กระบี่จงมา 178.2-179.1
บทที่ 178.2 ข้ามองเห็นภูเขาลูกหนึ่ง
โดย
ProjectZyphon
ห้าวันต่อมา พายุหิมะเริ่มลดระดับความรุนแรงลง การเดินทางในช่วงหลังจึงไม่ยากลำบากมากเกินไปนัก
ระหว่างนี้คนทั้งสามเดินทางอ้อมผ่านด่านสองแห่งและปล่องส่งสัญญาควันเล็กใหญ่อีกสิบกว่าแห่ง
เฉินผิงอันยังคงหาเรื่องลำบากใส่ตัว ทุกวันนอกจากฝึกวิชาหมัดแล้วยังขอให้เด็กชายชุดเขียวช่วยขัดเกลาศิลปะการต่อสู้ และมักจะถูกฝ่ายหลังต่อยให้จมลึกลงไปในกองหิมะจนมองไม่เห็นตัวคน
ทว่าขอบเขตสองก็ยังคงเป็นขอบเขตสองที่น่าสงสาร การพัฒนาด้านวิถีวรยุทธ์ของเฉินผิงอันนั้นต้องเรียกว่าแม้ฟ้าผ่าก็ยังนิ่งขึงไม่ไหวติงอย่างแท้จริง
เด็กชายชุดเขียวไม่รู้ว่าควรจะสงสารในความโชคร้ายของอีกฝ่าย หรือเจ็บใจในความไม่เอาไหนของอีกฝ่ายดี มีหลายครั้งที่หนักมือไป ทำเอานายท่านที่ดื้อรั้นหัวทึบของเขาปลิวกระเด็นไปดังว่าวที่สายป่านขาด ต้องดิ้นรนอยู่นานกว่าจะลุกขึ้นยืนได้ เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่ชมศึกอยู่ด้านข้างต้องหันหน้าไปทางอื่นด้วยทนมองไม่ไหว
ท่ามกลางการเดินทางกลับบ้านเกิดที่แต่ละวันผ่านพ้นไปอย่างเดิมๆ นี้ หิมะแรกของปีก็ได้ปิดฉากลง ในที่สุดคนทั้งสามก็เดินทางมาถึงเมืองที่ในแผนที่ระบุไว้ว่าชื่ออำเภอเฟิงหย่า เพราะเฉินผิงอันเลือกเส้นทางกลับบ้านที่ผ่านภูเขาทิศตะวันตก ดังนั้นจึงไม่ผ่านเส้นทางที่มีแม่น้ำซิ่วฮวา เมืองหงจู๋และภูเขาฉีตุน
เฉินผิงอันอยากจะเดินทางผ่านสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยให้มากสักหน่อย
อ่านหนังสือหลายๆ เล่ม รู้จักตัวอักษรพันกว่าตัว เดินทางหมื่นลี้ ฝึกหมัดครบหนึ่งล้านครั้ง นี่ก็คือเป้าหมายของเฉินผิงอันในเวลานี้ซึ่งจำเป็นต้องให้เขาเดินออกไปทีละก้าว การเดินทางกลับบ้านเกิดของเฉินผิงอันในครั้งนี้ผ่านไปอย่างคุ้มค่าในทุกๆ วัน แน่นอนว่าต้องเผชิญกับความยากลำบากไม่น้อย เมื่อเทียบกับตอนเดินทางไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาของต้าสุย เขามีเวลาเพิ่มขึ้นกว่าเดิม จึงอาศัยการฝึกวิชาหมัดมาขัดเกลาร่างกาย ใช้โชคชะตามาหล่อหลอมจิตวิญญาณ ดั่งน้ำหยดลงบนหิน ดั่งนกนางแอ่นคาบโคลนมาก่อรังทุกวัน ค่อยๆ ชดเชยส่วนที่สึกหรอไปทีละนิด
เด็กชายชุดเขียวรู้สึกว่าเขาใช้เวลาหมดไปอย่างสิ้นเปลือง แต่เฉินผิงอันสามารถสัมผัสได้ถึงข้อดีของการสั่งสมทีละนิดนี้อย่างชัดเจน ความรู้สึกนี้เหมือนตอนที่เด็กหนุ่มช่างเผาเครื่องปั้นแห่งตรอกหนีผิงขยันทำงานอย่างมุมานะทุกคืนวันแล้วได้เงินเหรียญทองแดงเข้ามาอยู่ในกระเป๋าเพิ่ม ความรู้สึกที่สะสมทรัพย์สมบัติให้เพิ่มพูนขึ้นมาได้ คนอื่นอาจรู้สึกว่าน่าเบื่อ แต่ตัวเฉินผิงอันเองกลับรู้สึกดีอย่างถึงที่สุด!
เข้ามาในตลาดที่คึกคักของอำเภอใกล้ช่วงสิ้นปี เมืองเฟิงหย่าไม่เหมือนกับเมืองอื่นๆ กลิ่นอายปัญญาชนของที่นี่เข้มข้นกว่า เพราะเห็นได้ชัดว่ามีร้านขายหนังสืออยู่เยอะมาก แน่นอนว่าไม่ต้องหวังถึงตำราที่จัดพิมพ์เล่มเดียวหรือหนังสือหายาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหนังสือพิมพ์จากแม่พิมพ์แกะสลักที่ถูกทำขึ้นอย่างหยาบๆ และราคาถูก ตัวอักษรที่แกะสลักผิดและแกะสลักตกหล่นมีเยอะมาก เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็มีสายตาที่มองแต่จุดสูง คนหนึ่งมีชาติกำเนิดสูงส่ง เห็นของดีมาจนชินตา อีกคนหนึ่งก็อยู่กับตำราของเหล่านักปราชญ์เมธีมาตั้งแต่เด็ก
ดังนั้นจึงมีแต่เฉินผิงอันที่เข้าร้านหนังสือเหล่านั้นอย่างจริงจัง เขาชื่นชอบหนังสือชุดชื่อว่า ‘พูดคุยเรื่องภูเขาหยกเผาไหม้หิมะ’ ที่ยาวถึงสิบสองเล่มมากจนวางมือไม่ลง น่าเสียดายที่ที่ว่างในตะกร้าสะพายหลังเหลือไม่มาก ไม่สามารถบรรจุหนังสือชุดใหญ่ขนาดนั้นได้ อีกทั้งราคายังแพงมาก จึงได้แต่ถอยไปเลือกอันดับรองลงมาโดยการซื้อหนังสือของผู้แต่งเฉิงสุ่ยตงที่ชื่อว่า ‘ชุดดาบเหล็กสะบัดเบา’
เจ้าของร้านสูงวัยชื่นชมจากใจจริงว่าคุณชายช่างสายตาเฉียบแหลม จากนั้นก็อธิบายว่านี่คือผลงานของซือหลางเฒ่าแห่งแคว้นหวงถิง ตอนนี้ซื้อเก็บไว้ย่อมไม่ขาดทุนแน่นอน เพราะในตลาดมีข่าวลือว่าอีกไม่นานคนผู้นั้นจะออกมาจากภูเขาอีกครั้งเพื่อรับตำแหน่งรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งใหม่ในต้าหลี
ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันที่กลับบ้านมาพร้อมของเต็มมือเลือกพักในโรงเตี๊ยมที่เรียบง่ายแห่งหนึ่ง เช่าห้องสองห้องที่อยู่ติดกัน ให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพักห้องหนึ่งคนเดียว
เด็กชายชุดเขียวเดินข้ามธรณีประตูตามหลังเฉินผิงอันเข้ามาก็ย่นจมูกทำสีหน้ารังเกียจทันที โบกมือตรงหน้าจมูกตัวเองอย่างแรงเพื่อปัดกลิ่นเหม็นเปรี้ยวที่หมักหมมมานานปีให้สลายออกไป แล้วก็ไม่เสียแรงที่เป็นงูน้ำซึ่งฝึกตนจนมีสติปัญญา กลิ่นที่ไม่ว่าจะเช็ดถูอย่างไรก็ยากจะเจือจางล้วนถูกเด็กชายชุดเขียวขับไล่ออกไปนอกหน้าต่างจนหมด
หลังปิดประตู เฉินผิงอันก็กางแผนที่ทางทิศใต้ของต้าหลีลงบนโต๊ะ เพราะแผนที่ภูมิศาสตร์ที่ถูกปิดบังเป็นความลับแผ่นนี้มักจะมีแค่คนของทางการเท่านั้นที่ได้ครอบครอง หากชาวบ้านมีเก็บไว้ถือเป็นโทษมหันต์ เฉินผิงอันมองเห็นว่าระหว่างอำเภอเฟิงหย่ากับอำเภอหลงเฉวียนถูกขวางกั้นด้วยระยะทางแค่หกร้อยลี้เท่านั้น ครึ่งหนึ่งเป็นถนนทางหลวงที่พวกพ่อค้าใช้กัน อีกครึ่งหนึ่งคือทางน้ำของแม่น้ำชงตั้นที่ค่อนข้างเดินทางได้ยากลำบาก เมื่อเทียบกับหนทางยาวไกลทั้งไปและกลับในครั้งนี้แล้ว ระยะทางหกร้อยลี้จึงเรียกได้ว่าใกล้ในระยะประชิด
เฉินผิงอันกินอาหารเสร็จเรียบร้อยก็เริ่มฝึกท่าเจี้ยนหลู
มีเสียงสบถด่าของสตรีออกเรือนแล้วดังมาพร้อมกับเสียงวิงวอนของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมอยู่เป็นระยะ
ช่างคล้ายกับสภาพการณ์ในตรอกซิ่งฮวา ตรอกหนีผิงที่บ้านเกิดยิ่งนัก
เพียงแต่ว่าตอนนั้นมารดาของกู้ช่านยังอยู่ แม่ย่าหม่าที่ปากคอเราะร้ายยังไม่ตาย ทุกวันจะต้องมีเสียงท่องตำราของเด็กนักเรียนในโรงเรียนดังแว่วๆ มายังบ่อโซ่เหล็ก
เมื่อกลับไปครานี้ ต้นไหวโบราณไม่อยู่แล้ว คนเฝ้าประตูก็ไม่อยู่แล้ว วันที่สามสิบก่อนสิ้นปีของปีนี้ หน้าประตูบ้านของเพื่อนบ้านในตรอกหนีผิงถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่มีกลอนคู่อวยพรวันปีใหม่ที่เต็มไปด้วยความมงคลมาแปะ
เฉินผิงอันถอนหายใจ เก็บท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง หยิบตัวอ่อนกระบี่สีเงินก้อนนั้นออกมาจากในกระเป๋าเล็กๆ ที่ตั้งใจเย็บเพิ่มไว้ในชายแขนเสื้อ เอามาถือในกำมือแล้วลูบคลึงเบาๆ
จู่ๆ เด็กชายชุดเขียวก็ตวาดเดือดดาลอย่างไร้สาเหตุ “รนหาที่ตาย!”
เฉินผิงอันได้ยินเสียงจึงหันไปมอง เห็นเพียงว่าเด็กชายชุดเขียวใช้สองนิ้วคีบกลุ่มควันสีเทาที่ล่องลอยกลุ่มหนึ่ง แล้วพลันบีบแน่นจนเกิดเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ ควันเทาเริ่มสลายหายไป พอจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาเลือนๆ
เห็นสีหน้าสงสัยของเฉินผิงอัน เด็กชายชุดเขียวก็รีบนำเสนอความดีความชอบอย่างร่าเริงทันที “นายท่าน ปีศาจน้อยที่ไม่รู้จักกลัวตายตัวนี้ถูกข้าบีบจนระเบิดไปแล้ว! กล้ามาก่อกวนในถิ่นของนายท่าน คงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ!”
เด็กชายชุดเขียวชี้ไปยังควันที่สลายไปรอบด้าน “มันมีชื่อว่าปีศาจข้างหมอน ไม่มีร่างที่แท้จริง ที่ใดก็ตามที่เจ้าตัวนี้ผ่านไปจะเกิดกระแสลมเล็กน้อย ซึ่งเป็นหนึ่งในลมชั่วร้ายมากมายที่มีอยู่ในโลก มันชอบตามหญิงปากตลาดจิตใจชั่วร้ายมากที่สุด เวลาใดที่พวกนางขยับปาก ภูตชนิดนี้ก็จะแอบปรากฏตัวออกมาเก็บรวบรวมลมนั้นมาไว้ สุดท้ายจะสามารถยุยงความสัมพันธ์ระหว่างญาติมิตร โดยเฉพาะสามีภรรยา คำว่าลมข้างหมอนที่พวกชาวบ้านชอบพูดก็มาจากฝีมือการแสดงที่พวกมันถนัดนี่แหละ”
เฉินผิงอันถอนหายใจ พูดยิ้มๆ “วันหน้าหากเจอภูตหรือปีศาจเช่นนี้อีกแค่ขับไล่มันไปก็พอแล้ว ไม่ต้องฆ่าแกงกันหรอก”
เด็กชายชุดเขียวร้องอ้อหนึ่งที เอียงคอถาม “นายท่าน ท่านมีใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์ไม่ใช่หรือ เหตุใดพอเจอกับภูตผีที่สร้างเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ถึงไม่ช่วยทวงคืนความยุติธรรมแทนสวรรค์ล่ะ?”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “อะไรคือช่วยทวงคืนความยุติธรรมแทนสวรรค์ ข้าไม่ได้มีความสามารถมากขนาดนั้น…”
แต่แล้วเฉินผิงอันก็รีบหยุดพูด ไม่เอ่ยอะไรอีก
เด็กชายชุดเขียวพลันเกิดความรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก
เพราะไม่ได้ยินหลักการใหญ่จากนายท่านผู้เป็นคนดีเกินเหตุ
เมื่อก่อนที่ได้ฟังมักจะรู้สึกเบื่อหน่ายและรำคาญ แต่หลังจากครานั้นที่อยู่ในศาลเทพฝ่ายบู๊ เฉินผิงอันก็ไม่เคยพูดถึงอีกแม้แต่ครั้งเดียว และนั่นถึงกับทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งกว่าเดิม
เด็กชายชุดเขียวนอนฟุบอยู่บนโต๊ะครู่หนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองป่วยไม่เบาจึงปีนขึ้นไปบนโต๊ะมันเสียเลย จากนั้นนอนกางแขนกางขา ลืมตามองเพดานอย่างหมดอาลัยตายอยาก เห็นใยแมงมุมรังเล็กๆ ที่ไม่มีเจ้าของอยู่เฝ้า มองอยู่นานก่อนที่เด็กชายชุดเขียวจะพลิกตัวกลับไปกลับมาบนโต๊ะ
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่อยู่อีกห้องปูผ้าบนเตียงเรียบร้อยแล้วก็วิ่งมาจัดการให้กับนายท่าน ไม่ลืมที่จะสะพายหีบหนังสือของชุยตงซานมาด้วย ตลอดระยะทางที่นอนกลางดินกินกลางทราย นางคอยปกป้องหีบหนังสือไว้ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่า การร่ายวิชาอภินิหารของเด็กหนุ่มชุดขาวในหอหนังสือสกุลเฉาแห่งจือหลันในครั้งนั้นได้สร้างเงามืดไว้ในใจนางใหญ่เท่าใด
เฉินผิงอันเก็บ ‘ก้อนเงิน’ ก้อนนั้นกลับไปไว้ที่เดิมอีกครั้ง เดินมาทางโต๊ะ เด็กชายชุดเขียวรีบกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ เฉินผิงอันหยิบหนังสือ ‘ชุดดาบเหล็กสะบัดเบา’ ที่ยังคงมีกลิ่นหอมของหมึกออกมาจากตะกร้าสะพายหลัง เด็กชายชุดเขียวกุลีกุจอยกตะเกียงน้ำมันมาให้ ช่วยจุดไส้ตะเกียงให้ นายบ่าวสามคนแยกกันนั่งคนละฝั่ง
เด็กชายชุดเขียวไม่กล้ารบกวนเฉินผิงอันที่กำลังอ่านหนังสือ จึงหันไปถามเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยรอยยิ้ม “อีกไม่นานก็จะได้กินหินดีงูก้อนหนึ่งแล้วเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลาง ดีใจมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
มีเฉินผิงอันอยู่ข้างกาย ความกล้าของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูจึงมีมากกว่ายามปกติ “เจ้าอย่าได้หวังว่าจะฮุบหินดีงูก้อนนั้นของข้าไปได้”
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะหึหึ “นายท่านบอกข้าเป็นการส่วนตัวแล้วว่า หินดีงูมีการแบ่งขนาดเล็กใหญ่และระดับสูงต่ำ ตลอดทางมานี้เด็กโง่อย่างเจ้าไม่มีคุณความชอบแล้วก็ไม่มีคุณความเหนื่อยยาก ไร้ประโยชน์ที่สุด ดังนั้นจะให้ก้อนที่แย่ที่สุดและเล็กที่สุดกับเจ้า ข้าป้อนหมัดให้นายท่านเยอะขนาดนั้น ก้อนที่ข้าจะได้จึงใหญ่ที่สุดและดีที่สุด ก้อนหนึ่งใหญ่กว่าก้อนของเจ้าสิบเท่า”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหันขวับไปมองเฉินผิงอันทันใด
เฉินผิงอันเปิดหนังสือไปอีกหน้าหนึ่งพลางพูดยิ้มๆ “อย่าไปฟังเขาพูดเหลวไหล”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถลึงตาใส่เด็กชายชุดเขียวที่รายงานข่าวเท็จ
เด็กชายชุดเขียวตบโต๊ะดังป้าบ “จะก่อกบฏรึ?!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูย้ายมานั่งข้างเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเคยชินเสียแล้วจึงไม่ได้จงใจพูดเข้าข้างงูหลามไฟน้อย เพียงแค่อ่านหนังสือไปเงียบๆ
อาศัยแสงเหลืองสลัวรองจากตะเกียงน้ำมันดวงนั้น เฉินผิงอันพลิกเปิดหน้าหนังสือไปทีละหน้า ระหว่างนั้นยังหยิบเอาแผ่นไม้ไผ่ของเขาฉีตุนแผ่นหนึ่งที่เหลืออยู่ และมีดแกะสลักอันเล็กที่เจ้าของร้านขายปิ่นหยกมอบให้ออกมา เมื่ออ่านพบประโยคดีๆ สะดุดใจก็จะใช้มีดแกะสลักลงไปบนแผ่นไม้ไผ่
เด็กชายชุดเขียวเอาแก้มแนบโต๊ะ กลอกตาไปมา ทำท่าลับๆ ล่อๆ
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่กล้าสบตากับเขาเลยขยับเข้าไปใกล้นายท่านของตัวเอง มองดูเฉินผิงอันอ่านหนังสือหรือไม่ก็สลักตัวอักษร
เฉินผิงอันพลันขมวดคิ้วแน่น ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ถามว่า “ในหนังสือบอกว่าเมื่อร่ำรวยมีเงินทองแล้วควรต้องซ่อมถนนสร้างสะพาน ห้ามสร้างสุสานหรูหราขนาดใหญ่ยักษ์”
เด็กชายชุดเขียวพ่นเสียงขึ้นจมูก แต่ไม่ได้พูดอะไร ยังคงวางท่าเหมือนคนกึ่งตายอยู่อย่างนั้น
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพยักหน้าเอ่ยเสียงเบา “นายท่าน บัณฑิตบางคนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ หวังว่าพอมีเงินแล้วจะทำบุญสะสมความดี สร้างประโยชน์และความสุขต่อบ้านเมือง”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อกลับไปถึงบ้านเกิดจะรีบทุ่มเงินสร้างสุสานขนาดใหญ่ให้กับบิดามารดาก่อนจะถึงวันสิ้นปี เอาให้ยิ่งใหญ่อลังการ ไม่ต้องเป็นเพียงแค่หลุมศพที่ไม่เหมือนหลุมศพเพราะไม่มีแม้แต่ป้ายหินจารึกด้านหน้าหลุมอีกต่อไป
เด็กชายชุดเขียวอดไม่ไหวจึงเอ่ยขึ้นว่า “นายท่าน ตอนนี้ท่านไม่ใช่บัณฑิตเสียหน่อย จะพิถีพิถันในเรื่องนี้ไปทำไม? อีกอย่างหากเป็นกังวลจริงๆ ก็ซ่อมถนนสร้างสะพานไปพร้อมกันทีเดียวเลยสิ ถึงเวลานั้นข้าจะช่วยท่านเอง พวกเราไม่เพียงแต่จ่ายเงิน ยังออกแรงด้วยตัวเอง สวรรค์ย่อมไม่มีคำตำหนิใดๆ อีก”
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง ปมในใจที่เพิ่งผูกขึ้นถูกคลายออกอย่างรวดเร็ว หันหน้าไปมองเด็กชายชุดเขียว ยกนิ้วโป้งให้ กล่าวอย่างดีใจว่า “ดีเยี่ยม! เจ้าพูดถูกแล้ว!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูดีใจไปพร้อมนายท่านของนางด้วย
เด็กชายชุดเขียวอึ้งตะลึง ก่อนจะรีบก้มหน้าลงเพราะเกือบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
……
เดินไปเดินมา เดินผ่านทางหลวงและทางน้ำ ในที่สุดหนึ่งผู้ใหญ่สองเด็กที่อยู่ร่วมกันอย่างปรองดองก็มองเห็นเค้าโครงของภูเขาสูงลูกหนึ่งที่ตั้งตระหง่านค่อนข้างโดดเดี่ยว
เฉินผิงอันหยุดเดิน ยื่นมือซ้ายขวาออกไปตบศีรษะของเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเบาๆ จากนั้นค่อยชี้ไปที่ภูเขาลูกใหญ่ เขามองภูเขาขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่าภูเขาลั่วพั่วด้วยรอยยิ้ม คราวนี้เฉินผิงอันไม่กั๊กรอยยิ้มเอาไว้เลยแม้แต่น้อย “ถึงบ้านแล้ว! บ้านของข้า!”
—————————–
จบภาคสอง เด็กหนุ่มแห่งขุนเขาและสายน้ำ
ภาค 3 บทที่ 179.1 เติมดิน
โดย
ProjectZyphon
พอเห็นภูเขาของบ้านตัวเอง เฉินผิงอันก็เริ่มซอยเท้าวิ่งตะบึง ไม่มัวเดินนิ่งยืนนิ่งอะไรอีกแล้ว ไม่มีความรู้สึกว่ายิ่งใกล้ถึงบ้านก็ยิ่งอารมณ์ซับซ้อน เฉินผิงอันเอาแต่ก้มหน้าก้มตาวิ่ง เพราะไหล่ขยับขึ้นลงไม่หยุดนิ่ง ดินหลายถุงที่กินพื้นที่มากที่สุดในตะกร้าไม้ไผ่ซึ่งวางทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ จึงกระทบกันส่งเสียงแสกสากตามไปด้วย
เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูวิ่งตุปัดตุเป๋ตามมาด้านหลัง ฝ่ายแรกหันซ้ายหันขวามองไปทั่ว อันที่จริงตอนที่ขยับเข้ามาใกล้ขอบเขตของต้าหลี ทั้งสองคนต่างก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างของปราณวิญญาณแต่แรกแล้ว พวกเขารู้สึกโปร่งสบายไปทั่วร่าง และภูเขาใหญ่ที่เห็นอยู่ในม่านดวงตาก็ทำให้งูน้ำกลืนน้ำลายไม่หยุด เรียกได้ว่าน้ำลายสอด้วยความอยากได้ ราวกับมองเห็นอาหารเลิศรสที่จัดวางเต็มแน่นอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่
ก่อนหน้านี้เด็กชายชุดเขียวเคยเอ่ยถึงโดยบังเอิญว่า การกินเมฆดื่มน้ำค้างของเจียวและมังกรอย่างพวกเขาเป็นเพียงแค่วิธีการฝึกตนระดับล่าง พัฒนาได้อย่างเชื่องช้า มีเพียงหลอมละลายรากภูเขาและโชคชะตาแห่งสายน้ำถึงจะเป็นวิธีการที่ถูกต้องซึ่งช่วยให้การก้าวเดินบนมหามรรคารุดหน้าว่องไว
น่าเสียดายก็แต่ภูเขาใหญ่มีชื่อเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณ หากไม่ถูกตระกูลเซียนยึดครอง มองเป็นพื้นที่หวงห้าม ก็จะต้องมีศาลเทพต่างๆ ที่ทางราชสำนักแต่งตั้งมาสร้างไว้นานแล้ว ต่อให้เป็นปีศาจใหญ่แห่งสายน้ำที่มีตบะไม่ธรรมดาอย่างเด็กชายชุดเขียวก็ยังไม่กล้าอาจเอื้อม เพราะยิ่งเป็นภูตผีปีศาจ แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงการพิสูจน์ความเป็นอมตะบนมรรคาแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่สหายรู้ใจบนเส้นทางของการฝึกตนเลย เกรงว่าแม้แต่พ่อแม่แท้ๆ ก็ยังไม่อาจยอมให้ได้
กลับมามองงูหลามไฟที่ถูกอาบย้อมด้วยกลิ่นอายของตำรามาตั้งแต่เด็ก นางสำรวมกว่าเด็กชายชุดเขียวมาก เห็นได้ชัดว่าแม้จะเป็นสาขาเผ่าพันธ์ของเจียวและมังกรเหมือนกัน แต่โอกาสในการพิสูจน์มรรคาของทั้งสองกลับต่างกันมาก
ขยับเข้าใกล้ตีนเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันชะลอฝีเท้าลง เขาที่สายตาดีเยี่ยมค้นพบว่าบนภูเขามีฝุ่นตลบคลุ้งอยู่หลายจุด นี่ทำให้เฉินผิงอันใจกระตุก ตามหลักแล้วภูเขาลั่วพั่วมีอริยะอย่างช่างหร่วนช่วยดูแลให้ ไม่ควรมีเรื่องไม่คาดฝันถึงจะถูก ก่อนหน้านี้เว่ยป้อเทพแห่งผืนดินของภูเขาฉีตุนเคยรับปากว่าจะมาสร้างเรือนไม้ไผ่อยู่บนภูเขาลูกนี้ก็จริง แต่เรือนไม้ไผ่เล็กๆ เรือนเดียว จะอย่างไรก็ควรสร้างเสร็จไปนานแล้ว และเว่ยป้อก็น่าจะกลับไปยังที่พำนักของตัวเอง ไม่ควรรั้งรออยู่ที่นี่เป็นเวลานาน แล้วเหตุใดเวลานี้บนภูเขาลั่วพั่วถึงยังมีการก่อสร้างใหญ่โตเกิดขึ้นอีก?
หรือว่างูดำไม่ยอมเปลี่ยนนิสัยชั่วร้าย กินคนไม่เลือกอยู่บนภูเขาของตน เลยถูกที่ว่าการอำเภอส่งคนขึ้นเขามาล้อมจับ?
ขณะที่เฉินผิงอันร้อนใจเตรียมจะให้เด็กชายชุดเขียวกลับคืนสู่ร่างจริงเพื่อขึ้นเขาไปด้วยความเร็วที่มากที่สุด จู่ๆ กลับนึกถึงประโยคหนึ่งที่อ่านเจอจากในหนังสือเมื่อไม่นานมานี้ เป็นหลักการที่บอกไว้ว่าไม่ว่าเจอเรื่องอะไรอย่าตระหนกลนลาน ถ้อยคำนั้นกล่าวไว้ได้อย่างงดงาม เพียงแค่อ่านออกเสียงสองรอบก็สามารถทำให้กลิ่นอายบ้านนอกของเฉินผิงอันลดน้อยลงไปได้หลายส่วน ก่อนหน้านี้เขายังตั้งใจสลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ฝืนสงบสติอารมณ์ บอกกับตัวเองเบาๆ ว่า “ไม่ต้องรีบร้อนๆ หลักการในหนังสือ แท้จริงแล้วก็เหมือนกับหลักการของการขึ้นรูปเผาเครื่องปั้น”
ขณะที่เตรียมจะเดินขึ้นเขา เฉินผิงอันพลันตาพร่าลาย เพ่งมองไปก็ค้นพบว่ามีคนคุ้นเคยสวมชุดสีขาวมายืนยิ้มแต้อยู่ตรงตีนเขา เลยหลุดปากเรียกออกไป “เว่ยป้อ!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเกือบจะหลุดร้องว้าว ความรู้สึกตกตะลึงยิ่งเพิ่มเป็นเท่าตัว นี่เป็นเทพเซียนคนที่สองที่นางได้พบมาในชีวิตหลังจากเคยพบเด็กหนุ่มชุยฉานมาแล้ว รูปโฉมของอีกฝ่ายงดงามจนไร้คำบรรยาย แล้วนางก็พลันรู้สึกเขินอาย รีบขยับไปหลบอยู่ด้านหลังนายท่านของตัวเอง
เด็กชายชุดเขียวอึ้งค้างอยู่กับที่ แล้วจากนั้นก็หันมาถามด้วยท่าทางดุดัน “นายท่าน ไอ้หมอนี่แย่งถิ่นของท่านหรือ?”
“ย่อมไม่ใช่”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มๆ มองไปทางเทพแห่งผืนดินที่มาดของความสง่างามเห็นเด่นชัดยิ่งกว่าตอนอยู่ภูเขาฉีตุนแล้วถามด้วยความใคร่รู้ “ทำไมยังอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วอีกเล่า? สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำอย่างพวกเจ้าไม่ใช่ว่าไม่ควรอยู่ห่างจากเขตแดนของตัวเองนานเกินหรอกหรือ?”
เว่ยป้อยิ้มตาหยี “บังเอิญจริง ตอนนี้ข้าย้ายมาอยู่ภูเขาพีอวิ๋นแล้ว เป็นเพื่อนบ้านกับเจ้า เฉินผิงอัน วันหน้าต้องให้การดูแลข้าน้อยมากๆ ด้วยนะ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ อดีตเทพแห่งขุนเขาเหนือของแคว้นสุ่ยเสินที่แท่นบูชาเคยถูกลดระดับ ซึ่งตอนนี้กำลังจะกลายเป็นองค์เทพผู้ทรงเกียรติแห่งขุนเขาเหนือของต้าหลีกลับล้อเล่นเฉินผิงอันเล่นด้วยการกุมมือคารวะเขา
เฉินผิงอันไม่กล้ารับการคารวะนี้ จึงเบี่ยงตัวหลบ ถามยิ้มๆ “เรือนไม้ไผ่สร้างเสร็จหรือยัง?”
เว่ยป้อยืดเอวตรง พยักหน้ารับ “ทำเสร็จแล้ว รับรองว่าไม่มีอู้งาน อยู่บนเขาลั่วพั่วนี่แหละ ข้าพาเจ้าไปดูดีไหม? เดิมทีเลือกพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่ให้มันสามารถหยั่งรากปักฐานได้ง่ายที่สุดไว้แล้ว แต่กลับถูกศาลเทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่วมายึดไปก่อน เลยต้องเปลี่ยนที่ใหม่ แต่ก็ไม่ได้แย่กว่ากันสักเท่าไหร่ การมองเห็นกว้างไกล ฟ้าสูงแผ่นดินไพศาล ทิวทัศน์งดงามอย่างมาก ตลอดปีที่ผ่านมานี้ไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่มีข้าก็ล้วนไปอยู่ที่นั่น เจ้าห้ามข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน ขับไล่ข้าไปที่อื่นนะ”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกว่าคนตรงหน้าหล่อเหลามาก แต่ไม่คิดเลยว่าจะนิสัยดีด้วย แล้วจากนั้นเด็กหญิงก็รู้สึกภาคภูมิใจว่านายท่านของตัวเองช่างร้ายกาจ แม้แต่สหายที่สนิทสนมก็ยังสง่างามเพียบพร้อมปานนี้
เด็กชายชุดเขียวยิ่งมองก็ยิ่งร้อนตัว แล้วทันใดนั้นเว่ยป้อผู้สวมชุดขาวก็หันมาแยกเขี้ยวทำท่าข่มขู่ใส่เขาอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ทำเอาเด็กชายชุดเขียวตกใจผงะถอยออกไปสิบกว่าจั้ง เว่ยป้อหัวเราะเสียงดัง “บวกกับงูดำบนภูเขาตัวนั้น ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราคงคึกคักน่าดู”
เฉินผิงอันแก้ไขประโยคด้วยสีหน้าจริงจัง “ภูเขาลั่วพั่วไม่ใช่ของเจ้า”
เว่ยป้อเถียงไม่ออก “ใช่ๆๆ เจ้าเฉินผิงอันถึงจะเป็นเจ้าบ้าน ข้าคือแขก พอใจหรือยัง?”
คนทั้งกลุ่มเริ่มพากันเดินขึ้นเขา เว่ยป้อช่วยอธิบายให้เฉินผิงอันฟังอย่างคนที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี “ตอนนี้ภูเขาน้อยใหญ่แถบตะวันตกของเมืองเล็กล้วนเป็นดอกไม้งามที่มีเจ้าของหมดแล้ว ทุกที่ล้วนมีการไถดินก่อสร้าง ผู้คนง่วนอยู่กับงานการเปิดภูเขา นอกจากบุกเบิกเส้นทางบนภูเขาแล้ว ยังมีการสร้างศาลา ฯลฯ ด้วย
ภูเขาที่มีศาลเทพภูเขาอย่างลั่วพั่วนี้ก็ยิ่งมีงานมากมายให้ต้องทำ กรมโยธาธิการของราชสำนักต้าหลีรับผิดชอบทุ่มเงินมหาศาล นอกจากนักโทษผู้ลี้ภัยเกือบหมื่นคนของราชวงศ์สกุลหลูที่สามารถควบคุมได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว ที่ว่าการสองแห่งของเขตการปกครองและอำเภอหลงเฉวียนยังจ้างชายฉกรรจ์คนหนุ่มในพื้นที่ของพวกเจ้ามาเพิ่มอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ช่วยกันสร้างจวนตระกูลเซียนหลายแห่ง ท่าทางของพวกเขาราวกับว่าหากสร้างดินแดนเซียนบนโลกมนุษย์ไม่ได้ก็จะไม่ยอมเลิกรา สิ้นเปลืองทั้งทรัพยากรและกำลังคนไม่น้อย”
เว่ยป้อชี้ไปยังพื้นดินสีเหลืองที่กว้างขวาง “วันหน้าที่นี่จะถูกปูด้วยแผ่นหินที่ขนส่งมาจากต่างถิ่น และมีแต่จะดีกว่า ไม่มีแย่กว่าพื้นหินสีเขียวในถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่”
เฉินผิงอันถามอย่างระมัดระวัง “ไม่จำเป็นต้องให้ข้าออกเงินเอง?”
เว่ยป้อยิ้มพลางชี้ไปยังจุดสูง “ขอแค่เจ้าไม่คิดจะสร้างสะพานขึงกลางอากาศเชื่อมโยงเข้ากับภูเขาแห่งอื่นก็ไม่ต้องให้เจ้าจ่ายเงินแม้แต่แดงเดียว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างตกตะลึง “หรือว่ามีคนทำแบบนั้นจริงๆ?”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ “มีสิ ไม่ใช่แค่ตระกูลสองตระกูลด้วย ระหว่างภูเขาหลายลูกทางทิศเหนือได้มีหลายตระกูลร่วมกันสร้าง หรือไม่ก็จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อจ้างผู้ฝึกลมปราณที่มีหน้าที่สร้างถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลโดยเฉพาะให้มาเริ่มสร้างสะพานยาวกันแล้ว สะพานหนึ่งแห่งในนั้นยังไม่ใช่สะพานเหล็กขึงหรือสะพานไม้ด้วย แต่เป็นสะพานหิน ได้ยินว่าก้อนหินสีคล้ายคลึงกันถูกงมขึ้นมาจากในทะเลสาบ คาดว่าตั้งแต่เริ่มจนจบ จะอย่างไรก็ต้องจ่ายเงินไปกว่าล้านตำลึงเงิน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมยอดเยี่ยม เดินบนสะพานหิน หมอกควันโอบล้อม ล่องลอยดุจเซียน ชมพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก ก้อนเมฆม้วนเข้าคลายออกอยู่บนนั้น แม้แต่ข้าก็ยังหวั่นไหว”
เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “ที่แท้พวกเขาก็มีเงินมากถึงขนาดนี้”
เว่ยป้อพูดหยอก “หากเจ้ายินดีขายยอดเขาเฟิงอวิ๋นหรือภูเขาเซียนฉ่าวสักลูกก็จะกลายเป็นมหาเศรษฐีได้ทันที แล้วก็จะฟุ่มเฟือยได้เต็มที่”
เฉินผิงอันพูดเสียงขุ่น “คิดอะไรอยู่น่ะ ข้าจะต้องการหน้าตาที่มีดีแต่เปลือกนอกอย่างนั้นไปทำไม ภูเขาแต่ละลูกต่างหากที่ถึงจะเป็นรากฐานในการหยัดยืน”
เว่ยป้อหัวเราะร่าเสียงดัง
คนเห็นแก่เงินก็ยังคงเป็นคนเห็นแก่เงิน
ขอบเขตสองก็ยังคงเป็นขอบเขตสอง
รองเท้าสานถูกเปลี่ยนไปแล้วหลายคู่ ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่มคนเดิม
ยิ่งมองเว่ยป้อ เด็กชายชุดเขียวก็ยิ่งเกลียดขี้หน้า ใจอยากจะถีบก้นเจ้าหมอนี่ให้หน้าทิ่มขี้หมาไปเลย!
ตลอดทางที่เดินขึ้นเขาได้เห็นนักโทษและชาวบ้านผู้ลี้ภัยของราชวงศ์สกุลหลูอยู่หลายกลุ่ม มีทั้งแก่มีทั้งเด็ก มีทั้งชายฉกรรจ์มีทั้งหญิงที่แต่งงานแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนใบหน้าแห้งตอบ สีหน้าอิดโรย แต่ทหารของต้าหลีที่เฝ้าตรวจสอบงานอยู่ด้านข้างน่าจะได้รับคำสั่งมาจากทางราชสำนัก จึงไม่ได้จงใจสร้างความลำบากใจให้แก่เหล่านักโทษที่แคว้นล่มสลาย คนแก่อ่อนแอบางส่วนที่เป็นลมหมดสติก็จะมีเพื่อนสนิทประคองให้ไปนั่งใกล้เตาไฟร้อนระอุ แล้วป้อนอาหาร ป้อนน้ำอุ่นให้กิน
เว่ยป้อพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ตอนแรกเริ่มไม่ได้มีภาพเหตุการณ์ดีๆ แบบนี้หรอกนะ เวลาสั้นๆ เพียงแค่สองเดือน นักโทษสกุลหลูที่เหนื่อยตาย แข็งตาย สะดุดล้มตาย แน่นอนว่ายังมีคนที่ถูกตีตายและฆ่าตัวตายเพราะไม่อาจทนรับความอัปยศได้มีมากถึงหกร้อยกว่าคน ภายหลังอู๋ยวนที่ได้เลื่อนตำแหน่งรับหน้าที่เป็นผู้ว่าการหลงเฉวียนยอมเสี่ยงให้หมวกขุนนางหลุดออกจากหัว เสนอฎีกาฉบับหนึ่งไปให้ทางราชสำนัก นั่นถึงหยุดสถานการณ์ที่จำนวนชาวบ้านผู้ลี้ภัยลดฮวบลงไว้ได้”
เฉินผิงอันคลางแคลงใจ “ผู้ว่าการ?”
——————————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น