จะกลับนายก็กลับคนเดียว…ฉันยังต้องดูอีกหน่อย” สยงมู่มู่ตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์และนึกดูถูกเพื่อนขี้กลัวเหลือเกิน น่าขายหน้าชะมัด
“กลับคนเดียวก็ได้…”
อู่เชาเดินมุ่งหน้าไปตรงประตูอย่างน้อยใจแต่ไม่นานก็กลับมาพร้อมทำหน้าจะร้องไห้ ระเบียงทางเดินทั้งมืดและยาวขนาดนั้น เขากลัว…
เขาเลยตัดสินใจไม่เข้าห้องแต่ยืนอยู่ตรงประตูราวกับวิหคตื่นคันศร[1] ร่างกายโก่งโค้งเป็นคันศรชนิดที่พร้อมจะหนีได้ทุกเมื่อ
สยงมู่มู่หลุดขำทีหนึ่งแล้วเริ่มตรวจดูอย่างละเอียดอีกครั้งด้วยความสนอกสนใจ
อู่เชาที่กำลังเบื่อหน่ายกวาดตามองนั่นมองนี่ มองบนแล้วก็มองบน มองซ้ายแล้วก็มองขวา นั่นกลับทำให้เขาเจอบางอย่างเลยตะโกนเสียงดัง “พวกเธอมาดูนี่สิ ตรงนี้มีตัวอักษรอยู่ด้วย!”
[1] วิหคตื่นคันศร สำนานจีนที่เปรียบเปรยคนที่เคยผ่านเรื่องเลวร้ายมาแล้วจำฝังใจ ภายหลังพอมีเรื่องอะไรเล็กน้อยก็ตื่นกลัวไปหมด
……………………..
ตอนที่ 1789 ใต้ปลาคืออะไร
พวกเหมยเหมยเดินไปถึงปากประตูก็เห็นว่าจุดที่อู่เชาชี้ไปคือขอบประตู เพราะบ้านหลังนี้ทั้งเก่าทั้งโทรมประตูเลยเป็นประตูไม้ธรรดมาทั้งเนื้อไม้ก็อ่อนด้วย อู่เชาชี้ไปตรงขอบประตูแล้วเอ่ย “ตรงนี้มีตัวหนังสือ”
ตรงใต้ขอบประตูมีคนใช้เล็บขีดเป็นรอยจำนวนไม่น้อยอยู่จริง ๆ แม้จะเขียนลวก ๆแต่พอจะอ่านออกได้
“เหมือนจะเป็นคำว่าปลา แล้วก็อีกตัวเหมือนจะเป็นคำว่าใต้” สยงมู่มู่ทำหน้างุนงง “ใต้ปลา? โอหยางสยงเขียนสองตัวนี้หมายถึงอะไร?”
อู่เชาพูดขึ้นอย่างไม่ทันคิด “นายมั่นใจได้ไงว่าโอหยางสยงเป็นคนเขียน? บางทีอาจจะเป็นลูกค้าเก่าที่เคยเช่าก็ได้”
สยงมู่มู่ถลึงตาใส่เขาไปทีหนึ่ง สติปัญญาหายหดเพราะความกลัว เจ้าขี้ขลาด!
“สองตัวนี้เป็นตัวย่อซึ่งมีแค่คนแผ่นดินใหญ่เท่านั้นที่เขียนอักษรเป็นตัวย่อ คนฮ่องกงเขียนตัวเต็ม อีกอย่างดูจากรอยขีดนี้ยังดูสดใหม่มาก น่าจะเป็นโอหยางสยงขีดนั่นแหละ” เหมยเหมยอธิบาย
เซียวเซ่ออธิบายเสริม “เป็นไปได้ว่าโอหยางสยงเขียนมันก่อนตาย เขาอยากถ่ายทอดข้อมูลของฆาตกร!”
อู่เชาสะดุ้งตัวโยนอีกครั้งแล้วก้าวถอยหลังสามก้าวด้วยความว่องไว ไม่กล้าเข้าใกล้ขอบประตูอีก น้ำตาก็จวนจะไหลเต็มที
เสี่ยวอวิ๋นกับตำรวจวัยรุ่นต่างก็เริ่มให้ความสนใจแล้วพิมพ์รอยขีดเขียนนั่นออกมา ตำรวจวัยรุ่นยังโทรไปรายงานให้ทางสถานีตำรวจทราบก่อนที่เขาจะยิ้มกล่าว “นี่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญเชียว ขอบคุณพวกคุณมาก ผู้กองหลินของเราจะรีบมาเดี๋ยวนี้แหละ”
เหมยเหมยขมวดคิ้ว ทำไมถึงเป็นเขาอีกแล้ว?
เธอสำรวจรอบห้องอีกครั้งเมื่อไม่ได้หลักฐานอื่นเพิ่มเติมเลยออกจากห้องเพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับผู้กองหลินเท่าไร โดยเฉพาะลูกศิษย์ไร้สติปัญญาคนนั้นของเขา
ตรงระเบียงทางเดินมีคุณยายอายุราวหกสิบเจ็ดสิบสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ พอเห็นพวกเขาก็ใช้สายตาแปลกใจกวาดมองหลายที มีคุณยายร่างอวบคนหนึ่งพูดภาษาท้องถิ่นซึ่งเหมยเหมยไม่เข้าใจเสี่ยวอวิ๋นเลยช่วยแปลให้เธอฟัง
“คุณยายบอกว่าคุณสวยกว่าผู้หญิงที่มาเมื่อหลายวันก่อนซะอีก”
เหมยเหมยยิ้มตอบน้อย ๆแล้วก้มศีรษะให้คุณยายที พอเดินไปหลายก้าวเธอก็ฉุกคิดบางอย่างได้เลยรีบถอยกลับไปพลางให้เสี่ยวอวิ๋นถามคุณยายว่าผู้หญิงที่ไม่สวยเท่าเธอคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรเหรอ?
คุณยายเองก็ดูเป็นคนชอบสอดรู้เรื่องชาวบ้านพอสมควร คำถามของเสี่ยวอวิ๋นเป็นที่ถูกใจของเธอเลยเริ่มพูดเสียงเจื้อยแจ้วโดยมีคุณยายอีกคนพูดเสริมเป็นบางประโยค
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้หญิงจากแผ่นดินใหญ่แต่ดูท่าทางรวยมาก เสื้อบนตัวมีแต่แบรนด์ดัง หลานสาวฉันบอกว่าเธอมีทักษะการต่อสู้ด้วย คนหนึ่งกำราบผู้ชายตัวโตได้ตั้งสามคนเลยนะ…”
คุณยายยกนิ้วโป้งพลางนึกทึ่งผู้หญิงคนนี้อย่างมากก่อนจะพูดต่อ “แต่ฉันไม่ชอบผู้หญิงคนนี้เพราะทุกครั้งเธอจะใส่เสื้อสีดำ ดูเยือกเย็นเกินไป”
ฟังถึงตรงนี้เหมยเหมยก็พอจะมั่นใจได้แล้วว่าผู้หญิงคนสวยที่คุณยายพูดถึงคือโอหยางซานซาน
“เธอมาที่นี่บ่อยไหมคะ?” เหมยเหมยถาม
คุณยายคิด ๆแล้วก็ตอบ “ไม่ค่อยมาหรอก ผู้ชายคนนั้นเข้ามาพักเกือบจะหนึ่งเดือนแล้วแต่ผู้หญิงคนนี้ก็มาแค่สี่ครั้ง ครั้งสุดท้ายมาเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน วันนั้นแหละที่เธอสั่งสอนอันธพาลสามคน เก่งมากเลย…”
คุณยายคนนี้ดูท่าทางจะสนใจหน้าตากับทักษะการต่อสู้ของโอหยางซานซานมากกว่า พอเล่าไป ๆก็เริ่มออกนอกประเด็น
ทว่าเท่าที่เธอเล่าก็ไม่ต่างจากข้อมูลที่พวกเสี่ยวอวิ๋นตามสืบได้มากนัก เวลาที่โอหยางซานซานปรากฏตัวเป็นครั้งสุดท้ายก็ประจวบเหมาะ แต่–
คุณยายอีกคนกลับส่ายหน้า “ไม่ใช่ วันนั้นผู้หญิงคนนั้นมาสองครั้ง ตอนแรกกลับไปแล้วฉันเห็นว่าเธอไปซื้อลูกชิ้นทานด้วยนะ แต่ตอนหลังก็กลับมาอีก สุดท้ายอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมงถึงกลับ”
“ทำไมฉันถึงไม่รู้?” คุณยายคนอวบดูท่าไม่พอใจอย่างมาก ข่าวคราวสำคัญขนาดนี้เธอกลับไม่ได้เป็นคนแรกที่รู้
“เธอกลับห้องไปนอนแล้ว ฉันนอนไม่หลับเลยอยากออกไปเดินเล่นสักหน่อยถึงเห็น”
เหมยเหมยหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ไปแล้วกลับมาอีกครั้งแล้วยังอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง โอหยางซานซานกับโอหยางสยงมีเรื่องให้คุยกันมากขนาดนั้นเชียวหรือ?
ตอนที่ 1790 ลูกชิ้นปลา
“เมื่อก่อนตอนผู้หญิงคนนี้มาจะอยู่นานไหมคะ?” เหมยเหมยถาม
คุณยายคนอวบเบะปากดูท่าทางไม่ค่อยอยากพูดเท่าไรเลยบอกว่าจะกลับไปทำกับข้าวที่ห้อง เหมยเหมยล้วงเงินธนบัตรหนึ่งร้อยออกจากกระเป๋าแล้วโบกต่อหน้าเธอไปมา คุณยายคนอวบตาวาวมองธนบัตรด้วยสายตาละโมบ
เธอรู้งานดีไม่ต้องรอเหมยเหมยถามเธอก็พูดออกมาหมดเปลือก
“อยู่ไม่นาน อย่างมากก็ไม่เกินสิบห้านาที อีกอย่างมีครั้งหนึ่งฉันได้ยินพวกเขาทะเลาะกันด้วย สรุปแล้วไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีเท่าไรหรอก” คุณยายคนอวบพูดจบก็จ้องเงินในมือเหมยเหมยตาเป็นมัน
เหมยเหมยถามอีกหลายคำถามซึ่งได้คำตอบตามข้อมูลที่เสี่ยวอวิ๋นสืบมาซึ่งไม่พบข้อมูลอะไรใหม่ ๆเลย
เธอยื่นธนบัตรใบร้อยให้คุณยายอีกคนและไม่ได้เอาเปรียบคุณยายคนอวบคนนี้แต่อย่างใดพลางล้วงหยิบอีกใบหนึ่งมา อย่างน้อยก็ได้เบาะแสเพิ่มขึ้นเงินสองร้อยไม่ถือว่าสูญเปล่า
ยามเดินถึงชั้นล่างก็ปะทะกับคู่หูตำรวจผู้กองหลินพอดิบพอดี ผู้กองหลินยิ้มทักทาย “คุณจ้าวดูท่าทางสนใจคดีนี้มากนะครับ!”
“แน่นอน โอหยางสยงเป็นพนักงานราชการของแผ่นดินใหญ่จะตายฟรีไม่ได้ หวังว่าผู้กองหลินจะไขคดีได้ในเร็ววันนะคะ” เหมยเหมยพูดตอบกลับอย่างเป็นทางการ
ตำรวจหญิงแค่นเสียงเบา ๆแล้วพูดพึมพำ “ไม่แน่คุณนั่นแหละฆาตกร”
จะบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร?
จ้าวเหมยเพิ่งมาถึงฮ่องกงคนที่ไม่ถูกกับเธอล้วนเสียชีวิตกันหมด อย่าคิดว่าเธอไม่รู้ว่าจ้าวเหมยเคยมีเรื่องบาดหมางใจกับสองคนนี้มาก่อนนะ
“คนเรากินข้าวได้ตามใจชอบแต่คำพูดจะพูดตามใจอยากไม่ได้นะคะ สายตาของผู้กองหลินที่ใช้เลือกลูกศิษย์ไม่ค่อยดีเท่าไรเลยนะคะ!” เหมยเหมยส่ายหน้าแล้วเดินไปยังร้านขายลูกชิ้นปลาอย่างนึกคร้านจะสนใจตำรวจผู้หญิงที่ปั้นหน้าขึงขัง
เสี่ยวอวิ๋นบอกว่าเมื่อก่อนโอหยางสยงจะไปทานลูกชิ้นปลาเจ้านี้ตลอดก็น่าจะได้เบาะแสจากเจ้าของร้านบ้าง
ร้านลูกชิ้นปลาท่าทางขายดีไม่ใช่ย่อย สองสามีภรรยาต่างวุ่นกันมือเป็นระวิงเลยไม่ได้สนใจพวกเขาสักนิด เหมยเหมยให้เสี่ยวอวิ๋นถามกำไรหนึ่งวันของร้านทำเอาเจ้าของร้านงุนงงแต่ก็ตอบกลับแต่โดยดี “ถ้าขายดีหนึ่งวันอาจจะได้กำไรหนึ่งถึงสองพัน ถ้าขายไม่ดีเลยแม้แต่ห้าร้อยหยวนก็หาไม่ได้”
เหมยเหมยดึงธนบัตรหนึ่งพันจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เจ้าของร้าน “ฉันจ่ายหนึ่งพันขอซื้อเวลาคุณหนึ่งชั่วโมง ตอบคำถามฉันไม่กี่คำถามก็พอ”
เจ้าของร้านสะดุ้งตกใจพลางมองพวกเหมยเหมยราวกับตัวประหลาด มีเงินเยอะแล้วไม่มีที่ให้ใช้หรือไง?
ภรรยาเจ้าของร้านกลับฉลาดไหวพริบดียื่นมือไปรับเงินมาทันทีก่อนให้สามีต้อนรับลูกค้ากลุ่มนี้อย่างเดียว ลำพังตัวเธอคนเดียวก็ดูแลร้านได้ พอได้กำลังใจเป็นเงินหนึ่งพันเธองอกแขนออกมาได้อีกตั้งสี่แขน
“ผู้ชายคนนั้นชื่ออะไรฉันไม่รู้ เขาย้ายมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงหนึ่งเดือน ดูท่าทางไม่ใช่คนดีอะไรนัก บนตัวก็มีแต่รอยแผล ตอนแรกฉันไม่อยากขายให้เขาด้วยซ้ำ”
เจ้าของร้านไม่ได้ให้ข้อมูลใหม่ ๆเลย เขาบอกเพียงว่าโอหยางสยงมักมาทานลูกชิ้นปลาตอนเที่ยงคืนใกล้จะเก็บร้านเสมอ อีกทั้งยังซื้อกลับไปทานไม่เคยทานข้างนอกด้วย
“ฉันว่าผู้ชายคนนั้นน่าจะเป็นคนติดบัญชีดำที่แอบหนีมาจากฝั่งนั้น กลางวันฉันไม่เคยเห็นเขาออกมาข้างนอกเลย กลางคืนก็ทำท่าทางลับ ๆล่อ ๆเหมือนโจร” เจ้าของร้านกล่าวสรุปแต่กลับพูดถูกเผงทุกอย่าง
เหมยเหมยเริ่มผิดหวังหน่อย ๆที่ไม่ได้เบาะแสอะไรจากเจ้าของร้านเลยแต่เธอยังไม่ยอมแพ้ คิด ๆแล้วก็ล้วงกระดาษปากกาจากกระเป๋าออกมาตวัดปลายปากกาไม่กี่ทีเพื่อวาดรูปโอหยางซานซานซึ่งเหมือนตัวจริงมาก
“เถ้าแก่ รู้จักผู้หญิงคนนี้ไหมคะ?”
“ไม่รู้จัก ไม่สิ เธอเคยมาทานลูกชิ้นปลาที่ร้านฉันหลายครั้ง แล้วยังชมว่าลูกชิ้นปลาที่ฉันทำอร่อยด้วยนะ!” เจ้าของร้านยิ้มใสซื่อ
“ผู้หญิงคนนี้ชอบทานลูกชิ้นปลามากเหรอ?” เหมยเหมยถามอีก
“ใช่ เธอบอกว่าลูกชิ้นปลาร้านฉันอร่อยกว่าร้านอื่น นี่ฉันไม่ได้โม้นะ แต่ว่าสูตรลูกชิ้นปลาจางของเราสืบทอดกันมาสี่รุ่น กฎข้อแรกที่บรรพบุรุษตั้งไว้ก็คือห้ามลดปริมาณ ตอนนี้ทั้งฮ่องกงก็หาลูกชิ้นปลาเนื้อแน่นเท่าร้านจางของเราไม่ได้อีกแล้ว ทั้งหมดนี้ฉันกับภรรยาช่วยกันแยกออกมาทีละเม็ด ๆ ใช้แป้งแค่สามส่วนที่เหลือเป็นเนื้อปลาหมดเลย…”
เจ้าของร้านพูดถึงลูกชิ้นปลาร้านตัวเองก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาฉับพลัน น้ำลายกระเด็นไปทั่วทั้งยังยกมือทำท่าประกอบไปด้วย
………………….
ตอนที่ 1791 ฆาตกรน่าจะเป็นคนคุ้นเคย
ภายหลังดูท่าทางจะไม่ได้ข้อมูลอะไรอีกเหมยเหมยเลยยื่นเงินหนึ่งพันให้เจ้าของร้านไป แต่เจ้าของร้านคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์จึงรู้สึกเกรงใจหน่อย ๆ เลยทอดลูกชิ้นปลาสิบกว่าไม้ดึงดันจะให้พวกเหมยเหมยให้ได้
“รับประกันเลยว่าลูกชิ้นปลาร้านฉันอร่อย รับรองว่าคุณทานแล้วต้องอยากจะทานอีกแน่…”
เจ้าของร้านโฆษณาอย่างกระตือรือร้นพลางยัดลูกชิ้นปลาใส่มือพวกเขา เดิมทีเหมยเหมยคิดจะปฏิเสธแต่เซียวเซ่อหยิบหนึ่งไม้มากัดคำโตเลยรับไว้เพื่อเธอทันที
“อร่อย…เถ้าแก่ช่วยใส่ซอสกะหรี่ให้ฉันเยอะ ๆหน่อยได้ไหม ใส่ซอสกะหรี่ให้ทั่วเลย”
สยงมู่มู่รู้ดีว่าเซียวเซ่อเป็นจอมตะกละ พอเห็นเธอชื่นชอบขนาดนี้เลยหยิบอีกไม้มาทานก่อนจะตกเป็นทาสในพริบตา ตะโกนเสียงดัง “ซอสกะหรี่ครึ่งหนึ่ง ซอสหวานอีกครึ่งหนึ่ง”
เหมยเหมยเองก็ถูกพวกเขากระตุ้นให้สนใจขึ้นมาเลยทานลูกชิ้นปลาไปหนึ่งไม้ รสชาติไม่เลวจริง ๆนุ่มละมุนและเด้งสู้ลิ้น เวลากัดก็เหนียวหนึบมาก รสชาติหอมอ่อน ๆของเนื้อปลา น้ำซอสเองก็ปรุงรสได้ดี มิน่าถึงได้ขายดีขนาดนี้
เธอให้เจ้าของร้านทอดอีกสิบกว่าไม้ไว้เก็บไปทานที่บ้านซึ่งแน่นอว่าเธอจ่ายราคาส่วนนี้ด้วย เงินหนึ่งพันนั่นคุยกันไว้แล้วว่าสำหรับถามข้อมูล เงินค่าลูกชิ้นปลาก็ต้องคิดแยกเพราะเธอไม่ได้ขาดแคลนเงินสักหน่อย
มือหนึ่งหิ้วถุงลูกชิ้นปลาถุงใหญ่ขณะที่อีกมือหนึ่งก็กำไว้อีกหนึ่งไม้ ขนาดขึ้นรถแล้วก็ยังทานไม่หยุด เซียวเซ่อกับอู่เชาทานได้รวดเร็วที่สุดกำจัดไปหลายไม้ในเวลาสั้น ๆ
“อร่อยจัง เป็นลูกชิ้นปลาที่อร่อยที่สุดเท่าที่ฉันเคยทานมาเลย พรุ่งนี้ค่อยมาซื้ออีก” พอมีอาหารอร่อยใบหน้าของอู่เชาก็สดใสขึ้นมาทันตา ไม่เหลือใบหน้าขาวซีดอย่างก่อนหน้าอีก
เหมยเหมยค่อย ๆทานช้า ๆโดยใช้สมองทำงานไม่หยุด พอใกล้จะทานหมดหนึ่งไม้ก็เหมือนมีบางอย่างวาบเข้ามาในหัวของเธอเลยรีบปิดตาไล่ความทรงจำเมื่อครู่ช้า ๆ
“ฉันนึกออกแล้ว…”
เหมยเหมยโพล่งขึ้นเสียงดังแล้วทำหน้าดีอกดีใจพลางชี้ไปที่ลูกชิ้นปลาแล้วพูดว่า “ฉันรู้แล้วว่าอะไรคือ ‘ใต้ปลา’”
“อะไร…ฉันก็นึกออกแล้ว…” สยงมู่มู่ชะงักไปในทีแรกแต่ไม่นานก็เข้าใจความหมายของเหมยเหมยแล้วตะโกนพูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกับเธอ “มันคือลูกชิ้นปลา!”
“ใช่ ตอนนั้นโอหยางสยงน่าจะรีบมากเขาเลยทันเขียนแค่ส่วนบนของตัวอักษรลูกจึงออกมาเป็นคำว่าใต้ ความจริงเขาอยากเขียนว่าลูกชิ้นปลา” เหมยเหมยพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“แต่เขาเขียนลูกชิ้นปลาเพื่อจะสื่อถึงอะไรล่ะ? หรือว่าเขาอยากทานลูกชิ้นปลาสักไม้ก่อนตายเหรอ?” อู่เชาพึมพำคนเดียวก่อนจะโดนสยงมู่มู่ฟาดใส่เต็มฝ่ามือ
“นายคิดว่าเป็นนายหรือไง? วัน ๆคิดแต่เรื่องกิน!”
อู่เชาแค่นเสียงทีหนึ่งแล้วกินลูกชิ้นปลาต่อ ประชาชนถือว่าอาหารเป็นสิ่งสำคัญเทียมฟ้า แล้วชอบกินมันผิดตรงไหน?
“ลูกชิ้นปลาอันนี้ต้องเกี่ยวข้องกับฆาตกรแน่ ๆหรือว่าฆาตกรคือเจ้าของร้านลูกชิ้นปลา? ไม่สิ ๆ จะเป็นไปได้อย่างไร?” สยงมู่มู่พูดจบก็ปฏิเสธทันควันก่อนจะถูกอู่เชากลอกตาใส่ทีหนึ่ง
แต่ละคนเดากันอยู่พักใหญ่ก็เดาไม่ออกว่าลูกชิ้นปลาหมายถึงอะไรเลยอดเศร้าไม่ได้
“ไม่ต้องคิดแล้ว ไขคดีเป็นเรื่องของตำรวจ เราไม่มีความสามารถนั้นหรอก” อู่เชาคิดว่าเพื่อนกำลังหาเรื่องลำบากให้ตัวเอง รั้นที่จะแย่งงานตำรวจอยู่ได้มันน่ากลัวจะตายไป!
เหมยเหมยถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างไม่พอใจ เธอคิดว่าตัวเองใกล้จะค้นพบความจริงแล้วแต่กลับถูกหมอกม่านบาง ๆบดบังไว้ทำให้เธอไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้
“ฉันคิดว่าฆาตกรคนนี้น่าจะเป็นคนที่ฉันรู้จัก ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ” เหมยเหมยพูดเสียงพึมพำ
สยงมู่มู่กล่าวขึ้นเสียงดังโผงผาง “จะเป็นไปได้อย่างไร? ในฮ่องกงเธอก็รู้จักแค่พวกเราไม่กี่คน จะบอกว่าเราฆ่าโอหยางสยงก็ไม่ได้ เธอมันชอบคิดเหลวไหล”
“แล้วก็มีอีกคนคือ โอหยางซานซาน” อู่เชาพูดแย้งเขาเลยโดนตบหลังศีรษะไปหนึ่งที
ตอนที่ 1792 โอหยางซานซานเป็นคนฆ่าเหรอ
“บอกว่านายโง่ให้ตายก็ไม่ยอมรับ โอหยางซานซานจะฆ่าโอหยางสยงได้ไง? หล่อนโง่เหรอ?” สยงมู่มู่ด่ายาวเหยียด
เหมยเหมยเองก็คิดเช่นเดียวกันว่าเป็นไปไม่ได้ ต่อให้โอหยางซานซานไม่ได้ญาติดีกับโอหยางสยงมากแค่ไหนก็ไม่มีทางลงมือฆ่าแน่นอน อีกอย่างฆ่าโอหยางสยงไม่ได้มีผลดีต่อโอหยางซานซานเลย เธอไม่จำเป็นต้องทำเรื่องโง่ ๆแบบนี้
คดีติดชะงักอยู่ตรงนี้ แม้กระทั่งทางตำรวจฮ่องกงยังไม่คิดว่านี่เป็นคดีฆาตกรรมด้วยซ้ำเพราะไม่เจอศพของโอหยางสยง นี่จึงถือว่าเป็นเพียงคดีหายสาบสูญทำเอาคนนึกปวดศีรษะเหลือเกิน
เหมยเหมยกลับถึงบ้านก็อาบน้ำพักผ่อน ช่วงนี้ใช้สมองมากเกินไปเลยปวดศีรษะมาตลอด แต่มีเรื่องติดค้างในใจทำให้เธอหลับไม่ลงสักที เพียงแค่งีบไปครู่หนึ่งแต่อาการปวดศีรษะกลับไม่บรรเทาลงสักนิด
เสี่ยวอวิ๋นมาบอกอีกว่าคุณนายโจวอยากพบเธอสักครั้งบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเธอ
“คุณหนูพักผ่อนอยู่บ้านเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปพบคุณนายโจวเอง” เสี่ยวอวิ๋นเห็นเหมยเหมยสีหน้าไม่ดีเท่าไรเลยไม่อยากให้เธอไป พรุ่งนี้คุณชายหมิงจะมาแล้วถ้าเห็นว่าคุณหนูไม่สบายต้องทำโทษเธอกับเสียวหลี่แน่!
“คุณนายโจวน่าจะมีเรื่องสำคัญเลยหาฉัน ถึงอย่างไรฉันไปสักหน่อยจะดีกว่า”
ปกติคุณนายโจวเป็นคนสันโดษไม่เข้าหาใคร หากไม่มีเรื่องสำคัญคงไม่เป็นฝ่ายมาหาเธอก่อนเลยคิดว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก เหมยเหมยทายาหม่องตรงขมับเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองมีสติขึ้นอีกนิด
สถานที่ที่คุณนายโจวนัดเธออยู่ที่ภัตตาคารป้าหวัง สองสามีภรรยาคู่นี้ดูท่าทางจะชื่นชอบภัตตาคารป้าหวังเป็นพิเศษนะ!
“ป้าโจวมีธุระอะไรกับหนูเหรอคะ?” เหมยเหมยยิ้มถาม
คุณนายโจวกวาดตามองเธอครู่หนึ่งก่อนถามด้วยความเป็นห่วง “ฉันว่าสีหน้าเธอดูแย่นะ ไม่สบายเหรอ?”
“แค่ช่วงนี้มีเรื่องเยอะไปหน่อยเลยปวดหัวแต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
เหมยเหมยพูดไปก็นวดขมับไปพลางความรู้สึกเหมือนโดนเข็มทิ่มแทง เธอเองก็แปลกใจเช่นกันว่าเมื่อก่อนต่อให้ปวดศีรษะแค่ไหนก็ไม่ถึงขั้นปวดติดต่อหลายวันแบบนี้ คราวนี้เป็นอะไรกันแน่?
“ปวดหัวจะประมาทไม่ได้นะ ฉันรู้จักหมอฝีมือดีคนหนึ่ง ให้ฉันแนะนำเธอไหม?”
เหมยเหมยปฏิเสธอ้อม ๆ “ขอบคุณความหวังดีของป้าโจวนะคะ แต่หนูทานยาปรับสภาพร่างกายของผู้อาวุโสท่านหนึ่งมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เขาเองก็อยู่ฮ่องกง ไว้หนูไปหาเขาให้ช่วยตรวจดูอาการให้สักหน่อยก็ได้แล้วค่ะ”
เธอเชื่อใจคุณหมอกู้มากกว่าและคิดไว้ว่าถ้าว่างจะไปฝังเข็มกับเขาสักหน่อย เวลาปวดศีรษะขึ้นมาแทบจะเอาถึงชีวิตเลยทีเดียวจะหลับก็หลับไม่สนิท
คุณนายโจวไม่เอ่ยถึงเรื่องหมอฝีมือดีอีก เธอเปลี่ยนประเด็นมาถามถึงเรื่องโอหยางซานซาน “เหมยเหมยเธอเคยรู้จักกับโอหยางซานซานมาก่อนเหรอ?”
เหมยเหมยชะงักไปกึกหนึ่งแล้วพยักหน้าตอบ “รู้จักค่ะ แต่ความสัมพันธ์ของฉันกับเธอไม่ดีนัก ทำไมป้าโจวถึงถามเรื่องนี้ละคะ?”
“เทปอัดเสียงคราวก่อนฉันสั่งให้คนไปตามสืบดูแล้วพบว่าโอหยางซานซานคนนี้มีจุดน่าสงสัยเยอะมาก เพราะจื่อหัวคุยโทรศัพท์ตอนอยู่ที่พักของโอหยางซานซาน ถ้าจะมีใครลงมือทำอะไรสักอย่างก็มีแต่ผู้หญิงคนนี้เท่านั้นแหละ”
คุณนายโจวเว้นช่วงไปอึดใจหนึ่งแล้วพูดต่อ “โอหยางซานซานเคยมีเรื่องบาดหมางกับเธอ หล่อนอาจจะอยากให้เธอซวยถึงได้ส่งเทปอัดเสียงไปให้ตำรวจ”
เหมยเหมยกัดปาก ที่คุณนายโจวพูดก็มีความเป็นไปได้สูงเพราะโอหยางซานซานอยากให้เธอซวยจะแย่อยู่แล้ว แล้วจะไม่เหยียบซ้ำได้หรือ? แต่ปัญหาคือ–
“ป้าโจว ป้าเคยคิดบ้างไหมคะว่าโอหยางซานซานคงไม่รู้ล่วงหน้าว่าหร่วนหวาไฉ่จะตาย แล้วเธอจะเตรียมอัดเสียงล่วงหน้าได้อย่างไร?”
คุณนายโจวอมยิ้ม ดูท่าทางยากจะคาดเดาความคิด “เธอลองคิดดี ๆอีกทีสิ”
เหมยเหมยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งเลยถามเสียงตกใจ “ป้าโจวหมายถึงโอหยางซานซานเป็นคนฆ่าหร่วนหวาไฉ่? เพื่อโยนความผิดมาให้หนูงั้นเหรอคะ?”
“ฉันเคยไปถามที่สถานีตำรวจมาก่อน ข้อสงสัยของฆาตกรที่ทางตำรวจคิดไว้มันสอดคล้องกับลักษณะของโอหยางซานซานทุกอย่าง อีกอย่างฉันก็ไปสืบประวัติการเดินทางวันนั้นของหล่อนมาแล้ว เธอเคยปรากฏตัวแถวนั้นจริง ๆ”
คุณนายโจวดูท่าจะมั่นใจแล้วว่าโอหยางซานซานคือฆาตกรแต่เหมยเหมยกลับรู้สึกมีบางจุดทะแม่ง ๆ เธอไม่พูดอะไรต่อแค่หลับตาครุ่นคิด
…………………………
ตอนที่ 1793 ขนมเปี๊ยะไส้ถั่วลิสง
เหมยเหมยคิดจนปวดศีรษะมากกว่าเดิม ขมับศีรษะเต้นตุบ ๆ เธอสั่งให้บริกรเอาผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นมาหนึ่งผืนแล้วทาบไว้ตรงขมับ พอรู้สึกสบายขึ้นแล้วระบบความคิดก็ทำงานชัดเจนขึ้น
“ไม่ใช่ค่ะ ป้าโจว ป้าพูดไม่ถูก”
เหมยเหมยคัดค้านสิ่งที่คุณนายโจววิเคราะห์ “ลุงหัวโทรหาหนูเป็นการตัดสินใจกะทันหัน หนูจะพูดอะไร ลุงหัวจะพูดอะไร โอหยางซานซานไม่มีทางรู้เลยฉะนั้นที่เธอดักฟังไม่ใช่เพื่อจัดการหนูหรอกค่ะ!”
คุณนายโจวสีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน เธอฉลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพอเหมยเหมยเตือนสติก็คิดได้อย่างรวดเร็ว ใจหล่นวูบพลางกัดฟันพูด “นังแพศยา ฉันไม่ปล่อยไว้แน่!”
เธอรู้สึกตั้งแต่แรกแล้วว่าโอหยางซานซานมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง ตอนนี้ก็ยิ่งมั่นใจว่าไม่แน่ยัยนี่อาจเป็นหนอนบ่อนไส้ที่ศัตรูของโจวจื่อหัวส่งตัวมา เธอจะชะล่าใจไม่ได้
“ป้าโจวช่วยเตือนลุงหัวที ให้เขาระวังโอหยางซานซานไว้ให้ดี หนูรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนไปจนน่าแปลก”
คุณนายโจวเริ่มสนใจขึ้นมาเลยถามว่าแปลกไปตรงไหน
เหมยเหมยจึงเริ่มเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของโอหยางซานซาน “หนูรู้สึกว่าเหมือนเธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หนูขอพูดอะไรที่ไม่น่าฟังหน่อยแล้วกันค่ะ จากภูมิหลังครอบครัวของโอหยางซานซานเธอไม่มีความจำเป็นใด ๆที่จะต้องย่ำยีตัวเองโดยการมา…กับลุงโจว อีกอย่างเมื่อก่อนเธอเป็นคนคาดหวังสูง คนปกติทั่วไปไม่มีทางเข้าตาเธอแน่”
คุณนายโจวเองก็คิดไม่ถึงว่าโอหยางซานซานจะมีภูมิหลังครอบครัวแข็งแกร่งขนาดนี้ ผู้หญิงที่ไม่ขาดแคลนหน้าตาพื้นฐานครอบครัว ประวัติการศึกษาแบบนี้ เธอเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมถึงต้องมาอยู่กับโจวจื่อหัว?
“ฉันจะส่งคนคอยติดตามโอหยางซานซานดูว่าพอจะจับพิรุธเธอได้หรือเปล่า”
“ทักษะการต่อสู้ของโอหยางซานซานดีไม่หยอก ป้าโจวต้องส่งคนที่ต่อสู้เก่งหน่อยไปตามสืบ” เหมยเหมยพูดเน้นย้ำ
คุณนายโจวขอตัวกลับก่อนด้วยสีหน้าร้อนรนใจ เหมยเหมยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งทำได้อย่างคุณนายโจวนี่มันน่าสงสารยิ่งกว่าคนโง่เขลาเสียอีก ผู้ชายไปหาชู้รักเลี้ยงเมียน้อยอยู่นอกบ้านแต่เธอกลับต้องคอยมาตามล้างตามเช็ดทีหลัง
จะขมขื่นขนาดไหนนะ!
เหมยเหมยปวดศีรษะอย่างรุนแรงเลยให้บริการเสิร์ฟชาร้อนหนึ่งกา เธออยากดื่มก่อนกลับสักหน่อยแต่ดันเกิดเรื่องบังเอิญขึ้น คุณนายโจวเพิ่งกลับไปโจวจื่อหัวกับโอหยางซานซานก็ตามหลังมาทันที
“เหมยเหมยก็มาดื่มชาเหรอ? บังเอิญจริง ๆนั่งด้วยกันเถอะ!” โจวจื่อหัวไม่รอให้เหมยเหมยปริปากก็สั่งบริกรเสิร์ฟของว่าง
“ที่นี่มีขนมเปี๊ยะไส้ถั่วลิสงไหม?” เหมยเหมยถามบริกร ทั้ง ๆที่ปวดศีรษะมากแต่จู่ ๆเธอก็นึกอยากทานขึ้นมาแถม และความต้องการนั้นก็มีมากเสียด้วย
“มีครับ คุณหนูโปรดรอสักครู่” บริกรนอบน้อมอย่างมากไม่เสียชื่อภัตตาคารชื่อดัง ไม่นานบริกรก็ยกขนมเปี๊ยะไส้ถั่วลิสงจานเล็ก ๆที่ยังร้อนกรุ่นอยู่มาเสิร์ฟ คิดว่าน่าจะเพิ่งทำเสร็จหมาด ๆ
ถั่วลิสงเหลืองทองอร่ามส่งกลิ่นหอมฉุยถูกสอดไส้อยู่ในขนมเปี๊ยะ ทั้งหอมกรุ่นทั้งกรอบ เพียงดมกลิ่นก็ทำเอาน้ำลายสอแล้ว เหมยเหมยสูดอากาศเข้าเฮือกใหญ่พลางหยิบขนมมาทานหนึ่งชิ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยนเกินไปและหวานกำลังพอดี นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมเข้มข้นของถั่วลิสงอีกด้วย
“อร่อยมากเลย!” เหมยเหมยยกนิ้วโป้งให้บริกรก่อนจะเริ่มทานขนมอย่างเอร็ดอร่อย ขนมหนึ่งคำตามด้วยชาร้อนหนึ่งอึกช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ไม่น้อย
“ขนมมันอร่อยขนาดนั้นเชียว? ฉันลองทานหน่อยแล้วกัน”
โจวจื่อหัวเริ่มอยากทานขึ้นมาเพราะท่าทางการทานของเหมยเหมย เขาเลยหยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมาใส่ปาก ก่อนจะพูดชมไม่ขาดปาก “ไม่เลว รสชาติที่ฉันทานตอนเด็ก ๆคือรสชาตินี้เลย ทำเยอะ ๆหน่อยฉันจะห่อกลับบ้านด้วย”
บริกรโค้งตัวรับอย่างนอบน้อมก่อนถอยออกไปสั่งทำขนมเปี๊ยะไส้ถั่วลิสงตามคำสั่ง
โอหยางซานซานมีท่าทีประหลาดคล้ายกำลังหักห้ามอารมณ์บางอย่างแต่ก็ไม่ได้อยากระงับมาก สีหน้าที่ดูสับสบเหลือเกินนั่นสร้างความคุ้นเคยแก่เหมยเหมยอย่างมาก
“คุณโอหยางไม่ทานดูเหรอ? รสชาติดีมากเลยนะ!”
เธอเลื่อนจานขนมเปี๊ยะไส้ถั่วลิสงไปทางโอหยางซานซาน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น