ลำนำบุปผาพิษ 1764-1767

 บทที่ 1764 พบหน้า


หลงโม่เหยียนผู้นี้เป็นจอมเจ้าเล่ห์ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตี้ฝูอีแล้วลูกไม้เหล่านี้ของเขากลับไม่ควรค่าให้มองเลยด้วยซ้ำ! ชั่วชีวิตนี้ตี้ฝูอีพบเจอผู้คนมาไม่รู้เท่าใดแล้ว ประสบเรื่องราวมาสักเท่าใด ส่วนใหญ่เขามองคนแวบเดียวคลุกคลีด้วยเล็กน้อยก็เข้าใจคนผู้นั้นได้แปดเก้าส่วนแล้ว น้อยยิ่งนักที่จะมองพลาด


การเล่นลูกไม้ต่อหน้าเขานับเป็นการควงง้าวต่อหน้ากวนอูอย่างมิต้องสงสัยเลย ถูกเขามองทะลุปรุโปร่งได้ในแวบเดียว


ดุเหมือนเขาจะเดินทอดน่องเอ้อระเหย ทว่าความจริงแล้วว่องไวยิ่งนัก เข้าใกล้บริเวณกระท่อมได้แทบจะในชั่วพริบตา จากนั้นเขาก็พบเขตแดนนั้นเข้า…


หลงโม่เหยียนใช้พลังยุทธ์ทั้งหมดออกมา ไม่ง่ายเลยกว่าจะหลบหลีกระลอกการโจมตีของค่ายกลกระบี่นั้นได้ อดไม่ได้ที่จะมองไปทางตี้ฝูอี อยากเห็นว่าในดวงตาเขามีแววชื่นชมบ้างหรือไม่ ผลคือตัวคนไม่อยู่ที่เดิมแล้ว…


จึงกวาดตามองอีกครั้งตามสัญชาตญาณ ในสมองพลันเกิดเสียงดังตูม!


ตี้ฝูอียืนอยู่หน้าเขตแดน กำลังใช้มือสัมผัสเขตแดนนั้นอยู่…


หัวใจเขาพลันระส่ำระส่าย เสียสมาธิไปชั่วขณะ ถูกกระบี่น้อยเล่มหนึ่งฟันเข้าที่ไหล่


กระบี่น้อยเล่มนั้นไม่ได้ทำให้เขาเสียเลือดมากนัก แต่กลับเจ็บปวดอย่างน่าประหลาดยิ่งนัก เจ็บปวดยิ่งกว่าถูกตัวต่อต่อยเสียอีก! เจ็บจนเขาสั่นสะท้าน เสียไปสมาธิไปอีกเล้กน้อย จึงถูกฟันเข้าที่ขาอีกครั้ง


“หากถูกฟันจนครบห้าครั้ง เจ้าจะบวมฉุจนมีขนาดเท่าคนสองคน พลังยุทธ์ทั้งร่างจะสลายไปครึ่งหนึ่ง” น้ำเสียงตี้ฝูอีแว่วลอยมา ไม่ร้อนรนไม่เชื่องช้า “อย่าหาว่าเปิ่นจุนไม่เตือนเจ้าแล้วกัน”


หลงโม่เหยียนตกตะลึง!


เขามองเห็นแสงสีรุ้งผุดออกมาจากปลายนิ้วตี้ฝูอี ชัดเจนยิ่งนักว่าอีกฝ่ายเตรียมจะทำลายเขตแดนของเขาแล้ว


หัวใจเขาทั้งกระสับกระส่ายทั้งร้อนรน ทางหนึ่งก็โฉบซ้ายป่ายขวาอยู่ในค่ายกลกระบี่ ทางหนึ่งก็ร้องตะโกนไปด้วย “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เขตแดนนั้นไม่อาจทำลายได้!”


“เพราะเหตุใด?” ตี้ฝูอีถาม


หลงโม่เหยียนเหินทะยานปัดป้องการโจมตีอยู่ในค่ายกลกระบี่ตอบไปว่า “เล่าแล้วยาวนัก รอโม่เหยียนทำลายค่ายกลกระบี่นี้ได้แล้วจะบอกกล่าวแก่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ หวังว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่ทำลายเขตแดนนั้นเสียก่อน!” หลงโม่เหยียนตัดสินใจจะยื้อเวลาไว้


ตี้ฝูอียิ้มแล้ว!


คิดจะใช้วิธีนี้มาถ่วงเวลารึ?


“หลงโม่เหยียน สิ่งที่เปิ่นจุนต้องการจะทดสอบคืออุปนิสัยของเจ้า! หากเจ้าไม่มีมารในใจ ไยต้องทำให้ที่พำนักลึกลับถึงเพียงนี้ด้วยเล่า? หรือว่าเจ้าจะกระทำเรื่องที่สวรรค์ขุ่นมนุษย์เคืองอันใดไว้ที่นี่แล้วเกรงว่าจะถูกคนทราบความเข้า? เมื่อเป็นเช่นนี้ เปิ่นจุนยิ่งต้องตรวจสอบดูให้กระจ่าง!”


หลงโม่เหยียนหน้าเปลี่ยนสีทันที ถึงแม้เขาจะมั่นใจในเขตแดนนี้ของตนยิ่งนัก แต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป ผู้ใดจะทราบได้เล่าว่าเขาจำทำลายได้ง่ายๆ เช่นพลิกฝ่ามือหรือไม่?!


หลงโม่เหยียนร้อนใจ ไม่สนใจการไล่ล่าของค่ายกระบี่แล้ว ฝืนพุ่งฝ่าออกมา “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ช้าก่อ…”


เอ่ยประโยคยังไม่ทันจบดี ลำแสงสีรุ้งสายหนึ่งของตี้ฝูอีก็กระทบลงบนเขตแดนแล้ว!


เขตแดนนั้นสั่นสะเทือนทันที ดีดสะท้อนรัศมีแสงห้าสีออกมา ดีดกลับไปหาตี้ฝูอี…


ตี้ฝูอีหรี่ตาลงนิดๆ คาดไม่ถึงว่าเขตแดนนี้จะร้ายกาจถึงเพียงนี้ สะท้อนการโจมตีได้จริงๆ เขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ลำแสงสีรุ้งดั่งสายรุ้ง เข้าปะทะกับลำแสงห้าสีสายหนึ่ง บดขยี้ลำแสงห้าสีสายนั้นตรงๆ!


“เทพศักดิ์สิทธิ์ นี่คือเขตแดนเงารุ้งของดินแดนเบื้องบน หากบุ่มบ่ามทำลายจะทำให้คนบาดเจ็บได้ง่ายๆ…เทพศักดิ์สิทธิ์ยั้งมือเถิด…”


หลงโม่เหยียนพุ่งเข้ามาโดยที่มีค่ายกระบี่โอบล้อมอยู่รอบกาย


เขาฝืนพุ่งเข้ามาเช่นนี้ย่อมไม่มีผลดีต่อการทำลายค่ายกลของเขา บนร่างมีบาดแผลเพิ่มขึ้นอีกรอยหนึ่งแล้ว


“ที่แท้เจ้าก็หวังดีต่อเปิ่นจุนหรือนี่?” ตี้ฝูอีเอ่ยประโยคหนึ่งด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม แล้วหยุดมือ


“น…แน่นอน โม่เหยียนเหรงว่าเขตแดนนี้จะพลั้งทำร้ายท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เข้า” หลงโม่เหยียนที่อยู่ระหว่างต่อสู้ฝืนกล่าวชี้แจง


“เช่นนั้นเปิ่นจุนจะถามเจ้าอีกประโยคแล้วกัน ในเขตแดนนี้ซ่อนอะไรไว้?”


“ไม่…ไม่มีอะไร เป้นเพียงข้าวของส่วนตัวบางส่วนของโม่เหยียน ไม่ควรค่าให้ผู้อื่นได้พบเห็น…”


ตี้ฝูอีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ดวงตาหยีโค้งเล็กน้อย “งั้นหรือ?”


———————————————————————-


บทที่ 1765 พบหน้า 2


ถึงแม้เขาจะไม่ทราบว่าสรุปแล้วหลงโม่เหยียนซ่อนอะไรไว้ แต่ในใจของอีกฝ่ายมีภูตผีอยู่จริงๆ!


ยามปกติหลงโม่เหยียนเป็นคนรอบคอบ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ต่อให้เขาฝึกฝนวิชามารอันใดหรือซ่อนเร้นวัตถุมารอะไรไว้ ก็ไม่น่าจะเก็บซ่อนไว้ในที่พักของตน


ในเมื่อคำนวณไว้แล้วว่าเขาจะมา ก็ยิ่งไม่น่าจะซ่อนเล่ห์กลมหันต์ไว้ในที่พำนักตนสิ


นอกเสียจากว่าสิ่งที่เขาซ่อนเร้นไว้จะถูกเขาหลอกล่อมายังที่พำนัก จากนั้นก็เกิดปัญหายุ่งยากกะทันหัน จะย้ายออกไปก็ไม่ทันกาลแล้ว


หวั่นเกรงว่าเทพศักดิ์สิทธิ์จะเห็นถึงเพียงนี้…


เป็นสิ่งใดกันนะ?


ตี้ฝูอีชำนาญการวิเคราะห์จิตใจผู้อื่น แต่ก็เดาไม่ออกชั่วคราวว่าหลงโม่เหยียนซ่อนอะไรไว้ที่นี่กันแน่


ในเมื่อทราบว่าอีกฝ่ายมีลูกไม้ ตี้ฝูอีย่อมไม่ปล่อยผ่าน เขาคร้านเกินกว่าจะทดลองไปทีอย่างๆ จึงจรดนิ้วร่ายวิชาทำลายเขตแดนที่ทรงพลังที่สุดออกมา ลำแสงเจ็ดสีดุจแสงอรุโณทัยกำลังจะพุ่งเข้าโจมตีเขตแดนนั้น!


เกิดเสียง ‘ปัง!’ ดังกึกก้องขึ้น เขตแดนนั้นพังทลายลงเอง!


เงาสีเขียวดั่งกระแสไฟฟ้าสายหนึ่งพุ่งพรวดออกมาจากด้านใน! โผเข้าใส่ร่างของตี้ฝูอี


สายตาของตี้ฝูอีนับว่าเฉียบไวยิ่งนัก แต่อีกฝ่ายรวดเร็วเกินไปจริงๆ เขาจึงเห็นไม่ชัดไปชั่วขณะว่าสรุปแล้วอีกฝ่ายคืออันใดกันแน่


เมื่อเห็นว่ากำลังจะโถมเข้าใส่ร่างเขา เขาจึงคิดจะซัดฝ่ามือออกไปตามสัญชาตญาณ จู่ๆ คล้ายว่าสัมผัสถึงอะไรได้ ฝ่ามือนี้จึงหยุดชะงักไปอีกครั้ง


ส่วนอีกฝ่ายในวินาทีที่กำลังจะชนใส่เขา ก็ซัดฝ่ามือออกมาเช่นกัน…


ทว่าเมื่อได้เห็นอาภรณ์ขาวที่เจิดจ้าแยงตาก็ชักกลับไปในทันใดเช่นกัน


พลังที่เธอชักกลับไปรุนแรงมาก ย่อมไม่อาจควบคุมร่างกายของตนได้ ศีรษะทิ่มเข้าสู่อ้อมอกของอีกฝ่าย!


ความเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่องกันนี้รวดเร็วเกินไป เร็วจนทั้งสองฝ่ายต่างก็มองเห็นไม่ชัดจริงๆ ว่าคือสิ่งใด


แต่วินาทีที่เข้าใกล้อีกฝ่าย ทั้งสองล้วนรู้สึกได้ตามสัญชาตญาณ ต่างยั้งมือไปในเวลาเดียวกัน


เมื่อเรือนกายอรชรอ่อนนุ่มเข้าสู่อ้อมแขน กลิ่นหอมของดรุณีที่คุ้นเคยก็โชยเข้าสู่จมูก ตี้ฝูอีตัวแข็งทื่อไปทันที! หัวใจพลันเต้นรัวดั่งฟ้าคำรามในทันใด!


เด็กสาวที่อยู่ในอ้อมแขนย่อมเป็นกู้ซีจิ่วที่ทำลายเขตแดนแล้วหนีออกมา เธอก็ตะลึงงันไปชั่วขณะเช่นกัน สองแขนทาบอยู่บนแผงอกเขา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น


สายตาสองคู่ประสานกัน!


ทั้งสองต่างทึ่มทื่อไปครู่หนึ่งพร้อมกัน!


แววตาตี้ฝูอีเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ แทบสงสัยแล้วว่าตนกำลังอยู่ในฝันร้ายอันใด


ซีจิ่ว ในอ้อมแขนเขาคือกู้ซีจิ่ว!


คนที่เขาเฝ้าคะนึงหา ทว่าก็เป็นคนที่มั่นใจว่าคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว


นางดูทุลักทุเลอยู่บ้าง เหงื่อเปียกชุ่มอาภรณ์ เส้นผมก็แนบลู่ติดแก้มอยู่สามสี่เส้น มองออกเลยว่านางเพิ่งจะทุ่มเทอย่างสุดชีวิตยิ่งมา…


ตี้ฝูอีที่สุขุมเยือกเย็นขนาดที่ว่าภูเขาไท่ซานถล่มอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่กะพริบตาเลยเสมอมาพลันโง่งมไปทันที!


ไม่ว่าเขาจะคาดคิดอย่างไร ก็คิดไม่ถึงเลยว่ากู้ซีจิ่วจะอยู่ที่นี่ จะโผล่ออกมาในสภาพเช่นนี้!


ร่างกายของเขาแข็งทื่อ สองแขนก็แข็งทื่อแนบติดร่าง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ


กู้ซีจิ่วกลับดีหน่อย ถึงอย่างไรเธอก็ทราบอยู่แล้วว่าตี้ฝูอีจะมาหาหลงโม่เหยียน…


เธอแต่เธอก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเพิ่งจะทำลายเขตแดนออกมาก็ได้พบเขาเลย และยิ่งนึกไม่ถึงเลยว่าการโผครั้งนี้จะโผเข้าใส่อ้อมอกของเขา


กลิ่นหอมเย็นที่คุ้นเคย กลิ่นอายที่คุ้นเคย ทุกอย่างที่คุ้นเคยทำให้เธอใจสั่น!


ความคิดถึงอย่างอันบ้าคลั่งที่พลุงพล่านอยู่ในทรวงมาหลายวัน ยามนี้ในที่สุดก็พบหนทางระบายออกแล้ว ความคับข้องหมองใจที่ไม่อาจกล่าวได้กระจ่างก็เอ่อท้นจากทรวงอกมาถึงลำคอในทันใด เอ่อท้นขึ้นสู่ดวงตา…


จมูกเธอพลันแสบเคือง ตาแดงแล้ว


ยังไม่ทันได้คิดว่าจะทำอย่างไรดี มือของเธอก็กุมสาบเสื้อของเขาเอาไว้โดยอัตโนมัติแล้ว “ตี้ฝูอี…” เธอเรียกชื่อเขา นึกอยากพูดอะไร แต่ลำคอเสมือนมีไข่เป็ดฟองหนึ่งอุดอยู่ เธอพูดไม่ออกเลยสักคำ!


ยามที่เธอพุ่งออกมายังเปี่ยมด้วยไอสังหารอยู่เลย…


บทที่ 1766 พบหน้า 3


ยามที่เธอพุ่งออกมายังเปี่ยมด้วยไอสังหารอยู่เลย มีใจหมายจะฉีกทึ้งหลงโม่เหยียนทั้งเป็นเยี่ยงนักรบหญิงคนหนึ่ง


แต่ยามนี้เมื่อมุดเข้าสู่อ้อมอกของตี้ฝูอี เธอทั้งปีติยินดีทั้งคับข้องใจ รู้สึกว่าในทรวงคล้ายมีความรู้สึกบางอย่างกำลังจะระเบิดออกมา


อยากจะผลักเขาออกอย่างดุดัน แต่ก็อยากกอดเขาไว้แน่นๆ…


ความรู้สึกอันรุนแรงสารพัดซัดถาโถมอยู่ในทรวงอกเธอ ทำให้เธอไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยาอย่างไรดีถึงจะถูก


เพียงขยุ้มสาบเสื้อของเขาไว้ตามสัญชาตญาณ ยึดเอาไว้แน่น ออกแรงจนนิ้วขาวซีดแล้ว


เธอเงยหน้ามองเขา สายตาทั้งสองคนประสานกัน เธอกะพริบตาเล็กน้อย รู้สึกจิตตกอยู่บ้าง..


สองแขนของตี้ฝูอีแข็งทื่อแนบลำตัวอยู่ตลอด เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้กอดเธอไว้…


เธอเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มคราหนึ่ง รู้สึกว่าตนคล้ายจะไม่สงวนท่าที จึงถอยหลังไปเล็กน้อย คิดจะผละจากเขา แต่ก็หักใจไม่ลงอยู่บ้าง


หลังจากละล้าละลังไปชั่วขณะ ในที่สุดสติของตี้ฝูอีก็กลับมาแล้ว…


เพียงแต่เขายังคงไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง ปฏิกิริยาแรกคือนี่เป็นร่างโคลนนิ่งของซีจิ่วที่หลงโม่เหยียนซ่อนไว้ที่นี่หรือเปล่า?


ด้วยเหตุนี้หลงโม่เหยียนจึงทำสารพัดวิธีเพื่อไม่ให้เขาได้เห็น…


ถึงแม้จะเป็นร่างโคลนนิ่งที่เหมือนกู้ซีจิ่ว แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่นาง ตี้ฝูอียังคงไม่คิดจะโอบกอดอีกฝ่าย


เมื่อปฏิกิริยาตอบสนองของเขากลับมา สิ่งแรกที่ต้องการทำคือผลักนางออกไป


อ้อมกอดของเขามีเพียงนางเท่านั้นที่ครอบครองได้ คนอื่นแค่คิดก็อย่าได้หมาย!


แต่คนในอ้อมกอดเขาตัวเป็นๆ กรุ่นกลิ่นหอม ร้องไห้เป็นโกรธเป็นทำลายเขตแดนเป็น ยามนี้ดึงสาบเสื้อเขาเอาไว้ ดวงหน้าเฉิดฉันคล้ายว่าทั้งปีติยินดีทั้งคับข้องหมองใจ นัยน์ตาคู่นั้นจ้องเขาเขม็ง น้ำตาคลอเบ้า…


นี่คือนางชัดๆ!


เป็นนางอย่างแน่นอน!


แต่เขาเพิ่งฝังสังขารของนางไปก่อนหน้านี้แล้วชัดๆ อีกทั้งยามนี้นางน่าจะยังคืนชีพไม่ได้…


ตี้ฝูอีสับสนขึ้นมาชั่วขณะ แน่นอนว่าความสับสนของเขาเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น เขาจดจำได้ทันทีว่าใช่นางจริงๆ!


ถึงแม้นางจะปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผลยิ่ง แต่เขาก็มั่นใจมาก นี่คือนาง! ผู้ใดก็สวมรอยไม่ได้…


ซีจิ่วของเขา…


“ซีจิ่ว!” เขาเรียกนางด้วยเสียงแหบพร่า ขณะที่ร่างนางกำลังจะถอยห่างจากอ้อมอกของเขา ในที่สุดเขาก็กอดนาง สองแขนโอบรัดเอวนางไว้ คล้ายกำลังสัมผัสว่านางมีตัวตนจริงๆ “ซีจิ่ว? ซีจิ่ว…”


อ้อมแขนของเขารัดเธอไว้แน่น โอบรัดจนเธอเจ็บบั้นเอวอยู่บ้าง ร่างกายของเขาถึงขั้นที่สั่นสะท้านเล็กน้อย หัวใจที่อยู่ในทรวงอกเต้นกระหน่ำดั่งรัวกลอง!


กู้ซีจิ่วเอียงศีรษะซบอกเขา ฟังเสียงหัวใจที่ถี่รัวของเขา สงบใจได้ทันที


เธอชอบฟังเสียงหัวใจเขาเต้นกระหน่ำ! เขาโอบรัดเธอยิ่งรัดแน่นเท่าไหร่ยิ่งเจ็บปวดเท่าไหร่เธอก็ยิ่งชอบมากเท่านั้น!


ถ้อยคำนับไม่ถ้วนซัดตลบอยู่ในใจเธอ แต่หลังจากถ้อยคำนับหมื่นนับพันซัดสาดไปมาอยู่ในสมอง เธอก็กระชากสาบเสื้อของเขาอย่างดุดัน ตะโกนออกมาเพียงประโยคหนึ่ง “ตี้ฝูอี เจ้า…เจ้า…เจ้าคนสารเลว!”


บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดกล้าด่าตี้ฝูอีว่าสารเลวมาก่อน แต่หลังจากได้ยินนางร้องด่า ตี้ฝูอีกลับรู้สึกว่าไพเราะเสนาะหูยิ่งกว่าเสียงดนตรีอันเลิศล้ำใดๆ บนโลกนี้


เขาคลี่ยิ้ม “ใช่ ข้ามันสารเลว…”


มุมปากเขาหยักยิ้ม ทว่าน้ำตากลับเอ่อคลอ น้ำเสียงสั่นพร่านิดๆ เผยให้เห็นอารมณ์รุนแรงของเขา “ซีจิ่ว! ไม่นึกเลยว่า…”


ไม่นึกเลยว่าจะได้พบเจ้าอีก ไม่นึกเลยว่าจะได้กอดเจ้าอีก ได้สัมผัสถึงตัวเจ้าอย่างแท้จริง…


พวกเขาสองคนโอบกอดกัน ผู้ใดก็หักใจปล่อยมือไม่ลง


กู้ซีจิ่วดีร้ายอย่างไรก็ได้รับผลกระทบไม่มากนัก สมองเธอยังคงปลอดโปร่งอยู่บ้าง ปลายหางตาเหลือบเห็นหลงโม่เหยียนแล้ว…


เนื่องจากตี้ฝูอีไม่ได้ควบคุมค่ายกลกระบี่ต่อ ในที่สุดหลงโม่เหยียนจึงหลุดพ้นแล้ว ยามนี้เขายืนมองเธอกับตี้ฝูอีด้วยสีหน้าซีดเผือด ถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ…


หลงโม่เหยียนยังคงเป็นบุคคลที่ปราดเปรื่องยิ่งนักโดยแท้…


—————————————————


บทที่ 1767 พบหน้า 4


หลงโม่เหยียนยังคงเป็นบุคคลที่ปราดเปรื่องยิ่งนักโดยแท้ เขาตะลึงเล็กน้อยที่กู้ซีจิ่วทำลายเขตแดนของเขาได้รวดเร็วขนาดนี้ และรู้ว่าตัวเองไร้ซึ่งความหวังแล้ว! ยามนี้ไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ต่อได้


ดังนั้นหลังจากหลุดพ้นจากค่ายกลกระบี่ เขาก็ไม่สนใจบาดแผลบนร่างกายที่เจ็บปวดประหนึ่งถูกแมงป่องกัดต่อย ถอยหลังไปสองก้าวก็หันกายพลันคิดจะเหินทะยานจากไป…


กู้ซีจิ่วไม่ต้องการปล่อยเขาไปดื้อๆ เช่นนี้!


“หลงโม่เหยียน อย่าเพิ่งไป!”


เธอปล่อยสาบเสื้อของตี้ฝูอี ชักกระบี่ออกมา “เล่นเล่ห์กับข้าอย่างไร้เหตุผลแล้วคิดจะหนีไปงั้นรึ? ไม่มีวัน!”


นางกำลังจะกระโจนเข้าไปโจมตี ตี้ฝูอียื่นมือมาหยุดยั้งนาง “ซีจิ่ว เจ้าพักเถิด ข้าจัดการเอง!”


หลังจากดึงนางมาไว้เบื้องหลังโดยไม่ฟังคำอธิบายใดๆ กระบี่ล้ำค่าพลันปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือ นั่นคือกระบี่ที่เปล่งประกายเจิดจรัสเล่มหนึ่ง ทันทีที่ปรากฏขึ้นก็มีลมพายุฟ้าคะนอง


กู้ซีจิ่วก็ไม่ได้ยื้อแย่งกับเขา ยืนอยู่ด้านหลังเขาอย่างเชื่อฟัง “เขาเล่นเล่ห์กับข้า กักขังข้า ฝูอี แก้แค้นแทนข้าด้วย!”


“อืม วางใจเถิด เจ้าไปรอข้าอย่างเชื่อฟังเถิด” ตี้ฝูอีลูบไล้เส้นผมนาง กระบี่ล้ำค่าในฝ่ามือเจิดจ้าแยงตายิ่งขึ้น


กู้ซีจิ่วหันกายหาศิลาก้อนหนึ่งแล้วลงนั่ง ลักษณะเหมือนรับชมการต่อสู้


เธอแทบจะใช้พลังวิญญาณทั้งหมดในการทำลายเขตแดนนั้น ยามนี้จึงเหนื่อยล้าอยู่บ้างจริงๆ หยาดเหงื่อยังคงไหลย้อยอยู่บนหน้าผากเลย!


ในเมื่อมีตี้ฝูอีอยู่ทั้งคน เธอก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเองแล้ว…


สีหน้าหลงโม่เหยียนแปรเปลี่ยน ตอนนี้เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตี้ฝูอี เมื่อสักครู่ก็ยังบาดเจ็บอีก…


เขาถอยหลังติดต่อกันหลายก้าว “เทพศักดิ์สิทธิ์ ข้ากักขังนางมิได้มีเจตนาร้าย เพียงทำตามวิถีสวรรค์ เดิมทีนางไม่ควรฟื้นคืนชีพมาในเวลานี้ แต่นางฝืนลิขิตสวรรค์…โม่เหยียนเกรงว่านางบุกออกไปมั่วซั่วจะทำให้สวรรค์ขุ่นเคือง ดังนั้นจึงคิดให้นางรั้งอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว และคิดจะให้นางพักผ่อนกายา ต่อไปเมื่อท่านดับขันธ์นางจะได้รับช่วงตำแหน่งเทพศักดิ์สิทธิ์…”


ตี้ฝูอีชะงักงันเล็กน้อย จากถ้อยคำไม่กี่ประโยคของโม่เหยียน เขาคาดการณ์ได้ว่ากู้ซีจิ่วรู้ความจริงแล้ว…


เขาอดไม่ได้ที่จะมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง ดวงหน้าน้อยๆ ของนางยังคงซีดขาว ทว่าสายตาคู่นั้นกลับเป็นประกายและเฉียบคมอย่างหาที่เปรียบมิได้


เธอหยามหยันคำอธิบายของหลงโม่เหยียน กล่าวอย่างเรียบเฉย “หลงโม่เหยียน เจ้าแค่กลัวว่าข้าจะออกมาเจอเขาก่อนกำหนด ทำให้ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างเจ้ากลายเป็นผู้เก่งกาจที่ขาดแหล่งสำแดงกำลังเท่านั้น อีกทั้งเจ้ายังวางยาพิษข้าอีก! เคราะห์ดีที่ข้ารีดพิษออกจากร่างกายได้ทันท่วงที มิเช่นนั้นคงดำเนินไปตามแผนการของเจ้าจริงๆ ไม่แน่พลังวิญญาณทั้งหมดอาจสูญสิ้นไปเลยก็ได้…”


หลงโม่เหยียนเอ่ย “…ยาพิษนั้นของข้า…ไม่มีทางเป็นอันตรายต่อเจ้าจริงๆ ไม่ถึงแก่ชีวิต ข้าแค่อยากให้เจ้ารออยู่ด้านในอย่างเชื่อฟัง…”


คำแก้ต่างของเขายังไม่จบ เสียงลมพายุพลันดังขึ้น ลำแสงแวววับดุจสายฟ้าเปล่งประกายรอบด้าน ค่ายกลกระบี่ประหนึ่งภูเขากระบี่ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา ปกคลุมเขาอยู่เบื้องล่างบดบังท้องนภา


อีกทั้งยังมีสุ้มเสียงเรียบเฉยทว่าเยือกเย็นของตี้ฝูอีตามมาพร้อมกับค่ายกลกระบี่ “หลงโม่เหยียน ลอบทำร้ายว่าที่เทพศักดิ์สิทธิ์คนใหม่มีโทษประหารชีวิต! เป็นบุรุษพูดจาไร้สาระให้น้อยหน่อย หากเจ้าหลุดพ้นค่ายกลกระบี่นี้ออกไปได้ เปิ่นจุนก็จะปล่อยเจ้าไป”


ค่ายกลกระบี่ที่ตี้ฝูอีสร้างขึ้นครั้งนี้แตกต่างจากค่ายกลเมื่อสักครู่อย่างเห็นได้ชัด


ค่ายกลเมื่อสักครู่นั่นมีจุดประสงค์เพื่อทดสอบ ไม่มีทางถึงแก่ชีวิตของเขา อย่างมากก็ทำให้เขาทนทุกข์ทรมานสักหน่อย


ทว่าค่ายกลในตอนนี้กลับแฝงด้วยจิตสังหารอย่างแท้จริง! ลำแสงกระบี่แต่ละสายเปรียบเสมือนอสนีบาตที่แยกยอดเขาออกจากกันได้ พุ่งลงไปตรงหน้าของหลงโม่เหยียน


หากบอกว่าหลงโม่เหยียนหลุดพ้นค่ายกลเมื่อสักครู่ไปได้ด้วยความเพียรพยายาม เช่นนั้นก็ไม่อาจหลุดพ้นค่ายกลกระบี่ในตอนนี้ด้วยความเพียรพยายามแล้ว…


หลงโม่เหยียนตกตะลึงพรึงเพริด!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)