คัมภีร์วิถีเซียน 1768-1770

 ตอนที่ 1768 เปลวเย็นเยียบกับยันต์สีทอง

 

“สมบัติ ปีนั้นก่อนที่ท่านบรรพชนจะหายสาบสูญไป ได้เอาสมบัติติดตัวทั้งหมดไปด้วย ไม่ให้เหลือไว้ให้พวกเรา ส่วนเคล็ดวิชาหรือ ตระกูลสวี่ของพวกเราเก็บรักษาเคล็ดวิชาลับสองสามชนิดที่มีอานุภาพน่าตกตะลึงของท่านบรรพชนเอาไว้ แต่เป็นเพราะเงื่อนไขในการฝึกฝนที่ยากลำบาก จึงมีแค่ไม่กี่คนที่มีคุณสมบัติให้ฝึกฝน โชคดีที่ท่านปู่เหยียนคือหนึ่งในนั้น ท่านปู่รบกวนสำแดงให้ท่านอาวุโสดูหน่อยเถิด” หลังจากที่สวี่เจียวครุ่นคิดเล็กน้อย ก็หันหน้าไปเอ่ยกับชายชราที่อยู่ด้านข้าง


“ในเมื่อท่านอาวุโสอยากเห็น ชนรุ่นหลังก็จะแสดงฝีมืออันต่ำต้อยแล้ว” ชายชราลังเลเล็กน้อย แล้วจึงพยักหน้า


จากนั้นก็เห็นเขายกมือขึ้น ฝ่ามือที่ผ่ายผอมข้างหนึ่งยื่นออกมาจากแขนเสื้อ และกางนิ้วทั้งห้าออกพลางพลิกฝ่ามือ


ชั่วพริบตานั้นเปลวเพลิงสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ ลำแสงวิญญาณไหลโคจรไปมา กลายเป็นดอกบัวลำแสงสีฟ้าโปร่งแสง ดอกบัวน้ำแข็งนี้วิจิตรงดงามมาราวกับเกิดขึ้นตามธรรมชาติก็ไม่ปาน


“เพลิงน้ำแข็งสวรรค์!” หานลี่กลับแววตาเปล่งประกาย อดที่จะเอ่ยพึมพำขึ้นมาไม่ได้


“ท่านอาวุโสตามีแววนัก เปลวเย็นเยียบนี้เป็นอิทธิฤทธิ์ที่มีชื่อเสียงของท่านบรรพชน หากฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุดจะสามารถใช้น้ำแข็งผนึกอากาศเป็นพันลี้ได้ แน่นอนว่าชนรุ่นหลังยังฝึกฝนได้ไม่ถึงขั้นนั้น” ใบหน้าซูบผอมของสวี่เหยียนเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา ดอกบัวน้ำแข็งสีฟ้าในมือหมุนคว้างไปมา ฉับพลันนั้นพลันกลายเป็นหมอกสีฟ้าม้วนวนมาอยู่ตรงหน้า


เห็นเพียงที่แห่งที่หมอกสีฟ้ากวาดผ่านไป กลางอากาศจะมีลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ ชั่วพริบตาก็เริ่มบิดเบี้ยวรางเลือน


และในยามนั้นชายชราตระกูลสวี่อีกคนหนึ่งก็โยนถ้วยชาในมือขึ้นไปกลางอากาศ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปกลางอากาศ


ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น


เห็นเพียงถ้วยชาใบนั้นไม่เพียงมีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลายเป็นรูปปั้นแกะสลักน้ำแข็ง  ยังหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ


แววตาของหานลี่หดเล็กลง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง มุมปากเผยความประหลาดใจเล็กๆ ออกมา


หากฝึกฝนเพลิงน้ำแข็งสวรรค์จนถึงช่วงสุดท้าย คาดไม่ถึงว่าจะมีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ได้ กลับอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปเล็กน้อย


ทว่าลองคิดดูให้ละเอียด นั่นก็เป็นเรื่องปกติ


ตอนนั้นเขาได้เปลวเพลิงน้ำแข็งสวรรค์มาจากหม้อนภาสูญ ไม่ได้ฝึกฝนมาด้วยตนเอง เกิดจากการดูดซับแล้วทำการหลอมมันนั้น อานุภาพย่อมไม่อาจเพิ่มขึ้นเองได้


แต่เปลวเพลิงเย็นเยียบของสวี่เหยียนผู้นี้เป็นอิทธิฤทธิ์ที่ฝึกฝนมาอย่างหนัก ประกอบกับมีคาถาท่อนหลัง แน่นอนว่าอานุภาพจึงเพิ่มขึ้นทีละก้าวๆ


วิธีทั้งสองชนิด ล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย


การดูดซับเปลวเพลิงเย็นเยียบแล้วสำแดงออกมา ไม่ต้องเสียเวลาฝึกฝนโดยเฉพาะก็สามารถได้ประโยชน์จากอิทธิฤทธิ์นี้ แต่วันข้างหน้าหากอยากเพิ่มอานุภาพของอิทธิฤทธิ์นี้ มีเพียงต้องอาศัยพลังจากสิ่งของภายนอกหรือผสมกับเปลวเพลิงเย็นเยียบชนิดอื่น


เหมือนดั่งชายชราและเซียนวิญญาณน้ำแข็งที่ฝึกฝนด้วยตนเอง แม้ว่าจะเสียเวลาค่อนข้างนาน แต่ขอแค่ร่ายคาถาตาม ก็สามารถฝึกฝนเปลวเพลิงเย็นเยียบจนถึงระดับที่ประสบความสำเร็จแล้ว


ส่วนการดูดซับเปลวเพลิงน้ำแข็งสวรรค์อย่างเขานั้นมันเป็นเรื่องของแดนมนุษย์


ยามนั้นเปลวเพลิงน้ำแข็งสวรรค์ที่เซียนวิญญาณน้ำแข็งทิ้งเอาไว้ มากสุดก็แค่อิทธิฤทธิ์ระดับเทพแปลง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเทียบกับชายชราที่อยู่ในระดับหลอมสุญตายามนี้ได้


หลังจากที่ความคิดของหานลี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ก็เข้าใจความลึกลับในนั้น ความประหลาดใจหายวับไปในพริบตา


ทว่าดอกสีฟ้าตรงหน้าของชายาชราก็ปรากฏตัวอยู่แค่ไม่กี่อึดใจก็แตกสลายไปราวกับกระจก


ถ้วยชาที่แต่เดิมชะงักค้างอยู่กลางอากาศ พลันร่อนลงมาบนพื้นทันที


ชายชราที่มีนามว่าสวี่หั่วอีกคนหนึ่งกลับเตรียมการเอาไว้นานแล้ว มือหนึ่งพลันกวักเรียกถ้วยชาถูกน้ำแข็งสีฟ้าห่อหุ้มเอาไว้แล้วดูดเข้ามาอยู่ในมือ


ในเวลาเดียวกันนั้นในมือของเขาพลันเปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ ชั่วพริบตานั้นน้ำแข็งสีฟ้าชั้นหนึ่งก็ละลายหายวับไป


ถ้วยชาปรากฏออกมาอีกครั้ง


“ท่านอาวุโสคิดว่าอย่างไรขอรับ อิทธิฤทธิ์ของท่านปู่เหยียนพิสูจน์ความสัมพันธ์สายตรงของตระกูลสวี่ของพวกเราได้หรือไม่” บุรุษสวมชุดสีขาวเอ่ยถามหานลี่ด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม


“เป็นเปลวเพลิงน้ำแข็งสวรรค์ไม่ผิดแน่ และยิ่งไปกว่านั้นอิทธิฤทธิ์นี้ของสหายสวี่เหยียนก็ฝึกฝนจนชำนาญขนาดสามารถควบคุมพลังเย็นเยียบไม่ให้แผ่ออกมาแม้แต่ก้าวเดียวได้ ช่างหายากเสียจริง” หานลี่ฉีกยิ้มและพยักหน้าเบาๆ


“เช่นนั้นความหมายของท่านอาวุโสคือ…” สวี่เจียวมีชีวิตชีวาขึ้น


“หึๆ สหายวางใจเถิด ในเมื่อตระกูลสวี่เป็นทายาทสายตรงของสหายวิญญาณน้ำแข็ง ข้าน้อยย่อมต้องมอบของให้อยู่แล้ว” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา สะบัดแขนเสื้อไปบนโต๊ะด้านข้าง


หมอกสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ของสองสิ่งปรากฏขึ้นบนโต๊ะ


คัมภีร์สีฟ้าอ่อนม้วนหนึ่ง และกล่องหยกสีขาวบริสุทธิ์กล่องหนึ่ง


ทั้งสองชิ้นล้วนถูกยันต์วิเศษสีทองเปล่งแสงเรืองรองผนึกเอาไว้อย่างแน่นหนา จนเพียงพอจะพิสูจน์ได้ว่าหานลี่ไม่มีทางเปิดดูของสองสิ่งนี้ก่อนแน่


บุรุษสวมชุดสีขาวกวาดสายตาไป สีหน้าเคร่งขรึม แต่ทันใดนั้นก็หยิบทั้งสองสิ่งออกมา กลับถอนหายใจแล้วเอ่ยถามอย่างจริงจัง


“ท่านอาวุโสบอกข้าน้อยได้หรือไม่ว่าผู้ใดไหว้วานให้ท่านอาวุโสเอาสิ่งนี้มาให้?”


“ไม่ใช่ว่าข้าน้อยไม่ยอมพูด แต่หากพูดออกไปแล้วสหายทุกท่านก็คงไม่รู้จัก ข้าบอกได้แค่ว่าท่านอาวุโสผู้นี้ไม่ใช่คนในเผ่ามนุษย์และปีศาจของพวกเรา พลังยุทธ์เองแม้แต่ข้าก็ไม่อาจหักหลังได้” หานลี่ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยด้วยเสียงแช่มช้า


“อันใดนะ ชนนอกเผ่า”


“แม้แต่ท่านอาวุโสก็ยอมรับว่าสู้มิได้ หรือว่าจะเป็น…”


ตระกูลสวี่และพวกสองสามคนร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง เห็นได้ชัดว่าคำตอบนี้เหนือกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้


สวี่เชียนอวี่และชายชราเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา


กลับเป็นหานลี่ที่ไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาของพวกเขาเลยสักนิด เผยความเยือกเย็นเป็นอย่างมากออกมา


สวี่เจียวแววตาเปล่งประกาย เอ่ยอย่างมีแผนการอันใดอยู่


“ตอนนั้นยามที่ท่านบรรพชนจากไป ก็เพิ่งจะทะลวงระดับผสานอินทรีย์ได้ไม่นาน อาจจะเข้าไปในแดนรกร้าง เพื่อหาประสบการณ์ในแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงล่ะก็ การจะรู้จักอาวุโสชนต่างเผ่าสองคนก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติ หรือว่านี่คือเบาะแสการหายตัวไปของท่านบรรพชน”


“นั่นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” สวี่เหยียนและพวกมองสบตากันแวบหนึ่ง ใบหน้าเผยสีหน้าดีอกดีใจฉายแวบผ่าน ดูเหมือนว่าจะเอ่ยเห็นด้วยออกมาด้วยเสียงแตกต่างกัน


สวี่เชียนอวี่และชายร่างใหญ่มองสบตากันแวบหนึ่ง และอดที่จะเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจไม่ได้


“นี่เป็นแค่การคาดเดา จะใช่หรือไม่ก็พูดยาก และขอให้ท่านอาวุโสโปรดรอสักประเดี๋ยว ชนรุ่นหลังจะรีบไปรีบกลับ ท่านปู่เหยียน เจ้ากับอวี่เอ๋อร์อยู่กับท่านอาวุโสเถิด” บุรุษสวมชุดสีขาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง หลังจากดูดทั้งสองสิ่งเข้ามาอยู่ในมืออย่างไม่ลังเลอีก ก็เอ่ยกับหานลี่อย่างรู้สึกเสียใจ


“สหายสวี่เชิญตามสะดวก” หานลี่กลับไม่ใส่ใจ


ดังนั้นสวี่เจียวจึงหอบทั้งสองสิ่งแล้วยืนขึ้น ไปหาชายชราอีกคนหนึ่งและชายร่างใหญ่ขอตัวลาไปก่อน


ชั่วพริบตาในห้องโถงก็เหลือแค่หานลี่ สวี่เชียนอวี่ และสวี่เหยียนเพียงสามคน


“ท่านอาวุโสหาน ข้าน้อยเคยเอ่ยกับอวี่เอ๋อร์ในอดีต ตอนนั้นในเมืองเทวะสวรรค์ นางได้รับคำชี้แนะจากท่านอาวุโสมากมาย มิเช่นนั้นคงไม่อาจทะลวงจุดคอขวดระดับเทพแปลงได้รวดเร็วเช่นนี้ ข้าที่เป็นท่านปู่ของอวี่เอ๋อร์ขอขอบคุณแทนท่านอาวุโสด้วย” ชายชราพูดคุยกับหานลี่สองสามประโยค ก็ประสานมือคารวะแล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา


“ไม่มีอันใด นี่เพราะสหายสวี่เชียนอวี่มีคุณสมบัติเหนือชั้น ตอนนั้นข้าแค่ดูแลนิดหน่อยเท่านั้น” หานลี่ตอบกลับอย่างราบเรียบ


“ทว่าพูดถึงเรื่องนี้ ฟังจากคำพูดของอวี่เอ๋อร์ ท่านอาวุโสดูเหมือนจะมีต้นกำเนิดเดียวกันกับท่านบรรพชน ไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่?” สวี่เหยียนเอ่ยถามอย่างประหลาดใจเล็กๆ


“แม้ว่าข้าจะไม่เคยพบท่านอาวุโสเซียนวิญญาณน้ำแข็ง แต่ก็มีที่มาเดียวกันจริงๆ มิเช่นนั้นท่านอาวุโสผู้นั้นคงไม่ไหว้วานข้ามา หากสหายสงสัยล่ะก็ ดูสิ่งนี้ก็เข้าใจแล้ว” หานลี่มองชายชราแวบหนึ่ง หลังจากมุมปากกระตุก ก็ชูนิ้วหนึ่งขึ้น


จากนั้นได้ยินเพียงเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น เปลวเพลิงสีฟ้าดวงหนึ่งระเบิดออกมาจากปลายนิ้ว หมุนเคว้งไปมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งสีฟ้า


“เปลวเพลิงน้ำแข็งสวรรค์!” ชายชราร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง จ้องเขม็งไปยังเกล็ดน้ำแข็งสีฟ้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง


“หรือว่าท่านอาวุโสก็คือ…” สวี่เชียนอวี่ที่อยู่ด้านข้างเห็นฉากนี้ก็เอ่ยพึมพำออกมาด้วยความตกตะลึง


“ไม่ใช่อย่างที่พวกเจ้าคิด ข้าแค่ได้รับเปลวเพลิงเย็นเยียบที่ท่านบรรพชนของเจ้าทิ้งไว้ในแดนล่างมาเท่านั้น” หานลี่เอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!” สวี่เหยียนเข้าใจในทันที แต่แววตายังคงฉงน แต่กลับไม่รู้ว่าจะซักถามต่ออย่างไร


ถึงอย่างไรเสียหานลี่ก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่ง ไหนเลยที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาคนหนึ่งอย่างเขาจะซักถามได้ง่ายๆ


แทบจะในเวลาเดียวกันในห้องลับที่ถูกคุ้มกันด้วยเขตอาคมแน่นหนาด้านหลังวิหาร ผู้นำตระกูลสวี่ ชายร่างใหญ่ และชายชราอีกคนหนึ่งกลับกำลังพิจารณาของทั้งสองสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะหินในห้องลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ยันต์นี้ร้ายกาจมาก จากพลังยุทธ์ของเจ้าและข้า คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจใช้ลมปราณฝืนฉีกได้ ดูแล้วคงเป็นดังที่ท่านอาวุโสหานกล่าว ของเหล่านี้เป็นของที่ระดับมหายานของชนต่างเผ่ามอบให้ท่านบรรพชน” ชายชรานามว่าสวี่หั่วดูเหมือนจะลองดึงยันต์ออกแล้ว พลางเอ่ยพร้อมกับมองสองสิ่งนี้ด้วยความจนปัญญา


“หากเป็นระดับมหายานจริงๆ ยันต์สองแผ่นนี้ลึกลับได้ขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หากอาศัยพลังของสมบัติฝืนฉีกยันต์สองแผ่นนี้ออก เกรงว่าของด้านในคงเสียหาย จะต้องมีวิธีการอื่นถึงจะถูก” สวี่เจียวลูบใต้คางโล่งๆ ดูเหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอันใดสักอย่าง


“หากท่านอาวุโสมีทาง ก็ลองดูเถิด หากไม่เป็นผล ต้องคิดหาวิธีอื่น” สวี่หั่วเผยท่าทีร้อนใจออกมา พลางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา


“ท่านอาพูดถูก เช่นนั้นหลานจะขอทดสอบดูหน่อย” สวี่เจียวเงียบไปชั่วครู่ ถึงได้พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


จากนั้นก็เห็นเขายกแขนขึ้น แล้วอ้าปากออก พ่นลำแสงสีขาวออกมา


เห็นเพียงลำแสงสีขาวล้อมรอบข้อมือของเขาอย่างรวดเร็ว เปล่งแสงสว่างวาบแล้วถูกสวี่เจียวดูดกลับเข้าไปในปากทันที


แต่ครู่ต่อมาข้อมือก็มีสีแดงปรากฏขึ้น โลหิตบริสุทธิ์หยดลงมา ไปโดนยันต์ที่ปิดผนึกคัมภีร์ม้วนนั้นเข้าพอดี


ลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ โลหิตบริสุทธิ์เหล่านั้นจมหายไปอย่างง่ายดาย


ยันต์ที่แต่เดิมนิ่งสนิทพลันเปล่งแสงสีทองออกมาในพริบตา หลังจากสู้รบกันแล้วก็มีอักขระสีทองขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันปรากฏขึ้น


แต่พอเปล่งแสงสว่างวาบก็หายวับไป อักขระสีทองเหล่านั้นทยอยกันสลายหายไป ในเวลาเดียวกันไอวิญญาณที่น่าตกตะลึงบนยันต์ก็หม่นแสงลง ลำแสงวิญญาณทั้งหมดสลายหายไป


สวี่เจียวเห็นฉากนี้ ชั่วขณะนั้นพลันดีอกดีใจ รู้ว่าตนเองเดาถูกกว่าครึ่ง มีเพียงโลหิตบริสุทธิ์ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากเซียนวิญญาณน้ำแข็ง ถึงจะฉีกยันต์แผ่นนี้ออกได้อย่างปลอดภัย


หลังจากที่เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก็อ้าปากออกเป่าคัมภีร์เบาๆ


ยันต์สีทองสั่นเทา แล้วร่อนลงมาจากคัมภีร์อย่างเงียบเชียบ

 

 

 


ตอนที่ 1769 วิญญาณโลหิต

 

ชายชราและชายร่างใหญ่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ใบหน้าพลันเผยสีหน้าดีอกดีใจออกมาเช่นกัน


สวี่เจียวระงับความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ ใช้สัญลักษณ์มือเดียวกันดูดยันต์ของกล่องหยกมา


บุรุษสวมชุดสีขาวกวาดตามองของสองสิ่งทั้งซ้ายและขวา หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็ยังคงยื่นมือไปคว้ากล่องหยกสีฟ้ากล่องนั้นเข้ามาในมือ


หลังจากนำคัมภีร์มาแตะเบาๆ ที่หน้าผาก บุรุษผู้นั้นก็หลับตาทั้งสองข้างลง


เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ยามแรกบุรุษชุดขาวยังมีสีหน้าผ่อนคลาย แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นฉงน แต่สุดท้ายกลับค่อยๆ ตกตะลึง


ชายชราสวี่หั่วและชายร่างใหญ่ที่อยู่ด้านข้างเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ในใจอดที่จะรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาไม่ได้


หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ในที่สุดบุรุษสวมชุดสีขาวก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา สีหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจเล็กน้อยแล้วเลื่อนคัมภีร์ออกจากหน้าผาก


“หลานชาย ในนั้นกล่าวถึงอันใดกันแน่” ชายชราทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น


ชายร่างใหญ่เผยสีหน้าร้อนใจออกมา


“ท่านอาหั่ว ท่านดูเองเถิด” สวี่เจียวดูเหมือนว่าจะได้สติขึ้นมาสองสามส่วน สีหน้าสลับซับซ้อนขณะโยนคัมภีร์มา ดูเหมือนว่าจะไม่อยากพูดอันใดมาก


ชายชรายกมือขึ้นรับคัมภีร์ แน่นอนว่าย่อมตกตะลึงระคนสงสัยเล็กน้อย แต่หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็แทรกจิตสัมผัสเข้าไปด้านในเช่นกัน


ยามนี้สวี่เจียวกลับเลื่อนสายตามาตกที่กล่องหยก ครุ่นคิดเล็กน้อย แขนเสื้อข้างหนึ่งปัดผ่านไป


ชั่วขณะนั้นฝากล่องพลันเปิดออกโดยอัตโนมัติ


ในกล่องหยกมีลำแสงสีดำไหลโคจรไปมาไม่หยุด ด้านในมีขวดสีแดงสดความยาวสองสามชุ่นวางอยู่


ผิวของขวดหยกสลักลวดลายแปลกประหลาดอยู่ และแผ่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งออกมา


“เอ๋ นี่ดูเหมือน…” ชายร่างใหญ่ที่อยู่ด้านข้างมองเห็นทุกอย่าง ก็จำอันใดได้ขึ้นมาในทันที


“ไม่ผิด นี่คือขวดวิญญาณโลหิตที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลสวี่ของพวกเรา เดิมเป็นคู่ แต่ปีนั้นถูกบรรพชนวิญญาณน้ำแข็งเอาไปด้วยหนึ่งขวด คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีโอกาสได้รวมกันอีกครั้ง” สวี่เจียวเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“เป็นสมบัตินี้จริงๆ!” ชายร่างใหญ่กลืนน้ำลาย แล้วเอ่ยพึมพำออกมา


สวี่เจียวไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ และออกคำสั่งกับชายร่างใหญ่


“เจ้าเอาแผ่นป้ายของข้าไป แล้วจัดหน่วยคุ้มกันลับทั้งหมดของเผ่าให้มาล้อมศาลบรรพบุรุษเอาไว้ พร้อมกับเปิดเขตอาคมในบริเวณรอบ แม้แต่แมลงสักตัวก็ไม่อนุญาตให้เข้าไป แล้วไปเชิญท่านบรรพชนอาที่ยังกักตนอยู่ออกมารอที่ศาลบรรพบุรุษ”


“จัดหน่วยคุ้มกันลับอันใด แล้วยังต้องเชิญท่านบรรพชนอาออกมาอีก” ชายร่างใหญ่พลันตกตะลึง ท่าทางไม่อยากจะเชื่อ


“ใช่แล้ว นี่เกี่ยวข้องกับท่านบรรพชนวิญญาณม่วง ต่อให้ท่านอาจารย์อากำลังฝึกฝนอยู่ในช่วงสำคัญ ก็จำต้องออกจากการกักตน” บุรุษสวมชุดสีขาวกัดฟัน ออกคำสั่งเด็ดขาดอย่างไม่ยอมให้มีข้อสงสัยออกมา


“ผู้นำตระกูลหาเบาะแสของท่านบรรพชนพบแล้วจริงๆ ขอรับ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ชายร่างใหญ่ได้ยินพลันหัวเราะร่า แล้วตอบรับอย่างไม่ลังเลใดๆ อีก ทันใดนั้นก็เดินออกไปด้านนอก


หลังจากที่สวี่เจียวเห็นชายร่างใหญ่ออกไปจากห้องลับ สายตาก็ตกอยู่ที่ขวดสีแดงโลหิตอีกครั้ง สีหน้ากลับเดี๋ยวเคร่งขรึมเดี๋ยวสดใส


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ชายชราสวี่หั่วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็อ่านคัมภีร์จบ และเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง   คาดไม่ถึงว่าท่านบรรพชนจะไปที่แดนรกร้างจริงๆ อีกทั้งยังยังไปที่แผ่นดินใหญ่อื่น แต่เกิดเรื่องอันใดขึ้น ก็มีเพียงวิญญาณโลหิตที่ถูกสำแดงและส่งกลับมาเท่านั้นที่รู้” ชายชราเอ่ยพึมพำ ขมวดคิ้วแน่น


“ในคัมภีร์นอกจากเคล็ดวิชาลับเกี่ยวกับวิญญาณโลหิตแล้ว เรื่องอื่นก็กล่าวเอาไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ขอแค่ใช้ ‘โลงผลึกโลหิต’ ปลุกให้วิญญาณโลหิตตื่นขึ้นอีกครั้งถึงจะรู้ได้ โชคดีที่ตอนนั้นท่านบรรพชนวิญญาณน้ำแข็งมีแผนเสริม ให้หลอมโลงผลึกโลหิตและขวดวิญญาณโลหิตคู่นี้ก่อน มิเช่นนั้นแม้ว่าพวกเราก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไร” สวี่เจียวเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม


“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทว่าในคัมภีร์กล่าวไว้ว่าหากเอายันต์ออก จำต้องทำพิธีปลุกภายในสองสามวัน มิเช่นนั้นแม้ว่าจะมีขวดวิญญาณโลหิต โลหิตวิญญาณเสี้ยวนั้นก็จะสลายหายไป ถึงอย่างไรเสียโลหิตวิญญาณที่ถูกผนึกอยู่ในขวดก็มีอายุมากแล้ว” ชายชราเผยสีหน้ากังวลใจออกมา


“วางใจ คืนนี้พวกเราจะทำพิธีทันที” บุรุษสวมชุดสีขาวแววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย


“ก็มีเพียงเท่านี้ ใช่แล้ว ท่านอาวุโสหานที่อยู่ในวิหารหลักนั้น พวกเราจะตอบแทนอย่างไร ได้ยินอวี่เอ๋อร์กล่าวว่า ท่านผู้นี้มีต้นกำเนิดเดียวกันกับท่านบรรพชนวิญญาณน้ำแข็ง และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนนำวิญญาณโลหิตกลับมาส่งด้วยตนเอง น่าจะไม่มีเจตนาร้ายอันใดกับตระกูลสวี่ของพวกเรา” ชายชราเอ่ยถามอีกครั้ง


“อืม แม้ว่าท่านอาวุโสหานผู้นี้จะเพิ่งพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ได้ไม่นาน แต่ดูเหมือนว่าจะมีอิทธิฤทธิ์ไม่น้อย และยังเชี่ยวชาญด้านเขตอาคม ไม่แน่ว่าอนาคตอาจจะกลายเป็นทัพเสริมที่พึ่งพาได้ของตระกูลสวี่ของพวกเรา ไม่ว่าอย่างไรจะต้องรั้งท่านอาวุโสผู้นี้ไว้ที่ตระกูลสวี่ของพวกเราสักสองสามวัน หลังจากที่จัดพิธีปลุกวิญญาณโลหิตแล้ว ค่อยหาวิธีสร้างความสัมพันธ์กับท่านอาวุโสหาน” สวี่เจียวครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างตัดสินใจแล้วออกมา


“เป็นเช่นนั้นจริงๆ เช่นนั้นข้าไปจัดการก่อนก็แล้วกัน” สวี่หั่วพยักหน้า แล้วหมายจะจากไปลำพัง


“ช้าก่อน เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ ข้าและท่านอาหั่วไปด้วยกันจะดีกว่า” บุรุษสวมชุดสีขาวลังเลเล็กน้อย แล้วกลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา


“ก็ดี สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่ง ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องปฏิบัติให้ดี” ชายชราครุ่นคิดแล้วแสดงออกว่าเห็นด้วย


ดังนั้นผู้นำตระกูลสวี่ผู้นี้จึงเก็บขวดสีแดงโลหิตเข้าไปในกล่องหยกอย่างระมัดระวัง แล้วเดินออกจากห้องลับไปพร้อมกับชายชรา


……


หนึ่งชั่วยามผ่านพ้น ภายในหอคอยวิจิตรงดงามที่สร้างขึ้นกลางเทือกเขาแห่งหนึ่ง หานลี่กำลังนั่งสมาธิอยู่บนฟูกชั้นสูงสุด ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย พลางขบคิดอันใดอยู่


ในใจของเขากลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาไม่หยุด


เดิมวางแผนว่าส่งของแล้ว จะทักทายกับคนของตระกูลสวี่เพียงเล็กน้อยแล้วขอตัวกล่าวลา


แต่คิดไม่ถึงว่าผู้นำตระกูลสวี่ผู้นี้จะแสดงท่าทีกระตือรือร้นออกมา ไม่เพียงพยายามรั้งเขาไว้อย่างสุดความสามารถ และยิ่งไปกว่านั้นภายใต้สถานการณ์ที่เห็นว่าเขาตั้งใจจะไป คาดไม่ถึงว่าจะเผยออกมาว่าของที่นำมามอบให้เกี่ยวข้องกับเบาะแสของเซียนวิญญาณน้ำแข็ง


ขอแค่เขาอยู่ที่ตระกูลสวี่นานหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะหาเบาะแสของท่านบรรพชนของพวกเขาพบ


เขาได้ฟังคำนี้ก็อดที่จะลังเลไม่ได้


หากจะบอกว่าหานลี่ไม่สนใจเรื่องของวิญญาณน้ำแข็งเลยสักนิด ก็เป็นไปไม่ได้


ไม่ว่าเขาจะดูดซับเพลิงน้ำแข็งสวรรค์ และเคยเสี่ยงอันตรายเข้าไปในวังนภาสูญ จนได้หม้อนภาสูญมา รวมทั้งวังยมโลกเหนือของต้าจิ้น ล้วนเกี่ยวข้องกับวิญญาณน้ำแข็ง


และยิ่งไปกว่านั้นเขายังสงสัยอยู่หลายจุด และอยากให้เซียนวิญญาณน้ำแข็งผู้นี้อธิบาย


แค่อยู่ที่นี่สักสิบวันหรือครึ่งเดือน เขาย่อมไม่ได้ถือสา


ถึงอย่างไรเสียจากพลังยุทธ์ของเขาในยามนี้ ก็ไม่ต้องกังวลว่าตระกูลสวี่จะคิดแผนการอันใดกับเขา


ในเผ่ามนุษย์และปีศาจ นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานในตำนาน ก็ไม่มีผู้ใดคุกคามเอาชีวิตของเขาได้


ดังนั้นเมื่อผู้นำตระกูลสวี่รวมทั้งผู้บำเพ็ญเพียรของตระกูลสวี่คนอื่นๆ รั้งเขาไว้ สุดท้ายเขาก็ยอมพักอยู่ในหอคอยแห่งนี้


แน่นอนว่าต่อให้ได้เบาะแสของเซียนวิญญาณน้ำแข็งมา แล้วจะทำอย่างไรต่อ ต้องเสียเวลาตามหาต่อหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก เขาต้องดูสถานการณ์ตอนนั้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน


หานลี่ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ยกมือขึ้น จากนั้นลำแสงวิญญาณก็เปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วขณะนั้นในมือพลันมียันต์สีเงินปรากฏขึ้น


ยันต์แผ่นนี้เป็นยันต์ไอวิญญาณที่ใช้แล้วหมดไปของแดนเทพเซียนที่เขาได้มาจากซากปรักหักพังในแดนกว้างเย็น


ระยะเวลาที่ผ่านมานี้เป็นเพราะไม่อาจปรุงยาระดับผสานอินทรีย์ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รีบร้อนฝึกพลังปราณ กลับตั้งสมาธิไว้กับการเรียนรู้ยันต์ของแดนเซียน


แม้ว่ายันต์แผ่นนี้จะไม่มีอานุภาพ แต่อักขระยันต์ด้านบนล้วนเป็นตัวอักษรลูกอ๊อดสีเงิน เหมือนกับยันต์ของหน้ากระดาษสีทองได้มาในอดีต แน่นอนว่าย่อมใกล้เคียงกัน


ทำให้หานลี่เรียนรู้ทั้งหมดที่รู้มาในช่วงนี้


เดิม ‘ยันต์ขวานสวรรค์’ ในหน้ากระดาษสีทองที่ไม่อาจเรียนรู้ได้ คาดไม่ถึงว่าจะเห็นเค้าลางขึ้นมาเล็กน้อย


ยันต์นี้เป็นยันต์อักขระลูกอ๊อดสีเงินชนิดสุดท้ายที่บันทึกไว้ในกระดาษที่ไม่สมบูรณ์ เป็นยันต์โจมตีเพียงชนิดเดียว


ยันต์นี้มีอานุภาพอย่างไรนั้นยังไม่ต้องพูดถึง แค่ความซับซ้อนของมัน ก็มากกว่ายันต์ชำระพิสุทธิ์และยันต์ลูกอ๊อดสีเงินชนิดอื่นๆ แล้ว


จากข้อนี้ ‘ยันต์ขวานสวรรค์’ นี้น่าจะมีคุณค่าพอให้รอคอย


หานลี่จ้องเขม็งยันต์สีเงินในมือไปพลาง นิ้วชี้วาดรูปอันใดสักอย่างกลางอากาศไปพลาง


เนิ่นนานไม่มีอันใดเกิดขึ้น แต่บางครั้งกลับมีอักขระยันต์สีเงินขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว บางครั้งก็ระเบิดออกแล้วสลายหายไป บางครั้งก็รวมตัวกันเปล่งแสงระยิบระยับ เผยท่าทีลึกลับออกมา


วันเวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ไม่นานนัก กลางอากาศตรงเทือกเขาที่ตั้งของตระกูลสวี่ ก็มีจันทราทรงกลดแขวนอยู่สองสามดวง มาถึงยามกลางดึกแล้ว


หานลี่กำลังวาดภาพอันใดอยู่ไม่หยุด ฉับพลันนั้นใบหน้าก็เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา


ครูต่อมาเขาพลันยืนขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบ ปรากฏตัวที่หน้าต่างและทอดมองออกไปยังเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไป สีหน้าแฝงไว้ด้วยความฉงนสนเท่ห์


“นี่มันเรื่องอันใดกัน ระลอกคลื่นเขตอาคมนี้ดูแปลกๆ เหมือนกับว่า…” หานลี่ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าจะนึกอันใดออก จึงเงยหน้าขึ้นมองที่สูง


ผลคือทำให้ตกตะลึง!


เห็นเพียงจันทร์ทรงกลมที่เปล่งแสงสีเงินระยิบระยับกลางอากาศ เปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิตตั้งแต่เมื่อใดก็สุดจะรู้ได้ ทำให้เห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ


หานลี่ถอนหายใจยาวๆ ออกมา หลังจากถอนสายตากลับมาแล้ว ก็มองไปที่ยอดเขาเดิม ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลง


รูม่านตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบไม่หยุด ไกลออกไปดูเหมือนจะเป็นยอดเขาธรรมดา ภายใต้เนตรวิญญาณ คาดไม่ถึงว่าจะถูกหมอกลำแสงสีโลหิตชั้นหนึ่งปกคลุมเอาไว้


ลำแสงสีโลหิตเหล่านี้วนล้อมรอบยอดเขา แล้วกะพริบวาบๆ ไม่หยุด ระลอกคลื่นที่น่าตกตะลึงกลุ่มนั้น แผ่ออกมาจากยอดเขานั้นรางๆ


เห็นได้ชัดเลยว่ารอบด้านของยอดเขาวางเขตอาคมลึกลับเอาไว้ แต่ลำแสงสีโลหิตกลุ่มนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ยังคงมีแรงกดส่วนหนึ่งทะลุออกมา


“กลิ่นอายโลหิตคละคลุ้งเช่นนี้ หรือว่าตระกูลสวี่กำลังทำพิธีบวงสรวงโลหิต? ทว่าต่อให้ทำพิธีบวงสรวงโลหิต ก็คงไม่ทำตอนที่มีคนนอกอยู่หรอกกระมัง หรือว่าเกี่ยวข้องกับของที่ข้ามอบให้วันนี้?” หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ลำแสงสีฟ้าในแววตาของเขาถึงได้หม่นแสงแล้วสลายหายไป พลางเอ่ยพึมพำด้วยสีหน้าครุ่นคิด


เขาเป็นผู้ที่มีสติปัญญาล้ำเลิศขนาดไหน แค่ครุ่นคิดเพียงเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะเดาเรื่องนี้ออกเจ็ดแปดส่วน

 

 

 


ตอนที่ 1770 ศาลบรรพบุรุษของตระกูลสวี่

 

หลังจากที่ในใจมีคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้แล้ว หานลี่ก็มองไปยังยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปด้วยสีหน้าราบเรียบอีกครั้ง


มองไปอีกชั่วครู่ สุดท้ายระลอกคลื่นที่อยู่ไกลออกไปก็สลายหายไป เขาออกจากหน้าต่างด้วยท่าทางมีแผนการ กลับมานั่งบนฟูกอีกครั้ง และหลับตาทั้งสองข้างลงอย่างช้าๆ


วันเวลาต่อจากนั้นนอกจากสวี่เชียนอวี่ที่เข้ามาทักทายแล้ว คนอื่นๆ ของตระกูลสวี่ก็ไม่ได้มารบกวนการเรียนรู้ของเขา


ทว่าจากสีหน้ากังวลใจที่แฝงอยู่บนใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้ การเคลื่อนไหวของตระกูลสวี่ในคืนนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก


หลังจากวันนั้นในทุกๆ คืน ปรากฏการณ์และระลอกคลื่นเช่นเดียวกันก็ระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่อง


หลังจากผ่านไปสองสามคืนติดกัน เซียนสวี่เชียนอวี่ผู้นั้นมาทักทายแล้ว ก็ดูเหมือนอยากจะพูดอันใดกับหานลี่ แต่พอคำพูดอยู่ที่ริมฝีปาก ก็ลังเลแล้วกลืนลงไป


หานลี่มองเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา ในใจพลันขบคิดเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับดูปกติมาก


ทว่าเมื่อถึงเช้าตรู่วันที่ห้า ยามที่หานลี่กำลังเรียนรู้ยันต์วิเศษอย่างต่อเนื่องบนชั้นบนสุดของหอคอย ก็หน้าเปลี่ยนสี ฉับพลันนั้นพลันพลิกฝ่ามือ ยันต์วิเศษเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป


เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าด้านนอกหอคอยนอกจากสวี่เชียนอวี่ที่มาทักทายตนเองแล้ว ยังมีกลิ่นอายของสวี่เจียวและคนแปลกหน้าอีกคนหนึ่ง


กลิ่นอายนี้แข็งแกร่งมาก คาดไม่ถึงว่าจะมีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย


นี่จึงทำให้เขามีสีหน้าประหลาดใจ


คาดไม่ถึงว่าตระกูลสวี่จะซ่อนผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพลังยุทธ์ระดับนี้เอาไว้ ดูแล้วปกติคงปกปิดเอาไว้อย่างแนบเนียน คงเข้าใจหลักการการแกล้งโง่และไม่กล้าแสดงฝีมือออกมาเพราะกลัวปล่อยไก่เป็นแน่


ในยามที่หานลี่กำลังขบคิดอยู่นั้น ด้านล่างก็มีเสียงพูดอันเคร่งเครียดของผู้นำตระกูลสวี่ดังขึ้น


“ชนรุ่นหลังสวี่เจียว คารวะท่านอาวุโสหาน ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสมีเวลาให้ชนรุ่นหลังได้พบปะหรือไม่ขอรับ”


“ที่แท้ก็ผู้นำตระกูลสวี่นี่เอง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเพียงนั้น เชิญมารอที่ห้องโถงเถิด ผู้แซ่หานจะลงไป” หานลี่ตอบกลับอย่างราบเรียบ จากนั้นพลันเดินลงไปชั้นล่างพร้อมกัน


หลังจากผ่านไปชั่วครู่เงาร่างของหานลี่ก็มาปรากฏตัวที่บันไดของห้องโถงชั้นหนึ่ง สายตากวาดไปที่คนแปลกหน้าซึ่งมีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาผู้นั้น


ผู้ที่ยืนเคียงไหล่อยู่กับสวี่เจียวเป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเทากลางเก่ากลางใหม่ชุดหนึ่ง อายุไม่ถึงยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี กำลังมองมาทางหานลี่พร้อมกับอมยิ้ม


เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด ใบหน้าของชายหนุ่มดูละม้ายคล้ายคลึงกับสวี่เจียว เมื่อทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน กลับดูเหมือนเป็นหลานชนรุ่นหลังของสวี่เจียวอย่างไรอย่างนั้น


“ท่านอาวุโส นี่คือท่านอาวุโสใหญ่สวี่หยวนแห่งตระกูลสวี่ของพวกเรา สองสามวันก่อนยังฝึกฝนอยู่ในช่วงสำคัญ ดังนั้นจึงไม่อาจออกมาต้อนรับท่านอาวุโสได้” สวี่เจียวเห็นหานลี่ก็คารวะทันที ในเวลาเดียวกันก็เอ่ยแนะนำผู้ที่อยู่ด้านข้าง


“ท่านอาวุโสใหญ่? สหายสวี่หยวนอยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบแล้ว เกรงว่าคงสามารถทะลวงจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์ได้ตลอดเวลา หากผ่านล่ะก็ ก็จะกลายเป็นชนชั้นเดียวกันกับข้า”  หานลี่พิจารณาชายหนุ่มสองสามแวบ แล้วฉีกยิ้มออกมา


“ท่านอาวุโสดวงตามีแววยิ่ง ชนรุ่นหลังเริ่มเตรียมการทะลวงจุดคอขวดแล้ว ทว่าอัตราการผ่านนั้นช่างรางเลือนนัก” ชายหนุ่มคารวะหานลี่เช่นกัน จากนั้นก็ถอนหายใจขณะเอ่ย


หานลี่ได้ฟังพลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา ไม่ได้เอ่ยอันใด หลังจากนั่งลงตรงตำแหน่งหลัก ก็ส่งสัญญาณให้ทุกคนนั่งลงพูดคุย


สวี่เจียวและพวกเอ่ยขอบคุณ แล้วนั่งลงทั้งสองฝั่งของหานลี่


“ท่านผู้นำตระกูลสวี่มาในครั้งนี้ หรือว่าจะมีข่าวคราวของท่านบรรพชนของท่าน” หานลี่ไม่อ้อมค้อม เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาทันที


แต่เขาเอ่ยตรงๆ เช่นนี้ กลับทำให้สวี่เจียวตกตะลึง จากนั้นมุมปากพลันกระตุก แล้วฉีกยิ้มอย่างขมขื่นออกมา


“หากท่านอาวุโสถามเมื่อวาน เกรงว่าชนรุ่นหลังคงไม่อาจบอกข่าวที่แม่นยำให้ได้ แต่ที่ชนรุ่นหลังมาในครั้งนี้ กลับเป็นเพราะอยากจะมาขอร้องท่านอาวุโส”


“ขอร้องข้า?” หานลี่เลิกคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะประหลาดใจเล็กๆ


“ไม่ปิดบังท่านอาวุโส ของที่ท่านอาวุโสเอามามอบให้ในครั้งนี้ มีวิธีหาร่องรอยของท่านบรรพชนวิญญาณน้ำแข็งจริงๆ แต่อาศัยแค่พลังของตระกูลสวี่ของพวกเรามันไม่พอ เกรงว่าต้องอาศัยท่านอาวุโสสักหน่อย” สวี่เจียวเอ่ยออกไปตรงๆ เสียเลย


“ศิษย์หลานมิได้โป้ปด เพราะเรื่องนี้ตระกูลสวี่ของพวกเราได้ลองให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาทั้งสามคนทดสอบแล้ว แต่ก็ยังมีพลังไม่พอ มีเพียงต้องขอร้องท่านอาวุโสแล้ว” สวี่หยวนเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ! สหายทั้งสองอธิบายที่มาที่ไปให้ละเอียดได้หรือไม่” หานลี่แววตาเปล่งประกาย กลับเอ่ยอย่างราบเรียบ


จากพลังยุทธ์ของเขาในยามนี้ ย่อมไม่มีทางตกลงอันใดง่ายๆ


“แน่นอน ถึงท่านอาวุโสไม่ถาม ชนรุ่นหลังก็จะรายงานอยู่แล้วขอรับ” สวี่เจียวรับปากเต็มคำ ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ


“ความจริงแล้วก็ไม่ได้ซับซ้อนอันใด ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสเคยได้ยิน ‘เคล็ดวิชาวิญญาณโลหิต’ หรือไม่?”


“เคล็ดวิชาวิญญาณโลหิต! ฟังดูคุ้นหู เอ๋ คงไม่ใช่ ‘อาคมวิญญาณโลหิต’ ที่ใต้เท้าผลึกโลหิตฝึกฝนเมื่อสองสามหมื่นปีก่อนกระมัง” หานลี่ขมวดคิ้ว แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ พลางเอ่ยด้วยหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


“ท่านอาวุโสเคยได้ยินเคล็ดวิชาลับนี้ดังคาด ใต้เท้าผลึกโลหิตนับว่าเป็นอัจฉริยะในรอบหมื่นปีของเผ่ามนุษย์ ไม่เพียงจะสร้างเคล็ดวิชาวิญญาณโลหิตขึ้นมา ยังเคยใช้เคล็ดวิชานี้สังหารชนต่างเผ่าที่อยู่ในระดับเดียวกันได้ ไม่ปิดบังท่านอาวุโสแม้ว่าใต้เท้าผลึกโลหิตจะเพลี่ยงพล้ำไปนานแล้ว แต่จีวรและบาตรของเขากลับถูกเซียนวิญญาณน้ำแข็งพบเข้าโดยบังเอิญ แม้ว่าเคล็ดวิชานี้จะคล้ายคลึงกับทางสายมาร บรรพชนไม่อาจแก้ไขให้ฝึกฝนได้ แต่ก็ยังคงเลือกเคล็ดวิชาลับปกป้องชีวิตสองสามชนิดมาฝึกฝน และหลอมสมบัติช่วยชีวิตที่เกี่ยวข้องกับมันขึ้นมาสองสามชิ้น ของที่ท่านอาวุโสนำมามอบในครั้งนี้เป็น ‘ขวดโลหิตวิญญาณ’ ที่ท่านบรรพชนเคยบวงสรวงเอาไว้ ด้านในมีโลหิตวิญญาณบรรจุอยู่ ขอแค่ปลุกวิญญาณโลหิตให้ตื่น ก็จะรู้เบาะแสของท่านบรรพชนแล้ว” สวี่เจียวเอ่ยไปพลาง สังเกตสีหน้าของหานลี่ไปพลาง


แต่นอกจากฟังเรื่องขวดโลหิตวิญญาณแล้ว แววตาของหานลี่ก็เปล่งประกายอย่างไม่ได้ตั้งใจแล้วก็มองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ อีก


“ปรากฏการณ์ที่ปรากฏขึ้นสองสามคืนที่ผ่านมา ก็เพราะพวกเจ้าพยายามปลุกวิญญาณโลหิต” หานลี่เงียบขรึมไปชั่วครู่ ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยถามขึ้น


“ท่านอาวุโสพูดไม่ผิด ชนรุ่นหลังไม่กล้าล่าช้าอันใด จึงเรียกรวมพลในคืนนั้น แล้วจัดพิธีปลุก แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ…” สวี่เจียวเอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็เผยสีหน้าจนปัญญาออกมา


“น่าเสียดายไม่รู้ว่าวิญญาณโลหิตถูกผลึกไว้นานเกินไป หรือว่าชีพจรโลหิตของพวกเราไม่ค่อยบริสุทธิ์ เรียกไปสองสามครั้งล้วนล้มเหลว และเป็นเพราะยันต์ที่ผนึกวิญญาณโลหิตเอาไว้ถูกฉีกออกแล้ว หากไม่เรียกวิญญาณโลหิตภายในสองวัน วิญญาณโลหิตของท่านบรรพชนก็จะสลายหายไป” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา แล้วเอ่ยแทรกขึ้น


“ตระกูลสวี่ของพวกเจ้าอยากให้ผู้แซ่หานเข้าร่วมพิธีปลุกงั้นหรือ?” หานลี่เอ่ยถามอย่างไม่คิดเช่นนั้น


“ท่านอาวุโสวินิจฉัยได้เฉียบแหลมนัก สองสามวันก่อนพวกเราลองทดสอบทุกวิธีแล้วล้วนไม่มีผล และมีเพียงต้องขอร้องท่านอาวุโสแล้ว” สวี่เจียวหยัดกายลุกขึ้นอีกครั้งแล้วคารวะหานลี่ พลางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงใจ


“หากพลังปราณไม่พอ ผู้แซ่หานออกแรงหน่อยก็ไม่เป็นอันใด แต่หากวิญญาณโลหิตหรือพิธีเรียกมีปัญหา ข้าน้อยก็จนปัญญา” หานลี่ลูบใต้คาง หลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยอย่างราบเรียบออกมา


“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว หากเป็นปัญหานั้นจริง พวกเราก็ทำได้เพียงปล่อยให้เป็นไปตามประสงค์ของสวรรค์แล้ว” สวี่เจียวได้ยิน ชั่วขณะนั้นพลันพยักหน้าอย่างยินดี


สวี่หยวนและสวี่เชียนอวี่เผยสีหน้าดีอกดีใจออกมา


“เรื่องมันรอช้าไม่ได้ ผู้แซ่หานจะไปดูวิญญาณโลหิตของสหายวิญญาณน้ำแข็ง และเตรียมพิธีปลุกกับพวกเจ้า” หานลี่ทั้งตอบรับ และมีท่าทางเฉียบขาดในทันที พลางออกคำสั่งและหยัดกายลุกขึ้น


“ขอรับ แม้ว่าพิธีนี้จะทำได้แค่ยามกลางคืน แต่ท่านอาวุโสไปดูก่อนก็ได้ขอรับ!” สวี่เจียวแค่ครุ่นคิดเล็กน้อย พอรู้สึกว่าไม่มีปัญหาอันใด ก็ตกปากรับคำทันที


หากหาเซียนวิญญาณน้ำแข็งบรรพชนของตระกูลสวี่ของพวกเขากลับมาได้จริงๆ ก็จะทำให้ตระกูลสวี่กลายเป็นหนึ่งในตระกูลขนาดใหญ่ของเผ่ามนุษย์


ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าสวี่เจียวหรือสวี่หยวนล้วนออกแรงปลุกวิญญาณโลหิตของเซียนวิญญาณน้ำแข็งอย่างสุดความสามารถ


หานลี่ตามทั้งสามคนออกไปจากหอคอย จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีพุ่งไปยังยอดเขาที่มีระลอกคลื่นพุ่งออกมาในคืนนั้น


ระยะทางสั้นๆ แค่นี้ แน่นอนว่าย่อมมาถึงในพริบตา


เห็นเพียงรอบๆ ยอดเขาที่เดิมดูธรรมดาๆ ทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยลำแสงวิญญาณจากเขตอาคมหลากสีสัน และระหว่างลำแสงวิญญาณก็มีผู้คุ้มกันสวมชุดเกราะสีเขียวปรากฏขึ้นรางๆ


หานลี่กวาดจิตสัมผัสออกไป ก็พบได้อย่างง่ายดาย พลังยุทธ์ของผู้คุ้มกันเหล่านี้ล้วนอยู่ในระดับก่อกำเนิด มีประมาณร้อยกว่าคน


กำลังคนแค่นี้บางทีอาจจะไม่มีค่าอันใดในสายตาของขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่อย่างเมืองเทวะสวรรค์ แต่สำหรับตระกูลใดตระกูลหนึ่งแล้ว กลับเพียงพอให้ตกตะลึง


และยิ่งไปกว่านั้นผู้คุ้มกันเหล่านี้ ล้วนซ่อนตัวอยู่ในเขตอาคม ไม่มีผู้ใดส่งเสียงหรือพูดคุย ท่าทางได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี สำหรับตระกูลหนึ่งแล้ว นับว่าหาได้ยากยิ่ง


ดูเหมือนจะพบความผิดปกติของหานลี่ สวี่เจียวที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยอธิบาย


“ทำให้ท่านอาวุโสเห็นเรื่องขบขันแล้ว นี่คือผู้คุ้มกันลับของตระกูลสวี่ของพวกเรา เป็นกองกำลังที่ยอดเยี่ยมของตระกูลสวี่ แม้ว่าหากต่อสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงลำพังจะไม่เพียงพอให้เอ่ยถึง แต่หากให้สามสี่คนร่วมมือกัน ก็เพียงพอที่จะสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงได้”


“อ๋อ เช่นนี้คนเหล่านี้ก็มีเคล็ดวิชาลับในการร่วมมือประสานกัน” หานลี่เอ่ยอย่างดูเหมือนจะสนใจเล็กๆ


“หึๆ เป็นเช่นนั้นจริงๆ พิธีเรียกนี้ห้ามถูกผู้ใดรบกวน เพื่อความระมัดระวังถึงได้ให้ผู้คุ้มกันลับทั้งหมดมาอยู่ที่นี่” สวี่เจียวอธิบายอีกครั้ง


ครั้งนี้หานลี่พลันพยักหน้า แล้วไม่เอ่ยอันใดอีก


สวี่เจียวใช้อาวุธในมือ เปิดเขตอาคมออก พวกเขาร่อนลงตรงหน้าสิ่งปลูกสร้างขนาดยักษ์ที่ดูเหมือนอารามตรงสันเขา


และประตูของอารามก็มีแผ่นป้ายแขวนอยู่ด้านบน ใช้ตัวอักษรฝุ่นสีเงินเขียนตัวอักษรโบราณเอาไว้ว่า ‘สวี่’


รอบๆ ประตูมีผู้คุ้มกันลับอยู่เจ็ดแปดคน กำลังคุ้มกันอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก


สิ่งที่น่าแปลกก็คือประตูใหญ่ปิดสนิท กลับมีแค่ประตูข้างที่พอจะให้คนคนหนึ่งผ่านเข้าไปที่เปิดอ้าอยู่


หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


“หวังว่าท่านอาวุโสจะไม่ถือสา ที่นี่คือศาลบรรพชนของตระกูลสวี่ของพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงทำได้เพียงต้องผ่านประตูเล็กเข้าไปในวิหารลับใต้ดิน” สวี่หยวนเอ่ยอย่างรู้สึกผิด


“ไม่เป็นไร นั่นเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว” หานลี่โบกมือ ท่าทางไม่ใส่ใจ


เมื่อได้ยินหานลี่เอ่ยเช่นนี้ สวี่หยวนและสวี่เจียวก็ลอบพ่นลมหายใจออกมา


หากอีกฝ่ายไม่พอใจเพราะเหตุนี้ สำหรับพวกเขาแล้วย่อมเป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย


ดังนั้นกลุ่มคนจึงผ่านประตูเล็กด้านข้างเข้าไปในศาลบรรพชนของตระกูลสวี่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)