ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 178-181

 ตอนที่ 178 สายลับกับเขาเซียนทอแสง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ไม่ได้ ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อหลายปีก่อน อิทธิพลใหญ่หลายกลุ่มต่างก็ค่อนข้างให้ความสนใจกับพวกเราแล้ว ถ้ามีผู้ฝึกฝนอิสระหายไปอีกล่ะก็ เกรงว่าคงจะทำให้พวกเขาระวังตัวมากขึ้น ใช้ตัวตนที่เปิดเผยของพวกเราดึงผู้ฝึกฝนอิสระเข้าจวนจะดีกว่า จากนั้นก็ทำให้พวกเขาหายไปอย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว” เงาดำรูปร่างสูงใหญ่ส่ายหน้ากล่าวออกมา


“ในเมื่อมีวิธีที่เชื่อถือได้มากกว่า ข้าย่อมไม่ขัดข้อง ใช่สิ! ทางด้านราชสำนักไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม? ทำไมข้าถึงได้ยินข่าวคราวมาว่าแขกระดับจิตวิญญาณทองคำก็เหมือนจะเริ่มสืบค้นเรื่องของพวกเราแล้ว” เงาดำเงาสุดท้ายพยักหน้า และถามออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“แขกระดับจิตวิญญาณทองคำ! นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยากเข้าแล้ว แขกในราชสำนักเหล่านี้ พอเรากระทบโดนคนหนึ่งก็เท่ากับกระทบโดนรังแตนทั้งรัง พวกเขาเหมือนจะเป็นแขกของราชสำนัก แต่แท้ที่จริงแล้วทำงานให้เชื้อราชวงศ์มากกว่า แต่ถ้าคนในราชสำนักให้ความสนใจพวกเราล่ะก็ เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะไม่ได้รับข่าวนี้ ตอนนี้คงจะเป็นการกระทำของแขกบางคนมากกว่า เอาอย่างนี้เถอะ! กลับไปข้าจะหาคนสืบหาต้นตอของข่าวนี้แล้วค่อยว่ากันอีกที แต่ก่อนอื่นอย่าเพิ่งไปยั่วเย้าแขกระดับจิตวิญญาณทองคำเหล่านั้น เชื้อพระวงศ์แตกต่างกับนิกายทั้งห้าที่อยู่ห่างไกลหมื่นพันลี้ หากรู้เรื่องพวกเราทั้งหมดล่ะก็ เกรงว่าคงจะลงมือในทันที และคงจะจัดการพวกเราด้วยความยินดี อีกอย่างด้วยอำนาจของเชื้อพระวงค์ในแคว้นต้าเสวียน เกรงว่าคงจะแอบฝึกฝนอาจารย์จิตวิญญาณของตนเองอย่างเงียบๆ ตั้งนานแล้ว เพียงแค่ไม่กล้าให้พวกเขาโผล่หน้าออกมาเท่านั้น” เงาดำรูปร่างสูงใหญ่กล่าวออกมา


“อะไรนะ เชื้อพระวงศ์มีอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว เจ้าได้ยินข่าวอะไรมา?” เงาดำคนที่สองกล่าวออกมาด้วยความตกใจ


“เรื่องนี้ข้าไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดมายืนยัน เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น” เงาดำรูปร่างสูงใหญ่ส่ายหน้ากล่าวออกมา


“ต่อให้จะเป็นเรื่องจริง อาจารย์จิตวิญญาณของเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ก็ไม่น่าหวาดกลัวเท่าใดนัก เพียงแค่พวกเขาเผยร่องรอยต่อหน้าผู้คนเพียงหนึ่งคน เกรงว่าสิ่งแรกที่นิกายใหญ่ทั้งห้าจะทำคือกำจัดทั้งราชวงศ์ เอาอย่างนี้เถอะ! กลับไปข้าจะให้คนของข้าหลบเลี่ยงแขกระดับจิตวิญญาณทองคำนี้ให้มากที่สุด ดีที่แค่ต้องอดทนให้พ้นครึ่งปีนี้ไปเท่านั้น ทุกอย่างก็จะจบลงอย่างราบเรียบ” เงาดำคนสุดท้ายเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา


“อืม! คงได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว” เงาดำคนที่สองถอนหายใจกล่าวออกมา


ต่อมาทั้งสามก็คุยกันต่อซักพักแล้วก็พากันลุกขึ้นไปและออกไปจากโถงใหญ่


……


เมื่อหลิ่วหมิงกลับเข้าเสวียนจิงอีกครั้ง ก็เป็นช่วงเวลาบ่ายแล้ว


ตอนนี้เขากลายเป็นนักพรตวัยกลางคนที่มีหนวดเครายาว และกำลังเดินอยู่บนถนนของเสวียนจิงที่ดูคึกคักสายหนึ่ง


ทันใดนั้นเขาก็ขยับตัวเลี้ยวไปยังตรอกด้านข้างที่ดูธรรมดาตรอกหนึ่ง


ตรอกนี้นับว่าไม่ลึกมาก แต่ทั้งสองด้านกลับมีร้านค้าเจ็ดแปดแห่งที่มีเครื่องหมายแบบต่างๆ


หลิ่วหมิงเดินเข้าไปไม่กี่เก้า ก็มาหยุดอยู่หน้าร้านขายโลงที่มีธงสีขาวแขวนอยู่ แล้วเดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน


“ลูกค้า ท่านต้องการสั่งซื้อโลงไม้?”


ชายวัยกลางคนหลังค่อมกำลังขัดโลงไม้ด้วยสีเคลือบเงาสีดำ พอเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็รีบวางสิ่งของในมือแล้วเดินมากระแอมไอก่อนกล่าว


หลิ่วหมิงพินิจดูชายหลังค่อมตรงหน้าสองสามทีแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาหยิบป้ายที่เปล่งประกายแสงสีเงินแวววาวออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นไปด้านหน้า


พอชายหลังค่อมที่มีสีหน้านิ่งสงบได้เห็นแผ่นป้าย สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป และขยับตัวปิดประตูร้านด้วยความรวดเร็ว


จากนั้นเขาก็กลับมายืนตรงหน้าหลิ่วหมิง และหยิบป้ายเหล็กสีดำออกมาจากตัว


ดูจากขนาดรูปร่างของมัน นอกจากสีที่แตกต่างแล้ว อย่างอื่นก็ดูคล้ายกับป้ายของหลิ่วหมิงเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงกระตุกหางคิ้ว และสะบัดข้อมือ โยนป้ายเงินออกไป


ชายหลังค่อมเห็นเช่นนี้ ก็โยนป้ายเหล็กสีดำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


หลิ่วหมิงคว้าป้ายเหล็กสีดำไว้แน่น เขากวาดตาดูผ่านๆ แล้วก็ส่งพลังเวทย์เข้าไปเล็กน้อย


ค่ายกลอักขระสีดำปรากฏขึ้นบนป้ายเหล็ก และมีอักขระสีดำแปลกประหลาดหลายตัวลอยขึ้นมา


หลังจากที่หลิ่วหมิงดูอักขระเหล่านี้จนชัดเจนแล้ว ถึงพยักหน้าแล้วเก็บพลังเวทย์เข้าไป แสงบนป้ายเหล็กก็ดับลงแล้วกลับคืนสภาพดังเดิม


เวลานี้ ชายหลังค่อมผู้นั้นกลับหยิบขวดเล็กๆ ออกมาใบหนึ่ง และเทของเหลวอะไรบางอย่างลงบนป้ายเงิน หลังจากที่ตรวจดูสิ่งของบนมืออย่างละเอียดแล้ว ถึงโยนป้ายเงินคืนหลิ่วหมิงอย่างโล่งอก


“สถานะของท่านถูกต้อง ข้าเป็นสายลับที่ทางนิกายเตรียมไว้ คิดว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับคนในนิกายเสียแล้ว”


“ข้าเป็นผู้ที่มารับภารกิจศิษย์ตรวจตราเสวียนจิงคนใหม่ เจ้ารู้เรื่องที่ศิษย์ตรวจตราคนก่อนหายไปหรือไม่?” หลิ่วหมิงโยนป้ายเหล็กสีดำคืนให้ให้ฝ่ายตรงข้ามแล้วกล่าวด้วยสีหน้าปกติ


“ใยท่านต้องใช้คำพูดทดสอบข้าด้วยเล่า! ข้าเป็นสายลับของนิกาย พลังเวทย์แต่เดิมได้ถูกทำลายไปนานแล้ว ปกติไม่สามารถสืบหาเรื่องราวใดๆ ได้ และก็ไม่ได้พบเจอกับศิษย์จิตวิญญาณคนใด เป็นแค่คนธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่ในเสวียนจิงเท่านั้น มีประโยชน์อย่างเดียวคือเป็นช่องทางติดต่อนิกายให้กับคนอย่างท่านในเวลาสำคัญเท่านั้น ในเมื่อท่านมาหาข้า ดูท่าช่องทางการติดต่อที่เปิดเผยคงจะถูกทำลายไปแล้ว” ชายหลังค่อมกล่าวอย่างช้าๆ


“ดีมาก! เจ้าเก็บซ่อนตัวตนได้ดีมาก มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่อยู่รอดมาจนถึงตอนนี้” หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด แต่กลับพยักหน้ากล่าวชื่นชม


“ท่านตามข้ามาเถอะ! ค่ายกลที่สามารถติดต่อกับนิกายได้ถูกซ่อนอยู่ใต้ดิน ข้าได้ลงไปตรวจสอบทุกปีเว้นปี แต่การใช้งานครั้งล่าสุดคือเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว” ชายหลังค่อมถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา


หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วเดินตามเขาไปหลังร้าน


พวกเขาเดินทะลุลานเล็กๆ แล้วเดินเข้าไปห้องที่ดูธรรมดาๆ


ห้องนี้ไม่กว้างมากนัก นอกจากมีเตียงหลังหนึ่ง โต๊ะหนึ่งตัว กับเก้าอี้สองตัวแล้ว ก็ไม่มีเครื่องเรือนอื่นๆ อีก


ชายหลังค่อมก้าวไปที่เตียงไม่กี่ก้าว และใช้มือทั้งสองออกแรงดึงกลไกที่อยู่ใต้เตียงทันที


เสียงดัง “ครอกแครก!” เตียงค่อยๆ แยกจากตรงกลางออกมาเป็นสองส่วน เผยให้เห็นถึงอุโมงค์มืดๆ แห่งหนึ่ง และยังมีบันไดหินง่ายๆ ที่ทอดยาวลงไปด้านล่าง


ชายหลังค่อมควักเอาไฟพกพาออกมาอันหนึ่ง พอสะบัดไปหนึ่งทีมันก็ลุกพรึ่บขึ้นมา จากนั้นพวกเขาก็เดินลงบันไดไป


หลิ่วหมิงมีท่าทีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็ตามติดลงไป


หลังจากที่ทั้งสองเดินเข้าไปไม่นาน ก็มีเสียงกลไกดังมากจากเตียงที่แยกออกจากกัน หลังจากนั้นมันก็ปิดประกบเข้าหากันอีกครั้ง


ทั้งสองเดินลงไปประมาณสามสิบกว่ากว่าจั้ง ในที่สุดก็มาถึงห้องหินใต้ดินที่ค่อนข้างใหญ่ห้องหนึ่ง


ในห้องหินใต้ดินที่มีขนาดไม่เกินสิบกว่าจั้งนี้ มีค่ายกลค่อนข้างใหญ่ที่วางไว้แล้ว รอยเว้าตรงขอบล้วนมีผลึกหินสีขาววางไว้แต่แรกแล้ว


ใจกลางค่ายกลมีแท่นหินกลมๆ สูงจั้งกว่าๆ บนพื้นผิวของมันถูกจารึกด้วยอักขระจิตวิญญาณจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่ามันคือค่ายกลขนาดเล็ก


“นี่คือค่ายกลที่ใช้ส่งข่าว ถึงแม้จะอยู่ห่างกันไกล ก็สามารถส่งข่าวกลับไปนิกายได้ภายในพริบตา แต่มันก็สิ้นเปลืองผลึกหินฟ้าอย่างน่าตกใจ ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ส่งข่าวให้สั้นหน่อยจะดีที่สุด วิธีการใช้ท่านคงเคยเรียนมาแล้ว ข้าเองก็จะไม่พูดอะไรมาก” ชายหลังค่อมกล่าว


“อืม! ก่อนมาข้าได้ดูวิธีใช้มาบ้าง” หลิ่วหมิงจ้องมองแท่นหิน และคิ้วของเขาค่อยๆ ขมวดขึ้นมา


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปเฝ้าอยู่ด้านนอก เมื่อท่านใช้เสร็จแล้วก็ขึ้นไปได้เลย ไม่ต้องกังวลว่าคลื่นพลังของค่ายกลนี้จะถูกค้นพบเข้า ห้องหินนี้ถูกก่อสร้างมาจากวัสดุพิเศษ สามารถซึมซับคลื่นพลังได้” ชายหลังค่อมพยักหน้ากล่าว จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไป


หลิ่วหมิงเดินวนค่ายกลอยู่สองสามรอบ แล้วถึงยกมือขึ้นมาทำท่ามือด้วยมือเดียว จากนั้นลำแสงสีเขียวก็พุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก และจมหายเข้าไปในค่ายกล


พริบตานั้น ค่ายกลทั้งหลังก็เริ่มส่งเสียงดังหวึ่งๆ อักขระเปล่งประกายออกมารอบด้าน…


หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงก็ไปจากร้านขายโลง แล้วเดินออกไปจากตรอกอย่างไม่ลุกลี้ลุกลน และปรากฏตัวบนถนนอีกครั้ง


เขาใช้เวลาที่เหลือเดินเที่ยวเล่นอยู่บนท้องถนนแถวนั้น


เมื่อท้องฟ้าใกล้มืด เขาก็เดินเข้าไปในตรอกเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง แต่พอออกมาจากปลายทางอีกด้าน เขาก็กลับมาเป็นบัณฑิตหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีเหมือนเดิม และค่อยๆ เดินมุ่งหน้าไปยังประตูหลังของจวนเฉียน


เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงที่พักผ่อนไปแล้วทั้งคืนก็ออกไปทางประตูหลังของจวนเฉียนอีกครั้ง


ครั้งนี้เขามุ่งตรงไปเรียกรถม้าคันหนึ่งที่อยู่บนถนน หลังจากที่พูดกำชับคนขับรถแล้วก็มุ่งหน้าไปเขาเซียนทอแสง


เขาเซียนทอแสงแตกต่างจากเขาเล็กๆ ลูกอื่นที่อยู่นอกเสวียนจิง ในตัวเสวียนจิงมีสิ่งก่อสร้างจำนวนหนึ่งที่สร้างตามเขา และเขาทอแสงทั้งลูกก็เป็นของราชสำนัก บนเขาไม่เพียงแต่มีทหารชุดเกราะของราชสำนักตั้งมั่นอยู่ตลอดปี ทั้งยังเป็นสถานที่ที่มีพลังปราณหนาแน่น ซึ่งมันถูกจัดสรรให้กับแขกระดับจิตวิญญาณทองคำของราชสำนัก


ถ้ำที่คนนอกสามารถเช่าพักได้นั้น แท้จริงแล้วเป็นสถานที่ที่มีพลังปราณน้อยสุดของเขาเซียนทอแสง


แต่อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการเช่าถ้ำเหล่านี้ก็แพงจนน่าตกใจ มันเพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกฝนอิสระรู้สึกปวดใจได้ ดังนั้นการทำการค้าโดยให้เช่านี้จึงไม่ค่อยดีนัก มีผู้ฝึกฝนอิสระจริงๆ ไม่กี่คนที่เช่าอยู่บนเขาเซียนทอแสง


เมื่อหลิ่วหมิงมายืนอยู่ในห้องโถงใหญ่บนเขาเซียนทอแสง และแจ้งประสงค์ขอเช่าถ้ำระดับกลางในระยะยาว ทำให้ผู้ดูแลที่อยู่ตรงหน้าเขายิ้มออกมาด้วยความดีใจ


เขาเปิดแผนที่แสดงตำแหน่งต่างๆ ของถ้ำให้หลิ่วหมิงดูในทันที เพื่อให้หลิ่วหมิงเลือกสถานที่ที่เหมาะสม


หลิ่วหมิงจ้องมองแผนที่ และถามเกี่ยวกับสถานที่ตนเองสนใจสองสามแห่งอย่างไม่ใส่ใจ ในที่สุดก็เลือกตำแหน่งที่เปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ซึ่งมีลำธารสายเล็กๆ ไหลผ่านหน้าถ้ำพอดี


ผู้ดูแลนำเขาไปดูถ้ำแห่งนั้นด้วยตนเอง หลังจากที่เขารู้สึกค่อนข้างพอใจ ก็ได้จ่ายค่าเช่าเป็นเวลาหนึ่งปีด้วยหินจิตวิญญาณหลายพันก้อน จากนั้นก็รับป้ายอนุญาตเข้าออกถ้ำมาจากผู้ดูแลที่ดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก


เหมือนว่าถ้ำเหล่านี้จะมีค่ายกลง่ายๆ วางไว้ ถ้าไม่มีป้ายอนุญาตแล้วบุกเข้ามาโดยพลการล่ะก็ หน่วยลาดตระเวนบนเขาจะรับรู้ได้ในทันที ดังนั้นเมื่อเทียบกับสถานที่อื่นๆ แล้ว เขาเซียนทอแสงนี้นับว่าปลอดภัยกว่ามาก


เมื่อหลิ่วหมิงไปจากเขาเซียนทอแสงแล้วก็ไม่ได้กลับเข้าจวนเฉียนในทันที เขาเดินเตร่ไปตามที่ต่างๆ ของเสวียนจิงเป็นเวลาครึ่งค่อนวัน


เมื่อเขากลับถึงจวนเฉียนในเย็นนั้น ที่พักของเขาก็มีคนผู้หนึ่งมาคอยอยู่นานแล้ว


……………………………………….


ตอนที่ 179 อ๋องผู้ทรงธรรม

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เย็นขนาดนี้แล้ว ทำไมเถ้าแก่เฉียนถึงมาอยู่นี่ได้ หรือว่ามีเรื่องด่วนอันใด?” พอหลิ่วหมิงเห็นคนที่อยู่ในห้องก็กล่าวออกมาด้วยความแปลกใจทันที


คนผู้นี้ก็คือเฉียนเชาเจ้าของจวนเฉียนนั่นเอง


“คุณชายเฉียน ที่ข้ามาถึงที่นี่ความจริงต้องการมาบอกข่าวแก่ท่าน หญ้าน้ำแข็งเงินที่คุณชายต้องการ คนของข้าซื้อจากร้านค้าอื่นมาได้ต้นหนึ่ง แต่ต้องขอให้คุณชายตรวจสอบดูก่อนว่าใช้ได้หรือไม่?” เฉียนเชาลุกขึ้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“เป็นเรื่องจริงหรือ! ขอข้าดูหน่อยเถอะ!” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


เฉียนเชานำกล่องไม้ออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้หลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม


หลิ่วหมิงรับกล่องไม้มาเปิดออก เผยให้เห็นถึงหญ้าสีเงินจางๆ ที่มีใบสามใบต้นหนึ่ง ซึ่งมันแผ่ไอเย็นสะท้านออกมาเล็กน้อย


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ แววตาเคร่งขรึมก็เปล่งประกายออกมา มือเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดร็วก่อนที่จะหยิบเข็มเงินยาวหลายชุ่นออกมา


มือข้างหนึ่งประคองกล่องไม้ อีกข้างก็คีบเข็มเงินไว้แน่น จากนั้นก็แทงลงไปบนใบไม้…


เสียงดัง “ซี๊ดๆ!”


พริบตาที่เข็มเงินแทงลงบนใบไม้สีเงินนั้น ความรู้สึกเย็นสะท้านก็แผ่ผ่านเข็มเงิน และพุ่งตรงมายังนิ้วหลิ่วหมิง


นิ้วมือหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวอย่างพร่ามัว เพื่อดึงเข็มเงินออกมา จากนั้นเขาก็มองไปที่เข็มเงิน


เข็มเงินครึ่งหนึ่งถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งบางๆ


“ไม่ผิด! สิ่งนี้คือหญ้าน้ำแข็งเงินที่มีอายุอย่างน้อยห้าสิบปี มันเพียงพอที่จะนำมารักษาอาการป่วยของหลานสาวข้าแล้ว ครั้งนี้คงลำบากเถ้าแก่เฉียนแล้ว ข้าน้อยขอรับไว้อย่างไม่เกรงใจล่ะนะ!” พอหลิ่วหมิงเห็นสภาพการณ์บนเข็มเงินอย่างชัดเจนแล้ว ก็กล่าวออกมาด้วยความโล่งใจ ขณะเดียวกันเข็มเงินบนมือก็หายไปอย่างรวดเร็ว


“เฮ่อๆ! ขอเพียงแค่หญ้าน้ำแข็งเย็นต้นนี้ใช้ได้ผลก็พอแล้ว ของสิ่งนี้เดิมทีฮูหยินข้าได้รับปากหาให้ เพื่อเป็นการตอบแทนที่ท่านได้ช่วยชีวิตไว้ ตอนนี้ข้าเพิ่งจะหามาได้ ควรเป็นข้าที่ต้องกล่าวขอโทษจึงจะถูก” เฉียนเชากล่าวด้วยรอยยิ้ม


“เถ้าแก่เฉียนเกรงใจเกินไปแล้ว ตอนนั้นข้าสะดวกมือช่วยเท่านั้น” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างถ่อมตัว จากนั้นก็ปิดฝากล่องแล้วนำหญ้าน้ำแข็งเงินนี้ไปเก็บอย่างระมัดระวัง


“ความจริงที่ข้ามาในครั้งนี้ยังมีเรื่องอื่นอีก แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่?” เฉียนเชาเห็นหลิ่วหมิงรับกล่องไม้ไว้แล้ว ก็ทำให้เขายิ้มกว้างมากกว่าเดิม


“หืม! เถ้าแก่เฉียนมีอะไรก็พูดมาเถอะ!” หลิ่วหมิงได้ยินก็คิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวด้วยสีหน้าปกติ


“ข้าได้ยินฮูหยินบอกว่าคุณชายเฉียนพอจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเรือนร้อยวิญญาณมาบ้าง ไม่ทราบว่าคุณชายมีความคิดเห็นว่าอย่างไร?” เฉียนเชากล่าวด้วยท่าทีจริงจัง


“ความหมายของเถ้าแก่เฉียนคือ…” หลิ่วหมิงหรี่ตาถามกลับไป


“ไม่ขอปิดบังคุณชาย ข้ารู้มาจากผู้อาวุโสเหมี่ยนว่าคุณชายไม่เพียงแต่มีพลังเวทย์ยอดเยี่ยม ทั้งยังมีวิชาแพทย์ติดตัวไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย ผู้มีพรสวรรค์อย่างคุณชาย เรือนร้อยวิญญาณของเราต้องการยิ่งนัก ดังนั้นที่ข้ามาด้วยตัวเองในครั้งนี้ ก็เพื่อเชื้อเชิญคุณชายให้เป็นหนึ่งในแขกคนสำคัญของเรือนร้อยวิญญาณเรา ค่าใช้จ่ายตอบแทนทั้งหมดเทียบเท่ากับค่าตอบแทนที่สูงที่สุดของพวกเรา” เฉียนเชากล่าวอย่างตรงไปตรงมา


“เข้าร่วมเรือนร้อยวิญญาณ? เกรงว่าจะทำให้ท่านต้องผิดหวังซะแล้ว ข้าไม่ได้มีความคิดนี้เลย” หลิ่วหมิงได้ยินก็ขมวดคิ้วกล่าวออกมา


“เพราะเหตุใดกัน? คุณชายเป็นผู้ฝึกฝนอิสระ ในเมื่อกะที่จะอยู่เสวียนจิงในระยะยาว ช้าเร็วก็ต้องเข้าร่วมกับกลุ่มอิทธิพลในเสวียนจิงอยู่ดี ไม่ใช่ว่าข้าชื่นชมตัวเองหรอกนะ ถึงแม้ค่าตอบแทนของแขกเรือนร้อยวิญญาณจะไม่ได้สูงสุดเป็นอันดับหนึ่งหรืออันดับสองในเสวียนจิง แต่ก็จัดอยู่ในห้าอันดับแรก เพียงแค่คุณชายเข้าร่วมเรือนร้อยวิญญาณ ไม่เพียงแต่จะได้หินจิตวิญญาณเดือนละเป็นจำนวนมาก ถ้าขาดแคลนโอสถหรืออาวุธต่างๆ เรือนของข้าก็จะช่วยรวบรวมมาให้ อีกอย่างเรือนร้อยวิญญาณยังปฏิบัติต่อแขกอย่างใจกว้าง ถ้าแขกคิดว่าภารกิจไหนอันตรายเกินไปจนอาจทำให้เสียชีวิต ก็สามารถปฏิเสธได้อย่างเด็ดขาด ข้าย่อมไม่ให้แขกไปทำงานที่ไม่สามารถทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน เพราะโดยทั่วไปแล้ว กลุ่มผู้มีอิทธิพลระดับข้านี้ มักจะใช้อำนาจคุกคามแขกให้เกรงกลัว โอกาสที่แขกแต่ละท่านจะได้เลือกภารกิจเองนั้นมีไม่มาก” เฉียนเฉากลับไม่รู้สึกแปลกใจ แต่กลับกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ในเมื่อเถ้าแก่เฉียนมีความจริงใจเช่นนี้ ข้าจะไม่ปิดบังท่านอีก ข้าจะพูดตามจริงก็แล้วกัน เรื่องเกี่ยวกับค่าตอบแทนของแขกเรือนร้อยวิญญาณนั้น ข้าได้รู้จากผู้อาวุโสเหมี่ยนมาบ้าง นับว่ามันไม่เลวเลยจริงๆ ที่ข้าไม่ยอมตอบตกลง เพราะมีความกังวลที่ตอนนี้เรือนร้อยวิญญาณดูเหมือนจะไปยั่วแหย่ศัตรูที่แข็งแกร่งเข้า มิเช่นนั้นฮูหยินกับลูกชายของท่านคงไม่ถึงกับถูกคนลอบฆ่าในสถานที่ใกล้เสวียนจิงเช่นนี้ ที่ข้ามาเสวียนจิงในครั้งนี้เพราะมีเรื่องบางอย่างต้องจัดการ และไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากต่างๆ เพื่อลดการสูญเสียพลังส่วนมากไปด้วย” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าคุณชายเฉียนจะยังไม่ค่อยชอบสถานะของเรือนร้อยวิญญาณในตอนนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ คุณชายไม่ต้องกังวลเลย ความจริงข้าได้สืบรู้แล้วว่าใครเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังของศัตรูเรือนร้อยวิญญาณ ซึ่งก็คือหอรวมสมบัติที่เป็นคู่แข่งทางการค้าของเรานั่นเอง สุภาษิตกล่าวไว้อาชีพเดียวกันคือศัตรู อีกอย่างถ้าเอาการค้าของพวกเราทั้งสองมารวมกัน เกรงว่ามันคงครอบคลุมทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนราวๆ สองถึงสามในสิบส่วนของเสวียนจิง ข้ากับมู่อิ่งเฉิงที่เป็นเจ้าของร้านหอรวมสมบัติมีความแค้นต่อกันเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ผ่านมาตั้งหลายปีพวกเราทั้งสองต่างก็ไม่มีใครทำอะไรใครได้ หนึ่งในนั้นเป็นเพราะว่าพวกเราต่างก็มีอิทธิพลพอๆ กัน แต่ที่สำคัญที่สุดคือทั้งสองฝ่ายต่างก็มีคนหนุนหลัง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้มลงไป ดังนั้นคุณชายไม่จำเป็นต้องกังวลกับปัญหาที่เรือนจิตวิญญาณต้องเผชิญในตอนนี้เลย เพียงแค่รอให้งานประมูลในเดือนหน้าผ่านไปอย่างราบรื่น ร้านของเราก็สามารถกดดันหอรวมสมบัติได้ เชื่อว่าในระยะหลายปีนี้ พวกเขาคงไม่กล้ามาหาเรื่องร้านของเรา” เฉียนเชาอธิบายอย่างละเอียดในฉับพลัน


“มีคนหนุนอยู่เบื้องหลัง? ด้วยอิทธิพลของร้านท่านยังต้องบอกว่ามีคนหนุนหลัง คิดว่าคงต้องเป็นผู้ที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่ทราบว่าท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงฟังจบก็ถามด้วยความแปลกใจ


“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ความจริงแล้วอิทธิพลน้อยใหญ่ในเสวียนจิงต่างก็ต้องมีคนหนุนหลังถึงจะอยู่ได้ มิเช่นนั้นจะยืนมั่นอยู่ในเสวียนจิงได้อย่างไร และเรือนร้อยวิญญาณเรากับหอรวมสมบัติเป็นคู่แข่งทางการค้ากัน ดังนั้นคนหนุนหลังของแต่ฝ่ายคือใคร ต่างก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างก็รู้กันดี ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร ความจริงผู้หนุนหลังของเรือนร้อยวิญญาณคือ ‘ท่านอ๋องสาม’ ที่เป็นพระอนุชาของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน กำไรหนึ่งในสามของร้านเราจะต้องส่งไปให้จวนท่านอ๋องสาม และผู้หนุนหลังของหอรวมสมบัติคือองค์ชายเก้าในปัจจุบัน แต่มันไม่เหมือนกับร้านของเรา มู่อิ่งเฉิงที่เป็นเจ้าของหอรวมสมบัติอย่างเปิดเผยนั้น ความจริงแล้วเป็นแค่ทาสขององค์ชายเก้า และหอรวมสมบัติทั้งหมดก็เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ขององค์ชายเก้าเท่านั้น ดังนั้นต่อให้พวกเราทั้งสองฝ่ายจะสู้รบกันดุเดือดสักเพียงใด ก็ไม่มีฝ่ายใดทำลายอีกฝ่ายได้ ผู้หนุนหลังของพวกเราต่างก็ไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด” เฉียนเชากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ท่านอ๋องสาม หรือว่าเป็นผู้ที่ช่วยให้จักรพรรดิองค์ปัจจุบันได้ขึ้นครองราชย์เมื่อยี่สิบปีก่อน ผู้ที่ได้ว่าเป็นอ๋องผู้ทรงธรรมมาโดยตลอดผู้นั้น?” ใจหลิ่วหมิงเต้นขึ้นมาในทันที แต่ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา


“อืม! ข้าคิดไม่ถึงว่าคุณชายเฉียนก็เคยได้ยินชื่อเสียงของท่านอ๋องสามในปีนั้น ถ้าอย่างนี้ก็ง่ายน่ะสิ! เป็นอ๋องผู้ทรงธรรมผู้นี้ไม่มีผิด ไม่ทราบว่าคุณชายเฉียนจะยอมเปลี่ยนใจมาเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณเราไหม?” เฉียนเชาถามด้วยความแปลกใจ


“ในเมื่อเรื่องยุ่งยากของเรือนร้อยวิญญาณเป็นแค่ปัญหาชั่วคราว เบื้องหลังยังมีท่านอ๋องสามคอยหนุน ถ้าข้ายังบอกปัดอีกล่ะก็ เกรงว่าคงทำให้เถ้าแก่เฉียนรู้สึกไม่สบายใจอย่างแน่นอน ข้ารับปากเข้าร่วมเรือนร้อยวิญญาณได้ แต่ก่อนอื่นข้ามีเงื่อนไขสองข้อ หวังว่าท่านจะยอมรับปากข้า” หลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลาย


“คุณชายเฉียนมีเงื่อนไขอะไรพูดมาได้เลย” เฉียนเชาได้ยินก็รีบถามด้วยความดีใจ


“ข้อแรก ข้าเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณในช่วงที่ข้าทำธุระอยู่ในเสวียนจิงเท่านั้น หากวันไหนข้าไปจากเสวียนจิงสถานะแขกของข้าก็กลายเป็นโมฆะ แต่เถ้าแก่เฉียนวางใจได้ ข้าอยู่ในเสวียนจิงอย่างน้อยสองสามปี มากสุดก็ห้าหกปี ข้อสองค่าตอบแทนที่ข้าเป็นแขกเรือนร้อยวิญญาณ นอกจากหินจิตวิญญาณที่ต้องได้รับในแต่ละเดือนแล้ว ข้ายังคิดที่จะเรียนวิชาการปรุงโอสถ ดังนั้นจึงหวังว่าทางเรือนร้อยวิญญาณจะแนะนำผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถบางท่านให้ข้าได้ แน่นอนข้ารู้ว่าโดยทั่วไปผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่เก่งกาจจะไม่รับศิษย์ แต่ข้าต้องการแค่จดหมายแนะนำของเรือนร้อยวิญญาณฉบับเดียวเท่านั้น แล้วข้าจะหาวิธีพูดจาเกลี้ยกล่อมเอง แต่ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่ทางเรือนร้อยวิญญาณแนะนำให้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ค่อนข้างลึกซึ้ง จนถึงระดับที่สามารถปรุงโอสถที่อาจารย์จิตวิญญาณใช้ได้” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา


“อะไรนะ! คุณชายเฉียนต้องการเรียนวิชาการปรุงโอสถ?” เห็นได้ชัดว่าคำพูดหลิ่วหมิงทำให้เฉียนเชารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


“ทำไมล่ะ! ข้าเรียนไม่ได้หรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินหางคิ้วก็กระตุกขึ้นมา


“ย่อมไม่ใช่เช่นนั้น ถึงแม้ข้าไม่ใช่ศิษย์จิตวิญญาณ แต่ก็รู้ว่าวิชาการปรุงโอสถนั้นดูเหมือนจะเป็นทักษะที่ยากที่สุดของผู้ฝึกฝน ผู้ที่ยอมเสียเวลาฝึกฝนจริงๆ นั้นมีน้อยมาก แต่ถ้าคุณชายสนใจวิชาการปรุงโอสถล่ะก็ เรือนจิตวิญญาณของพวกเราเคยไปมาหาสู่กันกับผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถอยู่หลายท่าน พอจะช่วยแนะนำให้ท่านได้บ้าง แต่ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่สามารถปรุงโอสถของอาจารย์จิตวิญญาณขึ้นไปได้นั้น แม้แต่ในนิกายใหญ่ๆ ยังหาได้ยากยิ่ง ถ้าในเสวียนจิงล่ะก็ เกรงว่าจะมีแค่คนเดียวที่มีความสามารถเช่นนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถท่านนี้มีนิสัยค่อนข้างประหลาด ถึงแม้เรือนร้อยวิญญาณเราจะเคยติดต่อกับเขาอยู่หลายครั้ง ช่วยเขาประมูลโอสถอยู่หลายครา แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจมากนักว่าจะทำให้เขายอมชี้แนะวิชาการปรุงโอสถให้ท่านได้ไหม” เฉียนเชาลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา


“ไม่เป็นไร! ขอเพียงเถ้าแก่เฉียนยอมให้ข้าได้พบกับผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ก็พอแล้ว เรื่องเรียนวิชาการปรุงโอสถนี้มอบให้ข้าจัดการเอง” หลิ่วหมิงได้ยินก็ใจเต้นขึ้นมา


“ได้! ถ้าแค่นี้ล่ะก็ ข้าจะรับปากเงื่อนไขทั้งสองของคุณชายเอง” ครั้งนี้เฉียนเชาเพียงแค่ลังเลเล็กน้อย แล้วกัดฟันรับปากออกไป


“ถ้าเช่นนั้นข้าเฉียนหมิงก็ขอคารวะเถ้าแก่เฉียน” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแล้วค่อยๆ โค้งคำนับเฉียนเชา


…………………………………


ตอนที่ 180 กระบี่บินพลังจิตวิญญาณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฮ่าๆ! คุณชายเฉียนไม่ต้องมากพิธี พรุ่งนี้ข้าจะให้คนนำป้ายประจำตัวของแขกมาให้คุณชาย อีกอย่างเรื่องเกี่ยวกับที่พักคุณชาย……” เฉียนเชากล่าวด้วยความดีใจ


“เรื่องที่พักคงไม่รบกวนเถ้าแก่แล้ว ข้าชอบความเงียบสงบมาแต่ไหนแต่ไร จึงได้เช่าถ้ำเขาทอแสงไว้ รอจนงานประมูลสิ้นสุด และข้าขับพิษคุณชายหู่ออกมาจนหมดแล้ว ข้าก็จะย้ายออกไป” หลิ่วหมิงพูดปฏิเสธออกมาโดยไม่ต้องคิด


“เช่นนี้คุณชายคงต้องใช้หินจิตวิญญาณเป็นจำนวนมากในแต่ละเดือน เอาอย่างนี้เถอะ! ต่อไปข้าจะเพิ่มค่าตอบแทนในแต่ละเดือนให้คุณชายอีกหนึ่งส่วน” ตอนแรกเฉียนเชารู้สึกแปลกใจ แต่ก็กล่าวออกมาด้วยสีหน้าปกติ


“ขอบคุณความเมตตาของเถ้าแก่เฉียน” หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณออกไป


จากนั้นเจ้าของเรือนร้อยวิญญาณผู้นี้ ก็สนทนากับหลิ่วหมิงต่ออีกสองสามประโยค จากนั้นก็กล่าวอำลา


หลิ่วหมิงส่งเขาที่นอกประตูแล้ว ก็เดินกลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าครุ่นคิด


เวลาต่อมาเขาก็รีบนำหญ้าน้ำแข็งเงินมาผสมตามสูตร และต้มเป็นโอสถน้ำให้เฉียนหรูผิงทาน จากนั้นก็ใช้วิธีการอื่นๆ กับเวลาอีกสองสามวันเพื่อรักษาต้นตออาการเจ็บป่วยของนางให้หายขาด


ขณะเดียวกันเฉียนเชาก็กลับมาถึงห้องโถงที่อยู่ด้านหน้า


ผู้อาวุโสกำลังเหมี่ยนนั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้


“เถ้าแก่ ท่านกลับมาแล้ว ยิ้มอย่างมีความสุขเช่นนี้ หรือว่าเกลี้ยกล่อมสำเร็จแล้ว? คุณชายเฉียนยอมเข้าร่วมเรือนร้อยวิญญาณแล้วใช่หรือไม่?” พอผู้อาวุโสเหมี่ยนเห็นสีหน้าของเฉียนเชาแล้ว ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


“เฮ่อๆ! ผู้อาวุโสเหมี่ยนมีสายตาที่หลักแหลมยิ่งนัก ข้าจะปิดบังท่านได้อย่างไร คุณชายเฉียนถูกข้าเกลี้ยกล่อมจนตอบตกลงแล้ว แต่เขาเสนอเงื่อนไขมาสองข้อ ข้าเกรงว่าคงต้องติดหนี้บุญคุณครั้งใหญ่แล้วล่ะ” เฉียนเชาหัวเราะแล้วกล่าวออกมา


“หืม! ติดนี้บุญคุณครั้งใหญ่! เถ้าแก่หมายถึง……” สีหน้าผู้อาวุโสเหมี่ยนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ


“เงื่อนไขข้อแรกของคุณชายเฉียนไม่ก็มีอะไรมาก แต่เงื่อนไขข้อที่สองกลับเสนอให้ผู้เชี่ยวชาญฝานแนะนำวิชาปรุงโอสถให้เขา” รอยยิ้มบนใบหน้าเฉียนเชาหายไป และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อย


“วิชาปรุงโอสถ ผู้เชี่ยวชาญฝาน! เถ้าแก่หมายถึงผู้เชี่ยวชาญฝานไป๋จื่อหรือ?” สีหน้าของผู้อาวุโสเหมี่ยนค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเช่นนี้


“นอกจากผู้เชี่ยวชาญฝานไป๋จื่อแล้ว ในเสวียนจิงจะมีใครเรียกขานเช่นนี้ได้เล่า?”


“แต่ผู้เชี่ยวชาญฝานไป๋จื่อไม่พบคนนอกมาแต่ไหนแต่ไร แล้วจะชี้แนะวิชาปรุงโอสถให้สหายเฉียนได้อย่างไรกัน” ผู้อาวุโสเหมี่ยนรู้สึกอึ้งเล็กน้อย


“ข้อนี้ข้าย่อมรู้ดี แต่คุณชายเฉียนแค่ขอให้ช่วยแนะนำเขาให้ก็พอแล้ว ดูเหมือนเขาจะพูดเกลี้ยกล่อมผู้เชี่ยวชาญฝานด้วยตนเอง” เฉียนเชาถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา


“ดูจากความสัมพันธ์ของเถ้าแก่กับผู้เชี่ยวชาญฝาน ถ้าแค่แนะนำล่ะก็ยังพอจะทำได้ มิน่าล่ะ! เถ้าแก่ถึงได้พูดว่าต้องติดหนี้บุญคุณครั้งใหญ่แล้ว แต่สหายเฉียนทำเช่นนี้ เกรงว่าคงจะต้องเสียแรงเปล่า” ผู้อาวุโสเหมี่ยนได้ยินเช่นนี้ ถึงได้เข้าใจในฉับพลัน


“ถ้าคุณชายเฉียนผู้นี้ เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายตามที่ท่านพูดจริงๆ ล่ะก็ จ่ายค่าตอบแทนเท่านี้ก็นับว่าคุ้มค่ามาก ว่าแต่ผู้อาวุโสเหมี่ยน คุณชายเฉียนดูอายุน้อยเช่นนี้ จะมีระดับการฝึกฝนที่น่าตกใจเช่นนี้จริงหรือ?” ตอนแรกเฉียนเชาก็พยักหน้า แต่ก็ถามออกไปด้วยความกังวล


“ทำไมล่ะ! เถ้าแก่ไม่เชื่อสายตาข้าหรือ? เฮ่อๆ! ถึงแม้คุณเฉียนจะไม่ยอมรับออกมา แต่จากการที่หงเส่าเล่าให้ฟังในครั้งนั้น กับการที่ข้าได้สัมผัสกับเขาในหลายวันมานี้ ข้ายืนยันได้ว่าระดับการฝึกฝนของเขาเหนือกว่าข้าอย่างแน่นอน ถึงแม้เถ้าแก่จะต้องจ่ายค่าตอบแทนมากหน่อย แต่แค่ดึงเขาเข้าร่วมเรือนร้อยวิญญาณได้ การลงทุนนี้จะต้องคุ้มค่าอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวเช่นนี้ ข้าก็วางใจ สำหรับเรือนร้อยวิญญาณแล้ว แขกจิตวิญญาณขั้นปลายหนึ่งคนถือเป็นแรงช่วยที่สำคัญมาก เพียงแค่ปล่อยข่าวออกไปเล็กน้อย ผู้อาวุโสเหมี่ยนก็สามารถปลีกตัวออกไปจัดการเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญกว่าได้” เฉียนเชากล่าวด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลาย


“ใช่สิ! ที่มาของคุณชายเฉียน เถ้าแก่สืบได้อะไรมาบ้าง? ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่มีอายุน้อยนี้เช่นนี้ ถ้าเป็นแค่ผู้ฝึกฝนอิสระที่อยู่ในแคว้นเราจริงๆ ล่ะก็ คงจะมีชื่อเสียงไม่น้อย” ผู้อาวุโสเหมี่ยนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบถามออกไป


“เรื่องนี้ข้าส่งคนไปตรวจสอบตั้งนานแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆ เลย ข้าว่าคุณชายเฉียนอาจจะไม่ใช่คนในแคว้นเรา ไม่แน่อาจเป็นผู้ฝึกฝนอิสระจากแคว้นอื่น มิเช่นนั้นจากข้อมูลที่มีอยู่ในตอนนี้ ทำไมถึงหาข้อมูลที่สอดคล้องกับคนผู้นี้ไม่ได้” เฉียนเชากล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม


“เรื่องนี้ก็พูดยาก แม้ว่าผู้ฝึกปราณอิสระบางส่วนจะไม่มีวาสนาได้เข้านิกาย แต่ก็สามารถฝึกฝนในเส้นทางเดียวกันนี้ด้วยความอุตสาหะได้ เพียงแค่พวกเขามีทรัพยากรที่เพียงพอ ก็จะเก็บตัวฝึกฝนอยู่สถานที่บางแห่งเป็นเวลาเกือบร้อยปี โดยไม่ออกมาโลกภายนอก ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่ดูจากการพูดจาและลักษณะท่าทางของคุณชายเฉียนผู้นี้แล้ว มันไม่เหมือนกับผู้ฝึกฝนกลุ่มนี้ ถ้าจะบอกว่าเขาเป็นผู้ฝึกฝนจากแคว้นอื่นก็พอมีความใกล้เคียงอยู่บ้าง และศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่อายุยังน้อยเช่นนี้ ถ้าจะบอกว่าเป็นผู้ฝึกฝนของนิกายในแคว้นอื่น ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่


“อะไรนะ! ผู้อาวุโสเหมี่ยนคิดว่าคุณชายเฉียนเป็นผู้ฝึกฝนจากแคว้นอื่น และทรยศนิกายตนเอง?” พอเฉียนเชาได้ยินเช่นนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป


“เฮ่อๆ! เถ้าแก่เฉียนไม่ต้องกังวลไป เมื่อครู่เป็นแค่การคาดเดาจากข้าเท่านั้น ต่อให้เขาเป็นผู้ฝึกฝนทรยศนิกายจากแคว้นอื่นจริงๆ แต่ที่นี่คือเมืองหลวงแคว้นต้าเสวียน ใยต้องหวาดกลัวด้วยเล่า อีกอย่างเรื่องการรับผู้ฝึกฝนจากแคว้นอื่นๆ มาเป็นแขก ก็ใช่ว่ากลุ่มผู้มีอิทธิพลอื่นจะไม่เคยทำ” ผู้อาวุโสเหมี่ยนหัวเราะแล้วกล่าวออกมา


“มันก็ใช่! เพียงแค่คนผู้นี้ไม่มีเจตนาร้ายกับเรือนร้อยวิญญาณเรา ข้าเองก็ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ เกรงว่าผู้ฝึกฝนในเสวียนจิงสิบคน จะมีสามถึงสี่คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับสถานะของพวกเขาเป็นอย่างมาก” เฉียนเชาลังเลเล็กน้อยแล้วก็ยิ้มออกมาในทันที


ผู้อาวุโสเหมี่ยนเองก็ฟั่นหนวดอมยิ้มโดยไม่กล่าวอะไรออกมา


ในระยะเวลาห้าถึงหกวันนี้ หลิ่วหมิงยังคงออกไปข้างนอกในตอนกลางวัน เขาเดินเตร็ดเตร่ตามสถานที่ต่างๆ ในเสวียนจิง และซื้อข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเสวียนจิงจากกลุ่มอิทธิพลลับที่ขายข้อมูลโดยเฉพาะ ในที่สุดเขาก็พอจะเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของเสวียนจิงในตอนนี้อย่างคร่าวๆ


เย็นวันนี้ หลังจากที่หลิ่วหมิงดึงเข็มเล่มสุดท้ายออกจากตัวเฉียนหรูผิงแล้ว ก็จ้องมองใบหน้าเล็กๆ ที่ดูอิ่มเอิบขึ้นมามาก ใบหน้าที่กำลังนอนยิ้มหลับสนิทอยู่ ทำให้เขายิ้มขึ้นมาในทันที และหยิบผ้าแพรที่อยู่ด้านข้างมาห่มให้เด็กหญิงเบาๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปอีกห้องที่อยู่ข้างๆ


เขาเดินขึ้นเตียงของตนเองที่อยู่ภายในห้อง และนั่งขัดสมาธิลงไปด้วยสีหน้าสงบ จากนั้นก็คิดไตร่ตรองเกี่ยวกับสิ่งที่ทำในหลายวันนี้อย่างเงียบๆ


หลังผ่านความเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน ในที่สุดโรคประหลาดของเฉียนหรูผิงก็หายเป็นปกติ ต่อไปแค่บำรุงร่างกายให้มากๆ ก็สามารถดำเนินชีวิตได้เหมือนคนปกติแล้ว


เวลานี้ เขาสามารถพุ่งเล็งความสนใจทั้งหมดให้กับจุดประสงค์การมาเสวียนจิงในครั้งนี้ได้แล้ว


การมาเสวียนจิงในครั้งนี้ สำหรับเขาแล้ว เรื่องการสืบหาเบาะแสศิษย์ตรวจตราคนก่อน กับภารกิจศิษย์ตรวจตราถือจุดประสงค์รอง


จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดคือรอพลังเวทย์บริสุทธิ์อีกครั้งกับรวบรวมไอปีศาจบริสุทธิ์ให้เพียงพอ และสืบหาความลับที่บิดาเขาได้ทิ้งไว้ในปีนั้นให้กระจ่าง


สองเรื่องก่อนหน้านั้นค่อยว่ากันภายหลัง มันจะต้องเป็นเรื่องที่เปลืองพลังเปลืองเวลาอย่างแน่นอน ซึ่งไม่อาจทำสำเร็จได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ


ส่วนเรื่องหลังกลับพัวพันถึงสถานที่หนึ่ง ‘จวนอ๋องสาม’


จากคำพูดที่บิดาเขาทิ้งไว้ก่อนตาย บิดาเขาได้ทิ้งของสิ่งหนึ่งไว้ในสถานที่ลับสุดยอดแห่งหนึ่งในจวนอ๋องสาม ต้องหาวิธีเข้าไปจวนอ๋องสามให้ได้ก่อน จึงจะสามารถไขความลับที่ซ่อนอยู่ในใจลึกๆ มานานหลายปีได้


เดิมทีหลิ่วหมิงยังคิดว่ารอเข้าเสวียนจิงแล้วค่อยหาวิธีแฝงตัวเข้าไป แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวมันจะประจวบเหมาะอะไรเช่นนี้ ความสัมพันธ์กับเรือนร้อยวิญญาณที่เขาถูกดึงเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่คาดคิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับจวนอ๋องสามเป็นอย่างมาก


มิเช่นนั้น เขาคงไม่ตอบตกลงเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณ


ด้วยพลังของเขา เพียงแค่แสดงฝีมือต่อหน้ากลุ่มอิทธิพลต่างๆ เพียงเล็กน้อย ก็สามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งได้อย่างราบรื่น โดยไม่จำเป็นต้องเลือกเข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งด้วยความรวดเร็วเช่นนี้


แต่ตอนนี้เขาย่อมไม่อาจปล่อยให้โอกาสตรงหน้าหลุดลอยไปง่ายๆ


จากความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาระหว่างอ๋องสามกับเรือนร้อยวิญญาณ เขาเชื่อว่าเพียงแค่อดทนรออีกสักหน่อย เรื่องการแฝงตัวเข้าจวนอ๋องสามคงไม่ใช่เรื่องยาก วิธีการนี้ปลอดภัยกว่าการเสี่ยงอันตรายบุกรุกเข้าไปตรงๆ มาก


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก ตาทั้งคู่ค่อยๆ หลับลง แสงลูกกลมสีทองจางๆ ลูกหนึ่งปรากฏขึ้นในทะเลจิตรับรู้ หลังจากที่ใช้พลังจิตสัมผัสมันเบาๆ มันก็หมุนติ้วๆ กลายเป็นคัมภีร์สีทองจางๆ เล่มหนึ่ง และค่อยๆ พลิกไปทีละหน้า


มันคือเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง ที่เขาได้รับมาจากปรมาจารย์ลิ่วยินผู้นั้น!


เคล็ดกระบี่เล่มนี้นับว่าล้ำลึกเป็นพิเศษ แม้เขาจะเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลม แต่ทว่าตั้งแต่ได้เคล็ดวิชานี้มา เขาก็ยังทำความเข้าใจไปได้แค่หนึ่งถึงสองในสิบส่วนเท่านั้น


สิ่งที่เขาเข้าใจก็เป็นแค่วิชาพื้นฐานของเคล็ดกระบี่ทั้งหมด ซึ่งเป็นการดูดรับเอาปราณจิตวิญญาณทองคำฟ้าดินง่ายๆ เพื่อบ่มเพาะตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณของตนเอง


และตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า กระบี่ตัวอ่อนจิตวิญญาณที่กล่าวถึงคืออะไร ซึ่งมันก็คือเงื่อนไขที่สำคัญเป็นอันดับแรกในการหลอมสร้างกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ


ตามที่กล่าวไว้ในเคล็ดกระบี่บิน โดยทั่วไปกระบี่บินที่แท้จริงจะถูกแบ่งเป็นสองประเภท


ประเภทแรกคือการนำอาวุธจิตวิญญาณประเภทกระบี่ทั่วไปมาปรับแต่งเล็กน้อย และเพียงแค่เชื่อมกับจิตของตนเองเข้าไป ก็สามารถกระตุ้นกระบี่บินธรรมดาได้


ถึงแม้กระบี่ประเภทนี้จะมีอานุภาพธรรมดา จนเกือบจะไม่แตกต่างจากอาวุธจิตวิญญาณทั่วไปเลย แต่ถ้ามันโดนทำลายล่ะก็ เจ้าของกระบี่บินจะได้รับผลกระทบไม่มากนัก


แต่โดยทั่วไปผู้ฝึกกระบี่ระดับสูงที่แท้จริงจะไม่สนใจกระบี่บินประเภทนี้เลยแม้แต่น้อย


กระบี่บินอีกประเภทหนึ่ง เป็นการใช้โลหิตบริสุทธิ์กับวิญญาณของตนเองบ่มเพาะเป็นตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณ จากนั้นค่อยเทมันลงบนตัวกระบี่บินที่หลอมไว้ และทั้งสองสิ่งก็จะผสานเข้าด้วยกัน เพื่อหลอมเป็นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณตามที่เล่าลือ


ด้วยเหตุที่ว่ากระบี่บินประเภทนี้มีโลหิตบริสุทธิ์กับวิญญาณซึมซับอยู่ในนั้น มันจึงไม่เพียงแต่มีอานุภาพมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง แต่ยังทำให้เจ้าของกระบี่บินสามารถกระตุ้นมันได้ง่ายเหมือนกับการขยับแขนใช้นิ้ว สามารถสังหารศัตรูได้ในระยะร้อยลี้ นี่ถึงเป็นความหมายของกระบี่บินที่แท้จริง และก็เป็นอาวุธสังหารแท้จริงที่ผู้ฝึกฝนกระบี่จำนวนมากต่างก็แสวงหา


แน่นอน ถ้ากระบี่บินพลังจิตวิญญาณนี้ถูกทำลายล่ะก็ มันจะสร้างความเสียหายให้กับเจ้าของกระบี่บินเป็นอย่างมาก วิธีการหลอมกระบี่บินบางวิธีการค่อนข้างโหดร้าย จนกระทั่งทำให้เจ้าของเสียชีวิตไปด้วย มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด


ด้วยเหตุนี้ วัสดุสำหรับหลอมตัวกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่ผู้ฝึกกระบี่ระดับสูงใช้ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่อาวุธจิตวิญญาณทั่วไปจะสามารถเทียบได้


……………………………………….


ตอนที่ 181 จวนเฉิน

โดย

Ink Stone_Fantasy

วัสดุจิตวิญญาณที่ใช้หลอมกระบี่และดาบโดยทั่วไป ล้วนไม่เป็นที่สนใจของผู้ฝึกกระบี่


ถึงแม้เหล็กแสงเย็นทะเลลึกที่กุยหรูฉวนและคนอื่นๆ ได้มาในตอนนั้น พอที่จะใช้เป็นวัสดุกระบี่บินพลังจิตวิญญาณได้ แต่ผู้ฝึกกระบี่ระดับสูงกว่าครึ่งหนึ่งก็ยังไม่ถูกใจมากนัก


วัสดุกระบี่บินที่เหมาะสมในโลกนี้ช่างหาได้ยากยิ่ง และความสามารถทั้งหมดของผู้ฝึกกระบี่จะขึ้นอยู่กับกระบี่บินด้วย


ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่จำนวนไม่น้อยที่พอเห็นว่าไม่มีหวังจะหาวัสดุที่เหมาะสมได้ ก็ใช้วัสดุทั่วไปมาหลอมเป็นตัวกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ แต่มักจะต่อสู้กับศัตรูอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าใช้กระบี่บินนี้โดยง่าย


ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ฝึกกระบี่บางคนยังกังวลความปลอดภัยของตนเอง จึงละทิ้งการหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ และหาอาวุธจิตวิญญาณประเภทกระบี่ที่ค่อนข้างโดดเด่นมาปรับแต่ง ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้กระบี่บินของพวกเขาจะลดอานุภาพไปมาก แต่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่กระบี่ถูกทำลาย แล้วคนจะถูกทำลายไปด้วย


ด้วยระดับการฝึกฝนของหลิ่วหมิง เขาไม่จำเป็นต้องกังวลกับปัญหาการหลอมกระบี่พลังจิตวิญญาณประเภทนี้เลยแม้แต่น้อย และการบ่มเพาะตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณของตนเองก่อน เป็นเรื่องที่เขาสามารถทำได้


หลิ่วหมิงให้ความสนใจต่อเส้นทางการฝึกฝนกระบี่ตามคำเล่าลือมานานแล้ว พอได้เคล็ดกระบี่ปราณแกร่งเล่มนี้มา เขาย่อมไม่ละทิ้งการฝึกฝนอย่างแน่นอน


ตามที่กล่าวไว้ในเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่ง ตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณนี้เป็นแค่พลังงานเท่านั้น เพียงแค่ใช้งานมันครั้งเดียว ก็ทำให้เขาอ่อนแอลงเล็กน้อย อานุภาพยังห่างจากกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่มีโลหิตบริสุทธิ์กับวิญญาณซึมซับอยู่อย่างเทียบไม่ติด แต่หลังจากกระตุ้นมัน มันก็สามารถหั่นทองสะบั้นหยก ฆ่าคนได้ในรัศมีร้อยจั้ง โดยที่อาวุธจิตวิญญาณทั่วไปไม่สามารถต่อต้านได้


แน่นอนว่าการเลี้ยงดูตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณประเภทนี้ เป็นเรื่องที่ต้องทุ่มเทสติปัญญาและกำลังเป็นอย่างมาก


กล่าวกันว่าตัวอ่อนกระบี่ที่ใส่ลงไปในตัวกระบี่บิน ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปี อย่างมากสามสิบถึงสี่สิบปีถึงจะทำได้สำเร็จ มันขึ้นอยู่กับเวลาที่ใช้ และระดับของฝึกฝนของแต่ละบุคคล


และถ้าใส่ตัวอ่อนกระบี่เข้าไปในตัวกระบี่แล้ว เจ้าของก็ยังสามารถบ่มเพาะต่อได้ อานุภาพของมันแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ โดยไม่มีข้อจำกัด


ด้วยเหตุนี้ ผู้ฝึกกระบี่ระดับสูงบางคนที่หาวัสดุเหมาะสมไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ ตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณในร่างของพวกเขาคงมีอานุภาพน่ากลัวจนยากจะหยั่งรู้ได้


พอหลิ่วหมิงอ่านมาถึงประโยคนี้ เขาจึงพอจะเข้าใจอานุภาพอันแข็งแกร่งของกระบี่เล็กสีเหลืองอ่อนในร่างเล่มนั้น มันทำให้เขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก


ด้วยระดับการฝึกฝนของปรมาจารย์ลิ่วยิน กอรปกับการบ่มเพาะจนสิ้นอายุขัยของเขา เกรงว่าในแคว้นต้าเสวียนนี้คงไม่มีใครสามารถต้านทานการโจมตีของตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณอันน่ากลัวนี้ได้


ช่างน่าเสียดาย! ตามที่บรรยายไว้ในเคล็ดกระบี่บิน เงื่อนไขที่สามารถกระตุ้นตัวอ่อนกระบี่บินได้มีเพียงแค่สองเงื่อนไขเท่านั้น


เงื่อนไขแรกคือ คนที่มีสายเลือดเดียวกับผู้บ่มเพาะตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณสามารถกระตุ้นมันได้โดยง่าย อีกเงื่อนไขหนึ่งคือผู้ที่มีพลังจิตแข็งแกร่งกว่าเจ้าของก็พอจะกระตุ้นมันได้เช่นกัน


เงื่อนไขแรก นอกจากเจ้าของที่บ่มเพาะตัวอ่อนกระบี่จิตกับลูกหลานของเขาแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่สามารถใช้พลังของมันได้ เงื่อนไขหลัง ต้องเป็นผู้ที่มีพลังจิตแข็งแกร่งกว่าปรมาจารย์ลิ่วยิน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก


ถึงแม้หลิ่วหมิงจะสนใจตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณที่อยู่ในร่าง แต่ก็ทำได้แค่ละทิ้งความคิดนี้ไป รอบ่มเพาะตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณของตนเองก่อนแล้วค่อยว่ากัน


ตามที่บรรยายไว้ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง วิธีการบ่มเพาะที่แตกต่างกันก็จะได้ตัวอ่อนกระบี่ที่แตกต่างกัน ประกอบกับวัสดุที่ใช้หลอมตัวกระบี่แตกต่างกัน ก็จะทำให้กระบี่บินที่หลอมสำเร็จแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน


เห็นได้ชัดว่าเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งเป็นเคล็ดกระบี่ขั้นสุดยอด ตามวิธีการที่บันทึกไว้ในนั้น ตัวอ่อนกระบี่ที่ที่บ่มเพาะออกมาถูกเรียกชื่อว่า ‘ตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่ง’ อานุภาพร้ายแรงมากจนกระบี่ตัวอ่อนโดยทั่วไปไม่สามารถเทียบได้


น่าเสียดายที่ขั้นตอนแรกของการบ่มเพาะตัวอ่อนกระบี่นี้ จำเป็นต้องรวบรวมสุดยอดโลหะเหล็ก ซึ่งเป็นวัสดุที่หลิ่วหมิงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ดูดซับพลังธาตุทองที่มีอยู่ในนั้น ก่อนที่จะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป


เรื่องนี้เขาเคยสอบถามกับเฉียนเชามาก่อนแล้ว แต่เจ้าของเรือนร้อยวิญญาณผู้นี้ก็ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่เขารับปากจะช่วยสืบหาว่ามีขายอยู่ที่ใดบ้าง ซึ่งดูเหมือนจะไม่สามารถหาเบาะแสได้ในระยะเวลาสั้นๆ


ดีที่เขายังไม่เข้าใจวิธีการบ่มเพาะตัวอ่อนกระบี่ได้ถึงแก่นแท้ จึงไม่ได้รีบร้อนอะไรมาก


หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญเช่นนี้อยู่ในใจ และหลับตาทำความเข้าใจเคล็ดวิชาชุดนี้ไปด้วย


เวลาหนึ่งคืนค่อยๆ ผ่านไป


เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงก็ไปตรวจดูเฉียนหรูผิงอีกรอบ เมื่อแน่ใจว่าร่างกายของนางไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว ก็กำชับให้นางฝึกฝนอยู่ในห้อง ส่วนตัวเองก็ออกไปจากจวนเฉียน


ครั้งนี้เขาวางแผนไปดูตลาดใต้ดินของเสวียนจิงที่ได้ยินชื่อเสียงมานาน


ตลาดแห่งนี้แตกต่างจากตลาดอื่นๆ เพราะว่านิกายไม่ได้ส่งคนมาควบคุมดูแล ดังนั้นย่อมไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยใดๆ ด้วยเหตุนี้ในตลาดจึงมักจะมีของหายากที่ตลาดอื่นไม่มี ผู้มีอิทธิพลอย่างเรือนร้อยวิญญาณกับหอรวมสมบัติก็มีร้านค้าของตนเองจัดตั้งอยู่ในตลาดแห่งนี้ด้วย


แต่ก่อนหน้าที่เขาขี่ม้าผ่านถนนสายหนึ่ง สายตาก็เหลือบไปเห็นเครื่องหมายแปลกๆ ในตรอกแห่งหนึ่ง จึงได้หรี่ตามองดูทันที


ครึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงปลอมเป็นนักพรตวัยกลางคนอีกครั้ง แล้วเข้าไปในตรอก เพื่อมุ่งตรงไปยังร้านขายโลงที่เขามาในครั้งก่อน


พอเจ้าของร้านที่เป็นชายหลังค่อมเห็นหลิ่วหมิงก็ไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย เพียงแค่ปิดประตูร้านด้วยความชำนาญ จากนั้นก็นำหลิ่วหมิงไปห้องที่อยู่ข้างหลังโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


ผ่านไปไม่นานหลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวอยู่ในห้องลับใต้ดินที่ลึกลงไปหลายสิบจั้ง และมายืนอยู่กลางค่ายกลด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ค่ายกลใหญ่เล็กทั้งสองถูกกระตุ้นพร้อมกัน


หลังจากที่แสงหลากสีบนแท่นหินเปล่งประกายออกมา เขาถึงเก็บมือทั้งสอง และขมวดคิ้วพูดกับตนเอง


“ถนนซีเฟิง ผู้ตรวจการเฉิน! อาจารย์ลุงเหลยคิดอย่างไรกันแน่ ข้อมูลแค่นี้บอกข้าตอนออกเดินทางก็ได้แล้ว ทำไมต้องรอให้ข้ามาถึงเสวียนจิงก่อนแล้วบอกข้าผ่านค่ายกลด้วยล่ะ ดูท่าต้องรออีกสองสามวันถึงจะไปตลาดได้ ทำเรื่องที่อาจารย์อาเหลยสั่งให้เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวก่อนที่จะแตะไปยังแท่นหินเบาๆ


เสียงค่ายกลใหญ่เล็กทั้งสองหยุดชะงักลง และค่ายกลก็หยุดการทำงาน


หลิ่วหมิงหมุนตัวเดินออกไปจากห้องลับ


หนึ่งชั่วยามต่อมา เขตที่พักอาศัยหนึ่งในเสวียนจิงที่มีกำแพงอิฐสีแดงล้อมรอบอยู่ รถม้าคันหนึ่งกำลังวิ่งมาตามถนนสายที่กว้างเป็นพิเศษ และค่อยๆ หยุดลงตรงปากทางเข้าตรอกแห่งหนึ่ง


พอประตูรถม้าเปิดออก หลิ่วหมิงที่กลายร่างเป็นบัญฑิตหนุ่มก็กระโดดลงจากในนั้น เขากวาดสายตามองตรอกด้านหน้าครู่หนึ่ง แล้วก็ก้าวยาวๆ เดินเข้าไป


ตรอกนี้ลึกมาก แต่ในนั้นกลับมีประตูใหญ่แค่ห้าหกบาน หน้าประตูมีหินสลักสิงโต หินสลักพยัคฆ์ และหินสลักอื่นๆ ที่มีขนาดต่างๆ ตั้งวางอยู่


เห็นได้ชัดว่าเจ้าของที่นี่ต้องเป็นคนร่ำรวยเป็นอย่างมาก และเขายังสามารถได้ยินเสียงของข้ารับใช้ในจวนเบาๆ


หลิ่วหมิงเดินไปข้างหน้าสองสามหลัง จนไปถึงส่วนลึกสุดของตรอก และมายืนอยู่หน้าประตูใหญ่บานสุดท้าย เขาแหงนหน้ามองอแผ่นป้ายที่แขวนอยู่บนนั้น


บนแผ่นป้ายมีตัวอักษรสองคำ ‘จวนเฉิน’ ที่เขียนด้วยผงสีเงิน


เมื่อเทียบกับจวนหลายหลังในก่อนหน้านั้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าจวนเฉียนหลังนี้เปล่าเปลี่ยวกว่ามาก ไม่เพียงแต่พื้นหน้าจวนจะเต็มไปด้วยฝุ่น ด้านหลังประตูที่ปิดสนิทก็เงียบสงัดเป็นอย่างมาก


พอหลิ่วหมิงสังเกตดูแล้วก็เดินหน้าไปสองสามก้าวอย่างไม่ลังเล และใช้มือเคาะห่วงสัมฤทธิ์บนประตูเบาๆ


“ปังๆ!” เสียงจากประตูใหญ่ดังขึ้น


ผ่านไปตั้งนานประตูใหญ่ก็ยังคงเงียบงัดดังเดิม ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนมาเปิดประตูเลย


หลิ่วหมิงตาเป็นประกายเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังคิดว่าควรจะบุกเข้าไปดีหรือไม่นั้น ประตูใหญ่ที่อยู่เยื้องออกไปก็เปิดออกมา ชายที่ดูเหมือนเป็นข้ารับใช้ยื่นหน้ามามองอยู่ครู่หนึ่ง


แต่พอเขาเห็นหลิ่วหมิงยืนอยู่หน้าจวนเฉินและหันมามองหน้าเขา เขาก็รีบหดหัวเข้าไปด้วยความตกใจ


ชายหนุ่มรู้สึกแค่ว่ามีเงาร่างเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า แล้วหลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวออกมาราวกับปีศาจ และยังใช้มือข้างหนึ่งกดบานประตูไว้ ประตูที่ถูกปิดไปครึ่งหนึ่งก็หนักจนไม่สามารถขยับได้


“เจ้าจะทำอะไร ที่นี่เป็นจวนของใต้เท้าหวัง ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะมากำเริบเสิบสานได้” ข้ารับใช้ผู้นี้กล่าวด้วยความโมโห


“ใต้เท้าหวัง ไต้เท้าหลี่อะไรข้าไม่สน ข้าต้องการถามเพียงอย่างเดียว ทำไมจวนเฉินถึงได้ว่างเปล่าเช่นนี้ ผู้คนไปไหนกันหมด?” หลิ่วหมิงถามด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ขณะเดียวกันก็ออกแรงกดประตูเล็กน้อย


เสียงดัง “ฉับ!”


ประตูใหญ่ที่ดูแข็งแรงเป็นพิเศษถูกหักออกมาส่วนหนึ่ง


ข้ารับใช้ผู้นั้นรีบเปิดประตูในทันที และกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ที่แท้ก็เป็นท่านผู้ฝึกปราณ ตั้งแต่ผู้ตรวจการเฉินถูกจับขังเรือนจำ จวนเฉินก็ถูกราชสำนักเรียกคืนเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ได้ยินมาว่าผู้คนในจวนเช่าบ้านอยู่ทางทิศตะวันตกห่างที่นี่ไปสองถนน ถ้าท่านอยากไปหาล่ะก็ ไปถึงที่นั่นก็จะพบกับฮูหยินเฉินและคนอื่นๆ เอง”


“เจ้ารู้ที่อยู่บ้านเช่าที่ชัดเจนกว่านี้ไหม?” หลิ่วหมิงถามอย่างราบเรียบ


“เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่ค่อยรู้ชัดเจนมากนัก แต่ในจวนเฉินมีข้ารับใช้เก่าแก่อยู่คนหนึ่ง ทุกวันตอนเที่ยงจะไปร้านขายข้าวสารบริเวณหัวถนนเพื่อซื้อของกินกลับไป ถ้าท่านไปรอที่ร้านข้าวสารล่ะก็ คงจะได้พบกับเขา” ข้ารับใช้กล่าวอย่างนอบน้อม


หลิ่วหมิงพยักหน้า และเคลื่อนไหวทีเดียวก็ออกไปไกลหลายจั้ง จากนั้นเขาก็เดินไปยังทางเข้าตรอก


ข้ารับใช้ถอนหายใจยาวออกมา และรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว แต่พอเขาหันตัวกลับไป กลับค้นพบว่ามีชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีเขียวเข้มยืนอยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกล ใบหน้าเขาน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก


“นายท่าน?” ข้ารับใช้รีบเดินเข้าไปโค้งคำนับ


“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเมื่อครู่ถึงได้ยินเสียงคนคุยกัน เจ้าพูดจากับใครอยู่?” ชายวัยกลางคนถามด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์มากนัก


“เรียนนายท่าน เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ดูเหมือนว่าจะมีแขกมาหาจวนเฉินที่อยู่ฝั่งตรงข้าม…” ข้ารับใช้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับนายท่านของตนเองฟัง


“ผู้ฝึกปราณ! เจ้าสามารถยืนยันได้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ฝึกปราณ?” ชายวัยกลางคนฟังจบก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา


“นายท่าน ถ้าไม่ใช่ผู้ฝึกปราณ ประตูบ้านเราจะกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร” ข้ารับใช้ชี้ไปที่รอยแหว่งตรงประตู แล้วรีบกล่าวออกมา


……………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)