คัมภีร์วิถีเซียน 1771-1774
ตอนที่ 1771 พิธี
ผ่านทางเดินยาว หลังจากอ้อมเป็นครึ่งวงกลมแล้ว หานลี่และพวกก็เข้าไปในตำหนักหลังโดยมิได้ผ่านตำหนักหลักของศาลบรรพชน
ในห้องลับที่ซ่อนอยู่ตรงใจกลางตำหนัก มีบันไดหินสีขาวที่ทอดตัวลึกลงไปยังใต้ดินอยู่บันไดหนึ่ง
ตรงหัวบันไดมีผู้คุ้มกันลับอีกสองสามคนคอยรักษาการณ์อยู่
สวี่เจียวโบกมือ ผู้คุ้มกันลับสองสามคนนั้นจึงค้อมตัวแล้วถอยออกไปทั้งสองฝั่งทันที
กลุ่มคนเข้าไปในบันไดที่ค่อนข้างมืดสลัว
ทางเดินนี้มืดสลัวเล็กน้อย และมีไอเย็นพัดขึ้นมาจากด้านล่างเป็นระลอกๆ ทุกระยะจะมีศิลาลำแสงจันทราขนาดเท่ากำปั้นฝังอยู่ทั้งสองฝั่ง
ทำให้ทางเดินบัดเดี๋ยวสว่างไสวบัดเดี๋ยวมืดสลัว จนเป็นเงาทับซ้อนกันราวกับดินแดนแห่งภูตผีก็ไม่ปาน
โชคดีที่บันไดหินไม่ยาวนัก หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ทุกคนก็เดินออกมา ห้องโถงใต้ดินที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตก็ปรากฏขึ้น
หานลี่กวาดตามองรอบๆ เล็กน้อย แล้วหรี่ตาทั้งสองข้างลง
ทั้งห้องโถงล้วนสร้างขึ้นจากศิลาหยกสีดำ ขนาดประมาณสามถึงสี่ร้อยจั้ง กำแพงรอบด้านและเพดานสลักอักขระยันต์สีขาวดูลึกลับซับซ้อนเอาไว้
อักขระยันต์เหล่านี้เปล่งแสงสีขาวเรืองๆ ทำให้ทั้งห้องโถงดูเหมือนอยู่ในยามกลางวันก็ไม่ปาน
แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดในห้องโถง กลับเป็นแท่นสูงรูปร่างคล้ายๆ บ่อน้ำที่วิจิตรงดงามแห่งหนึ่ง
แท่นสูงมีรูปทรงหกเหลี่ยม ถูกเขตอาคมขนาดยักษ์ล้อมเอาไว้
และตรงใจกลางของแท่นสูง ในบ่อน้ำทรงกลมเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงสด แต่กลับไม่มีกลิ่นคาวของโลหิตเลยสักนิด กลับมีกลิ่นหอมโชยออกมาจากบ่อเป็นระยะๆ
ด้านในเขตอาคมยักษ์มีผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่สิบกว่าคนนั่งสมาธิล้อมแท่นสูงเอาไว้อยู่
ในนั้นมีทั้งสวี่เหยียน สวี่หั่วที่หานลี่เคยพบมาแล้วอยู่ด้วย
“คารวะท่านอาวุโสหาน ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ออกแรงช่วยเหลือตระกูลสวี่” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาของตระกูลสวี่ทั้งสองคนเห็นหานลี่มาปรากฏตัวในห้องโถงโดยมีสวี่หยวนและสวี่เจียวมาด้วย ไหนเลยจะไม่เข้าใจเจตนาของหานลี่ ทันใดนั้นจึงหยัดกายลุกขึ้นด้วยความยินดี แล้วเข้ามาคารวะหานลี่ทันที
“อย่าเพิ่งขอบคุณอันใดเลย จะช่วยได้หรือไม่ ก็ยังพูดยาก” หานลี่สั่นศีรษะขณะเอ่ย
สวี่เจียวผู้ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลสวี่ผู้นี้กลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด กลับกวักมือไปยังจุดที่ไกลออกไป ให้ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่คนอื่นๆ เข้ามาพบหานลี่พร้อมกัน
ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นมีทั้งบุรุษและสตรี ทั้งอายุไม่ถึงสามสิบสี่สิบปี และมีชายชราที่หนวดเคราขาวโพลน
แต่ทุกคนล้วนมีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลง เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นแกนหลักที่แท้จริงของตระกูลสวี่
และผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ก็ใช้สายตาเคารพนับถือลอบมองหานลี่มาตั้งนานแล้ว เห็นได้ชัดว่ารู้ว่านี่คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ตั้งแต่แรก ยามนี้เมื่อได้ยินท่านผู้นำตระกูลออกคำสั่ง ชั่วขณะนั้นทุกคนก็หยัดกายลุกขึ้น คารวะหานลี่เป็นเสียงเดียวกัน
หานลี่โบกมือ แล้วเดินไปดูบ่อโลหิต ใบหน้าเผยสีหน้าสนอกสนใจออกมา
“นี่คือสิ่งที่สร้างขึ้นตามเคล็ดวิชาวิญญาณโลหิต ของเหลวในบ่อนอกจากจะเป็นโลหิตบริสุทธิ์ของตระกูลสวี่ของพวกเราแล้ว ยังมีสมุนไพรที่หายาอีกมากมายผสมอยู่ข้างใน ไม่เพียงจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการปลุกวิญญาณโลหิต และยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถอาศัยกลิ่นอายโลหิตในบ่อ ยืดระยะเวลาการแหลกสลายของวิญญาณโลหิตได้อีกด้วย” สวี่หยวนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ทว่าสิ่งสำคัญในพิธีปลุก ก็คือสิ่งที่อยู่ใต้ของเหลวนี้สินะ ไม่มีสิ่งนี้ต่อให้ของเหลวในบ่อมากขนาดไหน เขตอาคมด้านล่างลึกซึ้งแค่ไหน ก็ไม่อาจสำแดงเคล็ดวิชาลับวิญญาณโลหิตได้!” รูม่านตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
“ท่านอาวุโสดวงตาเฉียบแหลมนัก ดูออกเสียแล้ว ด้านล่างของเหลวคือ ‘โลงผลึกโลหิต’ ซึ่งเป็นสมบัติประจำตระกูลสวี่ของพวกเรา ไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่อาจหลอมร่างโลหิตที่วิญญาณโลหิตต้องการสิ่งสู่ได้” สวี่หยวนหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็อธิบายตามปกติ
“โลงผลึกโลหิต! หึๆ ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าพิธีปลุกคืออันใด” หานลี่กวาดมองเขตอาคมยักษ์ด้านล่างสองสามรอบ ดูเหมือนว่าจะนึกอันใดขึ้นมาได้ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ฉีกยิ้มออกมา
“ท่านอาวุโสพูดจริงหรือขอรับ” สวี่หั่วและสวี่เหยียนที่อยู่ด้านข้างพลันตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเชื่อถือคำพูดของหานลี่นัก
พิธีปลุกนี้แค่การเตรียมตัวตระกูลสวี่ก็ต้องใช้พลังทั้งหมดของเผ่า และต้องเสียเวลาไปกว่าครึ่งวัน ถึงกว่าจะวางได้อย่างเหมาะสม
แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่ง แต่แค่มองคร่าวๆ ก็เข้าใจความลึกลับในนั้น พวกเขาย่อมไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
สวี่หยวนและสวี่เจียวได้ยินคำนี้ต่างก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
“สหายทุกท่านไม่ต้องแปลกใจ แค่พิธีของพวกเจ้าคล้ายกับเคล็ดวิชาของชนนอกเผ่าที่ผู้แซ่หานเคยพบอยู่เล็กน้อย ยังมีจุดที่แตกต่างกันอีกมาก” รอยยิ้มบนใบหน้าของหานลี่หายไปขณะเอ่ย
ในหัวของเขากลับมีภาพตำราเคล็ดวิชาชนนอกเผ่าที่เคยอ่านยามที่อยู่ในเมฆาสวรรค์ปรากฏขึ้น
แม้ว่าชนนอกเผ่านี้จะมีชื่อเสียงไม่โด่งดัง แต่เคล็ดวิชาที่บันทึกเอาไว้กลับสามารถแยกจิตวิญญาณออกเป็นหลายส่วน ขอแค่เศษเสี้ยวหนึ่งในนั้นเข้าไปในกายเนื้อที่เตรียมเอาไว้ได้ ก็สามารถสร้างร่างเลียนแบบตนขึ้นมาได้แล้ว
เพราะเคล็ดวิชานี้ดูพิเศษมาก ประกอบกับคาถาในการฝึกฝนคล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาเผ่ามนุษย์
หานลี่จึงได้คัดลอกเอาไว้ม้วนหนึ่งราวกับได้รับสมบัติล้ำค่า
แต่ต่อมาถึงได้พบว่าจุดสำคัญของเคล็ดวิชานี้ คาดไม่ถึงว่าจะต้องมีพรสวรรค์ลับของชนนอกเผ่า มิเช่นนั้นหลังจากฝึกฝนแล้ว จะทำให้เกิดการแว้งกัดขึ้น
เช่นนั้นเขาจึงทำได้เพียงล้มเลิกไปอย่างเสียดาย
แน่นอนว่าเดิมชนนอกเผ่าก็ไม่เหมือนกับเผ่ามนุษย์ รายละเอียดของเคล็ดวิชาลับทั้งสองชนิดจึงแตกต่างกัน แต่ในเรื่องแยกจิตวิญญาณรวมทั้งนำมาสิงกายเนื้อกายใหม่ ก็ถือเป็นกระจกเงาสะท้อนของกันและกันแล้ว
หานลี่ที่เดิมมีความมั่นใจแค่สามสี่ส่วน พอนึกว่าหากตนเองศึกษาทั้งสองอย่างละเอียดไปพร้อมกันแล้ว ก็มั่นใจได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้หานลี่ย่อมไม่ได้พูดออกไป
เขาแค่เดินวนรอบบ่อโลหิตและเขตอาคมอย่างช้าๆ สายตาไม่ละไปจากเขตอาคมแลละบ่อโลหิตที่อยู่ตรงใจกลางท่ามกลางสายตาที่หลากหลายของผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนั้น
“เอาล่ะ ถึงยามนั้นข้าจะลงมือยามที่มือโอกาส พวกเจ้าทำตามวิธีเดิมเถิด เตรียมเริ่มพิธีได้”
หลังจากเดินวนรอบสองสามรอบ หานลี่ก็เอ่ยอย่างแผ่วเบาแล้วบิดกายไปมา คาดไม่ถึงว่าจะเดินมาอยู่ที่มุมของห้องโถง แล้วนั่งสมาธิลงหลับตาทั้งสองข้าง
สวี่เจียวได้ฟังพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ เห็นหานลี่ยังคงอยู่ในสมาธิไม่ขยับเขยื้อนอยู่ที่เดิม ในที่สุดก็ทนไม่ไหว มุมปากกระตุกคิดจะเอ่ยอันใดขึ้นมา
แต่ในยามนั้นข้างหูของเขาพลันมีเสียงถ่ายทอดเสียงของสวี่หยวนดังขึ้น
แม้ว่าจะเป็นการพูดคุยกันไม่กี่ประโยค แต่ก็ทำให้ผู้นำตระกูลสวี่ใจหายวาบ ลังเลเล็กน้อยแล้วล้มเลิกความคิดที่จะเอ่ยปากไป
หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ ก็เข้าไปในเขตอาคมเหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่คนอื่นๆ นั่งสมาธิอยู่รอบๆ แท่นสูง
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป อากาศในเทือกเขาบนพื้นดินเริ่มค่อยๆ มืดครึ้มขึ้น
และเมื่อยามพลบค่ำมาถึง ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่ทั้งหมดที่แต่เดิมนั่งสมาธิอยู่ก็ค่อยๆ เกิดเสียงเอะอะโวยวายขึ้น
ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยเงยหน้าขึ้นมองแท่นสูงกลางเขตอาคมอย่างทนไม่ไหว สีหน้าแปลกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ สวี่หยวนและสวี่เจียวก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน พลางจ้องเขม็งมองไป
หลังจากผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ เพดานของห้องโถงยักษ์ก็มีลำแสงสว่างวาบ อักขระยันต์สีขาวเริ่มไหลโคจรไปมาบนที่สูง คาดไม่ถึงว่ายามนั้นจะก่อตัวเป็นเขตอาคมเรียบง่ายขนาดเล็กน้อย
จากนั้นเสียงอื้ออึงก็ดังขึ้น!
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี แล้วลืมตาทั้งสองข้างขึ้น
แทบจะในเวลาเดียวกัน บ่อโลหิตที่แต่เดิมนิ่งสนิท ก็เดือดปุดๆ ขึ้นมา
ระลอกคลื่นประหลาดปรากฏขึ้นใจกลางของบ่อโลหิต และหมุนโคจรไปมาอย่างรวดเร็ว อักขระสีเงินขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันปรากฏขึ้นรางๆ ในระลอกคลื่นสีแดงโลหิต
“ถึงเวลาแล้ว เริ่มโคจรเขตอาคม!” สวี่หยวนที่รอคอยอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด พลันร้องตะโกนจนดังก้องไปทั้งห้องโถง
หลังจากเสียงตอบรับดังขึ้นพร้อมกัน ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่ที่นั่งอยู่ตามจุดต่างๆ ของเขตอาคม ก็ทยอยกันกระตือรือร้นขึ้น สองมือพลันร่ายอาคม ปากก็บริกรรมคาถาไม่หยุด
เสียง “ปุดๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นท่ามกลางเขตอาคม แล้วพ่นเสาลำแสงสีแดงโลหิตสิบแปดสายออกมาจากจุดต่างๆ
ทุกเสาล้วนมีขนาดเท่าปากชาม เปล่งแสงสีโลหิตระยิบระยับ พุ่งหายเข้าไปในเพดานห้องโถงจนมองไม่เห็นปลายเสา
สวี่หยวน สวี่หั่ว สวี่เหยียนทั้งสามคนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา แน่นอนว่าย่อมอยู่ตรงตาวิญญาณสามแห่งที่สำคัญที่สุดของเขตอาคม และเมื่อมีคนอื่นๆ ค่อยร่ายคาถากระตุ้นเขตอาคมนั้น ทุกคนก็พลิกฝ่ามือ ธงอาคมสีแดงสดขนาดสองสามชุ่นปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ
เมื่อเป่าออกไป ธงทั้งสามด้ามก็ตั้งตรงขึ้น และหมุนวนไปมาไม่หยุด
เห็นได้ชัดว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาทั้งสามคนคุ้นเคยกับมันแล้ว เมื่อเห็นฉากนี้ก็อ้าปากออกทันที ทั้งสามพลันกัดปลายลิ้นแล้วพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา
เมื่อโลหิตบริสุทธิ์ทั้งสามถูกพ่นออกมาจากริมฝีปาก ก็เกิดเสียงดังปัง ทยอยกันกลายเป็นหมอกโลหิตห่อหุ้มธงเล็กๆ เอาไว้
ตัวธงเปล่งเสียงร้องแหลมสูงออกมา จากนั้นหมอกลำแสงก็ม้วนออกมาจากธง กลืนหมอกโลหิตทั้งหมดไปจนเกลี้ยง
ชั่วพริบตานั้นธงทั้งสามก็ขยายใหญ่ขึ้นท่ามกลางลำแสงสีโลหิตที่เปล่งประกาย
หลังจากกะพริบวาบๆ สองสามครา ก็กลายเป็นธงโลหิตขนาดยักษ์สามด้าม จิตสังหารพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ
หมอกลำแสงสีโลหิตทะลักออกมาจากธงโลหิตเป็นระลอกๆ บรรจุเข้าไปในเขตอาคมไม่หยุด และรวมร่างกันกับลำแสงโลหิตอื่นๆ ในเขตอาคม ห่อหุ้มบ่อโลหิตทั้งบ่อเอาไว้
กลิ่นอายโลหิตและกลิ่นหอมประหลาดๆ พลันหมุนวนกวนเข้าด้วยกัน รวมตัวกันอย่างแปลกประหลาด กลายเป็นกลิ่นอายประหลาดที่ทำให้ผู้ที่ได้กลิ่นเมามาย
และในยามนั้นเอง ราวกับกลิ่นหอมประหลาดนั้นเป็นตัวดึงดูด เสียงวิหคเพรียกประหลาดๆ ดังขึ้นเป็นระยะๆ จากนั้นลำแสงขนาดยักษ์ที่ดูราวกับเปลวเพลิงโลหิตก็ทะลักออกมาจากส่วนลึกของระลอกคลื่นในบ่อโลหิต
ท่ามกลางเปลวเพลิงโลหิตนั้น โลงไม้ผลึกวารีโลหิตก็เปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ ลอยยิ่งอยู่ตรงนั้น
เมื่อเห็นโลงไม้ปรากฏขึ้น ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาทั้งสามคน หรือว่าคนอื่นๆ ในตระกูลสวี่ ต่างก็ทยอยกันเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
ผิวกายของพวกเขามีลำแสงวิญญาณหลากสีสันไหลวนโคจรไปมาไม่หยุด บ้างก็หน้าสีขาว ร่างกายสั่นเทาเบาๆ เห็นได้ชัดว่ากระตุ้นพลังปราณในร่างจนถึงขีดสุดแล้ว
ตอนที่ 1772 ตื่นขึ้น
อักขระยันต์สีขาวทะลักออกมาจากบ่อโลหิต ทยอยกันจมหายเข้าไปในโลงผลึกท่ามกลางลำแสงสีสว่างวาบ แล้วหายวับไป
ชั่วขณะนั้นลำแสงก็รวมตัวกันขึ้นกลางโลง และกลายเป็นเงาร่างคนสีขาวในชั่วพริบตา
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ สวี่เจียวพลันสะบัดแขนเสื้อไปด้านหน้าอย่างไม่ต้องขบคิด
ชั่วพริบตานั้นขวดเล็กสีโลหิตก็บินออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็ลอยนิ่งอยู่ตรงหน้าบุรุษสวมชุดสีขาว
สวี่เจียวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ยกมือข้างหนึ่งขึ้น นิ้วทั้งห้าร่ายอาคมอย่างรวดเร็ว อาคมเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในขวดสีโลหิตเป็นสายๆ
ผิวของขวดมีลำแสงสีโลหิตแวววาวปรากฏขึ้น หลังจากสั่นเทาเล็กน้อย ฝาขวดก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ
เสียง “ฟู่” ดังขึ้น เส้นไหมสีโลหิตสายหนึ่งพ่นออกมาจากปากขวด ภายใต้การกระตุ้นด้วยอาคมของสวี่เจียว ก็พุ่งขึ้นมาจากบ่อโลหิตไปหาโลงผลึก
เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับ!
เส้นไหมโลหิตจมหายเข้าไปในโลงโลหิตอย่างง่ายดาย
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น
ชั่วพริบตาที่เส้นไหมโลหิตจมหายเข้าไปในเงาร่างคนสีขาวในโลงผลึกสีแดงโลหิต ก็ราวกับถูกย้อมด้วยสีแดง กลายเป็นสีแดงโลหิตทันที
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ผู้บำเพ็ญเพียรของตระกูลสวี่ที่อยู่รอบด้านก็รู้ว่ากำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ ลำแสงวิญญาณแผ่ออกมาจากเรือนร่างพร้อมกัน ปากก็บริกรรมคาถาด้วยเสียงแหลมสูง
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาอย่างสวี่หยวนนั้น ก็ยิ่งกระตุ้นธงสีโลหิตด้านหน้าตนเอง
อักขระยันต์สีแดงสดปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกโลหิตกลางอากาศตรงใจกลางเขตอาคม หมุนวนล้อมรอบโลงผลึกโลหิตไปมาไม่หยุด
ระลอกคลื่นโลหิตในบ่อเปล่งเสียงร้องแหลมสูงขึ้นมาในพริบตา!
เส้นไหมสีโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากบ่อโลหิต เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งเข้าไปในโลงโลหิต วนล้อมรอบเงาร่างสีโลหิตอย่างรวดเร็ว
เส้นไหมโลหิตจำนวนมากพุ่งเข้ามาพร้อมกัน เงาร่างสีโลหิตที่แต่เดิมรางเลือน พลันกลายเป็นรังไหมรูปร่างมนุษย์ เส้นไหมสีโลหิตก็ทะลักเข้าไปจากด้านล่างไม่หยุด ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ผลคือผ่านไปเพียงชั่วครู่ รังไหมโลหิตไม่เพียงจะมีขนาดเท่าคนจริง และยิ่งไปกว่านั้นส่วนหัวยังมีเครื่องหน้าจำพวกตาและจมูกปรากฏขึ้นรางๆ
มองไกลๆ ช่างแปลกประหลาดยิ่ง
แต่ถ้าหากใช้จิตสัมผัสกวาดมองอย่างละเอียดก็จะพบว่า แม้ว่าเส้นไหมโลหิตจะทะลักเข้าไปในรังไหมไม่หยุด แต่เส้นไหมโลหิตที่พันรัดไว้แต่เดิมกลับเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวและเหี่ยวเฉาจากด้านใน ทยอยกันกลายเป็นเถ้าถ่านแล้วสลายหายไป
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป แม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่ทุกคนจะกระตุ้นเขตอาคมอย่างบ้าคลั่ง แต่เส้นไหมโลหิตที่พ่นออกมาจากบ่อโลหิตกลับไม่อาจเพิ่มขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ขนาดของเส้นไหมโลหิตร่างคนไม่เพียงไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้น กลับเริ่มหดเล็กลง ท่ามกลางเส้นไหมโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่เลื้อยไปมา ใบหน้าของรังไหมโลหิตพลันปรากฏสีหน้าเจ็บปวดออกมา
สวี่เจียวและผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงของตระกูลสวี่ต่างทยอยกันหน้าเปลี่ยนสี พยายามกระตุ้นพลังปราณในร่างสุดชีวิต
แต่สิ่งที่ทำได้กลับเป็นแค่ประคองให้รังไหมโลหิตในโลงผลึกไม่เลวร้ายลงเท่านั้น
เวลาผ่านไปนานขึ้นเล็กน้อย ผู้บำเพ็ญเพียรของตระกูลสวี่พลันหน้าซีดขาว ท่าทางไม่อาจประคับประคองพลังปราณต่อไปได้แล้ว
สวี่เจียวเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ พลันรู้สึกร้อนใจ และทนไม่ไหวพลางเหลือบมองไปทางหานลี่ที่อยู่ตรงมุมของห้องโถง
เห็นเพียงหานลี่ในยามนี้ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน แค่เอามือรองใต้คาง มองสถานการณ์ของทุกคน คาดไม่ถึงว่าเผยสีหน้ามีแผนการออกมา
“ท่านอาวุโสหาน…” สวี่เจียวร้องตะโกนอย่างวิงวอน และท่าทางอยากจะพูดจาขอร้องอีก
แต่หานลี่ดูเหมือนจะรู้ว่าบุรุษชุดขาวอยากพูดอันใด จึงชิงเอ่ยปากตัดบทสนทนาต่อจากนั้น
“สหายไม่ต้องร้อนใจ ในเมื่อผู้แซ่หานตอบรับว่าจะลงมือ ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ”
จากนั้นเขาพลันยืนขึ้นอย่างไม่รีบร้อน ยกมือขึ้น ตบไปที่หน้าผากของตนเอง
หมอกลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ คนตัวเล็กสีดำความสูงครึ่งฉื่อปรากฏขึ้น
คนตัวเล็กคนนี้สวมเกราะสงครามสีดำ สองมือเปลือยเปล่า สีหน้าไร้ความรู้สึก นั่นก็คือทารกวิญญาณที่สองของหานลี่
จากนั้นหานลี่ก็ชูมือขึ้นสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีทองพุ่งออกไป เปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นอสูรน้อยสีทองตัวหนึ่ง
อสูรน้อยตัวนี้แผ่กลิ่นอายที่น่าหวาดผวาออกมา ดวงตาทั้งสองข้างเย็นยะเยือก นั่นก็คืออสูรมิคาทน
เมื่อเห็นหนึ่งทารกและหนึ่งอสูร สวี่เจียวและเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรพลันตกตะลึง
แต่ไม่รอให้พวกเขามีปฏิกิริยาตอบสนอง หานลี่กลับสะบัดแขนเสื้อออกคำสั่งด้วยเสียงแผ่วเบา
“ไป”
ชั่วขณะนั้นสองมือของทารกวิญญาณเหนือศีรษะพลันร่ายอาคม ร่างกายพลิ้วไหวสลายหายไปจากที่เดิม
ครู่ต่อมาชายชราสวี่หั่วก็รู้สึกว่าเหนือศีรษะมีอะไรพุ่งผ่านไป ทารกวิญญาณสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ
ชายชราพลันหน้าเปลี่ยนสี สมบัติอาคมสองสามชิ้นภายในร่างพลันเคลื่อนไหว ในใจเกิดความรู้สึกระมัดระวังตัวขึ้นสิบสองส่วน
แต่ทารกวิญญาณกลับไม่ได้สนใจชายชราที่อยู่ด้านล่าง สองมือตบไปที่ธงโลหิตด้านหน้า
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น เสาลำแสงสีดำสองสายพ่นออกมา จมหายเข้าไปในธงโลหิต
เดิมเป็นเพราะชายชรามีพลังปราณไม่พอธงอาคมจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ ชั่วขณะนั้นพลันมีเสียงอื้ออึงดังขึ้น ลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นอีกครั้ง และยิ่งไปกว่านั้นระดับความเจิดจ้ายังเหนือกว่าก่อนหน้าเป็นอย่างมาก
สวี่หั่วพลันตกตะลึง ทันใดนั้นสองมือที่ร่ายอาคมจึงเปลี่ยนท่าทีไปด้วยความดีใจ เป็นท่าทางที่ช่วยเสริมจากเหนือศีรษะ
ในเวลาเดียวกันเงาร่างของชายชราสวี่เหยียนที่อยู่ด้านข้างพลันรางเลือน ร่างที่ค่อนข้างเล็กของอสูรมิคาทนพลันปรากฏขึ้น
เห็นเพียงอสูรตัวนี้อ้าปาก พลังวิญญาณบริสุทธิ์ในร่างกายกลายเป็นเสาลำแสงสีทองพ่นออกมา และโจมตีไปที่ธงอาคมอีกด้านเช่นเดียวกัน
ส่วนหานลี่เองก็ดูเหมือนว่าจะก้าวขึ้นมาด้านหน้าก้าวหนึ่ง ใต้ฝ่าเท้ามีประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างทั้งร่างเคลื่อนย้ายไปยี่สิบสามสิบจั้งในพริบตา มาปรากฏตรงหน้าสวี่หยวนผู้ซึ่งเป็นอาวุโสใหญ่ของตระกูลสวี่
ไม่รอให้อีกฝ่ายเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา หานลี่ก็ยื่นฝ่ามือออกมาจากแขนเสื้อร่ายนิ้วชี้ไปทางธงสีโลหิตทั้งสามด้าม
ลำแสงสีเขียวระเบิดออกมาจากปลายนิ้ว ชั่วพริบตาพลันกลายเป็นดอกบัวลำแสงสีเขียวขนาดเท่ากำปั้น เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกมา
ครู่ต่อมาดอกบัวสีเขียวก็จมหายเข้าไปในธงโลหิตราวกับเงาลวงตา
ธงโลหิตสั่นเทาอย่างหนัก คาดไม่ถึงว่าลำแสงสีโลหิตจะหมุนวนแล้วขยายใหญ่ขึ้น อักขระสีแดงโลหิตทะลักออกมาจากธงราวกับคลื่นน้ำ
นิ้วอื่นของหานลี่ก็ร่ายไปมาอย่างต่อเนื่อง
ดอกบัวสีเขียวพุ่งออกมาจมหายเข้าไปในธงโลหิตอย่างเงียบเชียบ กลายเป็นพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์
สวี่หยวนที่เดิมกระตุ้นธงอาคมจนรู้สึกกินแรง ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกว่าแรงกดดันลดลง
เขาอดที่จะรู้สึกตกตะลึงระคนดีใจไม่ได้
ยามนี้ระลอกคลื่นสีโลหิตที่เดิมหมุนวนอยู่ในบ่อโลหิตพลันเพิ่มเปล่งเสียงร้องแหลมสูงขึ้นขณะที่อานุภาพของเขตอาคมเพิ่มขึ้น แต่ระลอกคลื่นพลันขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า แทบจะกินพื้นที่กว่าครึ่งของบ่อเอาไว้
เดิมเส้นไหมโลหิตที่พ่นออกมาจากบ่อเป็นสายๆ แต่หลังจากที่ระลอกคลื่นยักษ์เปลี่ยนไป คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเส้นไหมโลหิตทอตัวกันหนาแน่นพุ่งออกมาท่ามกลางลำแสงโลหิตที่เปล่งแสงสว่างวาบ
รังไหมโลหิตที่แต่เดิมเริ่มหดเล็กลง ชั่วขณะนั้นราวกับได้รับพลังชีวิตใหม่ ไม่เพียงจะฟื้นฟูกลับมีขนาดเดิมอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันเส้นไหมโลหิตบนผิวกายยังเลื้อยไปมาไม่หยุด แรกเริ่มมีรูปร่างเหมือนหญิงสาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้น
ยามนี้สวี่เจียวพลันร้องตะโกนอย่างยินดี
“เริ่มหลอมร่างโลหิต!”
สิ้นเสียงตะโกน ผู้บำเพ็ญเพียรของตระกูลสวี่ก็ทยอยกันเปลี่ยนรูปแบบอาคมโดยมีสวี่หยวนและพวกผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาทั้งสามเป็นผู้นำ
อักขระสีโลหิตที่แต่เดิมวนล้อมรอบโลงผลึก พลันทะลักเข้ามาในโลงอย่างบ้าคลั่ง แล้วทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบจมหายเข้าไปในรังไหมโลหิต
หลังจากที่รังไหมโลหิตร่างคนดูดซับอักขระยันต์เหล่านั้นเข้าไป คาดไม่ถึงว่าผิวของมันจะมีลำแสงวิญญาณไหลวนโคจรไปมา แรกเริ่มเป็นลำแสงสีสันแวววาว และค่อยๆ เข้มขึ้น
ผลคือหลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งกาน้ำชา รังไหมโลหิตร่างมนุษย์ก็กลายเป็นดั่งรูปปั้นแกะสลักสีแดงสด ลอยอยู่ในโลงผลึกไม่ขยับเขยื้อน
“สำเร็จแล้ว!”
สวี่เจียวเห็นเช่นนี้พลันพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมา จากนั้นก็ถอนอาคม
ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่คนอื่นๆ ย่อมหยุดการเคลื่อนไหวตามเขา
ชั่วขณะนั้นลำแสงวิญญาณทั้งเขตอาคมพลันหม่นแสงลง มืดมนแล้วหยุดเคลื่อนไหว
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดก็ทยอยกันหยัดกายลุกขึ้นจากพื้น แล้วมองไปที่โลงผลึกโลหิตกลางอากาศ
สวี่เจียวและผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่ จ้องเขม็งไปยังของในโลงตาไม่กะพริบ
ยามนี้หานลี่กลับขยับจิตสัมผัส เรียกทารกวิญญาณและอสูรมิคาทนกลับมา
หลังจากที่ทั้งสองบินกลับมาอย่างเงียบเชียบ ก็เปล่งแสงสว่างวาบ จมหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขาอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่ถึงได้มองไปยังบ่อน้ำด้วยความสนอกสนใจ
เห็นเพียงผิวของรูปปั้นสีโลหิตในโลงผลึกโลหิตมีลำแสงผลึกไหลวนโคจรไปมา ฉับพลันนั้นเสียง “เปรี๊ยะๆ” ก็ดังขึ้น รูปปั้นที่แต่เดิมควรจะหลับตาทั้งสองข้าง พลันปริแตกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นก็เผยรูสองรูออกมา
ภายใต้รูนั้น แววตางดงามสีแดงสดเผยออกมา กลอกตาไปมา คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งแสงออกมา
หานลี่เห็นฉากนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็มีสีหน้าไร้ความรู้สึก
และนอกจากเขาแล้ว ทั้งห้องโถงก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงัด ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่ล้วนไม่กล้าหายใจแรงขณะมองความเปลี่ยนแปลงในโลงผลึก
เสียงดังขึ้นสองครั้งในยามแรก ราวกับว่าแค่เริ่มต้นเท่านั้น
หลังจากดวงตางดงามสีโลหิตคู่นั้นกวาดมองไปก็หลับตาลงอีกครั้ง เวลาหลังจากนั้นรูปปั้นสีโลหิตทั้งร่างก็ดูราวเครื่องลายครามที่แตกละเอียดง่ายๆ ปรากฏรอยแตกจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นพร้อมกับเสียงปริแตกอย่างต่อเนื่อง
จากนั้นเสียงแค่นเสียงอันไพเราะก็ดังขึ้น ผิวของรูปปั้นผนึกแสงชั้นหนึ่งขึ้น กลายเป็นแผ่นปริแตกจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงลงมา
เมื่อแผ่นที่ปริแตกเหล่านี้กลายเป็นหมอกโลหิตสลายหายไปกลางอากาศ ในโลงผลึกพลันมีร่างของสตรีที่งดงามเพิ่มขึ้นมา
ไม่ว่าขาทั้งสองข้างหรือว่าเอวคอดกิ่วนั้น ก็เผยพลังดึงดูดบุรุษเพศออกมาอย่างรุนแรง ส่วนผิวขาวบริสุทธิ์ดุจหยกงาม ใบหน้างดงาม ก็ยิ่งทำให้ร่างนั้นไร้ซึ่งข้อบกพร่อง
ส่วนเดิมหญิงสาวที่หลับตาอยู่พลันเอาสองมือไขว่กันที่หน้าอก บดบังทัศนียภาพอันงดงามกว่าครึ่งเอาไว้ ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรเพศชายจำนวนไม่น้อยในห้องโถง ล้วนลอบกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้สึกตัว
ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่ในห้องโถงอย่างน้อยก็มีพลังยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขึ้นไป สมาธิจึงเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ มิเช่นนั้นเกรงว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่เผยท่าทางน่ารังเกียจออกมา
ไม่รอให้สวี่เจียวที่เป็นผู้นำเคลื่อนไหวอันใด ผิวของหญิงสาวก็เปล่งแสงสีโลหิตออกมา ชุดชาววังสีแดงสดที่วิจิตรงดงามปรากฏขึ้นบนร่างนั้น
จากนั้นแพขนตาของหญิงสาวผู้นี้ก็ขยับ ลืมตางดงามขึ้นอย่างช้าๆ รูม่านตาสีโลหิตคู่นั้นปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน ฉายแววเย็นเยียบไร้ความรู้สึกออกมา
ตอนที่ 1773 วิญญาณโลหิต
หญิงสาวสวมชุดชาววังกวาดมองเรือนร่างของทุกคนที่อยู่รอบด้าน สุดท้ายสายตาพลันจ้องเขม็งไปยังร่างของหานลี่ไม่เคลื่อนไหว
หานลี่รู้สึกเพียงว่าพลังจิตสัมผัสกลุ่มหนึ่งกวาดผ่านเรือนร่าง แม้ว่าจะไม่นับว่าแข็งแกร่งมากนัก แต่คาดไม่ถึงว่าจะทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกมองทะลุผ่านร่างอย่างไรอย่างนั้น
เขาใจหายวาบ โคจรคาถาขับเคลื่อนในร่างทันที ต้านทานพลังสัมผัสนั้นไปนอกร่างอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
หญิงสาวสวมชุดชาววังดูเหมือนจะประหลาดใจไปเล็กน้อย แต่ก็ถอนสายตาออกทันที มือเรียวข้างหนึ่งพลิกฝ่ามือขึ้นตรงหน้า
โลงผลึกโลหิตที่แต่เดิมห่อหุ้มร่างเอาไว้ พลันปรากฏอักขระยันต์ไหลวนโคจรไปมา
จากนั้นโลงผลึกพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหดเล็กลงหลายเท่า จนมีขนาดสองสามชุ่นแล้วปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ เมื่อเปล่งแสงสว่างวาบสุดท้ายก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เช่นนั้นหญิงสาวสวมชุดชาววังก็หลุดออกจากสมบัติอาคม มาเผชิญหน้ากับทุกคนที่อยู่ด้านล่าง
“พวกเจ้าคือคนของตระกูลสวี่สินะ! แต่ผู้นี้คือผู้ใด ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ศิษย์ของตระกูลสวี่?” หญิงสาวเอ่ยปากถามคำถามที่ทุกคนคาดไม่ถึงออกมา
ยามนั้นสวี่หยวนและพวกพลันมองสบตากัน
“นายท่านคือสหายวิญญาณน้ำแข็ง?” ยามนี้หานลี่พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วถามย้อนกลับ
ร่างของหญิงสาวผู้นี้สร้างขึ้นจากโลหิตบริสุทธิ์ แต่คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจสัมผัสพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายได้ นี่จึงทำให้เขารู้สึกชื่นชมไม่น้อย
แน่นอนว่าเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณสร้างร่างแยกขึ้น แม้ว่าจะประหลาดไปหน่อย แต่เขาย่อมไม่ได้หวาดกลัวใดๆ
“บอกว่าข้าคือเซียนวิญญาณน้ำแข็งก็ไม่นับว่าผิด สหายคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์?” หญิงสาวสวมชุดชาววังแววตาเปล่งประกาย พลางตอบคำถามของหานลี่
“ข้าน้อยหานลี่ เป็นผู้ที่สหายสวี่เชิญมาให้ปลุกวิญญาณโลหิตของเซียน” ได้ยินว่าอีกฝ่ายคือวิญญาณโลหิตของเซียนวิญญาณน้ำแข็ง หานลี่ก็ประสานมือคารวะอย่างมีมารยาท
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ก็นับว่าชนรุ่นหลังของข้ามีใจ คาดไม่ถึงว่าจะเชิญสหายผู้ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์มาช่วยได้” ได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ แววตาของหญิงสาวสวมชุดชาววังก็ลดความเย็นชาลง และเอ่ยกับหานลี่อย่างมีมารยาท
สวี่เจียวและพวกได้ยินหญิงสาวถามเช่นนี้ กลับรู้สึกหน้าร้อนผ่าว
‘ท่านอาวุโสหาน’ ผู้นี้ใช่ผู้ที่พวกเขาเชิญมาที่ไหนกัน แต่เป็นฝ่ายมาหาเองมากกว่า
มิเช่นนั้นครั้งนี้ตระกูลสวี่ของพวกเขาคงไม่อาจปลุกวิญญาณโลหิตของท่านบรรพชนได้
“หึๆ จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับข้าน้อยเล็กน้อย ช่วยสักหน่อยก็เป็นเรื่องที่สมควร และยิ่งไปกว่านั้นผู้แซ่หานและสหายวิญญาณน้ำแข็งก็มีที่มาเดียวกันเล็กน้อย” หานลี่หัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา
“อ๋อ คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องนี้?” หญิงสาวสวมชุดชาววังพลันตกตะลึง กลอกตามองผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่ด้านล่าง
“ท่านบรรพชน ท่านอาวุโสหานพูดไม่ผิดขอรับ ท่านอาวุโสผู้นี้ไม่เพียงนำวิญญาณโลหิตกลับมายังตระกูลสวี่ และยิ่งไปกว่านั้นท่านอาวุโสผู้นี้ยังเป็นคนจากแดนมนุษย์เหมือนกับท่านบรรพชน และยังได้เปลวเพลิงน้ำแข็งสวรรค์ที่ท่านบรรพชนทิ้งเอาไว้มาด้วย” สวี่เจียวก้าวมาข้างหน้า แล้วตอบอย่างระมัดระวัง
“คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย! ข้าต้องขอบคุณมาก! รอให้ข้าหลุดพ้นจากปัญหาแล้ว จะต้องตอบแทนเจ้าอย่างหนัก” แววตางดงามของหญิงสาวสวมชุดชาววังฉายแววตกตะลึง แม้จะไม่พูดมาก แต่คำพูดก็ทำให้ผู้คนรู้สึกเชื่อถืออย่างไม่ต้องสงสัย
“ข้าน้อยไม่หวังการตอบแทนอันใด แค่มีปัญหาอยู่สองสามข้อ อยากจะขอคำแนะนำจากเซียน ทว่ายามนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเหล่านี้ รอให้สหายพลังปราณมั่นคงก่อน ค่อยถกปัญหากันเถิด” หานลี่มองหญิงสาวสองสามแวบ มุมปากกระตุกขณะเอ่ย
“สหายมองออก กลับทำให้สหายเห็นเรื่องขบขันแล้ว ร่างโลหิตนี้เพิ่งจะหลอมขึ้นจึงไม่มั่นคงนัก ต้องใช้เวลาอีกสองสามวันถึงจะทำให้วิญญาณโลหิตและร่างเป็นหนึ่งเดียวกันได้” หญิงสาวสวมชุดชาววังประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็เอ่ยอย่างไม่ได้ปฏิเสธ
“หึๆ วิญญาณโลหิตของสหายเพิ่งตื่น จะต้องเรื่องมากมายอยากพูดคุยกับคนในเผ่าแน่ ผู้แซ่หานจะไม่รบกวน สหายเชียนอวี่ เจ้าส่งข้ากลับที่พักเถิด” หานลี่หันหาย ฉับพลันนั้นก็เอ่ยกับสวี่เชียนอวี่ที่อยู่ใกล้เคียง
“อ๋อ…เชียนอวี่รับคำสั่งเจ้าค่ะ!”
“ชนรุ่นหลังจะไม่รั้งท่านอาวุโส หลังจากที่วิญญาณโลหิตของท่านบรรพชนไม่มีอันตรายแล้ว จะไปขอบคุณท่านอาวุโสด้วยตัวเอง”
สวี่เชียนอวี่พลันตะลึงงัน อดที่จะมองไปยังสวี่เจียวมิได้ แต่ผู้นำตระกูลสวี่ผู้นี้ได้ยินคำพูดของหานลี่ กลับดีอกดีใจ แล้วขอบคุณอย่างต่อเนื่อง
หญิงสาวสวมชุดชาววังเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็ไม่ได้ออกปากห้ามปราม แค่คารวะน้อยๆ ให้หานลี่อีกครั้ง
ดังนั้นหานลี่และสวี่เชียนอวี่จึงหันกาย เดินออกจากห้องโถงใหญ่ไป
หลังจากเห็นเงาแผ่นหลังของหานลี่หายไปที่ทางเข้า สวี่เจียวถึงได้พาผู้บำเพ็ญเพียรของตระกูลสวี่ทั้งหมด มาคารวะตรงหน้าหญิงสาวอีกครั้ง
“พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด ปลุกวิญญาณโลหิตของข้าได้ ลำบากพวกเจ้าแล้ว ยามนี้เจ้าคือผู้นำตระกูลสวี่สินะ!” หญิงสาวสวมชุดชาววังเอ่ยถามสวี่เจียวอย่างแช่มช้า
“สวี่เจียวหลานรุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบสาม คารวะท่านบรรพชนวิญญาณน้ำแข็ง” สวี่เจียวตอบกลับอย่างนอบน้อม
“รุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบสาม? ดูแล้วคงผ่านมาหลายปีแล้วจริงๆ อืม แม้ว่าพลังยุทธ์ของเจ้าจะไม่สูงนัก แต่ก็ไม่เลว ลุกขึ้นเถิด แม้ว่าวิญญาณโลหิตจะถ่ายทอดความทรงจำส่วนหนึ่งของข้ามา แต่ก็ไม่ใช่ข้าที่แท้จริง และยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะเวลามันนานเกินไป ความทรงจำจึงไม่ค่อยสมบูรณ์นัก สิ่งสำคัญที่จำได้ก็มีอยู่แค่น้อยนิด ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าท่านบรรพชนอันใด เรียกว่าวิญญาณโลหิตก็แล้วกัน” หญิงสาวสวมชุดชาววังกลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาแล้วโบกมือไปด้านล่าง
ผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่ทุกคนได้ยินคำนี้พลันตะลึงงัน
“ท่านอาวุโสวิญญาณโลหิต จำเบาะแสของท่านบรรพชนวิญญาณน้ำแข็งได้หรือไม่ว่าปลอดภัยหรือไม่?” ด้วยอารามร้อนใจสวี่หยวนจึงไม่ได้คิดมากอันใดกับคำเรียก อ้าปากเอ่ยถามปัญหาที่กวนใจทุกคนที่สุดออกมา
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ใบหน้างดงามของหญิงสาวสวมชุดชาววังกลับเคร่งขรึมขึ้น หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้สั่นศีรษะ
ครานี้สวี่เจียวและพวกพลันรู้สึกหัวใจเย็นเฉียบ
“วางใจ แม้ว่าข้าจะจำเบาะแสของข้าไม่ได้ แต่อาศัยจิตสัมผัสระหว่างวิญญาณโลหิต ก็รู้ว่านางน่าจะยังมีชีวิตอยู่ในแดนวิญญาณ และยิ่งไปกว่านั้นเบาะแสที่เกี่ยวข้อง ข้าก็ยังจำได้แค่รางๆ” หญิงสาวสวมชุดชาววังกลับเอ่ยสิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกยินดีออกมา
“รู้เบาะแสก็ดี ขอแค่ตามหาร่องรอยเล็กน้อย พวกเราจะต้องตามหาท่านบรรพชนกลับมาได้แน่” สวี่เจียวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วประสานมือคารวะไปกลางอากาศอีกครั้งขณะเอ่ย
“นี่ไม่ใช่แค่เรื่องง่ายๆ หรือ? แม้ว่าจะจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่ข้าน่าจะถูกกักอยู่ในแผ่นดินใหญ่แผ่นดินอื่น เอาล่ะ เบาะแสที่ละเอียดรอให้สมองของข้าจัดการความทรงจำใหม่ แล้วจะบอกพวกเจ้าอย่างละเอียด ยามนี้พวกเจ้าเล่าสถานการณ์ของเผ่ามนุษย์ในยามนี้ก่อนเถิด รวมทั้งเรื่องของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ผู้นั้นด้วย ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยในตัวของคนผู้นั้น นอกจากเปลวเพลิงน้ำแข็งสวรรค์แล้ว ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะได้สิ่งที่ข้าคุ้นเคยมากไป แต่คืออันใดนั้นกลับคิดไม่ออก!” ใบหน้างดงามของวิญญาณโลหิตเผยสีหน้าฉงนออกมา
สวี่เจียว สวี่หยวนและพวกได้ฟังคำนี้ ก็อดที่จะมองสบตากันด้วยความประหลาดใจแวบหนึ่งไม่ได้
หลังจากลังเลเล็กน้อย สวี่เจียวก็ตอบกลับอย่างนอบน้อม
“ในเมื่อท่านอาวุโสวิญญาณโลหิตอยากรู้ ชนรุ่นหลังก็จะเล่ารายละเอียดให้ฟัง หลังจากที่ท่านบรรพชนวิญญาณน้ำแข็งหายตัวไปได้ไม่นาน เผ่ามนุษย์ของพวกเราก็ประสบกับเคราะห์มารครั้งหนึ่ง สามจักรพรรดิเจ็ดราชาปีศาจเดิมเพลี่ยงพล้ำไปไม่น้อย ทำให้เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจวุ่นวายอยู่เป็นหมื่นปี…”
ผู้นำตระกูลสวี่ผู้นี้เริ่มจากเรื่องเมื่อสองสามหมื่นปีก่อน เมื่อเอ่ยถึง ก็สอดแทรกเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในตระกูลสวี่ไปด้วย แม้กระทั่งเรื่องที่ตระกูลเกือบจะล่มสลายสองสามครั้งก็พูดออกมา
หลังจากเล่าเรื่องนี้จบ เขาก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับหานลี่ที่ได้ฟังจากสวี่เชียนอวี่ให้ร่างแยกวิญญาณโลหิตของบรรพชนตนฟังอย่างละเอียด
ส่วนหญิงสาวสวมชุดชาววังก็ลอยตัวอยู่เหนือบ่อโลหิต สีหน้าเยือกเย็นตั้งแต่ต้นจนจบ แค่ดวงตาคู่งามฉายลำแสงสีโลหิตออกมาเล็กน้อย ถึงได้ทำให้ผู้คนมองออกว่าในใจของนางไม่ใช่ว่าไม่มีคลื่นลูกใหญ่เกิดขึ้นเลยสักนิด…
แทบจะในเวลาเดียวกันหานลี่ก็กลับเข้ามาในหอคอยที่พัก และไล่สวี่เชียนอวี่ไป
เขาก็ขึ้นไปยังชั้นบนสุด เดินไปที่หน้าต่าง สองตาหรี่ลงมองไปยังศาลบรรพชนตระกูลสวี่ และมีท่าทางครุ่นคิด
แต่ผ่านไปเพียงชั่วครู่หานลี่ก็ผละออกจากหน้าต่าง กลับมายังใจกลางของชั้นบนสุด
ยกมือขึ้น ฟูกสีเหลืองถูกปล่อยออกมา
จากนั้นเขาพลันนั่งขัดสมาธิ มือหนึ่งร่ายอาคม หลับตาลงด้วยสีหน้าราบเรียบ
จากนั้นหานลี่ก็ไม่เคลื่อนไหวใดๆ อีก ราวกับว่าเข้าสู่ภวังค์แห่งสมาธิ!
สามวันต่อมาหญิงสาวสวมชุดชาววังที่เรียกตนเองว่าวิญญาณโลหิตก็พาสวี่เจียวและพวกอีกคนหนึ่งมาปรากฏตัวที่หน้าประตูหอคอย
หานลี่ที่สัมผัสได้ตั้งนานแล้วจึงให้ทั้งสามคนเข้ามาในห้องโถงชั้นหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน
“ยินดีกับสหายที่สร้างร่างโลหิตสำเร็จ!” รอจนหญิงสาวสวมชุดชาววังนั่งลง หานลี่ก็เอ่ยกับหญิงสาวผู้นี้ด้วยรอยยิ้มบางๆ
“รวมพลังปราณและวิญญาณโลหิตเข้าด้วยกันได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ต้องขอบคุณพลังปราณบริสุทธิ์ของสหาย มิเช่นนั้นคงไม่อาจทำให้ร่างกายของวิญญาณโลหิตมั่นคงได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามวัน” หญิงสาวสวมชุดชาววังตอบกลับพร้อมกับอมยิ้มที่มุมปาก
เดิมรูม่านตาของหญิงสาวผู้นี้เป็นสีแดงสด ยามนี้เป็นสีดำขลับราวกับคนธรรมดาอย่างไรอย่างนั้น
“หึๆ ผู้แซ่หานแค่ช่วยนิดหน่อยเท่านั้น กลับเป็นเคล็ดวิชาวิญญาณโลหิตของสหายที่ลึกล้ำมาก คาดไม่ถึงว่าจะสามารถสร้างร่างแยกได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ช่างเป็นการปกป้องตนเองยามพบศัตรูที่ยิ่งใหญ่จริงๆ” หานลี่ได้ฟังหญิงสาวเรียกตัวเองว่าวิญญาณโลหิตก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ก็โบกมืออย่างราบเรียบทันใด
“เคล็ดวิชาวิญญาณโลหิตเป็นสิ่งที่ข้าได้มาด้วยความบังเอิญ ขั้นตอนในนั้นมีประโยชน์ในการรักษาชีวิตอยู่มาก หากสหายไม่รังเกียจล่ะก็ วิญญาณโลหิตจะใช้ตำรานี้เป็นการตอบแทนบุญคุณของสหาย!” วิญญาณโลหิตกะพริบดวงตาคู่งาม พลิกฝ่ามือ คัมภีร์สีขาวปรากฏขึ้น และส่งให้บนโต๊ะตรงหน้าหานลี่
จากนั้นสายตาของหญิงสาวที่มองหานลี่ ก็เต็มไปด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนจะอมยิ้มแต่ก็ไม่ได้อมยิ้ม
หานลี่ได้ฟังคำนี้กลับหดรูม่านตาลง มองคัมภีร์ที่อยู่ใกล้แค่คืบแล้วครุ่นคิด ฉับพลันนั้นก็ยกมือขึ้นกวักมือ
เสียง “สวบ” ดังขึ้น!
คัมภีร์สีขาวกระโดดเข้ามาในมือของเขา
หานลี่กวาดสายตาไปอย่างราบเรียบ แผ่จิตสัมผัสส่วนเล็กๆ ทะลวงผ่านคัมภีร์หยกไป
ส่วนวิญญาณโลหิตที่เห็นฉากนี้ ก็ไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจ แต่ส่วนลึกในแววตาคู่งามกลับฉายแววตกตะลึงอย่างสัมผัสได้ยากออกมา
ตอนที่ 1774 คืนหม้อ
“ขอบพระคุณสหายวิญญาณโลหิตที่มอบคัมภีร์นี้ให้ แต่สิ่งที่บันทึกอยู่ด้านในขัดแย้งกับเคล็ดวิชาที่ข้าฝึกฝน เกรงว่าข้าน้อยคงไม่อาจฝึกฝนเคล็ดวิชาลับในนี้ได้” หลังจากผ่านไปแค่ชั่วครู่ หานลี่ก็กวาดตามองเนื้อหาในคัมภีร์อย่างคร่าวๆ รอบหนึ่ง แล้วสั่นศีรษะพลางวางคัมภีร์ลงบนโต๊ะ
“อันใด เคล็ดวิชาหลักที่สหายฝึกฝนคืออาคมของลัทธิขงจื๊อหรือ!” วิญญาณโลหิตชักสีหน้า แล้วเอ่ยอย่างฉงน
ถึงอย่างไรเสียแค่ดูก็รู้แล้วว่าทารกวิญญาณที่สองของหานลี่ฝึกฝนเคล็ดวิชามารที่ร้ายกาจมาก เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาสองชนิดที่ตรงกันข้ามกันในเวลาเดียวกัน ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ในเผ่ามนุษย์ก็มีอยู่แค่สองสามคนเท่านั้น
“ไม่ใช่ แค่ผู้แซ่หานเคยฝึกฝนเคล็ดวิชาจิตสัมผัสที่พิเศษชนิดหนึ่ง หากฝึกฝนวิญญาณโลหิตล่ะก็ จะเป็นอุปสรรคใหญ่ในภายภาคหน้า” หานลี่มีสีหน้าราบเรียบขณะตอบกลับ
“ดูจากทารกวิญญาณที่สองของสหายที่ฝึกฝนจนอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นปลายแล้ว ข้าก็น่าจะรู้ว่าสหายหานน่าจะมีเคล็ดวิชาด้านจิตสัมผัสอื่นที่ไม่ด้อยไปกว่าเคล็ดวิชาวิญญาณโลหิต มิเช่นนั้นทารกวิญญาณเสริมที่พวกเราฝึกฝนออกมาได้นั้น ภายใต้พลังจิตสัมผัสที่ไม่เพียงพอ พลังยุทธ์ก็น่าจะด้อยกว่าเจ้าตัวมาก เหมือนกับข้า วิญญาณโลหิตที่สร้างร่างกายแยกนี้ ก็มีพลังปราณแค่ระดับหลอมสุญตาขั้นต้นเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งนี้ข้าก็ขอเก็บกลับไป” วิญญาณโลหิตได้ฟังคำพูดของหานลี่ก็ไม่ได้เผยสีหน้าแปลกประหลาดใจออกมา สะบัดแขนเสื้อเก็บคัมภีร์กลับไป
“เมื่อเทียบเคล็ดวิชาวิญญาณโลหิตกับทารกวิญญาณที่สองแล้ว อันที่จริงก็แตกต่างกัน อย่างน้อยที่สุดหากทารกวิญญาณที่สองของข้าน้อยอยู่ห่างจากข้าเนิ่นนานเช่นสหาย เกรงว่าคงเกิดความยุ่งยากตั้งนานแล้ว” หานลี่มองหญิงสาวสวมชุดชาววังที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฉีกยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยออกมา
“ก็จริง ในอดีตเคล็ดวิชาวิญญาณโลหิตต้องใช้เคล็ดวิชาลับหลอมโลหิตบวงสรวงจิตสัมผัส และไม่ต้องกลัวว่าร่างแยกจะเกิดการแว้งกัด มิเช่นนั้นใต้เท้าผลึกโลหิตที่สร้างเคล็ดวิชานี้ คงไม่มีชื่อเสียงเกรียงไกรขนาดนี้ในปีนั้น” วิญญาณโลหิตฉีกยิ้มเบิกบาน
หานลี่ได้ฟังก็ไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ แค่หัวเราะหึๆ ออกมา
“ใช่แล้ว วันนั้นข้าได้ยินสหายหานกล่าวว่ามีปัญหาอยากซักถามข้า แม้ว่าวิญญาณโลหิตจะได้รับความทรงจำของร่างเดิมมาไม่มากนัก แต่หากรู้จะต้องตอบสหายแน่” หญิงสาวเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็จะไม่เกรงใจแล้ว ประวัติความเป็นมาของข้าน้อย คิดดูแล้วสหายวิญญาณโลหิตคงได้ฟังมาบ้างแล้ว” หานลี่กวาดสายตาไปบนเรือนร่างของสวี่เจียวที่อยู่ด้านข้าง แล้วเอ่ยถามอย่างใช้ความคิด
“วิญญาณโลหิตซักถามมาแล้วจริง สหายไม่เพียงเป็นผู้ที่มาจากแดนมนุษย์เหมือนกับร่างเดิมของวิญญาณโลหิต และยิ่งไปกว่านั้นยังอาจจะได้รับเปลวเพลิงน้ำแข็งสวรรค์ที่ข้าทิ้งเอาไว้ที่แดนล่าง ยามนี้กลับช่วยตระกูลสวี่ปลุกข้า ความบังเอิญนี้ช่างน่าเหลือเชื่อนัก” หญิงสาวสวมชุดชาววังถอนหายใจออกมาเบาๆ สีหน้าสลับซับซ้อนเล็กน้อย
“และด้วยเหตุนี้ ผู้แซ่หานจึงรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวในแดนมนุษย์ในยามนั้นนัก อยากให้สหายอธิบายให้ฟังสักหน่อย” หานลี่มุมปากกระตุก พลางเอ่ยอย่างจริงจัง
“สหายอยากถามเรื่องในแดนล่าง?” หญิงสาวพลันตกตะลึง ดูเหมือนว่าจะประหลาดใจเล็กน้อย
“อันใด มีอันใดไม่เหมาะสมหรือ?” หานลี่แววตาเปล่งประกาย ดูเหมือนว่าจะไม่เข้าใจเล็กน้อย
“ยิ่งกว่าไม่เหมาะ! หากสหายอยากถามเรื่องราวในแดนมนุษย์ เกรงว่าวิญญาณโลหิตคงไม่มีอันใดจะพูด” หญิงสาวสวมชุดชาววังหัวเราะขมขื่นออกมา
หานลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยปากซักถามต่อ เขารู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องพูดอันใดกับเขาแน่
ดังคาดหญิงสาวสวมชุดชาววังมีสีหน้าเคร่งเครียดแล้วก็เอ่ยขึ้น
“มิใช่วิญญาณโลหิตจงใจหลอกลวง แต่ความทรงจำของข้าไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับแดนมนุษย์ ทุกอย่างที่รู้ในแดนล่าง เป็นแค่ความทรงจำที่รางเลือนเท่านั้น”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ หรือว่าสหายสูญเสียความทรงจำของแดนมนุษย์ไปยามที่ผนึกวิญญาณโลหิต!” หานลี่เอ่ยถามอย่างฉงนเล็กน้อย
“มิใช่การสูญเสีย แต่เป็นเพราะยามที่ร่างเดิมถ่ายทอดความทรงจำมาตอนแรก ไม่ได้คัดลอกความทรงจำส่วนนี้มา” หญิงสาวเอ่ยอย่างมั่นใจมาก
“เหตุใดถึงเป็นสาเหตุนี้?”
“เรื่องนี้…วิญญาณโลหิตก็ไม่รู้เช่นกัน” หญิงสาวสวมชุดชาววังรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
หานลี่มุมปากกระตุก สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาอีก
หญิงสาวสวมชุดชาววังรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย แต่ที่นางมาเยี่ยมเยียนหานลี่ในครั้งนี้กลับยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้นหลังจากลังเลเล็กน้อย กลับเอ่ยปากด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ข้าเองก็มีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ ไม่ทราบว่าควรถามหรือไม่”
หานลี่รู้สึกหมดคำพูดไปเสียแล้ว
ปัญหาของตนอีกฝ่ายไม่ตอบ กลับมาถามตนในพริบตา แต่ใบหน้าของเขากลับไม่เผยสีหน้าผิดแปลกใดๆ ออกมา กลับฉีกยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“มีเรื่องใด สหายโปรดถามมาเถิด”
“ข้าบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว ขอบังอาจถามสหายหานยามที่อยู่ในแดนมนุษย์ ได้รับอาวุธที่เกี่ยวข้องกับร่างเดิมของวิญญาณโลหิตหรือไม่? ยามที่ข้าพบกับสหายเมื่อสองสามวันก่อน ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยมากบนตัวของสหาย แม้ว่าจะไม่อาจนึกอันใดออก แต่ข้ามักจะรู้สึกว่าสิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นของสำคัญของวิญญาณโลหิตและร่างเดิมมาก?” วิญญาณโลหิตสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึมมาก
หานลี่ได้ฟังก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย หลังจากมองหญิงสาวสวมชุดชาววังชั่วครู่ ถึงได้พยักหน้าอย่างช้าๆ “แม้ว่าสหายจะไม่อยากพูดมาก แต่ข้าว่าคงรู้ว่าหมายถึงสิ่งใดสินะ?”
สิ้นเสียง หานลี่พลันอ้าปาก พ่นลำแสงสีเขียวออกมา
ลำแสงนี้หมุนคว้าง ฉับพลันนั้นพลันกลายเป็นหม้อใบเล็กสีเขียว และร่อนลงมาบนฝ่ามือของหานลี่
นั่นคือหม้อนภาสูญ
“หม้อวิญญาณสูญ อ๋อ ไม่ถูก เป็นหม้อนภาสูญ…”
วิญญาณโลหิตเห็นสมบัติชิ้นนี้ก็ร้องอุทานออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนยินดี แต่ทันใดนั้นแววตาคู่งามพลันตกตะลึง สีหน้าเปลี่ยนเป็นสลับซับซ้อนในทันที
“อ๋อ สหายจำสมบัติชิ้นนี้ได้!” หานลี่เลิกคิ้วเล็กน้อยขณะเอ่ยถาม
“น่าจะไม่ผิดสินะ แม้ว่าข้าจะจำเรื่องราวในแดนมนุษย์ไม่ได้ แต่แค่เห็นหม้อใบนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงรู้จักชื่อของมัน และยิ่งไปกว่านั้นจากกลิ่นอายที่แผ่ออกมา ดูเหมือนว่าจะคล้ายคลึงกับหม้อวิญญาณสูญที่ร่างเดิมของข้ามี น่าจะเป็นสิ่งที่ร่างเดิมของข้าหลอมขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้เพราะเหตุใด สมบัติชิ้นนี้น่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับข้า” วิญญาณโลหิตมองหม้อใบเล็ก แล้วเอ่ยพึมพำออกมา
“สำคัญมาก!” หานลี่เผยสีหน้าลึกซึ้งออกมา
“ข้าก็บอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะร่างเดิมของข้าทิ้งความคิดที่เด่นชัดเอาไว้ในวิญญาณโลหิตหรือไม่ สหายหานข้าเองก็จะไม่อ้อมค้อม หม้อนภาสูญนี้ ข้ายอมตอบแทนทุกอย่างเพื่อให้ได้มันกลับมา ขอแค่ยอมตกลงเรื่องนี้ พี่หานจะเสนอเงื่อนไขอันใดก็เอ่ยออกมาเถิด” หลังจากที่วิญญาณโลหิตเงียบขรึมไปเล็กน้อย ก็เอ่ยอย่างจริงจังออกมา
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ลูบไล้ใต้ค้าง ยามนั้นไม่ได้เอ่ยปากตอบอันใดออกมา
“สวี่เจียว เอาสิ่งนั้นออกมา!” วิญญาณโลหิตเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น พลันหันหน้าไปออกคำสั่งกับสวี่เจียวที่อยู่ด้านข้างด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“…ขอรับ ท่านอาวุโสวิญญาณโลหิต!” สวี่เจียวได้ยินคำพูดของหญิงสาวสวมชุดชาววัง คาดไม่ถึงว่าจะเผยสีหน้าอาลัยอาวรณ์ออกมา แต่หลังจากนั้นก็กัดฟัน ฉับพลันนั้นพลันสะบัดข้อมือไปทางกำไลเก็บของ
หมอกลำแสงสีขาวม้วนวนออกมา กล่องหยกขนาดน้อยใหญ่สองใบ รวมทั้งถุงหนังสีฟ้าใบหนึ่ง ปรากฏขึ้นบนโต๊ะด้านข้างหานลี่อย่างเงียบเชียบ
“ในนี้มี ‘ดอกหยกมาร’ อายุสามหมื่นปีอยู่ต้นหนึ่ง สามารถควบคุมพลังของมังกรวารีแปดตัวในสมบัติ ‘มีดมังกรวารีทั้งแปด’ ได้ รวมทั้งศิลาวิญญาณระดับสุดยอดสามสิบล้านก้อน วิญญาณโลหิตจะใช้ของสามอย่างนี้แลกกับหม้อนภาสูญในมือของสหาย! สหายหานคิดอย่างไร? เรื่องนี้นับว่าเป็นสิ่งที่ข้าติดค้างน้ำใจสหาย รอข้ากลับมาจากที่เผ่ามนุษย์ จะต้องขอบคุณอย่างหนักแน่” วิญญาณโลหิตเอ่ยด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ชั่วพริบตานั้นจิตสัมผัสก็ทะลวงผ่านของสามสิ่งบนโต๊ะไป
ด้านในเหมือนกับที่หญิงสาวสวมชุดชาววังกล่าวไว้อย่างไรอย่างนั้น
ดอกวิญญาณสีดำมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนเคล็ดวิชามารเป็นอย่างมาก ใบมีดประหลาดสีฟ้าที่สลักมังกรวารีแปดตัวเอาไว้ ถุงหนังที่เต็มไปด้วยศิลาวิญญาณระดับสุดยอด
ยกมือขึ้น กล่องหยกใบเล็กที่บรรจุดอกวิญญาณสีดำเอาไว้ถูกหานลี่ดูดเข้ามาในมือ
“พี่หานมีเจตนาใด?” วิญญาณโลหิตขมวดคิ้วดำขลับ ท่าทางไม่เข้าใจเล็กน้อย
“ดอกหยกดำดอกนี้มีประโยชน์ต่อผู้แซ่หานก็จริง ศิลาวิญญาณและสมบัติวิญญาณชิ้นนี้กลับไม่ต้องหรอก ข้าน้อยไม่ได้ขาดแคลนสมบัติวิญญาณหรือศิลาวิญญาณ แม้ว่าผู้แซ่หานจะไม่ใช่สุภาพบุรุษ แต่ก็รู้จักตอบแทนคุณคนอยู่บ้าง ปีนั้นข้าน้อยได้เปลวน้ำแข็งสวรรค์และหม้อใบนี้มาจากแดนล่าง นั่นก็เคยช่วยข้าโจมตีศัตรูจนพ่ายไปสองสามครั้ง แค่จุดนี้ผู้แซ่หานไม่มีทางเอ่ยปากก็ขอมากไปแน่ และยิ่งไปกว่านั้นดอกหยกดำดอกนี้ก็เป็นสมุนไพรที่เกิดเฉพาะในแดนมาร แม้ว่าระดับความล้ำค่าจะไม่เทียบเท่ากับสมบัติวิญญาณ แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก” หานลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
จากนั้นหม้อใบเล็กในมือของหานลี่ก็พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็มาอยู่ตรงหน้าหญิงสาว ลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น
การเคลื่อนไหวและคำพูดของหานลี่ เห็นได้ชัดว่าอยู่นอกเหนือความคาดหมายของหญิงสาวสวมชุดชาววัง ใบหน้าฉายแววประหลาดใจออกมาพลางมองหม้อใบเล็กตรงหน้า
แต่หญิงสาวผู้นี้ก็เป็นแค่คนธรรมดา หลังจากลังเลไปชั่วครู่ ก็เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบออกมา
“น้ำใจของสหาย วิญญาณโลหิตขอเป็นตัวแทนตระกูลสวี่และตัวข้าขอบคุณสหาย จากนี้หากสหายมีเรื่องให้ช่วยเหลือ ก็มาหาที่ตระกูลสวี่เถิด แม้ว่าวิญญาณโลหิตจะมีพลังยุทธ์ไม่สูงส่ง แต่ก็มั่นใจว่าพอจะช่วยได้”
หลังจากที่หญิงสาวสวมชุดชาววังเอ่ยสั้นๆ สองสามประโยค ก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีโลหิตปรากฏออกมา
หม้อใบเล็กสีเขียวตรงหน้า และของที่เหลืออีกสองสิ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็คารวะหานลี่เล็กน้อย แล้วเดินออกจากประตูหอคอยโดยมิได้พูดอันใดอีก
“เช่นนั้นชนรุ่นหลังต้องขอตัวลาแล้ว”
สวี่เจียวเห็นสถานการณ์ค่อนข้างแปลกประหลาด ก็รีบร้อนลุกขึ้นคารวะหานลี่ แล้วไล่ตามไปติดๆ
แววตาของหานลี่เปล่งประกายขณะมองไปที่ประตูหอคอย หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ
ไม่รู้เพราะเหตุใด แม้ว่าเขาจะไม่ได้คำตอบที่อยากรู้จากปากของวิญญาณโลหิต และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่รู้เบาะแสที่แน่ชัดของร่างเดิม แต่หลังจากที่มอบหม้อนภาสูญให้หญิงสาวผู้นี้แล้ว ก็รู้สึกผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก
ความไม่แน่ใจเดิมที่ว่าจะกลายเป็นอุปสรรคในการฝึกฝนทางสายมารราวกับไม่สำคัญอีกต่อไป ผลกระทบจากการสาบานกับชายหนุ่มแซ่เวิงในปีนั้นก็แก้ไขได้ในยามนี้แล้ว
แม้ว่าหม้อนภาสูญจะเป็นสมบัติวิญญาณที่ไม่เลว แต่เห็นได้ชัดว่าสมบัติชิ้นนี้น่าจะมีประโยชน์ด้านที่ยังไม่รู้อยู่ด้วย มิเช่นนั้นแค่อานุภาพในการต่อสู้ของมันนั้นก็คงไม่ได้ดีไปกว่าสมบัติวิญญาณชิ้นอื่นๆ ในร่างของเขา
ยามนี้มอบออกไปย่อมรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับทำใจให้ไม่ได้
ยามนี้ในเมื่อกำจัดอุปสรรคทางสายมารในใจของตนได้แล้ว และยังสร้างความสัมพันธ์อันดีกับวิญญาณโลหิตของตระกูลสวี่และชนรุ่นหลังของเซียนวิญญาณน้ำแข็งได้อีกด้วย ทั้งยังได้ดอกหยกมารสีดำที่ตนแค่เคยได้ยินมาจากในตำนาน ก็ไม่นับว่าขาดทุนแล้ว
ทว่าก็จัดการเรื่องของที่นี่ได้พอสมควรแล้ว ถึงยามที่ต้องไปจากตระกูลสวี่แล้ว ช่วงเวลาต่อจากนี้อยู่ห่างจากงานหมื่นสมบัติอีกแค่ไม่กี่ปี พอจะท่องเที่ยวในแดนเทียนหยวนก่อนแล้วค่อยไปได้
หานลี่เองก็ยืนขึ้น แล้วเดินไปที่หัวบันไดอย่างแช่มช้า พลางขบคิดอย่างมีแผนการ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น