คัมภีร์วิถีเซียน 1775-1778
ตอนที่ 1775 ไห่ต้าเซ่ากับชี่หลิงจื่อ
หนึ่งวันต่อมา สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมาจากเทือกเขาของตระกูลสวี่ หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็ปรากฏเงาร่างของหานลี่บนที่สูง
เขาหันกลับไปมองเทือกเขาด้านล่างอย่างราบเรียบ แล้วกลายเป็นลำแสงหลีกหนีพุ่งออกไปอีกครั้ง
หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง ลำแสงหลีกหนีก็สลายหายไปที่ขอบฟ้า
สองสามวันต่อมาหานลี่ที่อยู่ในเขตแดนเทียนหยวน ก็เริ่มผจญภัยระยะยาวไปตามย่านร้านค้าน้อยใหญ่ต่างๆ
สำนักหรือตระกูลต่างๆ ที่มีชื่อเสียงในย่านร้านค้าแถวนี้ล้วนปรากฏร่องรอยของเขาขึ้นตามลำดับ หานลี่ไปเยี่ยมเยียนถึงบ้าน หรือไม่ก็พูดคุยกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง ไม่ก็ไปสังเกตการณ์ดูอย่างเงียบๆ แล้วจากไป
แม้ว่าสถานที่ที่ออกผจญภัยจะเป็นแค่หนึ่งในสิบส่วนของเขตเทียนหยวนเท่านั้น แต่ระยะเวลาสั้นๆ สองสามวัน ก็เพียงพอจะทำให้หานลี่เข้าใจสถานการณ์ในเผ่ามนุษย์มากขึ้นแล้ว
สำหรับเผ่ามนุษย์แล้วจำนวนของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์นั้นย่อมสู้เผ่าแมลงมีเขาไม่ได้เลย แม้กระทั่งกับเผ่าวิญญาณเหาะเหินที่อยู่ในระดับเดียวกัน
นอกจากเมืองเทวะสวรรค์รวมทั้งผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่ขึ้นอยู่กับสามจักรพรรดิแล้ว ระดับผสานอินทรีย์ของตระกูลสำนักอื่นๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ก็มีอยู่ไม่มากนัก
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษระดับผสานอินทรีย์อย่างเขา ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนในเผ่ามนุษย์
ส่วนเผ่าปีศาจว่ากันว่ามีมากกว่าเผ่ามนุษย์เล็กน้อย แต่จำนวนก็ไม่ได้มากนัก
หากทั้งสองเผ่าร่วมมือกัน เดาว่ากำลังก็คงไม่ต่างอันใดกับเผ่าระดับกลางในแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน
และเป็นเพราะเขตพื้นที่เผ่ามนุษย์และปีศาจเป็นดินแดนที่ค่อนข้างรกร้างในแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน เดิมก็ไม่ได้มีชนต่างเผ่าที่ค่อนข้างแข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นอยู่แล้ว มิเช่นนั้นแม้ว่าจะมีเขตอาคมขนาดใหญ่และผู้พิทักษ์ของเมืองเทวะสวรรค์ ทั้งสองเผ่าจะยืนหยัดอยู่ในแดนวิญญาณได้หรือไม่ก็ยังพูดยาก
ถึงอย่างไรเสีย จากที่เขารู้มาชนต่างเผ่าจำนวนมากที่แข็งแกร่งกว่าเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจก็หายสาบสูญไปตามระยะเวลา
เช่นนั้นจากฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ของเขา แน่นอนว่าระหว่างการผจญภัยจึงไม่พบกับอันตรายเลยสักนิด กลับต้องลงมือสังหารผู้ฝึกฝนความชั่วร้ายไปสองสามคนด้วยความบังเอิญ ทำให้ชื่อเสียงของเขาค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วเขตเทียนหยวน
สำนักและตระกูลขนาดกลางและเล็กจำนวนมากก็รู้ว่าในเผ่ามนุษย์มีชายหนุ่มหน้าใหม่ปรากฏขึ้น แต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่พลังยุทธ์ลึกลับยากจะคาดเดา
ต่อมาแม้กระทั่งขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของเขตเสวียนอู่และเขตเทียนหลิงก็ยังส่งคนออกมาหาลูกค้า
แต่แน่นอนว่าหานลี่ย่อมปฏิเสธไป
เช่นนั้นเวลาห้าปีจึงผ่านไปในพริบตา…
วันนี้ตรงเขตแดนเสวียนอู่และเทียนหยวน บนภูเขาสูงเขียวขจี ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์สามคนสวมอาภรณ์หลากหลายกำลังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มจางๆ อยู่ในศาลาหินแห่งหนึ่ง
คนหนึ่งสวมชุดนักปราชญ์สีขาว คิ้วรูปดาบ ดวงตาคมกริบ อายุสามสิบปีเศษ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นบุรุษรูปงามคนหนึ่ง
ผู้ที่อยู่ด้านข้างมีใบหน้ากลมมน สวมชุดคลุมนักพรตสีเหลือง แผ่นหลังสะพายกระบี่ไม้พังๆ สีดำเล่มหนึ่ง แต่กลับเป็นนักพรตน้อยที่ดูเหมือนอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี
คนสุดท้ายมีหน้าตาธรรมดาๆ ผิวค่อนข้างคล้ำ สวมชุดคลุมยาวสีเขียว เป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี
และชายหนุ่มผู้นี้ก็คือหานลี่
หานลี่ในยามนี้หยักมุมปากขึ้นเล็กน้อย กำลังฟังนักพรตฝั่งตรงข้ามพูดเป็นสายไม่หยุดด้วยท่าทีอมยิ้ม
“ไม่ใช่ว่าชี่หลิงจื่ออย่างข้าคุยโม้ ปรมาจารย์ที่ก่อตั้งอารามอู้ไห่ของพวกเรา ปีนั้นอารามอู้ไห่ของแดนล่าง ได้เป็นอารามอันดับหนึ่ง ครอบครองทั้งยุทธภพ อานุภาพเกรียงไกร สยบทั่วทั้งสี่ทิศ ท่านปู่ปรมาจารย์เสวียนหลิงจื่อ ยิ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรอันดับหนึ่งในใต้หล้า ยามนี้ชี่หลิงจื่ออย่างข้าได้รับถ่ายทอดบาตรและจีวรมาจากท่านอาวุโส และได้รับหน้าที่ดูแลอารามอู้ไห่ หากสหายทั้งสองยอมเข้าร่วมอารามของเราล่ะก็ ย่อมเรียกได้ว่าพยัคฆ์ติดปีกแน่ รอจนเราสามคนฝึกฝนจนสำเร็จ หากร่วมมือกัน แม้ว่าวันข้างหน้าอาจจะไม่อาจเป็นอารามอันดับหนึ่งในเผ่ามนุษย์ได้ แต่ในด้านอำนาจนั้น ก็เหลือเฟือแน่…”
“ฮ่าๆ ชี่หลิงจื่อ หนทางนี้พูดกับข้าและพี่หานให้มันน้อยๆ หน่อย อารามอู้ไห่ของเจ้าแม้แต่เจ้าและนักพรตในอารามก็เป็นแค่แมวน้อยสองสามตัวเท่านั้น ยังกล้ามาเชิญต้าเซ่าและพี่หานเข้าร่วมอีก แม้ว่าปรมาจารย์ปู่ของเจ้าจะมีชื่อเสียงมากยามที่อยู่ในแดนมนุษย์ แต่ในแดนวิญญาณของพวกเราก็เป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงธรรมดาๆ เท่านั้น มิเช่นนั้นอารามอู้ไห่ของเจ้าคงไม่ตกอยู่ในสภาพนี้” บุรุษรูปงามหัวเราะหึๆ ออกมา ขยับมือ ในมือมีพัดกระดาษสีเขียวปรากฏขึ้น เสียง “พรึ่บ” เปิดออก แล้วพัดเบาๆ
“ถุยๆ ไห่ต้าเซ่า เจ้าจะรู้อันใด! ไม่ใช่ว่าเคล็ดวิชาของอารามอู้ไห่ของพวกเราไม่ได้เรื่อง แต่เป็นเพราะเคล็ดวิชาทะเลหมอกไร้ขอบเขตที่ท่านปรมาจารย์ปู่ทิ้งเอาไว้ต้องมีเงื่อนไขพิเศษถึงจะฝึกฝนได้ ยามที่ท่านปรมาจารย์ปู่บรรลุขึ้นมาแดนวิญญาณในยามแรก ก็บังเอิญพบกับพายุห้วงเวลาพันปี แม้ว่าจะดิ้นรนหนีออกมาได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บหนัก หลังจากที่ก่อตั้งอารามอู้ไห่แล้วก็เพลี่ยงพล้ำไป มิเช่นนั้นอารามของข้าคงไม่อยู่ในที่สับปะรังเคเช่นนี้” นักพรตผู้อ่อนเยาว์หน้าแดงไปถึงใบหูขณะเอ่ยอธิบาย
“ข้าว่าเป็นเพราะปรมาจารย์ปู่ของพวกเจ้ามีวิสัยทัศน์ จากพละกำลังของอารามอู้ไห่ของพวกเจ้า หากครอบครองเทือกเขาอันใดจริงๆ จนถึงยามนี้แดนวิญญาณจะมีเทือกเขาของพวกเจ้าหรือไม่ก็พูดยาก พี่หานว่าใช่หรือไม่?” บุรุษรูปงามนามว่า ‘ไห่ต้าเซ่า’ ประกบพัดในมือเบาๆ คาดไม่ถึงว่าจะสั่นศีรษะพลางเอ่ยถามหานลี่
“คำพูดของน้องไห่ ย่อมมีเหตุผล ทว่าเคล็ดวิชาของสหายชี่หลิงจื่อค่อนข้างพิเศษจริงๆ กว่าครึ่งล้วนเป็นเงื่อนไขที่พิเศษในเรื่องคุณสมบัติของผู้ฝึกฝน” หานลี่เอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“ฮ่าๆ เจ้าว่าแม้แต่พี่หานก็กล่าวเช่นนี้ หมายความว่าสิ่งที่ถ่ายทอดของอารามอู้ไห่ไม่ใช่ของธรรมดา เป็นอย่างไร ขอแค่ยอมเข้าร่วมอารามของข้า ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาทะเลหมอกที่ไร้ขอบเขตให้ท่านพี่ทั้งสอง” นักพรตชายหนุ่มได้ยินคำพูดของหานลี่ ก็หรี่ตาลงเป็นเส้นตรง และใช้น้ำเสียงล่อลวงเอ่ยขึ้น
ไห่ต้าเซ่าได้ยิน ก็กลอกตาทั้งสองข้าง แล้วตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์
“ต้าเซ่าฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกต้นฉบับดั้งเดิม และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตน คาถาวัชระล้วนฝึกฝนได้ขั้นที่สามแล้ว ผู้ดูแลอารามของเจ้าก็เพิ่งจะบรรลุระดับสร้างปราณได้ไม่นาน แม้กระทั่งต้าเซ่าก็อาจจะสู้ไม่ได้ จะสั่งสอนอันใดได้ หากข้าจะคารวะ ก็ต้องคารวะสำนักที่มีชื่อเสียง และยังมีพี่หาน คำพูดเมื่อครู่ของเจ้ามันคลุมเครือ อันใดเรียกว่ามีเหตุผล ที่ต้าเซ่าพูดเมื่อครู่นั้นไม่ผิด สาเหตุที่ตอนนั้นท่านอาวุโสเสวียนหลิงจื่อไปตั้งอารามอู้ไห่ที่ภูเขารกร้าง กว่าครึ่งก็เพราะไม่อยากให้อารามของตนขาดผู้สืบทอด”
ไห่ต้าเซ่าเอ่ยไปพลาง คาดไม่ถึงว่าจะสบายอกสบายใจขึ้นมา
หานลี่มุมปากกระตุก ตั้งแต่ต้นจนจบก็เอาแต่หัวเราะขมขื่นไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา
เบื้องหน้าเป็นสมบัติมีชีวิตคู่หนึ่ง
ทั้งสองคนเพิ่งรู้จักกันเมื่อสองสามเดือนก่อนแถวๆ เมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ยามนั้นทั้งสองกำลังล่วงเกินสำนักเล็กๆ ท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณสองสามคนไล่สังหาร
เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าเผ่ามนุษย์หรือเผ่าปีศาจ ย่อมเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก
ยามนั้นหานลี่ผ่านทางมาทางกลางอากาศ เดิมไม่มีเจตนาจะลงมือ แต่พอแผ่จิตสัมผัสไป คาดไม่ถึงว่าจะพบว่าคนที่ถูกล้อมโจมตีทั้งสองคน คนหนึ่งแม้ว่าจะมีรากวิญญาณล้ำเลิศ แต่คาดไม่ถึงว่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกตนธรรมดาๆ และยิ่งไปกว่านั้นชายหนุ่มก็ฝึกฝนคาถาวัชระจนถึงขั้นที่สามแล้ว อีกคนหนึ่งรากวิญญาณดูเหมือนจะต่ำต้อยมาก แต่เคล็ดวิชาที่ฝึกฝนกลับเป็นเอกลักษณ์ คาดไม่ถึงว่าจะสามารถต้านทานศัตรูในระดับเดียวกันสองสามคนพร้อมกันได้
พอทั้งสองร่วมมือกัน คาดไม่ถึงว่าเมื่อถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณห้าหกคนล้อมโจมตีจะไม่ตกเป็นรอง
หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและตื่นเต้นขึ้นมา หลังจากกลบกลิ่นอายให้อยู่ในระดับสร้างปราณขั้นสุดยอดแล้ว ก็มาปรากฏตัว
จากอิทธิฤทธิ์ของเขา ต่อให้ใช้พลังระดับสร้างปราณเช่นเดียวกัน ก็จัดการผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณสองสามคนให้หนีกระเจิงไปได้เพียงแค่ยกมือ
ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อที่ถูกช่วยเอาไว้ย่อมรู้สึกซาบซึ้งใจกับหานลี่เป็นอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้นพูดคุยไม่กี่คำ คาดไม่ถึงว่าอยากจะคารวะหานลี่
หานลี่ในยามนั้นย่อมมีสีหน้ามหัศจรรย์มากแล้วรีบหาข้อแก้ตัวปฏิเสธไป แต่พอทั้งสองคนซักถามต่อ รู้ว่าหานลี่เองก็จะไปเข้าร่วมงานหมื่นสมบัติที่เขตเสวียนอู่ คาดไม่ถึงว่าจะกระตือรือร้นว่าจะไปด้วยกันอย่างยินดีปรีดา
ที่แท้สองคนนี้ก็คิดจะไปที่งานชุมนุมของทั้งสองเผ่าเช่นกัน
หานลี่ได้ฟังแล้ว ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกหมดคำพูด
งานหมื่นสมบัติคืองานชุมนุมระดับใด แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ของเผ่ามนุษย์และปีศาจ แม้กระทั่งสามจักรพรรดิเจ็ดราชาปีศาจก็อาจจะต้องไปด้วยตัวเอง
ทั้งสองคนมีพละกำลังแค่ระดับสร้างปราณ คาดไม่ถึงว่าจะอยากไปเข้าร่วมงานชุมนุมนี้
แม้จะว่ากล่าวว่างานหมื่นสมบัติไม่ใช่ว่าจะไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณลงไปปรากฏตัว แต่ปกติแล้วผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำล้วนปรากฏตัวในฐานะของเด็กรับใช้ หรือศิษย์ของสำนักต่างๆ
แม้ว่าจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณส่วนน้อยที่มาเพียงลำพัง แต่ส่วนใหญ่ล้วนอาศัยอยู่ใกล้ๆ กับที่จัดงานหมื่นสมบัติ ถึงได้มีโอกาสไปเปิดหูเปิดตาเท่านั้น
แต่ไห่เต้าเซ่าและนักพรตน้อยผู้นี้ คนหนึ่งซ่อนชาวิญญาณไว้สองสามกระปุก คนหนึ่งพกศิลาแร่ที่มิรู้จักชื่ออยู่สองสามก้อน คาดไม่ถึงว่าจะตัดสินใจไปเข้าร่วมงานชุมนุมนี้
ช่างทำให้ผู้คนต้องหัวเราะอย่างขมขื่นไม่ได้จริงๆ
ทว่าไม่ต้องพูดถึงชาวิญญาณของชี่หลิงจื่อ คุณสมบัติไม่เลวพอจะเรียกได้ว่าระดับสูง ส่วนศิลาแร่เหล่านั้นแม้ว่าจะไม่ใช่ของที่มีค่าอันใด แต่คาดไม่ถึงว่าแม้แต่เขาก็ไม่อาจแยกแยะที่มาของมันได้
หานลี่รู้สึกสนอกสนใจสถานการณ์ของทั้งสองจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังรู้สึกว่าถึงอย่างไรเสียก็อยู่ห่างจากงานหมื่นสมบัติไม่กี่วัน จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน จึงตอบตกลงด้วยสีหน้าราบเรียบ
ดังนั้นเขาจึงหยิบอาวุธวิญญาณรถเหาะเหินระดับสูงออกมา พาทั้งสองตรงไปยังเขตเสวียนอู่
ระหว่างทางที่ทำให้หานลี่หัวเราะอย่างขมขื่นออกมาก็คือ ไม่รอให้เขาลอบถามประวัติความเป็นมาของทั้งสอง บุรุษรูปงามที่เรียกตนเองว่าไห่ต้าเซ่ารวมทั้งนักพรตน้อยชี่หลิงจื่อก็สารภาพสิ่งที่ตนต้องทำออกมาเองระหว่างที่ทะเลาะกัน
ผู้ที่เรียกตนเองว่าไห่ต้าเซ่าคือผู้ฝึกตนในตระกูลที่มีชื่อเสียงมากของย่านร้านค้าของมนุษย์แห่งหนึ่ง แม้ว่าจะมีรากวิญญาณที่ยอดเยี่ยม แต่ยามถือกำเนิดเกิดความผิดพลาด ถูกผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่ได้เรื่องตรวจสอบผิดพลาด คาดไม่ถึงว่าจะถูกบอกว่าเป็นร่างที่ไร้รากวิญญาณ
เช่นนั้นเขาจึงถูกเลี้ยงดูแบบผู้ฝึกตนมาตั้งแต่เด็ก แต่รอจนเขาพิสูจน์ความมีพรสวรรค์ของผู้ฝึกตนออกมาแล้ว แล้วพบว่าตนเองมีรากวิญญาณด้วยความบังเอิญ ย่อมรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น
ไห่ต้าเซ่าผู้นี้ก็เหมือนกับคนอื่นๆ คาดไม่ถึงว่าจะหยุดฝึกตนอย่างไม่ลังเล คิดจะเดินไปบนเส้นทางของผู้บำเพ็ญเพียร
แต่ย่านที่เขาอาศัยอยู่เป็นย่านร้านค้าของมนุษย์ธรรมดา และไม่มีสำนักผู้บำเพ็ญเพียรที่แท้จริงใดๆ ประกอบกับไห่ต้าเซ่าเองก็หยิ่งทระนง ไม่สนใจสำนักผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ
หลังจากที่เขา ‘ขบคิดอย่างหนัก’ คาดไม่ถึงว่าจะแอบออกมาจากตระกูล แล้วไปตามหาสำนักผู้บำเพ็ญเพียรยังดินแดนอื่น
ผลคือระหว่างทางก็พบนักพรตน้อยของอารามอู้ไห่ที่กำลังจะไปเข้าร่วมงานหมื่นสมบัติเข้าพอดี
ทั้งสองพูดคุยกัน คาดไม่ถึงว่าจะรู้สึกคล้ายคลึงกัน และรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
ขณะที่ไห่ต้าเซ่าถูกอีกฝ่ายปลุกปั่น ไม่เพียงจะกลายเป็นสหายสนิทกับเขา และยังจะไปเข้าร่วมงานหมื่นสมบัติด้วยกัน
ส่วนชี่หลิงจื่อก็กล่าวว่างานหมื่นสมบัติคือ ‘ระดับเทพแปลงเดินกันขวักไขว่ ระดับก่อกำเนิดเปรียบดังสุนัข’ หาผู้บำเพ็ญเพียรสักคนแล้วทำการคารวะ ล้วนดีกว่าไปเข้าร่วมสำนักผู้บำเพ็ญเพียรใดๆ เป็นร้อยเท่า
ตอนที่ 1776 ภูเขาเก้าเซียน
ดังนั้นทั้งสองคนจึงเดินทางมาด้วยกันอย่างงงงวย
ทว่าทั้งสองก็นับว่ามีปฏิภาณไหวพริบ ยอมเดินไกลหน่อย เพื่อหลีกเลี่ยงดินแดนรกร้างที่เสี่ยงอันตราย ดังนั้นระหว่างทางจึงไม่พบอันตรายใดมากนัก
ภายในเมืองเล็กๆ ก่อนมาพบหานลี่ ทั้งสองกลับไปล่วงเกินตระกูลเล็กๆ พื้นเมืองตระกูลหนึ่งด้วยความไม่ได้ตั้งใจ จึงได้เกิดหายนะขึ้น และถูกสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันไล่สังหาร
หากไม่ใช่เพราะพบหานลี่ เกรงว่าทั้งสองคงจะพบความยุ่งยากจริงๆ
ยามนี้ในสายตาของไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อ การได้พบกับ ‘พี่หาน’ ระหว่างทางกลับกลายเป็นสิ่งที่ลึกลับมาก
ไม่เพียงพลังยุทธ์จะห่างจากระดับจิตวิญญาณสีทองแค่ก้าวหนึ่ง ในร่างก็มีสมบัติอาคมที่เรียกได้ว่ามหัศจรรย์อยู่
ส่วนประสบการณ์ในการฝึกฝน แค่ชี้แนะสองสามประโยคก็ทำให้ทั้งสองได้รับประโยชน์ไม่น้อยแล้ว ต่อให้พวกเขาประจบสอพลอก็ไม่อาจไล่ตามทัน
ยามแรกที่ไห่ต้าเซ่าได้รับการชี้แนะเคล็ดวิชาการฝึกตนจากหานลี่ ก็ตกตะลึงอยู่ครึ่งวัน
ถึงอย่างไรเสียผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งที่เข้าใจเคล็ดวิชาฝึกตนเป็นอย่างดีก็หาได้ยากมาก
และด้วยเหตุนี้แววตาของหานลี่และพวกทั้งสองก็มีความลึกล้ำยากจะคาดเดา
โชคดีที่ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อล้วนเป็นพวกที่มีนิสัยแค่เจอหน้าครั้งเดียวก็รู้สึกสนิทกัน ดังนั้นแม้ว่าจะรู้ว่าหานลี่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ พวกเขาก็ยังคงเรียกว่า ‘พี่หาน’ อย่างไม่ได้ใส่ใจ และเรียกได้อย่างกระตือรือร้น
เดาว่าหากไม่ใช่เพราะเห็นว่าพลังยุทธ์ของหานลี่ไม่สูง ทั้งสองก็อาจจะทำหน้าหนาคารวะหานลี่เป็นอาจารย์ก็เป็นได้
ถึงอย่างไรเสียแม้ว่านักพรตน้อยชี่หลิงจื่อจะบอกว่าอยากออกไปชมนกชมไม้ แต่ความจริงแล้วระหว่างการพูดคุย ก็เผยความคิดว่าจะไปตามหาอาจารย์ในการชุมนุมหมื่นสมบัติ
ไม่ได้อาลัยอาวรณ์ชื่อของ ‘ผู้ดูแลอาราม’ ของอารามอู้ไห่เลยสักนิด
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ชี่หลิงจื่อผู้นี้กลับพยายามชักชวนหานลี่และไห่ต้าเซ่าให้เข้าร่วมอารามอู้ไห่ของตนเองไม่หยุด ก่อนที่คิดจะคารวะท่านอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ก็ต้องอย่าพูดถึงเรื่อง ‘ผู้ดูแลอาราม’ ก่อน
นี่ย่อมทำให้ไห่ต้าเซ่าหัวเราะเยาะซ้ำแล้วซ้ำเล่า หานลี่ก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นเท่านั้น
เช่นนั้นหานลี่จึงพาทั้งสองบินมาได้สองสามเดือนก็มาถึงยอดเขาที่อยู่ใกล้ๆ กับเขตแดนเสวียนอู่ และคิดจะพักผ่อนสักหน่อย ค่อยเดินทางต่อ
เมื่อครู่ชี่หลิงจื่อก็คุยโวถึงอารามอู้ไห่ไม่หยุด จากนั้นก็เอ่ยคำพูดชักจูงทั้งสองคนครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ออกมา ทำให้ไห่ต้าเซ่าปฏิเสธอย่างต่อเนื่องโดยไม่ลังเลเลยสักนิด
และหานลี่ที่ดูเหมือนจะอมยิ้มไม่หยุดอยู่นั้น ส่วนลึกในแววตากลับมีลำแสงสีฟ้าฉายแวบผ่านไป และใช้สายตาที่สัมผัสได้ยากจ้องเขม็งไปยังไห่ต้าเซ่าซึ่งอยู่ตรงข้ามอย่างไม่ละไปไหน
ฉับพลันนั้นใบหน้าของไห่ต้าเซ่าก็มีสีแดงก่ำปรากฏขึ้น แต่ชั่วลมหายใจก็หายวับไปในทันที
“ปรากฏแล้ว!”
หานลี่ร้องว่าแย่แล้วในใจ ชั่วพริบตาก็แผ่จิตสัมผัสไปที่เรือนร่างของไห่ต้าเซ่าอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆ ไม่ใช่ว่าข้าขี้โม้ แค่รากวิญญาณธาตุลมของข้า คารวะเป็นศิษย์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ถึงยามนั้นรอให้ต้าเซ่าฝึกฝนเคล็ดวิชาเซียนสำเร็จ จะต้อง…” ไห่ต้าเซ่าพูดถึงความรุ่งเรือง หลังจากเอ่ยว่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาสำเร็จอย่างกำเริบเสิบสาน มีชีวิตที่ดีกลายเป็นบรรพชนระดับก่อกำเนิดระดับเทพแปลง
และไห่ต้าเซ่าย่อมไม่รู้ว่า คำว่ารากวิญญาณธาตุลมที่หานลี่พูดในใจนั้น ได้สลายหายไปแล้ว
ยามนี้ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนใดตรวจสอบรากวิญญาณในร่างเขา ก็จะบอกว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนธรรมดาที่ไร้ซึ่งรากวิญญาณ
หางตาหานลี่กระตุกถี่ๆ แล้วพลันรู้สึกตกตะลึง
เหมือนกับครั้งที่แล้ว รากวิญญาณอัสนีของอีกฝ่ายสลายหายไปอีกครั้ง
หากจำไม่ผิดล่ะก็ หนึ่งวันหนึ่งคือต่อจากนี้ รากวิญญาณของไห่ต้าเซ่าก็จะปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ฉากเดียวกันเคยปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาเมื่อสิบวันก่อน
ช่างแปลกประหลาดเสียจริง! เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในโลกนี้จะมีรากวิญญาณที่จะสลายหายไปภายในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ด้วย
หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ จะไม่ได้หมายความว่าร่างที่มีพลังปราณ จะไม่อาจกระตุ้นอาคม และโคจรพลังปราณในร่างได้หรือ
หานลี่มีสีหน้าประหลาดใจปรากฏขึ้น แล้วรู้สึกกังขาในใจ
“พี่หาน เจ้าเหม่อลอยอันใด สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก มิสู้ลองชิมชาวิญญาณของอารามอู้ไห่ดูเป็นอย่างไร! แต่เอาผลวิญญาณของพี่หานออกมาอีกสักสองสามผลเป็นอย่างไร ครั้งที่แล้วที่ลองกิน รสชาติช่างยากจะลืมเลือนเสียจริง” ชี่หลิงจื่อเองก็มีปฏิภาณไหวพริบเฉียบแหลม คาดไม่ถึงว่าจะพบความผิดปกติบนใบหน้าของหานลี่ จึงกลอกตาไปมา แต่กลับหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย
“ชี่หลิงจื่อพูดไม่ผิด ผลวิญญาณที่พี่หานนำออกมาครั้งที่แล้ว รสชาติล้ำเลิศจริงๆ!” ไห่ต้าเซ่าได้ยินคำพูดของชี่หลิงจื่อ คาดไม่ถึงว่าจะไม่เอ่ยคุยโวอีก ต่างใช้สายตาเหลือบมองมาทางหานลี่เช่นกัน
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าทั้งสองคิดถึงผลวิญญาณที่ข้าน้อยเอาออกมาครั้งที่แล้ว นี่ไม่ใช่ว่าผู้แซ่หานขี้เหนียว แต่ ‘แต่ผลผนึกไข่มุก’ นี้ แม้ว่าจะรสชาติล้ำเลิศ แต่พลังปราณบริสุทธิ์ที่แฝงอยู่ก็ไม่ธรรมดาเลย หากกินมากไปในคราเดียว จะทำลายชีพจรของสหายทั้งสอง เช่นนั้นก็แล้วกัน ข้าจะนำออกมาหกผล คนหนึ่งกินสองผลก็ได้แล้ว” คาดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะสนใจผลวิญญาณของเขาขึ้นมาในพริบตา นี่จึงทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหานลี่กระตุกสองครั้ง แล้วทำได้เพียงกระแอมไอเบาๆ
จากนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ จานสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกปรากฏขึ้นบนโต๊ะหิน ผลสีเขียวมรกตเกลี้ยงเกลาดุจไข่มุกขนาดเท่าไข่ไก่หกผลปรากฏขึ้น
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไร มีสองผลก็ไม่เลวแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือไม่ ครั้งที่แล้วที่กินผลของพี่หานไปสามผล พลังยุทธ์ที่เดิมหยุดชะงักอยู่กลับเพิ่มขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ พี่หานบอกข้ามาเถิดว่าจะไปซื้อผลผนึกไข่มุกที่ไหน ข้าจะไปซื้อให้มากสักหน่อย จากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกินยาหรือนั่งสมาธิอันใดอีก หากกินผลวิญญาณสองผลสามถึงห้าวันครั้ง พลังยุทธ์ก็จะเพิ่มขึ้น ชี่หลิงจื่อมองผลวิญญาณในจาน แล้วเอ่ยอย่างดีอกดีใจเป็นอย่างมาก
แต่ไม่รอให้เขาเอ่ยจบ เงาสีดำก็เปล่งแสงสว่างวาบ ผลวิญญาณในจานกลับลดลงไปสองผล
ชี่หลิงจื่อพลันตกตะลึง แล้วค่อยพิจารณาอย่างละเอียด ที่แท้คาดไม่ถึงว่าไห่ต้าเซ่าจะลงมือพร้อมกันสองมือ มือหนึ่งตะปบไปที่ผลวิญญาณผลหนึ่ง แล้วเริ่มแทะทั้งซ้ายและขวา
“ไม่รู้จักเสียดายของ!” ชี่หลิงจื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็สั่นศีรษะอย่างต่อเนื่อง
ส่วนไห่ต้าเซ่าเพียงค้อนมองไป ไม่ได้สนใจเสียหน้าเจ็บปวดของนักพรตน้อยที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกเพียงว่าน้ำเต็มปาก และรู้สึกเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก
หานลี่พลันรู้สึกหมดคำพูด และหัวเราะน้อยๆ อยู่ในใจ
ไม่ทราบว่าทั้งสองคนรู้จักผลวิญญาณเหล่านี้หรือไม่ หากรู้ว่าผลเหล่านี้มีมูลค่าเป็นพันศิลาวิญญาณ จะกินอย่างมีความสุขเช่นนี้หรือไม่
ทว่าชี่หลิงจื่อผู้นี้ก็ไม่ใช่คนปกติ
หานลี่กวาดตาไปมา ดวงตาทั้งสองก็หรี่ลงเล็กน้อยขณะมองนักพรตน้อย
รากวิญญาณของนักพรตน้อยผู้นี้ เป็นรากวิญญาณสามธาตุธรรมดาๆ อย่างแท้จริง แต่เมื่อผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดสองสามวัน กลับพบว่าจุดตันเถียนของอีกฝ่ายมีไข่มุกลับที่ห่อหุ้มด้วยลำแสงวิญญาณขนาดเท่าเมล็ดถั่วปากอ้าเม็ดหนึ่ง
นี่เป็นเพราะพลังจิตสัมผัสเหนือกว่าอีกฝ่ายมาก มิเช่นนั้นแม้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ระดับสูงกว่าชี่หลิงจื่อเจ็ดแปดขั้น ก็ยังไม่อาจพบสิ่งที่อยู่ในร่างกายของอีกฝ่ายได้
ยามที่หานลี่กำลังรู้สึกประหลาดใจ ใช้จิตสัมผัสสัมผัสกับไข่มุกทรงกลมอย่างเงียบเชียบ และแทรกเข้าไปโดยไม่มีผู้ใดรู้ แต่กลับพบพลังผนึกที่ยิ่งใหญ่
“อาวุธถ่ายทอด!”
ยามที่หานลี่พบสิ่งนี้กลับเข้าใจได้ทันทีว่าคือสิ่งใด
เพื่อไม่ให้ขาดการสืบทอด ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนจะใช้เคล็ดวิชาลับผนึกสิ่งที่ตนเองเรียนรู้มาไว้ในอาวุธถ่ายทอด จากนั้นก็เข้าไปอยู่ในร่างของชนรุ่นหลังหรือไม่ก็คนในสำนัก
และโดยปกติแล้วสิ่งนี้ล้วนมีเงื่อนไขในการเปิด หากไม่เหมาะสมล่ะก็ จะถูกซ่อนเอาไว้ในร่างของผู้ถ่ายทอดไม่ยอมปรากฏ
โดยปกติแล้วล้วนมีพลังยุทธ์ในระดับที่แน่นอน ถึงจะได้รับเคล็ดวิชาลับต่างๆ ที่ถ่ายทอดไว้ในอาวุธไปตามกลไก
แน่นอนว่าหากถูกผู้ถ่ายทอดใกล้จะถึงขีดจำกัด ก็จะใช้เคล็ดวิชาวิเศษเอาสิ่งนี้ออกมา แล้วใส่ไปในร่างของคนในสำนักของเขา หากคนนอกใช้พลังภายนอกฝืนเอาอาวุธนี้ออกมา ปกติแล้วจะระเบิดออกพร้อมกับร่างของผู้ถูกถ่ายทอด
วิธีการถ่ายทอดเคล็ดวิชาหลอมอาวุธเช่นนี้ ไม่ค่อยมีผู้ใดรู้มากนัก และยิ่งไปกว่านั้นการหลอมก็ยุ่งยาก นับว่าเป็นเคล็ดวิชาลับการถ่ายทอดที่หายากมากชนิดหนึ่ง
ยามนี้มาปรากฏตัวบนร่างของชี่หลิงจื่อ ก็ทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ดูแล้วปรมาจารย์ผู้ก่อตั้ง ‘อารามอู้ไห่’ คงจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างจริงๆ และไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุขึ้นมาธรรมดาๆ
ทว่าจากอิทธิฤทธิ์ของหานลี่ แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางสนใจเคล็ดวิชาของคนอื่น หลังจากตกตะลึงเล็กน้อย ก็สนใจแค่สิ่งที่อยู่บนร่างของบุรุษรูปงามนามว่าไห่ต้าเซ่า
รากวิญญาณสลายหายไปได้ นี่มันรากวิญญาณอันใดกัน!
นี่ทำให้เขารู้สึกสนใจไม่น้อย
ชี่หลิงจื่อหยิบชุดชาออกมาชงชาวิญญาณที่มีกลิ่นหอมกรุ่นสองสามถ้วย ให้หานลี่และพวกลิ้มลอง หลังจากเก็บผลวิญญาณที่เหลือแล้ว ทั้งสามคนก็ไม่ได้รั้งรออันใดอีก
หานลี่ปล่อยรถเหาะออกมาอีกครั้ง พาทั้งสองกลายเป็นลำแสงสีขาวพุ่งไปทางเขตเสวียนจง
เขตเสวียนจงและเขตเทียนหยวนไม่เหมือนกันเลยสักนิด!
แม้ว่าจำนวนของผู้บำเพ็ญเพียรจะเทียบกับเขตเทียนหยวนและเขตเทียนหลิงไม่ได้ แต่จำนวนของผู้ฝึกตนคนธรรมดากลับมากกว่าทั้งสองเขตมาก
ประชาชนคนทั่วไปก็กล้าหาญ ต่อให้เป็นคนชราเด็กทารกหรือสตรีมีครรภ์ก็กล้าถืออาวุธออกไปล่าสัตว์ป่าและอสูร
ทว่าย่านร้านค้าคนธรรมดาขนาดใหญ่ในเขตเสวียนอู่กลับมีอยู่แค่ไม่กี่แห่ง ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในรูปแบบของเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ในดินแดนที่กว้างใหญ่
และยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะในสามเขตเชื่อมต่อกันเจ็ดดินแดนปีศาจ ดังนั้นไม่ว่าขอบเขตของคลื่นอสูร หรือว่าอัตราการปรากฏตัวของปีศาจอสูรระดับต่ำ ก็เหนือกว่าทั้งสองเขตมาก
และบางครั้งก็มีอสูรปีศาจแปลงกายระดับสูง แอบเข้ามาในเขตเสวียนอู่ พลางทำเรื่องที่ผิดทำนองคลองธรรม
ดังนั้นเขตเสวียนอู่จึงเป็นเขตที่วุ่นวายที่สุดในสามเขต ยิ่งเข้าใกล้ชายแดนที่ติดกับดินแดนของเผ่าปีศาจ ก็จะยิ่งมีความวุ่นวายเกิดขึ้นมากเท่านั้น
ภูเขาเก้าเซียน คือภูเขาวิญญาณขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงชายแดนของดินแดนปีศาจจิ้งจอกและเขตเสวียนอู่ แต่กลับเป็นข้อยกเว้น
ภูเขาแห่งนี้แบ่งออกเป็นเก้ายอดเขา ไม่เพียงจะมีชีพจรวิญญาณระดับสุดยอดที่หายาก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสมุนไพรที่เกิดเฉพาะถิ่นซึ่งมีประโยชน์ต่อเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจเป็นอย่างมากอยู่ด้วย
ประกอบกับลักษณะของภูเขาเก้าเซียนที่เป็นอันตราย เป็นดินแดนที่มีความพิเศษ ดังนั้นภูเขาแห่งนี้จึงถูกเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจส่งผู้ที่มีพรสวรรค์เฉียบแหลมมาควบคุมเอาไว้
ต่อให้เป็นชาวเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจที่อาจหาญไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ก็ยังมิกล้าก่อเรื่องในละแวกของภูเขาลูกนี้ง่ายๆ
และสองสามปีที่ผ่านมา รอบๆ ภูเขาเก้าเซียนก็ถูกป้องกันอย่างแน่นหนา เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจส่งกำลังคนจำนวนมากมาก่อตั้งเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อใช้กำจัดความวุ่นวายในบริเวณรอบ
ภายในระยะเวลาสั้นๆ ห้าหกปี คาดไม่ถึงว่าภูเขานี้จะกลายเป็นดินแดนแห่งความสุขของเขตเสวียนอู่
และในยามนี้ชุมนุมหมื่นสมบัติที่จัดขึ้นพันปีครั้งในเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจทั้งสองก็จัดขึ้น
ตอนที่ 1777 ไป๋กั่วเอ๋อร์
อีกสองสามเดือนก่อนวันเปิดงานชุมนุมอย่างเป็นทางการ แต่ภูเขาเก้าเซียนกลับมีนักบวชและปีศาจผู้บำเพ็ญเพียรจากสามเขตและเจ็ดแดนปีศาจมารวมตัวกันนับไม่ถ้วน
แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่สามารถขึ้นไปยังภูเขาได้ แต่รอบๆ ภูเขาก็มีย่านร้านค้าน้อยใหญ่ก่อตัวขึ้นสิบกว่าแห่ง
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงมากหน้าหลายตาปรากฏตัวขึ้นในย่านร้านค้าเหล่านี้ วัตถุดิบสมุนไพรวิญญาณที่หายากก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างชุกชุม และมักจะขายหมดได้อย่างรวดเร็ว
โดยปกติแล้ว จะไม่พบมนุษย์และปีศาจต่างๆ ในย่านร้านค้าเหล่านี้
แม้ว่าจำนวนเผ่าปีศาจที่เข้ามายังย่านร้านค้าเหล่านี้จะมีน้อยกว่าจำนวนมนุษย์อยู่มาก แต่เผ่าปีศาจที่กล้าเข้ามากว่าครึ่งนั้นล้วนแต่เป็นปีศาจแปลงกายระดับสูง
ดังนั้นในเรื่องของพลังที่แท้จริง เผ่าปีศาจในย่านนี้ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเผ่ามนุษย์เลย ทั้งสองเผ่าพันธุ์ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ไม่ค่อยมีฉากที่อีกเผ่าหนึ่งข่มเหงอีกเผ่าหนึ่งได้ปรากฏขึ้นง่ายๆ
แน่นอนว่าสถานการณ์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอย่างนั้น
ย่านร้านค้าเหล่านี้ไม่ใช่สถานที่จัดงานอย่างเป็นทางการของงานหมื่นสมบัติ เป็นเพียงร้านชั่วคราว จึงไม่มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดอันใด
แม้ว่าจะมีหน่วยคุ้มกันซึ่งส่งมาจากเขาเก้าเซียนมาลาดตระเวนในย่านนี้ แต่ก็รักษาความสงบได้เพียงผิวเผินเท่านั้น
ผู้ที่อ่อนแอกว่ามักถูกบังคับให้ซื้อและขายสินค้าตามมุบอับต่างๆ ของย่านนี้อยู่เป็นประจำ
วันนี้บนภูเขารกร้างที่อยู่ห่างไกลจากเขาเก้าเซียนพลันมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนรูปร่างซูบผอมคนหนึ่งและเด็กหญิงวัยเพียงวัยสิบเอ็ดถึงสิบสองปีอีกหนึ่งคน โดนล้อมไว้ทั้งสามด้านโดยชายท่าทางอำมหิตสามคนในชุดดำ
ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนนั้นมีพลังยุทธ์เพียงระดับสร้างปราณขั้นกลาง และเด็กสาวก็มีพลังยุทธ์เพียงระดับฝึกปราณขั้นที่สามถึงสี่เท่านั้น ส่วนผู้ที่ล้อมพวกเขาเอาไว้ กลับมีพลังยุทธ์ระดับสร้างปราณขั้นปลาย และพวกนั้นล้วนเผยสีหน้าที่เกรี้ยวโกรธออกมา
“ไป่ฮว่าจี๋ ส่งโสมโลหิตพันปีมา หากเจ้ายังขัดขืน ข้าสามพี่น้องจะไม่ปล่อยพวกเจ้าพ่อลูกไปแน่ และยังจะจ่ายศิลาวิญญาณให้เจ้าสักหน่อย มิเช่นนั้นอย่ามาโทษว่าผู้แซ่สือจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต” ชายร่างใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีอายุมากที่สุดในชายชุดดำสามคน เอ่ยอย่างเคร่งขรึมออกมา
“สือหลุน ผู้แซ่ไป๋มองคนไม่ออก ถูกเจ้าหลอกมาที่นี่ ก็นับว่าโชคร้ายแล้ว แต่อยากได้โสมโลหิตล่ะก็ ต้องให้บุตรสาวของข้าไปจากที่นี่เสียก่อน มิเช่นนั้น ข้ายอมทำลายโสมโลหิต ไม่มีทางมอบให้เจ้าแน่” ชายวัยกลางคนร่างกายผ่ายผอมผู้นั้นมีใบหน้าซีดเซียว แต่กลับไม่ได้ลนลาน พลิกฝ่ามือฉับพลันนั้นพลันหยิบกล่องผ้าไหมออกมาจากในแขนเสื้อ มืออีกข้างหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบพลางกดลงไปบนกล่อง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความโมโห
ชายชุดดำทั้งสามคนเห็นเช่นนี้ ก็อดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้
“ไม่ได้ หากเจ้าไม่ส่งโสมโลหิตมาก่อน ผู้ใดก็อย่าคิดจะหนีไป” ชายร่างใหญ่สวมชุดดำอีกคนหนึ่งปฏิเสธอย่างไม่ต้องขบคิด
“หึ ผู้แซ่ไป๋จะรู้ได้อย่างไรว่า หลังจากที่พวกเจ้าสามคนได้โสมโลหิตไปแล้วจะทำร้ายพวกเราพ่อลูกหรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงการสาบานอันใดพวกนั้น คำสาบานของพวกเจ้าสามคน ข้าไม่มีทางเชื่อแน่” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนเอ่ยอย่างเย็นชา สีหน้าเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก
“เช่นนั้นเจ้าก็อย่าคิด…”
“ได้ ผู้แซ่สือตกลง!”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำปฏิเสธ และยังคิดจะเอ่ยคำพูดข่มขู่ แต่กลับถูกผู้บำเพ็ญเพียรนามว่าสือหลุนตัดบทตอบตกลงด้วยสีหน้าดำคล้ำ
“พี่สือ เจ้า…”
“อันใด พวกเจ้าไม่ยอมฟังคำพูดของพี่สือหรือ” สือหลุนเหลือบมองที่เหลือทั้งสองคนแวบหนึ่ง แววตาโหดเหี้ยมเย็นชา
“ไม่ พวกเราจะกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร เอาตามที่พี่สือว่า ปล่อยเด็กคนนั้นไป!” ผู้บำเพ็ญเพียรสวมชุดดำอีกสองคนมองสบตากันแวบหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทางหวาดกลัวสือหลุนเป็นอย่างมาก จึงทำได้เพียงยอมตกลง
ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนเห็นฉากนี้ก็รู้สึกดีใจ
“เจ้าได้ยินคำพูดของเราทั้งสามแล้ว ให้แม่หนูผู้นั้นไปได้ แต่หากเจ้ามาเสียใจภายหลังหรือก่อเรื่องอันใด จุดจบจะเป็นอย่างไร ก็น่าจะรู้ดี!” สือหลุนเอ่ยข่มขู่ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
“วางใจ ผู้แซ่ไป๋แค่เป็นห่วงความปลอดภัยของยัยหนูเท่านั้น ขอแค่ยัยหนูปลอดภัย โสมโลหิตต้นนี้ก็ไม่มีค่าอันใด” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนเอ่ยด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“ไม่ ท่านพ่อ กั่วเอ๋อร์ไม่อยากไปเพียงลำพัง!” เด็กหญิงผู้นั้นมีผิวขาวนวล ราวกับเซียนเด็กในภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น แต่ยามนี้มือกับคว้าส่วนบนของเสื้อคอจีนของผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนเอาไว้ แล้วพลันสั่นศีรษะไม่หยุด
“เด็กโง่ เจ้าไปถึงจะไปหาคุณยายของเจ้าที่ย่านร้านค้าได้ เช่นนั้นถึงจะกลับมาช่วยบิดาได้” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนหน้าเปลี่ยนสี ริมฝีปากขยับเบาๆ แล้วถ่ายทอดเสียงให้เด็กหญิงอย่างรวดเร็ว
เด็กหญิงพลันตกตะลึง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างสุดชีวิต
“เอาล่ะ ยังไม่รีบไปอีก หากยังไม่ไป ผู้แซ่สือจะเปลี่ยนใจล่ะนะ” สือหลุนกลับดูเหมือนจะทนรอต่อไปไม่ได้ จึงเอ่ยอย่างโหดเหี้ยมออกมา
เด็กหญิงได้ฟังพลันตกตะลึง แต่แม้ว่าจะอายุยังน้อย ก็ยังเข้าใจว่าเรื่องใดสำคัญกว่าได้อย่างรวดเร็ว
นางมองผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนอย่างอาลัยอาวรณ์แวบหนึ่ง โบกมือเล็กน้อย ในมือมียันต์สีขาวปรากฏขึ้น หลังจากแปะไปบนร่าง ผิวของนางก็มีลำแสงสีขาวลอยออกมา หมายจะหนีไปให้ไกลทันที
ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนใช้สองมือคว้ากล่องไหมเอาไว้แน่น ดวงตาจ้องการเคลื่อนไหวของบุตรสาวอันเป็นที่รักด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ
เมื่อเห็นผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำทั้งสามไม่เคลื่อนไหว เด็กหญิงนามว่ากั่วเอ๋อร์ก็แฉลบผ่านข้างกายของสือหลุนไป เขาอดที่จะผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งไม่ได้
แต่ในยามนั้นเอง ความเปลี่ยนแปลงก็ปรากฏขึ้น!
เด็กหญิงเพิ่งจะอยู่ห่างจากสือหลุนไปได้แค่สองสามจั้ง แววตาของสือหลุนพลันฉายแววโหดเหี้ยม โบกมือทันที คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเงาสีดำสายหนึ่งตะปบไปด้านหลัง
“เหวอ”
เด็กหญิงร้องอุทานออกมา ไม่อาจต้านทานการตะปบของเงาสีดำได้เลยสักนิด
จากนั้นพลันลากให้ร่างของเด็กหญิงพุ่งกลับมา แล้วตกอยู่ในมือของสือหลุน
ฝ่ามือสีดำเปล่งประกาย คว้าลำคอขาวนวลของเด็กผู้หญิงเอาไว้แน่น
“สือหลุน เจ้าจะทำอันใด! ไม่กลัวข้าทำลายโสมโลหิตหรือ!” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ย่อมทั้งตกตะลึงระคนโกรธขึ้ง สองมือเปล่งประกายกดเข้าหากัน แล้วร้องตะโกนเสียงเหี้ยม
“ทำลาย เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะหักคอเด็กหญิงผู้นี้หรือ! อย่าพล่ามให้มากความ ส่งกล่องมา ข้าจะนับถึงสาม หากเจ้าไม่ลงมือ ข้าจะลงมือ! หนึ่ง สอง…” สือหลุนไม่สนใจคำพูดของข่มขู่ของผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนเลยสักนิด กลับกดนิ้วทั้งห้า ทำให้ใบหน้าของเด็กหญิงแดงก่ำ ในเวลาเดียวกันก็นับถอยหลังอย่างเย็นชา ไม่ให้โอกาสผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนได้ตั้งตัว
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำที่เหลืออีกสองคนเห็นฉากนี้ก็ฉีกยิ้มเบิกบาน ถึงได้รู้ว่าสหายร่วมวิถีของตนไม่คิดจะปล่อยเด็กหญิงผู้นี้ไปตั้งแต่แรก แค่หาอุบายมาข่มขู่อีกฝ่ายเท่านั้น
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนแม้ว่าจะมีปฏิภาณไหวพริบ เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ก็ตัวสั่นเทา ในหัวเกิดความคิดวุ่นวายไปหมด เมื่อเห็นสือหลุนจะเอ่ยคำว่าสาม เขาก็แทบจะโยนกล่องไหมในมือออกไปตามจิตสำนึกด้วยความลนลาน
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำคนหนึ่งหัวเราะร่าพลางก้าวมาข้างหน้า ใช้มือหนึ่งตะปบออกไป
เสียง “สวบ” ดังขึ้น ชั่วขณะนั้นกล่องไหมพลันถูกดูดเข้ามา
“ตรวจสอบ ดูว่าด้านในใช่โสมโลหิตต้นนั้นหรือไม่!” สือหลุนออกคำสั่งอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“ขอรับ พี่สือ!” ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถือกล่องไหมผู้นั้นตอบตกลง จากนั้นก็ขยับมือ เปิดฝากล่องไหมทันที
เห็นเพียงด้านในมีลำแสงสีโลหิตสว่างวาบ โสมที่มีสีโลหิตแวววาวความยาวสองสามฉื่อ วางอยู่ในกล่องนั้น
“พี่สือ ไม่ผิด เป็นโสมโลหิตจริงๆ!” ผู้บำเพ็ญเพียรสวมชุดสีดำเบิกตากว้าง พลางตอบกลับสือหลุน
สือหลุนและผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำอีกคนหนึ่งได้ยิน ก็เผยสีหน้าดีอกดีใจออกมา
“เอาล่ะ พวกเจ้าได้โสมโลหิตไปแล้ว ก็ควรจะปล่อยยัยหนูได้แล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนมีสีหน้าซีดขาว กัดฟัน เอ่ยถามอย่างเย็นชา
“หึ ปล่อยพวกเจ้าไป จากนั้นก็ให้ไปหา ‘เซียนเย่ว์หัว’ มาหาเรื่องพวกเราน่ะหรือ!” สือหลุนได้ยินคำนี้กลับแค่นเสียง เผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา
“พวกเจ้ารู้จักแม่บุญธรรมของผู้แซ่ไป๋ แล้วยังกล้าลงมืออีกหรือ?” ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนได้ยินคำนี้ ก็รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง
“ฮ่าๆ เจ้าคิดว่าหากไม่ตรวจสอบฐานะของเจ้า ผู้แซ่สือและพวกจะกล้าลงมือหรือ แม้ว่าพวกเราสามคนจะไม่อยากหาเรื่องผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมคนหนึ่ง แต่ผู้ใดให้เจ้าพกโสมโลหิตเอาไว้ มีโสมโลหิตต้นหนึ่ง พวกเราก็จะผนึกระดับหลอมรวมได้แล้ว เหตุใดต้องหวาดกลัวเซียนเย่ว์หัว และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าและบุตรสาวทั้งสองก็ต้องตายอย่างไร้ศพ ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเราสามคนเป็นคนทำ เอาล่ะ ข้าขี้เกียจจะพูดพล่ามไร้สาระกับเจ้าแล้ว ลงมือ!” หลังจากที่สือหลุนหัวเราะร่าออกมา ก็ร้องตะโกน ฝ่ามือที่กุมเด็กหญิงอยู่เปล่งแสงสีดำสว่างวาบ แล้วชิงลงมือ
ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนหางตาแยกออก ร้องคำรามต่ำๆ ออกมา สะบัดแขนเสื้อ กระบี่สีเหลืองปรากฏขึ้น แล้วพุ่งเข้าไปหาสือหลุน
แต่เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวนี้ช่วยเด็กหญิงไม่ทันแล้ว
สือหลุนมุมปากกระตุก นิ้วทั้งห้าออกแรง หมายจะบีบคอของเด็กหญิงให้หัก
แต่ในยามนั้นเองฉากที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้น
สือหลุนสัมผัสได้ว่ารอบด้านมีระลอกคลื่นประหลาดปรากฏขึ้น จากนั้นลำคอบางๆ ที่แต่เดิมน่าจะเย็นเยียบ พลันมีความเจ็บปวดที่ยากจะรับไหวส่งผ่านปลายนิ้วมา
เขาอดที่จะร้องครวญครางออกมาไม่ได้ จากนั้นก็มองไปยังลำคอเด็กหญิงที่อยู่ในมืออย่างรวดเร็ว
เห็นเพียงในมือมีเด็กหญิงนามว่าไป๋กั่วเอ๋อร์ที่ไหนกัน เป็นหุ่นเชิดเหล็กสีดำสนิทแทน
และหุ่นเชิดนี้ก็ไม่ได้สร้างขึ้นอย่างหยาบๆ เรือนกายเต็มไปด้วยหนามแหลมสีฟ้าความยาวสองสามชุ่น
และฝ่ามือที่บีบคอของหุ่นเชิด ล้วนถูกหนามแหลมแทงทะลุ โลหิตสดๆ ไหลออกมา
ผู้บำเพ็ญเพียรนามว่าสือหลุนกลับกล้าหาญเป็นอย่างมาก สะบัดข้อมือ เหวี่ยงหุ่นเชิดเหล็กไปบนพื้น แล้วร้องตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ผู้ใดกล้าลอบทำร้ายข้า รีบออกมาเดี๋ยวนี้!”
เมื่อเอ่ยจบ เขาพลันพลิกฝ่ามือ ธงอาคมสีดำตั้งหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนก็มีสีหน้างุนงง
ยามนี้ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำที่เหลือสองคนถึงได้เข้าใจขึ้นมา คนหนึ่งสำแดงขวานสั้นสีเงินคู่หนึ่งออกมา คนหนึ่งสำแดงโล่ประหลาดสีดำที่เต็มไปด้วยหนามแหลมออกมา แล้วแผ่จิตสัมผัสออกไปพร้อมกัน
“ต้าเซ่า ข้าทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว เกรงว่าจะต้องสู้แล้ว” เสียงเย็นชาดังออกมาจากหลังต้นไม้ในบริเวณใกล้เคียง
สือหลุนและพวกได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสี มองไปทางนั้นอย่างระแวดระวังพร้อมกัน
“หึ ไม่ต้องให้เจ้าพูด ไห่ต้าเซ่าก็ทนดูเรื่องนี้ไม่ได้ ปล้นก็ปล้นเถิด คาดไม่ถึงว่าจะคิดลงมือกับผู้หญิงและเด็ก ข้าจะต้องตอกหน้าพวกเขาสามคนหน่อยแล้ว ทว่าพวกเราสองคนดูเหมือนจะสู้เจ้าสามคนนั้นไม่ค่อยได้นะ” เสียงบุรุษอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น แต่ท่าทางกังวลใจเล็กน้อย
“ฮ่าๆ กลัวอันใด! ไม่ใช่ว่ายังมีพี่หานหรือ! สามต่อสาม แม้ว่าจะสู้ไม่ได้ ก็ไม่มีทางเป็นอันตราย!” เสียงที่หนึ่งเปลี่ยนจากเย็นชาเป็นยินดีปรีดา
ตอนที่ 1778 สามต่อสาม
สือหลุนและพวกทั้งสามมีสีหน้าเคร่งขรึม จ้องเขม็งไปยังต้นไม้ใหญ่โดยไม่ได้พูดอันใด
ผลคือเห็นด้านหลังต้นไม้มีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันมีผู้บำเพ็ญเพียรแปลกหน้าสามคนปรากฏขึ้น
คนหนึ่งสวมชุดคลุมนักปราชญ์สีเหลืองเป็นบุรุษรูปงามอายุสามสิบกว่าปี คนหนึ่งคือนักพรตน้อยอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีสะพายกระบี่ไม้สีดำไว้ที่แผ่นหลัง คนสุดท้ายเป็นชายหนุ่มหน้าตาไม่สะดุดตาเลยสักนิดสวมชุดคลุมสีเขียวแต่มือข้างหนึ่งกลับหนีบยันต์สีเงินเอาไว้ อีกข้างหนึ่งคาดไม่ถึงว่าจะหนีบร่างเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงนามว่าไป๋กั่วเอ๋อร์เอาไว้
แน่นอนว่าพวกเขาคือหานลี่และพวกทั้งสามคน
จะว่าไปแล้วก็บังเอิญ พวกเขาสามคนเดินทางมาอย่างยาวนาน และเพิ่งจะมาถึงที่นี่เข้าพอดี
เป็นเพราะมาอยู่ใกล้ๆ กับภูเขาเก้าเซียนแล้ว ประกอบกันก่อนหน้านี้เร่งรุดเดินทาง ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจจะพักสักคืน พรุ่งนี้ค่อยออกไปเดินเล่นที่ย่านร้านค้า
ผลคือไม่รอให้ทั้งสามคนเริ่มพักผ่อน สือหลุนและพวกก็มาถึงที่รกร้าง และเปิดฉากสังหารคนชิงสมบัติต่อหน้าต่อตาพวกเขา
เดิมเรื่องเช่นนี้ย่อมเกิดขึ้นอย่างบ่อยคลั่งในแดนวิญญาณ แต่สือหลุนกลับพูดกลับกลอกไปมา กลับเอาเด็กหญิงมาข่มขู่อีกฝ่าย นี่มันชั่วช้าเกินไปหน่อยแล้ว
ทำให้ไห่ต้าเซ่าและพวกสองคนที่มีจิตใจเที่ยงธรรมทนดูต่อไปไม่ไหว และจึงเกิดฉากลงมือช่วยคนอย่างลับๆ ขึ้น
แน่นอนว่านี่เป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่า ‘พี่หาน’ ที่อยู่ด้านหลังมีพลังลึกล้ำยากจะคาดเดา
จะแย่แค่ไหน ก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิต
เมื่อทั้งสองกระโดดออกมาด้วยความโกรธ หานลี่ก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วเดินออกมาด้วย
“พวกเจ้าเป็นใคร กล้ามายุ่งเรื่องของพวกเราสามพี่น้อง” สือหลุนเห็นทั้งสองคนเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณ อีกคนคาดไม่ถึงว่าจะเป็นแค่คนธรรมดาไม่มีพลังปราณ ก็รู้สึกผ่อนคลายลง แล้วกลับมาเอ่ยข่มขู่อีกครั้งด้วยสีหน้าถมึงทึง
“ชี่หลิงจื่อ ‘ยันต์ลูกท้อแข็งลูกพลัมแทน’ ของเจ้าน่าสนใจจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะใช้หุ่นเชิดมาเปลี่ยนตัวกับเด็กผู้หญิงคนนั้นได้ ทว่าครั้งที่แล้วยามที่พวกเราพบกับอันตราย เหตุใดถึงไม่เคยเห็นเจ้าผู้ซึ่งเป็นผู้ดูแลอารามใช้มันเลย หรือว่าชีวิตน้อยๆ กำลังจะหาไม่แล้วก็ยังคิดจะเก็บเอาไว้?” ไห่ต้าเซ่ากลับค้อนสายตาใส่ชี่หลิงจื่อ ท่าทางคิดบัญชีย้อนหลัง
“ถุย! เก็บเอาไว้อันใด ยันต์ท้อแข็งลูกพลัมแทนแผ่นนี้ใช้ง่ายมาก ก่อนหน้าที่เขียนยันต์ ข้าแทบจะหมดตัว ถึงได้เขียนขึ้นมาได้ ผลคือทำให้พลังปราณในร่างไม่พอ จึงควบคุมไม่ได้ เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเอายันต์นี้ให้พี่หานใช้ พวกเราคงไม่อาจช่วยแม่หนูผู้นี้ได้” ชี่หลิงจื่อมีสีหน้ากล้ำกลืน จนต้องร้องครวญจนเกือบจะเต้นเร่าๆ ออกมา
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” ไห่ต้าเซ่ารู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย
ทั้งสองคนคนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบไม่ได้สนใจคำถามของสือหลุนเลยสักนิด จึงทำให้สีหน้าของเขาเขียวคล้ำขึ้นมา
ผู้บำเพ็ญเพียรสวมชุดดำที่เหลืออีกสองคนเองก็ฉายแววตาโหดเหี้ยมออกมา
ส่วนหานลี่กลับแค่ขยับแขน วางเด็กหญิงผู้นั้นลงบนพื้นด้านข้าง ใบหน้าเผยสีหน้าอมยิ้มออกมา
ส่วนไป๋กั่วเอ๋อร์เป็นเพราะเพิ่งรอดพ้นจากความตาย จึงยังตกตะลึงไม่ได้สติ แค่มองหานลี่และพวกอย่างอึ้งๆ ท่าทางไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
“ลงมือ สังหารเจ้าโจรสามคนนั้น!” สือหลุนมีสีหน้าเคร่งขรึม ในที่สุดก็พ่นคำพูดอาฆาตแค้นออกมาจากปาก
จากประสบการณ์ของเขา แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีสามคน แต่ผู้ที่เขาสนใจที่สุดก็คือชายหนุ่มระดับสร้างปราณขั้นปลายที่ไม่พูดอันใดเลยผู้นั้น
อีกสองคนคนหนึ่งระดับสร้างปราณขั้นต้น คนหนึ่งเป็นคนธรรมดา ประกอบกับบุรุษวัยกลางคนก่อนหน้าก็เป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณขั้นกลางอีกคนหนึ่ง
พวกเขาสามคนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณขั้นปลาย อาศัยแค่ระดับพลังยุทธ์ ล้วนกดอีกฝ่ายได้
และยิ่งไปกว่านั้นจากพลังของเขาทำให้สหายร่วมวิถีทั้งสองหวาดกลัวเช่นนี้ ย่อมมีวิธีสังหารที่ร้ายกาจ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมก็ใช้อำนาจคุกคามได้
เช่นนั้นเขาย่อมมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะเอาชนะสองสามคนที่อยู่ตรงหน้าได้
สิ่งเดียวที่เป็นปัญหาก็คือหากอยากสังหารทั้งหมด เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้
ถึงอย่างไรเสียหากอีกฝ่ายคิดหนี ก็ไม่อาจสังหารทั้งหมดได้
นี่เป็นสาเหตุที่เขาไม่ได้ลงมือตั้งแต่แรก แต่อยากใช้คำพูดให้หานลี่และพวกทั้งสามสงบก่อน
แต่สือหลุุนไม่ได้ทำการปล้นชิงสังหารคนเช่นนี้เป็นครั้งแรก เมื่อเห็นว่าไม่อาจพูดชักจูงทั้งสามคนได้ ชั่วพริบตานั้นก็ไม่คิดจินตนาการอันใดอีก ทันใดนั้นก็เกิดความคิดอยากลงมือสังหาร
จากความคิดของเขา แม้ว่าจะหนีไปได้คนสองคน พวกเขาก็คงออกจากภูเขาเก้าเซียนทันที ก็พอจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ได้แล้ว
จะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงอันใด มาจัดการเรื่องนี้อย่างการไล่สังหารพวกเขาโดยเฉพาะ
ดังนั้นหาก ‘ลงมือ’ อย่างที่พูดเมื่อครู่ ธงอารามสีดำเป็นตั้งๆ ในมือกลายเป็นลำแสงสีดำสิบกว่าสายพุ่งออกไป ทว่าเป้าหมายกับไม่ใช่หานลี่และพวกทั้งสามคนกลับเป็นบุรุษวัยกลางคนที่อยู่ใกล้ๆ ผู้นั้น
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำอีกสองคน สองมือถือขวานสีเงิน มือหนึ่งถือโล่หนามสีดำกลายเป็นลำแสงสีเงินสองสายและหมอกสีดำพุ่งเข้าไปหาบุรุษวัยกลางคน
ทั้งสามคนมักจะร่วมมือกันต่อกรกับศัตรูอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปรึกษาอันใด ก็ลงมือพร้อมกันได้อย่างพอดิบพอดี
แรงจูงใจของพวกเขาเห็นได้ชัดมาก คือจัดการบุรุษวัยกลางคนก่อน แล้วค่อยๆ จัดการหานลี่และพวกทั้งสามคน
ส่วนบุรุษวัยกลางคนเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็หน้าซีดขาว สะบัดข้อมืออย่างไม่ต้องขบคิด ปล่อยกระบี่เล่มเล็กสีเหลืองออกมา และบินวนล้อมรอบไปมาจนกลายเป็นม่านกระบี่
จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้ออีกข้างหนึ่ง ทรายสีเหลืองบินออกมา กลายเป็นลำแสงดวงดาราปกคลุมเรือนร่างของเขาเอาไว้
เสียงระเบิด “ตูมๆ” ดังขึ้น!
ม่านกระบี่ผืนนั้นทลายอานุภาพทั้งสามชนิดไปอย่างง่ายดาย แต่เมื่อตกอยู่บนทรายสีเหลืองกลับถูกสั่นเทาแล้วต้านทานเอาไว้
ครานี้ทำให้สือหลุนและพวกทั้งสามคนรู้สึกแปลกใจ
ทว่าพวกเขาก็กระตุ้นอาวุธในทันที แล้วหมายจะโจมตีลำแสงดวงดาราที่อ่อนแสงลงเล็กน้อย
แต่ยามนั้นไห่ต้าเซ่ากลับร้องตะโกนออกมา เท้าข้างหนึ่งย่ำไปบนพื้น
เสียง “ปัง” พื้นดินสั่นสะเทือนดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าร่างกายของเขาจะพุ่งออกไปราวกับลูกธนู หลังจากกะพริบวาบก็มีผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำควบคุมขวานสีเงินปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ไห่ต้าเซ่าโบกมือทั้งสองข้าง ในมือมีถุงมือสีทองเรืองรองปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ สองมือโบกสะบัด เงากำปั้นสีทองพุ่งลงมาโจมตีด้านล่างราวกับห่าฝน
เงากำปั้นยังไม่ทันลดระดับลงมา พลังที่น่าตกตะลึงก็ห่อหุ้มเงากำปั้นเอาไว้
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำที่อยู่ด้านล่างพลันตกตะลึง ไหนเลยจะสนใจทำการโจมตีบุรุษวัยกลางคน รีบเปลี่ยนอาคมในมือ
สายรุ้งสีเงินสองสายที่อยู่ไกลออกไปเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งกลับมา กลายเป็นลำแสงสีเงินปกป้องร่างของเขาเอาไว้
ครู่ต่อมาระหว่างทั้งสองก็เกิดเสียงอึกทึกดังขึ้นไม่ขาดสาย ลำแสงสีทองลำแสงสีเงินตัดสลับกันไปมา ห่อหุ้มร่างของทั้งสองเอาไว้
แต่ท่ามกลางเสียงหัวเราะร่าของไห่ต้าเซ่า เงากำปั้นสีทองพลันเปล่งแสงสีทองออกมาในพริบตา ราวกับดวงอาทิตย์สีทองบีบให้ลำแสงสีเงินล่าถอยไปทีละก้าวๆ
“ร่างวิญญาณ ผู้ฝึกตน!”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำที่อยู่ด้านข้างอีกคนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี ชี้ไปที่โล่หนามสีดำคิดจะลงมือโจมตีไห่ต้าเซ่า
แต่ในยามนั้นเองชี่หลิงจื่อที่อยู่ไกลออกไปก็สั่นศีรษะแล้วถอนหายใจออกมา และเอ่ยพึมพำอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด
“อันใด สองรุมหนึ่ง ไร้ยางอายไปหน่อยกระมัง ทำอันใดไม่ได้ แม้ว่าข้าจะเป็นผู้ดูแลอาราม ลงมือกับเจ้าจะเสียฐานะ แต่เพื่อไห่ต้าเซ่าก็เป็นข้อยกเว้น”
สิ้นเสียงนักพรตน้อยก็ชูมือข้างหนึ่งขึ้น ตบยันต์สีฟ้าไปบนร่าง
หลังจากที่สีฟ้าครามเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างชี่หลิงจื่อก็สลายหายไปในพริบตา
แต่ทันใดนั้นลำแสงสีฟ้าก็ควบคุมโล่อยู่เหนือผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำ เปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้งแล้วปรากฏตัวขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำผู้นี้นับว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การต่อสู้ที่เฟื่องฟู เมื่อพบว่าสถานการณ์ผิดปกติ ก็ควบคุมโล่เข้าช่วยสหายร่วมวิถีทันที และกลายเป็นหมอกสีดำพุ่งไปกดลำแสงสีฟ้าเอาไว้
เสียง “ปัง” ดังขึ้น ลำแสงสีฟ้าถูกทุบจนปริแตกราวกับสายธาร กลายเป็นลำแสงสีฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนแตกกระจายสลายไป
แต่ด้านในกลับว่างเปล่า ไม่มีเงาร่างของชี่หลิงจื่อเลยสักนิด
“แย่แล้ว”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำผู้นั้นพลันร้องอุทานในใจ แต่กลับสายไปเสียแล้ว ด้านหลังของเขามีหมอกสีฟ้าอ่อนปรากฏขึ้น
จากนั้นเสียงแหวกอากาศพลันดังขึ้น กรวยน้ำแข็งสีฟ้าความยาวสองสามฉื่อยี่สิบสามสิบแท่งพุ่งออกมา
ยามนี้แม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำจะมีพลังยุทธ์เหนือกว่าชี่หลิงจื่อ แต่ก็ป้องกันไม่ได้ กรวยน้ำแข็งสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วมาถึงแผ่นหลังของผู้บำเพ็ญเพียร
แต่เห็นเพียงลำแสงสีดำสว่างวาบ เงาลวงตาราวกับพยัคฆ์สีดำตัวหนึ่งปรากฏขึ้น
กรวยน้ำแข็งโจมตีไปด้านบน คาดไม่ถึงว่าจะถูกต้านทานเอาไว้แปดเก้าส่วน มีเพียงสองสามแท่งที่โจมตีโดนแผ่นหลังของผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำ
ทำให้เขาโซซัดโซเซ โลหิตสดๆ สองสามกลุ่มทะลักออกมาจากร่าง
“เจ้าบ้า ข้าจะฆ่าเจ้า!” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำผู้นั้นถูกชี่หลิงจื่อลอบโจมตีจนได้รับบาดเจ็บหนัก ชั่วขณะนั้นพลันระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมา สองมือพลันร่ายอาคม แขนเสื้อโป่งขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีหัวผีดิบสีดำสองสามหัวลอยออกมา แล้วพ่นพิษสีเหลืองออกมากระโจนไปหานักพรตน้อยอย่างดุดัน
ชี่หลิงจื่อเห็นเช่นนั้นพลันกระโดดโหยง รีบร้อนขยับมือข้างหนึ่ง กุมกระบี่ไม้สีดำที่แผ่นหลังเอาไว้ จากนั้นก็ร่ายอาคม มือหนึ่งที่ถือกระบี่ไม้ชี้ไปตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีฟ้าก็พ่นออกมาจากปลายกระบี่เป็นสายๆ โจมตีไปที่หัวกะโหลกสีดำเหล่านั้นอย่างแม่นยำ แต่ก็ทำได้เพียงทำให้พวกมันหยุดชะงัก แต่กลับไม่อาจทำอันตรายใดได้จริงๆ
แต่ชี่หลิงจื่อก็ไม่รู้ว่าฝึกฝนเคล็ดวิชาหลีกหนีอันใด ผิวเปล่งแสงสีฟ้าออกมา คาดไม่ถึงว่าร่างกายก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศราวกับมัจฉาแหวกว่ายกลางสายธาร ทำให้แม้คู่ต่อสู้จะใช้อาวุธหรือพลังยุทธ์ที่เหนือกว่าเขา ก็ยังทำอันใดเขาไม่ได้
สีหน้าของสือหลุนในยามนี้ย่ำแย่กว่าเมื่อครู่หลายส่วน
แม้ว่าอีกฝ่ายจะลงมือแค่สองคน แต่ระดับก็รุนแรง แต่กลับดูเหมือนว่าจะอยู่เหนือความคาดหมาย
แม้ว่าจะมั่นใจว่าสหายร่วมวิถีทั้งสองจัดการคู่ต่อสู้ได้ แต่เขากลับไม่รออีกต่อไป
เขาตัดสินใจไม่สนลำแสงสีดำที่บินวนล้อมรอบบุรุษวัยกลางคนสิบกว่าสายนั้น มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ คาดไม่ถึงว่าจะมีถุงหนังสีแดงโลหิตปรากฏขึ้น ด้านในมีเสียงอึกทึกดังแว่วมา
แต่ในยามนั้นเองฉับพลันนั้นแผ่นหลังของเขาก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้น
“อ๋อ คือแมลงวิญญาณหรือ ดูเหมือนว่าระดับจะไม่ต่ำด้วย? ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณคนหนึ่งมีแมลงวิญญาณ นับว่ามีฝีมือนี่”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น