ยอดหญิงสกุลเสิ่น 177.2-178.1
ตอนที่ 177-2 เจรจาสงบศึก
วันที่คนซีเหลียงกลับไป ประชาชนเมืองชายแดนทั้งหมดต่างก็ออกมาส่งด้วยความยินดีปรีดา หากไม่ใช่ว่ามีทหารชายแดนรักษาความเรียบร้อยอยู่ พวกเขาก็คงจะปาก้อนหินไข่เน่าออกไปแล้ว ผู้คนมองกองทัพใหญ่ซีเหลียงจากไปอย่างรวดเร็ว มองท้องฟ้าที่มืดครึ้มแล้วก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมาหนึ่งครา ในที่สุดก็ส่งหายนะไปได้แล้ว หลังจากนี้ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้แล้ว แต่เมื่อนึกถึงญาติพี่น้องที่จากไปในไฟสงคราม จิตใจของพวกเขาก็จมดิ่งลงอีกครั้ง
ชั่วพริบตาก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว หากเดินทางกลับเมืองหลวงตอนนี้ เช่นนั้นก็ต้องฉลองวันปีใหม่กลางทาง ได้ไม่คุ้มเสียเกินไปแล้ว ไม่สู้ฉลองปีใหม่ที่ซีเจียง หลังปีใหม่ค่อยกลับเมืองหลวง
คนค่อยกลับเมืองหลวงหลังปีใหม่ก็ได้ แต่สาส์นกราบทูลข้อราชการกลับไม่ได้ การเจรจาสงบศึกฝั่งนี้สรุปผลแล้ว สาส์นกราบทูลหลายฉบับฝั่งนั้นก็ส่งจากเมืองชายแดนซีเจียงไปยังเมืองหลวง
คราวนี้จักรพรรดิยงเซวียนก็ยิ่งดีพระทัย กลางดึกก็ไม่มีอารมณ์นอนแม้แต่นิดเดียว อ่านสาส์นกราบทูลซ้ำไปซ้ำมา ราวกับว่าจะอ่านจนกว่าดอกไม้จะบานออกมาได้ โดยเฉพาะสาส์นกราบทูลของหย่งติ้งโหว ชื่นชมคุณชายสี่แซ่เสิ่นออกหน้าออกตา กล่าวว่าที่สามารถนำเงินทองและของจำนวนมากเช่นนั้นกลับมาจากซีเหลียงได้ล้วนแต่เป็นความคิดของคุณชายสี่ วิเคราะห์ความไม่เหมาะสมในแนวคิดก่อนหน้านี้ของตน แล้วยังซึ้งใจที่คนรุ่นหลังเก่งนำคนรุ่นก่อน เด็กคนนี้จะต้องกลายเป็นบุคลลสำคัญของราชสำนักแน่นอน ดูออกว่าหย่งติ้งโหวไม่รู้เลยว่าคุณชายสี่แซ่เสิ่นที่เขาชอบอกชอบใจเป็นสตรีผู้หนึ่ง
จักรพรรดิยงเซวียนก็ซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุดเช่นกัน คุณหนูแซ่เสิ่นผู้นี้พูดสิ่งที่อยู่ในใจแทนเขาแล้วจริงๆ เป็นจักรพรรดิของแคว้น แม้จะร่ำรวยที่สุดในใต้หล้า แต่ท้องพระคลังที่ว่างเปล่ากลับทำให้เขาลำบากอยู่บ่อยครั้ง ที่เขาเกลียดที่สุดก็คือแคว้นแล็กๆ ที่ชายแดนเหล่านั้น ชอบยั่วยุอยู่บ่อยๆ แพ้แล้วก็แสร้งร้องไห้อ้อนวอน ขอเสบียงเงินทองไปจากตน สุดท้ายแล้วตนก็เสียเงินเปล่า
ความจริงแล้ว จักรพรรดิยงเซวียนไม่อยากให้เลยแม้แต่นิดเดียว รบแพ้ก็ต้องอยู่ไปอย่างซื่อสัตย์ ไม่คิดบัญชีย้อนหลังกับเจ้าก็ดีเท่าไรแล้ว ยังกล้ากระโดดโหยงเหยงมาขอของอีก คิดว่าตัวเองเป็นใคร ของของข้าไม่ใช่ว่าลมหอบมาเสียหน่อย ด้วยนิสัยของเขา หากไม่ยอมพวกเราก็มารบ บรรพบุรุษตระกูลสวีก็ชิงแผ่นดินบนหลังม้า เคยกลัวใครที่ไหน คิดจะขอของไม่มีทางเสียหรอก
ทว่ากลับค้านขุนนางชั้นผู้ใหญ่กลุ่มนั้นในราชสำนึกไม่ไหว โดยเฉพาะตาเฒ่าหลายคนนั้นในกรมพิธีการ วันทั้งวันเอาแต่พร่ำบ่นข้างหูเขา น้ำใจแคว้นใหญ่บ้างล่ะ เป็นจักรพรรดิน่านับถือบ้างล่ะ มีคุณธรรมต่อผู้อื่นบ้างล่ะ
เหอะ มารดาเขาสิ เขารู้แค่เพียงท้องพระคลังของเขาว่างลงทุกวันๆ เขาดำรงตำแหน่งฮ่องเต้นี้ด้วยความอันอั้นยิ่งนัก ชิงดินแดนอาศัยขุนพล แต่ปกครองดินแดนต้องการขุนนางฝ่ายบุ๋นเหล่านี้ เขาคงไม่อาจฆ่าคนเหล่านี้จนหมดได้ ในเมื่อฆ่าไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงอัดอั้นตันใจอยู่คนเดียว
ตอนนี้คุณหนูสี่แซ่เสิ่นพูดความในใจเขาออกมาแล้ว ทำเรื่องที่เขาอยากทำแต่ทำไม่ได้สำเร็จแล้ว เขาจะไม่ดีใจได้อย่างไร ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งราชสำนักยังมีความรู้ไม่เท่าสตรีผู้เดียว จะให้เขาพูดอย่างไรดี
สตรีดีๆ เช่นนี้ก็ต้องปูบบำเหน็จ แต่ตนได้พระราชทานบรรดาศักดิ์นางให้เป็นจวิ้นจู่แล้ว นี่คือจวิ้นจู่ที่ไม่ได้มีสายโลหิตในราชวงศ์คนแรกนับตั้งแต่สถาปานาแคว้นมา หรือว่าจะเลื่อนขั้นเสิ่นหงเซวียนบิดาของนางดี ฟังว่านางยังมีน้องชายแท้ๆ อยู่หนึ่งคน แม้ว่าอายุยังน้อย แต่กลับพระราชทานตำแหน่งเพียงแค่ในนามให้ได้เหมือนกัน
จักรพรรดิยงเซวียนยินดีปรีดา อนุมัติใบเสนอบันทึกความดีความที่เสิ่นผิงยวนส่งมาทั้งหมด สำหรับคำขอกลับเมืองหลวงหลังปีใหม่เขาเองก็เข้าใจอย่างถึงที่สุด ไม่เพียงแต่สั่งด้วยความใส่ใจว่าไม่ต้องรีบ ซ้ำยังบอกเป็นนัยว่าหลังกลับเมืองหลวงแล้วจะมีบำเหน็จจำนวนมาก
ขึ้นครองราชย์มาหลายปีเพียงนี้ ถือได้ว่าปีนี้ผ่านไปอย่างสบายใจที่สุด จักพรรดิอารมณ์ดีแล้ว ชีวิตของขุนนางชั้นผู้ใหญ่เบื้องล่างย่อมต้องดี แม้ว่าพวกเขาจะอิจฉาริษยาจงอู่โหวที่โชคดี แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาใช้ความสามารถแย่งมาได้ด้วยตัวเอง
เสิ่นเวยที่อยู่ไกลถึงซีเหลียง ปีนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยความสุขอย่างยิ่ง ปีใหม่โบราณครื้นเครงอย่างถึงที่สุด ตั้งแต่วันที่ยี่สิบเดือนสิบสองก็เริ่มครึกครื้นแล้ว ไม่เงียบเหงาเหมือนยุคปัจจุบัน
คืนวันที่สามสิบ เสิ่นเวย สวีโย่ว ท่านเสิ่นโหว แม่ทัพอู่เลี่ย หย่งติ้งโหวและคนอื่นๆ นั่งล้อมโต๊ะทานอาหารค่ำด้วยกัน ผักที่เสิ่นเวยนำคนไปปลูกก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง กับข้าวจำนวนมากล้วนเป็นอาหารที่เสิ่นเวยสอนออกมา เพียงแค่เกี๊ยวก็แบ่งเป็นไส้หลายชนิดแล้ว มีไส้กุยช่ายขาวผัดไข่ มีไส้หมูสับผัดต้นหอม มีไส้เนื้อแกะผัดเม็ดยี่หร่า ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง แม้แต่สวีโย่วที่ปกติเลือกกินยังกินไปหนึ่งชามใหญ่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหย่งติ้งโหวและคนอื่นๆ กินไปพลางชมไปพลาง บอกว่าอยู่ที่เมืองหลวงไม่เคยกินเกี๊ยวที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน
กินข้าวเสร็จแล้วเสิ่นเวยก็ไปดูผู้ใต้บังคับบัญชาของนาง ในห้องโถงมีโต๊ะจัดวางอยู่หลายสิบโต๊ะ ทุกคนกำลังดื่มสุรากินเนื้อเล่นเป่ายิงฉุบ บนใบหน้าแต่ละคนล้วนเปี่ยมไปด้วยสีหน้าเฉลิมฉลองเทศกาล
เสิ่นเวยพูดอย่างเรียบง่ายไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ดื่มสุราหนึ่งแก้วร่วมกับพวกเขา ทุกคนต่างทราบฐานะที่แท้จริงของนายท่านตนดี ย่อมไม่มีใครโน้มน้าวให้ดื่มสุรา
ออกจากห้องโถง เถาฮวาก็รอนางอยู่ข้างนอก ในอกกอดดอกไม้ไฟ กะพริบตาปริบๆ มองนาง “คุณชาย ตอนนี้ไปเล่นดอกไม้ไฟได้แล้วหรือยัง”
ในใจเสิ่นเวยรู้สึกอบอุ่นอย่างยิ่ง ลูกหัวเถาฮวา ตอบอย่างสบายอารมณ์ “ไป พวกเราไปเล่นดอกไม้ไฟกัน”
ดอกไม้ไฟโบราณย่อมไม่งดงามละลานตาเท่ายุคปัจจุบัน แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เถาฮวาก็ยังคงดีใจอย่างถึงที่สุด ตบมือยิ้มแย้ม รอยยิ้มนั้นบริสุทธิ์และงดงาม
เสิ่นเวยเองก็กำลังยิ้ม นางเงยหน้ามองดอกไม้ไฟที่ปะทุออกบนท้องฟ้า นึกถึงอีกมิติหนึ่งที่ไกลแสนไกล แม่ของนางจะสบายดีหรือไม่ คิดถึงนางเหมือนกับนางหรือไม่
ตอนที่สวีโย่วออกมาก็มองเห็นเด็กน้อยของเขาอมยิ้มมองท้องฟ้าในยามราตรีพอดี ท่าทางที่มีเพียงหนึ่งในใต้หล้าราวกับจะบินหนีไปเช่นนั้นทำให้ในใจสวีโย่วบีบแน่นอย่างไม่รู้ตัว เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปจับไหล่ของนางไว้ หัวใจก็สงบลง
“กลางคืนหนาว ไม่รู้จักใส่เสื้อเพิ่ม” เขาคลุมเสื้อคลุมลงบนร่างเสิ่นเวย นิ้วมือที่เรียวยาวช่วยนางผูกเชือกอย่างตั้งใจ
เสิ่นเวยเงยหน้าขึ้น กระทั่งมองเห็นขนตาของเขาได้อย่างชัดเจน ความอุ่นขับไล่ความหนาวเหน็บในใจนาง หัวใจที่สงบนิ่งก็บังเกิดคลื่นซัดสาด เสิ่นเวยคิด บางทีชายผู้นี้อาจจะอยู่ร่วมกับนางไปได้ตลอดชีวิต
ทั้งสองยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ท่าทางหมาะสมเช่นนั้น ชวนให้คนอิจฉา ชวีไห่กับหมอหลิวที่ออกมาเดินให้สร่างเมาเห็นคุณหนูของพวกเขากับว่าที่เขยพูดคุยกันอย่างสนิทชิดเชื้อ ในแววตาก็เผยรอยยิ้ม คืนนี้เป็นคืนรวมตัว ออกมานานเพียงนี้ ยังคงคิดถึงบ้างเล็กน้อยจริงๆ
กิจกรรมโต้รุ่งส่งท้ายปีเก่าแต่ไหนแต่ไรเสิ่นเวยไม่ชำนาญ เหลือเวลาอีกนานกว่าจะเที่ยงคืนนางก็หาวไม่หยุดแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่ง ศีรษะนั้นก็ผงกเป็นไก่จิกข้าวสารแล้ว
ท่านเสิ่นโหวหัวเราะในใจ เอ่ยปากกล่าว “เจ้าสี่ยังเด็ก เป็นเวลาที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต กลับไปนอนก่อนเถอะ”
เสิ่นเวยประหนึ่งถูกยกภูเขาออกจากอก ลุกขึ้นด้วยความดีใจ “เช่นนั้นข้าขออวยพรปีใหม่ท่านปู่ก่อน ขอให้เป็นปีที่ดี มีเรื่องดีตลอดปี”
ท่านเสิ่นโหวดีใจในใจ แต่ปากกลับโมโห “ไม่แก่สิถึงแปลก” เด็กคนนี้ก็คือต้นเหตุนั่นเอง
เสิ่นเวยทำหน้าทะเล้น ประสานมือคารวะกลุ่มคนหนึ่งกลุ่มที่อยู่โต้รุ่งในห้อง “ทุกท่าน ข้าขอตัวก่อน” เดินไปถึงหน้าประตูก็หันหน้ากลับมา “ท่านปู่ พรุ่งนี้เช้าจะมาเอาซองแดงที่ท่าน ท่านอย่าลืมล่ะ อย่าลืมให้เยอะๆ ด้วย”
“เจ้าสี่นี่” ท่านเสิ่นโหวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คนที่เหลือต่างก็ยิ้มน้อยๆ มีลูกหลานที่ปราดเรียวเฉลียวฉลาดทั้งยังมีความสามารถเช่นนี้ใครบ้างจะไม่ชอบ
เสิ่นเวยนอนหลับเต็มอิ่ม เช้าวันที่สองก็กระโดดโลดเต้นไปรับซองแดง ได้มาเยอะอย่างยิ่ง คล้ายเยอะกว่าที่ผู้ใหญ่ทั้งหมดเคยให้นางเสียอีก แม้แต่สวีโย่วชายคนนั้นยังให้ตนหนึ่งซอง ซองแดงแบนๆ เบาๆ เมื่อเปิดดู กลับเป็นตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึง
เสิ่นเวยตกใจก่อน หมอนี่มีเงินขนาดนี้เลยหรือ พกตั๋วเงินมูลค่ามากติดตัว เหตุใดนางถึงไม่เคยสังเกตเห็นเล่า หลังจากนั้นก็ดีใจ ยิ่งตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าจะเอาทรัพย์สินส่วนตัวของสวีโย่วมาไว้ในมือให้จงได้
ผ่านวันที่ห้าไปพวกเขาก็ควรเดินทางกลับเมืองหลวงได้แล้ว เสิ่นเวย สวีโย่ว แม่ทัพอู่เลี่ยและหย่งติ้งโหวย่อมต้องกลับไป ท่านเสิ่นโหวที่เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่สูงที่สุดที่ปกครองซีเจียงก็ต้องกลับไปเช่นกัน ทว่าเสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงกลับอยู่ต่อ
ปีก่อนท่านเสิ่นโหวยื่นฏีกาแล้ว บอกว่าอายุมากแล้ว อยากเกษียณกลับเมืองหลวง หลานชายคนโตก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถแบ่งเบาภาระเขาได้แล้ว
ด้วยเหตุนี้กษัตริย์ขุนนางสองคนจึงรู้กันในใจ เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงเดิมก็มีคุณูปการอยู่แล้ว หนีไม่พ้นขุนนางลำดับที่หก บวกกับท่านเสิ่นโหวเกษียณแล้ว ตำแหน่งขุนนางของเสิ่นเชียนคาดว่ายังเลื่อนขั้นได้อีก สำหรับหร่วนเหิง เห็นแก่ญาติผู้น้องของเขาก็ไม่อาจปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่เป็นธรรม ยิ่งไปกว่านั้นราชสำนักยังติดหนี้จวนแม่ทพใหญ่อยู่อีกด้วย
แม้ว่าตำแหน่งขุนนางอย่างเป็นทางการจะยังไม่ได้กำหนด แต่ในใจทุกคนก็รู้ดี เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงอยู่รอตำแหน่งขุนนางที่ซีเจียงก่อน ตั้งใจฝึกฝนอยู่ที่ซีเจียง มีความสามารถแล้วค่อยกลับเมืองหลวงแสดงความปรารถนามุ่งมาด
ขามาเสิ่นเวยนำคนมาสี่ร้อยกว่าคน ขามาตอนแรกทุกคนต่างก็วิ่งเต้นสร้างคุณูปการเริ่มต้นอาชีพ ตอนนี้ถึงเวลากลับแล้ว เสิ่นเวยย่อมให้พวกเขามีสิทธิ์เลือกเต็มที่ จะกลับหรือจะอยู่ต่อให้ตัดสินใจเอาเอง อยากอยู่ต่อนางก็จะช่วย อยากกลับนางย่อมพากลับ
สิ่งทำให้เสิ่นเวยประหลาดใจก็คือทั้งหมดต่างก็เลือกกลับ ไม่มีใครยอมอยู่แม้แต่คนเดียว คนจำนวนมากในกลุ่มพวกเขาทำศึกห้าวหาญ อาศัยคุณงามความดีก็สามารถเป็นขุนนางระดับเล็กได้แล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเลือกกลับ จะไม่ให้นางตกใจและซึ้งใจได้อย่างไร
ทุกคนบอกแล้วว่า สนามรบพวกเขาก็ผ่านมาแล้ว ทหารซีเหลียงก็ฆ่ามาไม่น้อยเช่นกัน พวกเขามีประสบการณ์เช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว พวกเขาอยากสร้างคุณปการเริ่มต้นอาชีพก็เพียงเพื่อมีชีวิตที่ดี ติดตามคุณหนูก็เป็นชีวิตที่ดีที่สุดแล้ว ไยจะต้องหอบข้าวของออกจากบ้านวิ่งไปไกลถึงซีเจียงด้วยเล่า
นอกจากนี้ที่พวกเขาสามารถมีชีวิตรอดจากสนามรบได้อย่างปลอดภัยก็เป็นเพราะการปกป้องของคุณหนู คุณหนูไม่อยู่ซีเจียง แม้พวกเขาจะอยู่ต่อ จิตใจก็จะกระวนกระวาย ไม่สู้ติดตามคุณหนูกลับไปดีกว่า
กองทหารเด็กฝึกฝนต่อ โอวหยางไน่ยืนกรานจะไป เสิ่นเวยจึงทำได้เพียงทิ้งทหารลับหลายคนไว้ ทว่าหลี่จื้อกลับโวยวายจะตามนางไปด้วย เขาบอกว่าตั้งแต่ที่นางช่วยชีวิตน้องชายน้องสาวเขา นางก็เป็นเจ้านายของเขาแล้ว เจ้านายอยู่ไหน เขาย่อมต้องติดตามไปที่นั่น
นี่ไม่ใช่ก่อความวุ่นวายหรือ เสิ่นเวยพูดเกลี้ยกล่อมโน้มนาวอยู่นานก็ไม่อาจทำให้หลี่จื้อเปลี่ยนใจได้ ท้ายที่สุดนางก็ใช้ไม้ตาย “เจ้ายังมีความสามารถไม่พอ ติดตามข้าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร อยู่ฝึกฝนที่จวนโหวต่อดีกว่า”
หลี่จื้อจึงเลิกยืนกรานจะติดตามนางกลับเมืองหลวง แต่ก็เอ่ยเงื่อนไขว่า ให้น้องชายน้องสาวของเขาตามไปปรนนิบัติข้างกายนายท่านก่อน เมื่อเขาร่ำเรียนจนมีฝีมือแล้วจะไปรับใช้ทันที
ตอนที่ 178-1 ระหว่างทาง
การออกเดินทางในยุคโบราณไม่ง่ายเหมือนยุคปัจจุบัน เพียงแค่เก็บของก็วุ่นไปสองวันแล้ว ขามาเสิ่นเวยเอาเสื้อผ้ามาเพียงสองชุดใส่สลับกัน ขากลับเพียงแค่ของส่วนตัวของนางก็ปาเข้าไปสองคันรถแล้ว บวกกับสิ่งของเงินทองที่ซีเหลียงส่งมา ทรัพย์สินส่วนตัวที่ท่านเสิ่นโหวสะสมมาครึ่งชีวิต ของที่ทหารประชาชนเมืองชายแดนส่งมา ของมากมายมหาศาลรวมกันแล้ว โอ ขบวนรถเรียงยาวไปจนถึงเส้นขอบฟ้า
ขนเงินทองและของมีค่ามากมายเพียงนี้ไปด้วย ความปลอดภัยระหว่างทางย่อมต้องให้ความสำคัญ นอกจากกำลังคนของเสิ่นเวยกับสวีโย่วแล้ว ท่านเสิ่นโหวยังเลือกกองกำลังทหารห้าร้อยนายในกองทัพมาคุ้มกันส่งอีกด้วย ขบวนทัพนี้ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง เสิ่นเวยคิดว่าคงจะไม่มีคนโง่ที่ไหนกล้าดักปล้นกลางทาง แต่ใครจะรู้ว่าดันเจอคนโง่เข้าเสียแล้ว
เพราะว่าคุ้มกันส่งของเยอะเพียงนี้ ดังนั้นจึงเดินทางได้ช้าอย่างถึงที่สุด เย็นวันนี้ กองทัพเพิ่งจะตั้งค่ายพัก ยังไม่ทำได้ก่อไฟทำอาหารก็ถูกลูกธนูที่ไม่รู้ว่ายิงมาจากไหนจู่โจมเข้าแล้ว
พื้นที่ตั้งค่ายกว้างโล่งอย่างถึงที่สุด นอกจากจะมีแม่น้ำอยู่ไม่ไกลแล้ว แม้แต่ต้นไม้เป็นที่กำบังยังไม่มี เจอลูกธนูที่ลอยมาอย่างหนาแน่น ซ้ำยังต้องคุ้มกันของบนรถ ทุกคนก็ตื่นตระหนกเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้
เสิ่นเวยไม่ได้สนใจ ต่อให้เงินทองจะดี ไหนเลยจะมีค่าเท่าชีวิตคน
“เร็ว รีบไปซ่อนหลังรถ ใช้รถบัง ตีโต้ตอบ” เสิ่นเวยตะโกนเสียงดังหนึ่งครา ดึงชวีไห่และหมอหลิวไปหลบอยู่ข้างหลังรถ สั่งห้ามพวกเขาสองคนออกไป ตนคว้าธนูหนึ่งคันจากนั้นก็ยิงออกไป ได้ยินเพียงสียงลูกธนูแทงเข้าเนื้อเบาๆ ในพุ่มหญ้าตรงหน้าเคลื่อนไหวเล็กน้อย
เสิ่นเวยเห็นเหตุการณ์นี้ ก็ตะคอกเสียงดังทันที “ยิงไปในหญ้า พวกเขาหลบอยู่ในพงหญ้า!”
มีที่กำบัง ซ้ำยังหาเป้าหมายเจอแล้ว ความกดดันก็ลดลงไปอย่างมากในชั่วพริบตา แต่เสิ่นเวยก็ยังคงไม่กล้าชะล่าใจ ชัยชนะยิ่งใหญ่ของซีเจียงใครบ้างไม่รู้ ตลอดการเดินทางพวกเขาเปิดเผยฐานะ ระหว่างทางก็มีขุนนางไม่น้อยเข้ามาคารวะ เหตุใดมาถึงที่นี่กลับมีคนลงมือกับพวกเขาอย่างไม่เกรงกลัวเลยเล่า ไม่กลัวจักรพรรดิลงโทษหรืออย่างไร
ท่านเสิ่นโหวกับหย่งติ้งโหวเองก็เห็นความผิดปกติแล้ว ทั้งสองสบตากับปราดหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมอย่างถึงที่สุด “เสิ่นโหว หากข้าดูไม่ผิด นี่น่าจะเป็นลูกธนูของกองทัพ” หย่งติ้งโหวหยิบลูกธนูหนึ่งดอกมาดูอย่างละเอียด แม้ว่าบนลูกธนูจะอำพราง แต่อย่างไรเสียหย่งติ้งโหวก็เป็นคนที่เคยนำทัพมาก่อน ยังคงมองออกในปราดเดียวว่านี่คือลูกธนูที่ใช้ในกองทัพ
หย่งติ้งโหวยังดูออก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงท่านเสิ่นโหวที่อยู่ในกองทัพมาตลอดทั้งปี คนที่สามารถสั่งการในกองทัพได้ เป็นกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังหรือ ท่านเสิ่นโหวกับหย่งติ้งโหวหรี่ตาลงพร้อมกัน ในใจมีความรู้สึกไม่ดี ใครกัน ใครกันที่กล้าถึงเพียงนี้ จงใจหาเรื่องพวกเขายังไม่เท่าไร แต่เก็บลูกท้อของจักรพรรดิอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ก็น่าใคร่ครวญอย่างยิ่ง
เสิ่นเวยเองก็พบความผิดปกติแล้ว แม้ว่านางจะไม่รู้จักลูกธนูของกองทัพ แต่คนกลุ่มนี้ที่โจมตีพวกเขาก็ดูจะฝึกฝนมาดีเกินไปหน่อย ความรู้สึกที่นางสัมผัสได้คุ้นเคยอย่างยิ่ง คล้ายกับว่ามาจาก…กองทัพ
ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมาในหัว สีหน้าท่าทางทั้งร่างของเสิ่นเวยก็เปลี่ยน จู่ๆ ก็นึกถึงมือสังหารที่ตนเจอในหมู่บ้านครั้งนั้น สัญชาตญาณบอกนางว่าสองเหตุการณ์นี้อาจจะเกี่ยวเนื่องกัน
“คุณชายสี่ คุณชายของพวกเราบอกให้ท่านระวังตัว ฝ่ายตรงข้ามเหล่านั้นน่าจะมาจากกองทัพ” เจียงเฮยคลำทางมากล่าวกับเสิ่นเวยด้วยสีหน้าจริงจัง
การคาดเดาในใจเสิ่นเวยได้รับการยืนยัน มองพุ่มหญ้าตรงหน้าที่ไม่รู้ว่ามีคนหมอบซุ่มอยู่เท่าไรด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้ารู้แล้ว เจ้ารีบกลับไปคุ้มกับคุณชายของพวกเจ้าเถอะ”
มาจากกองทัพ ยังซุ่มกำลังอย่างกล้าได้กล้าเสียเช่นนั้น จะต้องไม่กลัวการตรวจสอบเป็นแน่ แม้ว่าจะตรวจสอบ ก็ไม่อาจพบเจออะไรได้ เช่นนั้นก็มีคำอธิบายเพียงอย่างเดียว กองทัพส่วนตัว ใคร ใครมีอำนาจที่มากถึงเพียงนี้
ตอนนี้คิดหาวิธีรับมือก่อนดีกว่า ฝ่ายตรงข้ามหมอบซุ่มอยู่ในพงหญ้า ใช้เพียงธนูโจมตี ลูกธนูก็ยังแน่นขนัดอย่างยิ่ง คาดว่าน่าจะมีประมาณเกือบสามร้อยคน แต่ใครจะรู้ว่านี่คือกำลังคนทั้งหมดหรือไม่
ฝั่งเสิ่นเวยหลบอยู่หลังรถคอยตีโต้ตอบ กลับไม่ได้รับบาดเจ็บล้มตายมากนัก ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ใครจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามยังมีกองกำลังหนุนอีกหรือไม่ พวกเขารั้งทัพรอบุกโจมตีเช่นนี้ใช่รอให้ถึงกลางคืนหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ไม่เอื้อผลต่อเสิ่นเวยทั้งสิ้น เดินทางมาตลอดทั้งวัน ตอนนี้ทุกคนยังไม่ได้กินแม้แต่ข้าว คนล้าม้าเหนื่อย จะสู้ศัตรูที่รอซ้ำยามเปลี้ยได้อย่างไร
ไม่ได้ ไม่อาจยืดเยื้อต่อไปได้ ต้องออกโจมตีด้วยตัวเองจึงจะถูก ทั้งยังต้องส่งคนไปขอความช่วยเหลือ
“คุณชาย หากพวกเรายังมีระเบิดมืออยู่ก็คงดี” เถาฮวาพึมพำเสียงเบา
เสิ่นเวยตาลุกวาวในชั่วขณะ ระเบิดมือยังเหลืออยู่อีกหนึ่งลูก อย่างไรเสียนางก็ทำของชิ้นนี้เป็นครั้งแรก เก็บหนึ่งลูกไว้เป็นที่ระลึก แต่ว่าลูกนี้นางก็ยังตัดใจใช้ไม่ลง ใช้ธนูไฟก่อนแล้วกัน หากหลบอยู่ในพงหญ้าไม่ยอมออกมา เช่นนั้นข้าก็จะบังคับให้พวกเจ้าออกมาเอง ข้าไม่เชื่อว่าพงหญ้าไหม้หมดแล้วพวกเจ้าจะยังหมอบซุ่มได้อีก หากยังเป็นเต่านินจาได้อยู่ข้าก็นับถืออย่างยิ่ง
“ทั้งหมดฟังคำสั่ง ใช้ธนูไฟ” เสิ่นเวยออกคำสั่งหนึ่งครา นำคนเผาธนูไฟลุกโชนยิงออกไป
ได้ยินเพียงเสียง ‘ตู้ม’ คราหนึ่ง พุ่มหญ้าแห้งก็มอดไหม้ ชั่วพริบตาลุกลามเป็นผืนใหญ่ บนร่างคนในพุ่มหญ้าติดไฟ พากันปรากฎออกมา
โอ้โห ดีจริงๆ “เร็ว ยิงพวกเขา” ฉวยโอกาสตอนที่เขาหนีเอาชีวิตรอด ฉวยโอกาสตอนที่ศัตรูลุกลนดับไฟบนร่าง ทุกคนก็พากันเพ่งเล็งเป้าหมาย แต่ละคนยิงธนูสามดอกแล้วจึงคว้าอาวุธวิ่งพุ่งเข้าไป เปิดฉากการสู้รบทันที
คนที่หมอบซุ่มอยู่ในพุ่มหญ้าไม่ได้มีเพียงสามร้อยคนดั่งคาด คนข้างหลังเห็นข้างหน้าไฟไหม้ ไม่รอให้ธนูไฟยิงเข้ามาตนก็กระโดดออกมาแล้ว พลางช่วยเพื่อนทหารดับไฟ พลางยิงโต้ตอบฝั่งเสิ่นเวย
หญ้ารกร้างถูกเผาหมดแล้ว ลุกลามออกไปกว่าสิบจั้ง ไฟไหม้เยอะอย่างอย่างยิ่ง แต่เสิ่นเวยกลับยังไม่วางใจ
ดีแล้ว ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เปรียบแล้ว ประจัญบานระยะใกล้ พวกเรามาสู้รบกับอย่างยุติธรรมสักครั้งเถอะ เสิ่นเวยไม่เคยคิดว่าฝ่ายตนที่ผ่านการฝึกฝนมาในสนามรบจะเป็นคู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้
“ท่านปู่ ท่านคุมกองกำลัง ข้าจะไปสร้างคุณงามความดีให้ท่านเอง” เสิ่นเวยตะโกนดังหนึ่งคราจากนั้นก็ยกดาบหมื่นโลหิตวิ่งออกไปฆ่าแล้ว ยังไม่ลืมสั่งสอนเถาฮวาเทพสังหารตัวน้อยของนาง “เถาฮวา อีกประเดี๋ยวคอยหาโอกาสฆ่าคนให้ได้เยอะๆ คนเหล่านี้น่ารำคาญเกินไปแล้ว”
เถาฮวาแสยะปากถือเป็นการตอบรับคุณหนูของนางแล้ว ก็น่ารำคาญน่ะสิ แม้แต่ข้าวยังไม่ให้ข้ากินดีๆ เถาฮวาลูบท้องน้อยๆ ที่แบนเรียบ ตัดสินใจฆ่าพวกเขาให้หมด
คนชุดดำที่เพิ่งจะลนลานดับไฟบนร่างเห็นฝ่ายตรงข้ามมีเด็กน้อยบอบบางและเด็กที่ยังไม่โตวิ่งออกมา คนหนึ่งชูดาบใหญ่ คนหนึ่งกำกระบองเหล็กยาว มุมปากกระตุกไม่หยุด ฝ่ายตรงข้ามไม่มีคนแล้ว แม้แต่เด็กอ่อนแอยังส่งออกมาตายงั้นหรือ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเสียเปรียบ แต่เมื่อเห็นสองคนนี้ ท่าทีของชายชุดดำก็เหยียดหยามขึ้นมาทันที
ไม่แปลกที่พวกเขาจะทะนงตน พวกเขาเป็นคนชั้นยอดที่มาจากกองทัพ ตั้งแต่เข้าร่วมสงครามมาก็ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมาจากกองทัพเหมือนกัน แต่ฝ่ายตนหมอบซุ่มล่วงหน้า ทั้งยังรอซ้ำยามเปลี้ย จำนวนคนก็พอๆ กัน จะยังแพ้ได้อย่างไร
แต่วินาทีถัดมาพวกเขาก็ไม่ทะนงตนอีกแล้ว เด็กอ่อนแอสองคนที่พวกเขาไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยนั้น ชั่วพริบตาเดียวก็ทำคนบาดเจ็บไปเจ็ดแปดคน ทั้งสองร่วมมือกันอย่างรู้ใจ คนหนึ่งทุบ คนหนึ่งฟัน โจมตีจุดสำคัญทั้งหมด กระบวนท่าแม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี ผู้ที่ถูกเลือกก็ร้องโอดครวญ ไม่ถูกทุบกระเด็นก็ถูกฟันเป็นสองซีก นี่ไหนเลยจะเป็นเด็กอ่อนแอ เห็นชัดๆ ว่าเป็นเทพสังหารที่ไอสังหารพุ่งขึ้นฟ้าสององค์ต่างหาก
“คุณชาย คุณชาย คนเหล่านี้ฆ่าง่ายจริงๆ” เถาฮวาตะโกนอย่างมีความสุข ฆ่าง่ายจริงๆ กระบองของนางยังไม่ทันจะกวาดออกไป คนตรงหน้าก็ล้มลงแล้ว รับมือง่ายกว่าทหารซีเหลียงยิ่งนัก
ศึกใหญ่ครั้งสุดท้ายเถาฮวาตามคุณหนูของนางไปจับประมุขซีเหลียงด้วย นางติดตามอยู่ข้างกายคุณหนู แม้แต่โอกาสลงมือยังชิงมาไม่ได้ หลังกลับมาก็ได้ยินทุกคนพูดคุยกันว่าในสนามรบฆ่าสนุกเพียงใด นางก็ไม่มีความสุขแล้ว ทั้งวันเอาแต่ดึงเสื้อเสิ่นเวยถามว่าเมื่อไรจะพานางไปฆ่าคนอีก เสิ่นเวยลำบากใจจะแย่อยู่แล้ว สงครามจบสิ้นลงแล้ว นางจะไปหาคนที่ไหนมาให้นางฆ่าเล่น เลี้ยงเด็กน้อยที่ชอบฆ่าคนเล่นน่าปวดหัวจริงๆ เลย
ตอนนี้ดีแล้ว คนชุดดำเยอะเพียงนี้มาหาถึงหน้าประตู เถาฮวาก็เหมือนปลาที่กระโจนลงมหาสมุทรไม่ใช่หรือ ดีใจสุดขีด
เสิ่นเวยได้ยินคำพูดของเถาฮวา ก็อยากจะคุกเข่าให้นางจริงๆ กำลังของคนชุดดำเหล่านี้สูงกว่าทหารซีเหลียงไม่เพียงแค่หนึ่งขั้น เหตุผลที่เถาฮวารู้สึกรับมือง่าย ไม่ใช่เพราะการช่วยเหลือจากนางหรอกหรือ มีทหารรับจ้างเช่นนางคอยปกป้องคุ้มกัน เถาฮวาจะไม่รู้สึกสบายราวกับตีตุ่นได้อย่างไร
คนที่อยากคุกเข่าเช่นเดียวกันยังมีคนชุดดำเหล่านี้ พวกเขาเป็นคนชั้นยอดในกลุ่มคนชั้นยอดรู้หรือไม่ เหตุใดพอมาถึงปากเทพสังหารน้อยผู้นี้ถึงได้กลายเป็นคนไร้ประโยชน์เสียแล้วเล่า
ฟ้ามืดสนิทแล้ว แต่ใต้แสงสะท้อนของเปลวไฟกลับมองเห็นชัดเจนมากเป็นพิเศษ จู่ๆ เสิ่นเวยก็มีลางสังหรณ์ไม่ดี การสังหารเป็นไปได้ด้วยดี แต่เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าคนชุดดำเหล่านี้คล้ายกำลังถ่วงเวลาไม่ออกแรงเต็มแรงอยู่เล่า สองฝ่ายมาจากกองทัพทั้งคู่ กำลังไม่ควรต่างกันมากเพียงนี้ เช่นนั้นก็มีเพียงคำอธิบายเดียว พวกเขาไม่ได้ออกเต็มกำลัง เช่นนั้นพวกเขามีเจตนาอะไรอยู่
“เถาฮวา ถอย” เสิ่นเวยตัดสินใจถอยกลับมาทันที มือยังดึงเถาฮวาที่ดื้อดึงไม่ยอมไป ไม่มีตนอยู่ข้างกายนางไม่วางใจเถาฮวาอย่างยิ่ง สำหรับนางแล้วเถาฮวาเป็นเหมือนญาติ ไม่ยอมให้เกิดความสูญเสียใดๆ ได้
“ท่านปู่ ข้าคิดว่าผิดปกติมาก คนชุดดำเหล่านี้คล้ายกำลังรออะไรอยู่” เสิ่นเวยเอ่ยความสงสัยในใจตนออกมากับปู่นาง
“มีอะไรหรือเจ้าสี่” ท่านเสิ่นโหวรีบถาม แม้แต่หย่งติ้งโหวที่อยู่ข้างๆ ยังมองเข้ามาอย่างตื่นตระหนก
เสิ่นเวยขมวดคิ้ว ชี้สนามรบเล็กๆ ที่กำลังฆ่าฟันกันแล้วกล่าว “ท่านปู่ท่านไม่คิดว่ากำลังสองฝ่ายแตกต่างกันมากเกินไปหรือ ท่านดูสิว่าพวกเขาป้องกันเป็นส่วนใหญ่ คนที่โจมตีเองกลับมีไม่เยอะ” หมอบซุ่ม แต่กลับไม่ออกแรงเต็มกำลัง นี่หมายความว่าอย่างไร
“เจ้าสงสัยว่าพวกเขาตั้งใจถ่วงเวลาหรือ คิดจะรอให้พวกเราหมดกำลังหรือ” หย่งติ้งโหวแย่งกล่าว
เสิ่นเวยหยักหน้า กล่าว “ข้าสงสัยว่าพวกเขาจะมีกองกำลังหนุน คนเหล่านี้เป็นเพียงกลุ่มสำรวจเส้นทาง”
เสิ่นเวยพูดยังไม่ทันขาดคำ ท่านเสิ่นโหวและหย่งติ้งโหวก็หน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน “แย่แล้ว พวกเขามีกองกำลังหนุนจริงๆ” ทั้งหมดได้ยินเสียงกีบเท้าม้ารางๆ แล้ว
ม่านตาเสิ่นเวยหดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจจมดิ่งลงอย่างไม่รู้ตัว หากคนที่มาคือกลุ่มของคนชุดดำจริงๆ เช่นนั้นก่อนหน้านี้คนที่ออกไปขอความช่วยเหลือจะออกไปได้หรือ
“เจ้าสี่ ต้อนคนเข้าไปให้หมด จะต้องฆ่าคนพวกนี้ให้หมดก่อนที่กองกำลังหนุนจะมา” ท่านเสิ่นโหวพลางสั่ง พลางคว้าอาวุธของตัวเองออกมา นั่นคือดาบหนึ่งเล่ม ดาบที่ตัวดาบยาวและกว้างหนึ่งเล่ม หย่งติ้งโหวเองก็ชักกระบี่ล้ำค่าติดตัวออกมา
ก่อนหน้านี้กลัวว่าจะหลงอุบายของฝ่ายตรงข้าม จึงเหลือกำลังคนส่วนหนึ่งคุ้มกันข้างรถ ตอนนี้มาถึงจุดชี้เป็นชี้ตาย ใครจะยังสนใจของตายเหล่านั้นอยู่อีก หากพวกเขาคว้าชัยชนะได้ ของย่อมต้องปกป้องไว้ได้ หากสู้ไม่ได้ ฮ่าๆ คนก็ตายหมดแล้ว ใครจะยังสนใจอีกว่าของจะตกอยู่ในมือใคร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น