คัมภีร์วิถีเซียน 1779-1788

 ตอนที่ 1779 พิษยะเยือก

 

สือหลุนได้ยินคำนี้ ชั่วขณะขณะนั้นพลันรู้สึกตกตะลึง แทบจะโยนถุงหนังไปด้านหลังอย่างไม่ต้องขบคิด


เสียง “ฟุ่บ” ดังขึ้น


ถุงหนังระเบิดออกกลางอากาศ ชั่วขณะนั้นผึ้งพิษสีโลหิตกลุ่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้น


หลังจากเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น ผึ้งโลหิตก็กลายเป็นกลุ่มเมฆสีโลหิต ปรากฏขึ้นและตรงเข้าไปปกคลุมชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังสือหลุนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้


ชายหนุ่มผู้ที่สำแดงเคล็ดวิชาหลีกหนีออกมา แล้วปรากฏตัวขึ้นนั่นก็คือหานลี่


เมื่อเห็นผึ้งโลหิตโผมาหาตน ก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา


จำนวนของผึ้งโลหิตเหล่านั้นนับว่าไม่น้อย มีประมาณสามร้อยสี่ร้อยตัว อีกฝ่ายเลี้ยงดูพวกมันจนอยู่ในระดับโตเต็มวัย คงต้องทุ่มเทไปไม่น้อย แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมพบเข้า เกรงว่าคงก็ต้องหวาดกลัวไปสองสามส่วน


สำหรับเขาแล้ว ย่อมไม่มีค่าอันใด


เขาไม่ได้ขยับตัว แค่อ้าปากออก


พ่นเปลวเย็นเยียบห้าสีออกมา ไอเย็นเยียบเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วม้วนเอาผึ้งโลหิตกลุ่มนั้นเข้าไปข้างใน


เห็นเพียงลำแสงเย็นเยียบห้าสีหมุนวนโคจรไปมา ชั่วพริบตานั้นฝูงผึ้งโลหิตก็กลายเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ


สือหลุนเห็นสถานการณ์เช่นนั้นย่อมตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว แต่กับชูมือข้างหนึ่งขึ้น สำแดงกระจกโบราณสีเขียวบานหนึ่งออกมา


เห็นเพียงบานกระจกเปล่งแสงสว่างวาบ พ่นเสาลำแสงสีเขียวออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาอยู่ใกล้กับหานลี่แค่คืบด้วยความเร็วที่น่าพิศวง


หานลี่เลิกคิ้วน้อยๆ ไม่ทันได้หลบหลีก ตรงหน้ามีหมอกสีเทาม้วนวนเข้ามา ฉากลำแสงสีเทาปรากฏขึ้น


เสาลำแสงสีเขียวโจมตีไปยังม่านลำแสง แล้วจมหายเข้าไปในม่านลำแสงอย่างไร้ราวร่องรอยราวกับโคลนที่จมลงสู่มหาสมุทร


สือหลุนเองก็ตะลึงงัน ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ


หานลี่กลับยกมือข้างหนึ่งขึ้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก นิ้วชี้ยื่นไปที่ฝั่งตรงข้ามเบาๆ


เส้นไหมสีเขียวดีดตัวออกมา เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วสลายหายไปอย่างเงียบเชียบ


ครู่ต่อมาสือหลุนพลันรู้สึกว่าเบื้องหน้ามีลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ แฉลบผ่านหว่างคิ้วไป แล้วถูกเส้นไหมสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏออกมาทะลวงผ่านศีรษะไป ร่างกายแข็งทื่อไม่อาจรู้สึกอันใดได้อีก


ส่วนเส้นไหมสีเขียวกลับไม่มีท่าทีจะหยุดยั้งเลยสักนิด หลังจากวนล้อมรอบร่างกายของสือหลุนอย่างรวดเร็ว ก็สับออกเป็นเจ็ดแปดส่วน


ซากศพร่วงโรยลงมาราวกับพายุโลหิต แม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมที่ซ่อนอยู่ในร่าง ก็ถูกสังหารในพริบตา


“อ๊าก”


กลับเป็นบุรุษที่เพิ่งหนีรอดพ้นจากความตายมาได้หวุดหวิด ที่เห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้วร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง


ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำสองคนที่กำลังต่อสู้กับไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อ ย่อมมองเห็นฉากที่สือหลุนถูกสังหารเช่นกัน ทั้งสองพลันหน้าเปลี่ยนสี แขนขาทั้งสี่เย็นเยียบ ล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นภูตผีออกมาอย่างไรอย่างนั้น


เมื่อหานลี่หันหน้าไปมองพวกเขาสองคนด้วยสายตาเย็นเยียบนั้น


ผู้ช่วยของสือหลุนทั้งสองใจหายวาบ แทบจะสลัดคู่ต่อสู้ออกพร้อมกัน คนหนึ่งปล่อยมีดบินเล่มหนึ่งออกมา กลายเป็นลำแสงสีขาวพุ่งหลีกหนีไปไกล


อีกคนหนึ่งหลังจากที่ควักยันต์วิเศษสีดำแผ่นหนึ่งแล้วตบไปบนเรือนร่าง ก็มีไอสีดำทะลักออกมา ปกคลุมร่างของทั้งสองเอาไว้ แล้วหมุนวนหมายจะหนีไปอีกด้าน


ส่วนไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อ คนหนึ่งก็ไม่อาจพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ คนหนึ่งก็ยากจนจนไม่มีอาวุธเหาะเหิน จึงทำได้เพียงมองคู่ต่อสู้หนีไปไกลตาปริบๆ อดที่จะก่นด่าออกมาอย่างกลัดกลุ้มอยู่ที่เดิมไม่ได้


และในยามนั้นเองเสียงราบเรียบของหานลี่ก็ดังขึ้น


“จนถึงตอนนี้ ยังจะคิดหนีอีกหรือ!”


สิ้นเสียงร่างของหานลี่ก็มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองสองสายดีดตัวออกมา หลังจากกะพริบวาบ ก็ไล่ตามมาด้านหลังผู้บำเพ็ญเพียรที่มีเงาร่างสีดำสองคนที่กำลังคิดจะหนี


เสียง “ปังๆ” ดังขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนกลายเป็นเถ้าถ่านภายในลำแสงอัสนีสีทองโดยไม่ได้แม้แต่จะแค่นเสียงหึ


ชั่วขณะนั้นไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อที่กำลังกระทืบเท้าไม่หยุดพลันตกตะลึงเป็นไก่ตาแตก


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ บุรุษรูปงามผู้นั้นถึงได้ส่งเสียงหึๆ แล้วเอ่ยขึ้น


“ชี่หลิงจื่อ เจ้าคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณ พี่หานเองก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณ แต่อิทธิฤทธิ์แตกต่างกันนัก เจ้าต้องใช้เวลาสักพักถึงจะจัดการคู่ต่อสู้ได้ พี่หานแค่โบกมือก็สังหารได้แล้ว ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเจ้าอ่อนแอ หรือว่าพี่หานร้ายกาจเกินไป!”


ชี่หลิงจื่อที่ยังคงตกตะลึงได้ยินคำนี้ พลันได้สติคืนมา ทันใดนั้นก็อธิบายเสียงหลง


“ต้าเซ่า เจ้าเองก็เป็นผู้ฝึกตนระดับกลาง พูดถึงพละกำลังย่อมไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณ ก็จัดการคู่ต่อสู้ไม่ได้เหมือนกันมิใช่หรือ? อีกอย่างข้ายากจน มีแค่ ‘กระบี่ไม้รังไหมสีดำ’ เล่มเดียว เดิมก็ไม่อาจร่ายคาถาอันใดได้มากนักอยู่แล้ว”


“หึ ถึงอย่างไรเสียข้าก็มองว่าแค่นิ้วเดียวเจ้าสู้พี่หานไม่ได้ โชคดีที่ตอนแรกไม่ได้ถูกเจ้าหลอกให้เข้าร่วมอารามอู้ไห่ มิเช่นนั้นต้าเซ่าคงเสียเปรียบครั้งใหญ่แล้ว” สองมือของไห่ต้าเซ่าเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นถุงมือสีทองคู่หนึ่งก็สลายหายไป กลับเป็นพัดด้ามหนึ่งแทน และสะบัดหัวเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้ารู้อยู่ตั้งนานแล้ว


ชี่หลิงจื่อกลับถูกคำพูดของไห่ต้าเซ่าทำให้หน้าแดงเถือก ครานั้นพลันหาข้อโต้แย้งไม่ถูก ทำได้แค่ส่งเสียงหึๆ อีกครั้งแล้วทำเป็นไม่ได้ยิน


ส่วนไห่ต้าเซ่าที่เป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างง่ายดายในครั้งนี้ แน่นอนว่าย่อมพึงพอใจจนไม่พูดอันใดอีก


หานลี่พลันร่อนลงมาจากกลางอากาศ


“ข้าน้อยไป๋ฮั่วจี๋ ขอบังอาจเรียนถามชื่อเสียงเรียงนามของสหายทั้งสาม? ขอบพระคุณบุญคุณที่ช่วยชีวิต! มิเช่นนั้นข้าน้อยและบุตรสาวคงรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้” ยามนี้บุรุษวัยกลางคนพลันพาเด็กหญิงเดินมา และคารวะขอบคุณทั้งสามด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ


แต่สายตาที่เขามองมายังหานลี่ กลับอดที่จะเผยแววเลื่อมใสออกมาอย่างไม่รู้ตัว


ถึงอย่างไรเสียเมื่อครู่หานลี่เพิ่งสำแดงความสามารถที่ตกตะลึงออกมา แค่ปะหน้าเพียงสองสามครั้ง ก็สังหารผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกันสามคนได้ แถมยังมีท่าทางเหมือนไม่ได้ลงมือจริง


กำลังที่แท้จริงไม่ต่างอันใดกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมเท่าใดนัก


เห็นได้ชัดว่าไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อถูกสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันแสดงความเคารพนบน้อมด้วยเป็นครั้งแรก


ทันใดนั้นทั้งสองคนก็เอ่ยว่า ‘เรื่องเล็กน้อย’ ด้วยท่าทียิ่งใหญ่ คนหนึ่งมีสีหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจเพราะคำพูดของบุรุษวัยกลางคน และประกาศชีวิตของตนและหานลี่ออกไป


หานลี่มองทั้งสองคนอย่างราบเรียบแวบหนึ่ง แล้วกลอกตาไปมา แต่สายตากลับตกอยู่บนเรือนร่างของเด็กหญิงนามว่าไป๋กั่วเอ๋อร์


เด็กหญิงกำลังเขินอายยืนอยู่ด้านหลังบิดาของตน และใช้สายตาประหลาดใจพิจารณาหานลี่และพวกทั้งสาม          หลังจากที่นางประสานสายตากับหานลี่ กลับรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นเทา แล้วซ่อนอยู่ด้านหลังบุรุษวัยกลางคน


“เอ๋ บุตรสาวของท่านดูเหมือนจะผิดปกติ” อ่านได้ชั่วครู่ หานลี่ก็ร้องออกมาเบาๆ ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา


“อ๊ะ พี่หานมองพิษในร่างของนางออก!” บุรุษวัยกลางคนได้ยินคำนี้ ก็เผยสีหน้าตกตะลึงเช่นกันออกมา


“อืม ไอน้ำแข็งเย็นเยียบเข้าไปในจุดตันเถียนและชีพจรแล้ว หากไม่จำกัดล่ะก็ มากสุดก็อยู่ได้อีกเพียงสามปี ทว่าดูเหมือนว่าจะไม่ใช่พิษน้ำแข็งเย็นเยียบธรรมดาๆ หากจะรักษาจริงๆ ก็ยุ่งยากหน่อย” นัยน์ตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ เอ่ยคำพูดที่ทำให้บุรุษวัยกลางคนตกตะลึงออกมา


“อันใด สหายบอกว่าพิษนี้รักษาได้งั้นหรือ?” ไป๋ฮั่วจี๋แทบจะไม่เชื่อหูของตนเองพลางเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเทา


หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ขณะที่คิดจะตอบ แต่พลันขมวดคิ้ว จากนั้นก็เงยหน้ามองขอบฟ้า ดูเหมือนว่าจะพบอันใดเข้า


คนอื่นๆ เห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันตกตะลึง อดที่จะมองตามไปไม่ได้ แต่ไกลออกไปกลับเป็นท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ไหนเลยจะมีความผิดปกติอันใด


“พี่หาน เจ้า…” ไห่ต้าเซ่าประกบพัด แล้วทนไม่ไหวอยากจะถามอันใดเข้า


แต่ในยามนั้นเอง ขอบฟ้าพลันมีลำแสงสีขาวสว่างวาบ สายรุ้งสีขาวสายหนึ่งปรากฏขึ้น และพุ่งแหวกอากาศมาทางพวกเขา


“เอ๋ ท่านยาย!”


เด็กหญิงเห็นสายรุ้งสีขาวที่อยู่ไกลออกไป ก็ปรบมือด้วยรอยยิ้มเบิกบาน บุรุษวัยกลางคนเผยสีหน้าดีอกดีใจออกมา


“เอ๋ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวม? หรือว่าคือท่านอาวุโส ‘เซียนเย่ว์หัว’ ที่พวกเขาพูดถึงเมื่อครู่!” ชี่หลิงจื่อหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยขณะเอ่ยกับหานลี่


หานลี่พยักหน้า สีหน้าราบเรียบ ไม่ได้เผยสีหน้าผิดปกติอันใดออกมา


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ สายรุ้งสีขาวก็หม่นแสงลงเหนือทุกคน ชั่วขณะนั้นกลางอากาศพลันมีหญิงสาวสวมกระโปรงสีขาวอายุประมาณสามสิบปีเศษ หน้าตาสวยสดงดงามปรากฏขึ้น


“กั่วเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นไรสินะ” พอหญิงสาวปรากฏตัว เดิมก็มีสีหน้าร้อนใจ แต่เมื่อเห็นเด็กหญิงและบุรุษอย่างชัดเจน ชั่วขณะนั้นพลันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง


“ใต้เท้าแม่บุญธรรม กั่วเอ๋อร์ไม่เป็นอันใด เหตุใดท่านถึงมาที่นี่ได้ หรือว่ารู้ว่าลูกเขยกำลังประสบปัญหา” ไป๋ฮั่วจี๋ก้าวมาข้างหน้า คารวะไปกลางอากาศ แล้วเอ่ยถามด้วยความฉงนไปพร้อมกัน


“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว! ข้าได้ยินสหายสนิทคนหนึ่งบอกว่าพวกเจ้าดูเหมือนจะไปกับโจรภูเขาทิศใต้สามคนจากย่านร้านค้า โจรภูเขาทิศใต้สามคนมีชื่อเสียงเลื่องลือ ด้วยความกังวลจึงออกมาทันที หรือว่าสามคนนั้นคือโจรภูเขาทิศใต้ทั้งสามคน?” หญิงสาวตอบคำถามของบุรุษอย่างง่ายๆ สองสามประโยค เมื่อกลอกตามาชั่วขณะนั้นก็ตกอยู่บนเรือนร่างของหานลี่และพวกทั้งสาม แววตาฉายแววเย็นชา พลังแรงกดอันน่าตกตะลึงแผ่ไปที่ทั้งสามคนทันที


ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อพลันตกตะลึง ชั่วขณะนั้นพลันไม่อาจต้านทานพลังแรงกดได้จนถอยออกไปสองสามก้าว แม้กระทั่งแทบจะคุกเข่าลงไป


หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม โบกมือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ชั่วขณะนั้นพลังไร้รูปร่างพลันทะลักเข้ามา


เสียง “ปัง” ดังขึ้น พลังแรงกดมหาศาลกลางอากาศถูกโจมตีจนสลายหายไป


“เอ๋ พวกเจ้าไม่ใช่โจรภูเขาทิศใต้ทั้งสามคน!” หญิงสาวใจหายวาบ พิจารณาหานลี่และพวกทั้งสามอย่างละเอียดอีกครั้ง ใบหน้างดงามเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา


“ใต้เท้าแม่บุญธรรม ช้าก่อน! สหายทั้งสามไม่ใช่โจรภูเขาทิศใต้สามคน โจรภูเขาทั้งสามถูกสังหารไปแล้ว ข้าและกั่วเอ๋อร์โชคดีได้พวกเขาลงมือช่วยเหลือ และยิ่งไปกว่านั้นสหายหานผู้นี้ ดูเหมือนว่าจะมีวิธีกำจัดพิษในร่างของกั่วเอ๋อร์” บุรุษวัยกลางคนเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็ร้องตะโกนไปทางหญิงสาวอย่างร้อนรน


“อันใด พวกเขามีวิธีรักษากั่วเอ๋อร์ เป็นเช่นนั้นจริงหรือ!” ได้ยินคำพูดแรกของไป๋ฮั่วจี๋ สีหน้าเย็นชาของหญิงสาวก็ผ่อนคลายลง แต่หลังจากเอ่ยประโยคสุดท้ายหน้าพลันเปลี่ยนสี ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้ายินดี


“เรื่องนี้ ลูกเขยยังไม่ได้ถามไถ่พี่หานอย่างละเอียด ใต้เท้าแม่บุญธรรมก็มาถึงแล้ว” บุรุษวัยกลางคนหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา และใช้สายตาส่งสัญญาณตำแหน่งของหานลี่ไปให้หญิงสาว

 

 

 


ตอนที่ 1780 จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวน

 

“ผู้นี้คือสหายหานอย่างนั้นหรือ?” หญิงสาวเหลือบมองหานลี่อย่างระมัดระวัง แววตาของนางแฝงความรู้สึกประหลาดใจอยู่แวบหนึ่ง


เมื่อครู่หานลี่เพิ่งจะคลายพลังแรงกดที่นางปล่อยออกมา หญิงสาวผู้นี้ย่อมมองออก ยามนี้เมื่อได้ยินว่าเขาคือคนเดียวกับคนที่ช่วยเด็กหญิงไว้ นางกลับรู้สึกใจหายวาบ


นางสัมผัสได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณ แต่กลับมีพลังแรงกดอีกที่นางอธิบายไม่ได้แผ่ออกมารางๆ หญิงสาวรู้สึกว่าหากเขาลงมือโจมตี นางคงถูกฆ่าตายในการโจมตีครั้งเดียว


“จะมีเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?”


หญิงสาวกรีดร้องในใจ  พลังปราณในร่างกายแปรปรวนไปชั่วขณะ จากนั้นเธอก็ใช้จิตสัมผัสกวาดไปทางหานลี่อย่างละเอียด


แต่ครั้งนี้ พลังแรงกดในตัวหานลี่กลับหายไป ราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


หญิงสาวขบคิดในใจอย่างรวดเร็ว และยิ่งฉงนสงสัยมากยิ่งขึ้น แต่เพื่อสาวน้อยไป๋กั่วเอ๋อร์ ก็ยังยังคงเผยรอยยิ้มให้พวกหานลี่


“ข้า เย่ว์หัว ขอขอบคุณสหายทั้งสามที่ได้ช่วยลูกเขยและกั่วเอ๋อร์เอาไว้! หากไม่รังเกียจ สหายทั้งสามได้โปรดไปพักที่ถ้ำพำนักของข้าสักครู่เถิด เย่ว์หัวต้องขอบคุณท่านสหายทั้งสามอย่างยิ่งที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้”


“เรื่องนี้….”


เมื่อเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวม แม้ว่าไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อจะเริ่มคุ้นชินแล้ว แต่ก็อดที่จะทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อยไม่ได้ และใช้สายตาเหลือบไปมองหานลี่อย่างอดไม่ได้


หานลี่เองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่หลังจากเขากวาดตามองไปยังกั่วเอ๋อร์ ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ


“ในเมื่อสหายเย่ว์เอ่ยชวนแล้ว พวกเราทั้งสามก็ขอรบกวนแล้ว”


“รบกวนอันใดกัน สหายทั้งสามไปเยี่ยมถ้ำพำนักเก่าๆ ซอมซ่อของข้า ก็นับว่าเป็นเกียรติของเย่ว์หัวแล้ว!” หญิงสาวตกใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินหานลี่ใช้คำเรียกนางในระดับเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้เผยสีหน้าโกรธขึ้งออกมา กลับรู้สึกดีใจนิดๆ ด้วยซ้ำ


เห็นได้ชัดว่าเซียนเย่ว์หัวนั้นคาดเดาอันใดได้อยู่ลึกๆ


บุรุษวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ พลันอ้าปากค้างเล็กน้อย มองไปทางหานลี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ


ผู้อื่นไม่รู้หรอก แต่เขารู้ว่าใต้เท้าแม่บุญธรรมผู้นี้ของเขานั้นหยิ่งผยองมากเพียงใด ยามนี้กลับมีมารยาทกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณคนหนึ่ง ทำให้เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อจริงๆ


กลับเป็นไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อที่เพิ่งเคยคบค้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวม จึงไม่ได้รู้สึกว่าผิดปกติอันใด เมื่อได้ยินว่าเซียนเย่ว์หัวต้องการตอบแทนพวกเขา กลับฉีกยิ้มเบิกบาน


ในยามนั้นหานลี่พลันยกมือขึ้นปล่อยรถเหาะออกมา คนทั้งกลุ่มหมายจะออกเดินทาง เสียงดนตรีอันไพเราะพลันดังแว่วมา


เสียงดนตรีอันไพเราะเสนาะหูทำให้ผู้คนได้ยินแล้วรู้สึกลุ่มหลงดังขึ้น


หานลี่และพวกของเซียนเย่ว์ได้ยินคำนี้พลันตกตะลึง พลางหันไปมองยังท้องฟ้าที่มีเสียงดังขึ้นพร้อมกัน


เห็นเพียงขอบฟ้าที่ไกลออกไปมีหมอกลำแสงห้าสีหมุนวน นักรบสวมชุดเกราะสีดำขี่อยู่บนอสูรหัวโคร่างพยัคฆ์สองแถวปรากฏขึ้น


นักรบชุดเกราะเหล่านี้ล้วนมีสีหน้าราบเรียบ ถือขวานยาว และขวานสั้นเอาไว้ กระตุ้นอสูรประหลาดใต้หว่างขาบินไปข้างหน้าอย่างแช่มช้า


เซียนเย่ว์หัวกวาดจิตสัมผัสไปยังผู้ที่ขี่อสูรด้านบน แล้วกลับสูดลมหายใจเข้าอย่างตกตะลึง


นักรบเหล่านี้อยู่ในระดับก่อกำเนิดทั้งหมด และมีประมาณร้อยคน


หลังจากที่นักรบเหล่านี้บินผ่านไปเป็นแถวๆ รถสงครามสีดำสนิทก็บินออกมาจากหมอกลำแสงห้าสี


ทุกคันล้วนวิจิตรงดงาม ด้านบนมีนักรบชุดเกราะแต่งกายเหมือนกันนั่งอยู่สามคน ด้านหน้ามีวิหคหน้าตาโหดเหี้ยมลากรถอยู่


หลังจากที่รถศึกสามสิบหกคันที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วบินผ่านไป ผู้บำเพ็ญเพียรสวมอาภรณ์หลากหลายก็ปรากฏตัวขึ้นเป็นคู่ๆ บ้างก็แก่ชราบ้างก็เด็ก บ้างก็เป็นบุรุษบ้างก็เป็นสตรี ทุกคนล้วนมีแววตามีเลศนัย กลิ่นอายไม่ธรรมดา


ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้อยู่แค่สิบแปดคน แต่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย


ด้านหลังผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ หลังจากเสียงหวีดร้องดังขึ้นท่ามกลางหมอกลำแสง พลันมีหอคอยสองชั้นปรากฏขึ้นรางๆ  ไม่ควรจะเรียกว่าหอคอยควรจะเรียกว่ารถอสูรยักษ์ถึงจะถูก


ตัวรถสูงประมาณยี่สิบสามสิบจั้ง รูปทรงวิจิตรงดงาม ด้านหน้ามีนกยูงสีขาวหิมะขนาดสิบจั้งแปดตัวลากรถอยู่


ชั้นหนึ่งของรถอสูรมีหญิงสาวสวมชุดชาววังหลากสีสันนั่งอยู่เป็นกลุ่ม


ทุกคนล้วนมีหน้าตาพริ้มพราย และยิ่งไปกว่านั้นยังกอดเครื่องดนตรีอย่างผีผา[1]และขลุ่ยยาวต่างๆ เอาไว้


เสียงสวรรค์นั้นก็คือเสียงที่ดังมาจากในมือของสตรีเหล่านั้น


แต่สายตาของหานลี่กลับไม่ได้อยู่บนเรือนร่างของหญิงสาวเหล่านี้ แต่มองไปยังชั้นสองของรถอสูร ตรงนั้นมีคนสามคนนั่งล้อมอยู่บนโต๊ะหยกสีเขียวมรกตตัวหนึ่ง


บนโต๊ะมีผลวิญญาณและสุราวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด คาดไม่ถึงว่าทั้งสามจะกำลังพูดคุยอันใดกันอยู่


ทว่าแววตาของหานลี่กลับเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วเลื่อนไปยังธงอาคมยักษ์สีเงินระยิบระยับที่อยู่บนหลังคาของรถเหาะขนาดยักษ์


ธงนี้แกะสลักเป็นรูปมังกรและหงส์ ระลอกคลื่นของเขตอาคมแผ่ออกมาไม่หยุด ส่วนใจกลางของธงอาคม กลับมีตัวอักษรโบราณขนาดใหญ่คำว่า ‘ศักดิ์สิทธิ์’


“จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ สัญลักษณ์ของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวน! นี่คือขบวนของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์!” เซียนเย่ว์ที่อยู่ด้านข้าง เห็นธงบนรถอสูรยักษ์อย่างชัดเจน กลับร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง


หานลี่ได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แววตาเคร่งขรึม ในที่สุดก็มองเห็นผู้ที่พูดคุยกันทั้งสามคนบนชั้นสองอย่างชัดเจน


ทั้งสามคนล้วนมีหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์


หนึ่งในนั้นสวมชุดนักปราชญ์สีขาว หน้าตาสง่างาม แต่หูทั้งกลับยาวเป็นพิเศษ สีหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ


ด้านข้างเป็นชายชราคนหนึ่ง สวมชุดคลุมยาวสีเทา หน้าตาซูบตอบ แต่ดวงตาทั้งสองกลับเปล่งแสงสีเขียวมรกตอ่อนๆ ออกมา


คนสุดท้ายคือภิกษุอ้วนท้วนสวมจีวรสีม่วง ทว่าท่าทางอายุสี่สิบห้าสิบปี แต่กลับมีหูอวบๆ สีหน้าอ่อนโยนและมีเมตตา


คาดไม่ถึงว่าทั้งสามคนจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์!


ชายชรายังพอว่า แค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นเหมือนกันกับเขา ภิกษุกลับเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง


ส่วนนักปราชญ์สวมชุดสีขาว ภายใต้เนตรวิญญาณของเขา วงแหวนลำแสงสีขาวนวลที่ห่อหุ้มผิวกายอยู่ ต้องเสียแรงจำนวนมาก ถึงจะพอดูออกว่าอีกฝ่ายคือสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายที่น่ากลัว


ดูแล้วนักปราชญ์ชุดขาวผู้นี้ คงเป็นหนึ่งในสามจักรพรรดิ จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวน!


บุรุษวัยกลางคนและพวกชี่หลิงจื่อกับไห่ต้าเซ่าที่อยู่ด้านข้าง เห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึงจนตาค้างไปตั้งนานแล้ว เมื่อได้ยินว่านี่คือขบวนของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวน


นี่คือสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ ที่ทั้งเผ่ามนุษย์นั้นมีเพียงยี่สิบสามสิบคนเท่านั้น ส่วนสามจักรพรรดิยิ่งเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดของเผ่ามนุษย์


ผู้บำเพ็ญเพียรที่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของสามจักรพรรดิ ในเผ่ามนุษย์ก็พบเห็นได้ไม่มากนัก


พวกเขาได้พบกับขบวนรถของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่นี่ ก็นับว่ามีวาสนาไม่น้อยแล้ว


ทว่าเมื่อสายตาของหานลี่พิจารณานักปราชญ์สวมชุดสีขาวในรถอสูรที่อยู่ไกลออกไปอย่างละเอียด จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนที่กำลังพูดคุยกับภิกษุที่อยู่ตรงข้ามด้วยรอยยิ้ม ก็หน้าเปลี่ยนสี จากนั้นพลันยืนขึ้น สาวเท้ามาที่มุมของชั้นสอง รูม่านตาเปล่งแสงสีทองสว่างวาบขณะมองมายังตำแหน่งของหานลี่


“ไม่ทราบว่าสหายท่านใดอยู่ที่นี่ หากไม่รังเกียจก็มาดื่มสุรากันสักจอกเถิด!”


เสียงของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนไม่ดังนัก แต่ก็ก้องสะท้านไปมากลางอากาศ ดังเข้ามาในโสตของทุกคนอย่างชัดเจน


นอกจากหานลี่ ไม่ว่าเซียนเย่ว์หัวหรือว่าพวกของไห่ต้าเซ่า ก็อดที่จะมองสบตากันไปมาไม่ได้


“ท่านอาวุโสจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ หรือว่ากำลังพูดคุยกับพวกเรา?” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ไห่ต้าเซ่าถึงได้กลืนน้ำลาย แล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเองด้วยความไม่อยากจะเชื่อ


“เป็นไปไม่ได้กระมัง ผู้ที่ท่านอาวุโสจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เรียกขานเช่นนี้ น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันเท่านั้น จะเป็นพวกเราไปได้อย่างไร” ไป๋ฮั่วจี๋สั่นศีรษะอย่างต่อเนื่อง ท่าทางเป็นไปไม่ได้


“แต่ในละแวกนี้ ดูเหมือนจะมีแค่พวกเรา” ชี่หลิงจื่อกะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยพึมพำเช่นกัน


นั่นมันก็จริง! โจรภูเขาทิศใต้ทั้งสามอยากลงมือกับไป๋ฮั่วจี๋และบุตรสาวได้สะดวก จึงจงใจล่อพวกเขามาที่แดนรกร้าง ในรัศมีร้อยลี้ย่อมไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นได้


คนอื่นๆ ล้วนรู้สึกงุนงง ส่วนหานลี่จะไม่รู้ว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนผู้นี้เอ่ยกับตนเองได้อย่างไร ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้ว แล้วหันหน้าไปเอ่ยกับพวกไห่ต้าเซ่าอย่างราบเรียบ


“สหายไห่ พวกเจ้าสองคนไปพักที่ถ้ำพำนักของสหายเย่ว์หัวก่อนเถิด ข้าจะไปพบกับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวน อีกเดี๋ยวจะตามพวกเจ้าไป”


เมื่อไห่ต้าเซ่าชี่หลิงจื่อรวมทั้งเซียนเย่ว์หัวและบุรุษวัยกลางคนได้ยินคำพูดของหานลี่ย่อมตกตะลึงจนอ้าปากค้าง


“พี่หาน ท่านพูดอันใด…” ไห่ต้าเซ่าออกเสียงอย่างไม่ชัดเจนเล็กๆ


แต่หานลี่กลับสั่นศีรษะ ไม่ได้เอ่ยอันใด ผิวเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งไปยังขบวนรถที่อยู่ไกลออกไป หลังจากกะพริบวาบๆ ก็อยู่ห่างออกไปพันจั้งเศษ


ที่เดิมจึงเหลือเพียงพวกที่อ้าปากค้าง มีเพียงเด็กหญิงนามว่าไป๋กั่วเอ๋อร์ที่มองคนอื่นๆ พร้อมกับกะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนว่าจะเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็มีท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู


“ที่แท้สหายหานก็เป็นท่านอาวุโสระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่ง ข้าทายออกตั้งนานแล้ว นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ คนอื่นจะมีวิธีกำจัดพิษเย็นเยียบในร่างของกั่วเอ๋อร์ได้อย่างไร!” หญิงสาวเอ่ยขึ้นตามความรู้สึก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นดีอกดีใจ


“สหายไห่ หรือว่าพวกเจ้าสองคนก็เป็น…” ไป๋ฮั่วจี๋กลับจ้องเขม็งไปยังไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อ แล้วคิดจะเอ่ยอันใดออกมาอย่างติดขัดๆ


“ไม่ๆ ข้าสองคนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาของจริง ข้ามีพลังยุทธ์แค่ระดับสร้างปราณ ไม่โกหกเลยสักนิด พวกเราและพี่…ไม่สิ ท่านอาวุโสหานเพิ่งจะรู้จักกันระหว่างทาง ไม่รู้ว่าเขาคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์เลยสักนิด” ชี่หลิงจื่อได้สติกลับคืนมา ก็รีบร้อนสั่นศีรษะขณะตอบกลับราวกับกังหันลม


“พวก…พวกเราเดินทางกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์มาสองสามเดือน แถม…แถมยังดื่มชาและสุราด้วยกัน…แล้วยังแทนตัวในระดับเดียวกัน ชี่หลิงจื่อ ข้า…ไม่ได้ฝันกลางวันอยู่สินะ!” ไห่ต้าเซ่าเอ่ยอย่างเข้าใจแล้วแต่ก็เหมือนกับกำลังหลับฝันไป


ในเวลาเดียวกันหานลี่ที่กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวมาอยู่ใกล้ๆ กับขบวนรถแล้ว นักรบชุดเกราะย่อมได้ยินคำพูดก่อนหน้าของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวน จึงไม่ได้เข้ามาขัดขวางอันใด


ลำแสงหลีกหนีของหานลี่หม่นแสงลง ปรากฏตัวขึ้นในชั้นสองของรถอสูรขนาดยักษ์ และประสานมือคารวะสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ทั้งสามคน แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ


“ข้าน้อยหานลี่ คารวะสหายทั้งสาม”


“เอ๋ หานลี่ หรือว่าจะเป็นสหายหานที่เพิ่งพัฒนาระดับขั้นได้ในเขตเทียนหยวนของข้า! ตาเฒ่าหวงตั้งคารวะสหาย” ชายชราร่างกายผ่ายผอมได้ยินคำนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีขณะคารวะกลับ


“หึๆ ผู้แซ่หานเพิ่งจะบรรลุระดับขั้นได้ไม่กี่ปี!” หานลี่มุมปากกระตุก แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ


[1] ผีผา เป็นเครื่องดนตรีเครื่องสายของจีนอย่างหนึ่ง เครื่องดนตรีนี้มีรูปร่างเหมือนลูกแพร์ เล่นด้วยการใช้นิ้วดีดสาย

 

 

 


ตอนที่ 1781 จักรพรรดิสุรา?

 

“ที่แท้สหายก็คือหานลี่ที่เพิ่งพัฒนาระดับเมื่อสองสามปีก่อน ช่างเสียมารยาทจริงๆ! น่าเสียดายสหายปฏิเสธคำเชิญของเมืองศักดิ์สิทธิ์ไป มิเช่นนั้นข้าคงได้ดื่มสุรากับสหายหานตั้งนานแล้ว” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนพิจารณาหานลี่สองสามแวบ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม


“จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์พูดถูก ได้ยินว่าสหายหานพัฒนาจากระดับเทพแปลงมาอยู่ในระดับนี้ได้ภายในเวลาแค่สองสามร้อยปี ความเร็วที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้ แต่ก็เพียงพอจะทำให้พวกเราเหงื่อแตกพลั่กแล้ว” ภิกษุร่างอ้วนท้วมเบะปากใส่หานลี่ มีท่าทีสนใจหานลี่เช่นกัน


“ปรมาจารย์ผู้นี้ชมเกินไปแล้ว คุณสมบัติของผู้แซ่หานธรรมดาๆ หากไม่ใช่เพราะว่าบังเอิญมีวาสนาสองสามครั้งในแดนรกร้าง ไหนเลยจะพัฒนาได้รวดเร็วเพียงนี้” หานลี่กลับแสดงท่าทีมีมารยาทเป็นอย่างมากออกมา


“ปรมาจารย์เทียนฉาน มีอันใด ให้พวกเราแสดงความนับถือสหายหานด้วยสุราสักจอกแล้วค่อยว่ากันเถิด ข้าไม่มีงานอดิเรกอันใด แค่มักชอบดื่มสิ่งที่ถูกในจอก หากไม่ใช่เพราะต้องสืบทอดจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่ถ่ายทอดกันมา ข้าก็อยากจะเป็น ‘จักรพรรดิสุรา’ สักหน่อย จุ๊ๆ จักรพรรดิสุรา นี่สิถึงจะเป็นคำเรียกจากจิตใจของข้า” นักปราชญ์ชุดขาวเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา ยกมือขึ้นตะปบไปทางโต๊ะหยก ถ้วยหยกสีเขียวมรกตและไหสุราสีแดงสดที่ดูเหมือนปะการัง ถูกดูดเข้ามาแล้วร่อนลงในมือทั้งสอง


จากนั้นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนผู้นี้ก็สะบัดข้อมือ เทสุราวิญญาณเข้มข้นออกมาจากไหสุรา เป็นสีเหลืองโปร่งใส ราวกับสีอำพัน และส่งให้หานลี่ด้วยตัวเอง


หานลี่ไม่กล้าดูแคลน ปากเอ่ยขอบคุณ แล้วรับจอกสุรามา ชั่วพริบตาก็แผ่จิตสัมผัสไปรัดรอบจอกสุราเอาไว้ และรู้ว่าไม่มีปัญหาอันใด ตรงกันข้ามสุรานี้ใช้สิ่งใดก็ไม่รู้หมักขึ้น กลิ่นหอมที่โชยออกมา แฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณที่น่าตกตะลึง ไม่ด้อยไปกว่าสมุนไพรวิเศษที่ใช้พัฒนาพลังยุทธ์เลย


หานลี่ขยับแขน ค่อยๆ ดื่มสิ่งที่อยู่ในจอกจนหมด


“สุราดี ในบรรดาสุราวิญญาณที่ผู้แซ่หานรู้จัก น่าจะจัดอยู่ในสามอันดับแรก” หานลี่ดื่มเสร็จ ใบหน้าก็มีลำแสงสีเหลืองเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป พลางเอ่ยพร้อมกับหน้าเปลี่ยนสี


“สามอันดับแรก? เช่นนั้น สหายหานรู้จักสุราวิญญาณที่ดีกว่า ‘สุราวิญญาณพยัคฆ์’ หรือ!” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนได้ยินคำนี้ พลันตกตะลึง จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างยินดีปรีดา


หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ยามที่คิดจะตอบอันใดนั้น ชายชรานามว่าหวงตั้งกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ


“จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ พวกเราดื่มสุราไปพลาง คุยกันไปพลางเถิด ให้พี่หานยืนคุยเช่นนี้ จะเสียมารยาทไปหน่อย”


“ก็ใช่ ข้าดีใจเกินไปหน่อยที่ได้พบสหายหาน เผ่ามนุษย์ของพวกเราไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรที่พัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ได้เกือบพันปีแล้ว” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนตบศีรษะ แล้วรีบร้อนเชิญหานลี่นั่ง ส่วนตัวก็กลับไปนั่งยังตำแหน่งหลัก


จากการคบหาจนมาถึงยามนี้ ความรู้สึกของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนที่มอบให้หานลี่นั้นไม่เลวจริงๆ


แม้ว่าจะสมญานามว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับดูเหมือนว่าจะเป็นคนดีมาก ไม่มีกลิ่นอายความเคร่งครัดของลัทธิขงจื๊อเลยสักนิด


ทว่าพวกเขาเป็นผู้ที่มีพลังยุทธ์ระดับนี้ ย่อมไม่อาจใช้ความประทับใจเพียงสั้นๆ มาตัดสินว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไรได้


หานลี่เอ่ยปากอย่างถ่อมตน แล้วนั่งอยู่ตรงข้ามจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวน


“สหายหานยามนี้ก็กล่าวได้แล้วว่า เจ้ารู้จักสุราวิญญาณชนิดใดที่ดีกว่าสุราวิญญาณพยัคฆ์ของข้า สหายเคยชิมหรือไม่” ดูเหมือนว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนผู้นี้จะเป็นผีสุราตัวจริง เมื่อหานลี่นั่งลง ก็เอ่ยถามอย่างทนรอไม่ไหว


“สุราวิญญาณพยัคฆ์ของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์คือสุราวิญญาณที่หายากในแดนวิญญาณ ทว่าข้าน้อยโชคดีเคยชิม ‘สุราวิญญาณเก้าหอม’ ของชนต่างเผ่าในแดนรกร้าง ไม่ว่ากลิ่นหอมของสุราหรือว่าประสิทธิภาพของมัน ก็ไม่ด้อยไปกว่าสุราวิญญาณพยัคฆ์เลย” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างละเอียด


“สุราวิญญาณของเผ่าปีศาจ? สุราวิญญาณเก้าหอม! สหายได้เอาสุราวิญญาณนี้กลับมาสักกาสองกาหรือไม่”  จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนเอ่ยถามอย่างเฝ้าหวังเล็กๆ


ภิกษุเทียนฉานและหวงตั้งเองก็มองหานลี่ด้วยความสนอกสนใจเช่นกัน


“สุราวิญญาณเก้าหอมก็เป็นสุราลับที่สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ที่ชนต่างเผ่าหมักขึ้น ยามนั้นผู้แซ่หานยังไม่พัฒนาระดับขั้น ไหนเลยจะมีคุณสมบัติไปขอสุรานั้น โชคดีได้ดื่มสักจอกก็นับว่ามีวาสนาแล้ว” หานลี่กลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา


“นั่นมันก็จริง ปกติแล้วสุราวิญญาณพยัคฆ์ของข้าก็เป็นของล้ำค่ามาก ไม่ได้เอาออกมาต้อนรับแขกง่ายๆ” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนไม่ปกปิดความผิดหวังเลยสักนิด และถอนหายใจขณะเอ่ย


“หึๆ จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ไม่จำเป็นต้องเสียใจขนาดนั้น แม้ว่าข้าน้อยจะไม่มีสุราวิญญาณเก้าหอม แต่อีกสักระยะหนึ่ง ก็อาจจะได้สุราอีกชนิดหนึ่งมา ถึงยามนั้นจะนำมาให้ท่านจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลิ้มลองด้วยตนเอง” ฉับพลันนั้นหานลี่ก็เผยรอยยิ้มลึกลับออกมาขณะเอ่ย


“อ่า สุราวิญญาณอันใด หรือว่าเหนือกว่าสุราวิญญาณพยัคฆ์ของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์และสุราวิญญาณเก้าหอม?” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนยังไม่ทันได้ตอบคำถามนี้ ชายชราร่างกายผ่ายผอมก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น


เห็นได้ชัดว่าผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ชื่นชมสิ่งที่อยู่ในจอก


นั่นก็ไม่แปลก ผู้บำเพ็ญเพียรมักจะนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญเพียรเป็นเวลานาน จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสิ่งของนอกกายนัก ปกติแล้วบุรุษผู้บำเพ็ญเพียรนอกจากจะสนใจชาวิญญาณแล้ว ส่วนใหญ่ก็มักจะดื่มสุราวิญญาณ


“ยามที่ผู้แซ่หานไปหาประสบการณ์ในแดนรกร้างนั้นโชคดีได้ผลวิญญาณตาข่ายแดนที่ใช้หมักสุราเซียนตาข่ายแดงมาสองสามส่วน แม้ว่าจะยังต้องมีวัตถุดิบเสริมในการหมัก แต่ขอแค่ใช้เวลาสักหน่อย ก็น่าจะไม่มีปัญหา” หานลี่ฉีกยิ้มให้กับทุกคนขณะเอ่ย


“สุราเซียนตาข่ายแดง! ว่ากันว่าเป็นสุราเซียนที่มีอยู่แค่ในแดนเซียน!” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนได้ยินคำพูดของหานลี่ก็พลันตะลึงงัน จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง


ส่วนชายชราและภิกษุนั้นเห็นได้ชัดว่าเคยได้ยินสุราวิญญาณชนิดนี้มาก่อน สายตาที่มองหานลี่จึงแข็งค้างเล็กน้อย


นี่คือสุราวิญญาณแดนเซียน แดนวิญญาณจะหมักขึ้นมาได้อย่างไร!


“หรือว่าสหายหานกำลังล้อเล่น ผลตาข่ายแดงเป็นของที่มีอยู่แค่ในแดนเซียน จะได้มาได้อย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นว่ากันว่าหากปลูกผลตาข่ายแดงจนอยู่ในอายุที่นำมาหมักสุราได้ ต้องใช้เวลาเป็นหมื่นๆ ปี ปลูกในแดนเซียนก็ยังไม่ง่าย สหายหานคงไม่ได้เข้าใจผิดหรอกกระมัง” ภิกษุเทียนฉานเอ่ยถามด้วยความตกตะลึง


“ผลวิญญาณที่ใช้หมักสุราเซียนตาข่ายแดงได้นี้ ข้าน้อยบังเอิญพบเข้ายามที่ออกไปผจญภัยที่แดนรกร้าง ส่วนเหตุใดถึงไปปรากฏตัวที่นั่น ก็มีแค่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ เป็นผลตาข่ายแดงไม่ผิดแน่ จุดนี้ผู้แซ่หานมั่นใจ” หานลี่เอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ


“เยี่ยมๆ หากสหายหมักสุราเซียนตาข่ายแดงได้จริงๆ ผู้อื่นข้าไม่สน แต่จะต้องเก็บให้ข้าสองสามกา ใช่แล้ว วัตถุดิบที่ยังขาดในการหมักสุรานี้ ข้าจะไม่ดื่มฟรีๆ พวกเราสามคนจะช่วยเจ้ารวบรวมเอง” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาพลางเอ่ยคำว่า ‘เยี่ยม’ สองครั้ง แล้วเอ่ยอย่างอดทนรอไม่ไหวแล้ว


“จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ทรงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นัก ทั้งๆ ที่ข้าอยากดื่มสุราล้ำเลิศของแดนเซียน กลับให้เราสองคนช่วยรวบรวมวัตถุดิบ” ภิกษุเผยสีหน้าๆ นิ่วคิ้วขมวดออกมา


“ฮ่าๆ ภิกษุอย่างเจ้าไม่ค่อยซื่อสัตย์นัก ข้าไม่เชื่อว่าพอหมักสุราออกมาแล้ว เจ้าไม่ลองดื่ม สุราล้ำเลิศที่มีชื่อเสียงของแดนเซียน หากได้ลิ้มลองสักหน่อย ก็นับว่าโชคดียิ่งแล้ว” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนกลับหรี่ตาขณะตอบ


“นั่นมันก็ใช่ แม้ว่าปกติแล้วอาตมาจะมิได้โลภ แต่สุราวิญญาณของแดนเซียนย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะต้องดื่มให้ได้” ภิกษุครุ่นคิดเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะตอบกลับอย่างซื่อสัตย์


ชายชราร่างกายผ่ายผอมไม่ยอมปริปากอยู่ที่ด้านข้าง


“หากสหายทั้งสามยอมช่วย ข้าน้อยก็จะใช้เคล็ดวิชาลับนิดหน่อยให้หมักเสร็จได้ในช่วงงานหมื่นสมบัติ” หานลี่ได้ยินดังนั้น ก็เอ่ยด้วยใจที่เต้นระรัวเล็กน้อย


“เช่นนั้นยิ่งดี คิดดูแล้วสุรานี้คงดังสะท้านงานชุมนุมแน่ หึๆ จากที่ข้ารู้มาจักรพรรดิป้าก็หลงรักสุราชั้นเลิศไม่ด้อยไปกว่าข้า และยังมีราชาปีศาจทั้งเจ็ดที่เป็นผีสุราอีก สหายเอารายการวัตถุดิบที่ต้องการออกมาเถิด เพื่อการชุมนุมครั้งนี้ ข้าได้นำสมบัติจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์มาด้วยไม่น้อย” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนกระทำการอย่างลวกๆ เป็นอย่างยิ่ง พลันยื่นมือออกมาถามหาคัมภีร์จากหานลี่ตรงๆ


หานลี่ก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ หยิบคัมภีร์สีขาวออกมา สองมือเปล่งแสงสว่างวาบแล้วประกบมือทั้งสองเข้าด้วยกัน โยนสิ่งที่จารึกอยู่ด้านในไปฝั่งตรงข้าม


จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ตะปบมือข้างหนึ่ง ดูดคัมภีร์เข้ามาในมือ หลังจากใช้จิตสัมผัสกวาดไปแล้ว ก็พยักหน้าแล้วเก็บไว้ พลางเอ่ยกับหานลี่


“อีกสองสามวัน น่าจะช่วยสหายรวบรวมสิ่งของได้ครบ พี่หานจะมาเอาเอง หรือให้ข้าส่งคนไปมอบให้”


“ไม่ต้องส่งมาหรอก ข้ายังไม่มีที่พักที่แน่นอน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สามวันให้หลังข้าจะไปพบกับสหายอีกครั้ง” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วตอบกลับเช่นนี้


“ก็ดี ข้าได้ยินว่าราชามังกรวารีเพลิงและราชาปีศาจหงส์ดำไปถึงภูเขาเก้าเซียนแล้ว ถึงยามนั้นข้าก็จะแนะนำให้พี่หานรู้จักสักหน่อย” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนตกปากรับคำเต็มคำ


“ราชาหงส์ดำ!” หานลี่ได้ยินชื่อนี้ ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


“อันใด พี่หานรู้จักสหายหงส์ดำ!” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


“ผู้แซ่หานไม่รู้จักราชาหงส์ดำ แค่เคยรู้จักกับชาวเผ่าหงส์ดำมาก่อนหน้านี้เท่านั้น” หานลี่สั่นศีรษะ แล้วเอ่ยอย่างคร่าวๆ


“เจ็ดราชาปีศาจจากเผ่าปีศาจอย่างน้อยๆ ก็มีพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง ประกอบกับกายเนื้อที่แข็งแกร่ง และอิทธิฤทธิ์ที่เป็นพรสวรรค์ประจำตัว ต่อให้พี่หานไม่อยากคบค้า ทางที่ดีที่สุดก็อย่าไปล่วงเกินง่ายๆ มิเช่นนั้นจะเกิดปัญหาใหญ่” และไม่รู้ว่าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนเชื่อคำพูดเมื่อครู่ของหานลี่จริงๆ หรือไม่ แต่ก็เอ่ยเตือนอย่างจริงใจ


“ขอบพระคุณท่านจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่ชี้แนะ ข้าน้อยจะไปล่วงเกินเจ็ดราชาปีศาจอย่างไม่มีเหตุผลได้อย่างไร ผู้แซ่หานยังอยากมีชีวิตอยู่ไปอีกหลายปี!” หานลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม


“เช่นนั้นก็ดี ใช่แล้ว แม้ว่าสหายหานจะมีวาสนาพัฒนาระดับขั้นอย่างรวดเร็วในแดนรกร้าง แต่คิดดูแล้วในเรื่องของเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนและประสบการณ์ในการฝึกบำเพ็ญเพียรก็น่าจะเป็นเอกลักษณ์สินะ โดยเฉพาะประสบการณ์ที่เพิ่งทายจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์เมื่อครู่ น่าจะมีประโยชน์ด้านจิตใจเป็นอย่างมากสินะ!” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา ฉับพลันนั้นก็พูดคุยเรื่องการฝึกบำเพ็ญเพียรกับหานลี่


“ข้าน้อยเพิ่งจะบรรลุระดับผสานอินทรีย์ ความรู้ยังตื้นเขิน อยากขอคำชี้แนะจากสหายทั้งสามสักหน่อย” หานลี่ย่อมไม่ปฏิเสธเรื่องดีๆ เช่นนี้ จึงตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน

 

 

 


ตอนที่ 1782 เคล็ดวิชาตาแห้งและเคล็ดวิ...

 

เวลาต่อมาหานลี่และผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์สามคนก็ถกประสบการณ์ในการฝึกบำเพ็ญเพียรและเคล็ดวิชาต่างๆ ไปเกือบครึ่งวัน ถึงได้ขอตัวลามาอย่างได้ความรู้ไม่น้อย


จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนยืนอยู่ตรงขอบของรถอสูร สายตามองหานลี่ที่กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวหายวับไปจากท้องฟ้า ปากก็ออกคำสั่ง


ขบวนรถที่แต่เดิมหยุดอยู่กลางอากาศ พลันเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง


“กับสหายหานผู้นี้ ปรมาจารย์เทียนฉานพวกเจ้ารู้สึกอย่างไร?” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนนั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลัก พลางเอ่ยถามคำถามที่ไม่มีหัวไม่มีหางออกมา


“อ่อนเยาว์มาก!”


“ไม่เลวเลย!”


หลังจากที่ชายชราร่างกายผ่ายผอมและภิกษุมองสบตากันแวบหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยขึ้นมาพร้อมกันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“หึๆ เคล็ดวิชาตาแห้งของสหายหวงดูอายุขัยกระดูกที่แท้จริงของคนได้ อ่อนเยาว์มาก นั้นเข้าใจได้ง่ายมาก ส่วนไม่เลวเลยกลับต้องฟังปรมาจารย์อธิบายอย่างละเอียด เคล็ดวิชาดูปราณของสหายเทียนฉาน จัดอยู่ในสามอันดับแรกของเผ่ามนุษย์ของพวกเรา เชื่อว่าคงไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนเอ่ยพร้อมกับหัวเราะเบาๆ


“แม้ว่าการเก็บกลิ่นอายของคนผู้นี้จะลึกลับมาก แต่เคล็ดวิชาดูปราณของอาตมาไม่ใช่สิ่งที่จะตัดสินความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของพลังยุทธ์จากจิตสัมผัสได้ จากที่อาตมาดูระดับของคนผู้นี้คือระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นไม่ผิดแน่ แต่พลังปราณในร่างกลับลึกล้ำกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นธรรมดาๆ หากให้เปรียบเทียบให้เห็นชัด ก็น่าจะเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ชั้นต้นธรรมดาๆ เกือบเท่าตัว ต่อให้บอกว่าสหายหานผู้นี้มีพลังยุทธ์อยู่แค่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น แต่พลังปราณกลับไม่ด้อยไปกว่าอาตมาที่อยู่ระดับขั้นกลาง” ภิกษุเทียนฉานครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วถึงได้เอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า


“ดูแล้วสหายผู้นี้คงฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ทำให้พลังปราณเพิ่มขึ้น มิเช่นนั้นคงไม่เป็นเช่นนี้ ทว่าโดยปกติแล้วอิทธิฤทธิ์ด้านอื่นๆ ก็จะอ่อนแอ” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนหน้าเปลี่ยนสี พลางพยักหน้า


“หากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์คิดเช่นนั้น เกรงว่าคงผิดแล้ว นอกจากพลังปราณที่ลึกล้ำแล้ว ข้ายังมองออกว่าคนผู้นี้มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกร นอกจากเคล็ดวิชาหลักในการฝึกฝนแล้ว คนผู้นี้น่าจะมีอิทธิฤทธิ์ที่ร้ายกาจอย่างน้อยอีกสามสี่ชนิด ทุกชนิดเกรงว่าจะไม่ด้อยไปกว่า ‘เคล็ดวิชาลับหยกวิญญาณ’ ของอาตมา” ภิกษุกลับสั่นศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆ ชายชราร่างกายผ่ายผอมกลับร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง


“แม้ว่าสหายหานจะมีพละกำลังอยู่นอกเหนือความคาดหมาย แต่สหายหวงไม่ต้องประหลาดใจขนาดนั้นกระมัง หรือว่าสหายพบสิ่งอื่นเข้า!” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนเหลือบตามองชายชราแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างราบเรียบ


“ท่านจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์น่าจะรู้ เคล็ดวิชาตาแห้งของตาเฒ่านั้นนอกจากจะมองทะลุอายุของกระดูกได้แล้ว ยังมองกายเนื้อออก” หวงตั้งกลับเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา


“หรือว่ากายเนื้อของสหายหานมีความพิเศษอันใด!” ครั้งนี้เทียนฉานทนไม่ไหวถามย้อนขึ้น


“ไม่มีอันใดพิเศษ แค่แข็งแกร่งมากเท่านั้น” หวงตั้งดูเหมือนจะนึกอันใดออก สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดใจ


“แข็งแกร่งมาก? หรือว่าแข็งแกร่งกว่ากายเนื้อของจักรพรรดิ?” ภิกษุได้ยิน กลับหัวเราะน้อยๆ ออกมา


“ต่อให้สู้ไม่ได้ ข้าว่าก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเท่าใดนัก” หลังจากที่กล้ามเนื้อบนใบหน้าของชายชรากระตุกแล้วกลับเอ่ยสิ่งที่ทำให้ภิกษุหน้าเปลี่ยนสีออกมา


“มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ หรือ” แววตาของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนเปล่งประกาย แล้วเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา


“เป็นไปไม่ได้! สหายหวง หรือว่าเจ้าล้อเล่น แม้ว่าใต้เท้าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จะฝึกฝนเคล็ดวิชาขงจื๊อเป็นหลัก แต่ปีนั้นมีต้นกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนระดับสุดยอด ประกอบกับผ่านการฝึกฝนอย่างหนักมาหลายปี เกรงว่าระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อคงไม่ด้อยไปกว่าราชาปีศาจเหล่านั้น แม้ว่าสหายหานจะฝึกฝนร่างกายได้ แต่ก็ไม่อาจเทียบกับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้” ภิกษุเทียนฉานสั่นศีรษะราวกับรัวกลองก็ไม่ปาน


“ต่อให้เคล็ดวิชาตาแห้งของตาเฒ่าผิดพลาด แต่ระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อเป็นดังที่ตาเฒ่าเห็นแน่ คนที่สองรองจากใต้เท้าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์” ชายชราร่างกายผ่ายผอมลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม


“แต่นี่มันจะเกิน…”


“ปรมาจารย์เทียนฉานไม่ต้องสงสัยอันใด เคล็ดวิชาตาแห้งของสหายหวงยังไม่เคยผิดพลาดมาก่อน หึๆ พลังปราณลึกล้ำกว่าระดับเดียวกัน มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรหลายชนิด กายเนื้อแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าราชาปีศาจ แถมยังอ่อนเยาว์เช่นนี้ หากผ่านเคราะห์มารที่จะเกิดขึ้นอีกไม่นานไปได้ เกรงว่าจากนี้คงกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ด้อยไปกว่าข้าจริงๆ” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนโบกมือตัดบทคำพูดฉงนสงสัยของภิกษุ สองตาหรี่ลงดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในภวังค์ความครุ่นคิด


ส่วนชายชราร่างกายผ่ายผอมและภิกษุได้ยินหลังจากมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว ก็เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา


ในเวลาเดียวกันนั้นหานลี่ที่กลายเป็นลำแสงหลีกหนีกลับอยู่ห่างไปหมื่นลี้ตั้งนานแล้ว และพุ่งตรงไปยังเทือกเขาเขียวขจี


เทือกเขานี้มียอดเขาตั้งตระหง่านราวกับกระบี่ยักษ์อยู่เก้าลูก แน่นอนว่าเป็นภูเขาเก้าเซียนที่ใกล้จะเปิดงานชุมนุมหมื่นสมบัติแล้ว


ทว่ายามนี้ในรัศมีพันลี้จากขอบของเทือกเขานั้นมีเขตอาคมต้องห้ามแล้ว


ก่อนที่งานชุมนุมจะเปิดตัวขึ้น นอกจาก ‘ใต้เท้า’ ที่มีฐานะพิเศษแล้ว ผู้ใดเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขา โทษสถานเบาคือขับไล่ออกไป โทษสถานหนักคือสังหารอย่างไม่มีข้อยกเว้น


ดังนั้นเผ่ามนุษย์และปีศาจที่มาเข้าร่วมงานชุมนุมจากแดนไกล ส่วนใหญ่ก็พักค้างแรมชั่วคราวอยู่ตรงเทือกเขาที่อยู่บริเวณรอบ


เซียนเย่ว์หัวผู้นั้นเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมคนหนึ่ง แน่นอนว่าจึงเป็นเช่นนี้


ยามที่หานลี่แยกจากพวกของไห่ต้าเซ่า ก็ทิ้งสัญลักษณ์ติดตามเอาไว้ในร่างกายของเขา จึงไม่กลัวว่าจะหากันไม่เจอ


ดังนั้นยามที่เห็นลำแสงหลีกหนีของหานลี่เข้ามาใกล้กับภูเขาเก้าเซียน แต่กลับเปลี่ยนทิศทาง บินเฉียงไปอีกด้าน


หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร สายรุ้งสีเขียวก็พุ่งลงมาที่เนินเขาของยอดเขาแห่งหนึ่ง


ลำแสงสีเขียวหม่นแสงลง หานลี่ปรากฏตัวขึ้นในป่าลับผืนเล็กๆ


เขาเงยหน้าขึ้นกวาดมองป่าไม้เขียวขจี แล้วพลันเผยรอยยิ้มออกมา แขนเสื้อข้างหนึ่งสะบัดไปทางป่าไม้เบาๆ


ชั่วขณะนั้นหมอกสีเขียวพลันม้วนวนออกมา


ฉับพลันนั้นป่าไม้ก็เริ่มบิดเบี้ยว หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น กลายเป็นจุดลำแสงสลายออก


ป่าผืนเดิมสลายหายไป ที่เดิมกลับมีกำแพงหินสูงใหญ่ที่ดูเปล่าเปลี่ยวรกร้างปรากฏขึ้น


บนกำแพงหินประตูหินสีขาวความสูงสองสามจั้งตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น


หานลี่ก็ไม่ได้พูดจา ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ลำแสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในประตูหินอย่างไร้ร่องรอย


จากนั้นเขาก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ อีก


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ประตูหินพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นพลันพุ่งสูงขึ้น


เงาร่างคนเดินออกมาจากด้านในเป็นสาย


เซียนเย่ว์หัว ไป๋หัวจี๋ ไห่ต้าเซ่า รวมทั้งชี่หลิงจื่อล้วนอยู่ด้านใน นอกจากนี้ยังมียายแก่ถือไม้เท้าหัวมังกรเดินอยู่หน้าสุด เรือนผมสีขาวโพลน ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย แต่กลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงคนหนึ่ง


นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย!


ส่วนยายแก่ผู้นั้นเมื่อมองเห็นหานลี่ แววตาก็เปล่งประกายวาวโรจน์ พิจารณาอย่างละเอียดแวบหนึ่ง แล้วก้าวมาข้างหน้า คารวะหานลี่อย่างนอบน้อม


“ชนรุ่นหลังเถียนชิงเย่ พาลูกศิษย์มาคารวะท่านอาวุโสหาน!”


เซียนเย่ว์หัวที่อยู่ด้านหลัง เห็นยายแก่ทำเช่นนี้ ก็รีบร้อนคารวะตามทันที


ส่วนบุรุษวัยกลางคนและพวกของไห่ต้าเซ่าก็คารวะเช่นกัน แต่แค่มีสีหน้าแปลกประหลาดอยู่เล็กน้อย


“พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด มีอันใด ก็ไปคุยกันข้างใน” หานลี่กลับเอ่ยอย่างราบเรียบ


“เจ้าค่ะ ชนรุ่นหลังเตรียมชาวิญญาณชั้นเลิศเอาไว้แล้ว หวังว่าท่านอาวุโสจะไม่รังเกียจ!” หลังจากที่ยายแก่เอ่ยว่าเจ้าค่ะแล้ว ถึงได้กล้าลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น


หานลี่พยักหน้า ไม่ได้เอ่ยอันใดได้อีก หลังจากยกขาขึ้น ก็เดินเข้าไปในประตู


กลุ่มคนจึงเดินตามหลังไปอย่างนอบน้อม


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็นั่งลงตรงกลางศาลาหินที่สะอาดสะอ้านโดยมียายแก่อยู่ด้วย


เซียนเย่ว์หัวและพวกยืนประสานมือทั้งสองข้างเอาไว้ด้วยกัน ส่วนไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อก็ดูเหมือนว่าจะยังคงไม่อยากจะเชื่อว่า ‘พี่หาน’ จะกลายเป็น ‘ท่านอาวุโสหาน’ และยังคงเหลือบมองหานลี่ไม่หยุด


หานลี่กลับทำเหมือนไม่เห็นทั้งสองคน แค่เอ่ยถามยายแก่อย่างราบเรียบ


แค่สั้นๆ ไม่กี่ประโยค ก็รู้ประวัติความเป็นมาของยายแก่และศิษย์กระจ่างแล้ว


ที่แท้ยายแก่ก็มีต้นกำเนิดมาจาก ‘พรรคจินกว่าง’ พรรคระดับกลางในเขตเสวียนอู่ และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นหนึ่งในอาวุโสทั้งสองของพรรค


เซียนเย่ว์หัวคือศิษย์ในพรรคของนาง คุณสมบัติล้ำเลิศ ปกติแล้วมักจะได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากยายแก่


ส่วนไป๋กั่วเอ๋อร์คือหลานสาวของหญิงสาว และเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวของนาง ดังนั้นพ่อลูกอย่างไป๋ฮั่วจี๋ถึงได้ติดตามยายแก่เข้าร่วมงานชุมนุมหมื่นสมบัติได้


แต่คิดไม่ถึงเลยว่าบุรุษวัยกลางคนจะอยากขายโสมโลหิตที่ได้รับถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ เพื่อแลกเปลี่ยนกับยาต้านพิษเย็นเยียบในร่างของไป๋กั่วเอ๋อร์ แต่กลับติดกับโจรภูเขาทิศใต้ทั้งสาม


หากไม่ใช่เพราะบังเอิญพบกับพวกของหานลี่ เกรงว่าชีวิตของบิดาและบุตรสาวคงจะหาไม่ไปแล้วจริงๆ


ดังนั้นยายแก่เอ่ยจนมาถึงตรงนี้ ก็รีบร้อนให้เซียนเย่ว์หัวและไป๋ฮั่วจี๋เข้ามา ขอบคุณบุญคุณที่หานลี่ได้ช่วยชีวิตเอาไว้อีกครั้ง


หานลี่ย่อมโบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่จำเป็น


“แม้ว่าชนรุ่นหลังจะออกจากสำนักน้อยมาก แต่ก็ได้ยินชื่อเสียงของท่านอาวุโสที่เพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์ในเขตเทียนหยวนมาบ้าง ชื่อแซ่เหมือนกับท่านอาวุโสเลย ขอบังอาจเรียนถามว่าใช่ท่านอาวุโสหานหรือไม่” ยายแก่เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง


เห็นได้ชัดว่าชื่อเสียงของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์นั้นยิ่งใหญ่มาก จนถึงยามนี้แม้แต่ยายแก่ก็ยังไม่กล้ายืนยันฐานะของหานลี่


“หึๆ คิดไม่ถึงว่าชื่อเสียงของผู้แซ่หานจะแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรในเขตเสวียนอู่ก็ยังรู้จักข้า” หานลี่กลับหัวเราะอย่างราบเรียบ ท่าทางไม่คิดเช่นนั้น


“ที่แท้ก็เป็นท่านอาวุโสหานที่มาเยี่ยมเยียน คิดดูแล้วก็ใช่ ผู้ที่ถูกจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เรียนเชิญได้ ย่อมมีเพียงท่านอาวุโสระดับผสานอินทรีย์ที่อยู่ในระดับเดียวกันเท่านั้น” ยายแก่ได้ยินคำนี้ ก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดี


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงธรรมดาๆ อย่างนาง ปกติแล้วจึงไม่มีโอกาสรู้จักกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อันใด ยามนี้หากสร้างความสัมพันธ์กับหานลี่ได้ ย่อมมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งไม่ว่าต่อพรรคของนางหรือว่าตัวนางเอง


ดังนั้นจากนี้ยายแก่จึงยิ่งนอบน้อมมากยิ่งขึ้น


แต่หลังจากที่หานลี่กวาดสายตาไปรอบๆ กลับเอ่ยสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคนออกมา


“เหตุใดแม่หนูที่มีนามว่ากั่วเอ๋อร์ถึงไม่อยู่ที่นี่ เรียกนางมา ข้าจะดูสักหน่อย”


เมื่อได้ยินคำนี้ของหานลี่ ยายแก่และพวกก็มองสบตากัน เซียนเย่ว์หัวยิ่งใจหายวาบพลางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง


“ท่านอาวุโสหาน หลังจากที่กั่วเอ๋อร์กลับมาก็พิษกำเริบ ยามนี้กำลังพักผ่อนอยู่ด้านหลัง ท่านอาวุโสโปรดรอสักครู่ อีกเดี๋ยวนางจะพานางมาคารวะท่านอาวุโส”


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าเองก็ไม่ต้องรอหรอก พอข้าไปดูแม่หนูผู้นั้นเถิด ผู้แซ่หานมาหาพวกเจ้าในครั้งนี้ กว่าครึ่งก็เพราะแม่หนูผู้นั้น” หานลี่เอ่ยพร้อมกับฉีกยิ้มบางๆ จากนั้นก็ยืนขึ้น

 

 

 


ตอนที่ 1783 ร่างแก่นน้ำแข็ง

 

เซียนเย่ว์หัวได้ยินคำพูดของหานลี่ ก็รู้สึกงุนงง ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าเหตุใด ‘ท่านอาวุโส’ ผู้นี้ถึงให้ความสำคัญกับไป๋กั่วเอ๋อร์เช่นนี้


แต่หญิงสาวพลันขบคิดอย่างรวดเร็ว ดูจากพิษของไป๋กั่วเอ๋อร์ในยามนี้ ต่อให้เลวร้ายก็คงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้ว ประกอบกับยายแก่ส่งสายตาอยู่ด้านข้างไม่หยุด จึงกัดฟันตอบรับ


“ในเมื่อท่านอาวุโสให้ความสำคัญกับกั่วเอ๋อร์ ชนรุ่นหลังจะนำทางเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เอ่ยจบหญิงสาวผู้นี้ก็หานลี่และคนอื่นๆ ตรงไปที่ห้องด้านหลังของถ้ำพำนัก


ผ่านประตูข้างไป อ้อมทางเดินยาวที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย กลุ่มคนเดินเข้ามาในห้องนอนห้องหนึ่ง


บนเตียงไม้สีแดงอ่อนภายในห้องนอน เด็กหญิงนามว่าไป๋กั่วเอ๋อร์กำลังหลับใหลไม่ได้สติ


ดวงหน้าเล็กๆ ของเด็กหญิงเผยสีหน้าเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย และมีลำแสงสีเขียวห่อหุ้มอยู่รางๆ ริมฝีปากเขียวคล้ำเล็กๆ


หานลี่เดินไปใกล้เตียงไม้ สัมผัสได้ถึงความร้อนระอุที่โถมเข้ามา ก็อดที่จะตกตะลึงไปเล็กน้อยไม่ได้


แต่หลังจากที่เลื่อนสายตาไปที่เตียง เขาก็เข้าใจขึ้นมาสองสามส่วน ทันใดนั้นก็สั่นศีรษะขณะเอ่ย


“ใช้ไม้ร้อนเป็นเครื่องกำจัดความเย็นเยียบ แม้ว่าจะยับยั้งไอเย็นเยียบได้ แต่พิษของเด็กหญิงเข้าไปในชีพจรตั้งนานแล้ว พลังความร้อนแค่นี้ไม่ค่อยมีประโยชน์นัก”


“จุดนี้ชนรุ่นหลังก็ทราบดี แต่ก็หวังว่าจะโชคดี คิดว่าอย่างน้อยเตียงไม้ร้อนก็พอจะลดความเจ็บปวดจากการที่พิษเย็นเยียบกำเริบให้กั่วเอ๋อร์ได้บ้าง” เซียนเย่ว์หัวเอ่ยอยู่ด้านข้าง สายตาที่มองเด็กหญิงบนเตียง เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู


หานลี่ได้ยินคำนี้ก็พยักหน้า จากนั้นก็สั่นศีรษะ ก่อนสาวเท้ามาข้างหน้าเตียงไม้สีแดง คว้าแขนข้างหนึ่งของเด็กหญิงขึ้นมา ในเวลาเดียวกันรูม่านตาก็เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบไม่หยุด


พวกของยายแก่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็อดที่จะกั้นลมหายใจไม่ได้ มิกล้าส่งเสียงใดๆ อีก


บุรุษวัยกลางคนและหญิงสาวเองก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยการรอคอย


หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา แววตาของหานลี่ก็เปล่งประกาย ฉับพลันนั้นก็คว้าฝ่ามือของเด็กหญิง ชั่วพริบตาก็มีลำแสงเย็นเยียบห้าสีปรากฏขึ้นหนึ่ง


เห็นเพียงชั่วพริบตาที่ลำแสงเย็นเยียบไหลผ่าน ไอสีเขียวที่ห่อหุ้มใบหน้าของเด็กหญิงอยู่ พลันมารวมตัวกันที่ฝ่ามือของหานลี่ที่กุมอยู่ ชั่วครู่ก็รวมตัวกันกลายเป็นไอสีเขียวขนาดเท่าไข่ไก่ ปรากฏขึ้นรางๆ ที่ข้อมือของเด็กหญิง


แววตาของหานลี่เปล่งประกายวาวโรจน์ มืออีกข้างหนึ่งพลิกฝ่ามือ หว่างคิ้วมีเข็มบางๆ สีเงินระยิบระยับปรากฏขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบคาดไม่ถึงว่าจะปักไปบนข้อมือของเด็กหญิง


“อ๊า”


หญิงสาวและบุรุษวัยกลางคนหน้าเปลี่ยนสี เสียแรงไปมากกว่าจะฝืนไม่ให้ตนเข้ามาห้ามปรามได้


ผลคือลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ข้อมือของเด็กหญิงถูกปักจนเป็นรูเล็กๆ ด้วยการกระตุ้นพลังปราณของหานลี่ โลหิตบริสุทธิ์สีแดงสดค่อยๆ ปรากฏขึ้น


หานลี่ขยับนิ้วเล็กน้อย เข็มสีเงินพลิ้วไหวแล้วสลายหายไป กลับมีจานหยกสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้นแทน


เรียบลื่นไร้ที่ติ วิจิตรงดงามมาก!


หานลี่วางจานหยกลงบนด้านล่างข้อมือของเด็กหญิง ชั่วขณะนั้นโลหิตบริสุทธิ์พลันหยดลงไป


เสียงกระทบดังขึ้น พริบตาที่โลหิตบริสุทธิ์หยดลงในจาน คาดไม่ถึงว่าโลหิตจะกลายเป็นน้ำแข็ง เปล่งเสียงกระทบอันไพเราะออกมา


เมื่อเห็นฉากนี้ยายแก่และพวกก็หน้าเปลี่ยนสี


ใบหน้าของหานลี่กลับเผยสีหน้าเป็นเช่นนี้ดังคาดออกมา  เก็บโลหิตบริสุทธิ์และจานหยก ชั่วขณะนั้นฝ่ามือที่กุมแขนของเด็กหญิงอยู่พลันเปล่งแสงเย็นเยียบห้าสีออกมา


ไอสีเขียวกลุ่มนั้นเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นท่ามกลางลำแสงเย็นเยียบ ชั่วพริบตาก็จืดจางลง สุดท้ายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


ในยามนี้เด็กหญิงพลันส่งเสียงอู้อี้ออกมา แล้วพลันลืมตาทั้งสองข้างขึ้นอย่างมึนๆ


หานลี่กลับฉีกยิ้ม หลังจากที่ลำแสงเย็นเยียบห้าสีในมือสลายหายไป ก็ปล่อยแขนของเด็กหญิงออก แต่ฝ่ามืออีกข้างกลับยื่นนิ้วชี้ออกมา กดไปที่หน้าผากของเด็กหญิง อาคมสีขาวสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


เด็กหญิงที่เพิ่งได้สติ คาดไม่ถึงว่าจะตัวสั่นเทาเล็กน้อย แล้วหลับใหลไปอีกครั้ง


นี่จึงทำให้ทุกคนตกตะลึง!


“ไม่ต้องกังวล พิษเย็นเยียบในร่างของนางเพิ่งจะถูกกำจัด ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ ต้องพักผ่อนสักหน่อย เอาละ ข้าดูเสร็จแล้ว ก่อนกลับจะคุยเรื่องอื่นเสียหน่อย” หานลี่อธิบายเล็กน้อย แล้วหยัดกายลุกขึ้นออกเดินโดยไม่สนใจผู้อื่น


แม้ว่าพวกของยายแก่จะรู้สึกงงงวย แต่แน่นอนว่าย่อมไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งพลางเดินตามไปติดๆ


ดังนั้นหลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่พลันนั่งลงตำแหน่งเดิมในห้องโถงใหญ่อีกครั้ง ลิ้มรสชาวิญญาณในมือ แววตาเปล่งประกายสว่างวาบ ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องอันใดที่ยากจะตัดสิน


คนอื่นๆ เห็นท่าทางจริงจังของหานลี่ แน่นอนว่าย่อมไม่กล้ารบกวนอันใด ตั้งแต่ยายแก่ไปจนถึงไห่ต้าเซ่าล้วนปิดปากเงียบอย่างเคารพนบน้อม รอให้หานลี่เป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง


หลังจากผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ หานลี่ก็เลิกคิ้ว วางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะด้านข้าง ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าจะตัดสินใจอันใดได้


“สหายไป๋ พวกเจ้าเข้าใจพิษเย็นเยียบในตัวของบุตรสาวมากแค่ไหน?” หานลี่มองบุรุษวัยกลางคนพลางเอ่ยถาม


“ชนรุ่นหลังเองก็เคยเชิญชนชั้นสูงให้มาตรวจสอบอย่างละเอียด ว่ากันว่าพิษเย็นเยียบในร่างของกั่วเอ๋อร์นั้นเกิดจากพิษเย็นเยียบจากปอดที่หาได้ยาก แตกต่างจากพิษเย็นเยียบทั่วๆ ไป นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ใช้พลังปราณมหาศาลฝืนกำจัดออกไป ก็มีแค่สมุนไพรอาทิตย์ในตำนานถึงจะถอนพิษเย็นเยียบชนิดนี้ได้” ไป๋ฮั่วจี๋พลันตกตะลึง รับร้อนเอ่ยสิ่งที่รู้ทั้งหมดออกมา


“หึๆ มิน่าล่ะพวกเขาถึงได้เอ่ยเช่นนี้” หานลี่ได้ยินกลับฉีกยิ้มบางๆ อย่างไม่คิดเช่นนั้น


“ท่านอาวุโส หรือว่าพิษเย็นเยียบของกั่วเอ๋อร์มีอันใดผิดปกติ?” หญิงสาวได้ยินคำพูดของหานลี่พลันตกตะลึง แล้วเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล


“สหายทั้งสองรู้ว่าในร่างของแม่หนูมีพิษเมื่อใด” หานลี่ไม่ตอบคำถามของหญิงสาว กลับถามย้อนกลับ


“เมื่ออายุเก้าขวบ! ยามที่กั่วเอ๋อร์ฝึกบำเพ็ญเพียรก็เป็นลมไปภายในห้องลับ พวกเขาถึงได้พบพิษเย็นเยียบนี้ ตอนแรกเป็นแค่เส้นไหมที่ไม่สะดุดตาเท่านั้น พวกเราจึงไม่ได้ใส่ใจ ใช้วิธีการธรรมดาๆ กำจัดพิษนี้ ผลคือกลับทำให้มันรุนแรงขึ้นราวกับราดน้ำมันไปบนกองไฟ ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี ก็กลายเป็นเช่นนี้ แต่ยามที่กั่วเอ๋อร์เพิ่งจะเกิดได้ไม่นาน ข้าและใต้เท้าแม่บุญธรรมก็เคยตรวจสอบภายในร่างของนาง และไม่พบความผิดปกติอันใด เดาว่าน่าจะเป็นตระกูลที่คิดแค้นถือโอกาสที่พวกเราไม่ใส่ใจ ลอบทำร้ายกั่วเอ๋อร์ของพวกเรา น่าเสียดายที่หาไม่พบว่าผู้ใดเป็นผู้ลงมือ มิเช่นนั้นผู้แซ่ไป๋ก็ไม่ต้องการชีวิตแล้ว จะต้อง…” บุรุษวัยกลางคนมีสีหน้าเจ็บปวด จากนั้นก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะเอ่ย


เด็กหญิงที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าเคร่งขรึม เผยท่าทางโกรธแค้นต่อคำว่า ‘ตระกูลที่มีความแค้น’ เหล่านั้นออกมา


“ตระกูลที่มีความแค้น! ไม่ถูก พิษเย็นเยียบมาจากตัวอ่อนในครรภ์ของนางเอง ไม่ใช่ไอเย็นเยียบที่มาจากปอด แต่มีที่มาที่ไป” หานลี่กวาดสายตามองทั้งสองคน แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ


“ในเมื่อท่านอาวุโสกล่าวเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่ผิดแน่ แต่ท่านอาวุโสอธิบายให้ศิษย์ฟังได้หรือไม่ ช่วยแถลงความสงสัยของพวกเราด้วยเจ้าค่ะ” ยายแก่ที่ฟังอยู่ด้านข้าง เอ่ยปากอย่างนอบน้อม


“ไม่มีอันใด แม้สหายไม่กล่าวขอ ข้าน้อยก็จะพูดให้ชัดเจน ความจริงแล้วแม่หนูผู้นี้มี ‘ร่างแก่นน้ำแข็ง’ ในตำนาน ยามเกิดไม่อาจสัมผัสถึงคุณสมบัตินี้ได้ มีแค่ตอนที่อายุเก้าปีถึงได้เกิดสัญลักษณ์ขึ้น แต่ยามที่พิษกำเริบครั้งแรกนั้นรุนแรงมาก ว่ากันว่าผู้ที่มีร่างวิญญาณชนิดนี้ กว่าครึ่งล้วนต้องเพลี่ยงพล้ำในการกำเริบครั้งแรก ดังนั้นแม้ว่าร่างวิญญาณชนิดนี้จะมีบันทึกอยู่ในตำราโบราณอยู่น้อยมาก หากข้าไม่บังเอิญรู้เรื่องนี้เข้า เกรงว่าคงคิดว่าพิษเย็นเยียบในร่างของแม่หนูเป็นแค่ไอเย็นเยียบจากปอดธรรมดาๆ” ในที่สุดหานลี่ก็อธิบายอย่างแช่มช้า


“ร่างแก่นน้ำแข็ง!”


หญิงสาวและบุรุษวัยกลางคนมองสบตากันแวบหนึ่ง ใบหน้ามีสีหน้าตกตะลึง ร่างวิญญาณชนิดนี้พวกเขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าจึงอดที่จะรู้สึกสงสัย และเอ่ยพึมพำไม่ได้


กลับเป็นยายแก่ที่เคยได้ยินชื่อของร่างแก่นน้ำแข็ง ดวงหน้าที่มีริ้วรอยจึงขยับ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึง


ไห่ต้าเซ่าและพวกสองคนย่อมไม่เคยได้ยินคำว่า ‘ร่างแก่นน้ำแข็ง’ จึงทำได้เพียงมองคนอื่นๆ ด้วยตาเบิกโพลงเท่านั้น


ส่วนหานลี่นั้นหลังจากเอ่ยจบ ก็เทชาลงถ้วยแล้วจิบไปอึกหนึ่ง ท่าทางเหมือนปล่อยให้หญิงสาวและพวกจะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่


“ร่างแก่นน้ำแข็ง คาดไม่ถึงว่ากั่วเอ๋อร์จะมีคุณสมบัติเช่นนี้ หากเป็นเช่นนั้น ก็เป็นโชคดีในโชคร้ายแล้ว” คาดไม่ถึงว่ายายแก่จะเอ่ยพึมพำออกมาในยามนี้


“ท่านอาจารย์ ท่านก็รู้จักร่างวิญญาณชนิดนี้หรือ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความตกตะลึง


“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่เคยได้ยินสหายคนหนึ่งเอ่ยถึงร่างวิญญาณให้ฟัง เนื้อหาไม่ต่างอันใดกับที่ท่านอาวุโสหานกล่าวเลยสักนิด แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่ากั่วเอ๋อร์จะมีร่างวิญญาณชนิดนี้ แต่เรื่องนี้จะว่าโชคดีก็โชคดี พูดยากจริงๆ” ยายแก่มองหานลี่แวบหนึ่ง ถึงได้เอ่ยออกมา


“ท่านอาจารย์หมายความว่า…” หญิงสาวเอ่ยด้วยสีหน้าเปลี่ยนสี


“ข้าได้ยินสหายกล่าวว่าร่างแก่นน้ำแข็งไม่เพียงจะเริ่มกำเริบเมื่ออายุเก้าขวบ และยิ่งไปกว่านั้นไอเย็นเยียบในร่างจะเพิ่งขึ้นทุกปี ภายใต้สถานการณ์ปกติอายุสิบห้าสิบหกปี เจ้าของร่างก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย หากอยากมีชีวิตรอดก็มีแค่สองวิธีเท่านั้น” ยายแก่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


“ท่านอาจารย์ สองวิธีใด!” หญิงสาวได้ยินพลันดีใจ แล้วเอ่ยถามอย่างร้อนรน


“วิธีแรกคือเชิญท่านอาวุโสระดับผสานอินทรีย์มาใช้พลังปราณกำจัดพิษเย็นเยียบให้ทุกปี จากนั้นก็ใช้จิตวิญญาณเที่ยงแท้ช่วยชำระล้างชีพจรให้นางอย่างไม่เสียดาย หลังจากผ่านไปร้อยปี เจ้าของร่างวิญญาณก็จะคุ้นเคยกับไอเย็นเยียบ ไม่มีอันตรายต่อร่างกายอีก และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากฝึกฝนเพิ่มขึ้น พลังเย็นเยียบก็จะกลายเป็นอิทธิฤทธิ์วิญญาณแก่นน้ำแข็งที่ร้ายกาจ อานุภาพยากจะจินตนาการ” ยายแก่ตอบกลับอย่างลังเล


“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ร่างวิญญาณแก่นน้ำแข็งน่าจะเป็นร่างที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศถึงจะถูก เหตุใดท่านอาวุโสถึงบอกว่ามันเป็นโชคดีบนโชคร้ายล่ะ” บุรุษวัยกลางคนพลันตกตะลึง แล้วเอ่ยถามด้วยความตกตะลึงระคนดีใจ


“นั่นก็เพราะว่าไอเย็นเยียบที่มากับร่างแก่นน้ำแข็ง ไหนเลยจะระงับได้โดยง่าย ทุกๆ ยี่สิบสามสิบปีแรกยังพอว่า ขอแค่เสียเวลาหน่อย ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ยังระงับได้โดยง่าย พอถึงยี่สิบสามสิบปีหลังทั้งต้องรับประกันว่าพลังปราณจะไม่ทำร้ายเจ้าของร่างวิญญาณ ยังต้องสลายพิษเย็นเยียบ แทบจะทุกครั้งที่ระงับ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ก็ต้องเสียปราณแท้ไปไม่น้อย โดยเฉพาะช่วงสิบกว่าปีสุดท้าย ความเสียหายไม่ใช่สิ่งที่นั่งสมาธิแล้วจะฟื้นฟูกลับมาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดช่วงเวลานี้ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ผู้ใดจะยอมเสียพลังปราณจำนวนมาก ช่วยชำระแก่นให้เจ้าของร่างง่ายๆ ลองคำนวณดูก็ต้องทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่ลงมือเสียเวลาฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักไปสองสามร้อยปีแล้ว ความเสียหายเช่นนี้ ท่านอาวุโสผู้ใดจะยอมทำ” ยายแก่เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา

 

 

 


ตอนที่ 1784 ศิษย์ในนาม

 

ฟังคำพูดของยายแก่จบ เซียนเย่ว์หัวและไป๋ฮั่วจี๋ที่เพิ่งเผยสีหน้ายินดีออกมาพลันสลายหายไป


ฝึกฝนล่าช้าไปสองสามร้อยปี ต่อให้เป็นญาติกัน ก็ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนใดยอมเสียสละได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนนอกที่ไม่รู้จักเลย


“หนทางที่สองคืออันใด?” บุรุษเอ่ยซักถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง


“วิธีแก้ไขที่สองก็คือหาสมุนไพรในตำนาน มาหลอมยาลูกกลอนอาทิตย์สองสามชนิด และใช้วิธีการรวบรวมวารีและเพลิงมาเปลี่ยนแปลงร่างแก่นน้ำแข็ง วิธีที่ไม่ง่ายไปกว่าวิธีแรกเท่าใดนัก ไม่ต้องพูดถึงสมุนไพรวิญญาณนั้นหายาก พันปีจะเจอสักครั้ง ย่อมไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาหาได้ ต่อให้ได้มา เอามาปรุงยาลูกกลอนอาทิตย์ หลังจากกินลงไปก็จะมีปัญหาไม่รู้จบเช่นกัน  แม้จะทำลายร่างแก่นน้ำแข็งได้ แต่สิ่งที่ต้องถูกทำลายไปด้วย ก็คือคุณสมบัติรากวิญญาณของเจ้าของร่าง หนักสุดก็ทำลายรากวิญญาณ กลายเป็นคนธรรมดา เบาหน่อยก็เปลี่ยนรากวิญญาณให้ย่ำแย่  หนทางแห่งการฝึกฝนในการเป็นเซียนย่อมยากลำบากมาก” ยายแก่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


บุรุษวัยกลางคนพลันหน้าซีดเผือด ไม่มีคำพูดใดๆ ให้พูดอีก


หลังจากที่หญิงสาวตกตะลึงไปชั่วขณะ ฉับพลันนั้นก็กัดฟันขอร้องหานลี่


“ท่านอาวุโสหาน ท่านมีพลังปราณมากมาย หวังว่าจะลงมือช่วยกั่วเอ๋อร์ได้ จากนี้พรรคของชนรุ่นหลังจะต้องตอบแทนบุญคุณเป็นวัวและม้าให้ท่านแน่เจ้าค่ะ”


เมื่อได้ยินหญิงสาวกล่าวเช่นนี้ พวกของยายแก่ก็ใจเต้น อดที่จะมองไปทางหานลี่ไม่ได้


ก่อนหน้านี้หานลี่มีท่าทีมาเพราะเด็กหญิงผู้นี้ หากเป็นเช่นนั้น ‘ท่านอาวุโสหาน’ ผู้นี้ก็อาจจะมีโอกาสลงมือ


บุรุษวัยกลางคนโค้งคำนับหานลี่โดยไม่พูดอันใด!


หานลี่ได้ยินกลับเผยสีหน้าอมยิ้มออกมา หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า


“เจ้าก็น่าจะรู้ ไม่ผิด ในเมื่อผู้แซ่หานอยู่ที่นี่ ย่อมมีเจตนาจะช่วยแม่หนูผู้นั้น”


“ขอบพระคุณบุญคุณของท่านอาวุโส!” หญิงสาวได้ยินสิ่งที่ตนเองคาด ก็พลันดีใจ แล้วคุกเข่าคารวะหานลี่


แต่หานลี่พลันสั่นศีรษะ สะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง


ชั่วขณะนั้นพลังไร้รูปร่างพลันปรากฏขึ้นใต้ร่างของไป๋ฮั่วจี๋ แล้วรองรับพวกเขาเอาไว้


คนหนึ่งไม่อาจคุกเข่าลงได้ คนหนึ่งกลับถูกยกขึ้น


“เจ้าสองคนอย่าเพิ่งขอบคุณข้า จะลงมือหรือไม่ ต้องดูว่าพวกเจ้าจะตกลงเงื่อนไขของข้าหรือไม่ แม้ว่าข้าจะประทับใจในตัวแม่หนูผู้นี้ไม่เลว แต่ก็ไม่อาจเสียเวลาการฝึกบำเพ็ญเพียรสองสามร้อยปีไปได้” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ


“ท่านอาวุโสมีเงื่อนไขอันใดก็พูดมาเถิด ขอแค่ทำได้ ชนรุ่นหลังจะไม่ปริปาก” เซียนเย่ว์หัวตอบรับอย่างไม่ต้องขบคิดเลยสักนิด


แม้ว่าบุรุษวัยกลางคนจะใจหายวาบ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยข้อโต้แย้งอันใดออกมาเช่นกัน


ถึงอย่างไรเสียหานลี่ก็คือโอกาสเดียวในการช่วยชีวิตบุตรสาวอันเป็นที่รักของเขา


“เงื่อนไขนั้นง่ายมาก ผู้แซ่หานช่วยแม่หนูผู้นี้ฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ วิญญาณแก่นน้ำแข็งยะเยือกได้ แม้กระทั่งรับหน้าเป็นศิษย์ในนาม แต่ยามที่นางฝึกฝนสำเร็จ จำต้องไปเอาของให้ข้าอย่างไม่เสียดายอันใด ของสิ่งนี้อาจจะอยู่ในเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจ และอาจจะอยู่ตรงมุมใดสักมุมของแดนรกร้าง และมีเพียงผู้ที่ฝึกฝน วิญญาณแก่นน้ำแข็งยะเยือกที่มีจะอิทธิฤทธิ์นี้ถึงจะสัมผัสได้ แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นเรื่องที่อันตรายมาก สหายทั้งสองคิดจะตอบรับเงื่อนไขแทนแม่หนูหรือไม่?” หานลี่มองหญิงสาวและพวกทั้งสอง แววตาเปล่งประกายขณะเอ่ยถาม


“เข้าไปในส่วนลึกของแดนรกร้าง?” ไป๋ฮั่วจี๋ได้ยิน กลับสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไป ชั่วขณะนั้นใบหน้าพลันเผยสีหน้าลังเลออกมา


กลับเป็นเซียนเย่ว์หัวที่แม้ว่าจะหน้าเปลี่ยนสีไปเช่นกัน แต่เมื่อขบคิดเล็กน้อย ก็ถามย้อนกลับอย่างระมัดระวัง


“ไม่ทราบว่าที่ท่านอาวุโสกล่าวว่าฝึกฝนสำเร็จ กั่วเอ๋อร์จะมีพลังยุทธ์ระดับใด หากพลังยุทธ์ต่ำต้อย เข้าไปในแดนรกร้างคงไม่มีโอกาสได้กลับมา”


“หึๆ โปรดวางใจ ในเมื่อผู้แซ่หานรับเป็นศิษย์ในนาม และยังเสียแรงฝึกฝน วิญญาณแก่นน้ำแข็งยะเยือกให้นาง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจปล่อยให้นางไปอย่างไม่มีวันกลับได้ สิ่งที่นางต้องตามหา อย่างน้อยก็ต้องมีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลงขึ้นไปถึงจะสัมผัสได้ และยิ่งไปกว่านั้นข้ายังจะมอบสมบัติป้องกันตัวให้นางด้วย หากหาพบในเผ่ามนุษย์และปีศาจ ก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเข้าไปหาในแดนรกร้าง มิเช่นนั้น ต่อให้ในละแวกของเผ่ามนุษย์และปีศาจไม่มี ข้าก็จะรอให้พลังยุทธ์ของนางเพิ่มขึ้น ค่อยให้นางเข้าไปในแดนรกร้าง” หานลี่ดูเหมือนจะครุ่นคิดเอาไว้ตั้งนานแล้ว จึงเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา


“ระดับเทพแปลง! นี่มันเพียงพอแล้ว ระดับนี้สำหรับชนรุ่นหลังนับว่าเป็นสิ่งที่คาดหวังก็ไม่ได้มา และยิ่งไปกว่านั้นท่านอาวุโสลงมือช่วยเหลือ แม่หนูผู้นี้ไม่มีโอกาสแม้แต่จะมีชีวิตรอดในสองสามปีนี้ ส่วนการฝึกฝนจนถึงระดับเทพแปลงนั้น อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาเกือบพันปี” เซียนเย่ว์หัวพลังยุทธ์ไม่สูงนัก แต่ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดพลางตอบตกลง


ส่วนไป๋ฮั่วจี๋ต่อให้กังวลอยู่บ้าง แต่ก็รู้ว่าคำพูดของหญิงสาวนั้นมีเหตุผล จึงพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง


ยายแก่ที่อยู่ด้านข้าง ก็ไม่มีเหตุผลจะขัดขวาง


“อืม ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะรับกั่วเอ๋อร์เป็นศิษย์ในนาม จากนี้ภายในเวลาหนึ่งร้อยปีให้นางมาอยู่ข้างกายข้า หลังจากผ่านไปร้อยปี ผู้แซ่หานจะคืนนางให้กับพวกเจ้า จากนี้นอกจากชี้แนะการฝึกฝนแล้ว ก็จะไม่รบกวนนางเรื่องใดอีก” หานลี่ฉีกยิ้ม แล้วเอ่ยด้วยท่าทีมีเมตตา


“เช่นนั้นต้องรบกวนฝากแม่หนูกับท่านอาวุโสแล้ว” บุรุษวัยกลางคนได้ฟัง ก็วางใจขึ้นมาจริงๆ แล้วคารวะอีกครั้งด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ


หานลี่ไม่ได้ปฏิเสธ พลางรับคารวะจากอีกฝ่ายอย่างสบายอารมณ์ เซียนเย่ว์หัวก็ขอบคุณหานลี่ด้วยสีหน้ายินดีไม่หยุดเช่นกัน


ส่วนยายแก่ที่อยู่ด้านข้างกลับผ่อนลมหายใจออกมา อดที่จะรู้สึกเบิกบานใจไม่ได้


แม้ว่าอีกฝ่ายจะแค่รับกั่วเอ๋อร์เป็นศิษย์ในนาม ไม่ได้จะถ่ายทอดอันใดให้ แต่อย่างน้อยพรรคจินกว่างของพวกนางก็มีความสัมพันธ์กับอาวุโสระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งได้ ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น อย่างน้อยก็เป็นสุนัขจิ้งจอกที่แอบอ้างบารมีเสือได้แล้ว ไม่ต้องกังวลว่าผู้ใดจะมารังแกพรรคอีก


แต่ในยามที่ยายแก่เตรียมจะพูดอันใดนั้น เพื่อจะเพิ่มความสัมพันธ์กับหานลี่ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านข้าง


“ท่านอาวุโสหาน ชนรุ่นหลังทั้งสองของคารวะท่านเป็นศิษย์!”


เมื่อได้ยินเสียงนี้ ยายแก่และพวกก็อดที่จะหันไปมองด้วยความตกตะลึงไม่ได้


เห็นเพียงคนที่พูดคือ ‘ไห่ต้าเซ่า’ ที่ยืนอยู่ด้านล่าง


ยามนี้เขากำลังมองหานลี่ตาปริบๆ ทั้งทำตัวไม่ถูกและเฝ้ารอคอย


“หึๆ คารวะเป็นศิษย์ข้า?” หานลี่มองไห่ต้าเซ่าแล้วหัวเราะร่าออกมา ทั้งไม่ได้ปฏิเสธทันที และไม่ได้ตอบตกลง


“ฮิฮิ เช่นนั้นนับว่าท่านอาวุโสตกลงได้หรือไม่” ชี่หลิงจื่อใจกล้า หัวเราะคิกคักพลางเอ่ยถามจากด้านข้าง


เห็นได้ชัดว่านักพรตน้อยผู้นี้รู้ดีว่ายามนี้สำหรับเขาและไห่ต้าเซ่าแล้ว เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง


การคารวะผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งได้ นี่เป็นความฝันที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำตั้งมากมายทำได้เพียงใฝ่ฝัน


ดังนั้นเขาสองคนเห็นหานลี่รับไป๋กั่วเอ๋อร์เป็นศิษย์ในนามแล้ว ก็แอบถ่ายทอดเสียงปรึกษากัน แล้วอาศัยความสนิทสนมกับหานลี่เมื่อก่อน ทำหน้าหนาขอคารวะอาจารย์


“เจ้าสองคนลุกขึ้นเถิด เรื่องคารวะอย่ารีบร้อน ไว้ค่อยว่ากัน ในช่วงงานหมื่นสมบัติก็ติดตามข้าสักระยะหนึ่งก็แล้วกัน” หานลี่หุบยิ้ม ในที่สุดก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึม


“ข้ารู้ ท่านอาวุโสหานต้องประเมินชนรุ่นหลังสักระยะ วางใจ ชนรุ่นหลังไม่มีฝีมืออื่น มีก็แต่ความจิตใจที่กตัญญูต่อท่านอาจารย์ที่หาได้ยากในโลกหล้า” ไห่ต้าเซ่ากะพริบตาปริบๆ ไม่ได้เผยสีหน้าผิดหวังออกมา กลับเอ่ยอย่างยินดี


“ชนรุ่นหลังจะต้องทำให้ท่านอาวุโสพึงพอใจ!” ชี่หลิงจื่อค้อมศีรษะให้หานลี่สามครั้ง แล้วถึงได้ยืนขึ้นพร้อมกับหัวเราะคิกคัก


ใบหน้าของหานลี่เผยท่าทีที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องออกมาดี ได้แต่พยักหน้า บัดเดี๋ยวก็สั่นศีรษะ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่


“พิษเย็นเยียบในร่างของกั่วเอ๋อร์ ถูกข้ากำจัดไปรอบหนึ่งแล้ว ภายในหนึ่งปีจะไม่กำเริบอีก หลังจากงานชุมนุมหมื่นสมบัติเสร็จสิ้น ข้าจะมาพาแม่หนูไป ช่วงระยะเวลานี้พวกเจ้าก็เตรียมตัวให้ดีล่ะก็ ใช่แล้ว หยกอาทิตย์ร้อนนี้ให้แม่หนูพกติดตัวไว้ แม้ว่าจะไม่อาจกำจัดพิษได้ แต่ก็มีประโยชน์ต่อนาง หยกก้อนนี้เป็นอาวุธป้องกันตัวชนิดหนึ่ง หากพบกับอันตราย จะทำการคุ้มครองครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ข้ายังมี ‘ยาลูกกลอนบำรุงจิต’ เจ้าให้กั่วเอ๋อร์กินวันละสองครั้งเถิด” หานลี่เอ่ยจบ ก็ปัดแขนเสื้อไปบนโต๊ะด้านข้าง ชั่วขณะนั้นหยกทรงสี่เหลี่ยมเปล่งแสงสีแดงและขวดหยกสีเขียวมรกตก็ปรากฏขึ้นบนโต๊ะพร้อมกัน


สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่น่าตกตะลึงซึ่งแผ่ออกมาจากหยกก็รู้ว่าหยกนี้ไม่ธรรมดา ส่วนยาลูกกลอนบำรุงจิตนั้นก็เป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียง เหมาะสมกับปราณแท้ของแม่หนูที่เสียหายไปพอดี ชั่วขณะนั้นหญิงสาวพลันขอบคุณไม่หยุดด้วยความดีใจ แล้วเก็บทั้งสองสิ่งเข้าไปอย่างระมัดระวัง


ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อที่อยู่ด้านข้างเห็นหานลี่เพิ่งจะรับศิษย์ในนามก็มอบประโยชน์ให้เช่นนั้น ก็ปกปิดสีหน้าอิจฉาเอาไว้ไม่มิด


ทำให้หานลี่เห็นแล้วรู้สึกขบขัน เมื่อขบคิดเล็กน้อย ก็พลิกฝ่ามือ แล้วหยิบขวดยาอีกสองขวดออกมา แบ่งให้ทั้งสองคนแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ


“ไม่ว่าจากนี้จะรับพวกเจ้าเป็นศิษย์หรือไม่ แต่ระหว่างทางนับว่าข้ากับเจ้ามีวาสนาต่อกัน ขวดยาสองขวดนี้ขวดหนึ่งสามารถทำให้กระดูกแข็งแกร่ง ขวดหนึ่งเพิ่มพลังปราณได้ เจ้าสองคนเก็บไว้เถิด”


“ขอบพระคุณท่านอาวุโสหาน!”


ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อย่อมรู้สึกยินดี หลังจากรับขวดยาไปแล้วก็เอ่ยขอบคุณทันที รู้สึกว่าติดตามท่านอาจารย์ผู้นี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว จากนั้นก็เก็บขวดเข้าไปอย่างระมัดระวังราวกับสมบัติล้ำค่า


จากนั้นหานลี่ก็ไม่ได้มีเจตนาจะรั้งรออีก หลังจากเอ่ยอีกสองสามประโยค ก็พาไห่ต้าเซ่าและพวกทั้งสองจากไปด้วยสีหน้าราบเรียบ


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งสามที่อยู่บนรถเหาะก็บินไปทางภูเขาเก้าเซียน


“ท่านอาวุโสหานจากนี้พวกเราจะไปที่ใด ต้องหาถ้ำพำนักชั่วคราวหรือไม่ขอรับ” มองเห็นภูเขาเก้าเซียนชัดขึ้นเรื่อยๆ ชี่หลิงจื่อที่อยู่ในรถก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น


“ไม่ต้องยุ่งยากเพียงนั้น แม้ว่าภูเขาเก้าเซียนจะมีเขตอาคมห้ามคนนอกเข้า แต่นั่นเอาไว้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ เท่านั้น พวกเราเข้าไปย่อมมีคนเข้ามาต้อนรับโดยเฉพาะอยู่แล้ว” หานลี่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

 


ตอนที่ 1785 วังต้อนรับเซียน

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ข้าก็ว่าท่านอาวุโสหานเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ จะไปพักอยู่ด้านนอกเหมือนผู้บำเพ็ญเพียรทั่วๆ ไปได้อย่างไร” ไห่ต้าเซ่าเอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคักออกมา


“ใช่แล้ว! คิดดูแล้วสถานที่ที่รอต้อนรับท่านอาวุโสจะต้องใหญ่โตโอ่อ่าแน่ เราสองคนอาศัยท่านอาวุโส เข้าไปก็ได้เปิดโลกแล้ว” ชี่หลิงจื่อกะพริบตาปริบๆ แล้วประจบเช่นกัน


แม้ว่าหานลี่จะฟังเจตนาประจบสอพลอออก แต่ก็แค่หัวเราะหึๆ ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา


ไม่นานนักรถเหาะก็ผ่านย่านร้านค้าไป แล้วเข้าไปในเทือกเข้าด้านหน้า


ระยะทางพันกว่าลี้สำหรับรถที่เป็นอาวุธเหาะเหินระดับสุดยอดแล้ว แทบจะมาถึงได้ในพริบตา


ตรงหน้าพลันมีทะเลหมอกสีฟ้าปรากฏขึ้นขวางทางเอาไว้


หานลี่ใช้เท้าข้างหนึ่งตบไปที่อาวุธใต้ฝ่าเท้าเบาๆ ชั่วขณะนั้นรถเหาะก็หมุนวงโคจรรอบหนึ่งแล้วหยุดลง


หานลี่เองก็มิได้พูดจา ใช้สองมือถูกันไปมา แล้วยกขึ้นส่งไปทางทะเลหมอกพร้อมกัน


เสียงอึกทึกดังขึ้น สายฟ้าสีทองสองสายเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วดีดตัวออกมา จมหายเข้าไปในทะเลหมอก


ครู่ต่อมากลางทะเลหมอกสีฟ้าก็มีเสียง “ตูมๆ” ดังขึ้นสองครั้ง


พลังแรงกดมหาศาลสองกลุ่มระเบิดออกจากทะเลหมอก ทำให้ทะเลหมอกสีฟ้าตรงหน้ากระเพื่อมแล้วหมุนวน ราวกับเกิดมีคลื่นพายุรุนแรงที่โหมซัดสาดเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น


จากนั้นหานลี่กลับใช้สองมือไพล่หลัง ยืนอยู่ในรถไม่กระทำอันใด ราวกับว่ากำลังรออันใดอยู่อย่างไรอย่างนั้น


ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกกังขาในใจ แต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากถามซี้ซั้ว ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังหานลี่


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ กลางทะเลหมอกด้านหน้าก็มีเสียงอสูรคำรามประหลาดๆ ดังขึ้น จากนั้นเสียงตะโกนด้วยความโมโหของบุรุษก็ดังขึ้นจากด้านใน


“ผู้ใดบังอาจนัก คาดไม่ถึงว่าจะกล้าโจมตีเขตอาคมนี้ ไม่ทราบหรืออย่างไรว่าสามเดือนก่อนก็เริ่มวางเขตอาคมกันแล้ว?”


สิ้นเสียงคำรามของบุรุษ หมอกสีฟ้าก็เกิดเป็นระลอกคลื่น ทะเลหมอกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง เปิดเป็นทางเดินยักษ์ขนาดสองสามจั้ง


ลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ หน่วยคุ้มกันขี่อสูรประหลาดขนาดยักษ์ออกมาสองสามตัว


ผู้คุ้มกันเหล่านี้ล้วนมีร่างกายสูงใหญ่ เอวกลมหนา ดูแล้วสูงกว่าหานลี่ถึงสองช่วงหัว กายท่อนบนสวมชุดเกราะกระดูกสีขาวหยาบๆ เอาไว้ กายท่อนล่างสวมกางเกงหนังที่หลากหลาย มือข้างหนึ่งถือโล่กระดูกขนาดยักษ์สี่เหลี่ยม อีกข้างหนึ่งถือหอกสีดำหนาๆ


ส่วนอสูรประหลาดที่พวกเขานั่งอยู่นั้น ราวกับหมาป่ายักษ์ที่มีปีกเนื้อขนาดมหึมา แต่ขนที่ปกคลุมร่างกายกลับเป็นสีฟ้า มีสายฟ้าแล่นแปล๊บๆ อยู่ เผยความลึกลับออกมา


แต่บนเรือนร่างของผู้คุ้มกันเหล่านี้กลับไม่มีพลังปราณเลยสักนิด คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงที่หาได้ยากกลุ่มหนึ่ง อาศัยแค่ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อก็เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมแล้ว


เมื่อเห็นหานลี่ยืนอยู่ในรถเหาะกลางอากาศก็ใช้สายตาสนอกสนใจพิจารณาพวกเขา ไม่มีท่าทีจะหลบหลีกหรือหลีกหนีเลยสักนิด ผู้คุ้มกันสี่คนอดที่จะตกตะลึงไม่ได้


หนึ่งในนั้นเป็นชายร่างกายสูงใหญ่ที่ดูเหมือนเป็นผู้นำ เดิมมีสีหน้าโหดเหี้ยมพลันเปลี่ยนเป็นตกตะลึงระคนสงสัย


เขาโบกมือ ดึงบังเหียนหยุดอสูรประหลาดตรงขอบของทะเลหมอก


“พวกเจ้าคือผู้คุ้มกันอัสนีที่มีชื่อเสียงของเขตเสวียนอู่สินะ ชื่อเสียงไม่หลอกลวงจริงๆ ทว่าพวกเจ้าอยู่ที่นี่หรือว่าสหายจักรพรรดิป้ามาถึงภูเขาเก้าเซียนแล้ว?” หานลี่ไม่รอให้คนเหล่านั้นเอ่ยถามก็เลยถามก่อน


เมื่อได้ยินคำพูดที่ดูใหญ่โตของหานลี่ ผู้คุ้มกันเหล่านั้นพลันตกตะลึงและไม่กล้าดูแคลน


ชายร่างใหญ่ที่เป็นผู้นำมีสีหน้าเคร่งขรึมรีบประสานมือคารวะหานลี่แล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม


“พวกชนรุ่นหลังเป็นผู้คุ้มกันอัสนีของใต้เท้าจักรพรรดิป้าจริงขอรับ แต่ใต้เท้าจักรพรรดิป้ายังมาไม่ถึง พวกเรามาถึงภูเขาเก้าเซียนก่อน รับหน้าที่จัดระเบียบความเรียบร้อยของที่นี่ ขอบังอาจเรียนถามแซ่ของท่านอาวุโส?!”


“หึๆ ชื่อของผู้แซ่หาน พวกเจ้าคงไม่เคยได้ยิน ทว่าก่อนหน้านี้จักรพรรดิป้าของพวกเจ้าเคยส่งคนมาเชิญข้าเข้าวังจักรพรรดิป้า ทว่าด้วยเหตุผลอื่นข้าจึงทำได้เพียงปฏิเสธไป” หานลี่ตอบอย่างคร่าวๆ


“อันใด หรือว่าท่านอาวุโสคืออาวุโสหานลี่ที่เพิ่งพัฒนาระดับขึ้นมาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์!”


“อ๋อ เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?”


อยู่นอกเหนือความคาดหมายของหานลี่เล็กน้อย เมื่อเขาเอ่ยปาก หัวหน้าผู้คุ้มกันก็ร้องชื่อเขาออกมาทันที ท่าทางเมื่อได้ยินชื่อเสียงมาเนิ่นนานแล้ว


นี่ยิ่งทำให้เขาตกตะลึง อดที่จะพิจารณาอีกฝ่ายอย่างละเอียดแวบหนึ่งไม่ได้ ถึงได้พบว่าแม้ว่าชายร่างใหญ่ที่เป็นหัวหน้าจะเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่งแต่เรือนร่างกลับมีแสงจากสมบัติแผ่ออกมารางๆ ดูเหมือนว่าจะมีสมบัติที่อ่อนแอติดตัวอยู่สองสามชิ้น ดูไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนที่เหลืออีกสามคน


“ท่านอาวุโสอย่าถือสา! ท่านปู่ของชนรุ่นหลังเป็นหนึ่งในสี่จอมพลังเคียงกายของจักรพรรดิป้า ถึงได้บังเอิญรู้ข่าวคราวของท่านอาวุโส”  เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของหานลี่ ชายร่างใหญ่ก็รีบร้อนเอ่ยปากอธิบาย


“จอมพลังเคียงกาย! อ๋อ ข้ากลับเคยได้ยินมาบ้าง ว่ากันว่าสหายทั้งสี่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนระดับสุดยอด ประกอบกับการทุ่มเทฝึกฝนของจักรพรรดิป้า แม้ว่าจะไม่มีพลังปราณ แต่กายเนื้อของทุกคนก็มีความแข็งแกร่งไม่ต่างอันใดจากสมบัติระดับสุดยอด มีพลังมหาศาลนัก” หานลี่ถึงบางอ้อไปเล็กน้อย


“ชื่อเสียงของท่านปู่ ไหนเลยจะคุ้มค่าให้เอ่ยต่อหน้าท่านอาวุโสหาน ท่านอาวุโสหานมาจากแดนไกล คิดดูแล้วคงต้องเหนื่อยล้าเป็นแน่ ชนรุ่นหลังจะนำทางอาวุโสเข้าไปข้างใน ไปพักที่วังต้อนรับเซียนเถิดขอรับ” แม้ว่าหัวหน้าผู้คุ้มกันจะมีลักษณะห้าใหญ่สามหนา[1] แต่ยามนี้กลับดูคล่องแคล่วมาก พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม


“หึๆ เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกเหนื่อยล้าจริงๆ นำทางเถิด!” หานลี่พยักหน้า


“ขอรับ เชิญท่านอาวุโสเข้าไปข้างใน!”


ผู้คุ้มกันสี่คนคารวะอย่างนอบน้อมอีกครั้ง แล้วถึงได้บินแยกออกเปิดทางทั้งซ้ายและขวา


หานลี่กระตุ้นรถเหาะใต้ฝ่าเท้า แล้วเข้าไปในทะเลหมอกด้วยท่าทียิ่งใหญ่


เห็นได้ชัดว่าทะเลหมอกไม่กว้างใหญ่นัก แค่ชั่วครู่หานลี่ก็บินตามผู้ฝึกตนทั้งสี่มุ่งไปยังยอดเขาที่ไกลออกไป


“ยอดเขาทั้งเก้าของภูเขาเก้าเซียน ปกติแล้วจะให้พวกเราและเผ่าปีศาจแบ่งกันดูแลฝั่งละสี่ยอดเขา ‘ยอดเขาเซียนเหิน’ ที่สูงที่สุดกลับเป็นแดนอิสระของคนธรรมดา ปกติแล้วทั้งสองเผ่าจะไม่ส่งคนไปคุ้มกัน ดังนั้นจัตุรัสหลักของงานชุมนุมหมื่นสมบัติครั้งนี้จึงจัดขึ้นที่ ‘ยอดเขาเซียนเหิน’ ยามนี้พวกเราทั้งสองเผ่าล้วนส่งผู้ที่มีความสามารถไปดูแลทั้งยอดเขาทั้งวันทั้งคืน แน่นอนว่าแค่ยอดเขาลูกหนึ่งย่อมไม่สามารถบรรจุคนทั้งสองเผ่าได้ ดังนั้นยามที่งานชุมนุมหมื่นสมบัติเปิดตัว ยอดเขาที่เหลือทั้งแปดจะถูกเปิดด้วยเช่นกัน และได้สร้างจัตุรัสแปดแห่งเอาไว้ เพื่อใช้บรรจุผู้ร่วมงานทั้งหมด แต่จากที่ชนรุ่นหลังคาดเดา แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นถึงยามนั้นก็ต้องมีคนไม่พอใจ ถึงอย่างไรเสียงานหมื่นสมบัติในอดีตก็แทบจะมีผู้เข้าร่วมกว่าล้านคน โชคดีที่งานหมื่นสมบัติครั้งนี้เตรียมจัดงานมาแล้วหลายปี น่าจะไม่มีปัญหาอันใด ทว่าชนรุ่นหลังได้ยินมาว่าเทียบกับงานครั้งก่อน มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง”


ระหว่างทางชายร่างใหญ่ที่เป็นผู้นำพลันเป็นฝ่ายแนะนำภูเขาเก้าเซียนให้หานลี่ฟังอย่างรู้จักวางตัว รวมทั้งสถานการณ์ของงานชุมนุมหมื่นสมบัติ แต่เมื่อพูดประโยคสุดท้าย เสียงกลับหยุดชะงักลง


“อ๋อ มีอันใดไม่เหมือนหรือ?” หานลี่ใจเต้น พลางเอ่ยถามอย่างแช่มช้า


“ชนรุ่นหลังได้ยินข่าวลือมาโดยบังเอิญ ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ หากมีจุดใดที่พูดผิด หวังว่าท่านอาวุโสจะไม่ถือสา” ชายร่างใหญ่ลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น


“วางใจเถิด ความจริงหรือเท็จ ข้าจะตัดสินเอง ไม่มีทางโทษเจ้าแน่” หานลี่กวาดมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ


“เช่นนั้นชนรุ่นหลังก็ขอบังอาจแล้ว ชนรุ่นหลังได้ยินมาว่า งานหมื่นสมบัติครั้งนี้อาจจะมีชนต่างเผ่ามาเข้าร่วม และเอาสมบัติวิเศษของชนต่างเผ่ามาทำการประมูล” ชายร่างใหญ่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วถึงได้เอ่ยอย่างจริงจัง


“ชนต่างเผ่า? หรือว่าจะเป็นชนเผ่าไม้หรือเผ่าวิญญาณที่อยู่ใกล้ๆ หรือว่าจะเป็นเผ่าเถื่อนและเผ่าสามง่ามราตรี?” หานลี่ได้ฟังพลันตกตะลึง อดที่จะเอ่ยถามพร้อมกับหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้


“เรื่องนี้ชนรุ่นหลังก็ไม่แน่ใจ! ถึงอย่างไรเสียชนรุ่นหลังก็เป็นแค่ผู้คุ้มกันอัสนีธรรมดา!” ชายร่างใหญ่หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา


“นั่นมันก็ใช่ ทว่าน้ำใจนี้ข้าจะจำเอาไว้ ‘ยาลูกกลอนเสริมปราณ’ เหล่านี้มอบให้พวกเจ้าก็แล้วกัน กินวันละเม็ด ก็สามารถเพิ่มอายุขัยของพวกเจ้าได้ จากนี้หากได้ยินเรื่องอันใดที่มีประโยชน์ก็มารายงาน ข้าจะมอบรางวัลให้แก่พวกเจ้า” หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสอยู่ชั่วครู่ หลังจากฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติ ก็พลิกฝ่ามือโยนขวดยาให้ผู้คุ้มกันทั้งสี่ที่อยู่ตรงหน้า


“ขอบพระคุณรางวัลของท่านอาวุโส หากชนรุ่นหลังรู้อันใด จะต้องมารายงานแน่” ชายร่างใหญ่ที่เป็นผู้นำได้ยินชื่อ ‘ยาลูกกลอนเสริมปราณ’ ชั่วขณะนั้นก็รับไว้อย่างดีใจเกินคาด และตอบกลับด้วยเสียงสั่นเทาเล็กน้อย


คนที่เหลืออีกสามคนก็รีบคารวะขอบคุณเช่นกัน


หานลี่กลับโบกมือ แล้วหรี่ตาลงไม่พูดไม่จาอยู่ภายในรถ


ผู้คุ้มกันอัสนีทั้งสี่เองก็ไม่รบกวนหานลี่อีกอย่างรู้จักวางตัว พารถเหาะของหานลี่บินไปอีกระยะหนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงยอดเขาแห่งหนึ่ง


เห็นเพียงตรงนั้นมีหอคอยตั้งเรียงรายอยู่ แทบจะกินพื้นที่กว่าครึ่งยอดเขา


และท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้น มีวังหยกสีขาวอันวิจิตรงดงามสูงสามร้อยสี่ร้อยจั้งมีทั้งหมดสิบกว่าชั้นตั้งอยู่


และรอบๆ วังแห่งนั้น มีหอคอยที่งดงามตั้งเรียงรายอยู่ ทางทิศตะวันออกหลังหนึ่ง ทางตะวันตกหลังหนึ่ง  มากกว่าร้อยหลัง ล้อมวังหยกสีขาวแห่งนั้นอยู่ตรงใจกลาง


“ท่านอาวุโสหานนี่คือวังต้อนรับเซียน ท่านอาวุโสระดับผสานอินทรีย์ทั้งหมดจะพาลูกศิษย์มาอยู่คนละชั้น ทุกชั้นจะมีเขตอาคมส่งตัว ไม่จำเป็นต้องขึ้นลงบันไดก็สามารถมาที่ชั้นหนึ่งของวังได้ หอคอยที่อยู่รอบๆ ล้วนเป็นสิ่งที่เตรียมไว้ให้อาวุโสระดับหลอมสุญตา ทว่ายามนี้มีแค่อาวุโสระดับผสานอินทรีย์เช่นนี้ถึงจะมีคุณสมบัติเข้าพักที่นี่ได้ ส่วนยอดเขาด้านล่างทุกลูกก็มีวังต้อนรับเซียนเช่นกัน สามารถบรรจุท่านอาวุโสระดับผสานอินทรีย์ทุกท่านได้” ชายร่างใหญ่ที่เป็นผู้นำอธิบายอย่างตั้งใจ


“อ๋อ ที่นี่คือวังต้อนรับเซียน มีคนเข้าไปพักแล้ว” หานลี่ได้ยิน ก็รู้สึกสนใจ


“ท่านอาวุโสดวงตาเฉียบแหลมนัก! นอกจากอรหันต์ว่านกู่และลูกศิษย์ของเขาที่มาถึงเมื่อเดือนก่อน ที่นี่ก็ยังไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนที่สองมา” ชายร่างใหญ่ตอบกลับอย่างซื่อตรง


[1] *ห้าใหญ่สามหนา หมายถึง ผู้ชายที่เข้าตำราในสมัยโบราณจะต้องมีห้าใหญ่และสามหนา ห้าใหญ่ ประกอบด้วย สองมือ สองเท้า และหนึ่งศีรษะที่จะต้องมีลักษณะที่ใหญ่ ส่วน สามหนา ประกอบด้วย ขา เอว คอ

 

 

 


ตอนที่ 1786 อรหันต์ว่านกู่

 

“อรหันต์ว่านกู่ ข้าก็เคยได้ยิน ว่ากันว่าเดิมสหายผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษ แต่สร้างสำนักกระดูกขาวขึ้นเมื่อหมื่นปีก่อน จนกลายเป็นปรมาจารย์ตั้งสำนัก อุดมการณ์ไม่น้อยเลย” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น


“จะว่าไปแล้ว สำนักกระดูกขาวก็มีอำนาจไม่น้อยในเขตเสวียนอู่ของพวกเรา จัดอยู่ในสิบอันดับสำนักที่ยิ่งใหญ่ ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็ก้าวมาอยู่ในขั้นนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงอิทธิฤทธิ์ของท่านอาวุโสว่านกู่แล้ว ใช่แล้ว ท่านอาวุโสว่านกู่พักอยู่ชั้นบนสุดของวังต้อนรับเซียน หากท่านอาวุโสอยากพักชั้นใด ถึงยามนั้นก็บอกกับใต้เท้าที่ดูแลวังต้อนรับเซียนได้เลยขอรับ” ชายร่างใหญ่ตอบกลับอย่างนอบน้อม


ระหว่างที่พูดคุยผู้คุ้มกันอัสนีทั้งสี่ก็พาหานลี่มาถึงประตูใหญ่ของวังหยกขาว ตรงนั้นมีนักรบสวมชุดเกราะสีเขียวยืนเฝ้าอยู่สองสามคน


ชายร่างใหญ่ที่เป็นผู้นำกระโดดลงจากหมาป่ายักษ์อย่างรีบร้อน เดินไปอยู่ตรงหน้าผู้คุ้มกันคนหนึ่ง แล้วชี้มาที่หานลี่พลันเอ่ยอันใดด้วยเสียงแผ่วเบา


เดิมผู้คุ้มกันชุดเกราะสีเขียวที่มีสีหน้าเย็นชาผู้นั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี หลังจากพิจารณาหานลี่ให้ละเอียดสองแวบก็คารวะหานลี่ แล้วรีบร้อนหมุนตัวกลับเข้าไปข้างในประตู


ส่วนชายร่างใหญ่ก็กลับมาอยู่ข้างกายของหานลี่อีกครั้งแล้วเอ่ยว่า


“ท่านอาวุโสหาน ชนรุ่นหลังและพวกยังมีภารกิจลาดตระเวน คงอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก อีกเดี๋ยวใต้เท้าผู้ดูแลวังจะมาต้อนรับท่านอาวุโสด้วยตนเอง ชนรุ่นหลังทั้งสี่คนขอตัวลาก่อนขอรับ”


เอ่ยไปพลางชายร่างใหญ่ทั้งสี่คนก็ค้อมตัวให้หานลี่เล็กน้อย แล้วเอ่ยคำกล่าวลา


แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่ขัดขวาง โบกมือปล่อยให้ผู้คุ้มกันอัสนีทั้งสี่คนจากไป


แทบจะในพริบตาที่ชายร่างใหญ่และพวกหมาป่ายักษ์พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ก็มีคนสองคนเดินออกมาจากด้านใน


คนหนึ่งคือผู้พิทักษ์เกราะนิลที่เพิ่งวิ่งเข้าไปข้างใน อีกคนคือชายชราหน้าขาวสวมชุดคลุมสีเทา ดวงตาทั้งสองข้างเป็นสีแกมเขียว เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นรางๆ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง


“นี่คือท่านอาวุโสหานสินะ ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสมาเยือนถึงที่นี่ ชนรุ่นหลังจึงมิได้ออกไปต้อนรับแต่ไกล หวังว่าท่านอาวุโสจะไม่ถือสา” ชายชราก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าว แล้วคารวะหานลี่อย่างนอบน้อม


“สหายจง ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทเพียงนั้น ข้าน้อยเดินทางมาไกลย่อมเหนื่อยล้า รีบจัดที่พักให้ข้าเถิด” หลังจากที่หานลี่พิจารณาอีกฝ่ายสองสามแวบ ก็เอ่ยอย่างราบเรียบออกมา


“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ วังต้อนรับเซียนถูกจัดเตรียมเอาไว้หมดแล้ว ท่านอาวุโสสามารถย้ายเข้าไปได้ทันที นอกจากชั้นบนสุดที่ถูกท่านอาวุโสว่านกู่พักไปแล้ว และชั้นหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดพักได้ ที่เหลืออีกแปดชั้นก็ยังว่างอยู่ ท่านอาวุโสเลือกได้ตามสะดวกเถิดขอรับ” จงเหมี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม


“เช่นนั้นก็ชั้นห้าก็แล้วกัน ไม่สูงไปและไม่ต่ำไป เหมาะสมกับข้าพอดี” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยเช่นนี้ออกมา


“ขอรับ ข้าจะพาท่านอาวุโสไปดูก่อน ว่ามีอันใดไม่พอใจหรือไม่ ชนรุ่นหลังจะเข้าไปแก้ไขให้ทันที” ชายชราเอ่ยอย่างเอาใจ


หานลี่พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วเข้าไปในชั้นหนึ่งของวังต้อนรับเซียนโดยมีอีกฝ่ายเป็นผู้นำทาง


วังกว้างประมาณสองสามร้อยจั้ง ไม่ว่ากำแพงทั้งสี่หรือว่าพื้นที่เปล่งแสงเรืองรอง ก็สลักไข่มุกราตรีสีขาวขนาดเท่ากำปั้นเอาไว้ สะท้อนทั้งวังให้สว่างไสว ราวกับวังมังกรของแดนเซียนก็ไม่ปาน


รอบด้านของวังมีโต๊ะเก้าอี้ที่สร้างขึ้นจากหยกขาววางอยู่ แต่ก็มีอยู่ไม่มากนัก แค่วางอยู่ห่างๆ กันตามมุมต่างๆ


ส่วนใจกลางของวังกลับมีเขตอาคมส่งตัวสีเงินอ่อน ขนาดเจ็ดแปดจั้ง


ชายชราเดินเข้าไปในเขตอาคม และพาเข้าไปข้างใน


หานลี่เหยียบเข้าไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก


ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อพลันมองสบตากันแวบหนึ่ง แน่นอนว่าย่อมเดินตามหลังไปติดๆ อย่างไม่ยอมทิ้งห่าง


แม้ว่าทั้งสองคนจะใช้เขตอาคมส่งตัวเป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้ขลาดกลัวอันใด


ชายชราร่ายอาคมสายหนึ่งใส่เขตอาคมส่งตัว ทั้งเขตอาคมเปล่งแสงสว่างวาบแล้วส่งเสียงอึกทึกขึ้น


ยามนี้จงเหมี่ยมถึงได้พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง แผ่นป้ายสีเงินที่วิจิตรงดงามปรากฏขึ้นในมือ


หานลี่กวาดตามองแวบหนึ่ง ก็เห็นแผ่นป้ายด้านหนึ่งสลักสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนเอาไว้ อีกด้านหนึ่งกลับเป็นตัวอักษรเลข ‘ห้า’ สีทองอ่อน


ชายชราสะบัดแผ่นป้ายนี้เบาๆ ลำแสงสีเงินสายหนึ่งบินออกไป จมหายเข้าไปในเขตอาคมด้านล่าง


ครู่ต่อมาทั้งเขตอาคมก็มีแสงสีเงินไหลวนโคจร เงาร่างทั้งสี่คนสลายหายไปพร้อมกัน


แม้ว่าไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อจะหลับตา ก็ยังคงรู้สึกหัวหนักอึ้งเท้าเบาหวิว


เมื่อทั้งสองคนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏขึ้นบนแท่นเรียบๆ


รอบๆ แท่น ด้านหนึ่งคือแปลงปลูกดอกไม้ที่มีทางเดินเล็กๆ คดเคี้ยวไปมาหลายสาย สองฝั่งมีสมุนไพรวิญญาณนิรนามปลูกอยู่เต็มไปหมด ไม่รู้ว่าไปสู่ที่ใด ส่วนอีกด้านกลับเป็นบ่อน้ำสีเขียวมรกตขนาดสองสามหมู่ ด้านในมีมัจฉาวิญญาณห้าสีสันขนาดสองสามฉื่อแหวกว่ายไปมา


สายลมพัดโชยเข้ามา ไอวิญญาณปะทะเข้ากับใบหน้า


ไห่ต้าเซ่าพลันตะลึงงัน ฉับพลันนั้นพลันนึกอันใดขึ้นมาได้ จึงเงยหน้าขึ้นมองด้านบน


เห็นเพียงด้านบนเป็นสีฟ้าสดใส เมฆสีขาวสองสามกลุ่มกำลังลอยคลอเคลียกันไปมา


แต่ดวงอาทิตย์สองสามดวงที่เดิมน่าจะดำรงอยู่กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นดวงแสงสีขาวนวลขนาดยักษ์กำลังลอยเปล่งแสงสีขาวอ่อนออกมาแทน


ไห่ต้าเซ่าเห็นแล้วพลันตกตะลึงจนตาค้าง


ชี่หลิงจื่อที่อยู่ด้านข้างก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าใดนัก กำลังอ้าปากกว้างเช่นกัน ยามนั้นไม่อาจปิดปากให้สนิทได้


“ไม่ต้องดูแล้ว ด้านบนเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น จากระดับพลังของพวกเจ้า มองไม่เห็นกลไกอันใดหรอก” เสียงของหานลี่ดังขึ้นในหูของทั้งสองคน


ทั้งสองคนพลันตกตะลึง แล้วถึงได้สติกลับคืนมา จึงพบว่าหานลี่เดินออกจากเขตอาคมไปยืนมองพวกเขาด้วยรอยยิ้มอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้


ชายชรานามว่าจงเหมี่ยนที่อยู่ไกลออกไปหน่อย ก็หรี่ตามองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มเช่นกัน


ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อหน้าแดงก่ำเล็กน้อย รีบเดินออกจากเขตอาคมอย่างขัดเขิน


แต่ทั้งสองคนก็ยังรู้สึกตื่นเต้น ตามหลังหานลี่และมองไปรอบด้านไม่หยุด


เดินผ่านทางเดินสายเล็ก ตำหนักสีเขียวอ่อนแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น แม้ว่าจะไม่เรียกว่ามหึมา แต่ก็สวยสดงดงาม ลวดลายแทบทั้งหมดที่จารึกลงไปล้วนทำขึ้นอย่างตั้งอกตั้งใจ


สองฝั่งของตำหนักยังมีลานบ้านแห่งหนึ่งและตำหนักข้างที่ค่อนข้างเล็กอีกหลังหนึ่ง


เห็นได้ชัดว่าสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้สร้างเอาไว้ให้บรรดาเหล่าลูกศิษย์พักอาศัย


สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ถูกล้อมเอาไว้ด้วยไผ่สีเขียวชอุ่ม ศาลาเหล่านั้นปรากฏขึ้นรางๆ ในสายตาของพวกเขา


ช่างเป็นทัศนียภาพที่น่าหลงใหลนัก


ผู้ใดจะคิดได้ว่าดินแดนที่เหมือนกันแดนเซียนจะอยู่ในวังขนาดยักษ์ชั้นหนึ่งเท่านั้น


“ทุกชั้นของวังต้อนรับเซียนล้วนถูกจัดวางเช่นนี้หรือ?” หานลี่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตำหนัก พลางพิจารณารอบด้าน แล้วพลันเอ่ยถามชายชราอย่างสบายอารมณ์


“หึๆ แน่นอนว่าไม่ใช่ขอรับ ทุกชั้นของวังต้อนรับเซียนล้วนจัดวางไม่เหมือนกัน เพื่อไม่ให้ท่านอาวุโสไม่พอใจ และจะได้เปลี่ยนแปลงได้ หากท่านอาวุโสหานคิดว่าไม่ดี ชนรุ่นหลังจะให้ท่านอาวุโสเลือกชั้นอื่นทันที” จงเหมี่ยนตอบอย่างไม่ต้องขบคิด


“ไม่จำเป็นหรอก ชั้นนี้นับว่าไม่เลว ข้าค่อนข้างพอใจ พักที่นี่เถิด” หานลี่โบกมือแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ


“ในเมื่อท่านอาวุโสคิดว่าพอได้ แผ่นป้ายต้องห้ามนี้ก็มอบให้ท่านอาวุโสก็แล้วกันขอรับ เพราะว่าทุกชั้นมีเขตอาคมที่ไม่เหมือนกัน และทุกชั้นจะมีแผ่นป้ายแค่แผ่นเดียว ดังนั้นหลังจากที่งานชุมนุมจบลง หวังว่าท่านอาวุโสจะนำมาส่งคืน” ชายชราได้ยินก็เผยรอยยิ้มออกมา และใช้สองมือส่งแผ่นป้ายสีเงินมาให้


หานลี่รับแผ่นป้ายมาแล้วพยักหน้า ส่งสัญญาณว่าเข้าใจแล้ว


จากนี้ชายชราก็ขอตัวลาไปอย่างรู้จักวางตัว


ที่นี่จึงเหลือเพียงหานลี่และพวกไห่ต้าเซ่า


“เจ้าสองคนพักที่นี่ในยามที่งานชุมนุมจัดขึ้นเถิด ลานบ้านเหล่านั้นเลือกพักได้ตามสบาย ข้าจะไปพักผ่อน มีเรื่องอันใดค่อยคุยกันพรุ่งนี้” หานลี่ออกคำสั่งกับทั้งสองคน


“ขอรับท่านอาวุโส!”


ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อพลันตอบรับอย่างนอบน้อม


จากนั้นทั้งสองก็ปกปิดสีหน้าตื่นเต้นดีใจไม่ไหว พากันเดินไปยังสิ่งปลูกสร้างด้านข้างตำหนัก และได้ยินเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ของทั้งสองคนดังแว่วมา


หานลี่สะบัดศีรษะ หันกายเดินเข้าไปในตำหนักหลัก และหาห้องที่เงียบสงบนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญเพียร


เช้าวันที่สองหานลี่กำลังหลับตาทำสมาธิอยู่บนฟูก ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบอยู่บนผิวกาย ฉับพลันนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น


ครู่ต่อมาเปลวเพลิงสีขาวกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากประตูไม้ เปล่งแสงสว่างวาบ มาอยู่ตรงหน้าของหานลี่


แววตาของหานลี่เปล่งประกาย ยื่นนิ้วชี้ออกไปโดยไม่พูดไม่จา ชี้ไปที่เปลวเพลิงสีขาวอย่างแผ่วเบา


เสียง “ปัง” ดังขึ้น เปลวเพลิงสีขาวระเบิดออกกลายเป็นสะเก็ดไฟจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป


แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเสียงหนึ่งก็ดังก้องไปมาภายในห้อง


“ตาเฒ่าว่านกู่ คารวะสหายหาน ได้ยินว่าสหายเข้ามาพักในวังต้อนรับเซียนเมื่อวาน หากไม่รังเกียจ ก็มาพูดคุยที่ๆ พักของตาเฒ่าเถิด!”


เสียงแก่ชราเป็นอย่างมาก และเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่หลังจากเอ่ยแค่สองสามประโยค ก็เงียบเสียงไปทันที


“อรหันต์ว่านกู่!” หานลี่ลูบใต้คาง แล้วกลับเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา


แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาก็หยัดกายลุกขึ้นเดินออกมาจากห้อง


เมื่อเงาร่างของหานลี่ปรากฏตัวขึ้นในตำหนัก ก็มองไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อด้วยความตกตะลึง


ไม่รู้ว่าทั้งสองคนมานานแค่ไหนแล้ว กำลังยืนพูดคุยอันใดกับสักอย่างอยู่ตรงมุม


เมื่อเห็นหานลี่ปรากฏตัว พวกเขาก็เข้ามาคารวะทันที


“ลุกขึ้นเถิด เจ้าสองคนไม่พักผ่อนอยู่ในที่พักให้มากสักหน่อย จะวิ่งมาทำอันใดที่นี่” หานลี่โบกมือ แล้วเอ่ยถามอย่างราบเรียบ


“ท่านอาวุโสหาน ท่านจะไปที่ย่านร้านค้าภายนอกหรือไม่ ชนรุ่นหลังย่อมจะตามไปรับใช้ขอรับ” หลังจากที่ชี่หลิงจื่อหยัดกายลุกขึ้น ก็เอ่ยพร้อมกับหัวเราะคิกคักออกมา


“ใช่แล้ว แม้ว่าเราสองคนจะไม่อาจทำเรื่องใหญ่ๆ ให้ท่านอาวุโสได้ แต่เรื่องเล็กๆ อย่างการส่งของส่งสารย่อมทำได้” ไห่ต้าเซ่าเอ่ยอย่างจริงใจเช่นกัน


“หึๆ ผู้ใดบอกว่าข้าจะไปย่านร้านค้าวันนี้” หานลี่ฉีกยิ้มออกมา


“เช่นนั้นวันนี้ท่านอาวุโส…” ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อได้ยินก็อดที่จะเผยสีหน้าผิดหวังออกมาไม่ได้


“ข้ารู้ว่าเจ้าหมายความอันใด อยากออกไปเปิดโลกที่ย่านร้านค้าสินะ แต่ของในย่านร้านค้าเหล่านี้ ไม่มีสิ่งที่ข้าต้องการทั้งหมด ดังนั้นในสถานการณ์ปกติข้าจะไปเอง แต่ที่นี่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงชุมนุมกันอยู่มาก พวกเจ้าไปหาประสบการณ์ในย่านร้านค้าสักหน่อยก็ไม่เลว อีกเดี๋ยวข้าจะไปคารวะอรหันต์ว่านกู่ที่สำนักกระดูกขาว จึงไม่สะดวกที่จะพาพวกเจ้าไปด้วย ข้าจะใช้แผ่นป้ายส่งพวกเจ้าออกไปก่อนก็แล้วกัน รอยามเย็นค่อยกลับมาก็ได้แล้ว” หานลี่เอ่ยไปพลางฟื้นฟูสีหน้ากลับมาราบเรียบไปพลาง

 

 

 


ตอนที่ 1787 งานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬ

 

ไห่ต้าเซ่าและพวกได้ยินคำนี้ แม้ว่าจะผิดหวังไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าไม่ฟังคำสั่งของหานลี่ ทันใดนั้นก็ตกปากรับคำ


หานลี่พาทั้งสองคนออกจากตำหนัก ตรงไปยังแท่นเขตอาคมส่งตัว


ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่ออยู่ในเขตอาคม หานลี่สำแดงแผ่นป้ายสีเงินออกมา โบกสะบัดสองครั้ง


เขตอาคมเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ พาทั้งสองมาส่งที่ชั้นหนึ่ง


จากนั้นหานลี่เองถึงได้ก้าวเข้าไปในเขตอาคมอย่างไม่รีบร้อน


ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง เงาร่างของเขาสลายหายไป


……


หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา หานลี่ก็อยู่ภายในวังอันวิจิตรตระการตาที่ดูเหมือนสร้างขึ้นจากปะการังสีแดง กำลังพูดคุยกับนักพรตชราที่โอบกอดหญิงงามอยู่


นักพรตผู้นี้มีปลายจมูกดุจจะงอยปากนกอินทรี แววตาเคร่งขรึม ม้วนผมสีขาวเป็นมวยสามเหลี่ยม สวมชุดนักพรตสีเทาลายหัวกะโหลกขาวที่ดูสมจริง มีจำนวนมากกว่าสิบแปดกะโหลก


ส่วนสาวใช้หน้าตางดงามที่นั่งอยู่ในอ้อมกอดของนักพรตชรา ไม่เพียงจะร่างกายอวบอัด ผิวเกลี้ยงเกลาดุจหยก สวมผ้าโปร่งสีขาวบางเบา ทิ้งเรือนร่างกว่าครึ่งไว้ในอ้อมอกของนักพรตชรา เผยออกมาเพียงดวงหน้างดงามดวงนั้น กำลังฟังนักพรตชราและหานลี่พูดคุยกันพร้อมหัวเราะคิกคัก


สองฝั่งของตำหนักไกลออกไปหน่อยมีหญิงสาวหน้าตางดงามสวมผ้าโปร่งบางหลากสีสันเช่นกันอีกเจ็ดแปดคน ทุกคนล้วนยืนประสานมือเข้าด้วยกัน


นักพรตชราย่อมเป็นเจ้าของๆ ที่นี่ อรหันต์ว่านกู่ปรมาจารย์ของสำนักกระดูกขาว


ไม่ว่าหญิงสาวในอ้อมอก หรือเป็นหญิงสาวที่เหลือทั้งสองฝั่ง ล้วนเป็นสาวใช้ในนามของเขา ทว่าหญิงสาวในอ้อมอกไม่ว่าหน้าตาหรือคารมก็เหนือกว่าหญิงสาวคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ที่นักพรตชรารักใคร่เอ็นดู


หานลี่พูดคุยเรื่องราวในแดนป่าเถื่อนกับอีกฝ่ายไปพลาง ขบคิดข่าวลือเกี่ยวกับอรหันต์ว่านกู่ไปพลาง


ได้ยินว่าอรหันต์ว่านกู่ไม่เพียงจะฝึกฝนเคล็ดวิชาทางสายมาร และยิ่งไปกว่านั้นยังเจ้าชู้ประตูดินสุดๆ ชอบเคล็ดวิชาเติมเต็ม แทบจะเสวยสุขกับสตรีทุกคืน ยามนี้ดูแล้วคงจะเป็นจริงกว่าครึ่ง


“หึๆ คิดไม่ถึงว่าสหายหานจะอ่อนเยาว์เช่นนี้ ได้ยินว่ามีอิทธิฤทธิ์มากมาย ตอนนั้นยามที่ตาเฒ่าเพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น ก็ไปหาประสบการณ์แค่ในละแวกเผ่ามนุษย์แล้วกลับมาเท่านั้น ยามนี้อายุขนาดนี้ยิ่งไม่มีความคิดจะออกจากเผ่ามนุษย์” นักพรตชราส่งเสียงจุ๊ๆ ออกมา แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย


“พี่ว่านกู่ล้อเล่นแล้ว สาเหตุที่ข้าอยู่ที่แดนรกร้างนาน ก็เพราะความบังเอิญที่หลีกเลี่ยงมิได้ ตามความตั้งใจเดิมของผู้แซ่หาน ไม่มีทางกล้าออกจากเผ่าของเราแน่ นี่เป็นเพราะข้าน้อยดวงดี แทบจะจะเดินทางไปครึ่งทวีป แต่ก็โชคดีกลับมาได้อย่างปลอดภัย” หานลี่เอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา


“ฮ่าๆ เช่นนั้นสหายเห็นตนเองโชคดี และยิ่งไปกว่านั้นสหายยังโชคดีอย่างต่อเนื่องในการเดินทางครั้งนี้ ทะลวงระดับขั้นพลังยุทธ์อย่างต่อเนื่อง หลังจากกลับมาในเผ่าก็ทะลวงระดับผสานอินทรีย์สำเร็จได้อย่างง่ายดาย อาตมาไม่แน่ใจ แต่ในระยะเวลาสองสามหมื่นปีคงไม่มีใครรวดเร็วได้เท่าสหายแน่ ตอนนั้นที่ผู้แซ่ว่านทะลวงจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์ ก็ใช้เวลาไปตั้งหลายพันปีถึงได้โชคดีทำสำเร็จ คงไม่อาจเทียบกับสหายหานได้ จากคุณสมบัติและอายุของสหาย ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสทะลวงระดับมหายาน” นักพรตชราใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม คาดไม่ถึงว่าคำพูดจะแฝงเจตนาเยินยอเอาไว้


“ผู้แซ่หานจะกล้าคิดถึงเรื่องมหายานได้อย่างไร ขอแค่ผ่านเคราะห์สวรรค์สองสามครั้งไปได้ ก็พอใจมากแล้ว” หานลี่ย่อมถ่อมตนเป็นอย่างยิ่ง


“นั่นมันก็ใช่! ระดับมหายานสำหรับพวกเราแล้ว เป็นเหมือนการตกจันทราในแม่น้ำ เผ่ามนุษย์ของพวกเราก่อตั้งมาตั้งหลายปี ยังมีสิ่งมีชีวิตระดับมหายานแค่สิบกว่าคน แม้กระทั่งมีช่วงเวลาที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตระดับมหายาน จนเกือบจะทำให้ทั้งเผ่าตกอยู่ในอันตรายต้องล่มสลาย”  อรหันต์ว่านกู่ดูเหมือนว่าจะนึกเชื่อมโยงอันใดได้ แล้วเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ


ครั้งนี้หานลี่ไม่ตอบ แค่ฉีกยิ้มไม่พูดจา เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหายนะของเผ่ามนุษย์ เขาเคยได้ยินมาบ้างจริงๆ


ครั้งนี้ดูเหมือนจะถูกชนต่างเผ่าสองสามเผ่าร่วมมือกันโจมตี หากไม่ใช่เพราะเผ่าปีศาจในยามนั้นเป็นช่วงเวลาที่แข็งแกร่งที่สุด มีสิ่งมีชีวิตระดับมหายานสองคน และยิ่งไปกว่านั้นยังรู้ว่าหากอาศัยแค่พลังของเผ่าปีศาจย่อมไม่อาจยืนหยัดอยู่ในแดนวิญญาณนานได้ จึงมาดึงเผ่ามนุษย์เป็นพวก


เผ่ามนุษย์ในยามนั้นก็อาจจะล่มสลายไปจริงๆ


“สหายหานเพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์ก็เข้ามาเข้าร่วมงานหมื่นสมบัติ จะต้องซื้อของไม่น้อยสินะ” สีหน้ายินดีของอรหันต์ว่านกู่หายวับไปอย่างรวดเร็ว แล้วเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา


“ข้าน้อยต้องการวัตถุดิบในการปรุงยา หวังว่าจะได้ประโยชน์ในครั้งนี้ ถึงอย่างไรเสียก็มีเพียงยามนี้ วัตถุดิบหายากที่ที่ปกติหาไม่ได้ ถึงจะมาปรากฏที่นี่” หานลี่พยักหน้า ไม่ได้มีเจตนาปฏิเสธ


“หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ อาตมามีข้อเสนอแนะ สหายหานจะฟังหรือไม่!” นักพรตชราเอ่ยพร้อมกับฉีกยิ้ม


“อ๋อ อรหันต์พูดมาเถิด!” หานลี่รู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย


“พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด” อรหันต์ว่านกู่ไม่ได้เอ่ยกับหานลี่ทันที กลับให้สาวใช้ในอ้อมกอดออกไป และโบกมือให้หญิงสาวคนอื่นๆ


หญิงสาวเหล่านี้ย่อมตอบรับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง แล้วคารวะพวกหานลี่พลางทยอยกันถอยออกไปจากตำหนัก


ชั่วพริบตาในตำหนักก็เหลือเพียงหานลี่และพวกสองคน


ยามนี้นักพรตชราถึงได้เอ่ยกับหานลี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“สหายหานน่าจะเพิ่งเข้าร่วมงานหมื่นสมบัติด้วยฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์เป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่าเคยได้ยิน ‘งานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬ’ หรือไม่!”


“งานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬ! ผู้แซ่หานเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก หรือว่าเป็นงานประมูลของย่านร้านค้าหรือร้านค้าลับๆ” หานลี่ได้ยินพลันแววตาเปล่งประกาย ไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจอันใดมากออกมา


งานชุมนุมหมื่นสมบัตินี้หากไม่มีงานแลกเปลี่ยนส่วนตัวเล็กๆ ก็คงเป็นเรื่องแปลก


“หึๆ ดูแล้วแม้ว่าพี่หานจะเพิ่งเคยได้ยิน แต่ก็คาดเดาสิ่งนี้ได้ตั้งนานแล้วสินะ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างพวกเรา สินค้าปกติย่อมเข้าตาได้ยาก แม้ว่างานประมูลหมื่นสมบัติ ก็ไม่อาจพอใจทั้งหมดได้ สหายมากมายแม้ว่าจะมีสมบัติสำคัญติดตัว แต่ก็ไม่ยอมเอาออกมาแลกเปลี่ยนกับศิลาวิญญาณ แค่อยากแลกกับของที่ตนต้องการ และยังมีสหายบางคนแม้ว่าในมือจะมีของดีขนาดไหน แต่เมื่อประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด ก็ไม่ยอมเอาออกมาประมูล นอกจากนี้สมบัติบางอย่างยังล้ำค่าเกินไป ต่อให้พวกเราผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ได้ไป ก็กลัวว่าจะถูกขโมย นำหายนะมาสู่ตัว ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ใด ในงานหมื่นสมบัติครั้งก่อนก็มีการจัดงานแลกเปลี่ยนส่วนตัวเล็กๆ ขึ้นพร้อมกันสองสามแห่ง ทว่างานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬ กลับลึกลับที่สุด จัดขึ้นโดยผู้บำเพ็ญเพียรลึกลับ มีไว้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์โดยเฉพาะ ปกติแล้วสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ที่เข้าร่วมงานหมื่นสมบัติ จะเข้าร่วมงานนี้แทบทุกคน”


เสียงของนักพรตชราหยุดชะงัก หลังจากมองสีหน้าตื่นเต้นดีใจของหานลี่ ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มออกมา


“ผู้บำเพ็ญเพียรลับเหล่านี้มีประวัติความเป็นมาพิเศษ อิทธิฤทธิ์เกรียงไกร แม้กระทั่งเคยสังหารผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางภายในงานแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมางานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬก็ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินผู้จัดงานอีก ดังนั้นผู้เข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬจึงปลอดภัยมาก ส่วนการแลกเปลี่ยนก็มีแค่ใช้ของแลกของ จะจัดงานแค่ครั้งเดียวและยิ่งไปกว่านั้นจะต้องจบภายในวันเดียว ผู้เข้าร่วมจะไม่ถูกถามฐานะประวัติความเป็นมา เช่นนั้นแต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างพวกเราต่อให้เหมาะสมมากแค่ไหน การเข้าร่วมงานชุมนุมนั้น นอกจากระดับผสานอินทรีย์อย่างพวกเรา ก็มีผู้ที่มีสมบัติล้ำค่า และสามารถพกสมบัติเข้าร่วมได้ แน่นอนว่าสมบัติธรรมดาย่อมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม ภายในเผ่าปีศาจก็มีคนเข้าร่วมเช่นกัน ดังนั้นในงานชุมนุมก็จะมีวัตถุดิบอสูรปีศาจที่เป็นข้อต้องห้ามของเขตต้องห้ามและวิธีปกติย่อมไม่อาจซื้อไข่ของอสูรวิญญาณได้ แม้กระทั่งสตรีเผ่าปีศาจแปลงกายก็นำออกมาประมูล จุ๊ๆ โดยเฉพาะสตรีเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ ล้วนเป็นเตาหลอมในการฝึกคู่บำเพ็ญเพียรที่ล้ำเลิศ ไม่รู้ว่ามีชาวเผ่ามนุษย์ตั้งเท่าไหร่ที่สนใจ แน่นอนว่าหากเปลี่ยนเป็นหญิงสาวเผ่าปีศาจเหล่านี้ จะต้องถูกเก็บเอาไว้ในห้องทองของถ้ำพำนัก มิเช่นนั้นต้องให้เจ็ดราชาปีศาจทราบแล้ว หึๆ…แน่นอน หญิงสาวที่มีคุณสมบัติล้ำเลิศเหล่านี้ก็เป็นคนของเผ่ามนุษย์เช่นกันจึงนำออกมาแลกเปลี่ยนได้ คนของเผ่าปีศาจก็สนใจเช่นกัน”


เมื่อฟังมาถึงตรงนี้หานลี่ย่อมเข้าใจสิ่งที่เรียกว่างานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬแล้ว ความจริงแล้วก็ไม่แตกต่างอันใดกับงานแลกเปลี่ยนใต้ดินยามที่อยู่ต้าจิ้นในแดนมนุษย์ แต่แค่ผู้ที่เข้าร่วมต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไป มูลค่าสิ่งของในการแลกเปลี่ยนจึงไม่อาจเทียบกันได้


ในเวลาเดียวกันเมื่อได้ยินคำพูดของนักพรตชรา เขาก็รู้ตกตะลึงในใจ


ผู้บำเพ็ญเพียรจากเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจห้ามขโมยของอีกฝ่าย การเป็นเตาหลอมและสาวใช้ ก็เป็นหนึ่งในข้อห้ามในการเซ็นสัญญาร่วมกัน


แม้ว่าจะผ่านมาเนิ่นนานเพียงนี้ กฎนี้ก็ไม่ค่อยมีคนพูดถึงนัก แต่หากถูกจับได้ ก็คงยุ่งยากมาก


ด้วยเหตุนี้ผู้บำเพ็ญเพียรลึกลับที่ก่อตั้งงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬจึงกล้าหาญไม่น้อยจริงๆ


แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ของที่ปกติไม่อาจพบเห็นได้ ก็ยิ่งมาปรากฏตัวในงานแลกเปลี่ยนลับๆ แห่งนี้


ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาสนใจที่สุดก็คือ แน่นอนว่าเป็นวัตถุดิบอสูรปีศาจเหล่านั้น


หานลี่อดที่จะใจเต้นระรัวไม่ได้


“ได้ยินอรหันต์กล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยก็สนใจจริงๆ ไม่ทราบว่างานแลกเปลี่ยนนี้อยู่ที่ใด จะจัดขึ้นเมื่อไหร่”


“สถานที่ในการจัดงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬย่อมเป็นสถานที่ลึกลับของแดนทมิฬ ทว่าแดนทมิฬไม่ใช่สถานที่แน่นอน แต่เป็นห้วงมิติเวลาที่เคลื่อนย้ายตนเองโดยตลอด เช่นนี้จึงเห็นได้ถึงอิทธิฤทธิ์ของผู้ก่อตั้งแล้ว ส่วนเวลาถึงยามนั้นเหล่าผู้ก่อตั้งจะมีวิธีบอกผู้บำเพ็ญเพียรที่อยากเข้าร่วมอย่างพวกเราและวิธีการเข้าร่วมเอง จากที่ข้ารู้วิธีที่ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดเข้าไปนั้นไม่เหมือนกัน อาตมาเคยเข้าร่วมงานมาสองสามครั้งแล้ว ก็พอจะมีหนทางที่จะทราบข่าวล่วงหน้าได้ หากสหายอยากไปจริงๆ ถึงยามนั้นอาตมาจะพาสหายไปด้วยกันก็แล้วกัน” อรหันต์ว่านกู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม


“เช่นนั้นข้าน้อยต้องขอบคุณอรหันต์แล้ว” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วตอบรับพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน

 

 

 


ตอนที่ 1788 สตรีปีศาจจิ้งจอกสวรรค์

 

“ฮ่าๆ ไม่เป็นไร ต่อให้อาตมาไม่เอ่ยเรื่องนี้ ก็คงมีสหายท่านอื่นบอกสหายเรื่องนี้เช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากนี้ไม่แน่ว่าอาตมาอาจจะมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ต้องให้สหายลงมือช่วยเหลือ!” อรหันต์ว่านกู่เอ่ยพร้อมกับยิ้มจนตาหยี


“อรหันต์เกรงใจเกินไปแล้ว จากนี้มีอันใดให้ผู้แซ่หานช่วยเหลือ สหายว่านกู่โปรดบอกมาเถิด” ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือเท็จ หานลี่ย่อมต้องตอบรับด้วยรอยยิ้มบางๆ


เช่นนั้นเวลาต่อจากนี้ทั้งสองจึงยิ่งสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น


หลังจากที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์การฝึกบำเพ็ญเพียรกัน อรหันต์ว่านกู่ก็จงใจหาลูกศิษย์สาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้นมาให้หานลี่ได้ชื่นชมความงดงามจากการร่ายรำระบำมารสวรรค์  แล้วถึงได้มาส่งเขาที่หน้าเขตอาคมส่งตัวด้วยตนเอง พลางใช้สายตาส่งเขาจากไป


เมื่อเงาร่างของหานลี่สลายหายไปท่ามกลางลำแสงจากเขตอาคมส่งตัว รอยยิ้มบนใบหน้าของนักพรตชราก็หุบลง เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน


และในยามนี้ฉับพลันนั้นก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาร่างอรชนอ้อนแอ้นสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นด้านหลังนักพรตชรา และส่งเสียงหัวเราะอย่างเย้ายวนใจออกมา


“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่ว่านกู่คิดว่าคนผู้นี้จะถูกเข้าร่วมหรือไม่? อย่าเสียเวลาจนสุดท้ายไม่ได้อันใดล่ะ”


หญิงสาวสวมผ้าโปร่งบางสีขาว หน้าตางามพริ้มพราย ไม่เพียงจะแต่งกายเหมือนกับสนมคนโปรดที่อยู่ในอ้อมกอดของนักพรตชราก่อนหน้า แม้แต่ดวงหน้าก็คล้ายคลึงกันเจ็ดส่วน


แต่ความแตกต่างแค่นี้ย่อมทำให้หญิงสาวผู้นี้และสนมคนโปรดแตกต่างกันเป็นคนละคน แววตาของหญิงสาวผู้นี้เต็มไปด้วยแววชวนลุ่มหลง ทุกการเคลื่อนไหวล้วนแผ่พลังเย้ายวนที่ทำให้บุรุษเพศคลุ้มคลั่งออกมา ไม่ใช่ผู้ที่สนมคนโปรดผู้นั้นจะเทียบเทียมได้เลยสักนิด


อรหันต์ว่านกู่ได้ยินเสียงของหญิงสาว ใบหน้าไร้ซึ่งแววประหลาดใจ กลับหันกายมาเอ่ยว่า “จะสำเร็จหรือไม่ ไหนเลยจะดูออกได้ในยามนี้ แม้ว่าบุรุษผู้นี้จะอ่อนเยาว์ แต่บรรลุระดับผสานอินทรีย์ได้ จะเป็นแค่คนธรรมดาได้อย่างไร แต่มั่นใจเช่นนี้ พวกเราก็ต้องไม่เสียเวลาชักจูง ยังไม่แน่ว่าจะสำเร็จ และยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ก็พละกำลังมาก ไม่แน่ว่าอีกสองสามร้อยปี อาจจะพัฒนาระดับขั้นอีกก็ได้ หากชักจูงเขาได้ ก็แข็งแกร่งกว่าชักจูงจิ้งจอกชราที่ไม่น่านับถือสองสามตนนั้นมาก”


“บรรลุระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง? เจ้าให้ค่าสหายหานผู้นี้มากเกินไปแล้ว แม้ว่าเขาจะพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่การเหยียบเข้ามาในระดับนี้ ความยากของการพัฒนาระดับขั้นทุกขั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ก่อนหน้าจะเทียบเทียมได้ มิเช่นนั้นเจ้ากับข้าพัฒนาระดับผสานอินทรีย์มาได้สองสามหมื่นปี จะยังติดอยู่ในระดับยอดสุดของระดับขั้นต้นได้อย่างไร ทำให้พลังปราณไม่อาจพัฒนาได้อีก และยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่แค่เราสองคน สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็ติดอยู่ในระดับนี้เช่นกัน ถึงอย่างไรเสียพัฒนาจนมาถึงระดับขั้นกลางก็มีแค่ไม่กี่คน ระดับขั้นปลายยิ่งน้อยมาก บุรุษผู้นี้มีคุณสมบัติเหนือชั้นขนาดไหน หลังจากรออีกสองสามพันปี ถึงจะมีโอกาสทะลวงระดับขั้นต้นได้ มิเช่นนั้นยามที่เคราะห์มารมาถึง เขาก็อาจจะพัฒนาจนมาอยู่ขั้นกลางและยอมคุ้มครองเซียน ข้าก็จะยอมสัญญาด้วยความเต็มใจ” หญิงงามถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ยพึมพำ


เมื่อได้ยินคำว่า ‘เคราะห์มาร’ อรหันต์ว่านกู่ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แววตาฉายแววหวาดกลัวออกมา


แต่ถึงอย่างไรเสียคาดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่คนธรรมดา ชั่วครู่ก็ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติ และยิ่งไปกว่านั้นก็เอ่ยอย่างราบเรียบ


“เคราะห์มาร์ครั้งที่แล้วเจ้ากับข้าล้วนได้เผชิญด้วยตัวเอง  ความน่ากลัวของเผ่ามารโบราณไม่ต้องพูดถึงอีก คาดไม่ถึงว่าผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษระดับผสานอินทรีย์ของทั้งเผ่ามนุษย์และปีศาจจะเพลี่ยงพล้ำไปกว่าครึ่ง น่าจะมีไม่ถึงสี่ห้าคนที่รอดชีวิตจากเคราะห์มารได้ ส่วนจำนวนของสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ในขุมอำนาจอื่นๆ ที่รอดชีวิตก็มากกว่าผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษมาก สาเหตุที่แท้จริงแน่นอนว่าเป็นเพราะผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษอย่างพวกเราสู้ด้วยตัวเอง สุดท้ายก็ถูกสิ่งมีชีวิตระดับสูงของเผ่ามารโบราณล้อมสังหาร ดังนั้นครั้งนี้ก่อนหายนะมารจะปะทุ พวกเราจะต้องพยายามดึงผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ มาเป็นพวก ถึงยามนั้นพอมารวมตัวกัน ก็น่าจะมีอัตราในการมีชีวิตรอดเพิ่มขึ้นไม่น้อย”


“แม้ว่าคำพูดของสหายจะมีเหตุผล! ข้ายังรู้สึกว่าเป็นการเสียแรงเป็นอย่างมากในการชักชวนผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษ ไม่แน่ว่าจะได้ผล ไม่สู้เจ้าสลายสำนักกระดูกขาวแล้วเข้าร่วมกับสามจักรพรรดิ ข้าจะกลับไปหาวิธีปะปนเข้าไปในผู้ใต้บังคับบัญชาของราชาปีศาจคนใดสักคน ถึงอย่างไรเสียมีสำนักใหญ่คุ้มกะลาหัวก็ยังดี” หลังจากที่แววตาของหญิงสาวเปล่งแสงสว่างวาบ ก็เบะปากขณะเอ่ย


คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวผู้นี้จะเป็นชนเผ่าปีศาจคนหนึ่ง!


“หึ อย่าคิดเรื่องนี้เลย เจ้ากับข้าคุ้นชินกับการเป็นอิสระ ไหนเลยจะเข้าร่วมกับผู้อื่นแล้วยอมให้ถูกข้อกำหนดของผู้อื่นบีบบังคับได้ มิเช่นนั้นตอนแรกเจ้าคงไม่ออกจากเผ่าสุนัขจิ้งจอกสวรรค์ ข้าก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับคำเชิญเป็นสามจักรพรรดิ แล้วอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาจนถึงทุกวันนี้หรอก และยิ่งไปกว่านั้นปกติแล้วพวกเราก็ไม่ได้ออกแรงแทนขุมอำนาจเหล่านั้น ยามนี้คิดจะขอพึ่ง แม้ว่าพวกเขาจะยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง แต่วันข้างหน้าจะต้องถูกเรียกใช้เป็นลูกกระสุนปืนใหญ่ หากต้องเสี่ยงอันตราย จะต้องเป็นพวกเราที่เพิ่งเข้าไปในขุมอำนาจแน่ หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ข้าไม่สู้อยู่คนเดียว จะรุกหรือถอยได้ตามประสงค์ และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้สามจักรพรรดิเจ็ดราชาปีศาจที่มีขุมอำนาจมั่นคง ก็ไม่มีทางปลอดภัยทั้งหมด เคราะห์มารครั้งที่แล้วก็มีหนึ่งในสามจักรพรรดิเพลี่ยงพล้ำไปในสงคราม ยามนี้พวกเราวางแผนล่วงหน้า ยิ่งดึงสหายระดับผสานอินทรีย์เข้าร่วมกับพวกเราได้มากเท่าไหร่ อัตราการรอดชีวิตในเคราะห์มารก็มากขึ้นหนึ่งส่วน ถึงอย่างไรเสียข้าก็ยอมเชื่อตัวเอง ไม่มีทางเอาชีวิตไปมอบให้คนข้างๆ” นักพรตชราตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“หากต้องทำเช่นนี้จริงๆ งานหมื่นสมบัติครั้งนี้คือโอกาสงามๆ ในการร่วมมือกันกับผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษคนอื่นๆ มิเช่นนั้นนอกจากผู้ที่พูดน้อยแล้ว ปกติแล้วก็หาคนอื่นพบได้ไม่สมใจ ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์มอบให้อรหันต์ ส่วนทางด้านเผ่าปีศาจข้าจะไปชักจูงด้วยตนเอง เชื่อว่าผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษเหล่านั้น แม้ว่าจะมีคนรู้ข่าวคราวเคราะห์มารแล้ว แต่ก็ไม่ได้เข้าใจชัดเจนเหมือนพวกเรา รู้ว่าจะระเบิดภายในพันปี ใช่แล้ว ก่อนมาที่นี่ข้าเคยคุยเรื่องนี้กับหมาป่าดำตัวนั้นแล้ว เขาดูเหมือนจะสนใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหากจะชักชวนเขาจริงๆ ก็ต้องคุยกันให้ละเอียด” หญิงงามดูเหมือนจะถูกนักพรตชราชักจูงอีกครั้ง หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็พยักหน้าขณะเอ่ย


“เยี่ยมไปเลย สหายหมาป่าดำเทียนคุนเคยแย่งชิงตำแหน่งราชาปีศาจกับราชาหมาป่าเทียนขุย สู้กันหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงได้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แน่นอนว่าอิทธิฤทธิ์ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษธรรมดาๆ จะเทียบเทียมได้ ส่วนเผ่ามนุษย์ คนอื่นๆ ข้าไม่แน่ใจ แต่บรรพชนเทียนอินของภูเขาเทียนอินและข้าก็มีความสัมพันธ์กัน ครั้งนี้ก็จะเข้าร่วมงานชุมนุมหมื่นสมบัติ น่าจะชักชวนได้ไม่มีปัญหา” อรหันต์ว่านกู่ได้ยิน ก็เอ่ยอย่างยินดี


“หากชักชวนให้ทั้งสองคนมาเข้าร่วมได้ แม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่อาจชักชวนมาได้ พวกเราก็พอจะปกป้องตนเองในเคราะห์มารได้แล้ว” หญิงสาวฉีกยิ้มเบิกบาน ใบหน้าเกิดความเย้ายวนใจขึ้น ราวกับว่ากลิ่นอายเสน่หาที่แผ่ออกมาเพิ่มมากขึ้น


แม้ว่าอรหันต์ว่านกู่จะเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาเด็ดตะวันเสริมอาทิตย์ มองใบหน้าของหญิงสาว ก็อดที่จะเผยแววตางุนงงออกมาไม่ได้


“อันใดหรือว่าพี่ว่านกู่อยากลองเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับข้า? หากมีความคิดนี้จริงๆ ล่ะก็ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะลองดู!” หญิงสาวเห็นอรหันต์ว่านกู่มีท่าทีเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งเย้ายวนขึ้น


ราวกับว่าอีกฝ่ายพูดแค่คำเดียว ร่างกายที่นุ่มนิ่มราวกับไม่มีกระดูกก็จะปล่อยให้นักพรตชราลิ้มลองจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น


แต่เมื่อนักพรตชราได้ยินคำพูดที่เย้ายวน กลับสั่นสะท้าน โบกมือด้วยรอยยิ้มขมขื่นทันที


“เซียนล้อเล่นแล้ว! เซียนมีร่างจิ้งจอกสวรรค์ ไหนเลยจะพบกับอาตมาได้ นักพรตชราไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่เพิ่มสักปีสองปีเหมือนยามเยาว์วัยนะ”


“นั่นน่าเสียดายมาก ข้าอยากแลกเปลี่ยนหนทางการฝึกคู่บำเพ็ญเพียรกับสหาย น่าเสียดายสหายมีใจชั่วร้ายแต่ไม่มีใจกล้า” หญิงสาวเผ่าปีศาจหัวเราะคิกคัก ความเย้ายวนบนใบหน้าเพิ่มพูนขึ้น


นักพรตชราท่องคาถานักพรต ไม่กล้ามองใบหน้าของหญิงสาวตรงๆ หลังจากเลื่อนสายตาออก ก็รีบร้อนเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา


“จะว่าไปแล้ว เคล็ดวิชาลวงตาของเซียนฮัว อยู่ในระดับที่บริสุทธิ์แล้วจริงๆ ยามที่เซียนแต่งกายเป็นสาวใช้ แม้แต่อาตมารู้อยู่แล้ว ก็ยังไม่อาจสัมผัสความผิดปกติได้ คิดดูแล้วสหายหานผู้นี้คงมองอันใดไม่ออก คู่ควรกับที่เป็นเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ พรสวรรค์ในเรื่องอำพรางกายและลวงตานั้นจัดอยู่ในสามอันดับแรกของเผ่าต่างๆ ในเผ่าปีศาจ”


“หึ สหายว่านกู่ เจ้าคิดว่าอีกฝ่ายมองการแต่งตัวของข้าไม่ออกหรือ?” เมื่อได้ยินนักพรตชรากล่าวเช่นนี้ หญิงสาวที่แต่เดิมยิ้มกริ่มกลับหุบยิ้ม น้ำเสียงเย็นชาขึ้น


“เซียนหมายความว่าอย่างไร?” นักพรตชราได้ยินพลันตกตะลึง


“สหายว่านกู่ไม่พบก็ไม่แปลก เพราะว่าเมื่อครู่ที่ข้าปลอมตัวเป็นสนมรักของเจ้า ในจิตสัมผัสของอีกฝ่ายมีระลอกคลื่นเล็กน้อย แล้วพุ่งมาที่ข้าทันที หากไม่ใช่เพราะข้าสำแดงเคล็ดวิชาลับสังเกตคนผู้นี้ตั้งนานแล้ว ก็ไม่พบอันใดเช่นกัน สหายหานผู้นี้มีจิตสัมผัสแข็งแกร่ง ในชีวิตนี้ข้ายังพบเห็นได้น้อยมาก หากจะเทียบล่ะก็ เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าสามจักรพรรดิเจ็ดปีศาจ” หญิงสาวเงียบขรึมไปเล็กน้อย แล้วถึงได้เอ่ยอย่างเคร่งเครียด


“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” อรหันต์ว่านกู่ย่อมสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปเฮือกหนึ่ง สีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส


“ทว่า พี่ว่านกู่โปรดวางใจ อีกฝ่ายพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ได้ทั้งที่เยาว์วัยเช่นนี้ จะต้องมีพรสวรรค์ที่น่าเหลือเชื่อแน่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจไม่ได้ และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเขาจะมองใบหน้าที่แท้จริงของข้าออก แต่พลังปราณแท้ของข้า ก็ใช้เคล็ดวิชาลับของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ผนึกเอาไว้ชั่วคราว ต่อให้เขามีพลังยุทธ์เหนือฟ้า ก็ไม่อาจมองระดับผสานอินทรีย์ของข้าออก และยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ไม่ได้ทำการสุ่มเสี่ยงใดๆ เขาเองก็น่าจะดูออกว่าเราสองคนไม่มีเจตนาร้ายต่อเขา มิเช่นนั้นคงไม่คุยกับสหายว่านกู่ตั้งนานเพียงนี้ ถึงได้จากไป”


“เซียนก็พูดมีเหตุผล อย่างน้อยยามที่พบกันครั้งต่อไป หากเขาเอ่ยถาม ข้าก็จะหาข้ออ้างบอกไป” นักพรตชราครุ่นคิดอย่างละเอียด สีหน้าผ่อนคลายลง


“ความจริงแล้วต่อให้ทำให้คนผู้นี้รู้ฐานะของข้าจริงๆ แล้วจะเป็นอย่างไร หรือว่าข้าไปพบหน้าผู้อื่นมิได้หรือ?” หญิงสาวกลับเอ่ยด้วยเสียงไพเราะ


อรหันต์ว่านกู่ได้ยินพลันกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก ยามนั้นทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นไม่ปริปาก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)