อัจฉริยะสมองเพชร 1776-1783

 ตอนที่ 1776 การมาถึงของสองอำมาตย์

“คุณคิดจะไปไหน?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตวาดก้องขณะกวัดแกว่งง้าวจนเกิดลำแสงเจิดจ้า ลำแสงนั้นพุ่งตรงเข้าใส่อำมาตย์เฉินหย่ง


ในเวลาเดียวกัน จางหงเทียนก็เข้าจู่โจมอำมาตย์เฉินหย่งราวกับดาบอันคมกริบ


แน่นอนว่าไม่อาจประมาทพละกำลังของอำมาตย์เฉินหย่งได้ แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาก็ถดถอยลงมากหลังจากผ่านการสู้รบอย่างหนักหน่วงกับนักรบคนอื่นๆ สำหรับสภาวะอ่อนแอของเขาในตอนนี้ เขารู้ดีว่าไม่มีทางปัดป้องการโจมตีของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงและจางหงเทียนได้ หรือไม่อย่างนั้น เขาก็ต้องพบจุดจบ อำมาตย์เฉินหย่งจึงรีบหันหลังกลับและคุ้มกันตัวเองโดยใช้การกวัดแกว่งของกระบี่อันทรงพลัง


สองฝ่ายปะทะกัน นักรบทั้งสามกระอักเลือดออกมาขณะถูกสอยกระเด็นไป


ในเวลานั้น พวกเขาต่างก็หมดเรี่ยวแรง สิ่งที่ผลักดันให้ทั้งสามยังคงรบรากันได้ก็คือความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น


อำมาตย์เฉินหย่งลุกขึ้นยืนและคำรามทั้งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส “คอยดูเถอะ ผมจะกลับมาล้างแค้นสำหรับสิ่งที่พวกคุณทำลงไปให้ได้!”


ดูเหมือนเขาพลันนึกอะไรขึ้นได้บางอย่างและรีบเบนสายตาไปจากนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับจางหงเทียน เขาสะบัดกระบี่ แล้วทางเดินแห่งมิติสีดำสนิทก็ปรากฏตรงหน้า อำมาตย์เฉินหย่งกระโจนออกไปและพยายามพุ่งเข้าใส่ทางเดินนั้น


หากเขาผ่านทางเดินแห่งมิติไปได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการปล่อยปลาลงสู่มหาสมุทร คงแทบไม่มีทางที่จะหาตัวเขาเจออีก


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกัดฟันอย่างโกรธเกรี้ยวและชูง้าวขึ้นเพื่อพยายามสกัดกั้นทางเดินแห่งมิติไว้ แต่ก็เห็นอำมาตย์เฉินหย่งที่กำลังจะหลบหนีกลับหยุดชะงักราวกับปลาที่ถูกซัดเกยตื้น ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนแค่ไหนก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้


“อำมาตย์เฉินหย่ง ทำไมถึงรีบไปนักล่ะ?” เสียงหนึ่งดังกึกก้องขึ้นกลางอากาศ “ในฐานะเพื่อนเก่า คุณไม่รู้สึกว่ามันหยาบคายหรือที่ทำกับเราแบบนี้?”


จากนั้น สองร่างสูงตระหง่านก็เดินออกมาจากส่วนลึกของความว่างเปล่า


ชายทั้งสองสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกันกับอำมาตย์เฉินหย่ง เพียงแต่คนละสี ทั้งคู่สวมมงกุฎ และเจตนาสังหารที่แผ่ออกมาก็ดำมืดราวกับหมึก ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากโลกบาดาล


“หรือว่าพวกเขาคือสองอำมาตย์ที่เหลือ?” จางเซวียนหรี่ตาอย่างประหลาดใจ


เท่าที่ดูจากเสื้อผ้าและพละกำลังที่พวกเขาสำแดงออกมา ชัดเจนว่าทั้งคู่คือสองอำมาตย์ที่วางแผนสังหารอำมาตย์เฉินหย่ง-อำมาตย์เฉินหลิงและอำมาตย์เฉินชิง!


ทั้งคู่จากสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจมาเพื่อร่วมมือในปฏิบัติการกำจัดอำมาตย์เฉินหย่ง


เท่าที่เห็น ดูเหมือนพวกเขาจะซ่อนตัวอยู่บริเวณนี้นานแล้ว แต่ไม่กล้าปรากฏตัวจนกว่าเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณจะจากไป


เห็นสองอำมาตย์มายืนตรงหน้า อำมาตย์เฉินหย่งคำราม “เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณล่วงรู้การกระทำของพวกเรานะ หากพวกคุณสังหารผม ไม่มีทางที่เธอจะปล่อยให้คุณลอยนวลแน่!”


เขารวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มาสกัดกั้นเขาไว้ อำมาตย์เฉินหย่งเงื้อกระบี่ขึ้นและฟาดมันลงมาสุดแรง


ฟึ่บ!


พละกำลังของกระบี่นั้นมหาศาล ฉีกกระชากมิติได้อย่างง่ายดาย แต่ก็เห็นชัดว่าอำมาตย์เฉินหย่งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมีพละกำลังไม่มากพอจะรับมือกับอีกสองอำมาตย์


ด้วยการกระดิกนิ้ว อำมาตย์เฉินหย่งใช้กระบี่สกัดกั้นไว้และกวัดแกว่ง


“อำมาตย์เฉินหย่ง ไม่ต้องร้อนรนไป พวกเราแค่อยากคุยกับคุณ มันเรื่องอะไรคุณถึงจะต้องทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง? ยิ่งไปกว่านั้น ก็เห็นๆกันอยู่ไม่ใช่หรือว่าคุณน่ะหมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว หากพวกเราอยากสังหารคุณก็คงไม่ยาก เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณอาจไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเราที่จะคร่าชีวิตคุณ แต่เมื่อเธอกลับคืนสู่พระราชวังของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เธอจะทำได้หรอก อีกอย่าง เทพเจ้าน่ะไร้อารมณ์และความรู้สึก คุณคงไม่โง่เง่าพอที่จะคิดว่าเทพเจ้าจะยื่นมือมาช่วยเหลือคุณหรอกนะ” อำมาตย์เฉินหลิงเหยียดริมฝีปากขณะมองหน้าอำมาตย์เฉินหย่งอย่างสมเพช


“เธอก็แค่ใช้คุณเป็นเส้นทางที่นำไปสู่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น คุณเชื่อจริงๆหรือว่าเธอเห็นคุณค่าของคุณ?”


“คุณ…”


รู้ดีว่าไม่มีทางหนีพ้นหากสองอำมาตย์ยังคงอยู่ตรงนี้ อำมาตย์เฉินหย่งพยายามสงบสติอารมณ์และยืดตัวตรง เขายืนด้วยท่วงท่างามสง่าและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผมไม่เคยคุกคามพวกคุณ ทำไมคุณถึงอยากทรยศผม?”


“ทำไมพวกเราถึงอยากทรยศคุณ?” ได้ยินคำนั้น อำมาตย์เฉินหลิงหัวเราะร่า “คุณควรจะถามตัวคุณเองด้วยคำถามนี้นะ! ทำไมถึงได้เชื่อฟังคำสั่งของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณองค์ใหม่ง่ายดายนัก เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณองค์เก่าน่ะต้องการแค่ให้พวกเรานำเหล่าปรมาจารย์มาเป็นบรรณาการเพื่อให้ได้ทรัพย์สมบัติมา ส่วนเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณองค์ใหม่นี่ให้อะไรเราบ้าง? อีกอย่าง คุณเป็นใครถึงคิดจะมายับยั้งพวกเราไม่ให้โจมตีเผ่าพันธุ์มนุษย์? คุณรู้ไหมว่านั่นหมายความว่าอย่างไร? คุณอยากให้คนของเราต้องตายเพราะปกป้องดินแดนที่เทพเจ้าละเลยอย่างนั้นหรือ?”


อำมาตย์เฉินหย่งถึงกับผงะ นึกไม่ถึงว่าจะมีเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการทรยศครั้งนี้ เขาคำรามเสียงเย็น “คุณกล้าตั้งคำถามกับคำสั่งของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณหรือ?”


เขาเคยคิดว่าการทรยศของอำมาตย์เฉินหลิงเกิดขึ้นเพราะอีกฝ่ายต้องรับตำแหน่งเป็นรองในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจ ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงแล้วความไม่พอใจของอีกฝ่ายมีต้นกำเนิดมาจากเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ!


เหตุผลที่เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณยับยั้งพวกเขาไว้จากการโจมตีเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็เพราะเธอไม่ปรารถนาที่จะให้ทั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องถูกทำร้าย สถานการณ์ค่อยๆพลิกผันไปทีละน้อย โดยเฉพาะเมื่อมีจางเซวียนเข้ามา แล้วอำมาตย์เฉินหลิงคิดว่าการกระทำของเธอเป็นเรื่องไม่ถูกต้องหรือ?


“แน่นอนว่าไม่ ผมเป็นใครกันถึงจะกล้าตั้งคำถามกับการตัดสินใจของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ? แต่ก็นั่นแหละ ถ้าคุณตาย ผมก็จะได้เป็นฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเรา ผมจะกลายเป็นผู้พยากรณ์ของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ คำพูดของผมจะเปรียบเสมือนคำบัญชา เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณอาจทรงพลังก็จริง แต่การเดินทางทะลุปราการแห่งมิตินั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้เทพเจ้าก็ยังต้องเผชิญกับแรงตีกลับมหาศาลหากพยายามจะทำแบบนั้น ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เธอคงไม่ถูกบีบให้มาพำนักอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์มากว่าครึ่งปีหรอก!” อำมาตย์เฉินหลิงคำราม


“วางใจเถอะ หลังจากคุณตาย ผมก็จะรายงานเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณว่าคุณถูกพวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และสภาปรมาจารย์สังหาร ซึ่งผมรีบมาสมทบโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่ก็สายเกินไป ก่อนตาย คุณได้มอบตำแหน่งของคุณในฐานะผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณให้ผม สั่งการให้ผมดูแลและนำทางเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของเราต่อไป ผมจะใช้ชีวิตของคุณ เป็นแรงขับเคลื่อนเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณและรวบรวมพวกเขาให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อต้านเผ่าพันธุ์มนุษย์!”


“คุณ…” อำมาตย์เฉินหย่งจ้องหน้าอำมาตย์เฉินหลิงอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ


หมอนี่วางแผนทุกอย่างไว้แล้วจริงๆ!


อำมาตย์เฉินหย่งเคยคิดว่าบริวารของเขาจะต้องล้างแค้นให้อย่างแน่นอนหากเขาถูกอำมาตย์เฉินหลิงกับคนอื่นๆสังหาร แต่เท่าที่เห็น ตลอดเวลาที่ผ่านมา อำมาตย์เฉินหลิงได้วางแผนที่จะป้ายความผิดทุกอย่างให้กับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และสภาปรมาจารย์ ซึ่งไม่เพียงแต่จะปกป้องตัวเองจากผลกระทบที่อาจได้รับ เขายังจะสามารถปลุกเร้าความพึงพอใจจากเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณและใช้เผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนั้นเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่เป้าหมายของเขาด้วย!


ได้ยินคำนั้น นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึง “อำมาตย์เฉินหลิง คุณลืมสัญญาที่ให้ไว้กับผมแล้วหรือ?”


เขาเคยคิดว่าการสังหารอำมาตย์เฉินหย่งจะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทำให้พวกนั้นแตกฉานซ่านเซ็นและเสื่อมถอยอำนาจลง แต่กลับตรงกันข้าม กลุ่มที่มีอำนาจที่สุดไม่ใช่กลุ่มของอำมาตย์เฉินหย่ง แต่เป็นอำมาตย์เฉินหลิง!


ถ้าอำมาตย์เฉินหย่งตาย สถานการณ์จะต้องบานปลายเกินควบคุมแน่!


“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมรักษาสัญญาของผม แต่ส่วนคุณจะได้ระยะเวลา 300 ปีหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่เราจะต้องหารือกันต่อไป…” อำมาตย์เฉินหลิงหัวเราะลั่น


ถ้าเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงไป แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะต้องเก็บตัวเงียบสักระยะ แต่ในเมื่อทรัพย์สมบัติล้ำค่าสูงสุดตกเป็นของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณแล้ว อีกทั้งเหล่านักปราชญ์โบราณของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และสภาปรมาจารย์ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส…


นี่จะไม่ถือเป็นโอกาสงามสำหรับเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเขาที่จะเปิดการโจมตีหรือ?


“คุณพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงคำรามกร้าวขณะชูง้าวขึ้นอย่างอาฆาตมาดร้าย


นักปราชญ์โบราณคนอื่นๆรีบรวมตัวกันทันที เกรงว่าสองอำมาตย์จะเปิดการโจมตีพวกเขา


ลำพังแค่อำมาตย์เฉินหย่งเพียงคนเดียวก็เกินพอจะเล่นงานจนพวกเขาปั่นป่วนแล้ว ถ้าสองอำมาตย์เล่นงานพวกเขาอีก ทุกคนคงตกอยู่ในอันตราย


เห็นสีหน้าระแวงแคลงใจของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง อำมาตย์เฉินหลิงรู้ทันทีว่าเขาทำพลาด และมีโอกาสสูงที่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จะต้องสังหารเขาให้ได้ ต่อให้ต้องแลกมาด้วยชีวิตของตัวเอง “ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ในเมื่อเราเป็นพันธมิตรกันแล้ว ผมก็ไม่มีทางเล่นงานคุณหรอก ถ้าผมทำ ผมก็จะต้องรับมือกับแรงตีกลับของคำปฏิญาณที่ผมให้ไว้ วางใจเถอะ ในอนาคตเราจะหารือเรื่องแผนการระหว่างสองเผ่าพันธุ์ของเราทันทีที่ผมกำจัดเขาได้สำเร็จ!”


อำมาตย์เฉินหลิงรู้ดีว่าเรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้ไม่ใช่การรบราฆ่าฟันกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่คือการสังหารอำมาตย์เฉินหย่งและบั่นทอนอำนาจของอีกฝ่ายก่อน ซึ่งเมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาแล้ว เขาก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสั่งการได้ว่าควรรบราฆ่าฟันหรือทำตามข้อตกลง


อำมาตย์เฉินหลิงส่งรอยยิ้มน่าขยะแขยงให้อำมาตย์เฉินหย่งและพูดว่า “ลาก่อนนะ คุณน่ะเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือด้วยได้ยาก แต่ตอนนี้ ถึงเวลาที่คุณต้องพบจุดจบแล้ว!”


อำมาตย์เฉินหลิงเงื้อฝ่ามือขึ้น จากนั้นก็คำรามและปล่อยพลังออกไป


ราวกับใครสักคนพลิกโลกให้กลับด้าน พละกำลังมหาศาลตรงเข้าปะทะมิติโดยรอบ กดดันทุกอย่างที่อยู่ในเส้นทางของอำมาตย์เฉินหย่ง


ตอนที่ 1777 ไพ่ใบสุดท้าย

“ฮึ่ม! ถ้าพวกคุณคิดว่าผมจะยอมแพ้โดยไม่สู้ล่ะก็ คิดผิดแล้วล่ะ!”


เห็นอีกฝ่ายตั้งใจตัดความสัมพันธ์และโจมตีเขา อำมาตย์เฉินหย่งเงื้อกระบี่ขึ้น เปลวเพลิงสีดำสนิท โอบล้อมอาวุธชิ้นนั้นไว้ ราวกับเขาเพิ่งเรียกการทดสอบเปลวเพลิงสวรรค์มา


เทคนิคการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของอำมาตย์เฉินหย่ง, ลางร้ายเพลิงสวรรค์!


ประกายของกระบี่มีทั้งความคมกริบและพละกำลังทำลายล้างของเปลวเพลิงสวรรค์ ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะต้านทานพละกำลังของมันได้


“ฮ่า!”


ราวกับจะรู้ว่าอำมาตย์เฉินหย่งจะใช้กระบวนท่านี้ อำมาตย์เฉินหลิงคำราม เขาเงื้อฝ่ามือขึ้นและปล่อยพละกำลังหนักหน่วงเข้าใส่อำมาตย์เฉินหย่ง กดดันบรรยากาศโดยรอบจนถึงขนาดที่แทบจะสัมผัสได้


ในฐานะฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจหมายเลขหนึ่ง อำมาตย์เฉินหย่งมีพละกำลังเหนือชั้นกว่าใคร ถึงขั้นที่ต่อให้อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงผนึกกำลังกันก็ยังทำให้เขาสะทกสะท้านไม่ได้


แต่ในตอนนั้น เพราะอำมาตย์เฉินหย่งได้รับบาดเจ็บสาหัส พละกำลังของเขาจึงเหลืออยู่ไม่ถึง 1 ใน 10 ของที่เคยมี แม้ลางร้ายเพลิงสวรรค์จะทรงพลังแค่ไหน แต่ก็ถูกบั่นทอนความรุนแรงลงไปมากเพราะร่างกายที่อ่อนแอของเขา


เมื่อพลังฝ่ามือของอำมาตย์เฉินหลิงปะทะกับกระบี่ของอำมาตย์เฉินหย่ง เปลวเพลิงนั้นก็มอดดับ กระบี่ของเขากระเด็นไปจนสุดจะเอื้อมถึง


อำมาตย์เฉินหย่งทรุดลงกระแทกกับพื้นอย่างแรงและกลิ้งไปเหมือนลูกบอล ใบหน้าของเขาซีดเผือด เลือดสดๆไหลออกจากร่าง


พูดกันตามตรง ถือเป็นปาฏิหาริย์แล้วที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้แม้จะบาดเจ็บสาหัสหลังจากต่อสู้กับนักปราชญ์โบราณ 20 คน ไม่มีทางที่ในเวลานี้อำมาตย์เฉินหย่งจะรับมือกับผู้เชี่ยวชาญที่มีพละกำลังใกล้เคียงกับตัวเขาได้เลย


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” เมื่อเห็นการโจมตีของตัวเองได้ผล นัยน์ตาของอำมาตย์เฉินหลิงเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “อำมาตย์เฉินหย่ง คุณถือไพ่เหนือกว่ามานานแล้ว เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าจะต้องพบจุดจบแบบนี้?”


ขณะที่พูด เขาก็เดินเข้าหาอำมาตย์เฉินหย่ง จากนั้นก็เหยียบลงบนยอดอกของอำมาตย์เฉินหย่งที่เพลี่ยงพล้ำ อำมาตย์เฉินหลิงระเบิดเสียงหัวเราะลั่น


นี่คือชายผู้ขึ้นชื่อว่าไม่มีใครเทียบชั้นได้ เขาออกคำสั่งและใช้กำลังกับทุกคนที่อยู่รอบตัว ไม่มีใครที่ไม่หวาดกลัวเขา แต่ตอนนี้ก็ต้องพ่ายแพ้หมดรูปอยู่ใต้ฝ่าเท้าของอำมาตย์เฉินหลิง เผชิญหน้ากับโชคชะตาที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย!


อำมาตย์เฉินหย่งที่แน่นิ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าของอำมาตย์เฉินหลิงไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ เขาหันไปพูดกับอำมาตย์เฉินชิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “อำมาตย์เฉินชิง ผมทำดีกับคุณมาตลอดนะ คุณแน่ใจแล้วหรือว่าอยากร่วมมือกับเขาเพื่อเล่นงานผม ถ้าเขาหักหลังผมได้ โชคชะตาแบบนี้ก็อาจเกิดขึ้นกับคุณได้สักวันหนึ่งเหมือนกัน ขอแค่คุณช่วยผมให้พ้นจากเหตุการณ์วิกฤตครั้งนี้ ผมจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้น และทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม…”


“ผม…” ได้ยินคำนั้น อำมาตย์เฉินชิงคิดหนัก


เขาวางตัวเป็นกลางมาตลอดในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจ พูดกันตามตรง เขาไม่เคยคิดจะทรยศอำมาตย์เฉินหย่งหากยังมีทางเลือกอื่น


เห็นอำมาตย์เฉินชิงลังเล อำมาตย์เฉินหลิงคำรามอย่างเคืองแค้น “อำมาตย์เฉินชิง นับจากวินาทีที่เราตัดสินใจเป็นพันธมิตรกัน คุณก็ก้าวเข้าสู่เส้นทางที่ถอยกลับไม่ได้แล้ว หากเขาฟื้นคืนพละกำลังได้เมื่อไหร่ล่ะก็ ทั้งคุณทั้งผมเสร็จแน่!”


อำมาตย์เฉินชิงมีทั้งความแข็งแกร่งและสติปัญญา แต่หากจะมีข้อบกพร่องสักข้อหนึ่งที่พอจะเห็นได้ก็คือความโลเลของเขา


ทั้งคู่มาไกลขนาดนี้แล้ว จะหันหลังกลับได้อย่างไร? สายไปแล้วที่จะทำอย่างนั้น!


“ผมเสียใจ, อำมาตย์เฉินหย่ง ข้อเสนอที่อำมาตย์เฉินหลิงมอบให้ผมนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ผมจะปฏิเสธ…”


เมื่อหวนนึกถึงวิธีการของอำมาตย์เฉินหลิงและข้อเสนอที่อีกฝ่ายมอบให้ อำมาตย์เฉินชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงื้อฝ่ามือขึ้นเพื่อปล่อยพลังสังหารเข้าใส่อำมาตย์เฉินหย่งที่กองอยู่กับพื้น


มันคือการโจมตีที่มีพละกำลังอันน่าทึ่ง ถ้าอำมาตย์เฉินหย่งหลบไม่พ้น ศีรษะของเขาจะต้องแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและต้องตายในทันที


พลังจากฝ่ามือของอำมาตย์เฉินชิงพุ่งเข้าใส่ศีรษะของอำมาตย์เฉินหย่งอย่างรวดเร็ว แต่อีกฝ่ายก็ดูไม่ตระหนกแม้แต่น้อย กลับตรงกันข้าม เขามีสีหน้าถอดใจและส่ายหัวด้วยความผิดหวัง


“ผมไม่อยากจะยอมรับหรอกว่าคุณน่ะทรยศ แต่คุณคิดว่าผมจะประมาทเลินเล่อถึงขนาดนั้นเลยหรือ? โดยเฉพาะหลังจากที่เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเตือนผมเกี่ยวกับสถานการณ์ครั้งนี้แล้ว”


“อะไรนะ?”


เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ทั้งสองอำมาตย์เกิดลางสังหรณ์เลวร้ายขึ้นมาทันที อำมาตย์เฉินหลิงตวาดก้อง “เร็วเข้า ฆ่าเขา!”


ทั้งคู่ไม่รู้ว่าอำมาตย์เฉินหย่งคิดอะไร แต่รู้ดีว่าคงโง่เง่าเต็มทีหากจะปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลาเหลือพอจะพลิกผันสถานการณ์


แต่ยังไม่ทันที่พลังจากฝ่ามือจะพุ่งตรงถึงเป้าหมาย ทั้งอำมาตย์เฉินชิงและอำมาตย์เฉินหลิงก็พลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่พุ่งเข้าโจมตีแผงอก เมื่อลดสายตาลงมอง ก็เห็นโครงกระดูกรูปแขน 2 ข้าง แทงทะลุแผงอกของพวกเขาจากด้านหลัง


แขนของไอ้โหด!


โครงกระดูกรูปแขนทั้งสองข้างนี้ควรจะถูกชุดฟางสกัดกั้นไว้แล้วนี่! สองอำมาตย์รู้ดีว่าแขนของไอ้โหดคือไม้ตายที่ทรงพลังที่สุดของอำมาตย์เฉินหย่ง จึงได้เตรียมชุดฟางเอาไว้เพื่อสกัดกั้นอานุภาพของมันโดยเฉพาะ แต่ใครจะไปคิดว่าโครงกระดูกรูปแขนจะสามารถฝ่าด่านการสกัดกั้นและเข้าโจมตีหัวใจของพวกเขาได้!


“คุณ…”


เมื่อถูกโครงกระดูกรูปแขนแทงเข้าที่หัวใจ สองอำมาตย์รู้สึกได้ทันทีว่าพละกำลังของพวกเขาถดถอยลงอย่างกะทันหัน ร่างของทั้งคู่กระตุกเพราะแรงปะทะ ก่อนจะเข่าอ่อนและทรุดฮวบลงกับพื้น


ในฐานะนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตราบใดที่ยังมีเลือดอยู่ แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลายาวนานและการสะสมพลังงานครั้งใหญ่ การที่แขนสองข้างเข้าโจมตีจุดสำคัญของพวกเขาอย่างทันท่วงทีนั้น ต่อให้ทั้งคู่เอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งนี้ไปได้ แต่ทั้งพละกำลังและอายุขัยก็จะถูกลดทอนลงมาก


“ชุดฟางคือของล้ำค่าที่ไอ้โหดทิ้งไว้ มันสามารถควบคุมร่างกายของเขาได้ แล้วทำไม…” เมื่อรู้สึกว่าพลังชีวิตถูกสูบออกจากร่าง อำมาตย์เฉินหลิงแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น


ชุดฟางที่ตาเฒ่าหยูนำมาควรจะมีอานุภาพควบคุมจิตใต้สำนึกในชิ้นส่วนต่างๆของร่างกายของไอ้โหด มันเป็นสิ่งที่ไอ้โหดทิ้งไว้เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าในท้ายที่สุดร่างของเขาจะกลับมาหลอมรวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้งและทำให้เขาฟื้นคืนชีพ


พวกเขาได้ทดสอบของล้ำค่าชิ้นนี้ และแน่ใจในอานุภาพของมันแล้ว มันควรจะควบคุมโครงกระดูกรูปแขนทั้งสองข้างไว้ได้ แล้วทำไมอำมาตย์เฉินหย่งถึงยังจัดการให้มันเคลื่อนไหวได้อีก?


อำมาตย์เฉินหย่งกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน เขาคำรามขณะหอบหายใจหนักหน่วง “จิตใต้สำนึกที่อยู่ในโครงกระดูกรูปแขนนั้นได้รับการชำระล้างจากเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ และถูกแทนที่ด้วยจิตใต้สำนึกของผมแล้ว ผมรู้ว่าคุณสองคนพยายามถ่วงเวลา และผมก็รอคอยโอกาสนี้เพื่อจะได้เล่นงานพวกคุณ…”


โดยทั่วไป ชิ้นส่วนต่างๆในร่างกายของไอ้โหดจะมีความคิดจิตใจเป็นของตัวเอง และด้วยวิถีทางของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ จิตใต้สำนึกที่อยู่ในโครงกระดูกได้ถูกขจัดออกไปและแทนที่ด้วยจิตใต้สำนึกของเขา ดังนั้น ต่อให้ชุดฟางก็ไม่อาจควบคุมแขนสองข้างนั้นได้


ตอนที่เขาได้ยินจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ว่าพวกนั้นร่วมมือกันกับสองอำมาตย์เพื่อสังหารเขา อำมาตย์เฉินหย่งก็รู้แล้วว่าทั้งสองจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะถึงแก่ความตาย ไม่อย่างนั้น ทั้งคู่ก็คงไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขได้


ด้วยเหตุนี้ อำมาตย์เฉินหย่งจึงจงใจทำให้ดูเหมือนว่าโครงกระดูกรูปแขนสองข้างนั้นตกอยู่ภายใต้การควบคุมของชุดฟาง เพื่อให้ทั้งคู่ตายใจ แล้วเขาจะได้ปลดปล่อยการโจมตีในแบบที่พวกนั้นคาดไม่ถึง!


ตอนที่เขาขอความช่วยเหลือจากอำมาตย์เฉินชิงเมื่อครู่ก่อน อันที่จริงแล้วเขากำลังให้โอกาสอีกฝ่ายได้ตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย แต่ในเมื่อหมอนั่นเลือกที่จะทรยศ เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจกันอีกต่อไป


“ไอ้สารเลว ฉันจะฆ่าแก!”


อำมาตย์เฉินหลิงนึกไม่ถึงว่าแผนการของเขาจะพังทลายหลังจากที่เตรียมการมาแล้วเนิ่นนาน เขากัดฟันกรอดด้วยโทสะเต็มเปี่ยมและรวบรวมพละกำลังทั้งหมดในร่างกาย


อำมาตย์เฉินหลิงดึงโครงกระดูกรูปแขนออกจากร่าง ก่อนจะเงื้อฝ่ามือขึ้นเพื่อปล่อยพลังโจมตีอำมาตย์เฉินหย่ง


แต่ยังไม่ทันที่พลังจากฝ่ามือของเขาจะถึงตัวอีกฝ่าย ร่างของเขาก็หายวับไป ราวกับเขาได้กระโจนเข้าสู่ทางเดินแห่งมิติ


“อำมาตย์เฉินหย่ง ผมประมาทคุณไป คราวนี้ผมอาจฆ่าคุณไม่สำเร็จ แต่ในอนาคตยังมีโอกาสอีกมากมายที่จะได้ทำแบบนั้น รอดูกันไปก็แล้วกัน…” เสียงอำมาตย์เฉินหลิงค่อยๆแผ่วลงเรื่อยๆจนกระทั่งเงียบสนิท


ทุกคนคิดว่าอำมาตย์เฉินหลิงจะต้องปล่อยการโจมตี ใครจะไปคิดว่าเขาจะหนีไปแบบนี้?


“ผม…รอผมด้วย…”


เห็นเพื่อนร่วมขบวนการเตลิดหนีไปโดยไม่รอ ไม่มีทางที่อำมาตย์เฉินชิงจะกล้าอยู่ต่อ เขารีบหันหลังกลับและเผ่นหนี


เมื่อทั้งคู่จากไป ร่างของอำมาตย์เฉินหย่งโงนเงนอย่างอ่อนแรงก่อนจะร่วงลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง


ในเวลาเดียวกัน โครงกระดูกรูปแขนทั้งสองข้างที่เขาใช้เล่นงานสองอำมาตย์ก็ดูจะหมดเรี่ยวแรงและร่วงลงไปกองกับพื้น ในตอนนั้น เขาดูหมดสภาพอย่างไม่น่าเชื่อ


แม้ก่อนหน้านี้อำมาตย์เฉินหย่งจะวางท่าน่าเกรงขาม แต่ความจริงก็คือเขาใช้พละกำลังของตัวเองไปจนหมด ถ้าสองอำมาตย์นั่นใจกล้ากว่านี้ เขาคงได้เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่แน่!


เกิดความเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกับคนอื่นๆจะบินเข้ามาใกล้อำมาตย์เฉินหย่ง


“อำมาตย์เฉินหย่ง ในสภาพนี้น่ะคุณสู้กับพวกเราไม่ไหวหรอก จบชีวิตของคุณซะ เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของคุณไว้!”


สองอำมาตย์อาจหนีรอดไปได้ แต่พวกเขายังคงอยู่ตรงนี้


“คุณอยากให้ผมจบชีวิตตัวเองหรือ?” เมื่อถูกรุมล้อมโดยนักปราชญ์โบราณมากมาย อำมาตย์เฉินหย่งรู้ดีว่าไม่มีทางที่เขาจะได้จากไปโดยยังมีชีวิตรอด สีหน้าของเขาดูสิ้นหวังขณะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ใครจะคิดว่าผมจะต้องมาจบชีวิตแบบนี้?”


อำมาตย์เฉินหย่งเงื้อฝ่ามือขึ้นและพร้อมจะปล่อยพลังจากฝ่ามือเข้าใส่หน้าผากของเขา


ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น จางเซวียนพุ่งเข้ามาและตวาดก้อง “ช้าก่อน!”


ตอนที่ 1778 อำมาตย์เฉินหย่งต้องไม่ตาย!

จางเซวียนประสานมืออย่างสุภาพและตั้งคำถาม “พวกคุณจะอนุญาตให้ผมพูดก่อนไหม?”


นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งคำราม “นี่เป็นเรื่องระหว่างนักปราชญ์โบราณด้วยกัน คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงเข้ามาก้าวก่ายการหารือของเรา?”


เขาเริ่มจะหมดความอดทนกับชายหนุ่มที่ไร้วุฒิภาวะคนนี้


นอกจากอีกฝ่ายจะเอาเปรียบพวกเขาด้วยการขายโควต้าในราคาสูงลิ่วแล้ว ลำพังแค่ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาคือผู้นำตัวเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเข้ามาในหอลำดับแรกเพื่อให้เธอฉกฉวยมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงไป ก็เกินพอแล้วที่จะถูกตราหน้าว่าเป็น อาชญากรระดับร้ายแรงต่อมวลมนุษย์จนให้อภัยไม่ได้!


มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเป็นทรัพย์สมบัติที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ ซึ่งโชคชะตาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ขึ้นอยู่กับมัน แต่แล้วสิ่งนั้นก็กลับตกไปอยู่ในมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทำให้ชะตากรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องหมิ่นเหม่


หลังจากทำผิดร้ายแรง หมอนี่ยังมีหน้าเข้ามาก้าวก่ายกิจธุระของเหล่านักปราชญ์โบราณ แถมจงใจช่วยชีวิตอำมาตย์เฉินหย่งเสียอีก นักปราชญ์โบราณผู้นั้นโมโหเดือดและหันขวับไปหาจางเซวียน


วิ้งงงง!


ทันทีที่จางเซวียนพูดจบ กระบี่ก็เปล่งประกายวาบขึ้นกลางอากาศ นักปราชญ์โบราณรีบเหลียวมอง แต่ก็ยังได้แผลจากคมกระบี่นั้น เลือดหยดเป็นทางจากแขนของเขา


เมื่อมองดู ก็เห็นชายหนุ่มถือกระบี่เล่มหนึ่งที่เปล่งแสงโหดเหี้ยมออกจากคมของมัน


“ตอนนี้ผมมีคุณสมบัติพอหรือยัง?” จางเซวียนตั้งคำถาม


“คุณรนหาที่ตายแล้ว!”


ในฐานะนักปราชญ์โบราณผู้หยิ่งผยอง ไม่มีทางที่เขาจะยอมทนให้เด็กเมื่อวานซืนที่อายุน้อยกว่าหลายปีมาลูบคมได้ง่ายๆ แถมหมอนั่นยังเป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่


ถ้าไม่ใช่เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับอำมาตย์เฉินหย่งเมื่อครู่นี้ ก็ไม่มีทางที่ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณจะทำอันตรายเขาได้!


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงยกมือห้ามทัพก่อนจะหันไปขมวดคิ้วใส่จางเซวียน “คุณจะพูดอะไร?”


เขานึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะบ้าบิ่นถึงขนาดทำร้ายสหายของเขาเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้


“อำมาตย์เฉินหย่งจะถูกสังหารไม่ได้!” จางเซวียนพูด


“ถูกสังหารไม่ได้?” นักปราชญ์โบราณที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บจากกระบี่เปลวเพลิงสีดำถึงกับโมโหเดือดเมื่อได้ยินคำนั้น เขาสะบัดแขนเสื้อและคำราม “คุณรู้หรือเปล่าว่าหมอนี่สังหารผู้เชี่ยวชาญของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปมากมายแค่ไหนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในฐานะปรมาจารย์ คุณเลือกที่จะมอบความปรานีให้หมอนั่น แทนที่จะล้างแค้นให้สหายของคุณหรือ? จางหงเทียน, นี่คือหลักการที่ตระกูลจางของคุณและสภาปรมาจารย์ถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังหรือไง?”


จางหงเทียนมีสติพอที่จะไม่โมโหกับคำพูดของนักปราชญ์โบราณผู้นั้นง่ายๆ แต่เขาก็ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับการกระทำของทายาทของเขา


ตราบใดที่อำมาตย์เฉินหย่งยังอยู่ เผ่าพันธุ์ปีศาจก็มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เขาคือบุคคลที่รวมเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่ง ซึ่งภายใต้การนำของเขา มนุษย์มากมายนับไม่ถ้วนต้องถูกสังหารตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าพวกเขาจะมีโอกาสกำจัดอำมาตย์เฉินหย่ง และไม่มีทางที่จะปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดลอยไป


หากปล่อยเสือให้กลับเข้าป่า ก็ไม่มีทางบอกได้ว่าเมื่ออีกฝ่ายฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บแล้ว จะมีมนุษย์อีกมากมายเท่าไหร่ที่ต้องถูกสังหาร


ทายาทของเขาดูจะมีสายตาหยั่งรู้อันเฉียบคมมาตลอด ทำไมจู่ๆ พอเป็นเรื่องนี้ถึงเกิดโง่เง่าขึ้นมา?


“กรุณาอย่าดึงตระกูลจางกับสภาปรมาจารย์เข้ามาเกี่ยวข้อง นี่คือการตัดสินใจของผมเอง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขา!” จางเซวียนตอบอย่างเฉียบขาด


มีเหตุผลสำคัญหลายประการที่ทำให้เขาตัดสินใจช่วยชีวิตอำมาตย์เฉินหย่ง ซึ่งเหตุผลสำคัญที่สุดก็คือหลัวลั่วชิง อำมาตย์เฉินหย่งได้รับใช้เป็นบริวารของหลัวลั่วชิงอยู่นาน เพราะฉะนั้นหากใครสักคนในโลกนี้จะมีเงื่อนงำให้เขาตามหาเธอได้ ก็จะต้องเป็นอำมาตย์เฉินหย่งคนนี้!


ถ้าอำมาตย์เฉินหย่งเสียชีวิตตอนนี้ เงื่อนงำสุดท้ายของเขาก็จะขาดสะบั้น และนั่นคือสิ่งที่เขาไม่อาจปล่อยให้เกิดขึ้น


“การตัดสินใจของผมเอง? คุณเป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ คิดหรือว่าการตัดสินใจของคุณจะเปลี่ยนใจพวกเราที่เป็นนักปราชญ์โบราณได้?” นักปราชญ์โบราณอีกคนหนึ่งคำรามเยาะคำพูดของจางเซวียน “คุณคิดว่าตัวคุณควรค่าพอที่จะอยู่ในหมู่พวกเราเพียงเพราะคุณมีอาวุธระดับนักปราชญ์โบราณใช่ไหม ยกยอตัวเองมากไปเสียแล้วล่ะ!”


“คุณพูดถูก ไม่มีทางที่ผมจะมีคุณสมบัติเพียงพอจะพูดกับพวกคุณทุกคนเพียงเพราะผมมีของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ…” จางเซวียนกวาดสายตามองเหล่านักปราชญ์โบราณที่อยู่รอบตัวเขาก่อนจะชูกระบี่เปลวเพลิงสีดำขึ้นอีกครั้ง


ฟึ่บ!


กระบี่ฟาดฟันทั้งมิติและกาลเวลา เข้าถึงตรงหน้าตาเฒ่าหยูในชั่วพริบตา


“นรกอะไรนี่!” ตาเฒ่าหยูสบถอย่างหงุดหงิด


บ้าไปแล้วหรือไง! ต่อให้คุณอยากอวดศักดาและทำให้ใครๆสนใจความคิดเห็นของคุณ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้ผมเป็นกระสอบทรายเลยนี่ มีคนอีกเยอะแยะให้คุณเล่นงาน ทำไมต้องเป็นผม?


ผมเคยหาเรื่องคุณหรือไง?


ตาเฒ่าหยูรีบหลบไปด้านข้าง


ถึงเขาจะได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุด แต่ก็เจ็บตัวอยู่ไม่น้อย ทำให้พละกำลังของเขาลดลงจนเหลือเพียง 30% แต่ถึงอย่างนั้น ตาเฒ่าหยูก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่กระบี่เปลวเพลิงสีดำที่เพิ่งฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้ไม่นานจะเล่นงานเขาได้ง่ายๆ


เมื่อหลบเลี่ยงการโจมตีได้แล้ว ตาเฒ่าหยูกำลังจะตอบโต้ ก็พอดีกับที่ตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที เขารู้สึกว่าตัวเองถูกรังสีอันทรงพลังเข้าโอบล้อม


“อำมาตย์ไอ้โหด?” ตาเฒ่าหยูหรี่ตาด้วยความพรั่นพรึง


แม้รังสีนั้นจะปราศจากเจตนาสังหารตามแบบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่เขาก็จดจำมันได้ทันทีในฐานะบรรพบุรุษของเขา อีกฝ่ายคือไอ้โหดซึ่งเคยต่อสู้อย่างสมน้ำสมเนื้อกับปรมาจารย์ขง


ด้วยปราณสังหารที่เผ่าพันธุ์ปีศาจได้ฝึกฝน สายเลือดของพวกมันจึงมีแรงกดดันมหาศาล นี่คือเหตุผลที่ลำดับอาวุโสภายในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นมีความเข้มงวดมาก


พลั่ก!


ในชั่วพริบตา กระบี่เปลวเพลิงสีดำก็เข้าโจมตีจุดอ่อนจุดหนึ่งในวรยุทธของเขา ตาเฒ่าหยูหน้าซีดเผือดและกระอักเลือดออกจากปาก ร่างของเขาถอยกรูดไปไกลก่อนจะกระแทกกับพื้นอย่างแรง


“ความแข็งแกร่งระดับนี้มากพอจะทำให้ผมคุยกับพวกคุณได้หรือยัง?” จางเซวียนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา


ตาเฒ่าหยูเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 3 การฟื้นคืนชีพของสายเลือด ขณะที่กระบี่เปลวเพลิงสีดำเป็นของล้ำค่าที่เพิ่งเข้าถึงวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณมาหมาดๆ โดยทั่วไป ไม่มีทางที่มันจะเล่นงานตาเฒ่าหยูจนบาดเจ็บได้เลย


แต่เพราะแรงกดดันของไอ้โหดและการเล่นงานจุดอ่อนในวรยุทธของอีกฝ่าย รวมทั้งการที่ตาเฒ่าหยูได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับอำมาตย์เฉินหย่งมาแล้ว จางเซวียนจึงถือไพ่เหนือกว่า


“…ได้ พวกเราจะยอมรับพละกำลังของคุณ คุณมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะพูดกับพวกเราแล้ว แต่ผมก็หวังว่าคุณจะมีเหตุผลที่หนักแน่นและน่าสนใจพอจะโน้มน้าวพวกเรานะ”


ถึงการเคลื่อนไหวของจางเซวียนจะว่องไว แต่เหล่านักปราชญ์โบราณก็ยังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เห็นชัดว่าชายหนุ่มยังมีไม้ตายอื่นที่เหนือชั้นกว่ากระบี่เปลวเพลิงสีดำ ซึ่งหากสองอย่างนี้ผนึกกำลังกัน ก็เกินพอที่จะทำให้ตาเฒ่าหยูบาดเจ็บได้ เท่าที่เห็น ก็ชัดเจนแล้วว่าชายหนุ่มมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะพูดคุยกับพวกเขาได้อย่างทัดเทียม


จางเซวียนมองไปรอบๆแล้วพูดว่า “ผมไม่รู้เรื่องที่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ร่วมมือกับอำมาตย์เฉินหลิงและอำมาตย์เฉินชิงเพื่อเล่นงานอำมาตย์เฉินหย่ง แต่ผมเชื่อว่าพวกคุณคงเห็นความเจ้าเล่ห์ของอำมาตย์เฉินหลิงเมื่อครู่นี้แล้ว คุณยังหวังว่าเขาจะรักษาสัญญาหรือ? ลองคิดดู ถ้าอำมาตย์เฉินหย่งไม่ได้เล่นงานเขาจนได้รับบาดเจ็บ คุณคิดว่าจะไว้ใจเขา แน่ใจว่าเขาจะไม่เล่นงานพวกเราหรือไง?”


ทุกคนเงียบกริบเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


พูดกันตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะไม้ตายของอำมาตย์เฉินหย่ง ก็เป็นไปได้ว่าอำมาตย์เฉินหลิงจะผิดสัญญาและโจมตีพวกเขา


บางที…หมอนั่นอาจวางแผนมาแล้วตั้งแต่แรก เขายื้อเวลาจนทั้งพวกเขาและอำมาตย์เฉินหย่งได้รับบาดเจ็บสาหัส เพื่อจะได้เข้าตำรายิงนก 2 ตัวด้วยกระสุนนัดเดียว


หากพวกเขาเสียชีวิตที่นี่ ทวีปแห่งปรมาจารย์จะต้องสูญเสียการป้องกันตัวด่านสุดท้ายไป แม้จะยังมีนักปราชญ์โบราณอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อและไม่ได้สังกัดทั้ง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และสภาปรมาจารย์ แต่ลำพังพวกเขาก็ไม่ถือเป็นภัยคุกคามที่รุนแรงมากพอกับอำมาตย์ทั้งสอง


“อำมาตย์เฉินหลิงน่ะทรยศได้แม้แต่กับสมาชิกในเผ่าพันธุ์ของตัวเอง คุณคิดหรือว่าเขาจะกระดากใจหากจะทำลายข้อตกลงที่ทำไว้กับพวกคุณ? ผมรู้ดีว่าพวกคุณคงเตรียมมาตรการบางอย่างไว้ป้องกันเรื่องนี้แล้ว และคงเห็นว่านี่คือโอกาสงานที่จะได้สังหารอำมาตย์เฉินหย่งและทำลายความเป็นหนึ่งเดียวของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น…”


“ซึ่งหากเมื่อครู่นี้พวกคุณประสบความสำเร็จโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ก็คงจะเป็นเรื่องดี พวกคุณคงสร้างความสับสนวุ่นวายให้เกิดขึ้นในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจได้ชั่วคราวจากการที่พวกมันต้องสูญเสียผู้นำสูงสุดไป แต่นั่นดูจะไม่ใช่สถานการณ์ตอนนี้ ลองนึกดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากอำมาตย์เฉินหย่งตายและอำมาตย์เฉินหลิงกลับไปบอกเผ่าพันธุ์ปีศาจว่าอำมาตย์เฉินหย่งถูกพวกเราลอบโจมตีและลอบสังหาร ซึ่งตัวเขาก็เกือบต้องตายขณะที่พยายามช่วยชีวิตอำมาตย์เฉินหย่ง…ถ้าเขาทำแบบนั้น เขาจะสามารถเรียกความแข็งแกร่งกลับคืนสู่เผ่าพันธุ์ปีศาจและรวมพวกมันให้เป็นหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว ผมเชื่อว่าพวกคุณคงรู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา ต่อให้ผมไม่พูดต่อ!” จางเซวียนพูด


“คือ…” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงครุ่นคิดหนัก


ก็จริง ถ้าอำมาตย์เฉินหย่งเสียชีวิตที่นี่ อำมาตย์เฉินหลิงก็สามารถใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้เพื่อรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งได้ และนั่นจะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงกว่าเดิม!


ตอนที่ 1779 คุณติดค้างคำอธิบายกับสภาปรมาจารย์

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงหันมาตั้งคำถามกับจางเซวียน “แล้วคุณมีข้อเสนอแนะอย่างไร?”


“ง่ายมาก ไม่เพียงแต่เราจะปล่อยให้อำมาตย์เฉินหย่งตายไม่ได้ แต่ยังต้องรักษาอาการบาดเจ็บให้เขาด้วย จากนั้นเราจะพาเขากลับสู่เผ่าพันธุ์ปีศาจและช่วยเขาล้างแค้น! อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงมีพละกำลังอ่อนด้อยกว่าเขาก็จริง แต่เมื่อสองคนนั้นผนึกกำลังกัน ก็คงโง่เง่าเต็มทีหากเราจะคิดว่าการรับมือกับพวกเขาเป็นเรื่องง่าย ถ้าเราสามารถเปลี่ยนเรื่องนี้ให้กลายเป็นรอยร้าวภายในระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะได้มีเวลาหายใจ และบางทีอาจได้โอกาสแก้แค้นด้วย” จางเซวียนพูด


ทั้งคู่หารือกันผ่านทางโทรจิต และนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงก็ทำการแบ่งแยกมิติไว้ล่วงหน้า อำมาตย์เฉินหย่งจึงไม่รู้รายละเอียดการสนทนาของทั้งคู่


“ตอนนี้อำมาตย์เฉินหย่งมีแต่ความจงเกลียดจงชังสองอำมาตย์ที่ทรยศเขา เขาคงอยากสังหารสองคนนั่นแม้แต่ในความฝัน ถ้าเราใช้โอกาสนี้บีบให้เขาทำสัญญาระงับการใช้ความรุนแรงกับเราได้ การให้เขาได้กลับไปบัญชาการเผ่าพันธุ์ปีศาจก็จะเป็นประโยชน์กับพวกเรา!” จางเซวียนพูดต่อ


“ที่เขาพูดมาก็มีเหตุผลนะ”จางหงเทียนพยักหน้ารับ


ในเมื่อการทำสัญญากับอำมาตย์เฉินหลิงเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะทำสัญญากับอำมาตย์เฉินหย่งไม่ได้


ด้วยอิทธิพลของอำมาตย์เฉินหย่งที่มีในตระกูลเผ่าพันธุ์ปีศาจ หากอีกฝ่ายตอบตกลงร่วมมือกับพวกเขา ผลที่ได้ก็น่าจะดีกว่ากันมาก


“คุณพูดถูก ตอนนี้เราควรไว้ชีวิตอำมาตย์เฉินหย่งก่อน แต่ผมคิดว่าแผนการของคุณยังหละหลวมอยู่นะ” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพูด


“ข้อแรก เมื่ออำมาตย์เฉินหย่งได้พละกำลังกลับคืนมา ความแข็งแกร่งของเขาจะเหนือชั้นกว่าเรา ถ้าเขาหักหลังเรา ทั้งสภาปรมาจารย์และ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็จะต้องหาทางป้องกันตัวเอง ข้อสอง เขาคือผู้เชี่ยวชาญที่คร่ำหวอดสงคราม อีกอย่าง เขาสู้รบกับกองกำลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์มาหลายปีแล้ว แถมยังเคยลักลอบเข้าสู่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ด้วย จึงรู้ขีดจำกัดของพละกำลังของพวกเราเป็นอย่างดี ถ้าเราไว้ชีวิตเขา เขาอาจกลายเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงที่สุดต่อมวลมนุษย์ก็ได้!”


“สุดท้าย อาการบาดเจ็บของพวกเราในตอนนี้สาหัสเกินไป เราไม่มีนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณมากพอที่จะมาช่วยเหลือ และอายุขัยของพวกเราก็ใกล้สิ้นสุดแล้ว เราไม่น่าจะปกป้อง เผ่าพันธุ์มนุษย์ไปได้นานนัก…”


อันที่จริง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้พิจารณาเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน พวกเขารู้ดีว่าการทำร้ายอำมาตย์เฉินหย่งไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาทั้งหมด และความยุ่งยากกว่าเดิมก็อาจก่อตัวขึ้น


แต่พวกเขามองไม่เห็นหนทางอื่น


หมื่นปีก่อน ตอนที่นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณหายสาบสูญไปจากโลก เหล่านักปราชญ์โบราณที่เป็นมนุษย์ทำได้แค่เข้าสู่การจำศีลเพื่อปกป้องสิ่งที่ตัวเองมีให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้


พูดอีกอย่างก็คือ ในกลุ่มของพวกเขา แม้จางหงเทียนที่อายุน้อยที่สุดก็มีอายุถึง 10500 ปีแล้ว หากไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไปอย่างที่เป็นอยู่ ก็คงยังมีชีวิตอยู่ต่อได้ แต่ด้วยสภาวะที่พวกเขากำลังเผชิญ มีความเป็นไปได้ว่าแต่ละคนคงจะเข้าร่วมสงครามได้แค่ครั้งสองครั้งก่อนจะสิ้นอายุขัย


แถมทุกอย่างยังเลวร้ายลงอีก เพราะพวกเขาไม่อาจยึดครองมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงได้ พูดได้เลยว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ในสภาวะอ่อนแอที่สุดตลอดระยะหลายหมื่นปีที่ผ่านมา


แน่นอนว่าอำมาตย์เฉินหย่งเก่งกาจมากกว่าอีกสองอำมาตย์มาก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการต่อสู้ และเสบียงกรังด้านการทหาร เผ่าพันธุ์มนุษย์อาจอยู่ในภาวะอ่อนแอก็จริง แต่อย่างน้อยก็ยังพอจะรับมือกับสองอำมาตย์ไหว แต่หากพวกเขาปล่อยอำมาตย์เฉินหย่งไป นั่นย่อมหมายถึงความพินาศ


เหล่านักปราชญ์โบราณที่อยู่ตรงนั้นต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะก้มหน้าลงครุ่นคิด


เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่อายุขัยของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ใกล้เคียงกับเผ่าพันธุ์ปีศาจเลย นี่คือสิ่งที่มวลมนุษย์จะต้องรับมือ ซึ่งพวกเขาทำได้เพียงแค่ทำให้ดีที่สุด


ด้วยข้อจำกัดของอายุขัยและการหายสาบสูญไปของนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ ตราบใดที่ไม่มีนักปราชญ์โบราณรุ่นใหม่ๆปรากฏตัว ไม่ช้าไม่นานพวกเขาก็คงต้องตายกันหมด


“ปัญหานี้ง่ายมาก” จางเซวียนพูด “ผมจะฝังยาพิษที่เยียวยาไม่ได้ไว้ในร่างของเขา หากเขากล้าผิดสัญญาที่ทำไว้กับเราและโจมตีเผ่าพันธุ์มนุษย์ พิษนั้นจะออกฤทธิ์เล่นงานเขาจนถึงตาย ซึ่งถึงตอนนั้น สองอำมาตย์ก็คงตายไปแล้ว ต่อให้ในตอนนั้นไม่มีนักปราชญ์โบราณเหลืออยู่ เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะไม่ตกอยู่ในอันตรายมากนัก อีกอย่าง ปรมาจารย์หยางก็เพิ่งฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จ และดูเหมือนในเวลานี้จะมีนักปราชญ์โบราณเพิ่มขึ้นอีกหลายคน จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยให้มากเกินไป!”


แม้จะมีนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณอยู่ในผืนผ้าใบสี่ฤดู แต่มันก็มีขีดจำกัด เท่าที่มีอยู่ตอนนี้ อาจไม่เพียงพอแม้แต่กับท่านพ่อท่านแม่ ตัวเขา และบรรดาศิษย์สายตรงของเขาให้ฝ่าด่านวรยุทธได้ด้วยซ้ำ จึงดูไม่เข้าท่านักหากจะแบ่งปันให้คนอื่น


“ยาพิษชนิดไหนที่มีอานุภาพแม้แต่กับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงถึงกับผงะ


นักรบที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดนั้นสามารถสร้างชีวิตใหม่ได้ด้วยเลือดเพียงหยดเดียว ไม่ว่าจะเป็นกายเนื้อหรือจิตวิญญาณของพวกเขาก็ล้วนแต่ปราศจากสิ่งปนเปื้อน ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะวางยาคนเหล่านั้น


แล้วยังมียาพิษชนิดไหนในโลกที่ทำร้ายนักรบระดับนั้นได้ด้วยหรือ?


“คุณไม่ต้องห่วง ในเมื่อผมยื่นข้อเสนอแล้ว ก็แปลว่าผมมั่นใจ” จางเซวียนหัวเราะหึๆ


ยาพิษทั่วไปอาจไม่ส่งผลอะไรกับผู้เชี่ยวชาญระดับอำมาตย์เฉินหย่ง แต่พลังปราณเทียบฟ้านั้นบริสุทธิ์มาก ทั้งยังซึมซาบเข้าสู่ทุกส่วนของร่างกายได้ และหากจำเป็น มันก็สามารถแบ่งตัวและซ่อนอยู่ในทุกหยดเลือดในร่างกายของผู้นั้น ทำให้ยากที่จะป้องกัน


เมื่อมีพลังปราณที่สามารถทำลายพลังชีวิตในร่างกายได้ ต่อให้นักรบที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดก็คงต้องปวดหัวหนักหากพยายามจะรับมือกับมัน


ตราบใดที่อีกฝ่ายขจัดพิษออกจากร่างกายไม่ได้ ก็จะต้องถูกพิษนั้นบงการตลอดไป


เกิดความเงียบงันครู่ใหญ่ก่อนในที่สุดนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงจะพยักหน้า “พวกเรายินดีเชื่อคุณ และเราจะรับมือกับอำมาตย์เฉินหย่งตามที่คุณเสนอ ว่าแต่…คุณไม่คิดบ้างหรือว่าคุณติดค้างคำอธิบายกับมวลมนุษย์นะ”


“ผม?”


“คุณพาเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเข้าสู่หอลำดับแรก ปล่อยให้เธอซึมซับมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงจนสำเร็จ ทำให้โอกาสครั้งนี้หลุดลอยไปจากมวลมนุษย์ ไม่มีทางที่คุณจะปิดบังเรื่องนี้ได้ตลอดไปหรอก และป่านนี้อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงก็คงกระจายข่าวจนทั่วแล้ว ถ้าคุณไม่มีคำอธิบาย ทั้งเหล่าปรมาจารย์และมวลมนุษย์ในโลกจะมองคุณเป็นคนนอก คุณจะไม่มีที่ทางในสภาปรมาจารย์อีก!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพูด


จางเซวียนเงียบกริบ


เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวตนที่แท้จริงของหลัวลั่วชิงคือเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ แต่ก็คงไม่มีใครในโลกนี้ที่จะเชื่อหรือยอมรับคำอธิบายแบบนั้น


มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงคือทรัพย์สมบัติล้ำค่าสูงสุดที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง แต่กลับลงเอยด้วยการถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจยึดครอง เพียงเพราะเรื่องนี้ ก็ไม่มีทางที่ใครต่อใครจะยกโทษให้เขาแล้ว


ทันทีที่ข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ก็แน่นอนว่าเหล่าปรมาจารย์และมนุษย์ทั้งโลกจะต้องเห็นเขาเป็นปฏิปักษ์ ต่อให้เขาพยายามอธิบายสักแค่ไหนก็คงไม่เป็นผล


มีคนรักเป็นเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ…คงไม่มีใครยอมเชื่อว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนทั้งนั้น!


ต่อให้เขาอธิบายทุกอย่างได้อย่างละเอียดครบถ้วน ใครต่อใครก็คงจะตั้งคำถามในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ ในตอนนั้น เขาคว้ามือของหลัวลั่วชิงไว้ แล้วทำไมถึงไม่ฉกฉวยเอามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงมาจากเธอ?


ไม่ว่าในอดีตเขาจะเคยสร้างคุณงามความดีขนาดไหน แต่เรื่องนี้คือความผิดพลาดครั้งใหญ่และเลวร้ายพอที่จะทำให้เขากลายเป็นศัตรูที่มวลมนุษย์ต่างสาปแช่ง ตอนนี้เขาหลังชนฝาแล้ว และดูเหมือนจะไม่มีวันกลับมายืนได้ดังเดิมอีก


จางเซวียนสูดหายใจลึกและตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “ผมจะมอบคำอธิบายที่น่าพอใจให้กับสภาปรมาจารย์และคนทั้งโลก!”


“ถ้าได้อย่างนั้นก็ดี…” เห็นชายหนุ่มเข้าใจสิ่งที่เขาพยายามบอก นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพยักหน้าก่อนจะเงียบไป


เขาไม่อยากทำร้ายผู้ที่เป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ


จางเซวียนขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้าของเขาเข้าสู่ร่างของอำมาตย์เฉินหย่งและสกัดกั้นมันไว้ ในเวลาเดียวกันก็นำยาเม็ดออกมาให้อีกฝ่ายกินเพื่อช่วยเยียวยาอาการบาดเจ็บ


แต่อาการบาดเจ็บของอำมาตย์เฉินหย่งสาหัสเกินไป จนถึงขนาดที่สั่นคลอนทั้งรากฐานและอายุขัยของเขา ตอนนี้ยาเม็ดธรรมดาสามัญไม่มีประโยชน์กับเขามากนัก


“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผม, นายน้อย ความตายไม่อาจทำให้ผมหวาดกลัวอีกแล้ว แต่ก่อนที่ผมจะพบจุดจบ ผมจะลากเจ้าสองคนนั่นไปกับผมด้วย!”


อำมาตย์เฉินหย่งไม่รู้เรื่องบทสนทนาระหว่างจางเซวียนกับนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง รู้แต่ว่าจางเซวียนคือผู้วิงวอนขอชีวิตให้เขา อำมาตย์เฉินหย่งลุกขึ้นยืนและประสานมือด้วยความสำนึกในบุญคุณ


ที่ผ่านมา เขาไม่ได้ใส่ใจอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงมากนัก ใครจะไปคิดว่าทั้งคู่คือศัตรูตัวฉกาจ?


แต่ในเมื่อเขาได้ชีวิตกลับคืนมาแล้ว ก็จะต้องแน่ใจว่าพวกนั้นจะต้องชดใช้ความเคืองแค้นของเขาและได้รับบทเรียนอย่างสาสม


“ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก” จางเซวียนตอบ


จากนั้นเขาก็มองอำมาตย์เฉินหย่งอย่างสงสัยขณะตั้งคำถาม “คุณเกี่ยวข้องอย่างไรกับไอ้โหด?”


ตอนที่ 1780 จางเซวียนปะทะตาเฒ่าหยู

อำมาตย์เฉินหย่งสามารถใช้เลือดของเขาขับเคลื่อนโครงกระดูกท่อนแขนของไอ้โหดได้ และนั่นบ่งบอกความเป็นไปได้ข้อหนึ่ง คือเขามีสายเลือดเดียวกันกับไอ้โหด


“เขาคือท่านปู่ของผม” อำมาตย์เฉินหย่งตอบอย่างไม่ปิดบัง


“ท่านปู่?” จางเซวียนถึงกับผงะ


เขาไม่นึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะใกล้ชิดกันขนาดนั้น คิดว่าน่าจะห่างกันหลายชั่วคนอยู่


ไอ้โหดคือผู้เชี่ยวชาญที่มีชีวิตอยู่ตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อน แต่อำมาตย์เฉินหย่งก็ยังมีชีวิตอยู่เช่นกันทั้งที่เป็นหลานชายของเขา อายุขัยของเผ่าพันธุ์ปีศาจช่างน่าสะพรึงเสียจริง


“เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณบอกผมว่าคุณรวบรวมชิ้นส่วนของท่านปู่ของผมไว้ได้มากมาย, นายน้อย และเธอยังสั่งการผมให้ช่วยเหลือคุณเรื่องนี้ ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ผมจะมอบแขนคู่นี้ให้คุณ แม้มันจะยังไม่เพียงพอให้ท่านปู่ของผมกลับคืนสู่สภาวะแข็งแกร่งสูงสุดได้ แต่ก็คงมากพอให้เขาฟื้นคืนวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดได้สำเร็จ!”


อำมาตย์เฉินหย่งสะบัดข้อมือ แล้วโครงกระดูกแขนทั้งสองข้างก็ลอยเข้าหาจางเซวียน


“ขอบคุณมาก!”


เป็นความจริงที่ว่าเขากำลังสะสมชิ้นส่วนร่างกายของไอ้โหด ซึ่งเมื่ออำมาตย์เฉินหย่งเต็มใจมอบโครงกระดูกท่อนแขนให้ เขาก็ไม่คิดจะเกรงใจอีกต่อไป


จางเซวียนนำหนังสือเทียบฟ้าออกมา ไม่ช้า แขนสองข้างนั้นก็หลอมรวมเข้ากับร่างของไอ้โหดที่อยู่ภายในหนังสือ


เมื่อรับรู้ได้ถึงการหลอมรวมอย่างสมบูรณ์แบบของแขนทั้งสองข้างเข้ากับร่างกาย ซึ่งหมายความว่าไอ้โหดไม่ได้กำลังเข้าสู่ภาวะจำศีลอันเป็นผลจากความขัดแย้งกันของเจตจำนงในร่างกายแต่ละส่วน จางเซวียนถามด้วยความสงสัย “คุณย้ายจิตใต้สำนึกที่อยู่ในท่อนแขนแล้วหรือ?”


“เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณช่วยผมกำจัดจิตใต้สำนึกที่อยู่ในท่อนแขนออกไป แล้วแทนที่ด้วยจิตใต้สำนึกของผมเอง ซึ่งในเมื่อผมมอบให้คุณแล้ว, นายน้อย ผมก็ไม่กล้าใส่จิตใต้สำนึกของผมเข้าไปในนั้นหรอก” อำมาตย์เฉินหย่งอธิบาย


เพราะรับรู้ถึงความปราดเปรื่องอย่างน่าทึ่งของชายหนุ่ม รวมถึงความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายกับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ อำมาตย์เฉินหย่งจึงไม่กล้าทำตัวกระด้างกระเดื่องกับจางเซวียน


อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณมากนัก ทั้งสองจึงไม่รู้ว่าเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณทรงพลังแค่ไหน แต่แน่นอนว่าอำมาตย์เฉินหย่งรู้ดี


ถ้าเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณปลดปล่อยพละกำลังของเธอออกมา ทวีปแห่งปรมาจารย์ทั้งทวีปจะต้องราบคาบ


แล้วผู้ที่เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณให้ความสนใจจะเป็นคนธรรมดาสามัญได้อย่างไร?


ด้วยเหตุนี้ อำมาตย์เฉินหย่งจึงไม่ละเลยโอกาสที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชายหนุ่ม อีกอย่าง ชายหนุ่มก็เพิ่งช่วยชีวิตของเขาไว้


“ขอบคุณมาก” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


ตอนนี้ไอ้โหดคือหนึ่งในไพ่ไม้ตายที่มีอานุภาพสูงสุดของเขา และคงจะน่าเสียดายมากถ้าไอ้โหดต้องเข้าสู่ภาวะโคม่าเพราะเจตจำนงที่ขัดแย้งกัน ขอแค่ไอ้โหดมีพละกำลังมากพอ ก็น่าจะกลับคืนสู่สภาพแข็งแกร่งสูงสุดได้ในเร็วๆนี้


จางเซวียนกระดิกนิ้ว แล้วขวดหยกใบหนึ่งก็ลอยเข้าสู่หนังสือเทียบฟ้า มันคือขวดหยกที่บรรจุเลือดนักปราชญ์โบราณที่เขาได้รวบรวมสะสมไว้


ไอ้โหดรีบรับหยดเลือดของนักของนักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจไป ครู่ต่อมา พลังงานเหลือเฟือก็พุ่งเข้าสู่ร่างของเขา


“ขัดเกลาวรยุทธของคุณเสีย” จางเซวียนสั่งการก่อนจะปิดหนังสือเทียบฟ้าและใส่มันกลับเข้าไปในหอสมุดเทียบฟ้า


“อ้อ นายน้อย นี่คือชุดฟางที่ท่านปู่ของผมทิ้งไว้ ถ้าคุณซึมซับมันและหลอมรวมมันเข้ากับร่างกายของคุณได้ มันจะช่วยเร่งกระบวนการให้ท่านปู่ของผมสร้างเลือดเนื้อของเขาได้เร็วขึ้น!” อำมาตย์เฉินหย่งพูดขณะชี้นิ้วไปที่ของล้ำค่าซึ่งลอยอยู่ด้านบน


“มันจะช่วยให้ไอ้โหดสร้างเลือดเนื้อได้เร็วขึ้นหรือ?” จางเซวียนตาโตเมื่อได้ยินคำนั้น


สำหรับไอ้โหด วิธีการที่ให้ผลรวดเร็วที่สุดในการฟื้นคืนสภาพร่างกายของเขาก็คือการกลืนกินเลือดเนื้อของเหล่าปรมาจารย์ ด้วยเหตุนี้ แม้ร่างกายบางส่วนของไอ้โหดจะพัฒนาจนมีเลือดเนื้อขึ้นมาแล้ว แต่ส่วนอื่นๆอย่างร่างกายท่อนบนก็ยังคงเป็นโครงกระดูกอยู่


เป็นธรรมดาที่จางเซวียนจะไม่อยากใช้วิธีการแบบนั้น เขาจึงไม่ได้ใส่ใจ


ถ้าชุดฟางช่วยไอ้โหดสร้างเลือดเนื้อได้จริงๆ นั่นก็จะทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก


จางเซวียนกระโจนขึ้นไปคว้าชุดฟาง


เมื่อเห็นเขาทำอย่างนั้น ตาเฒ่าหยูซึ่งเพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บมีสีหน้าเคร่งเครียด “คุณทำอะไรน่ะ? นั่นคือทรัพย์สมบัติของอำมาตย์เฉินหลิงนะ”


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ กระแสดาบฉีก็ระเบิดเข้าใส่


เกิดรูขนาดใหญ่ 2 รูบนร่างของตาเฒ่าหยู เลือดสดๆกระอักออกจากปาก


“จางหงเทียน คุณทำบ้าอะไร?” ตาเฒ่าหยูคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว


ผู้ที่เพิ่งโจมตีเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากบรรพบุรุษของจางเซวียน, จางหงเทียน!


เพิ่งเมื่อครู่นี้เองที่ต่างคนต่างละทิ้งความขัดแย้งเพื่อร่วมกันเล่นงานอำมาตย์เฉินหย่ง แล้วทำไมจู่ๆอีกฝ่ายถึงเล่นงานเขา?


“ผมพยายามทำอะไรน่ะหรือ? ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก จริงๆนะ เพราะผมไม่มีทางเลือกต่างหาก ถึงต้องร่วมมือกับคุณเพื่อเล่นงานอำมาตย์เฉินหย่ง แต่คุณไม่คิดบ้างหรือไงว่าตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องชำระความแค้นส่วนตัวแล้ว!” จางหงเทียนคำรามเสียงเย็นขณะชูดาบในมือขึ้นด้วยท่วงท่าสง่างาม


ก่อนหน้านี้ เขาไม่อยากขัดขวางแผนการของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องร่วมมือกับเหล่านักปราชญ์โบราณของเผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นการชั่วคราว แต่เมื่อเรื่องของอำมาตย์เฉินหย่งคลี่คลายแล้ว ก็ถึงเวลาชำระความแค้นส่วนตัว


“คุณอยากฆ่าผม? คิดว่าผมกลัวหรือไง?” ตาเฒ่าหยูลุกพรวดและคำราม “ว่าแต่…มาพูดกันให้ชัดเจนก่อน ถ้าคุณแพ้ล่ะก็ หลีกทางให้พวกผมออกไปจากที่นี่เลยนะ”


ไม่ใช่เพราะเขาอยากอยู่ตรงนี้หลังจากเสร็จสิ้นการสู้รบ แต่เพราะมีนักปราชญ์โบราณมากมายจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และสภาปรมาจารย์คอยจับตามองอย่างระแวง เขาจึงไม่กล้าด่วนตัดสินใจหรือเคลื่อนไหว


แต่ในเมื่อจางหงเทียนคิดจะจัดการเรื่องความขัดแย้ง ก็คงจะดีถ้าพูดกันให้ชัดเจนเสียก่อน


ตาเฒ่าหยูรู้ดีว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์พยายามจะเล่นงานพวกเขาหลังจากจัดการอำมาตย์เฉินหย่งแล้ว จึงตั้งใจยั้งมือและไม่ทำอะไรมากในการต่อสู้เมื่อครู่ก่อน ด้วยเหตุนี้ บาดแผลที่เขาได้รับจึงเบากว่าของจางหงเทียนมาก หากทั้งคู่เผชิญหน้ากัน ก็ยากที่จะบอกได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ


“ตกลงตามนั้น” จางหงเทียนพยักหน้า เขาหันไปพูดกับฝูงชนว่า “วันนี้ผมจะชำระความแค้นส่วนตัวระหว่างผมกับตาเฒ่าหยู ถ้าผมแพ้ ก็เป็นเพราะความอ่อนแอของผมเอง ผมจะไม่ขอให้พวกคุณล้างแค้นให้ผม และขอให้ปล่อยเขาไป!”


“พี่หงเทียน…” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงขมวดคิ้ว


เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะด่วนตัดสินใจแบบนั้น และไม่รู้สึกว่าเป็นความคิดที่เข้าท่า อันเนื่องจากสภาพของจางหงเทียนในเวลานี้


“ผมตัดสินใจแล้ว!” จางหงเทียนโบกมืออย่างเด็ดเดี่ยว


นี่ไม่ใช่การตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น เขาครุ่นคิดเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว


เพราะบาดแผลที่ได้รับจากการสู้กับอำมาตย์เฉินหย่ง เขารู้ดีว่าตัวเองคงไม่อาจดูแลตระกูลจางได้นานนัก คงต้องมอบหมายภาระความรับผิดชอบนี้ให้คนรุ่นหลังแบกรับต่อไป


เขามีความพอใจในตัวหัวหน้าตระกูลจางคนปัจจุบัน และเชื่อว่าตระกูลจางจะรุ่งเรืองภายใต้การนำของอีกฝ่าย ในฐานะคนที่เวลาใกล้จะหมดลง ของขวัญชิ้นสุดท้ายที่เขาจะมอบให้ตระกูลจางได้ก็คือขจัดเสี้ยนหนามที่คอยทิ่มแทง


ด้วยสิ่งนี้ เขาจะสามารถเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษและบรรดาพี่น้องของเขาที่พลีชีพเพื่อปกป้องตระกูลจางและมวลมนุษย์ได้ นี่เป็นการเสียสละครั้งสุดท้ายที่เขาจะมอบให้เผ่าพันธุ์มนุษย์


เมื่อตัดสินใจแล้ว จางหงเทียนปล่อยกระแสดาบฉีเข้าใส่ตาเฒ่าหยู ล้อมอีกฝ่ายไว้ด้วยการโจมตีอย่างหนักหน่วง


“ฮึ่มมม!”


เห็นเรี่ยวแรงของจางหงเทียนถดถอยลงมากเพราะอาการบาดเจ็บ ตาเฒ่าหยูถอนหายใจอย่างโล่งอก เขารวบรวมพลังปราณไว้ที่แขน แล้วภาพลวงตารูปกรงเล็บก็ทับซ้อนกับสองมือของเขา


นักปราชญ์โบราณสองคนปะทะกัน


ในฐานะนักรบที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด ทั้งคู่มีกลยุทธเด็ดๆมากมาย ในตอนนั้น ดูเหมือนพวกเขาจะสู้กันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ


“ก่อนหน้านี้ พี่หงเทียนใช้พละกำลังเกินขนาดในการสู้กับอำมาตย์เฉินหย่ง และได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย ผมเกรงว่าเขาจะสู้กับตาเฒ่าหยูไม่ได้” นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งของสภาปรมาจารย์ตั้งข้อสังเกตอย่างกังวล


“ตาเฒ่าหยูน่ะเจ้าเล่ห์เจ้ากลมาก เขาเอาแต่ป้องกันตัว เห็นได้ชัดว่าพยายามถ่วงเวลาจนกว่าพี่หงเทียนจะหมดแรง แล้วเขาถึงจะตอบโต้ เราควรเข้าไปช่วยพี่หงเทียนไหม?” นักปราชญ์โบราณอีกคนหนึ่งจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ตั้งคำถาม


การเคลื่อนไหวของนักปราชญ์โบราณทั้งสองเฉียบคมและมีพลังอย่างน่าทึ่ง ดูเหมือนทั้งคู่จะมีความเก่งกาจทัดเทียมกัน แต่เหล่านักปราชญ์โบราณที่เฝ้ามองอยู่ก็บอกได้ทันทีว่าพละกำลังของจางหงเทียนถดถอยกว่าที่เขาเคยเป็นมาก และมีแต่จะอ่อนแรงลงเรื่อยๆเมื่อการสู้รบดำเนินไป หากเป็นอย่างนี้ เขาอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้!


ในทางตรงกันข้าม ตาเฒ่าหยูดูมีชีวิตชีวากว่ามาก เขาค่อยๆขยับไปรอบๆ หาโอกาสที่จะตอบโต้


“วางใจเถอะ พี่หงเทียนไม่แพ้แน่!” ปรมาจารย์หยางหัวเราะเบาๆ


“เขาจะไม่แพ้?”


นักปราชญ์โบราณ 2 คนที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้ออกจะงุนงงกับคำพูดนั้น


ในฐานะนักปราชญ์โบราณผู้คร่ำหวอดการสู้รบ พวกเขามองออกอย่างชัดเจนว่าจางหงเทียนกำลังตกเป็นเบี้ยล่าง แต่สำหรับนักปราชญ์โบราณคนหนึ่งที่เพิ่งฝ่าด่านวรยุทธได้ไม่นาน ปรมาจารย์หยางแน่ใจได้อย่างไรว่าจางหงเทียนจะชนะ?


ปรมาจารย์หยางรู้สึกได้ถึงความสงสัยของทั้งคู่ แต่ก็ไม่อธิบาย เขาหันไปมองชายหนุ่มที่อยู่กลางอากาศซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการซึมซับชุดฟาง


ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มคนนั้นได้มอบตราหยกอันหนึ่งให้จางหงเทียน ซึ่งในตราหยกก็เต็มไปด้วยข้อบกพร่องในวรยุทธของตาเฒ่าหยู ด้วยความรู้เหล่านั้น เป็นอันรับประกันชัยชนะของจางหงเทียนได้!


ตอนที่ 1781 ความตายของจางหงเทียน

เป็นอย่างที่ปรมาจารย์หยางคาดเดา เหตุผลที่จางหงเทียนกล้าท้าทายตาเฒ่าหยูและถึงกับยอมรับเงื่อนไขของอีกฝ่ายด้วย ก็เพราะเขารู้ข้อบกพร่องในกระบวนท่าต่างๆของตาเฒ่าหยูแล้ว


อาจดูเหมือนเขากำลังตกเป็นเบี้ยล่าง แต่อันที่จริง จางหงเทียนกำลังมองหาโอกาสที่จะโจมตีอย่างจังๆและสังหารตาเฒ่าหยูให้ได้ในคราวเดียว


กระแสดาบฉีอันไม่มีที่สิ้นสุดแปรสภาพเป็นฝูงมังกรที่เผ่นโผนโจนทะยานอยู่กลางอากาศ ทำให้ตาเฒ่าหยูต้องกวัดแกว่งภาพลวงตารูปกรงเล็บของเขา


“ตอนนี้แหละ!”


เมื่อเห็นว่ามีจุดอ่อนในกระบวนท่าของตาเฒ่าหยูอย่างที่จางเซวียนบอกไว้ จางหงเทียนรีบซ่อนดาบของเขาไว้ท่ามกลางหมู่มังกรผงาดเพื่อตรงเข้าเล่นงานจุดอ่อนของตาเฒ่าหยู


“เพลงดาบซ่อนกระแสน้ำ!”


มันเป็นเทคนิคที่ได้รับการคิดค้นขึ้นจากอัจฉริยะเพลงดาบของตระกูลจางที่สิ้นหวังเรื่องความรัก หลังจากภรรยาของเขาถูกศัตรูสังหาร เขาก็ใช้เวลาหลายปีขัดเกลากระบวนท่านี้ให้สมบูรณ์แบบเพื่อล้างแค้น เขารู้ว่าพละกำลังของเขาอยู่ที่การควบคุมและซ่อนตัวท่ามกลางกระแสน้ำ ทำให้ศัตรูจับตัวเขาได้ยาก เขาจึงรอคอยช่วงเวลานั้นอย่างอดทนเพื่อจะได้จ้วงแทงเข้าที่ลำคอของศัตรู


เทคนิคที่จางหงเทียนใช้ คือการซ่อนดาบของเขาไว้ท่ามกลางหมู่มังกรนั้นก็ถือเป็นทำนองเดียวกัน


“จัดการเลย!”


เป็นอย่างที่คาดไว้ ตาเฒ่าหยูมองไม่เห็นดาบ เขากวัดแกว่งภาพลวงตารูปกรงเล็บอย่างบ้าคลั่งเข้าใส่กระแสดาบฉี พยายามปัดป้องมันออกไป


วิ้งงง!


ท่ามกลางหนึ่งในหมู่มังกรผงาด ดาบเล่มยาวพุ่งออกมา จากนั้นก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆในสายตาของตาเฒ่าหยู


แต่เขากำลังเร่งความเร็วของตัวเองจนเต็มพิกัด แรงโน้มถ่วงนั้นทำให้เขาไม่อาจหลบเลี่ยงหรือปกป้องตัวเองได้


ฉึกกกก!


ดาบจ้วงแทงเข้าที่ลำคอของตาเฒ่าหยูอย่างจัง พละกำลังมหาศาลที่จางหงเทียนปล่อยออกมาทำลายจุดสำคัญในร่างของเขา


“คะ-คะ-คะ-คุณ คุณรู้ได้อย่างไรว่ามีช่วงเวลาเหลื่อมล้ำอยู่ 1 ใน 100 วินาทีในตอนท้ายของเทคนิคของผม?” ตาเฒ่าหยูนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความไม่อยากเชื่อ


เขาไม่อยากเชื่อจริงๆว่าจะต้องมาตายแบบนี้!


ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา ทั้งคู่รบราฆ่าฟันกันมาในหลายสนามรบ และต่างก็คุ้นเคยกับเทคนิคการต่อสู้ของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี เป็นความจริงที่ว่าจางหงเทียนแข็งแกร่งกว่าเขาเล็กน้อย แต่ถึงตาเฒ่าหยูจะเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ เขาก็ไม่เคยประสบปัญหาในการปกป้องตัวเอง


แต่ตอนนี้…


เทคนิคการต่อสู้ที่เขาเพิ่งสำแดงออกไปคือการปล่อยการโจมตีอย่างรวดเร็วโดยใช้ภาพลวงตารูปกรงเล็บ ในการกวัดแกว่งครั้งที่ 17 เพราะความบอบช้ำที่เขาได้รับเมื่อครู่ก่อน จึงเกิดช่วงเวลาที่เป็นช่องโหว่อยู่ 1 ส่วน 100 ของวินาที แต่เทคนิคนี้รวดเร็วมาก คนอื่นๆที่ฝึกฝนเทคนิควรยุทธเดียวกันหรือแม้แต่อำมาตย์เฉินหลิงก็ยังมองไม่เห็นช่องโหว่ที่ว่า


แล้วจางหงเทียนรู้จุดอ่อนของเขา และถึงกับจ้วงแทงเข้าทำลายการป้องกันตัวของเขาอย่างพอดิบพอดีได้อย่างไร?


“คุณแพ้แล้ว!” จางหงเทียนคำรามเลิกคิ้วอย่างวางมาด


บึ้มมม!


กระแสดาบฉีอันไร้ขอบเขตระเบิดภายในร่างของตาเฒ่าหยู ทำให้ร่างของเขาแหลกเป็นชิ้นๆ


ฟิ้วววว!


หนังสือเล่มหนึ่งพุ่งตรงเข้ากลืนกินเลือดเนื้อที่กระจัดกระจายของตาเฒ่าหยู จางหงเทียนเงยหน้ามอง และเห็นว่าจางเซวียนทำให้ชุดฟางยอมจำนนได้แล้วและกำลังมองลงมา เขาประสานมือ “ยินดีด้วย บรรพบุรุษเก่าแก่!”


“ก็เป็นเพราะคุณ ผมถึงสังหารเขาได้สำเร็จ!” จางหงเทียนหัวเราะลั่น


แต่ทันทีที่ความตึงเครียดหายไปจากร่าง เขาก็ทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง


เขาสังหารตาเฒ่าหยูได้สำเร็จ แต่ก็ใช้พละกำลังของตัวเองไปจนหมดเพื่อการนี้


“บรรพบุรุษเก่าแก่!”


จางเซวียนรีบพุ่งเข้ามาและถ่ายทอดพลังปราณเทียบฟ้าเข้าสู่ร่างของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับกระสอบใบหนึ่งที่เต็มไปด้วยรูรั่ว ร่างของจางหงเทียนไม่อาจเก็บรักษาพลังงานไว้ได้อีกต่อไป


“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”จางเซวียนตื่นตระหนก


เขารีบนำยาเม็ดเกรด 9 ออกมา 2-3 เม็ดแล้วป้อนใส่ปากของจางหงเทียน


น้อยครั้งเหลือเกินที่พลังปราณเทียบฟ้าจะทำให้เขาผิดหวัง และมีอยู่บ่อยครั้งที่เขาฉุดกระชากชีวิตของหลายคนกลับจากประตูแห่งความตายได้สำเร็จ นี่เป็นครั้งแรกที่มันกำลังบอกเขาว่าทุกอย่างที่ทำไปไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง


จางหงเทียนคือนักปราชญ์โบราณคนสุดท้ายของตระกูลจาง และจางเซวียนก็ชื่นชอบทั้งบุคลิกและนิสัยของอีกฝ่าย เขาไม่อาจปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับจางหงเทียนได้!


“ขอผมดูหน่อย” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตรงเข้ามาพยุงจางหงเทียน เขาทาบนิ้วลงบนชีพจรของอีกฝ่าย จากนั้นก็ลดสายตาลงครุ่นคิดก่อนจะส่ายหน้า “ผมเกรงว่าเขามาถึงจุดสิ้นสุดของอายุขัยแล้ว คุณช่วยอะไรเขาไม่ได้แล้วล่ะ”


“จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร? เขาอายุน้อยที่สุดในหมู่พวกคุณนะ จะสิ้นอายุขัยเป็นคนแรกได้อย่างไรกัน?” จางเซวียนไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน


เป็นที่รู้กันว่าจางหงเทียนคือผู้เชี่ยวชาญที่ปราดเปรื่องที่สุดในยุคสมัยของเขา ได้เป็นนักปราชญ์โบราณตั้งแต่อายุ 500 ปีต้นๆ และถึงแม้ระยะเวลาจะผ่านมาเป็นหมื่นปีแล้ว เขาก็ยังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจำศีล ในแง่ของอายุขัย เขาน่าจะมีอายุยืนยาวกว่านักปราชญ์โบราณคนอื่นๆ!


แล้วจะมาสิ้นอายุขัยก่อนคนอื่นได้อย่างไร?


“เขาใช้หยดเลือดของเขาไปกับการต่อสู้กับอำมาตย์เฉินหย่งเมื่อครู่นี้จนเกือบหมด และเพื่อให้แน่ใจว่าตาเฒ่าหยูจะตายสนิท เขาจึงปลดปล่อยพลังจนเกินขนาด ตอนนี้เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว คุณช่วยชีวิตเขาไม่ได้แล้วล่ะ”


เหล่านักปราชญ์โบราณที่รวมตัวกันต่างรู้ดีว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นานนัก แต่นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงก็ยังอดถอนหายใจอย่างสิ้นหวังไม่ได้เมื่อเห็นเพื่อนร่วมยุคสมัยอีกคนหนึ่งกำลังจะพบจุดจบ


นักปราชญ์โบราณนั้นสามารถต่อแขนขาที่ขาดไปและฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้ด้วยเลือดเพียงหยดเดียว แต่พวกเขาก็ไม่อาจฝ่าฝืนโชคชะตาและใช้ชีวิตที่เกินขีดจำกัดอายุขัยของตัวเอง


ไม่ว่านักรบคนหนึ่งจะทรงพลังสักแค่ไหน เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาถึงจุดสิ้นสุดของอายุขัย ก็จะต้องแหลกสลายกลายเป็นธุลี ต่อให้จะมีชีวิตสูงส่งหรือถ่อมตัวอย่างไร สิ่งนี้ก็เป็นชะตากรรมสุดท้ายที่รอคอยทุกชีวิตอยู่


แม้จางหงเทียนจะอายุน้อยกว่านักปราชญ์โบราณคนอื่นๆที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ แต่เขาก็เข้าร่วมการสู้รบทุกครั้ง ทำให้เกิดความบอบช้ำอย่างหนักในร่างกาย อันที่จริง หากไม่ใช่เพราะได้รับการถ่ายทอดสายเลือดเมื่อ 20 ปีก่อน เขาคงตายไปนานแล้ว


ในแง่หนึ่ง ก็ถือเป็นปาฏิหาริย์ที่เขามีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนี้ แถมยังได้เข้าร่วมสงครามครั้งใหญ่ถึงสองครั้ง


จางเซวียนหันไปมองหยางชวนและอุทานอย่างร้อนใจ “ปรมาจารย์หยาง คุณถ่ายทอดสายเลือดได้ไม่ใช่หรือ? มอบสายเลือดของผมให้บรรพบุรุษเก่าแก่สิ บางทีมันอาจช่วยชีวิตเขาได้…”


หยางชวนมองจางเซวียนที่กำลังปั่นป่วน ก่อนจะส่ายหน้าอย่างจนปัญญาและยิ้มเจื่อนๆ “ศิษย์พี่ คุณถ่ายทอดสายเลือดของคุณให้เขาไปครั้งหนึ่งแล้ว เลือดของคุณไม่มีอานุภาพใดๆต่อเขาอีกแล้วล่ะ…”


“แต่…” จางเซวียนอยากจะทักท้วง แต่ก็ถูกปรมาจารย์หยางขัดไว้


“เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่คือวัฏจักรตามธรรมชาติของชีวิต ต่อให้นักปราชญ์โบราณก็ฝ่าฝืนวัฏจักรนี้ไม่ได้ ในกาลก่อน ตระกูลจางมีชื่อเสียงจากการที่มีนักปราชญ์โบราณผู้ยิ่งใหญ่ถึง 9 คน ไม่มีใครที่จะไม่ยำเกรง แต่เมื่อเวลาผ่านไป นักปราชญ์โบราณแต่ละคนก็กลายสภาพเป็นแค่ป้ายชื่อที่อยู่บนแท่น เหลือไว้เพียงตำนานของอดีตให้ผู้คนได้หวนระลึกถึง!”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนเงียบกริบ


“ไม่ต้องเสียอกเสียใจกับผมหรอก” จางหงเทียนมองทายาทของเขาพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนแรง “เหตุผลที่ผมยื้อชีวิตไว้นานก็เพราะผมเป็นนักปราชญ์โบราณเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในตระกูลจาง ถ้าผมตาย ทั้งตระกูลก็จะต้องเสื่อมถอย…ผมดีใจจริงๆนะที่คุณปรากฏตัวขึ้นและมีความสามารถขนาดนี้ คุณเก่งกาจทัดเทียมกับผมเลยทีเดียว ผมหมดห่วงแล้ว”


“แต่…” จางเซวียนนัยน์ตาแดงก่ำ


“การเกิดและตายเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรตามธรรมชาติของโลก นับจากวินาทีที่นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณหายสาบสูญไปจากโลกใบนี้และผมตัดสินใจเข้าสู่การจำศีล จางหงเทียนก็ได้ตายไปแล้ว เหตุผลเดียวที่ผมยังยื้อชีวิตเอาไว้ก็เพื่อปกป้องตระกูลจางและมวลมนุษยชาติให้อยู่รอด” จางหงเทียนพูด


“การปรากฏตัวของคุณช่วยแบกรับภาระและความรับผิดชอบที่ผมเคยแบกไว้มานาน ในที่สุดผมก็จะได้พักผ่อนโดยปราศจากความกังวลเสียที นี่ไม่ใช่โอกาสที่ควรเศร้าโศกเสียใจนะ แต่ควรจะมีความสุข สิ่งสำคัญที่ผมยังมีอยู่ก็คือคุณ ตอนนี้คุณอาจเป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติก็จริง แต่คุณก็จะต้องแบกรับภาระของทั้งตระกูลจางไว้ และบางทีอาจรวมถึงมวลมนุษยชาติด้วย เส้นทางที่อยู่เบื้องหน้าคุณนั้นมีความยากลำบากมากมายกว่าเส้นทางของผมหลายเท่านัก”


ขณะที่จางหงเทียนพูด เขาก็มองไปรอบๆพร้อมกับหัวเราะเสียงแผ่วอย่างอ่อนแรง


“เอาล่ะ สหาย บางทีเราอาจได้พบเจอกันชาติหน้าและได้สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันในฐานะพี่น้อง ตอนนี้ผมเหนื่อยแล้ว ขอตัวก่อนนะ…”


จากนั้น จางหงเทียนก็หลับตาลงเป็นครั้งสุดท้าย


ตอนที่ 1782 จางเซวียนโคม่า

“จางหงเทียน…”


เห็นศพที่อยู่ตรงหน้า ทุกคนต่างเงียบกริบ ความตึงเครียดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง


โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มที่มาจากสภาปรมาจารย์ พวกเขาพากันนิ่งอึ้งและเงียบงัน


ทุกคนได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาเกือบหมื่นปีแล้ว และรู้ดีตั้งแต่แรกว่าการจากลาจะต้องมาถึงสักวัน แต่เมื่อถึงเวลานั้นเข้าจริง ก็อดรู้สึกโหวงๆในใจไม่ได้


“แม้แต่นักปราชญ์โบราณผู้ทรงพลังก็หนีไม่พ้นกฎเกณฑ์ของกาลเวลา!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงส่ายหน้าและถอนหายใจ


“นักปราชญ์โบราณคือผู้ที่เหนือกว่าแม้แต่สวรรค์ไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมถึงยังอยู่ใต้กฎเกณฑ์ของโลก?” จางเซวียนตั้งคำถาม


ในฐานะบุคคลที่ได้ชื่อว่าเอาชนะได้แม้แต่สวรรค์ เขารู้สึกไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนเหล่านี้จึงยังตกอยู่ใต้กฎเกณฑ์ของโลก ไม่อาจควบคุมได้แม้แต่ชีวิตและความตายของตัวเอง


“นักปราชญ์โบราณอยู่เหนือสวรรค์ก็จริง แต่ก็เฉพาะในกฎเกณฑ์ส่วนที่พวกเขาทำความเข้าใจได้สำเร็จเท่านั้น” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงอธิบาย “น้องหงเทียนสำเร็จความเข้าใจในกฎเกณฑ์ของศิลปะเพลงดาบ ความเชี่ยวชาญของเขาเหนือกว่าแม้แต่สวรรค์ แต่ในด้านอื่นๆอย่างเช่นอายุขัย เขาก็ไม่อาจก้าวข้ามขีดจำกัดของโลกไปได้”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่ง “ศิลปะเพลงดาบ? คุณกำลังบอกว่า…ตราบใดที่ใครสักคน เอาชนะสวรรค์ในด้านใดด้านหนึ่งได้ เขาก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นนักปราชญ์โบราณใช่ไหม?”


เขาเคยรับรู้มาบ้างในเรื่องเงื่อนไขของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ โดยฟังจากท่านพ่อ คือเซียนดาบชิง แต่เซียนดาบชิงก็เป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นชั่วกัลปาวสานเท่านั้น และทุกอย่างที่เขารู้ก็มาจากเรื่องราวที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น มีโอกาสสูงที่สิ่งที่เซียนดาบชิงรับรู้จะมีจำกัดเมื่อเทียบกับความรู้ของผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์


“ใช่ มีแต่ผู้ที่ทำความเข้าใจในกฎเกณฑ์จนเหนือกว่าสวรรค์ได้เท่านั้นถึงจะก้าวไปสู่การเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบ


“กาลเวลาเป็นสาขาวิชาที่ตระกูลจางเชี่ยวชาญไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมบรรพบุรุษเก่าแก่ถึงไม่ใช้ความเข้าใจเรื่องกาลเวลาของเขาผลักดันให้เกิดการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณล่ะ?” จางเซวียนตั้งคำถามอีก


สายเลือดของตระกูลจางประกอบด้วยแก่นสารของกาลเวลา


ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ถ้าจางหงเทียนฝ่าด่านวรยุทธโดยใช้แก่นสารของกาลเวลา เขาก็น่าจะยืดอายุขัยและก้าวข้ามขีดจำกัดของกาลเวลาได้ไม่ใช่หรือ?


“กฎเกณฑ์ของเวลาในแต่ละมิตินั้นเชื่อมโยงกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่เพียงแต่ทวีปแห่งปรมาจารย์กับสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโลกที่สูงส่งกว่าอย่างเช่นโลกที่เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณพำนักอยู่ หากผู้ที่สำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของกาลเวลาไม่ได้เข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์ของกาลเวลาของทวีปแห่งปรมาจารย์อย่างแท้จริง การจะอยู่เหนือสวรรค์ในสาขาวิชานี้ก็แทบเป็นไปไม่ได้ ในครั้งนั้น แม้แต่ปรมาจารย์ขงเองก็ยังล้มเหลว นับประสาอะไรกับนักรบรุ่นหลัง!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


เวลาคือหนึ่งในกฎเกณฑ์พื้นฐานที่สุดของจักรวาล ต่อให้โลกจะพังทลาย ทั้ง 5 ธาตุเสื่อมสลาย และมิติหายสาบสูญไป เวลาก็ยังคงดำเนินอยู่


แล้วใครคนหนึ่งจะฝึกฝนกฎเกณฑ์อันทรงพลังนี้ให้เชี่ยวชาญและควบคุมมันโดยง่ายได้อย่างไร?


ถ้าปรมาจารย์ขงทำความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์ของกาลเวลาได้จริงๆ เขาก็คงไม่ต้องหายตัวไปจากหน้าบันทึกประวัติศาสตร์


“คุณพูดถูก…” จางเซวียนพยักหน้า


เขาสามารถใช้ประโยชน์จากพละกำลังของสายเลือดเพื่อผลักดันกระแสกาลเวลาและเร่งการเคลื่อนไหวของตัวเองได้ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก่นสารของกาลเวลา


“แก่นสารของกาลเวลาเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ยาก แต่หากผมทำความเข้าใจได้สำเร็จ บางทีก็อาจทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยชีวิตบรรพบุรุษเก่าแก่หงเทียนได้!” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


ทันใดนั้น หัวสมองของเขาก็กระตุก ราวกับเกิดแผ่นดินไหว หอสมุดเทียบฟ้าที่อยู่ในสมองของจางเซวียนสั่นสะท้านอย่างรุนแรง


“แย่แล้ว…” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความพรั่นพรึง


ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไร ทุกอย่างก็มืดมิด


เขาร่วงลงไปกองกับพื้น


“ศิษย์พี่!” ปรมาจารย์หยางพรวดพราดเข้ามา


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงก็รีบเข้ามาตรวจสอบสภาวะร่างกายของจางเซวียนก่อนจะขมวดคิ้วอย่างงุนงง “ดูเหมือนจะมีความผิดปกติบางอย่างในจิตวิญญาณของเขานะ”


ในฐานะนักรบระดับนักปราชญ์โบราณ ในเมื่อจางเซวียนไม่ได้ถูกทำร้ายหรือโจมตี แล้วจู่ๆอาการบาดเจ็บจะปรากฏในจิตวิญญาณของเขาได้อย่างไร มันเกิดอะไรขึ้น?


“ผมเชี่ยวชาญเรื่องจิตวิญญาณ ขอผมดูหน่อย!” นักปราชญ์โบราณของตระกูลเจียงก้าวเข้ามา


เขารีบถ่ายทอดพลังจิตวิญญาณให้จางเซวียน แต่ยังไม่ทันที่พลังจะได้เข้าสู่ร่างของอีกฝ่าย ตัวเขาก็สั่นสะท้าน เขาถอยกรูดไปหลายก้าว ใบหน้าซีดเผือด


“เกิดอะไรขึ้น?”


ทุกคนต่างงงงันเมื่อเห็นสภาพของนักปราชญ์โบราณจากตระกูลเจียง


“มีพลังแปลกประหลาดบางอย่างปกป้องจิตวิญญาณของเขาอยู่ ผมไม่อาจแทรกซึมเข้าไปในร่างของเขาได้ลึกกว่านี้” นักปราชญ์โบราณของตระกูลเจียงพูด


“พลังแปลกประหลาดบางอย่างปกป้องจิตวิญญาณของเขาอยู่? พลังงานแบบไหนกันที่ถึงกับผลักคุณให้กระเด็นออกมาได้?” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ


ในฐานะนักปราชญ์โบราณที่เชี่ยวชาญด้านจิตวิญญาณ เป็นไปไม่ได้เลยที่นักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธระดับเดียวกันจะขัดขวางการแทรกซึมของเขาได้ และในเมื่อจางเซวียนก็สลบไสลไม่ได้สติ ก็ไม่มีทางที่เขาจะสามารถปัดป้องการตรวจสอบของนักปราชญ์โบราณจากตระกูลเจียง หรือแม้แต่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ


“มันน่าจะ…”


นักปราชญ์โบราณจากตระกูลเจียงตัวแข็งทื่อขณะพูดต่อ “มันน่าจะเป็นอำนาจของสวรรค์!”


“เขาได้รับการปกป้องจากสวรรค์?”


ได้ยินคำนั้น ทุกคนนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความอัศจรรย์ใจขณะจับจ้องจางเซวียนอีกครั้ง


ไม่น่าเชื่อว่านักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งจะได้รับการปกป้องจากสวรรค์จริงๆ


นี่มันเกิดอะไรขึ้น?


“ปรมาจารย์หยาง ผมขอมอบหมายให้คุณคุ้มกันเขานะ หากเกิดอะไรขึ้น แจ้งผมทันที ระหว่างนี้ผมจะนำคนอื่นๆไปตรึงกำลังรอบพื้นที่นี้ก่อน เมื่อปราศจากมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงและฉนวนของปรมาจารย์ขงที่จะคอยดูแลรักษาสถานที่นี้ วิหารแห่งขงจื๊อทั้งหมดก็เข้าสู่ความว่างเปล่าของมิติและเวลา ถ้าเราไม่รีบดึงมันกลับมา พวกเราทุกคนจะต้องหายสาบสูญ!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพูดอย่างหวั่นใจ


หมู่ดาวหายวับไปจากท้องฟ้าแล้ว บ่งบอกชัดว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์อีกต่อไป


“ได้” ปรมาจารย์หยางพยักหน้า


“เอาล่ะ ไปจัดการกันเถอะ” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงพูดขณะรีบนำทางเหล่านักปราชญ์โบราณที่เหลือไป


แม้การปรากฏขึ้นของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงและการสู้รบครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นตามมาจะสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับวิหารแห่งขงจื๊อ แต่มันก็ยังคงเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ ในฐานะทายาทของศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขง พวกเขาไม่อาจปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นได้


เมื่อเหล่านักปราชญ์โบราณจากไป ปรมาจารย์หยางลดสายตาลงจับจ้องจางเซวียนที่ยังคงไม่ได้สติและขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง “ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้นกับคุณกันนี่?”


…..


จางเซวียนไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นเขาอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น ราวกับสติสัมปชัญญะถูกถอดถอนออกไปจากร่าง จางเซวียนรู้สึกได้อย่างเลือนรางถึงร่างอันคุ้นตาร่างหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากเขา เธอกำลังจ้องมองมาด้วยแววตาที่บ่งบอกความกังวล


“ลั่วชิง…” จางเซวียนพึมพำอย่างอ่อนระโหยโรยแรง


“ไม่ต้องห่วง ฉันสบายดี” สาวน้อยพูด “คุณต้องรักษาเนื้อรักษาตัวนะ อย่าลืมเก็บของขวัญที่ฉันมอบให้คุณติดตัวไว้ตลอดเวลาด้วย คุณจะแยกจากมันไม่ได้แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว”


“คุณหมายถึง…จี้อันนั้น? ผมเก็บมันไว้กับตัวเลยล่ะ…” จางเซวียนตอบเสียงแผ่ว เขาพยายามกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน แต่ทั้งร่างก็หนักอึ้งราวกับถูกใครนำตะกั่วมาถ่วงไว้


ก่อนจะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ หลัวลั่วชิงได้มอบจี้ให้เขาอันหนึ่ง โดยบอกว่ามันคือสิ่งที่ท่านพ่อของเธอมอบให้ และจะช่วยชีวิตของเขาได้ในยามคับขัน


แม้เขาจะไม่เข้าใจการกระทำของเธอ แต่ก็เก็บมันไว้ติดตัวตลอดเวลา


“ดีแล้วล่ะ…จางเซวียน ตอนนี้ฉันต้องขอตัวก่อน ของล้ำค่าในหอสมุดน่ะคือของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ฉันมอบให้คุณ ใช้มันให้ดีนะ…แล้วฉันจะรอคุณ…”


จากนั้น เสียงและร่างของหลัวลั่วชิงก็ค่อยๆเลือนไป ราวกับเธอพร้อมจะหายตัวไปได้ทุกขณะ


“หอสมุด…? คุณ…คุณรู้เรื่องหอสมุดด้วยหรือ?” จางเซวียนตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


หอสมุดเทียบฟ้าเป็นความลับสุดยอดของเขามาตลอด ซึ่งเขาไม่เคยบอกใคร ที่ผ่านมาก็นึกว่าหลัวลั่วชิงไม่รู้เรื่องนี้ ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงแล้วเธอรู้เรื่องของมันเป็นอย่างดี?


“ลาก่อน จางเซวียน!”


หลัวลั่วชิงยิ้มเศร้าๆ นัยน์ตาของเธอฉายแววโหยหา แล้วร่างของเธอก็พร่าเลือนไป


…..


“ไม่นะ…อย่าเพิ่งไป!”


จางเซวียนตะโกนและทะลึ่งตัวขึ้น ในตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้ว่าทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน


“ท่านอาจารย์ คุณรู้สึกตัวแล้ว!”


เมื่อหันไปมอง ก็เห็นจ้าวหย่า เจิ้งหยางและคนอื่นๆยืนอยู่ไม่ห่างออกไปนัก ทุกคนมีสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย


ท่านพ่อกับท่านแม่ของเขา, เซียนดาบชิงเหมิงก็อยู่ในห้องนั้นด้วย


จางเซวียนเหลียวมองโดยรอบและถามว่า “เรา…อยู่นอกวิหารแห่งขงจื๊อแล้วหรือ?”


ตอนที่ 1783 ฉากสุดท้ายที่สภาปรมาจารย์

จ้าวหย่า เว่ยหรูเหยียน และหลัวฉีฉีเข้าสู่หอลำดับแรกพร้อมกับเขา แต่เพราะคนเหล่านั้นไม่ผ่านบททดสอบ จึงถูกส่งทะลุมิติออกไป แม้จางเซวียนจะไม่รู้ว่าพวกเธอถูกส่งทะลุมิติออกไปที่ไหน แต่ก็มั่นใจว่าไม่น่าจะเจออันตราย จึงไม่ได้กังวลมากนัก


ส่วนเจิ้งหยาง เขาไม่ได้พบชายหนุ่มตั้งแต่เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ แต่ตามที่จ้าวหย่าบอกไว้ ดูเหมือนเจิ้งหยางจะได้พบกับความโชคดีบางอย่าง


ด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นตาและการที่ทุกคนมารวมตัวกันหมด ก็บ่งบอกชัดเจนว่าพวกเขาได้ออกจากวิหารแห่งขงจื๊อมายังสถานที่อีกแห่งแล้ว


หวังหยิ่งก้าวออกมาและอธิบายด้วยสีหน้ากังวลใจ “ใช่ พวกเรากลับมาที่สภาปรมาจารย์พร้อมกับปรมาจารย์คนอื่นๆ ท่านอาจารย์…คุณสลบไปถึง 3 วันนะ”


“3 วัน?” จางเซวียนผงะ


เขาพลันนึกถึงบทสนทนาอันรางเลือนระหว่างตัวเขากับหลัวลั่วชิง จึงรีบส่งจิตใต้สำนึกเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า แล้วก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าประตูบานมหึมาปิดอยู่ จางเซวียนพยายามผลักประตู แต่ประตูก็ไม่ขยับเขยื้อน


เป็นไปได้ว่ามันน่าจะอยู่ระหว่างการยกระดับตัวเอง…จางเซวียนครุ่นคิด


คราวที่แล้วเขาก็สลบไปเมื่อหอสมุดเทียบฟ้าเข้าสู่กระบวนการยกระดับ จางเซวียนจึงไม่กังวลใจมากนัก


เมื่อครั้งก่อน การยกระดับสิ้นสุดลงก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวตื่น จึงสามารถเข้าถึงมันได้ทันทีที่ต้องการ แต่คราวนี้ ดูเหมือนเขาถูกปลุกให้ฟื้นจากการหลับไหลก่อนเวลาอันควร จึงไม่อาจเข้าถึงหอสมุดเทียบฟ้าได้จนกว่าการยกระดับจะเสร็จสิ้น


รู้ดีว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ จางเซวียนจึงตัดสินใจว่าตอนนี้จะยังไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เขาหันมามองกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า


“ไม่เลวนะ ดูเหมือนพวกคุณจะพัฒนาขึ้นระหว่างการเดินทางสู่วิหารแห่งขงจื๊อ” จางเซวียนชมเชย


ลูกศิษย์ทุกคนของจางเซวียนสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกแล้ว พลังงานมหาศาลพลุ่งพล่านทั่วร่างของพวกเขา และดูเหมือนทุกคนพร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธได้ทุกขณะ


ลงท้าย ตัวเขาก็ล้าหลังและมีวรยุทธอ่อนด้อยที่สุดในกลุ่ม


แค่คิดก็ท้อใจแล้ว


จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปมองท่านพ่อกับท่านแม่ ไม่ช้านัยน์ตาของเขาก็เบิกโพลง


เขาเก็บผลโพธิ์ไว้ 2 ผล ตั้งใจจะให้เซียนดาบชิงเหมิงได้กินเพื่อผลักดันการยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะได้พบกับความโชคดีบางอย่างอีกครั้ง ทำให้ยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้สำเร็จ


เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ดูเหมือนทั้งคู่จะอยู่ไม่ไกลจากวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ


“ผมมีศิลปะเพลงดาบที่ท่านพ่อท่านแม่ควรฝึกฝน ผมเชื่อว่ามันน่าจะช่วยให้ท่านพ่อท่านแม่ก้าวข้ามด่านคอขวดได้” จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระดิกนิ้วเบาๆ


ฟิ้วววว!


หนังสือเทคนิควรยุทธถูกถ่ายทอดเข้าสู่หัวสมองของเซียนดาบชิงเหมิง


เมื่อตอนอยู่ที่ภูเขาหนังสือ จางเซวียนได้อ่านหนังสือมากมายนับไม่ถ้วน ทำให้เขามีความรู้มากพอที่จะแก้ไขปรับปรุงศิลปะเพลงดาบที่เซียนดาบชิงเหมิงฝึกฝนร่วมกันได้ แม้จะยังห่างไกลกับการเหนือชั้นกว่าสวรรค์ แต่ก็แน่นอนว่าสิ่งนี้จะทำให้เซียนดาบชิงเหมิงมีความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบในระดับที่เข้าใกล้การฝ่าด่านวรยุทธมากขึ้นอีก


ขอแค่พวกเขาหมั่นเพียรฝึกฝน ก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะมาถึงวันที่ทั้งคู่ก้าวข้ามขีดจำกัดได้และกลายเป็นนักปราชญ์โบราณเต็มตัว มีพละกำลังมากพอจะควบคุมทั้งโลก


“เจิ้งหยางกับหวังหยิ่ง ผมจะมอบผลโพธิ์สองผลนี้ให้พวกคุณพร้อมกับเทคนิควรยุทธการบ่มเพาะหัวใจ ตั้งใจฝึกฝนนะ” จางเซวียนหันไปมองลูกศิษย์ของเขาและมอบผลโพธิ์สองผลสุดท้ายให้


ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของจางเซวียนสูงกว่าเงื่อนไขของการฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณแล้ว ผลโพธิ์จึงไม่มีประโยชน์กับเขาอีกต่อไป แทนที่จะหวงไว้ ก็ควรมอบให้ลูกศิษย์ได้ใช้ประโยชน์จะดีกว่า


“รากไม้อันนี้คือหัวใจอันหนึ่งในบรรดาหัวใจของ 6 มิติรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อ มันมีอานุภาพน่าทึ่งในการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณ หวังหยิ่ง, ผมอยากให้คุณพยายามจัดการให้มันยอมจำนน มันจะมีประโยชน์มากในการพัฒนาศักยภาพของคุณในฐานะผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณ”


“เจิ้งหยาง ผมได้หอกเล่มนี้มาจากผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ถึงมันจะมีอานุภาพด้อยกว่าหอกสวรรค์กระดูกมังกรของผม แต่ก็ยังเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสูงสุด มันจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ของคุณขึ้นอีกมาก…”


เพราะจางเซวียนสามารถทำให้หัวใจของทั้ง 6 มิติรอบนอกยอมจำนน นักรบคนอื่นจึงไม่มีสิทธิ์ครอบครองของล้ำค่าเหล่านั้น ทันทีที่เขาออกจากหอลำดับแรก หัวใจทุกอันก็เข้าไปอยู่ในแหวนเก็บสมบัติของเขา


“ลู่ชง ผมไม่อยากให้คุณคิดว่าผมลำเอียงนะ เพราะจิตวิญญาณอันทรงพลังของคุณ คุณสามารถยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้รวดเร็วอยู่แล้ว ผลโพธิ์จึงไม่มีประโยชน์กับคุณมากนัก ผมจะมอบฉนวนแห่งจิตวิญญาณอันนี้ให้คุณแทน มันสามารถกลืนกินจิตวิญญาณของผู้อื่นและแปรสภาพมันให้กลายเป็นพลังจิตวิญญาณเข้มข้นเพื่อบ่มเพาะร่างกายของคุณได้ และผมไว้ใจว่าคุณจะไม่ใช้อานุภาพของมันไปในทางชั่วร้าย หยวนเทาเป็นคนแรกที่เข้าสู่การทดสอบนักปราชญ์โบราณก็จริง แต่ผมก็เชื่อว่าคุณยังคงมีโอกาสมากที่สุดที่จะฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณได้คนแรก!”


จางเซวียนมอบฉนวนแห่งจิตวิญญาณซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของผู้นำสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณให้ลู่ชง


หากใช้มันให้ดี ฉนวนแห่งจิตวิญญาณจะทำให้ลู่ชงมีพลังจิตวิญญาณอันเข้มข้นและไร้ขอบเขต ซึ่งสำหรับเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ไม่มีทรัพย์สมบัติใดที่จะล้ำค่ากว่านี้


ส่วนคริสตัลเยือกแข็ง ถึงมันจะไม่มีพลังงานเย็นเยือกแล้ว แต่ก็ยังเข้ากันได้ดีกับสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์ของจ้าวหย่า จางเซวียนจึงมอบมันให้เธอ


ปลาคาร์พตกเป็นของเว่ยหรูเหยียน และอสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 ตกเป็นของหยวนเทา


…..


หลังจากแบ่งสรรปันส่วนของล้ำค่าที่เขาได้มาจากวิหารแห่งขงจื๊อ จางเซวียนก็เข้าสู่ภาพวาดผืนผ้าใบสี่ฤดู และไม่ช้าก็กลับออกมาด้วยสีหน้าที่ซีดเผือดไปเล็กน้อย


“ผมเพิ่งแบ่งนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณบางส่วนเข้าสู่ภาพวาดแต่ละภาพโดยใช้ศาสตร์แห่งมิติของผม พวกคุณรับมันไปคนละภาพนะ” จางเซวียนพูดขณะแจกจ่ายภาพวาดให้ฝูงชน


ปรมาจารย์ขงได้แบ่งเศษเสี้ยวหนึ่งของโลกมาเก็บไว้ในภาพวาด ทำให้มันอยู่ยืนนานได้หลายหมื่นปีโดยปราศจากการสึกหรอ หลังจากได้อ่านหนังสือมากมายนับไม่ถ้วนที่เกี่ยวกับภาพวาดเมื่อตอนอยู่ที่ภูเขาหนังสือ ความเข้าใจในศิลปะการวาดภาพของจางเซวียนก็เข้าถึงระดับเดียวกันกับปรมาจารย์ขง สำหรับความเชี่ยวชาญของเขาในตอนนี้ การแบ่งมิติที่อยู่ภายในผืนผ้าใบสี่ฤดูและแจกจ่ายมันออกไปไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้ว


ด้วยภาพวาดพวกนี้ ถึงเขาจะไม่ได้อยู่ข้างคนเหล่านั้น แต่ท่านพ่อท่านแม่และบรรดาลูกศิษย์ของเขาก็จะยังสามารถฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้


“เซวียนเอ๋อ เกิดอะไรขึ้น? แม่ไม่รู้ว่าแม่คิดมากไปหรือเปล่า แต่ดูเหมือนลูกจะมีความหนักใจบางอย่างอยู่นะ”


เห็นลูกชายของเธอแจกจ่ายทรัพย์สมบัติล้ำค่าโดยไม่ลังเลและไม่เสียดาย ทั้งที่ได้แต่ละอย่างมาด้วยความยากลำบาก เซียนดาบเหมิงอดกังวลไม่ได้


เธออาจจะคิดไปเอง แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม


เป็นความจริงที่ว่าตระกูลจางสูญเสียนักปราชญ์โบราณคนสุดท้ายไปแล้ว แต่ปรมาจารย์หยางก็ให้คำมั่นสัญญาว่าใครก็ตามที่บังอาจสร้างปัญหาให้ตระกูลจางจะต้องเผชิญหน้ากับเขา


อีกอย่าง อาวุธของลูกชายของเธอก็ฝ่าด่านวรยุทธไปถึงขั้นนักปราชญ์โบราณแล้ว หยวนเทาก็มีพละกำลังเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณมือใหม่


ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ พูดได้เลยว่าตระกูลจางแข็งแกร่งกว่าที่เคย


แน่นอนว่าการสูญเสียจางหงเทียนซึ่งเป็นนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของตระกูลจาง แต่ปรมาจารย์หยางและกระบี่เปลวเพลิงสีดำก็เป็นนักปราชญ์โบราณที่ไม่ได้เข้าสู่การจำศีลและทำทุกอย่างได้อย่างอิสระ จึงเป็นธรรมดาที่ทั้งคู่จะมีอำนาจและแข็งแกร่งกว่าจางหงเทียนมากแม้จะมีระดับวรยุทธต่ำกว่า


แน่นอนว่าตระกูลจางคือผู้ชนะและได้ประโยชน์สูงสุดในการเดินทางเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อครั้งนี้ อนาคตอันรุ่งเรืองของพวกเขานั้นเป็นอันรับประกันได้ แต่เธอกลับรู้สึกว่าลูกชายรีบร้อนที่จะแจกจ่ายทรัพย์สมบัติ ราวกับเวลาของเขาเหลือน้อยเต็มที…


“ไม่มีอะไรหรอก” จางเซวียนตอบยิ้มๆ เขาลุกขึ้นและยืดหลังบิดขี้เกียจก่อนจะถามว่า “สามวันที่ผ่านมานี่ มีคนจากสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่มาบ้างไหม?”


“รองประธานเหรินจากสภาปรมาจารย์บอกไว้ว่าให้ลูกไปพบเขาหลังจากที่ฟื้น” เซียนดาบชิงพูด


“ผมเข้าใจแล้วล่ะ…ตอนนี้ผมจะปล่อยให้ทุกคนฝึกฝนวรยุทธนะ ตั้งใจฝึกและพยายามฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ระหว่างนี้ผมจะไปที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่” จางเซวียนพูดก่อนจะโบกมืออย่างไม่รู้สึกอะไรและเดินออกจากห้อง


“ท่านอาจารย์ พวกเราจะไปด้วย” จ้าวหย่าพูด


ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เธอเองก็ไม่สบายใจ มีลางสังหรณ์ว่าเรื่องเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น


“ไม่ต้องตามผมไป ไม่ว่าใครทั้งนั้น!” จางเซวียนสั่งการเฉียบขาด “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมอยากให้พวกคุณทำตามคำสั่งของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ ห้ามก่อเรื่องยุ่งยากโดยเด็ดขาด!”


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ทุกคนมองหน้ากันอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างคนได้แต่สบตากัน ขณะที่ร่างของจางเซวียนหายลับไปสู่ทางเดินแห่งมิติ


ตอนที่หลัวลั่วชิงฉกฉวยเอามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงไปและเปิดเผยตัวเองว่าเป็นเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ พวกเขาออกจากหอลำดับแรกมาแล้ว ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้แต่เป็นห่วงจางเซวียน เพราะแทบไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น


ขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดด้วยความสงสัย เสียงหนึ่งก็ดังกึกก้องขึ้นกลางอากาศ มันดังไปทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์


“หัวหน้าตระกูลจาง, จางเซวียน มีความผิดฐานที่เป็นผู้ชักนำเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นให้เข้าสู่หอลำดับแรกเพื่อฉกฉวยเอามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงไป แม้จะเป็นการกระทำโดยไม่จงใจ แต่พฤติกรรมนั้นก็ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ตกอยู่ในสถานการณ์หมิ่นเหม่ เพราะความรู้สึกผิดครั้งนี้ เขาเลือกที่จะจบชีวิตของตัวเองที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ ขอให้เหล่าปรมาจารย์และมวลมนุษย์ถือเอาสิ่งนี้เป็นบทเรียนว่าอย่าได้หูหนวกตาบอดไปกับความหลงระเริงใดๆ ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจผลักดันเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราให้ต้องเดือดร้อน…”


“ท่านอาจารย์!”


“เซวียนเอ๋อ!”


ในตอนนั้นเองที่ทุกคนพลันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาไม่อาจทำใจให้เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ต่างคนต่างพุ่งออกจากห้อง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)