คัมภีร์วิถีเซียน 1765-1767

 ตอนที่ 1765 ระดับมหายานของทั้งสองเผ่า

 

 “ในเมื่อทางอาวุโสไม่มีความคิดเห็น ฉะนั้นชนรุ่นหลังก็จะไปรวมตัวกับท่านอาวุโสให้ตรงเวลา นอกจากนี้ชนรุ่นหลังมีนามว่าสวี่เชียนอวี่ วันหน้าท่านอาวุโสเรียกชื่อของชนรุ่นหลังก็ได้แล้วเจ้าค่ะ ต่อหน้าท่านอาวุโสชนรุ่นหลังมิกล้าเรียกตัวเองว่าเซียน” สวี่เชียนอวี่ก้มหน้าลงพลางเอ่ยอย่างนอบน้อม


“ฮ่าๆ สหายเชียนอวี่เหตุใดต้องเก้อเขินเพียงนั้น” หานลี่ได้ฟังแล้วพลันตกตะลึง แต่ก็สั่นศีรษะแล้วฉีกยิ้มทันที


จากนี้หญิงสาวไม่ได้รั้งรออยู่ที่หานลี่อีก ไม่นานก็ขอตัวลา


แม้ว่าจะมีเวลาสองวัน ถ้ำพำนักเองก็อยู่ใกล้ๆ เมืองเทวะสวรรค์ แต่การไปมาก็ยังคงต้องเสียเวลาไม่น้อย


เซียนผู้นี้จึงมิกล้าล่าช้า


หานลี่จึงวิ่งไปที่พักของนักปราชญ์และพวกอีกครั้ง หลังจากตัดวัตถุดิบที่ซื้อมาได้แล้วทิ้งไป ก็ส่งรายการที่เหลือให้ทั้งสี่คน


จากนั้นเขาก็กลับไปยังหอรวมเซียน ไม่ได้ออกจากหอคอยอีก


แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ในห้องลับแห่งหนึ่งของเมืองเทวะสวรรค์ ผู้บำเพ็ญเพียรห้าหกคนกำลังมารวมตัวกัน และกำลังปรึกษาเรื่องลับๆ กันอยู่


“เช่นนั้นคนผู้นี้ก็ไม่มีทางจะเข้าร่วมเมืองเทวะสวรรค์เลยสินะ” ชายชราสวมชุดคลุมสีขาวหน้าตาอ่อนโยนเรือนผมสีเงินพลันขมวดคิ้วขณะเอ่ย


“อาวุโสกู่ อาตมาพยายามเต็มที่แล้ว แต่สหายหานผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนอย่างหนักเพื่อใฝ่หาหนทางแห่งการบรรลุ ไม่มีความคิดจะเข้าร่วมกับขุมอำนาจใดๆ” ภิกษุชราสวมจีวรสีทองอีกคนหนึ่งถอนหายใจพลางเอ่ยตอบ


นั่นก็คือภิกษุจินเย่ว์ผู้นั้น!


และไม่ว่าชายชราชุดขาวหรือว่าคนอื่นๆ ก็มีท่าทีไม่ธรรมดาเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์เช่นเดียวกันกับภิกษุจินเย่ว์


แน่นอนว่าคนพวกนี้คืออาวุโสของสมาคมอาวุโสแห่งเมืองเทวะสวรรค์


“หากเป็นเช่นนั้น กำลังของเมืองเราจะไม่ลดลงหรือ ไม่อาจเพิ่มจำนวนอาวุโสให้ครบสิบคนได้? ก่อนที่ชนต่างเผ่าจะทำสงคราม สมาคมอาวุโสของพวกเราไม่เพียงจะมีสิบคนครบ แม้กระทั่งยังมีสหายอิ๋นกวง อาวุโสสำรองที่คนภายนอกไม่รู้อีก ยามนี้เมืองเทวะสวรรค์เป็นเช่นนั้น หากภัยพิบัติมาถึง เผ่ามารเหล่านั้นตีโอบล้อมจุดสำคัญ จะไม่ยิ่งแย่หรือ เรื่องนี้ก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น” ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมหนังสีดำ สีหน้าเหลืองทองเอ่ยอย่างเย็นชา


“ไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าจักรพรรดิป้า จักรพรรดิเซิ่งรวมทั้งราชาปีศาจทั้งเจ็ดของเผ่าปีศาจ ก็ไม่มีทางปล่อยผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์มาเข้าร่วมเมืองเทวะสวรรค์ ผู้ใดต่างก็รู้ว่าแดนมารย่างกรายมาถึงย่อมไม่อาจหลบเลี่ยงได้ บางทีอาจเป็นเพราะพันปีนี้พวกเขากำลังรวบรวมกำลังอยู่ และมองหาแผนป้องกันตัวเอง ถึงอย่างไรเสียเคราะห์มารครั้งที่แล้ว แม้จะเกิดขึ้นแค่ร้อยกว่าปี แต่สามจักรพรรดิและเจ็ดราชาปีศาจในอดีตก็แทบจะเพลี่ยงพล้ำไปกว่าครึ่ง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่อยากเดินตามรอย” ภิกษุจินเย่ว์ตอบกลับอย่างจนปัญญา


“สหายจินเย่ว์ เจ้ามั่นใจได้หรือไม่ว่าแดนมารจะหลอมเข้ากับแดนวิญญาณอีกครั้งในอีกพันปี” หญิงสาวสวมหน้ากากสีเงินเรือนผมเต็มไปด้วยเส้นไหมสีเขียวอีกคนหนึ่งพลันเอ่ยปากขึ้น แต่น้ำเสียงไพเราะเป็นอย่างมาก


“ไม่ผิดแน่ ไม่ใช่แค่คำเตือนจากเซิ่งเต่า ใต้เท้าม่อเจี่ยนหลีก็ลองเสี่ยงใช้จานดาราเข้าไปในแดนมารเที่ยงแท้ครั้งหนึ่ง ผลคือมารโบราณในแดนมารกำลังเตรียมพร้อมรบ เพื่อรุกรานแดนวิญญาณของพวกเรา น่าเสียดายท่านอาวุโสม่อไม่ทันได้ตรวจสอบให้ละเอียดก็ถูกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ในแดนมารพบเข้า จึงจำใจต้องถูกบีบให้กลับมาที่แดนวิญญาณ จากสถานการณ์นี้ อาจจะไม่ถึงพันปี ภายในสองสามร้อยปี แดนมารอาจจะลงมาจุติ เผ่ามนุษย์ เผ่าปีศาจและเผ่าต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียงจะถูกรวมเข้าเป็นหนึ่งในดินแดนมาร หายนะครั้งนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” หลังจากที่ภิกษุจินเย่ว์หางตากระตุกสองสามครา ก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ในเมื่อเป็นคำพูดของเซิ่งเต่าและใต้เท้าม่อ ย่อมไม่ผิดพลาดแน่ เช่นนั้นสามจักรพรรดิเจ็ดราชาปีศาจรวมทั้งขุมอำนาจที่ค่อนข้างใหญ่อื่นๆ ก็ได้รับข่าวคราวนี้ ดังนั้นถึงได้ไม่ยอมช่วยสมาคมอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์” ชายชราสวมชุดคลุมสีขาวลูบเครา แล้วหรี่ตาขณะเอ่ยถาม


“เป็นเช่นนั้นแน่นอน ในเมื่อยามที่เคราะห์มารลงมา เผ่าไม้ สามง่ามราตรีและเผ่าประหลาดอื่นๆ ต่างก็ได้รับผลกระทบ จะต้องเก็บกำลังไว้เช่นกัน ไม่มีทางโจมตีสองเผ่าอย่างพวกเราแล้วแน่ เช่นนั้นล่ะก็ พวกเขาคงไม่มีทางลดกำลังอย่างเปล่าประโยชน์ จะได้ใช้ปกป้องตัวเอง ถึงอย่างไรเสียการคุ้มครองเขตอาคมของทั้งสองเผ่า ก็ไม่มีผลกับการลงมาจุติของแดนมาร ตอนแรกที่สามเขตเจ็ดดินแดนสร้างขึ้นก็เพราะจะใช้รับมือกับหายนะมารสองสามหมื่นปีครั้ง ความจริงแล้วหลังจากที่ชนต่างเผ่ามาโจมตีเมืองครั้งที่แล้ว เมืองของเราไม่เพียงไม่มีอาวุโสระดับผสานอินทรีย์มาเข้าร่วม ต่อให้เป็นผู้พิทักษ์ระดับหลอมสุญตา เทพแปลง ก็มาสมทบไม่เท่าไหร่ ยามนี้กำลังคนเหล่านั้นยังมาจากที่สมาคมอาวุโสของพวกเราส่งคนไปรับสมัครทั่วหล้า” หญิงสาวสวมหน้ากากเอ่ยอย่างราบเรียบ


“ชนต่างเผ่าล้อมโจมตีเมืองเทวะสวรรค์ของพวกเราก่อนหน้านี้ ก็สูญเสียปราณแท้ไปไม่น้อย หากไม่มีสมาชิกมาสมทบ ในสภาวะที่เคราะห์มารใกล้เข้ามา ก็ทำได้เพียงต้องรักษาตัวเองเท่านั้น ไม่อาจใช้กำลังคนไปล้อมเผ่ามารก่อนเหมือนครั้งที่แล้วได้” หญิงสาวผมสีม่วงดุจเปลวเพลิง ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะเอ่ย


“นั่นก็ทำอันใดไม่ได้ ความน่ากลัวของหายนะมาร สำหรับเซียนอย่างพวกเราแล้ว ช่างเป็นหายนะครั้งใหญ่จริงๆ โชคดีที่เผ่ามารเหล่านั้นไม่สนใจเผ่ามนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังปราณ แค่พยายามแย่งชิงทรัพยากรของแดนวิญญาณ และสังหารเทพเซียนอย่างพวกเราเท่านั้น ไม่ค่อยทำการสังหารคนธรรมดาและสัตว์ใดๆ มิเช่นนั้นทุกๆ หมื่นปีมีเคราะห์มารครั้งหนึ่ง เกรงว่าเผ่ามนุษย์และปีศาจของพวกเราคงถูกกำจัดไปจากแดนวิญญาณตั้งนานแล้ว” ชายชราสวมชุดคลุมสีขาวเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“หึ นี่ไม่ใช่เพราะเผ่ามารใจดี เกรงว่าพวกเขาคงคิดว่าคนธรรมดาและสัตว์เป็นแค่ลูกแกะและวัว ทำให้พวกเขาเติบโตต่อไปกลายเป็นเซียนอย่างพวกเรา แล้วจะได้สร้างหายนะมารในครั้งต่อไป ทำให้พวกเขาได้ทำการสังหารอีกครั้ง ถึงอย่างไรเสียผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราก็เป็นผู้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าแก่นปีศาจหรือว่าทารกวิญญาณของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ ก็เป็นสิ่งชดเชยที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเผ่ามาร” ภิกษุจินเย่ว์เอ่ยอย่างแช่มช้า แต่แววตาพลันฉายแววเย็นเยียบ


“และยิ่งไปกว่านั้นทรัพยากรบางอย่าง ทั้งสองเผ่าของพวกเราก็ไม่อาจละทิ้งได้ มิเช่นนั้นขอแค่รักษาการณ์ไว้ ขวางแดนมารจากปราณแท้ของแดนวิญญาณ” หญิงสาวผมสีม่วงเอ่ยอย่างจนปัญญาเล็กน้อย


“ในเมื่อเคราะห์มารครั้งนี้ ขุมอำนาจอื่นมีความเห็นอื่น เมืองเทวะสวรรค์ของพวกเราก็ไม่อาจบีบบังคับได้ และทำได้เพียงรักษาชีวิตตนไว้ก่อนเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปก็ถอนเขตอาคมเมืองในสังกัดของพวกเราออกเถิด แล้วย้ายคนธรรมดาในละแวกเข้ามาอยู่ในเมือง นอกจากนี้ให้ส่งผู้บำเพ็ญเพียรที่มีเคล็ดวิชาธาตุธรณีไปซ่อมแซมเมืองที่ว่างเปล่า สิ่งที่พวกเราทำได้ก็แค่คุ้มครองดินแดนของคนธรรมดาละแวกนี้เท่านั้น” ชายชราชุดขาวใช้นิ้วเคาะไปที่เก้าอี้สองสามครั้งแล้วเอ่ยด้วยแววตาที่เปล่งประกาย


“ยังอยู่ห่างจากหายนะมารอีกไกล แต่เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่า แม้ว่าพวกเราจะมีเขตอาคมต้องห้ามเป็นที่พึ่ง แต่ทางที่ดีที่สุดก็คือรับสมัครผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง ถึงอย่างไรเสียหายนะครั้งนี้ สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการเคลื่อนไหวที่ระเบิดลูกแรกสองสามลูก ขอแค่ต้านทานได้ เผ่ามารเหล่านั้นก็สู้จนตัวตายแน่ กว่าครึ่งคงต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน สหายเป้า สองสามร้อยปีนี้เผ่าของเราคงไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรบรรลุระดับผสานอินทรีย์ได้อีกแล้ว กลับเป็นเผ่าปีศาจของพวกเจ้าที่ว่ากันว่ามีคนกำลังทะลวงจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์ ต้องรบกวนสหายคอยตรวจสอบแล้ว”  ชายชราสวมชุดสีขาวหันหน้ามา ฉับพลันนั้นก็เอ่ยกับชายร่างใหญ่สีหน้าเหลืองทอง


“ไม่มีปัญหา ในเผ่าราชาปีศาจของพวกเรา มีกองหลังที่มีพรสวรรค์อยู่จริงๆ และหวังว่าจะมีคนพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ได้อีก” ชายร่างใหญ่หน้าทองพยักหน้า แล้วตอบด้วยเสียงเคร่งขรึม


“พูดถึงสหายร่วมวิถีเผ่าปีศาจ สหายอิ๋นกวง มีคำหนึ่ง ผู้แซ่กู่ไม่ทราบว่าควรถามหรือไม่” ชายชราสวมชุดสีขาวลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามหญิงสาวสวมหน้ากากผู้นั้น


“ข้าและพี่กู่รู้จักกันมาหลายปี มีอันใดที่ไม่ควรถามกัน” หญิงสาวสวมหน้ากากรู้สึกประหลาดใจ


“ในเมื่อเซียนกล่าวเช่นนี้ ตาเฒ่าก็จะถามตรงๆ ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวของตระกูลท่าน ยามนี้ยังสบายดีอยู่หรือไม่” ชายชราชุดขาวมองหญิงสาวเขม็ง แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า


“อ๋อ ข้าจะทำอย่างไรดี ที่แท้พี่กู่ก็กังวลเรื่องบรรพชนเอ๋าเสี้ยว ทว่าอาวุโสของเผ่าปีศาจที่อยู่ที่นี่ไม่ได้มีแค่ข้าเพียงคนเดียว เหตุใดสหายต้องถามข้าด้วย” หญิงสาวสวมหน้ากากพลันตกตะลึง แต่หลังจากกวาดสายตาไปที่ชายร่างใหญ่สวมชุดสีดำแวบหนึ่ง ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ


“เหตุใดเซียนอิ๋นกวงต้องถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว! แม้ว่าเซียนจะไม่ได้ต้นกำเนิดจากเผ่าหมาป่าอิ๋นเย่ว์ แต่ก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขส่วนหนึ่งจากเผ่าหมาป่าอิ๋นเย่ว์ ตอนนั้นยังเคยปกป้องสำนักของท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวอยู่เป็นพันปี หากจะบอกว่าผู้ใดรู้สถานการณ์ของท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวมากที่สุด ย่อมมีแค่สหาย” ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำเลิกคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ


“สหายเยียนพูดไม่ผิด ไม่ปิดบังสหายอิ๋นกวง สามพันปีก่อนท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวเคยเผยร่องรอยที่ภูเขาเมฆายักษ์ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ อีก ยามนี้เคราะห์มารใกล้เข้ามาแล้ว ท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวเป็นสิ่งมีชีวิตระดับมหายานที่มีชื่อเสียงทั้งสองของเผ่ามนุษย์และปีศาจ พวกเราย่อมต้องกังวลใจอยู่แล้ว” ชายชราสวมชุดคลุมสีขาวเอ่ยถามอย่างจริงจัง


ฟังจากคำพูดของชายชรา คนอื่นๆ เองก็จ้องเขม็งไปที่หญิงสาวสวมหน้ากากเขม็งด้วยแววตาเปล่งประกาย เห็นได้ชัดว่ากังวลใจเช่นกัน


ส่วนหญิงสาวสวมหน้ากาก แววตาพลันฉายความลังเลแวบผ่าน หลังจากครุ่นคิดแล้วถึงได้ตอบกลับอย่างจนปัญญา


“ข้ารู้ว่าทุกท่านกังวลใจ แน่นอนว่าเผ่ามนุษย์และปีศาจของพวกเรามีอยู่แค่ไม่กี่คนที่ผ่านเคราะห์สวรรค์มากกว่ายี่สิบครั้งได้ตั้งแต่ที่ก่อตั้งแดนวิญญาณขึ้นมา ส่วนบรรพชนนั้นก็ผ่านเคราะห์สวรรค์ครั้งที่ยี่สิบเอ็ดเมื่อนานมาแล้ว สหายจำนวนไม่น้อยจึงกังวลใจมาก ถึงอย่างไรเสียทั้งสองเผ่าก็มีท่านบรรพชนและท่านอาวุโสม่อที่เป็นดุจเข็มเทพใต้ท้องทะเล ถึงได้ปกป้องทั้งสองเผ่าของเราให้มั่นคงได้ สหายโปรดวางใจ ท่านบรรพชนเอ๋าเสี้ยวไม่ได้เพลี่ยงพล้ำไปจากเคราะห์สวรรค์ครั้งที่แล้ว แค่สูญเสียปราณแท้ไปเล็กน้อยยามที่ฟาดเคราะห์สวรรค์เท่านั้น ถึงได้กักตนบำเพ็ญเพียรอยู่”


“เป็นความจริงหรือ!” ชั่วขณะนั้นชายร่างใหญ่สวมชุดสีดำพลันเผยความดีอกดีใจขึ้นมา


อาวุโสเผ่าปีศาจเช่นกัน แน่นอนว่าเขาย่อมกังวลเรื่องของท่านบรรพชนระดับมหายานผู้นี้เสียยิ่งกว่าชายชราชุดขาว


ชายชราชุดขาวและภิกษุชราต่างก็ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่


“สองสามร้อยปีก่อน ข้ายังได้พบกับเซียนหลิงหลงที่คอยอยู่ข้างกายท่านบรรพชนมาโดยตลอด ว่ากันว่าท่านบรรพชนฟื้นฟูได้อย่างราบรื่น หลังจากนี้ไม่นานน่าจะฟื้นฟูพลังปราณได้เต็มที่และออกจากกักตนแล้ว” หญิงสาวสวมหน้ากากเอ่ยด้วยความมั่นใจ

 

 

 


ตอนที่ 1766 สถานที่ตั้งตระกูลสวี่

 

“เซียนหลิงหลง หรือว่าจะเป็นสนมของหมาป่าเทวะเทียนขุยที่กลับมาจากแดนล่าง ได้ยินว่าสหายหลิงหลงไม่เพียงเป็นทายาทสายตรงของท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสนมคนโปรดของหมาป่าเทวะ?” แม้ว่าหญิงสาวผมสีม่วงจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเผามนุษย์ ทว่าคาดไม่ถึงว่าจะจะรู้เรื่องนี้ จึงเอ่ยถามด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย


“ไม่ผิด ผู้นี้คือสหายหลิงหลง ปีนั้นที่นางกลับมาจากแดนล่าง ก็มีพลังยุทธ์แค่ระดับเทพแปลงขั้นปลาย แต่ยามที่พบกันคราวที่แล้วกลับอยู่ในระดับยอดสุดของระดับหลอมสุญตาขั้นกลางแล้ว กำลังจะเข้าสู่ระดับขั้นปลาย ไม่แน่ว่าก่อนที่เคราะห์มารจะมาถึงก็อาจจะมีโอกาสทะลวงจุดคอขวดอีกครั้ง ถึงอย่างไรเสียคุณสมบัติของหญิงสาวผู้นี้ ก็มีชื่อเสียงเกรียงไกรในเผ่าหมาป่าจันทราตั้งแต่แรกแล้ว หากไม่ใช่เพราะถูกกักเอาไว้แดนล่างนาน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของพวกเราแล้ว” หญิงสาวสวมหน้ากากถอนหายใจออกมาขณะเอ่ย


“ต่อให้คุณสมบัติเหนือชั้นแค่ไหน พออยู่ข้างกายท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวไปสองสามร้อยปี ก็จะได้พัฒนาระดับขั้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวมีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรแค่ไหน แต่ในเมื่อเป็นสนมของหมาป่าราชา ท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวจะให้สหายหลิงหลงอยู่ข้างกายได้อย่างไร หรือว่าท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวตั้งใจทำเช่นนี้ เพราะมีเหตุผลอื่น?” หญิงสาวผมสีม่วงสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก พลางเอ่ยซักถามสองสามประโยค


“เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ว่ากันว่าคนอื่นๆ ในเผ่าล้วนกล่าวเช่นนั้น ดูเหมือนว่าหลังจากที่เซียนหลิงหลงติดอยู่ในแดนล่างแล้ว ก็เกิดความแตกแยกระหว่างสหายเทียนขุย เป็นท่านอาวุโสเอ๋าเสี้ยวที่เป็นฝ่ายพาสหายหลิงหลงไป บางทีเซียนหลิงหลงจะไม่พอใจที่ตนติดอยู่ในแดนล่างมาหลายปี แต่หมาป่าเทวะกลับไม่สนใจก็ได้กระมัง” หญิงสาวสวมหน้ากากลังเลเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงคาดเดาออกมา


“เอาละ ในเมื่อสหายเอ๋าเสี้ยวไม่เป็นอันใด พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องคาดเดาเรื่องอื่นๆ ของสหาย จากนี้เราจะถกกันเรื่องทูตของเผ่าสามง่ามราตรีและเผ่าพฤกษาที่กำลังมาจะถึง ทั้งสองเผ่าล้วนส่งคนมาที่นี่เพราะเรื่องเคราะห์มาร” ฉับพลันนั้นชายชราชุดขาวพลันเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา


คนอื่นๆ ได้ยินแล้วพลันใจหายวาบ ตั้งใจฟังทันที


เช่นนั้นเวลาจึงค่อยๆ ไหลผ่านไป


อาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์เหล่านี้ถกกันกว่าครึ่งวันเต็มๆ ถึงได้แยกย้ายกันไป


สองวันต่อมาในเมืองเทวะสวรรค์ เขตอาคมส่งตัวแห่งหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนสองคนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปท่ามกลางเขตอาคมส่งตัว


แทบจะในเวลาเดียวกันที่วิหารแห่งหนึ่งพลันมีเสียงอื้ออึงดังขึ้น วิหารอยู่ที่เมืองขนาดยักษ์อีกเมืองหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเทวะสวรรค์ไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่


เขตอาคมส่งตัวที่ถูกดูแลเป็นอย่างดี เปล่งแสงสีขาวเจิดจ้าขึ้น


นักรบชุดเกราะถือขวานสองสามคนที่ยืนคุยกันอยู่ในบริเวณนั้น พลันตกตะลึง แล้วหันไปมองเป็นตาเดียวกัน


แม้ว่าเขตอาคมส่งตัวนี้จะถูกสิ่งมีชีวิตระดับสูงของเมืองให้ความสำคัญ ปกติแล้วไม่เพียงจะดูแลรักษาเป็นอย่างดี ยังเพิ่มกำลังคุ้นกันเป็นพิเศษด้วย แต่ค่าใช้จ่ายที่สูงลิบนั้นก็ทำให้ผู้ที่ใช้เขตอาคมส่งตัวนี้มีอยู่เพียงไม่กี่คน ปีหนึ่งจะพบได้แค่สองสามครั้งเท่านั้น


แต่ทุกครั้งที่ใช้เขตอาคมส่งตัวนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับกลางหรือต่ำได้


ดังนั้นหลังจากที่ผู้บำเพ็ญเพียรจิตวิญญาณสีทองสองสามคนนี้เห็นเงาร่างคนสองสายปรากฏขึ้นในเขตอาคม ก็ยืนตัวตรงแน่วทยอยกันเผยสีหน้าเคารพนบน้อมออกมา


“ที่นี่คือเมืองเฟิงหลิน?” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ส่งตัวออกมา กวาดสายตาไปแล้วเอ่ยถามนักรบชุดเกราะคนหนึ่งอย่างราบเรียบ


“รายงานท่านอาวุโส ที่นี่คือเมืองเฟิงหลิน ยินดีต้อนรับท่านอาวุโสมาเยี่ยมเยียนที่เมืองของเรา!” นักรบที่ถูกถามตอบกลับอย่างนอบน้อม


พวกเขาใช้จิตสัมผัสกวาดไปยังคนเบื้องหน้าทั้งสอง ล้วนไม่อาจมองพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายออกได้ แน่นอนว่าจึงไม่กล้าดูแคลนเลยสักนิด


“ในเมื่อเป็นเมืองเฟิงหลินก็ดีแล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะร่า และไม่สนใจนักรบชุดเกราะเหล่านั้นอีก พาหญิงสาวผิวพรรณขาวเนียนอีกคนหนึ่งเดินออกจากเขตอาคม ตรงไปยังประตูใหญ่


พวกเขาสองคนย่อมคือหานลี่และเซียนสวี่ที่ส่งตัวมาจากเมืองเทวะสวรรค์


แม้ว่าตระกูลสวี่จะไม่ได้อยู่ในเมืองเฟิงหลิน แต่นี่เป็นเมืองที่ใกล้กับตระกูลสวี่มากที่สุดที่สามารถส่งตัวมาได้แล้ว


หานลี่และพวกทั้งสองคนผ่านผู้ดูแลสองสามชั้นไป ในที่สุดก็ออกมาจากวิหารส่งตัว


ตรงหน้ามีจัตุรัสศิลาสีเขียวขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น


จัตุรัสนี้เรียบง่ายมาก นอกจากอิฐขนาดยักษ์สีเขียวเรียงรายกันแล้ว ก็ไม่มีเครื่องประดับที่สะดุดตาใดๆ อีก


แต่รอบด้านของจัตุรัสนั้นมีสิ่งปลูกสร้างที่ดูเหมือนหอคอยและวิหารอยู่ นอกจากนักรบชุดเกราะที่ลาดตระเวนไปมารอบๆ สองสามกลุ่ม ก็ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ เคลื่อนไหวอยู่


หานลี่แผ่จิตสัมผัสออกไปไกลอีกครั้ง สีหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


คาดไม่ถึงว่าจัตุรัสนี้จะสร้างขึ้นบนสันเขาของยอดเขาที่สูงขึ้นไปพันจั้งเศษ รอบด้านเป็นถนนและบ้านเรือนที่เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


หานลี่หันไปมองยอดเขาแวบหนึ่ง


วิหารขนาดยักษ์ที่สร้างอยู่ตรงนั้น ด้านนอกไม่เพียงวิจิตรงดงาม ด้านในยังมีกลิ่นอายอยู่สองสามสาย ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตา


ดูแล้วสองสามคนนี้คงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่รับหน้าที่ดูแลเมืองแห่งนี้


หานลี่แววตาเปล่งประกาย ดึงจิตสัมผัสกลับมาทันที


จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อด้วยสีหน้าราบเรียบ หมอกสีเขียวแผ่ออกมาจากเรือนร่าง ห่อหุ้มตนและหญิงสาวข้างกายเอาไว้ แล้วกลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไป


ภายในห้องแห่งหนึ่งของวิหารบนยอดเขา ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาสามคนกำลังนั่งดูข้างตัวโต๊ะตัวยาวที่มีผลไม้และสุราวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ท่าทางกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน


แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่พวกเขากลับมองสบตากัน แววตาเผยแววตกตะลึงออกมา


“นี่มันเรื่องอันใดกัน จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งเมื่อครู่ ท่านอาวุโสระดับผสานอินทรีย์ผู้ใดมาที่เมืองของเราหรือ?” ชายชราสวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ


“ดูจากระดับความแข็งแกร่งของจิตสัมผัสแล้ว เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์จะส่งตัวมาที่เมืองของเรา ไม่รู้ว่าเป็นใต้เท้าของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์หรือว่าอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์” บุรุษวัยกลางคนสวมชุดเกราะสีขาวอีกคนหนึ่งเอ่ยด้วยความตกตะลึงระคนสงสัย


“จากที่ข้ารู้ว่าใต้เท้าข้างกายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์มัวแต่ยุ่งอยู่กับการเตรียมการใหญ่ของเมืองเทวะสวรรค์ ไม่อาจปลีกตัวมาเมืองเราได้ น่าจะเป็นอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์กระมัง?” ผู้บำเพ็ญเพียรคนที่สามชายหนุ่มจอนผมสีทองเรืองรองเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ


“อืม ในเมื่อเป็นอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์ ก็คงแค่ผ่านทางมาเท่านั้น ดูจากท่าทางรีบร้อนของเขา พวกเราไม่จำเป็นต้องไปทักทายด้วยตัวเองหรอก” ชายชราสวมชุดคลุมสีดำถอนหายใจออกมายาวๆ สีหน้าผ่อนคลายลง


“ทว่าเมืองเฟิงหลินอยู่ในเขตแดนเทียนหยวน นับว่าเป็นที่รกร้าง อาวุโสเมืองเทวะสวรรค์คนหนึ่งมาทำอันใดที่นี่?” บุรุษวัยกลางคนเกราะสีขาวดูเหมือนจะไม่สบายใจเล็กน้อย


“หึๆ สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์เหล่านี้ ชอบทำอันใดลับๆ ล่อๆ อยู่แล้ว ขอแค่ไม่ได้มาหาพวกเรา จะไปยุ่งยากทำไมกัน ข้าอยากจะให้ท่านผู้นี้ออกจากเมืองของเราทันทีแทบไม่ไหวแล้ว” ชายหนุ่มสีหน้าโหดเหี้ยมขณะเอ่ย


“นั่นมันก็จริง ทว่าออกคำสั่งไปให้ผู้ใต้บังคับบัญชาระวังให้มาก อย่าหาเรื่องยุ่งยากมาให้พวกเรา” ชายชราสวมชุดคลุมสีดำกลับมีสีหน้ามั่นคง หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“พี่ใหญ่พูดมีเหตุผล ในเมื่อไม่ใช่ใต้เท้าของเมืองศักดิ์สิทธิ์ พวกเราก็ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติของเมืองเทวะสวรรค์ แต่สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ ต้องระวังให้มากหน่อยย่อมไม่ผิด” ชายวัยกลางคนสวมชุดเกราะสีขาวได้ยินพลันพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง


ทั้งสามคนพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงที่คิดไม่ซื่อ  ดูเหมือนว่ากำลังทำเรื่องที่ไม่อาจพบหน้าพูดใดได้


อีกด้านหานลี่ย่อมไม่รู้ว่าการส่งตัวของมาของตนครั้งนี้ ทำให้เจ้าเมืองหลักและรองทั้งสามเกิดอาการมีพิรุธขึ้นมา


หลังจากที่เขาบินออกจากเมืองเฟิงหลินแล้วก็บินไปทางทิศใต้ ตามการชี้ทางของสวี่เชียนอวี่


ตามคำพูดของหญิงสาวผู้นี้ แม้ว่าที่นี่จะเป็นเมืองของผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ใกล้กับตระกูลสวี่มากที่สุด แต่ก็ยังอยู่ห่างจากตระกูลสวี่ไปเป็นระยะทางสองสามเดือนเต็ม


ดังนั้นไม่นานนักหานลี่ก็ปล่อยสำเภาเหาะออกมา ทั้งสองนั่งอยู่ด้านบนให้มันพุ่งไปกลางอากาศตามกลไก


เห็นได้ชัดว่าที่นี่รกร้างว่างเปล่ามาก หลังจากออกห่างจากเมืองเฟิงหลินได้สองสามแสนลี้ พื้นดินมีเผ่ามนุษย์คนธรรมดาที่หาได้ยากก็ปรากฏขึ้น


แม้ว่าบางครั้งจะมีเมืองขนาดเล็กอยู่เมืองสองเมือง ก็มีคนธรรมดาและผู้บำเพ็ญเพียรใช้ชีวิตปะปนกันไป


ทว่าหลังจากผ่านไปสิบกว่าวัน พื้นดินก็เป็นเทือกเขา นอกจากฝูงอสูรที่บังเอิญปรากฏตัวขึ้นกลางหุบเขาแล้ว ก็ไม่มีเงาของสิ่งมีชีวิตใดๆ อีก


สิ่งที่ทำให้หานลี่ประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ แม้ว่าจะไม่อาจกล่าวได้ว่ายอดเขาเหล่านี้ไม่มีพลังวิญญาณเลย แต่เทียบกับสถานที่อื่นๆ ก็เห็นได้ชัดว่ามีไอวิญญาณเบาบางมาก


ส่วนเงาของชีพจรวิญญาณ หลังจากบินมาหลายวันแล้ว ก็ยิ่งไม่เคยพบเลยสักนิด


“ตระกูลสวี่ของพวกเจ้าเลือกสถานที่แบบนี้ตั้งตระกูลหรือ?” ในที่สุดหานลี่ก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้นบนรถ


“ขายหน้าท่านอาวุโสแล้ว อีกไม่นานท่านอาวุโสก็จะเข้าใจเหตุผลแล้ว” สวี่เชียนอวี่ฉีกยิ้มเบิกบาน คาดไม่ถึงว่าจะเผยท่าทีลึกลับออกมา


“งั้นหรือ! พอไปถึงผู้แซ่หานก็คงได้เปิดประสบการณ์แล้ว” หานลี่ยังคงรู้สึกประหลาดใจ แต่ใบหน้าก็ไม่เผยสีหน้าแปลกใจใดๆ ออกมา


หลังจากที่บินไปรวดเดียวสิบกว่าวัน ยอดเขาด้านล่างที่เดิมเป็นสีเหลืองก็เริ่มมีสีเขียวขจี คาดไม่ถึงว่าจะเริ่มมีสีแดงแตะแต้มอยู่ ไม่ว่าภูเขาก้อนหินดินโคลน หรือว่าพืชที่เจริญเติบโต ล้วนแตะแต้มไปด้วยสีแดง


ยามแรกหานลี่ยังไม่ได้ใส่ใจสิ่งนี้


แต่หลังจากบินไปอีกสองสามวัน ทั้งเขตก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองแดง ในที่สุดหานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสี


หลังจากแผ่จิตสัมผัสไปบนพื้นดินอย่างละเอียดสองสามรอบ แววตาของเขาก็เผยสีหน้ามีแผนการออกมา


“ในที่สุดท่านอาวุโสก็เข้าใจแล้ว” สวี่เชียนอวี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีเหมืองแร่ทองแดงบริสุทธิ์ที่มีจำนวนไม่น้อยอยู่ มิน่าล่ะถึงยอมสูญเสียแดนที่มีไอวิญญาณมาสร้างตระกูลที่นี่” หลังจากที่หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ก็ตอบกลับ


“ท่านอาวุโสช่างเฉียบแหลมนัก! หมื่นปีก่อนตระกูลสวี่ของพวกเรามาถึงที่นี่ ก็ถกกันไปรอบหนึ่งว่าจะตั้งตระกูลที่นี่หรือไม่ สุดท้ายเหล่าท่านปู่ก็ตัดสินใจ ผลคือทำให้ตระกูลร่ำรวย แต่การฝึกฝนของศิษย์ในตระกูลก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ความได้เปรียบและเสียเปรียบจากเรื่องนี้มันพูดยากจริงๆ” สวี่เชียนอวี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างจนปัญญา


หานลี่ได้ยินก็พยักหน้า แต่แววตาก็เปล่งประกายไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ


หญิงสาวย่อมไม่รบกวนอันใดหานลี่อีกอย่างรู้จักวางตัว


สองสามวันต่อมาขอบฟ้าที่ไกลออกไปก็มีสีเขียวขจีปรากฏขึ้น


ไอวิญญาณพัดเข้ามา ทำให้หานลี่อดที่จะมีชีวิตชีวาขึ้นไม่ได้ รู้ว่าในที่สุดก็มาถึงตระกูลสวี่แล้ว


หลังจากผ่านไปไม่นาน เทือกเขาขนาดเล็กที่เขียวชอุ่มก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า


แม้ว่าในเทือกเขาจะมีชีพจรวิญญาณธรรมดาๆ อยู่แห่งสายเดียว แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ไอวิญญาณของที่นี่เหนือกว่ารอบๆ แล้ว


ส่วนยอดเขาสูงสิบกว่าแห่งในเทือกเขา ก็มีสิ่งปลูกสร้างหลากหลายตั้งอยู่อย่างแน่นขนัด


ระหว่างยอดเขาเหล่านั้นยังมีคลื่นประหลาดวนเวียนอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นเขตอาคมที่ร้ายกาจ

 

 

 


ตอนที่ 1767 เขตอาคมภาพลวงตา

 

“ท่านอาวุโส ถึงตระกูลสวี่แล้ว ข้าจะไปรายงานในเผ่าก่อน ให้ท่านพ่อมาต้อนรับท่านอาวุโส” หลังจากรถเหาะบินโคจรอยู่แถวๆ เทือกเขา สวี่เชียนอวี่ที่อยู่ในรถก็ขอรับสั่งด้วยเสียงแผ่วเบา


“ตระกูลสวี่หาสถานที่ได้ดีจริงๆ ข้าจะรออยู่ที่นี่สักประเดี๋ยวก็แล้วกัน” หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปในเทือกเขา หลังจากมีสีหน้าแปลกประหลาดแล้วก็พยักหน้าอย่างช้าๆ


เพราะรถเหาะหยุดอยู่กลางอากาศอย่างเปิดเผย แน่นอนว่าย่อมถูกผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่ที่คอยเฝ้าระวังด้านล่างพบเห็นแล้ว


ทันใดนั้นหลังจากที่ระลอกคลื่นเขตอาคมปรากฏขึ้น ตามจุดต่างๆ ของยอดเขาก็มีลำแสงหลีกหนีสิบกว่าสายบินเข้ามา ท่าทางไม่เป็นมิตร


แต่หลังจากที่สวี่เชียนอวี่ได้รับคำอนุญาตของหานลี่ ก็ไม่ลังเลอันใดอีก กลายเป็นลำแสงหลีกหนีสายรุ้งสีขาวพุ่งไปหาผู้บำเพ็ญเพียรของตระกูลตน


หลังจากกะพริบวาบๆ สองสามครั้ง ทั้งสองก็รวมตัวกัน


เห็นได้ชัดว่าผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลสวี่รู้จักคุณหนูของตระกูลตน ลำแสงหม่นแสงลงแล้วทยอยกันปรากฏตัว


หนึ่งในนั้นมีทั้งคนชราและคนหนุ่มสาว มีทั้งบุรุษและสตรี ล้วนมีสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจ


เซียนสวี่เชียนอวี่แค่อมยิ้มแล้วเอ่ยอันใดกับคนเหล่านั้นสองสามคน แล้วพากลุ่มคนลงไปที่ยอดเขาด้านล่างทันที


หานลี่ยืนนิ่งอยู่บนรถเหาะ รอคอยอย่างไม่รีบร้อน


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ในเทือกเขาก็มีเสียงเพลงดังขึ้นเป็นระยะๆ


หญิงสาววัยดรุณีสวมชุดชาววังสีขาวและแดงสองสีบินออกมาจากยอดเขาเป็นสองกลุ่ม


แม้ว่าหญิงสาวเหล่านี้จะมีพลังยุทธ์แค่ระดับจิตวิญญาณสีทองและระหว่างสร้างปราณ แต่ทุกคนล้วนมีใบหน้างดงาม ท่าทางเคารพนบน้อม


และด้านหลังของสตรีสวมชุดชาววังเหล่านี้ ก็มีคนบินตามออกมาติดๆ อีกสามคน


หนึ่งในนั้นก็คือสวี่เชียนอวี่ที่เพิ่งเข้าไปได้ไม่นาน ตรงกลางคือบุรุษสวมชุดสีขาวหน้าตาผู้คงแก่เรียน คนสุดท้ายกลับเป็นชายร่างกายสูงใหญ่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา แววตาดุจระฆังทองแดงก็ไม่ปาน


หญิงสาวสวมชุดชาววังสองกลุ่มบินอยู่ห่างจากรถเหาะได้ยี่สิบสามสิบจั้ง ก็หยุดลงอย่างเงียบเชียบ


บุรุษชุดขาวและพวกทั้งสามคนกลับไม่หยุด บินมาอยู่ตรงหน้าของหานลี่ภายในอึดใจเดียวแล้วหยุดลง


“ชนรุ่นหลังสวี่เจียว คารวะท่านอาวุโสหาน ตระกูลสวี่ไม่ได้มาต้อนรับแต่ไกล หวังว่าท่านจะไม่ถือสา”


บุรุษสวมชุดสีขาวดูท่าทางมีอายุไม่ถึงสามสิบปี หน้าตาธรรมดาๆ แต่พลังยุทธ์ระดับเทพแปลงขั้นปลายกลับไม่อ่อนแอเลย ยามที่เขาเผชิญหน้ากับหานลี่ ก็รีบร้อนค้อมตัวคารวะ เผยท่าทีเคารพนบน้อมออกมา


“ชนรุ่นหลังสวี่หลู คารวะท่านอาวุโส” ชายร่างใหญ่ที่มีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลงขั้นกลางเองก็คารวะตามมารยาทเช่นกัน


“สหายสวี่เจียวคือผู้ดูแลตระกูลสวี่สินะ?” แววตาของหานลี่กวาดไปบนเรือนร่างของบุรุษสวมชุดสีขาว แล้วพลันเอ่ยถามอย่างราบเรียบ


“ขอรับ ท่านอาวุโส! ชนรุ่นหลังรับตำแหน่งผู้นำตระกูลสวี่มาพันปีแล้ว” บุรุษสวมชุดสีขาวตอบกลับอย่างซื่อสัตย์


“เช่นนั้นจุดประสงค์ที่ข้ามาในคราวนี้ สหายเชียนอวี่คงจะเอ่ยกับผู้นำตระกูลสวี่แล้วสินะ” หานลี่พยักหน้าพลางเอ่ยถาม


“บุตรสาวของข้าบอกแล้วขอรับ คาดไม่ถึงว่าท่านอาวุโสจะมาเพราะท่านบรรพชน ช่างทำให้ตระกูลสวี่ของพวกเราซาบซึ้งจริงๆ ทว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะพูดคุยกัน เชิญท่านอาวุโสตามชนรุ่นหลังเข้าไปคุยในเผ่าเถิด” บุรุษสวมชุดสีขาวเอ่ยอย่างเคารพและรอบคอบ


“ได้ นำทางเถอะ” หานลี่เองก็ไม่ได้ปฏิเสธอันใด พลันพยักหน้าทันที


ดังนั้นหานลี่จึงเก็บรถเหาะภายใต้การต้อนรับของหญิงสาวสวมชุดชาววังสองกลุ่ม แล้วร่อนลงจากกลางอากาศ


บุรุษสวมชุดสีขาวและชายร่างใหญ่ผู้นั้นพลันขนาบข้างอยู่ทั้งซ้ายและขวา


กลับเป็นสวี่เชียนอวี่ที่ล้าหลังอยู่ครึ่งก้าว ตามทั้งสามคนอยู่ด้านหลัง


เมื่อเข้าไปในเทือกเขาสวี่เจียวก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง แผ่นป้ายสีเขียวมรกตปรากฏขึ้นในมือ


ตวัดออกไปกลางอากาศไกลออกไป


กลางอากาศต่ำๆ ของเทือกเขาพลันมีระลอกที่คลื่นรุนแรงปรากฏขึ้น


เดิมที่มองเห็นยอดเขาสิบกว่าลูก พลันบิดเบี้ยวไปราวกับผิวน้ำ ทัศนียภาพเปลี่ยนแปลงไป


ยอดเขายังคงเป็นยอดเขาดังเดิม แต่จุดที่พวกมันอยู่กลับรางเลือน ไม่เหมือนกับเมื่อครู่


ยอดเขาสูงต่ำสิบกว่าลูกแทบจะทอดยาวไปสองสามลี้ ตั้งอยู่คนละตำแหน่งของยอดเขา


หากมีศัตรูใช้อิทธิฤทธิ์โจมตียอดเขาเหล่านี้ของตระกูลสวี่ คิดดูแล้วคงต้องโจมตีผิดพลาด ไม่อาจโจมตีสิ่งปลูกสร้างบนยอดเขาได้แน่


หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยว่า


“เขตอาคมลวงตา! คิดไม่ถึงว่าตระกูลสวี่จะวางเขตอาคมโบราณในตำนานได้”


“หึๆ ทำให้ท่านอาวุโสเห็นเรื่องขบขันแล้ว หมื่นปีก่อนตระกูลสวี่ของพวกเราเคยมีปรมาจารย์ด้านเขตอาคมที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง ทำงานหนักมาทั้งชีวิตถึงได้เลียนแบบเขตอาคมลวงตาโบราณได้เจ็ดแปดส่วน น่าเสียดายที่พลังยุทธ์ของคนผู้นี้ไม่สูงนัก มิเช่นนั้นหากอายุขัยยืนยาวสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะสร้างเขตอาคมโบราณนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่” สวี่เจียวเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา ดูเหมือนว่าจะภูมิใจในเขตอาคมคุ้มครองตระกูลสวี่ของตนเป็นอย่างมาก


“ไม่ผิด มีเขตอาคมนี้คอยคุ้มกัน ตระกูลสวี่ไม่มีทางสาบสูญไปแน่” หานลี่ฉีกยิ้มจางๆ และจะไม่เอ่ยอันใดอีก


สวี่เจียวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ กลับรู้สึกผิดหวังอยู่สองสามส่วน


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งได้มาเห็นเขตอาคมคุ้มกันตระกูลของตนอย่างหาได้ยาก แน่นอนว่าย่อมอยากให้อีกฝ่ายวิจารณ์สักหน่อย


“ท่านอาวุโส ท่านคิดว่าเขตอาคมนี้จะต้านทานการโจมตีของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ได้หรือไม่ขอรับ” ชายร่างใหญ่ที่ดูเหมือนว่าจะชื่อหลูหม่าง กลับเอ่ยถามด้วยเสียงอันดัง


“ระดับผสานอินทรีย์หรือ? หึๆ…” หานลี่มองชายร่างใหญ่แวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบคำถามตรงๆ กลับเผยท่าทีอมยิ้มออกมา


“ความหมายของใต้เท้าคือเขตอาคมนี้ไม่มีผลกับท่านอาวุโสระดับผสานอินทรีย์สินะขอรับ” บุรุษสวมชุดสีขาวเอ่ยถามอย่างลังเล


“มีผลหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้ แต่เขตอาคมนี้มีจุดอ่อนอยู่สองสามจุดจริงๆ คิดดูแล้วเป็นเพราะไม่อาจเติมเต็มเขตอาคมโบราณทั้งหมดได้ หากเป็นสหายที่มีความสามารถด้านเขตอาคมยอดแย่ยังพอว่า การทำลายเขตอาคมนี้ต้องเสียเวลาเล็กน้อย แต่หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่เชี่ยวชาญด้านเขตอาคม เกรงว่าเขตอาคมลวงตาที่ไม่สมบูรณ์ของเจ้าคงไม่อาจพึ่งพาอันใดได้” หลังจากที่หานลี่เงียบขรึมไปเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยอย่างราบเรียบ และชี้ไปที่จุดที่สร้างอาคมสองสามจุด


“ท่านอาวุโสมองข้อบกพร่องออก?” บุรุษสวมชุดสีขาวพลันตกตะลึง


สวี่เชียนอวี่และชายร่างใหญ่มองสบตากันแวบหนึ่ง ใบหน้าเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา


“ไม่มีอันใด ข้าเคยอ่านคัมภีร์เกี่ยวกับเขตอาคมนี้มาบ้างจึงดูออก แน่นอนว่าย่อมไม่มีค่าอันใด” หานลี่หยักมุมปาก ตอบกลับอย่างราบเรียบออกมา


คำนี้เขากลับไม่ตั้งใจจะต่อกรกับเจตนาของอีกฝ่าย


เขตอาคมลวงตาของเขตอาคมโบราณ แม้ว่าจะหายสาบสูญไปจากเผ่ามนุษย์เนิ่นนานแล้ว แต่ระหว่างทางที่เขากลับมาจากแผ่นดินใหญ่เทียนหยวน กลับพบตำราคัมภีร์โบราณของเผ่ามนุษย์ในย่านร้านค้าของเผ่าประหลาดต่างๆ


เพราะว่าคัมภีร์เหล่านี้ใช้ตัวอักษรโบราณของเผ่ามนุษย์ ประกอบกับตัวชนต่างเผ่าเองก็ไม่ให้ความสำคัญกับเขตอาคม ดังนั้นจึงถูกโยนอยู่ในร้านค้าเบ็ดเตล็ด ไม่มีผู้ใดสนใจ


และไม่รู้ว่าตอนแรกคัมภีร์โบราณเหล่านี้ถูกผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่ามนุษย์ในอดีตนำออกไปและเร่ร่อนอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่


แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่ปล่อยเรื่องดีๆ เช่นนี้ไป เสียเงินไปเพียงเล็กน้อยราวกับได้มาโดยให้เปล่า ซื้อคัมภีร์เขตอาคมโบราณเหล่านี้และนำมาเรียนรู้ระหว่างทาง


เรื่องเช่นนี้ยามที่หานลี่เดินทางผ่านชนต่างเผ่าต่างๆ ก็ได้พบอีกมากมาย ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจมากนัก


แต่ยามนี้แค่เห็นเขตอาคมป้องกันเผ่าของตระกูลสวี่ พอเทียบกับเขตอาคมสมบูรณ์แบบในคัมภีร์ ย่อมมองเห็นช่องโหว่ได้ในปราดเดียว


สวี่เจียวผู้นำตระกูลสวี่ผู้นี้ย่อมไม่รู้ว่ามีเรื่องซับซ้อนเช่นนี้ แต่เมื่อได้ยินหานลี่ดูเหมือนจะมีวิธีการวางเขตอาคมลวงตาที่สมบูรณ์แบบ ย่อมหน้าเปลี่ยนสีไปยกใหญ่


แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่า ‘ท่านอาวุโสหาน’ ผู้นี้ได้อ่านคัมภีร์เขตอาคมโบราณที่หายสาบสูญไปแล้วหลายปีมาจากไหน แต่หากมีจริงๆ ล่ะก็ จะไม่ได้หมายความว่าเขตอาคมคุ้มกันตระกูลของตระกูลสวี่เป็นแค่ของไร้ค่าในสายตาของอีกฝ่ายหรือ


และเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเอ่ยชี้จุดต่างๆ สองสามประโยค ซึ่งดูไม่เหมือนกับพูดจาส่งเดช


แม้ว่าใบหน้าของบุรุษสวมชุดสีขาวยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม แต่ยามนี้กลับเป็นรอยยิ้มที่ฝืนทนมาก


หานลี่กลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แค่บินไปด้านหน้าต่ออย่างไม่รีบร้อน


ภายใต้การนำทางของหญิงสาวสวมชุดชาววังสองกลุ่ม ในที่สุดกลุ่มของหานลี่ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าวิหารขนาดยักษ์ตรงใจกลางของเทือกเขา


ตรงนั้นมีชายชราเคราสีดอกเลาอีกสองคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันรออยู่


“ท่านอาวุโสหาน ข้าจะแนะนำท่านให้รู้จัก สองท่านนี้คือท่านปู่น้อยของชนรุ่นหลัง เดิมอยู่ในการกักตน ได้ยินว่าท่านอาวุโสมาเยือน จึงมาต้อนรับด้วยตัวเอง” สวี่เจียวก้าวไปข้างหน้าสองก้าว แล้วแนะนำชายชราทั้งสองให้หานลี่ได้รู้จัก


“ชนรุ่นหลังสวี่หั่วและสวี่เหยียนคารวะท่านอาวุโสหาน!” ชายชราสองคนนี้ไม่กล้าดูแคลน รีบร้อนคารวะพลางเอ่ยทักทายปราศรัย เป็นผู้มีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาขั้นต้น และระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง


พลังยุทธ์เช่นนี้มาปรากฏตัวในตระกูลเซียนธรรมดาๆ นับว่าน่าตกตะลึงมาก ถึงอย่างไรเสียตระกูลที่ค่อนข้างเล็กมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงคนหนึ่งนั่งบัญชาการอยู่ ก็นับว่ามีความสามารถแล้ว


ดูแล้วตระกูลสวี่ที่สวี่เชียนอวี่พูดถึงว่ามีชื่อเสียงมากในเขตเทียนหยวน น่าจะเป็นความจริง


“สหายทั้งสองไม่ต้องมากพิธี ผู้แซ่หานมาในครั้งนี้ก็เพราะได้รับไหว้วานมาเท่านั้น” หานลี่โบกมือ ค่อนข้างพอใจในผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงของตระกูลสวี่ทั้งสองคนเป็นอย่างมาก


ส่วนชายชราทั้งสองคนก็เอ่ยปากว่ามิกล้าเป็นพัลวัน พลางเชิญหานลี่เข้าไปในวิหารขนาดยักษ์


หลังจากที่แยกกันนั่งตรงตำแหน่งหลักและรองแล้ว ก็ให้หญิงสาวระดับฝึกปราณที่แต่งกายด้วยชุดหญิงรับใช้ ยกชาวิญญาณเข้ามาให้หานลี่และพวก


จากนั้นสวี่เจียวถึงได้เอ่ยปากอย่างจริงจัง


“เป็นเพราะเวลาก่อนหน้านี้บุตรสาวของข้าจึงได้แค่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับท่านอาวุโสให้ชนรุ่นหลังฟังแค่สองสามประโยคเท่านั้น ได้ยินว่าท่านอาวุโสมาที่นี่เพราะต้องมอบของสิ่งหนึ่งให้กับเซียนวิญญาณน้ำแข็งหรือไม่ก็ทายาทสายตรงของนาง ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่?”


“ใช่แล้ว ผู้แซ่หานเคยได้รับน้ำใจมาไม่น้อย ถึงได้ตอบรับว่าจะวิ่งมาที่นี่ ทว่าได้ยินว่าสหายเชียนอวี่บอกว่าชนรุ่นหลังของเซียนวิญญาณน้ำแข็งไม่ได้มีแค่ตระกูลสวี่ ดังนั้นจึงต้องให้สหายพิสูจน์สักหน่อย ผู้แซ่หานถึงจะมอบของให้ได้” หานลี่เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา


“พิสูจน์? ท่านอาวุโสคิดจะพิสูจน์อย่างไร ตระกูลสวี่ของพวกเราสืบทอดเชื้อสายมาจากท่านบรรพชน ตระกูลอื่นที่อยู่ในละแวกนี้น่าจะรู้กันหมด” ชายชรานามว่าสวี่หั่วกระแอมเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างลำบากใจ


“มันคงไม่ยากกระมัง ตัวอย่างเช่นพูดถึงเคล็ดวิชาที่สหายวิญญาณน้ำแข็งฝึกฝนในตอนนั้น หรือไม่ก็ของที่นางพกติดตัวที่ตกทอดมา ล้วนสามารถพิสูจน์ฐานะของตระกูลสวี่ได้” หานลี่แววตาเปล่งประกาย พลางเอ่ยอย่างราบเรียบ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)