อัจฉริยะสมองเพชร 1766-1771

 ตอนที่ 1766 เข้าสู่หอลำดับแรก

“ตาเฒ่าหยู คุณคิดจะแย่งโควต้ากับผมหรือ?”


ขนของนายใหญ่สีขาวตั้งชันด้วยความเคืองแค้นกับการกระทำของตาเฒ่าหยู มันเตรียมพร้อมจะกระโจนเข้าใส่อีกฝ่าย


หยดเลือด 60 หยดของนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดนั้นเกินกว่าราคาที่มันเต็มใจจ่ายมาก ซึ่งกว่ามันจะตัดสินใจได้ก็ยากลำบาก แต่แล้วใครคนหนึ่งกลับมาตัดหน้าไป


ให้อภัยไม่ได้!


“ก็อย่างที่เจ้าหนุ่มนั่นบอก มันคือการประมูล เป็นการแข่งขันอันชอบธรรม, ใช่ไหม? ตาเฒ่าหยูคำราม “ถ้าคุณพร้อมจะจ่ายแพงกว่าก็เชิญ แต่ขอบอกให้คุณรู้ไว้ว่าผมต้องการโควต้านี้!”


“ยังเหลือโควต้าอีก 2 ที่ไม่ใช่หรือ? ทำไมคุณถึงไม่ไปประมูล 2 ที่นั้นล่ะ?” นายใหญ่สีขาวคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว


“คุณเห็นผมโง่เง่าหรือไง? แม้เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเราจะมีผู้เชี่ยวชาญมากมาย แต่เราก็ไม่โง่พอจะให้ใครมาเอาเปรียบหรอก!” ตาเฒ่าหยูคำราม “อีกอย่าง ปรมาจารย์จางก็พูดแล้วว่าผู้ที่เสนอราคาสูงสุดจะได้โควต้าไป ในเมื่อคุณเสนอ 60 หยด ผมก็จะประมูลที่ 65!”


“คุณ!”


ร่างของนายใหญ่สีขาวสั่นเทาด้วยโทสะ แต่ไม่อาจทำอะไรได้


ในเมื่อเป็นการประมูล ก็เป็นที่รู้กันว่าของล้ำค่าจะถูกประมูลไปด้วยมูลค่าสูงสุด ไม่มีทางจะยับยั้งใครจากการเพิ่มราคาประมูลได้


“ผมเสนอหยดเลือด 60 หยด!” นายใหญ่สีขาวคำราม


“67 หยด!”


“68 หยด!” นายใหญ่สีขาวแทบอยากจะฉีกอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ


“70 หยด!” ตาเฒ่าหยูเสนอราคาเพิ่มอย่างไม่แยแส


“คุณ…ก็ได้! ผมเสนอ 75 หยด!” เมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป นายใหญ่สีขาวคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “ลองโก่งราคาดูสิ ผมสาบานเลยว่าผมจะเล่นงานคุณเดี๋ยวนี้!”


“ฮ่า, อย่างนั้นหรือ? ก็ได้ ถ้าคุณเล่นแบบนี้ ผมก็จะปล่อย!” เมื่อเห็นว่าตัวเขาประสบความสำเร็จในการโก่งราคาประมูลเป็นหยดเลือด 75 หยดแล้ว ตาเฒ่าหยูหัวเราะหึๆก่อนจะเงียบไป


เขารู้ว่านายใหญ่สีขาวก็หมดความอดทนแล้วเช่นกัน หากเขายังยั่วยุอีกฝ่าย ก็อาจถูกโจมตี


แน่นอนว่าด้วยพละกำลังของตาเฒ่าหยู เขาไม่เกรงกลัวนายใหญ่สีขาว แต่ประสิทธิภาพการทำลายล้างของอสูรที่กำลังคลุ้มคลั่งนั้นไม่อาจประมาทได้ อีกอย่าง เหล่าผู้เชี่ยวชาญของสภาปรมาจารย์และ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็อยู่ใกล้ๆ จึงไม่ดีนักหากจะมีเรื่องกับเผ่าพันธุ์อสูร


“นี่!”


เห็นตาเฒ่าหยูไม่แข่งขันอีกต่อไป นายใหญ่คำรามก่อนจะโยนขวดหยกใบหนึ่งให้จางเซวียน


ในนั้นมีหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณอยู่ 75 หยด มาจากนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด


ด้วยร่างกายใหญ่โตซึ่งเป็นคุณสมบัติของเผ่าพันธุ์อสูร พวกมันสามารถเสียเลือดได้มากกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีร่างกายเล็กกว่า แต่การฝ่าด่านวรยุทธของพวกมันก็ต้องอาศัยทั้งสายเลือดและความปราดเปรื่องอย่างมาก การยกระดับวรยุทธของพวกมันทำได้ยากกว่ามนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจ ดังนั้นจำนวนหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดที่พวกมันมีอยู่จึงมีปริมาณน้อยกว่าของเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจมาก


กว่าพวกมันจะเก็บสะสมหยดเลือดได้ถึง 75 หยดก็แสนลำบากยากเย็น การต้องมอบให้คนอื่นง่ายๆแบบนี้ช่างเป็นเรื่องเจ็บปวดเหลือเกิน


“เอาล่ะ โควต้าที่ 2 เป็นของเผ่าพันธุ์อสูร ส่วนโควต้าที่ 3, ราคาประมูลเริ่มต้นจะอยู่ที่หยดเลือดของนักปราชญ์โบราณ 100 หยด”จางเซวียนประกาศยิ้มๆ


“100 หยด?” ตาเฒ่าหยูหน้าตึงเมื่อได้ยินราคานั้น เลือดพุ่งขึ้นสู่ศีรษะของเขาขณะที่สาปแช่งชายหนุ่มอย่างดุเดือด “ทำไมคุณไม่ไปตายซะ!”


เมื่อครู่นี้ราคายังอยู่ที่หยดเลือด 60 หยด แต่ในชั่วพริบตาก็เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า…


คุณจงใจทำแบบนี้ใช่ไหม?


เขาเคยคิดว่าโควต้าที่ 3 น่าจะมีราคาอยู่ที่หยดเลือดของนักปราชญ์โบราณ 70 หยดเป็นอย่างมาก ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาไม่คิดจะแข่งขันกับนายใหญ่สีขาว แต่ใครจะไปรู้ว่าหมอนี่จะไร้ยางอายขนาดนี้!


“ตอนนี้ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มีโควต้า 3 ที่, เผ่าพันธุ์อสูรมี 2 ที่พวกคุณคือกลุ่มเดียวเท่านั้นที่มีโควต้าเพียงหนึ่งที่ คุณอยากได้โควต้าหรือเปล่า? ผมน่ะไม่รังเกียจหรอกนะที่จะเก็บมันไว้เอง”จางเซวียนพูด “อีกอย่าง ผมยอมรับก็ได้ว่าผมกำลังเล่นเกมกับคุณว่าแต่คุณจะมีปัญญาทำอะไรได้ล่ะ? รับมันไว้ หรือไม่ก็ไม่เอานะ!”


ถือเป็นโอกาสดีที่ได้ปั่นหัวเผ่าพันธุ์ปีศาจ ไม่มีทางที่จางเซวียนจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ


ถึงอย่างไรเขาก็ได้ในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว ไม่สำคัญเลยว่าตาเฒ่าหยูจะยอมรับข้อตกลงหรือไม่


“คุณ…” ตาเฒ่าหยูโมโหเดือดเสียจนเส้นเลือดแทบระเบิด


“ตอนนี้ยอมรับข้อเสนอของเขาไปก่อนเถอะ” เผ่าพันธุ์ปีศาจอีกตัวหนึ่งที่เป็นนักปราชญ์โบราณส่งโทรจิตหาตาเฒ่าหยู “เพราะถึงอย่างไร เหล่าปรมาจารย์ที่เป็นมนุษย์ก็ไม่สามารถใช้หยดเลือดนักปราชญ์โบราณของเผ่าพันธุ์จิตวิญญาณของเราได้อยู่แล้ว อย่างมากที่สุด เราก็แค่หาโอกาสสังหารเขาและนำหยดเลือดเหล่านั้นกลับคืนมาหลังจากที่เขาออกจากหอลำดับแรก!”


หยดเลือดของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณนั้นเปี่ยมด้วยเจตนาสังหาร จึงยากที่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานจะเข้าใกล้ นับประสาอะไรกับจะซึมซับมันเข้าสู่ร่างกาย


ในเมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่สามารถใช้หยดเลือดของนักปราชญ์โบราณของพวกเขาได้ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเจ็บปวดอะไรที่ตอนนี้จะมอบหยดเลือดให้พวกมนุษย์ไปก่อน ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ลงท้ายพวกเขาก็สามารถสังหารเจ้าคนเย่อหยิ่งนั่นและนำหยดเลือดกลับมาได้อยู่ดี


ได้ยินคำนั้น สีหน้าเคร่งเครียดของตาเฒ่าหยูค่อยผ่อนคลายลง“ก็ได้ หยดเลือด 100 หยดสำหรับโควตา 1 ที่ ใช่ไหม? แต่ผมจะมอบให้คุณ 200 หยดสำหรับโควต้าที่ 3 กับที่ 4 ด้วย!”


“คุณจะซื้อโควต้าที่ 3 กับที่ 4 ด้วยหรือ?”


“ใช่ จากราคาที่คุณเสนอมา อย่าฝันเลยว่าจะมีคนอื่นซื้อ และในเมื่อเป็นอย่างนั้น ขายให้ผมในราคาเดิมก็แล้วกัน” ตาเฒ่าหยูพูด


ในเมื่อลงท้ายพวกเขาก็จะต้องนำหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณกลับคืนมา จึงไม่สำคัญว่าตอนนี้จะต้องมอบหยดเลือดให้ชายหนุ่มกี่หยด


จางเซวียนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ “ก็ได้!”


อย่างที่ตาเฒ่าหยูพูด, 100 สำนักแห่งนักปราชญ์กับเผ่าพันธุ์อสูรไม่น่าจะสามารถใช้หยดเลือดเพื่อซื้อโควต้าได้มากกว่านี้แล้ว ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็ควรจะขายโควต้า 2 ที่สุดท้ายให้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจะดีกว่า


ถึงอย่างไร เผ่าพันธุ์ปีศาจที่เข้าสู่หอลำดับแรกก็จะต้องถูกเขาเล่นงาน จางเซวียนจึงไม่เดือดร้อนที่จะขายโควต้าเพิ่มอีกสัก 2-3 ที่


“นี่!”


ตาเฒ่าหยูสะบัดข้อมือและส่งขวดหยก 2 ใบให้จางเซวียน


จางเซวียนรับขวดหยก 2 ใบนั้นมา เขาตรวจสอบมันอย่างถี่ถ้วนจนแน่ใจว่ามีหยดเลือดอยู่ 100 หยดในขวดแต่ละใบ จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างพอใจ


“คุณต้องระวังหน่อยนะ” เห็นทีท่าอาฆาตมาดร้ายของตาเฒ่าหยูจางหงเทียนส่งโทรจิตเตือนจางเซวียน “ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณใส่เจตจำนงเศษเสี้ยวหนึ่งไว้ในหยดเลือดล่ะก็ พวกมันจะพยายามทำการฟื้นคืนชีพสายเลือดและทำลายจิตวิญญาณของคุณ!”


เมื่อสำเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดแล้ว เลือดทุกหยดของนักปราชญ์โบราณจะมีศักยภาพในการก่อกำเนิดชีวิตใหม่ ซึ่งแม้การที่เลือดหยดหนึ่งจะกลับเข้าสู่สภาวะแข็งแกร่งสูงสุดจะมีความยุ่งยากไม่น้อย แต่ก็ยังพอเป็นไปได้ที่จะเล่นงานนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ


“ผมเข้าใจ” จางเซวียนตอบยิ้มๆ


เมื่อครู่นี้ ตอนที่เขาเปิดขวด เขาได้ถ่ายทอดพลังปราณเทียบฟ้าลงไปทำลายสิ่งใดก็ตามที่อีกฝ่ายใส่ไว้ภายในเรียบร้อยแล้ว ต่อให้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณจะทรงพลังแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่เศษเสี้ยวของเจตจำนงของพวกมันจะต้านทานพลังปราณเทียบฟ้าได้


ในตอนนั้น จางเซวียนได้ทำลายทุกอย่างที่อาจเป็นภัยคุกคามซึ่งอยู่ในหยดเลือดไปจนราบคาบ


เมื่อไม่มีเจตจำนงที่จะนำพาไปสู่การฟื้นคืนชีพของสายเลือด ต่อให้เลือดนั้นจะมีพลังชีวิตมากแค่ไหน ก็ไม่อาจก่อเกิดเป็นชีวิตใหม่ได้อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายหมื่นปีก่อนที่จิตวิญญาณดวงใหม่จะงอกเงยจากหยดเลือดเหล่านั้น


ซึ่งกว่าจะถึงเวลานั้น เขาก็คงใช้หยดเลือด 200 หยดนี้ไปหมดแล้ว


“ถ้าคุณพบเจอความยุ่งยากใดๆในการรับมือกับหยดเลือดพวกนี้ล่ะก็ ผมจะช่วยคุณเอง” จางหงเทียนพูด


“ขอบคุณมาก บรรพบุรุษเก่าแก่ แต่ผมรับมือไหว” จางเซวียนตอบ


เมื่อเห็นว่าโควต้าทั้งหมดถูกจัดสรรปันส่วนแล้ว นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงก้าวออกมาและประกาศ “ในเมื่อจัดสรรปันส่วนโควต้ากันเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมตัวออกเดินทางเถอะ!”


จางเซวียนพยักหน้ารับ


ขณะที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน เขาก็รวบรวมตัวแทนที่ได้รับเลือกจากแต่ละกลุ่มอำนาจก่อนจะนำเครื่องรางน้อยออกมา เครื่องรางน้อยลอยขึ้นสู่กลางอากาศและใช้พละกำลังของมันโอบล้อมตัวแทนทั้งหมดไว้ จากนั้นทั้งกลุ่มก็มุ่งหน้าเข้าสู่หอลำดับแรก


ระหว่างนั้น จางเซวียนรีบสำรวจเหล่าตัวแทนที่กลุ่มอำนาจอื่นๆเลือกมา, 2 ที่ของเผ่าพันธุ์อสูรเป็นของสุนัขจิ้งจอกสีขาวกับเสือดาวสีแดง พวกมันดูเหมือนจะมีความเกี่ยวพันกับนายใหญ่สีขาวทางใดก็ทางหนึ่ง ส่วนเผ่าพันธุ์ปีศาจ พวกมันส่งนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกมา 3 ตัว ทั้งสามมีสีหน้าเฉยเมยและไม่พูดไม่จา ยากที่จะกะประมาณพละกำลังที่แท้จริงของพวกมัน


ส่วน 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ส่งผู้เชี่ยวชาญมาอีกคนหนึ่งซึ่งดูจะมีประสิทธิภาพการต่อสู้เทียบเท่ากับเหยียนเฉว่


นอกจากจางเซวียน ตัวแทนทุกคนที่ได้รับเลือกให้เข้าสู่หอลำดับแรกล้วนแต่เป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก ซึ่งมีความแข็งแกร่งสูงสุดรองจากนักปราชญ์โบราณ


“เข้าไปข้างในกันเถอะ!”


วิ้งงงง!


ทันทีที่เครื่องรางน้อยสัมผัสกับฉนวนของหอลำดับแรก มันก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน จากนั้นทุกคนก็หายวับไป


ตอนที่ 1767 ด่านสุดท้าย

เห็นทั้งกลุ่มหายตัวไป นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงหันขวับไปมองเหล่าปรมาจารย์ที่อยู่ด้านหลังและสั่งการผ่านโทรจิต “พร้อมรบ!”


“ได้”


เหล่าปรมาจารย์ต่างพยักหน้ารับ ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด


ทันทีที่ทายาทของพวกเขาออกจากหอลำดับแรก ศึกหนักจะต้องตกอยู่ที่พวกเขาอย่างแน่นอน


เมื่อเห็นนักปราชญ์โบราณของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ผนึกกำลังกัน ดูพร้อมรบได้ทุกขณะ บรรดานักปราชญ์โบราณของอีก 3 กลุ่มอำนาจต่างก็รีบรวมตัว พร้อมเผชิญการสู้รบเช่นกัน


“ปรมาจารย์หยาง ผมอยากให้คุณจัดการพาพวกที่ยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณออกจากพื้นที่นี้ก่อน” จางหงเทียนสั่งการ


“ได้” รู้ดีว่านักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คนไหนก็ตามที่ยังอยู่ในพื้นที่จะต้องสังเวยชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ไปกับการสู้รบปรมาจารย์หยางจึงรีบเดินไปหากลุ่มของเหรินชิงหยวนและสั่งการบางอย่าง


นับจากตอนนี้ ที่นี่จะเป็นสนามรบของนักปราชญ์โบราณ


ดังนั้น นักรบของสภาปรมาจารย์และ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จึงเริ่มล่าถอย ในเวลาเดียวกัน นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์อสูรก็เริ่มถอนกำลังออกเช่นกัน


ไม่ช้าก็เหลือนักปราชญ์โบราณราว 20 คนอยู่ในจัตุรัสขนาดมหึมานั้น ต่างคนต่างมองหน้ากันอย่างเคร่งเครียด


ช่วงเวลานี้คือชั่วขณะของความสงบสุขอันแสนเปราะบางที่พวกเขายังพอรักษาไว้ได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงปรากฏ ความสงบสุขนี้ก็จะแหลกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย การสู้รบหนักหน่วงจะต้องปะทุขึ้นทันที


ดูเหมือนยังมีนักปราชญ์โบราณอยู่จำนวนมากในจัตุรัสนั้น แต่พวกเขาก็เป็นกลุ่มอำนาจสุดท้ายของโลกใบนี้แล้ว ใครจะไปรู้ว่าจะมีพวกเขาสักกี่คนที่จะเอาชีวิตรอดได้หลังจากสิ้นสุดการต่อสู้?


“ปรมาจารย์จาง นี่คือสิ่งที่ศิษย์พี่ของผมได้ฝากฝังไว้ก่อนหน้านี้เขากำชับให้ผมบอกคุณให้ได้”


ขณะที่เหล่านักปราชญ์โบราณกำลังจับตากันเองอย่างเคร่งเครียดปรมาจารย์หยางก็เดินไปหาจางหงเทียนและยื่นตราหยกสัญลักษณ์ให้


“จางเซวียนบอกคุณให้มอบสิ่งนี้ให้ผมหรือ?” รู้ดีว่า ‘ศิษย์พี่’ ที่ปรมาจารย์หยางพูดถึงคือทายาทของเขาที่ชื่อจางเซวียน จางหงเทียนชะงักไปครู่หนึ่ง เขารับตราสัญลักษณ์ไว้และใช้นิ้วเคาะลงไปอย่างแผ่วเบา


จากนั้น จางหงเทียนก็รู้สึกได้ถึงกระแสข้อมูลที่ไหลเข้าสู่จิตใต้สำนึก


“นี่มัน…ข้อบกพร่องในวรยุทธของตาเฒ่าหยูนี่?”จางหงเทียนหรี่ตาด้วยความตกตะลึง


ข้อมูลที่เขาเพิ่งได้รับคือรายละเอียดเกี่ยวกับจุดอ่อนและช่องโหว่มากมายที่ปรากฏในเทคนิคการต่อสู้ที่ตาเฒ่าหยูใช้ รวมแล้วก็ตกราว 30 ข้อ หากเขาสามารถเล่นงานแต่ละข้อได้อย่างถูกจุด ก็ย่อมปราบเฒ่าหยูได้อย่างราบคาบ


“ขะ-เขารวบรวมข้อมูลสำคัญขนาดนี้มาได้อย่างไร?”


ตอนแรกจางหงเทียนคิดว่าข้อมูลพวกนี้ไม่สลักสำคัญนัก เพราะถึงอย่างไร ถ้าการหาข้อบกพร่องในเทคนิคการต่อสู้ของนักปราชญ์โบราณมันง่ายดายขนาดนั้น พวกเขาก็คงไม่ต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่ยากลำบากอย่างที่เป็นอยู่


แต่เขาก็ได้เผชิญกับข้อบกพร่องเหล่านี้มาด้วยตัวเองระหว่างการปะทะที่ผ่านมากับตาเฒ่าหยู ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วเป็นร้อยครั้ง จึงรู้ทันทีว่าทั้งหมดเป็นความจริง!


ไม่มีอาวุธใดที่จะแข็งแกร่งไปกว่านี้อีกแล้วในการรับมือกับตาเฒ่าหยู


เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันทั่วไปว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเล่นงานนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด เว้นเแต่นักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดอีกคนหนึ่งจะวางกับดักเพื่อต้อนเขาให้จนมุม แต่เรื่องนี้ก็พูดง่ายกว่าทำมาก


ด้วยข้อบกพร่องมากมายที่เห็นอยู่ จางหงเทียนมั่นใจว่าจะสามารถเล่นงานและสังหารตาเฒ่าหยูได้ เพียงเท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าข้อมูลนั้นล้ำค่าขนาดไหน


“เจ้าหนุ่มคนนั้นทำให้ผมประหลาดใจได้ตลอดเวลา” จางหงเทียนตั้งข้อสังเกต


ความอยากรู้อยากเห็นในตัวทายาทของเขาดูจะเพิ่มขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านไป


เจ้าหนุ่มนั่นได้หัวใจของ 5 มิติรอบนอกมาโดยลำพัง ทั้งยังมีเครื่องรางลำดับแรกด้วย เขาได้โควต้า 4 ที่ ซึ่งทั้งสี่กลุ่มอำนาจแทบจะยอมตายเพื่อให้ได้มันมา ที่สำคัญกว่านั้น ยังปราศจากความกลัวอย่างสิ้นเชิงแม้เมื่อเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญระดับตาเฒ่าหยู แถมยังเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับข้อบกพร่องของหมอนั่นมาอีกด้วย…


ปรมาจารย์หยางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “อันที่จริง เมื่อ 20 ปีก่อน ตอนที่คุณได้รับบาดเจ็บสาหัสและต้องการสายเลือดบริสุทธิ์ของตระกูลจางเพื่อเยียวยา ศิษย์พี่ของผมคือผู้ที่มอบสายเลือดให้คุณเพื่อให้คุณได้มีชีวิตรอด”


ในครั้งนั้น บรรพบุรุษเก่าแก่จางหงเทียนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนโคม่า ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็เข้าสู่ภาวะจำศีลทันทีและรักษาสภาพร่างกายไว้ได้ จึงไม่ได้รับรู้รายละเอียดของการเยียวยารักษา


เพราะปรมาจารย์หยางคือผู้ทำการรักษา จึงรู้รายละเอียดเรื่องนี้เป็นอย่างดี


“คุณกำลังบอกว่า…เลือดของเขาไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดของผมหรือ?” จางหงเทียนผงะ


“ใช่” ปรมาจารย์หยางพยักหน้า


“ไม่แปลกใจเลยที่ผมรู้สึกถึงความใกล้ชิดผูกพันกับเขา…” จางหงเทียนนัยน์ตาเบิกโพลงเมื่อนึกได้


ก่อนหน้านี้ เขาพบว่ามันออกจะประหลาดที่เขารู้สึกถึงความใกล้ชิดสนิทสนมอย่างไม่น่าเชื่อกับทายาทคนนี้ แต่เรื่องราวที่ได้ฟังก็อธิบายทุกอย่างได้กระจ่าง


สายเลือดของเขาบริสุทธิ์พอที่จะช่วยชีวิตเรา แต่ทั้งๆที่ถูกถอดสายเลือดออกไปแล้ว ก็ไม่เพียงแต่มีชีวิตรอด ยังมีความปราดเปรื่องเหนือชั้นกว่าคนธรรมดาสามัญด้วย ดูเหมือนว่าต่อไปเราคงไม่ต้องกังวลถึงอนาคตของตระกูลจางอีกแล้ว! จางหงเทียนคิด


เพราะมีชีวิตอยู่มาเนิ่นนาน จึงต้องใช้เวลากว่าที่อะไรสักอย่างจะดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นของเขาได้ แต่ตอนนี้ เขารู้สึกอยากรู้จักชายหนุ่มที่ชื่อจางเซวียนให้ลึกซึ้งกว่าเดิม


…..


ฟึ่บ!


เมื่อเข้าสู่หอลำดับแรก จางเซวียนก็ไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอก ไม่รู้ว่าจางหงเทียนคิดอย่างไรกับตราหยกที่เขาตั้งใจมอบให้ ด้วยการกระตุกอย่างแรง จางเซวียนพบว่าตัวเองยืนอยู่ที่ใจกลางห้องโถงขนาดใหญ่


ห้องโถงนั้นใหญ่โตกว่าบริเวณอื่นๆมาก และพลังจิตวิญญาณที่อบอวลอยู่ในพื้นที่ก็เข้มข้นกว่า ภาพวาดต่างๆที่อยู่บนผนังมีแนวคิดทางศิลปะในระดับสูง สิ่งต่างๆในภาพวาดดูเหมือนพร้อมจะมีชีวิตขึ้นมาได้ทุกขณะ


ภาพวาดพวกนี้ยังมีระดับขั้นต่ำกว่าพื้นผ้าใบสี่ฤดู ดูเหมือนว่าจะไม่มีนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณอยู่ที่นี่! จางเซวียนส่ายหน้าอย่างผิดหวัง


แม้ภาพวาดพวกนี้จะเป็นงานฝีมือชั้นเลิศ แต่ก็ไม่มีเศษเสี้ยวของโลกถูกบรรจุไว้ จึงปราศจากนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณอยู่ภายในนั้น ต่อให้มันล้ำค่าแค่ไหนก็ไม่ดึงดูดใจเขาอีกต่อไป


เผ่าพันธุ์ปีศาจ 3 ตัวกำลังจะเข้าไปเก็บภาพวาด ก็พอดีกับที่หอกเล่มหนึ่งพุ่งเข้าขวางพวกมันไว้


“ท่านสุภาพบุรุษ กรุณาหยุดก่อน ผมมีเรื่องสำคัญต้องหารือกับคุณ…” จางเซวียนมองไปพร้อมกับยิ้มให้


เขากล้าขายโควต้าให้เผ่าพันธุ์ปีศาจ เพราะวางแผนว่าจะกำจัดพวกมันทันทีที่เข้าสู่หอลำดับแรก ไม่อย่างนั้น พวกมันก็จะเป็นหอกข้างแคร่อยู่ตลอดเวลา


ถึงทั้ง 3 ตัวจะทรงพลัง แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าที่ตัวเขา จ้าวหย่า หลัวลั่วชิงและคนอื่นๆจะกำจัดมันได้


“คุณ…” นึกไม่ถึงว่าจางเซวียนจะเล่นงานพวกมันทันทีที่เข้าสู่หอลำดับแรก เผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 3 หน้าดำคร่ำเครียด พวกมันมองหน้ากันและคำราม “เผ่น!”


1 ใน 3 ตัวนั้นนำตราหยกออกมาแล้วหักมัน


ฟิ้วววว!


แสงเจิดจ้าระเบิดออก แสงนั้นโอบล้อมทั้งสามไว้ก่อนที่จะพุ่งออกไป


“หยุดนะ!”


เห็นเผ่าพันธุ์ปีศาจกำลังเตรียมหลบหนี จางเซวียนยกนิ้วขึ้นและสกัดกั้นมิติรอบตัวไว้ทั้งหมด


แต่การระเบิดของลำแสงนั้นฉีกกระชากมิติที่ถูกสกัดกั้นไว้ได้อย่างง่ายดาย เผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 3 ตัวหายวับไปในชั่วพริบตา


“มันเป็นของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณ!” จางเซวียนหรี่ตา


ดูเหมือนตาเฒ่าหยูจะรู้ว่าเขาจะเล่นงานเผ่าพันธุ์ปีศาจ จึงเตรียมของล้ำค่าที่มีอานุภาพช่วยชีวิตไว้ เพื่อทั้งสามจะได้ปกป้องตัวเองได้


หากจางเซวียนนำกระบี่เปลวเพลิงสีดำออกมา ก็คงจะปราบพวกมันได้อย่างง่ายดาย แม้เขาจะนำกระบี่เปลวเพลิงสีดำเข้าสู่หอลำดับแรกด้วย แต่ก็ยังกังวลใจว่าอาจจะกระตุ้นให้เกิดกลไกป้องกันตัวบางอย่างหากพยายามใช้มัน จึงตั้งใจเก็บไว้ใช้เป็นไม้ตายในสถานการณ์ที่คับขันที่สุดเท่านั้น


“ช่างมันเถอะ ไม่ต้องรีบกำจัดพวกมันหรอก!”


ในเมื่อทุกฝ่ายพร้อมรบ การที่จางเซวียนจะกำจัดพวกมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าสิ่งนี้จะเป็นปัญหา เพราะเมื่อมีเครื่องรางน้อยในมือ ก็ไม่มีทางที่คนอื่นจะได้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงไป


เมื่อคิดได้ จางเซวียนหันไปพูดกับเหยียนเฉว่ “พวกนั้นหนีไปแล้วคุณอยากคุยกับผมแทนไหม?”


ฟิ้วววว!ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ รังสีเจิดจ้าแบบเดิมก็ระเบิดขึ้น โอบล้อมร่างของเหยียนเฉว่กับพรรคพวกไว้ พวกเขาหายวับไปจากจุดนั้นทันที


จางเซวียนอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองอสูรอีก 2 ตัวที่เหลือ ยังไม่ทันที่สายตาของเขาจะได้สบกับสายตาของอสูร 2 ตัวนั้น พวกมันก็คำรามโหยหวนและละล่ำละลัก “อย่ามองพวกเรา! เราจะออกไปแล้ว ตกลงไหม?”


ฟึ่บ!


แล้วอสูรทั้ง 2 ตัวก็หายวับไป


“….” จางเซวียน


“….” คนอื่นๆที่เหลือ


ตอนที่ 1768 บททดสอบสุดท้ายของปรมาจารย์ขง

“ช่างมันเถอะ!”


จางเซวียนพูดไม่ออกกับปฏิกิริยาของพวกนั้น เขานึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรีบเผ่นหนีราวกับเขาเป็นปีศาจอันน่าสะพรึง


จริงอยู่ว่าเขาตั้งใจจะกำจัดเผ่าพันธุ์ปีศาจ เพราะมันอาจหมายถึงจุดจบของเผ่าพันธุ์มนุษย์หากพวกมันเข้ายึดครองมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงได้สำเร็จ แต่ส่วนเหยียนเฉว่กับเผ่าพันธุ์อสูรนั้น เขาตั้งใจจะพูดด้วยจริงๆ!


ส่วนจ้าวหย่ากับคนอื่นๆก็ได้แต่คาดเดาว่าจางเซวียนกำลังคิดอะไรโดยมองจากสีหน้าคับข้องใจของเขา แต่ละคนได้แต่ยิ้มน้อยๆ


“ไม่ใช่เพราะพวกนั้นหวาดกลัวหรอก พวกเขาแค่อยากหลีกเลี่ยงความยุ่งยากโดยไม่จำเป็น ในฐานะผู้ได้รับเลือกให้เข้าสู่หอลำดับแรก พวกเขามีภารกิจเดียวเท่านั้นคือเข้ายึดครองมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง” หลัวลั่วชิงอธิบาย


จางเซวียนพยักหน้ารับ เขาหันไปพูดกับคนอื่นๆที่อยู่ด้านหลัง“จ้าวหย่ากับเว่ยหรูเหยียน ภาพวาดพวกนี้น่ะเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่า เก็บพวกมันไว้”


“ได้” จ้าวหย่ากับเว่ยหรูเหยียนพยักหน้าก่อนจะรีบเดินไปรอบๆห้องเพื่อเก็บภาพวาด


“แค่ก แค่ก…ปรมาจารย์จาง ภาพเหล่านี้เป็นทรัพย์สมบัติที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้นะ กวาดพวกมันไปแบบนั้น จะเป็นการไม่เคารพไปสักหน่อยไหม?”


ปรมาจารย์ 2 คนที่ติดตามจางเซวียนมามองหน้าเขาด้วยสีหน้าปั้นยาก


ปล้นหอลำดับแรกทันทีที่มาถึง…จะไม่ถือเป็นการแสดงความกระด้างกระเดื่องต่อปรมาจารย์ขงหรือ?


“ถ้าอย่างนั้น เจตนาของพวกคุณคือให้เรา…” จางเซวียนมองหน้าปรมาจารย์ทั้งคู่และตั้งคำถาม


“อย่างน้อยที่สุด พวกเราก็ควรจะคารวะปรมาจารย์ขงก่อนนำภาพวาดเหล่านั้นไปไหม?” ปรมาจารย์คนหนึ่งออกความเห็นด้วยใบหน้าแดงก่ำ


คราวนี้กลับกลายเป็นจางเซวียนที่พูดไม่ออก


ลงท้าย สิ่งที่ปรมาจารย์มองว่าไม่ถูกต้องก็คือพวกเขาไม่ได้คารวะปรมาจารย์ขงก่อนนำภาพวาดไป


จางเซวียนส่ายหน้าและสั่งการ “ช่างมันเถอะ จัดการต่อ!”


จ้าวหย่ากับพรรคพวกทำงานอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็เก็บภาพวาดในห้องเอาไว้ทั้งหมด


“เดินหน้ากันเถอะ” หลังจากกวาดภาพวาดจนหมดเกลี้ยงแล้ว จางเซวียนสะบัดข้อมือและนำเครื่องรางลำดับแรกออกมา “เครื่องรางน้อย มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงอยู่ที่ไหน?”


“มันอยู่ที่ใจกลางหอใน” เครื่องรางน้อยตอบ


“นำทางไปสิ” จางเซวียนสั่งการ


เครื่องรางน้อยพยักหน้าก่อนจะรีบบินนำไป


หอลำดับแรกนั้นเกือบเหมือนเขาวงกต มีทางแยกมากมายที่ทำให้การรับรู้ทิศทางของนักรบสับสนไป แต่ภายใต้การนำทางของเครื่องรางน้อย จางเซวียนกับพรรคพวกก็รุดหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว


พวกเขาพบของล้ำค่าอีกจำนวนหนึ่งระหว่างทาง ซึ่งจางเซวียนก็ไม่ลังเลที่จะโยนพวกมันเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ ลงท้าย ก็ดูเหมือนว่าหอลำดับแรกจะเผชิญหน้ากับการถูกกวาดล้างครั้งใหญ่แม้แต่รูปปั้นธรรมดาสามัญก็ไม่อาจรอดพ้นจากการปล้นสะดมของเขา


ปรมาจารย์ทั้งสองได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พวกเขาไม่คาดคิดว่าทายาทน้อยจะละโมบโลภมากขนาดนี้ และนึกกังขาอยู่ว่าตัวเองตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่มากับเขา


ถ้าปรมาจารย์ขงรู้ว่าคนรุ่นหลังเป็นแบบนี้ คงโมโหจนขาดใจตายแน่!


“ทำไมที่นี่ถึงไม่มีทรัพย์สมบัติเจ๋งๆเลย? ปรมาจารย์ขงยากจนข้นแค้นขนาดนั้นเลยหรือ?”


ขณะที่คนอื่นๆต่างยำเกรงกับหอลำดับแรก จางเซวียนก็กวาดทรัพย์สมบัติที่อยู่รอบตัวด้วยสีหน้าไม่พึงพอใจนัก


ไม่ใช่ว่าข้าวของที่เขาเก็บมาได้นั้นไม่ล้ำค่า ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดพิณ พู่กันหรืออื่นๆที่เขาได้มาก็ล้วนแต่ขายได้ราคางามในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะเทียบได้กับของล้ำค่าที่เขาได้จากหอบริวาร


ปรมาจารย์ทั้งสองยกมือทาบอก ราวกับพยายามจะห้ามหัวใจไม่ให้หยุดเต้น


คำพูดเหล่านั้นหยาบคายมากจนถึงขั้นที่พวกเขาทําได้เพียงแค่บอกตัวเองว่าไม่เคยได้ยินคำพูดเหล่านั้นมาก่อน


ทั้งกลุ่มรุดหน้าไป ไม่ช้าก็มาถึงห้องโถงขนาดใหญ่


“ที่นี่แหละ” เครื่องรางน้อยพูดขณะร่อนลงสู่แผ่นหินแผ่นหนึ่งที่อยู่บริเวณทางเข้า


วิ้งงงง!


ราวกับมีบางอย่างถูกปลุกขึ้นเพราะการกระทำนั้น รูปปั้นสูงตระหง่านที่ยืนอยู่บริเวณใจกลางห้องค่อยๆหันร่างกลับมา


เมื่อใบหน้าของรูปปั้นนั้นปรากฎชัด เสียงถอนหายใจอย่างไม่อยากเชื่อก็ดังขึ้นทั่วทั้งห้อง


นั่นคือปรมาจารย์ขง!


“ผู้ที่ผ่านการทดสอบเบื้องต้นมาแล้ว ผมขอต้อนรับพวกคุณเข้าสู่หอลำดับแรก แต่ถ้าคุณอยากได้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงล่ะก็ ยังมีบททดสอบสุดท้ายที่พวกคุณต้องผ่านไปให้ได้”


เสียของรูปปั้นนั้นแผ่วเบา แต่เหมือนจะพุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณของผู้ฟัง ราวกับสายลมที่โลมไล้ในฤดูใบไม้ผลิ


การตามหาเครื่องรางลำดับแรกและหัวใจชิ้นต่างๆของมิติรอบนอกจนได้เข้าสู่หอลำดับแรกนั้นคือบททดสอบทั้งหมดของนักรบแต่ละคน ผู้ที่ผ่านมาได้ถึงขั้นนี้ย่อมเป็นอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พวกเขาก็ยังต้องพิสูจน์ว่าตัวเองมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับการถ่ายทอดมรดกของปรมาจารย์ขงหรือไม่โดยการผ่านบททดสอบครั้งสุดท้ายไปให้ได้


“ที่อยู่ตรงหน้าผมคือทางเดินซึ่งเต็มไปด้วยค่ายกลภาพลวงตาค่ายกลสังหาร และปีศาจใต้สำนึกทุกประเภท ถ้าคุณผ่านมันไปได้และเดินไปจนถึงสุดทางเดิน ก็จะได้พบมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง และมีโอกาสจะได้ซึมซับมัน ต่อให้คุณไม่ประสบความสำเร็จ ก็วางใจได้ว่าจะไม่เผชิญกับอันตรายใดๆ แต่ถ้าคุณผ่านมันไปไม่ได้ ก็จะถูกส่งทะลุมิติออกจากหอลำดับแรกโดยไม่มีโอกาสกลับเข้าไปหามรดกตกทอดของผมอีก”


รูปปั้นพูดพร้อมกับยกนิ้วขึ้นและชี้ไปข้างหน้า


จางเซวียนมองตาม และเห็นว่ามีทางเดินที่มุ่งตรงสู่ใจกลางห้อง ดูเหมือนจะทอดตัวยาวออกไปไกลแสนไกล ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด


“ทุกคนจะพยายามได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จะเดินไปคนเดียวหรือไปกันหลายคนก็ได้ ไม่มีข้อจำกัดว่าในครั้งหนึ่งจะมีผู้เข้าท้าทายทางเดินได้กี่คน” รูปปั้นอธิบาย


จางเซวียนหันไปตั้งคำถามกับเครื่องรางน้อย “ทางเดินนี้ทำงานอย่างไร?”


เท่าที่เขามองผ่านๆ ทุกอย่างดูจะไม่มีอะไรแปลกประหลาด เขาไม่พบร่องรอยของค่ายกลหรืออะไรทำนองนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าบททดสอบนี้จะเป็นคนละระดับกับสิ่งที่เขาเคยพบเจอมา


“สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ขงตั้งใจทิ้งไว้เพื่อทดสอบคนรุ่นหลัง ผมเองก็ไม่แน่ใจในรายละเอียดเหมือนกัน” เครื่องรางน้อยตอบอย่างกระอักกระอ่วน


“…ก็ได้” รู้ดีว่าเป็นนิสัยของเครื่องรางน้อยที่จะสมองตีบตันขึ้นมาทันทีเมื่อถึงเวลาคับขัน จางเซวียนจึงได้แต่ส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่


เขาเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้และจ้องมองทางเดินอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่พบอะไร ไม่มีคลื่นรบกวนของพลังงานอยู่ภายในทางเดินเลย


“ท่านอาจารย์ ฉันจะลองดูก่อน” จ้าวหย่าพูดขณะก้าวออกมา


“ระวังตัวด้วยนะ!” แม้รูปปั้นปรมาจารย์ขงจะบอกไว้แล้วว่าไม่มีอันตราย แต่จางเซวียนก็อดกังวลไม่ได้


จ้าวหย่าพยักหน้า เธอเดินตรงไปยังทางเดินและก้าวเข้าไปโดยไม่ลังเล


วิ้งงงง!


ลำแสงสีขาวพุ่งลงมาที่ตัวจ้าวหย่า ทำให้เธอแข็งทื่อไปทันที ดูเหมือนเธอจะตกอยู่ภายใต้อำนาจของภาพลวงตาบางอย่าง ทำให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้


ครู่ต่อมา พลังงานเย็นเยือกก็ระเบิดออกจากร่างของเธอ ในชั่วพริบตานั้น จ้าวหย่าดูเหมือนจะกลายร่างเป็นนางพญาน้ำแข็งพลังงานพลุ่งพล่านโอบล้อมร่างของเธอไว้ พร้อมจะฉีกกระชากทางเดินให้เป็นชิ้นๆ


แต่โชคไม่ดีที่แม้จ้าวหย่าจะทรงพลังแค่ไหน ทางเดินก็ยังทรงพลังกว่า ไม่ว่าเธอจะพยายามโจมตีทางเดินอย่างไร มันก็ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย


หลัวลั่วชิงตั้งข้อสังเกตหลังจากเฝ้ามองอยู่ครู่หนึ่ง “ดูเหมือนสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์ของจ้าวหย่าจะถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งแล้ว…”


จางเซวียนรีบพินิจพิจารณาจ้าวหย่า เขาพบว่าอีกฝ่ายดูจะแข็งแกร่งขึ้นมาทันที ในตอนนั้น ดูเหมือนว่าเธอจะอยู่ห่างจากการเป็นนักปราชญ์โบราณเพียงก้าวเดียว และพร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธได้ทุกเมื่อ


เมื่อถูกรังสีเย็นเยือกของสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์โอบล้อมไว้ จ้าวหย่าดูเหมือนเทพธิดาที่มีท่วงท่างามสง่า ทั้งยังงดงามจับตา


ทุกท่วงท่าของเธอดูจะกลมกลืนกับโลกใบนี้ ทำให้เกิดความสวยงามอย่างยากที่จะพรรณนา


ขณะที่เวลาเดินไป สภาวะพิเศษของเธอก็ถูกปลุกขึ้นทีละน้อย และดูจะสมบูรณ์แบบกว่าที่ผ่านมา


ฟึ่บ!


ขณะที่จางเซวียนกำลังตรวจสอบการปลุกสภาวะพิเศษของจ้าวหย่าอย่างใกล้ชิด ลำแสงอีกลำหนึ่งก็เข้าโอบล้อมตัวเธอไว้ จากนั้นจ้าวหย่าก็หายวับไปทันที ราวกับมีใครสักคนส่งเธอทะลุมิติออกไป


“ล้มเหลว!” เสียงของปรมาจารย์ขงดังก้องไปทั่วทั้งห้องนั้น


“เธอทำไม่สำเร็จหรือ?” จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า


เมื่อครู่นี้รูปปั้นบอกไว้แล้วว่าผู้ที่ไม่ผ่านบททดสอบจะถูกส่งทะลุมิติออกไปนอกหอลำดับแรก เท่าที่เห็น ดูเหมือนจ้าวหย่าจะถูกส่งทะลุมิติออกไปแล้ว


“ท่านอาจารย์ ให้ฉันทดลองเป็นคนถัดไปนะ”


เห็นศิษย์พี่ของเธอถูกส่งทะลุมิติออกไป เว่ยหรูเหยียนก้าวออกมาและขันอาสา


ก็เหมือนกับจ้าวหย่า เว่ยหรูเหยียนก้าวเข้าสู่ภาพลวงตาอย่างรวดเร็ว และขณะที่เวลาเดินไป สภาวะพิเศษของเธอก็ถูกปลุกขึ้นมาทีละน้อย รังสีพิษเข้มข้นโอบล้อมร่างของเธอไว้ ในเวลาเดียวกัน ระดับวรยุทธของเธอก็เพิ่มสูงขึ้นอีกมาก


แม้จะยังฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณไม่ได้ แต่พลังปราณของเธอก็ได้รับการยกระดับคุณภาพขึ้นอีกหลายเท่า ดูเหมือนว่าอีกก้าวเดียวเว่ยหรูเหยียนก็จะฝ่าด่านคอขวดได้


แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ทำอย่างนั้น ก็ถูกส่งทะลุมิติออกไปนอกหอลำดับแรกเช่นกัน


จากนั้น หลัวฉีฉีกับปรมาจารย์อีก 2 คนก็ขันอาสา


จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “พวกเราเข้าไปพร้อมกันเถอะ!”


ตอนที่ 1769 0.01 สุดท้าย!

ในเมื่อเห็นกันชัดๆแล้วว่าบททดสอบนั้นปราศจากอันตราย พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลา เรื่องด่วนตอนนี้คือการผ่านบททดสอบไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และพยายามค้นหามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง


คนอื่นๆพยักหน้ารับ ทั้งห้าออกเดินเข้าสู่ทางเดินพร้อมๆกัน


ฟึ่บ!


เมื่อเข้าสู่ทางเดิน จางเซวียนพลันรู้สึกได้ถึงกระแสพลังงานอบอุ่นที่เข้าโอบล้อมตัวเขา จากนั้น ภาพตรงหน้าก็ถูกลำแสงเจิดจ้าบดบังไว้ ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลน


กว่าประสาทสัมผัสในการมองเห็นของจางเซวียนจะกลับมา เขาก็มายืนอยู่ตรงหน้าภูเขาขนาดใหญ่แล้ว


หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้อง มันคือภูเขาที่ก่อตัวขึ้นจากหนังสือมากมายนับไม่ถ้วนซ้อนทับกัน


ภูเขานี้สูงตระหง่านเสียดเมฆ มีหมู่เมฆบดบังยอดภูเขาไว้ ในเวลาเดียวกัน ก็มองไม่เห็นเส้นทางที่พอจะนำขึ้นไปสู่ยอดเขาได้


อีกอย่างที่สะดุดตาจางเซวียนนอกจากภูเขาหนังสือขนาดมหึมาก็คือเส้นสายของตัวหนังสือที่สะบัดไปมาอยู่กลางอากาศ


“ขึ้นไปให้ถึงยอดเขาและเอาชนะบททดสอบให้ได้ หรือไม่ก็ยอมจำนนเสีย แล้วคุณจะได้รับสิ่งตอบแทนสำหรับความเหนื่อยยากที่ผ่านมา” เสียงปรมาจารย์ขงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน


“ผมเข้าใจแล้ว” จางเซวียนพึมพำขณะสูดหายใจลึก


แม้ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าจะดูเหมือนจริงจนน่าทึ่ง แต่หากตัดสินจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับจ้าวหย่าและเว่ยหรูเหยียนเมื่อครู่นี้ ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอยู่ในภาพลวงตา


พูดอีกอย่างก็คือ กายเนื้อของจางเซวียนยังอยู่ที่ทางเดิน มีแต่จิตใต้สำนึกเท่านั้นที่ถูกส่งเข้ามายังภูเขาหนังสือขนาดยักษ์แห่งนี้


จางเซวียนเพ่งสมาธิ เขาขับเคลื่อนพลังปราณให้ไหลเวียนไปทั่วร่างก่อนจะกระโจนขึ้นไป


ตุ้บ!


แต่กลับตรงกันข้ามกับที่คิดไว้ แทนที่จะพุ่งขึ้นสู่กลางอากาศ จางเซวียนกลับร่วงลงมากองกับพื้น


ดูเหมือนต้องใช้การบินเท่านั้นถึงจะขึ้นสู่ยอดเขาได้ แต่ก็นั่นแหละมันจะง่ายไปหน่อยไหมหากเพียงแค่บินก็ขึ้นถึงยอดเขาแล้ว? จางเซวียนครุ่นคิด


เขามองภูเขาหนังสืออีกครั้ง และเห็นว่าไม่มีเส้นทางไหนให้เดินขึ้นไปได้เลย จางเซวียนจ้องมอง สภาพภูเขาลดหลั่นที่อยู่ตรงหน้าจากนั้นก็พยายามบ่ายปีนขึ้นไป แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อเจอแรงกดดันหนักหน่วงถาโถมเข้าใส่


ราวกับถูกสายฟ้าฟาด ทั้งร่างของเขาเป็นเหน็บชาไปหมด ในเวลาเดียวกัน มือไม้ก็บาดเจ็บเพราะหนามหรืออะไรสักอย่าง เลือดพุ่งออกมาไม่หยุด


“เอ่อ…” จางเซวียนมองอาการบาดเจ็บของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


เขาเคยคิดว่าต่อให้ไม่มีทางเดิน ก็คงไม่ยากเย็นอะไรที่จะป่ายปีนขึ้นสู่ภูเขาแห่งนี้ แต่ใครจะไปรู้ว่ามีอุปสรรคแบบนี้ด้วย?


ราวกับมีนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกสักคนปล่อยการโจมตีใส่เขาอย่างต่อเนื่อง! แล้วภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาจะขึ้นสู่ยอดเขาได้อย่างไร?


จางเซวียนเดินวนรอบภูเขาและพยายามปีนขึ้นจากจุดต่างๆกัน แต่ก็ได้ผลแบบเดิมทุกครั้ง คือเมื่อปีนสูงขึ้นไปได้เพียงครึ่งเมตร ก็จะถูกแรงกดดันหนักหน่วงโถมทับจนต้องร่วงลงมา เขาหยุดครุ่นคิดด้วยความงุนงง


“หัวใจของบททดสอบไม่ใช่การใช้พละกำลังป่ายปีนหรือ?”


ถ้าเขาปีนขึ้นไปไม่ได้ แล้วจะขึ้นสู่ยอดเขาได้อย่างไร?


ไม่แปลกใจแล้วที่จ้าวหย่ากับเว่ยหรูเหยียนไม่ผ่านบททดสอบ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิด


“ในเมื่อมันคือภูเขาหนังสือ เราก็ควรจะศึกษาและค้นหาให้เจอก่อนว่ามันคืออะไร บางทีอาจมีเงื่อนงำบางอย่างอยู่ในนั้น…”


จางเซวียนหันกลับไปมองหนังสือ เพียงแค่ใช้ความคิด หนังสือหลายร้อยเล่มก็ถูกถ่ายโอนเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า ด้วยการเคาะนิ้วเบาๆ ความรู้มากมายก็พุ่งเข้าสู่หัวสมองของเขา


หนังสือเหล่านี้ครอบคลุมหัวข้อหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเทคนิควรยุทธ เทคนิคการต่อสู้ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ดาราศาสตร์ การทำนาย…ดูเหมือนภูเขาหนังสือที่อยู่ตรงหน้าเขาจะรวบรวมเอาความรู้ของทุกวิชาชีพในทวีปแห่งปรมาจารย์เอาไว้


ฟึ่บ!


ทันทีที่ซึมซับความรู้ทั้งหมดเข้าสู่สมองเรียบร้อย จางเซวียนก็พลันรู้สึกได้ว่ามีบันไดหลายขั้นปรากฏขึ้นบนภูเขาหนังสือนั้น เขาถึงกับผงะไป


ก่อนหน้านี้เขาเดินวนรอบภูเขาแล้ว และแน่ใจว่าไม่เคยเห็นบันไดสักขั้น ทำไมจู่ๆมันถึงปรากฏขึ้นหลังจากที่เขาถ่ายโอนหนังสือทั้งหลายร้อยเล่มนั้น?


หรือว่า…เขาจะแผ้วถางเส้นทางขึ้นสู่ยอดเขาได้ด้วยการอ่านหนังสือที่อยู่ที่นี่?


“ต้องลองดู!”


เมื่อเกิดความคิดขึ้นมา จางเซวียนหันขวับไปกวาดสายตามองภูเขาหนังสือทันที


ฟึ่บ!


หนังสือปริมาณมากมายนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้าเพียงไม่ถึง 5 นาที จางเซวียนก็ถ่ายโอนหนังสือไว้ได้หลายหมื่นเล่ม


เขาเคาะนิ้วเบาๆ แล้วภูมิปัญญามากมายก็พุ่งเข้าสู่หัวสมอง เพียงครู่เดียวหลังจากที่จางเซวียนซึมซับความรู้ทั้งหมดไว้ ภูเขาที่อยู่ตรงหน้าก็สั่นสะท้าน บันไดอีกช่วงหนึ่งปรากฏขึ้น พวกมันค่อยๆเรียงตัวกันทอดยาวขึ้นสู่ยอดเขา


“เป็นแบบนี้จริงๆด้วย…”


เมื่อรู้แล้วว่าหัวใจของบททดสอบคือการอ่านหนังสือ นัยน์ตาของจางเซวียนก็เป็นประกาย


ถ้าเป็นนักรบคนอื่น ต่อให้สามารถใช้การรับรู้จิตวิญญาณเพื่ออ่านหนังสือทีเดียวครั้งละหลายๆเล่ม แต่จิตใต้สำนึกของเขาก็คงจะหมดสภาพไปเสียก่อนเพราะผลจากการไหลบ่าอย่างกะทันหันของภูมิปัญญาที่เข้าสู่สมอง แต่จะไม่เป็นอย่างนั้นสำหรับจางเซวียน


ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือกวาดสายตามองหนังสือ และแตะอีก 1 ครั้งเพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญาทั้งหมดเข้าสู่ความทรงจำของตัวเอง


หัวสมองของจางเซวียนตอนนี้เหมือนกับซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ขณะที่นักรบคนอื่นๆ ต้องลำบากลำบนเพื่อพยายามจดจำและทำความเข้าใจเนื้อหาของหนังสือที่กองทับกันจนกลายเป็นภูเขาหนังสือขนาดใหญ่ แต่ทั้งหมดที่จางเซวียนต้องทำก็คือถ่ายโอนความรู้และบรรจุเข้าสู่หัวสมองของเขาเท่านั้น


ฟึ่บ!


จางเซวียนก้าวขึ้นบันได เขายังคงถ่ายโอนหนังสือที่อยู่รอบตัวเข้าไปเรื่อยๆ ภูมิปัญญาจากหนังสือเหล่านั้นลอยเข้าสู่หัวสมองของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน


เมื่อปริมาณหนังสือที่จางเซวียนได้อ่านมีเพิ่มขึ้น จำนวนขั้นบันไดก็ค่อยๆเพิ่มสูงขึ้นด้วย จางเซวียนก้าวขึ้นบันไดทีละขั้นไปอย่างช้าๆ


ไม่นานเขาก็รับรู้ได้ว่าขั้นบันไดจะเพิ่มขึ้นพร้อมกันกับหนังสือทุกๆ100 เล่มที่เขาได้อ่าน


พูดกันตามตรง มีจางเซวียนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถอ่านหนังสือด้วยวิธีนี้ หากคนอื่นพยายามอ่านและซึมซับเนื้อหาในหนังสือตามแบบของเขา ต่อให้เป็นนักปราชญ์โบราณ…ก็อาจเสียสติได้!


จางเซวียนเดินไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็พบว่าตัวเขาถูกห้อมล้อมด้วยหมู่เมฆ ทั้งหมดที่เขาเห็นคือขั้นบันไดทอดยาว ราวกับโลกทั้งโลกหายวับไปแล้ว เหลือเพียงร่างโดดเดี่ยวของเขาเท่านั้น


“เราอ่านหนังสือมาแล้วก็ตั้งเยอะ แต่ยังไม่ถึงยอดเขาเลย นักรบคนอื่นๆที่พยายามจะอ่านหนังสือมากมายขนาดนี้คงสมองพังไปแล้วล่ะ” จางเซวียนบ่นพึมพำ


ตามข้อสันนิษฐานของเขา เป็นไปได้ว่ากระแสกาลเวลาของที่นี่น่าจะแตกต่างจากโลกภายนอก


แม้จะมีอุปกรณ์ช่วยอย่างหอสมุดเทียบฟ้า แต่จางเซวียนก็ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวันกว่าจะเดินทางมาได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่น คงต้องใช้เวลาหลายศตวรรษหรือแม้แต่เป็นพันปีเพื่อให้ได้ระยะทางเท่ากับเขา


การใช้เวลาหลายศตวรรษเพื่ออ่านหนังสือและไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย…ความเบื่อหน่ายและซ้ำซากคงทำให้สามัญสำนึกและความมีเหตุมีผลของใครคนหนึ่งพังทลายได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งนักปราชญ์โบราณ!


เมื่อมาถึงจุดนี้ จางเซวียนรู้สึกได้ว่าความเร็วของการเพิ่มขั้นบันไดใหม่เริ่มจะช้าลง ก่อนหน้านี้มันจะเพิ่มขึ้นพร้อมๆกับหนังสือทุก 100 เล่มที่เขาได้อ่าน แต่ตอนนี้ อัตราความเร็วกลายเป็นต่อหนังสือทุก1000 เล่ม


เพียงแค่บททดสอบก็ยากเอาการแล้ว แต่ขั้นบันไดก็ยังเพิ่มขึ้นได้ยากกว่าเดิมอีกเป็น 10 เท่า สิ่งนี้เหมือนกับการซ้ำเติมนักรบที่มาได้ไกลถึงระดับหนึ่ง


แต่ก็แน่นอนว่าระดับความยากที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้ส่งผลอะไรมากนักกับจางเซวียน สำหรับเขา ก็แค่ทำให้ขึ้นสู่ส่วนยอดของภูเขาได้เร็วขึ้นหรือช้าลงเท่านั้น


จางเซวียนก้าวต่อไปเรื่อยๆและยังคงอ่านหนังสือต่อไปอีกกว่าครึ่งวัน เมื่อหมดวัน บททดสอบก็มาถึงจุดที่เขาอ่านหนังสือไปแล้วกว่าหมื่นเล่ม และเขาต้องอ่านหนังสืออีกหมื่นเล่มเพื่อจะเพิ่มขั้นบันไดเพียงขั้นเดียว


จางเซวียนรู้ดีว่ามันใกล้สิ้นสุดแล้ว จึงกัดฟันและฝืนทนต่อไป


ไม่ช้าก็เร็ว ยอดเขาจะต้องปรากฏให้เห็นแน่


“กุญแจของเส้นทางของภูเขาหนังสือคือความอดทน…ดูเหมือนบททดสอบของปรมาจารย์ขงคือความขยันหมั่นเพียรและความแข็งแกร่งของสภาวะจิต” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตขณะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ภูมิปัญญาคือกุญแจสู่ความยิ่งใหญ่ ยิ่งอ่านมากเท่าไหร่ก็ยิ่งป่ายปีนได้สูงขึ้นเท่านั้น”


ถึงจะเป็นบททดสอบ แต่มันก็เป็นคำแนะนำที่ปรมาจารย์ขงฝากไว้ให้คนรุ่นหลัง


ปรมาจารย์ขงคงจะอยากบอกคนรุ่นหลังว่าการขึ้นสู่จุดสุดยอดของวรยุทธนั้นไม่ได้อาศัยเพียงแค่ความปราดเปรื่อง แต่ยังต้องมีความรู้และวัฒนธรรมด้วย!


มีแต่ผู้รอบรู้เท่านั้นที่จะเข้าถึงความเข้าใจอันลึกซึ้งของวรยุทธและของโลก และมีแต่ผู้มีวัฒนธรรม เท่านั้นที่จะมีหัวใจเปิดกว้างพอจะยอมรับการเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้คือกุญแจที่ทำให้ใครคนหนึ่งก้าวขึ้นไปสู่จุดที่สูงกว่าเดิมได้


ยกตัวอย่าง 72 นักปราชญ์ คนเหล่านั้นก็ล้วนแต่เป็นผู้ปราดเปรื่องที่ได้รับการบ่มเพาะจากมือของปรมาจารย์ขงเอง พวกเขาได้รับการถ่ายทอดเทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ที่ทรงพลังที่สุดตั้งแต่เริ่มแรก ในแง่ของการเริ่มต้น ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอยู่ในจุดที่เหนือกว่าปรมาจารย์ขงมาก


แต่ทั้งๆที่มีสภาพแวดล้อมซึ่งเป็นใจขนาดนั้น ก็ไม่มีใครสักคนสามารถเทียบชั้นกับปรมาจารย์ขงได้เลย ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการประสบความสำเร็จหรือความแข็งแกร่ง


เรื่องนี้มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว ในแง่ของความรู้, พวกเขายังห่างชั้นกับปรมาจารย์ขงมาก ซึ่งก็เป็นเพราะหัวสมองของพวกเขาจำกัดระดับการพัฒนาความก้าวหน้าของตัวเองไว้


เมื่อครั้งที่ปรมาจารย์ขงสร้างระบบของ 9 สถานะระดับล่าง ระดับกลาง และระดับบนขึ้นมา ก็ดูเหมือนว่ามันจะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาตัวเองของเขา ซึ่งความท้าทายนี้เองที่ทำให้ดวงตาของปรมาจารย์ขงเปิดกว้าง เขายอมรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆและปรับตัวเข้ากับมันได้ ซึ่งมีแต่ทักษะแบบนี้เท่านั้นที่จะทำให้นักรบก้าวขึ้นไปสู่จุดที่สูงกว่าเดิม


แคร่กกกก!


ขณะที่จางเซวียนเกิดความคิดนั้น เสียงดังเหมือนเปลือกไข่แตกหรือเมล็ดพันธุ์ที่กำลังจะงอกพ้นผืนดินออกมาก็ดังก้องขึ้นในหัวของเขา


“ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเราอยู่ที่ 29.99 แล้ว?”


จางเซวียนกำหมัดแน่น นัยน์ตาของเขาเป็นประกาย


ตอนที่ 1770 สมบัติล้ำค่าสูงสุด

ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของจางเซวียนเพิ่มสูงขึ้นถึง 29.99 อีกเพียงนิดเดียวก็จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้แล้ว


เขาวางแผนไว้ว่าจะหมั่นเพียรฝึกฝนวรยุทธใต้ต้นโพธิ์เพื่อให้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จโดยเร็ว แต่ใครจะไปคิดว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาจะแตะ 30.0 ขณะที่อ่านหนังสือพวกนี้?


30.1!


30.2!


30.3!


…..


ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของจางเซวียนกระโดดขึ้นจนถึง 31.9 ก่อนจะหยุดลง


ภายในระยะเวลาอันสั้น ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของเขาเพิ่มสูงขึ้นถึง 2.0


ด้วยการเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราดของระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ จางเซวียนรู้สึกราวกับมีพายุพัดเกรี้ยวกราดอยู่ในหัวสมอง ประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาตื่นตัวขึ้นมาอย่างน่าทึ่ง เขารู้สึกราวกับตัวเองเป็นไอ้บ้านนอกเซ่อซ่าที่เพิ่งเข้าสู่เมืองใหญ่อันสวยงามเจิดจ้าเป็นครั้งแรกในชีวิต ได้เห็นสีแดงและสีเขียวอันงดงาม อีกทั้งการร่ายรำและบทเพลงอันตื่นตาตื่นใจ ราวกับว่าเขาได้เห็นอีกด้านหนึ่งของโลกซึ่งตัวเองไม่เคยรับรู้มาก่อน


เทคนิควรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ที่จางเซวียนไม่เคยทำความเข้าใจมันได้สำเร็จกลับเข้ามาเติมเต็มในหัวสมองของเขาและประสานกันได้อย่างลงตัว ราวกับว่าจิ๊กซอว์ที่เคยทำให้เขางุนงงมานานกลับกลายเป็นสิ่งที่ง่ายดายไม่ต่างอะไรกับของเด็กเล่น


ไม่เพียงเท่านั้น จางเซวียนยังรู้สึกได้อย่างเลือนรางถึงการมีอยู่ของนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณในบริเวณโดยรอบ ซึ่งหากเขาต้องการ ก็แทบจะแตะต้องมันและใช้มันบ่มเพาะร่างกายของเขาได้ เพิ่มระดับขั้นของตัวเขาให้สูงขึ้นอีก


ด้วยความสามารถนี้ โอกาสที่เขาจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม!


“ไม่แปลกใจแล้วที่พวกเขาพูดกันว่ามีแต่ผู้ที่ยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณจนแตะ 30.0 ได้เท่านั้นถึงจะมีโอกาสฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ…” จางเซวียนพยักหน้า


ก่อนหน้านี้ ท่านพ่อกับท่านแม่ของเขาเคยบอกเงื่อนไขหลายประการที่จำเป็นสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ ซึ่งเงื่อนไขข้อหนึ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญมากก็คือระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ และเท่าที่เห็น ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น


หากจะเปรียบเทียบด่านคอขวดของการก้าวไปสู่วรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณเป็นประตูที่ปิดตาย การที่ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณพุ่งขึ้นแตะ 30.0 ก็เทียบเท่ากับการสร้างรอยแตกบนบานประตูที่ปิดตายนั้น ขอแค่สั่งสมพลังงานให้ได้มากพอ ก็สามารถเปิดประตูออกไปเพื่อชื่นชมกับทัศนียภาพอันงดงามที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งได้


พูดอีกอย่างก็คือ หากเขาสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก เมื่อมีหยดเลือดนักปราชญ์โบราณที่เขาได้สะสมไว้เข้ามาร่วมด้วย จางเซวียนก็สามารถฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้ในทันที


ด้วยสิ่งนี้…แรงกดดันจากนักปราชญ์โบราณจะทำอะไรเราไม่ได้อีก ยิ่งไปกว่านั้น เรายังสามารถ ปลอมตัวให้ดูเหมือนนักปราชญ์โบราณได้ด้วย! จางเซวียนคิดขณะยิ้มกริ่ม


ความคิดของเขาไหลลื่นว่องไวกว่าเดิม อีกทั้งหัวสมองก็แจ่มใส อารมณ์ด้านลบต่างๆที่เขาเคยแบกรับไว้ถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น


“ไปต่อ!”


จางเซวียนสูดหายใจลึกและดำเนินการถ่ายโอนหนังสือที่อยู่รอบตัวเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นภูมิปัญญา


ไม่ช้าจางเซวียนก็มาถึงยอดเขา


บนยอดเขานั้นไม่มีอะไรพิเศษนอกจากแท่นหินแท่นหนึ่ง เขาเดินเข้าไปแล้วทาบฝ่ามือลงบนนั้น


ฟึ่บ!


เป็นอีกครั้งที่จางเซวียนถูกลำแสงเจิดจ้ากลืนกิน เขาหายวับไป


เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง ภูเขาหนังสือก็อันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย จางเซวียนพบตัวเองนอนอยู่บนใบไม้ใบหนึ่งซึ่งลอยอยู่กลางมหาสมุทรกว้างใหญ่


ท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยวกราก เขาลุกขึ้นนั่งและสำรวจโดยรอบ ท้องฟ้าสีฟ้าดูจะหลอมรวมเข้ากับน้ำในมหาสมุทร ทำให้ขอบฟ้าออกจะพร่าเลือนไปเล็กน้อย ไม่ว่าจะมองทางไหนก็ดูเหมือนจะไม่เห็นฝั่ง


สิ่งนี้ทำให้จางเซวียนสงสัยมาก เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่ากำลังจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางใด


“เส้นทางของภูเขาหนังสือมีกุญแจเป็นความขยันหมั่นเพียร แหวกว่ายผ่านมหาสมุทรแห่งการเรียนรู้ด้วยความเพียรแรงกล้า” จางเซวียนรำพึง


แทนที่จะรู้สึกปั่นป่วนหรือตื่นตระหนก เขากลับเกิดภูมิปัญญาขึ้นมา “นี่คงจะเป็นสิ่งที่เรียกกันว่ามหาสมุทรแห่งการเรียนรู้…”


ก่อนหน้านี้ก็มีภูเขาหนังสือ และด้วยการศึกษาหนังสือเท่านั้นที่จะนำไปสู่จุดสิ้นสุด ดูเหมือนหลักการนี้จะใช้กับมหาสมุทรแห่งการเรียนรู้เช่นกัน หากเขาไม่เรียนรู้ ใบไม้ก็จะไม่เคลื่อนไหว และตัวเขาก็จะไม่มีวันเข้าถึงฝั่ง


สายลมแห่งมหาสมุทรพัดโชยอ่อน ก่อเกิดเป็นเสียงที่ไพเราะราวกับวงดนตรีกำลังบรรเลง


ผิวหน้าของผืนน้ำไหวกระเพื่อมราวกับภาพวาดสีฟ้าอันงดงาม ภายใต้ผืนน้ำ จางเซวียนเห็นฝูงปลามากมายนับไม่ถ้วนว่ายวนอย่างเป็นระเบียบ ดูเหมือนพวกมันกำลังสร้างค่ายกลบางอย่าง


เมื่อจับจ้องฝูงปลา จางเซวียนพบว่าสมาธิของเขาค่อยๆดำดิ่งเข้าสู่ค่ายกลนั้น


ด้วยสองตาอันเฉียบคม ทุกอย่างในโลกสามารถก่อเกิดเป็นภูมิปัญญาได้ การได้เฝ้ามองความยิ่งใหญ่ของโลก, การเคลื่อนไหวอย่างอิสระเสรีของฝูงปลาในมหาสมุทรดูจะชี้นำภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่หลอมรวมเข้ากับสิ่งที่เขาได้ศึกษาจากภูเขาหนังสือก่อนหน้านี้


ใบไม้กระเพื่อมเล็กน้อย หัวใจของจางเซวียนค่อยๆสงบลง


ภูมิปัญญาทุกรูปแบบพุ่งเข้าสู่หัวสมองของเขา จางเซวียนซึมซับเอาความรู้เหล่านั้นไว้ทั้งหมดราวกับฟองน้ำที่แห้งผาก


ครู่ต่อมา ร่างของเขาก็กระตุก จางเซวียนลุกขึ้นยืน


จิตรกร มือบรรเลงบทเพลงปีศาจ ช่างตีเหล็ก นักฝึกอสูร ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณ นายแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกล…ความรู้ทุกรูปแบบที่เขาได้เรียนรู้จากวิชาชีพเหล่านั้นถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างไร้ที่ติ เข้าถึงระดับ 9 ดาว


ในเวลานั้น จางเซวียนเข้าถึงเงื่อนไขของวิชาชีพรองรับระดับ 9 ดาว ทำให้เขากลายเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวของแท้


อันที่จริง ในแง่ของความเข้าใจในวิชาชีพเหล่านี้ จางเซวียนอาจเทียบชั้นได้กับปรมาจารย์ขงเลยทีเดียว ห่างไกลกับอัจฉริยะที่มีอยู่ดาษดื่นในสมาคมวิชาชีพเหล่านั้น


แม้จะมีข้อมูลความรู้มากมายมหาศาล แต่หัวสมองของเขาก็ไม่สับสน มันกลับใสกระจ่างและแจ่มชัดขึ้น ราวกับว่าทุกสิ่งที่จางเซวียนเรียนรู้ได้สร้างสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ก่อเกิดเป็นเครือข่ายของข้อมูลความรู้ที่ชัดเจน


ฟึ่บ!


จางเซวียนตั้งต้นศึกษาวิชาชีพอื่นๆต่อไป และขณะที่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะเข้าใจทุกอย่าง ลำแสงหนึ่งก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวเจิดจ้า


เมื่อจางเซวียนรู้สึกตัว ก็พบว่าเขากลับมายังทางเดินแล้ว เขารู้สึกเหมือนตัวเองหายไปอย่างน้อยก็ 10 วัน แต่จิตใต้สำนึกบอกว่ามันเพิ่งผ่านไปแค่ 1 หรือ 2 นาทีเท่านั้น


ความเหลื่อมล้ำของเวลาระหว่างจิตใต้สำนึกกับประสบการณ์ที่ได้รับทำให้จางเซวียนออกจะเวียนหัวเล็กน้อย เพราะหัวสมองของเขาพยายามดิ้นรนทำความเข้าใจเรื่องแปลกประหลาดนี้


ราวกับเขาเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันอันแสนกระจ่างชัด


จางเซวียนหันไปมองรอบตัวอีกครั้ง และเห็นหลัวฉีฉีกับปรมาจารย์อีก 2 คนยืนนิ่งอยู่กับที่ ร่างของทั้งสามสั่นสะท้าน ราวกับต้องเผชิญแรงกดดันมหาศาล แม้นัยน์ตาของพวกเขาจะเบิกโพลง แต่ก็เห็นชัดว่าทุกคนต่างไร้สติ


“ลั่วชิงล่ะ?” จางเซวียนครุ่นคิดด้วยความสงสัย


สำหรับ 6 คนที่ได้เข้ามา จ้าวหย่ากับเว่ยหรูเหยียนไม่ผ่านบททดสอบและถูกส่งทะลุมิติออกไป ส่วนหลัวฉีฉีกับปรมาจารย์อีก 2 คนยังคงอยู่ระหว่างการทดสอบ แต่เพราะอะไรสักอย่าง หลัวลั่วชิงกลับไม่ปรากฏตัว


หรือว่า…เธอไม่ผ่านการทดสอบและถูกส่งทะลุมิติออกไปเช่นกัน?


ขณะที่จางเซวียนกำลังพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เสียงของปรมาจารย์ขงก็ดังขึ้นอีกครั้ง “คุณผ่านการทดสอบแล้ว เดินไปจนสุดทางเดินนะ แล้วจะพบมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ถ้าคุณซึมซับมันได้ ก็ถือว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดของผม”


ได้ยินเสียงนั้น จางเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมุ่งหน้าไปยังปลายสุดของทางเดิน “ระหว่างนี้ เราควรจะครอบครองมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป…”


เพราะได้รับการบ่มเพาะจากภูเขาหนังสือและมหาสมุทรแห่งการเรียนรู้ ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของจางเซวียนจึงเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณ แรงกดดันที่แผ่ซ่านอยู่บริเวณทางเดินทำอะไรเขาไม่ได้อีกต่อไป


ไม่ช้า เขาก็มาถึงปลายสุดของทางเดินนั้น


ไม่ต่างกับบริเวณทางเข้าหอลำดับแรกและหอบริวาร มีปราการล่องหนป้องกันไม่ให้นักรบที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าไปข้างใน


จางเซวียนสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำเครื่องรางน้อยออกมาวางที่ปราการ ปราการนั้นค่อยๆสลายตัวไป เขารุดหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว


ห้องโถงงดงามโอ่อ่าปรากฏให้เห็นตรงหน้า ที่ใจกลางห้องมีแท่นหินอ่อนที่มีหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ด้านบน มันแผ่รังสีเจิดจ้าออกมา


มีตัวอักษรขนาดใหญ่จารึกไว้ในรูปแบบของอักษรโบราณอยู่บนปกหนังสือเล่มนั้น-ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง กาลเวลาดูเหมือนจะไหลผ่านหนังสือ ทำให้ดูราวกับเป็นของล้ำค่าที่อยู่เหนือทั้งอดีตและอนาคต เป็นของล้ำค่าที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน


“นี่คือมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง!” จางเซวียนตาโตพร้อมกับกำหมัดแน่น


เขากำลังจะเดินเข้าไปหาหนังสือ ก็พอดีกับที่ร่างหนึ่งปรากฏ มือนั้นเอื้อมไปแตะหนังสือซึ่งอยู่บนแท่นหินอ่อนและพลิกมัน


เมื่อเห็นร่างนั้นเต็มตา จางเซวียนถึงกับตัวแข็ง “ลั่วชิง…”


ตอนที่ 1771 หลัวลั่วชิง

คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแท่นหินอ่อนและกำลังจะนำมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงไปไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลัวลั่วชิงซึ่งก่อนหน้านี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย!


จางเซวียนคิดไม่ถึงว่าเธอจะฝ่าฟันมาได้จนถึงที่นี่


หากไม่มีเครื่องรางลำดับแรก ก็ไม่น่าจะเข้ามาที่นี่ได้ไม่ใช่หรือ?


แล้วเธอมาถึงก่อนเขาได้อย่างไร?


ที่สำคัญกว่านั้น…เพราะเขามีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ในครอบครอง จึงสามารถอ่านหนังสือจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว หรือว่าลั่วชิงก็มีความสามารถแบบนั้นเหมือนกัน?


ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะได้ไขข้อข้องใจ การนำมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงออกจากแท่นหินอ่อนก็ทำให้วิหารแห่งขงจื๊อทั้งหลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ราวกับเสาหลักที่รับน้ำหนักของทั้งวิหารไว้ถูกเคลื่อนย้ายออกไป มิติทั้งมิติกำลังถูกฉีกกระชาก


ครืนนนน!


สิ่งแรกที่ต้องแบกรับแรงกดดันนั้นคือหอลำดับแรก คลื่นพลังงานทำลายล้างไหลบ่าเข้าสู่ห้องนั้น ทำลายทุกอย่างที่ขวางทาง


แต่หลัวลั่วชิงก็ยืนอยู่ที่แท่นหินอ่อน ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านกับคลื่นพลังงานที่กำลังไหลบ่าเข้ามา หนังสือเล่มนั้นฉายแสงเจิดจ้า มันพยายามดิ้นรนให้พ้นจากการยึดครองของเธอ แต่ไม่ว่าจะกระเสือกกระสนสักแค่ไหน ก็ไม่อาจเป็นอิสระ


ท่ามกลางการสั่นสะท้านอย่างรุนแรงนั้น มิติโดยรอบบิดเบี้ยวไปหมด ทำให้ฉนวนของหอลำดับแรกฉีกขาด


“ในที่สุด มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงก็ปรากฏ!”


“เร็วๆเข้า! จะต้องมีใครสักคนกำลังพยายามซึมซับมัน!”


“ใครกันที่ได้ไป? จางเซวียนหรือทายาทของผม?”


เสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วขณะที่หลายร่างพุ่งเข้าสู่หอลำดับแรก


พวกเขาคือเหล่านักปราชญ์โบราณที่พำนักอยู่บริเวณด้านนอก


ก่อนหน้านี้ พวกเขาถูกสกัดกั้นให้อยู่ด้านนอกโดยฉนวนที่ปรมาจารย์ขงติดตั้งไว้รอบหอลำดับแรก จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องรอคอยอย่างอดทน แต่การที่หอลำดับแรกใกล้จะพังทลาย ก็หมายความว่ามีใครคนหนึ่งได้ครอบครองมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงแล้ว


นี่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกชัดเจนว่าถึงเวลาที่พวกเขาต้องเคลื่อนไหว และผลการสู้รบในขั้นสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับพวกเขา


“เป็นสาวน้อยคนนั้น!”


“เธอคือ…หลัวลั่วชิง?”


เมื่อเห็นร่างที่กำลังถือมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ทุกคนถึงกับผงะ


พวกเขาเคยคิดว่าน่าจะเป็นปรมาจารย์ที่ชื่อจางเซวียนที่ได้ครอบครองมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง แต่กลับตรงกันข้ามกับที่คิดไว้ สุดท้ายผู้ที่ได้มันไปคือสาวน้อยที่ดูไม่โดดเด่นอะไรซึ่งตามหลังจางเซวียนอยู่, หลัวลั่วชิง!


“เด็กน้อย คุณไม่อาจซึมซับมันได้หรอก ทำไมไม่มอบมันให้ผมล่ะ?”


เมื่อเห็นพลังหนักหน่วงที่แผ่ซ่านออกมาจากหนังสือ นัยน์ตาของนายใหญ่สีขาวแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น เมื่อระงับความปรารถนาไว้ไม่ได้อีกต่อไป มันก็เงื้อกรงเล็บขึ้นเพื่อจะโจมตีหลัวลั่วชิง


“ระวังด้วย!”


จางเซวียนก็งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขานึกไม่ถึงว่าฉนวนจะถูกทำลายและเรื่องจะบานปลายถึงขั้นที่แม้แต่เหล่านักปราชญ์โบราณก็มาปรากฏตัวได้


สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นมาทันที


ปฏิกิริยาแรกของจางเซวียนคือพุ่งเข้าไปช่วยหลัวลั่วชิง แต่ขณะที่เขาทำอย่างนั้น ก็เห็นสาวน้อยเลิกคิ้วอย่างเย็นชา


บึ้มมมม!


กระแสพลังงานทำลายล้างระเบิดออกและพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ คลื่นความสั่นสะเทือนแผ่ซ่านออกไปโดยรอบ ก่อเกิดเป็นปราการที่ปกป้องตัวเธอไว้


ฟึ่บ!


กรงเล็บของนายใหญ่สีขาวปะทะกับปราการนั้น แต่ไม่อาจทิ้งร่องรอยใดๆได้เลย


“นี่คือ…พละกำลังของนักปราชญ์โบราณ?” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตกตะลึง


พละกำลังที่หลัวลั่วชิงกำลังสำแดงออกมานั้นอยู่ในระดับที่มีแต่นักปราชญ์โบราณที่จะทำได้ แถมเธอยังแข็งแกร่งกว่านายใหญ่สีขาวเสียอีก!


ขณะที่หลัวลั่วชิงสำแดงพละกำลังของนักปราชญ์โบราณออกมา การต่อสู้เพื่อแย่งชิงมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงก็ค่อยๆอ่อนแรงลงทีละน้อย


“แบบนี้ไม่ดีแน่ เธอกำลังจะซึมซับมันอยู่แล้ว เราจะปล่อยให้เธอทำสำเร็จไม่ได้นะ!” นักปราชญ์เหยียนชิงคำรามอย่างพรั่นพรึง


พริบตาต่อมา ง้าวขนาดใหญ่ก็พุ่งแหวกอากาศไปเพื่อเล่นงานหลัวลั่วชิง


พละกำลังของมันทะลุผ่านพื้นที่ของมิติและกาลเวลา ทำให้ทุกอย่างดูจะหยุดชะงัก รอยแยกของมิติขนาดมหึมาถูกฉีกกระชาก มันขยายตัวออกไป กินระยะทางกว่า 10,000 ลี้


นั่นคือการโจมตีจากนักปราชญ์โบราณขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก เพียงแค่โบกมือ ก็สามารถสร้างการทำลายล้างอย่างรุนแรงได้


ยังไม่ทันที่พละกำลังนั้นจะเข้าประชิดตัว จางเซวียนซึ่งอยู่ใกล้กับหลัวลั่วชิงก็รู้สึกเหมือนกระดูกกระเดี้ยวในร่างของเขาใกล้แหลกสลาย กายเนื้อของเขาซึ่งได้รับการบ่มเพาะจากเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดดูจะอ่อนแอไม่ต่างอะไรกับของเด็กเล่น


เขารู้สึกว่าชีวิตใกล้จะหลุดลอย ก็พอดีกับที่หลัวลั่วชิงยกมือขึ้น


แสงนวลตาโอบล้อมร่างของเขาไว้และพาจางเซวียนออกนอกสนามรบ


ฟิ้ววว!


จากนั้น ง้าวเล่มใหญ่ก็พุ่งเข้าใส่หลัวลั่วชิง


สีหน้าของเธอไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย หลัวลั่วชิงถือมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเอาไว้มั่น ขณะยกมือที่เหลืออีกข้างหนึ่งขึ้นเพื่อรับมือกับง้าว


เธอชี้นิ้วไปยังอาวุธทำลายล้างชิ้นนั้นและเคาะเบาๆ


วิ้งงงง!


ง้าวหยุดกึก นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงหน้าแดงก่ำขณะที่ง้าวกระเด็นหลุดจากมือ เขากระอักเลือดออกมากองใหญ่และถอยกรูดไป


“เอ่อ…” จางเซวียนหรี่ตา


ที่ผ่านมา เขาเคยคิดว่าหลัวลั่วชิงมีระดับวรยุทธใกล้เคียงกับเขา ไม่นึกเลยว่าแท้ที่จริงแล้วเธอคือนักปราชญ์โบราณ นักรบผู้ทรงพลังอย่างน่าทึ่ง!


เพียงแค่การเคาะนิ้วเบาๆ เธอก็สามารถเล่นงานนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นนักปราชญ์โบราณที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยปัจจุบันให้กระเด็นไปได้ หรือว่าเธอสำเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดแล้ว และก้าวเข้าสู่ขั้นการทำลายล้างความว่างเปล่าซึ่งมีน้อยคนที่จะรู้จัก?


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง…แล้วเธอมีภูมิหลังอย่างไร?


ครืดดดด!


ขณะที่จางเซวียนกำลังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น มิติที่อยู่ด้านหลังหลัวลั่วชิงก็ถูกเปิดออกคล้ายกับการฉีกกระดาษ เผยให้เห็นหลุมดำขนาดใหญ่


“เธอกำลังจะหนี! ถ้าเรายับยั้งเธอไม่ได้ มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงจะต้องตกเป็นของเธอแน่!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตะโกนอย่างร้อนใจ


ยังมีนักปราชญ์โบราณอีกจำนวนหนึ่งในบริเวณนั้นที่เกิดความลังเลหลังจากที่เห็นว่าหลัวลั่วชิงยับยั้งการโจมตีของนายใหญ่สีขาวได้อย่างง่ายดาย แต่ก็รู้ดีว่าพวกเขาจะต้องสูญเสียมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงไปแน่หากไม่ลงมือทำอะไร จึงรีบเข้าร่วมวงการต่อสู้นั้น


ฟึ่บ!


ตาเฒ่าหยูรวบรวมพลังปราณและสร้างภาพลวงตาของมือคู่หนึ่งขึ้นกลางอากาศ มือคู่นั้นโบกเข้าใส่หลัวลั่วชิงอย่างดุเดือด


นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงหยิบง้าวของเขาขึ้นมาอีกครั้ง เขาควงมันด้วยพละกำลังหนักหน่วง จากนั้นก็ขว้างออกไปด้วยแรงโน้มถ่วงอันน่าอัศจรรย์


นัยน์ตาของนายใหญ่สีขาวเป็นประกายเย็นวาบขณะที่มันปลดปล่อยพละกำลังทำลายล้างทั้งหมดออกมา ในตอนนั้น เวลาดูเหมือนจะหยุดชะงักไป


นักปราชญ์โบราณทั้งหมดจากสามกลุ่มอำนาจใหญ่เปิดการโจมตีพร้อมกันเพื่อยับยั้งหลัวลั่วชิง ในเวลานั้น ดูเหมือนโลกจะย้อนกลับไปสู่ภาวะวิกฤตอย่างในสมัยก่อน ลำแสงเจิดจ้าที่เกิดจากพลังงานเข้มข้นที่รวมตัวกันอยู่ในบริเวณนั้นบิดเบี้ยวไป ทำให้ทั่วทั้งวิหารแห่งขงจื๊อตกอยู่ในความมืดมิด


นักปราชญ์โบราณคือนักรบผู้ทรงพลังที่สุดในโลก และตอนนี้นักปราชญ์โบราณกว่า 12 คนกำลังเปิดการโจมตีพร้อมๆกัน นี่คือพละกำลังที่สามารถกวาดล้างได้แม้แต่ทวีปแห่งปรมาจารย์ทั้งทวีป!


“คุณทำแบบนี้ ถามผมหรือยัง?”เสียงตะโกนเกรี้ยวกราดดังขึ้น


จากนั้น กระแสดาบฉีก็พุ่งเข้าใส่อย่างไม่ลดละ ขัดขวางการเคลื่อนไหวของเหล่านักปราชญ์โบราณ


“จางหงเทียน อย่าโง่หน่อยเลย เธอไม่ได้มาจากสภาปรมาจารย์นะ!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตะโกนด้วยความเคืองแค้นก่อนจะกวัดแกว่งง้าวเพื่อปัดป้องคลื่นกระแสดาบฉี


ง้าวปะทะกับปลายดาบของจางหงเทียน จางหงเทียนถูกบีบให้ล่าถอยไปหลายก้าว ใบหน้าของเขาซีดเผือด


โชคไม่ดีที่เขายังคงมีพละกำลังอ่อนด้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์


“เธอคือคนที่ทายาทของผมรัก และนั่นทำให้เธอเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจางของเรา!” จางหงเทียนตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะเงื้อดาบขึ้นอีกครั้ง ตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะปกป้องหลัวลั่วชิง


แต่ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่มีทางรับมือกับการผนึกกำลังกันของนักปราชญ์โบราณจำนวนมากได้ โดยเฉพาะเมื่อลำพังนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงเพียงคนเดียวก็แข็งแกร่งกว่าเขามากแล้ว


ฟิ้ววววว!


การผนึกกำลังกันของเหล่านักปราชญ์โบราณยังคงพุ่งเข้าใส่หลัวลั่วชิงอย่างไม่ลดละ ทั้งหมดที่จางหงเทียนทำได้ก็คือยื้อเวลาออกไปเล็กน้อยเท่านั้น


ตอนนี้ หลัวลั่วชิงยังคงถือมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเอาไว้มั่น และดูเหมือนพยายามจะซึมซับมัน แต่สถานการณ์ก็ไม่เข้าข้างเธอ เพราะต่อให้เธอทรงพลังขนาดไหน ก็ไม่มีทางเอาชีวิตรอดจากการรุมโจมตีของนักปราชญ์โบราณจำนวนมากได้


“ลั่วชิง…”


เมื่อรู้แล้วว่าสาวน้อยตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงแค่ไหน จางเซวียนคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เขาเรียกศพของนักปราชญ์โบราณ กระบี่เปลวเพลิงสีดำ และไอ้โหดให้มาช่วยเหลือ แต่ยังไม่ทันจะได้เคลื่อนไหว กระแสกระบี่ฉีก็ระเบิดออกมาจากระยะไกล


กระแสกระบี่ฉีนั้นสะท้อนแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ มันคือฟางเส้นสุดท้ายที่ส่งผลให้มิติโดยรอบถูกทำลายจนราบคาบ


“นายหญิง ผมจัดการเรื่องนั้นสำเร็จแล้ว ตอนนี้ผมจะช่วยคุณ!”


ฟึ่บ!


หวู่เฉินที่หายตัวไปปรากฏตัวต่อหน้าต่อตาทุกคน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)