คัมภีร์วิถีเซียน 1763-1764

 ตอนที่ 1763 ภิกษุจินเย่ว์

 

“เช่นนั้นเมล็ดพันธุ์ในมือของน้องหญิง ก็อาจจะไม่มีทางเข้าตาของสหายแล้ว ทว่าข้าเองก็ไม่อาจรั้งรออยู่ที่เมืองเทวะสวรรค์ได้นานนัก แลกสมุนไพรวิญญาณหมื่นปีได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นก็แล้วกัน” สีหน้าตื่นเต้นดีใจของหญิงสาวเผ่าปีศาจลดลง แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ขณะเอ่ย


“เซียนไม่จำเป็นต้องเศร้าใจไป ข้าไม่ได้บอกว่าครั้งนี้จะแลกแค่เมล็ดพันธุ์ หากสหายช่วยข้ารวบรวมวัตถุดิบได้ล่ะก็ ผู้แซ่ยอมใช้สมุนไพรวิญญาณหมื่นปีแลกเปลี่ยน” หานลี่กลับหัวเราะร่าออกมา


“วัตถุดิบ?”


“ไม่ผิด ข้ามีใบรายการอยู่ เซียนลองดูสิว่าเผ่าปีศาจของพวกเจ้าจะหาได้เท่าไหร่” หานลี่เอ่ยไปพลางสะบัดแขนเสื้อ คัมภีร์สีขาวม้วนหนึ่งบินออกมา


ฝ่ามือสีขาวบริสุทธิ์ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากไอสีดำ แล้วคว้าคัมภีร์ไว้ในมือ


“เอ๋ วัตถุดิบเหล่านี้มีกระดูกวิญญาณ แก่นดวงจิตของเผ่าปีศาจไม่น้อย สหายยังกล้าเขียนเอาไว้อีกหรือ หรือว่าเจ้าคิดจะหลอมยุทธภัณฑ์อันใด” หญิงสาวเผ่าปีศาจแค่ใช้จิตสัมผัสกวาดไปสองแวบ ก็ร้องอุทานออกมาเบาๆ


“ผู้แซ่หานอยากหลอมสมบัติสองสามชิ้นจริงๆ ส่วนกระดูกวิญญาณและแก่นดวงจิตจะมีค่าอันใด เผ่าปีศาจอย่างพวกเจ้าเองก็มักจะทำเรื่องเช่นนี้กันมิใช่หรือ” หานลี่ตอบราบเรียบ


“หึ นั่นมันก็ใช่ ถึงแม้จะเป็นเผ่าปีศาจของพวกเราก็ต้องใช้กระดูกวิญญาณและแก่นดวงจิตหลอมสิ่งของที่ใช้ก็เป็นวัตถุดิบของเผ่าอื่น ต่อให้คนของเผ่าเราจะดีแค่ไหน ก็ไม่มีทางใช้ เผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าก็ทำเช่นนี้ ละเมิดกฎข้อห้ามของเผ่าปีศาจของพวกเราไปไม่น้อย” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับแค่นเสียงอย่างเย็นชา


“ข้าว่าเซียนคงไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก มิเช่นนั้นคงไม่เอ่ยเช่นนี้ออกมา” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา คล้ายกับว่าจะไม่ใส่ใจ


หญิงสาวในไอสีดำได้ยิน หลังจากนั้นก็ลังเลเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้าว่า


“ขอแค่ไม่ใช้วัตถุดิบจากเผ่าข้า ข้าก็ไม่สนใจเรื่องนี้ แต่ของในรายการของเจ้า ก็หายากในเผ่าปีศาจของพวกเรา ข้าทำได้เพียงช่วยเจ้ารวบรวมได้ครึ่งหนึ่งเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นราคายังสูงลิบด้วย”


“ไม่เป็นไร! ขอแค่สิ่งของเหมาะสม สมุนไพรหมื่นปี ข้าไม่มีทางทำให้เซียนเสียเปรียบแน่” หานลี่มีสีหน้ายินดี แล้วตอบกลับอย่างอารมณ์ดี


“ตกลง มีคำพูดนี้ของสหายก็พอแล้ว แต่ของเหล่านี้ ข้าไม่สะดวกที่จะนำแลกเปลี่ยนกับเจ้าที่เมืองเทวะสวรรค์ หากสหายมีใจก็มาแลกเปลี่ยนกันที่งานหมื่นสมบัติอีกสองสามปีเถิด นั่นคืองานแลกเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจที่จะจัดขึ้นพันปีครั้ง การจัดงานครั้งนี้ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว จะจัดขึ้นที่ภูเขาเก้าเซียนซึ่งอยู่ตรงเขตแดนระหว่างเขตเสวียนอู่และแดนจิ้งจอกสวรรค์” หญิงสาวชุดดำเอ่ย


“งานหมื่นสมบัติ! อืม เคยได้ยินมาบ้าง ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็คงต้องไปแล้ว” หานลี่ครุ่นคิดแล้วจึงได้พยักหน้า


“เยี่ยม ในเมื่อกล่าวเช่นนี้ น้องหญิงก็จะเอาสมุนไพรและเมล็ดออกมาก่อนให้สหายดูว่าเข้าตาอันไหน จากนั้นค่อยแลกเปลี่ยนกัน เมื่อถึงงานหมื่นสมบัติ จะได้แยกแยะอีกฝ่ายได้ง่ายๆ” หญิงสาวเผ่าปีศาจฉีกยิ้มกว้าง น้ำเสียงรื่นหูน่าฟัง คาดไม่ถึงว่าจะแฝงไว้ด้วยความเย้ายวนใจ


หานลี่ไม่ได้มีเจตนาอื่น จึงเอ่ยรับปาก


……


หนึ่งมื้ออาหารต่อมาหานลี่เดินออกมาจากวิหาร ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มบางๆ


การมาที่ย่านร้านค้าในครั้งนี้ ได้ประโยชน์ที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ


คัมภีร์ที่เขามอบให้หญิงสาวเผ่าปีศาจก่อนหน้านี้ ไม่ใช่แค่สมุนไพรวิญญาณและวัตถุดิบที่ต้องการ ยังมีสิ่งที่ต้องใช้หลอมภูเขาไท่อีไม่น้อย


การหลอมภูเขานี้ยุ่งยากกว่าภูเขาเทวะดูดปราณมาก


ไม่เพียงวัตถุดิบเสริมที่ต้องใช้เยอะกว่าอย่างแรกมาก และยิ่งไปกว่านั้นวัตถุดิบจำนวนไม่น้อยก็เป็นของหายากในแดนวิญญาณ หายากมาก โชคดีที่รายการด้านหลังมีวัตถุดิบจำนวนไม่น้อยที่ใช้สิ่งอื่นแทนได้ หนึ่งในนั้นก็คือกระดูกอสูรและแก่นดวงจิตปีศาจมากที่สุด


วัตถุดิบชนิดนี้มีไม่มากนักในเผ่ามนุษย์ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มอบหมายเรื่องนี้ให้กับนักปราชญ์และพรรคพวก


ยามนี้หลังจากที่ได้พบหญิงสาวเผ่าปีศาจในวิหาร แน่นอนว่าย่อมออกรายการทั้งหมดออกมาอย่างไม่เกรงใจ


แม้ว่าเผ่าปีศาจจะไม่ถือว่าแข็งแกร่งนัก แต่ก็มีอสูรเดินดินและวิหคเหาะเหินอยู่หลากหลายชนิด มากมายจนนับไม่ถ้วน


ประกอบกับแพร่พันธุ์อยู่ในแดนวิญญาณมาหลายปีแล้ว กระดูกและแก่นดวงจิตจึงมีมากมายจนนับไม่ถ้วน


ไม่จำเป็นต้องมากนัก! ขอแค่หญิงสาวเอากระดูกและแก่นดวงจิตมาได้ครึ่งหนึ่งก็นับว่าช่วยเขาได้ไม่น้อยแล้ว


หากโชคไม่ดีล่ะก็ สิ่งที่เรียกว่างานหมื่นสมบัติ ก็อาจจะได้ประโยชน์อันใดเพิ่มก็เป็นได้ ส่วนสุดท้ายที่เหลือก็ค่อยๆ ตามหาไป


หานลี่ขบคิดในใจ กลับมาที่ร้านค้าวัตถุดิบในตอนแรกอย่างไม่รีบร้อน


เถ้าแก่ผู้นั้นเตรียมกำไลเก็บของไว้อันหนึ่ง และรออยู่ตรงนั้นอย่างนอบน้อม


หานลี่รับกำไลเก็บของไป หลังจากตรวจสอบแล้ว ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้


เป็นดังที่คาดคิดไว้ ในกำไลเก็บของมีวัตถุดิบที่ต้องการอยู่ไม่เท่าไหร่ ดูแล้วคงต้องให้นักปราชญ์และพวกช่วยเหลือแล้ว


หานลี่ถามถึงราคาที่ต้องจ่าย แล้วออกจากร้านค้า


เขาไม่ได้ไปที่อื่น แต่กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ตรงไปยัง ‘หอรวมเซียน’ ที่ใช้ต้อนรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงโดยเฉพาะของเมืองเทวะสวรรค์


แม้ว่าจะมีชื่อว่าหอคอย แต่ความจริงแล้ว ‘หอรวมเซียน’ เป็นหอคอยสิบกว่าหอรวมตัวกัน


ทุกหอสูงสิบสามชั้น วิจิตรงดงาม ระยะห่างจากกันร้อยจั้งเศษ และยังมีเขตอาคมขวางกั้นเอาไว้


สถานที่พักเช่นนี้ ไม่เพียงต้องจ่ายศิลาวิญญาณเป็นจำนวนไม่น้อย และยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขึ้นไป ก็ไม่มีคุณสมบัติจะพักที่นี่


แน่นอนว่าความจริงแล้วหอรวมเซียนเองก็เป็นที่พักของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสูง ระดับผสานอินทรีย์ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่เคยมีผู้ใดเข้ามาพัก แต่ภายในเวลาสองสามร้อยปีก็ไม่รู้ว่ามีคนเข้าพักสักครั้งสองครั้งหรือไม่


ดังนั้นหานลี่จึงไม่ได้ปิดบังอันใด ตรงเข้าไปหน้าเถ้าแก่หอรวมเซียน เผยกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ออกมา


เถ้าแก่ผู้นี้มีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลง แน่นอนว่าย่อมตกใจจนสะดุ้งโหยง ทันใดนั้นก็ร้องเรียกท่านอาวุโสด้วยความนอบน้อม แล้วเลือกหอคอยที่ดีที่สุดให้หานลี่ และส่งหญิงรับใช้ที่หน้าตาสะคราญที่สุดสองสามคนไปที่หอคอยแห่งนั้น


เพราะไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่นานนัก หานลี่จึงไม่ได้ปฏิเสธอันใด


เขาให้หญิงสาวสองสามคนทำความสะอาดหอคอย ส่วนตนก็วิ่งไปที่ชั้นบนสุดของหอคอยพลางทำสมาธิ


เช้าตรู่วันที่สองขณะที่หานลี่กำลังหลับตานั่งสมาธิ ฉับพลันนั้นเปลือกตาก็ขยับลืมตาขึ้น และเอ่ยพึมพำออกมา


“มาแล้ว ทว่ากลิ่นอายคนผู้นี้ไม่ค่อยคุ้นเคยเลย แถมยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง ดูแล้วไม่ใช่อาวุโสชี แปลกจริงๆ”


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ด้านล่างหอคอยก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ จากนั้นหญิงรับใช้คนหนึ่งก็ถ่ายทอดเสียงมาอย่างตึงเครียด


“รายงานท่านอาวุโส ภิกษุจินเย่ว์ของเมืองเรามาเยี่ยมเยียน”


“สหายจินเย่ว์ เยี่ยม ข้ารู้แล้ว จะลงไปเดี๋ยวนี้” หานลี่ได้ยินชื่อนี้ ก็ใจหายวาบ ตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด


อาวุโสเมืองเทวะสวรรค์คนอื่นๆ อาจจะไม่ค่อยแน่ใจนัก


แต่ภิกษุจินเย่ว์ เป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์สองคนที่บินขึ้นมาของเมืองเทวะสวรรค์ ตอนนั้นเขาได้ยินจนคุ้นหูเสียแล้ว


แต่แค่ว่ากันว่าอาวุโสของพรรคพระพุทธมักจะกักตนไม่ออกมาอยู่ภายในห้องลับเป็นเวลานาน นอกจากคนของสมาคมอาวุโสแล้ว ก็แทบจะไม่มีผู้ใดได้เห็นใบหน้าที่แท้จริง


ผู้ยิ่งใหญ่มาปรากฏตัวที่นี่ มิน่าล่ะสาวใช้ของหอรวมเซียนเหล่านี้ถึงได้ตึงเครียด


ทว่าในเมื่อเขาเผยพลังยุทธ์ต่อหน้าผู้พิทักษ์ยมโลกนิลสองคนแล้ว ต่อให้ไม่ใช่ภิกษุจินเย่ว์ผู้นี้ สมาคมอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์ก็คงส่งอาวุโสท่านๆ มาที่นี่


หานลี่ขบคิดด้วยสีหน้าราบเรียบ มือหนึ่งร่ายอาคม ผิวเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายรางเลือนไป


ในห้องโถงชั้นหนึ่งของหอคอย ภิกษุสวมจีวรสีทองคนหนึ่ง กำลังยืนชื่นชมภาพวาดโบราณที่แขวนอยู่บนกำแพง ด้านข้างมีสาวใช้หน้าตางดงามยืนเอามือประสานกันด้วยสีหน้าตื่นเต้นสุดๆ อยู่สองสามคน


ฉับพลันนั้นภิกษุก็หันกาย มองไปที่มุมหนึ่งที่ว่างเปล่าของหอคอย


ผลคือครู่ต่อมาตรงนั้นพลันมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ เงาร่างคนสีเขียวปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ


นั่นก็คือหานลี่


“อาตมาจินเย่ว์บุ่มบ่ามมาเยี่ยมเยียน หวังว่าสหายหานจะไม่ถือสา!” ภิกษุเอ่ยว่าอมิตตาพุทธ แล้วคารวะหานลี่อย่างราบเรียบ


“มิกล้า ภิกษุมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ ผู้แซ่หานเลื่อมใสท่านมาเนิ่นนานแล้ว” หานลี่มิกล้าดูแคลน รีบประสานมือคารวะ จากนั้นสายตาก็เพ่งพินิจมองใบหน้าของภิกษุอย่างละเอียดแวบหนึ่ง


เห็นอีกฝ่ายเป็นภิกษุชราเคราสีขาวยาวครึ่งฉื่อ ใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่น ดวงตาทั้งสองหรี่เล็กจนเป็นเส้นตรง ดูเหมือนว่าจะแก่ชราจนแม้แต่ดวงตาก็ไม่อาจลืมขึ้นได้


“หึๆ ชื่อเสียงของสหายหาน อาตมารู้จากข่าวคราวที่อาวุโสชีเพิ่งส่งมาได้ไม่นาน ว่ากันว่าสหายไม่เพียงจะพัฒนาจากระดับเทพแปลงมาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ร้อยปี และนอกจากนี้ยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา แถมยังเคยรับหน้าที่ผู้พิทักษ์ยมโลกนิล ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่” ภิกษุจินเย่ว์ฉีกยิ้ม คิดไม่ถึงว่าจะเอ่ยปากถามอย่างตรงไปตรงมา


“สหายจินเย่ว์เป็นผู้ที่ตรงไปตรงมาเสียจริง ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้นไม่ผิด ผู้แซ่หานนับว่ามีวาสนาเล็กน้อย มิเช่นนั้นคงไม่มีพลังยุทธ์ในระดับนี้ได้” หานลี่ตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้มเบิกบาน


“หึๆ ปกติแล้วผู้ที่พัฒนาจนมาอยู่ในระดับเดียวกับข้าได้ ไหนเลยจะไม่ใช่ผู้ที่ดวงดี ทว่าสหายพัฒนาได้ระยะเวลาสั้นๆ เพียงนี้ ต่อให้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ในประวัติศาสตร์ของเผ่ามนุษย์ก็มีอยู่เพียงไม่กี่คน” ภิกษุที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เอ่ยอย่างนุ่มนวลเป็นพิเศษ


แน่นอนว่าหานลี่ย่อมเอ่ยอย่างถ่อมตนไม่หยุด


“จากข่าวคราวที่อาวุโสชีส่งมา สหายไม่อยากเข้าร่วมเมืองเทวะสวรรค์ ช่างน่าเสียดายจริงๆ มิเช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาในสมาคมอาวุโส คงเหลือแค่อาตมาคนเดียวแล้ว” ภิกษุเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา และเอ่ยอย่างเสียดาย


“คนเดียว? หากข้าน้อยจำไม่ผิดล่ะก็ สมาคมอาวุโสไม่ได้มีอรหันต์เหลยหลัวหรือ หรือว่า…” หานลี่ได้ยินพลันตกตะลึง


“สหายเหลยหลัวเพลี่ยงพล้ำไปเมื่อยามที่ชนต่างเผ่ามาโจมตีเมือง” ภิกษุถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น


“อันใดนะ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ผู้แซ่หานรู้เพียงว่าสมาคมอาวุโสมีสหายสองคนที่เพลี่ยงพล้ำ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นสหายเหลยหลัว” หานลี่พลันตกตะลึง และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


ภิกษุได้ยิน ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมแล้วท่องคำว่าอมิตตาพุทธสองสามครั้ง แล้วถึงได้เอ่ยออกมา


“แม้ว่าสหายจะปฏิเสธคำเรียนเชิญของอาวุโสชี แต่อาตมาเป็นหนึ่งในสมาชิกของผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา จึงอยากเชิญสหายให้เข้าร่วมกับสมาคมอาวุโสของเมืองเราอีกครั้ง สหายหานน่าจะรู้ดี ผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาอย่างพวกเราไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรพื้นเมือง และยิ่งไปกว่านั้นเมืองเทวะสวรรค์ก็แทบจะรวบรวมผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาได้เก้าในสิบส่วน”

 

 

 


ตอนที่ 1764 ตระกูลสวี่

 

“…หากมีสหายและอาตมาคอยปกป้อง จะต้องเปลี่ยนแปลงเขตแดนของผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นได้ไม่น้อยแน่” ภิกษุจินเย่ว์เอ่ยคำพูดชักชวนออกมามากมาย สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น


หานลี่ได้ฟังใบหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน แต่หลังจากแววตาเปล่งประกายสองสามครา ก็ยังสั่นศีรษะอย่างช้าๆ


“แม้ว่าผู้แซ่หานจะเป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา และรู้แดนของผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมา แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสองคนจะแก้ไขได้ ต่อให้ข้าน้อยยอมเข้าร่วมสมาคมอาวุโส ก็คงไม่มีประโยชน์มากนัก กลับจะตกอยู่ในการโต้แย้งกัน และที่ผู้แซ่หานเหยียบย่างเข้าสู่หนทางแห่งการเป็นเซียน ก็เพราะใฝ่หาชีวิตที่ยืนยาว แม้ว่าจะบรรลุระดับผสานอินทรีย์แล้ว แต่หนทางในการบินขึ้นไปยังแดนเซียนก็ยังอีกยาวไกล ไม่อาจแบ่งใจไปเรื่องอื่นได้”


“คาดไม่ถึงว่าสหายจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนอย่างหนัก อาตมาขอนับถือ! ในเมื่อสหายมีปณิธานอื่น และยิ่งไปกว่านั้นยังตัดสินใจแล้ว อาตมาก็จะไม่ชักจูงอันใดอีก สหายมาที่เมืองเทวะสวรรค์ในครั้งนี้ คงมีเรื่องสำคัญ ต้องการให้อาตมาช่วยหรือไม่” ภิกษุจินเย่ว์มองออกว่าหานลี่ตัดสินใจไปแล้ว จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วไม่เอ่ยถึงเรื่องเรียนเชิญอีก


“ขอบพระคุณภิกษุที่มีเจตนาดี ผู้แซ่หานมาที่เมืองในครั้งนี้ แค่มาซื้อวัตถุดิบ นอกจากนี้ยังได้รับไหว้วานมาเรื่องหนึ่ง” หานลี่ประสานมือคารวะแล้วตอบกลับอย่างมีมารยาท


“หึๆ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ทว่าหากสหายมีอันใดให้ช่วยเหลือ ก็บอกอาตมามาได้เลย ในเมืองเทวะสวรรค์ อาตมาช่วยได้แน่นอน” ภิกษุจินเย่ว์พยักหน้า


หานลี่ได้ฟัง ย่อมเอ่ยปากขอบคุณไม่หยุด


เวลาต่อจากนั้นหานลี่และภิกษุจินเย่ว์ก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องไม่สำคัญอันใดอีก แต่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการฝึกบำเพ็ญเพียรกัน


เรื่องนี้สำคัญกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ แทบจะเป็นสิ่งที่ต้องทำหลังจากพบหน้ากัน


ถึงอย่างไรเสียพลังยุทธ์มาถึงขั้นนี้ได้อย่างพวกเขา ก็แทบจะนับว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ถึงขีดจำกัดในชีวิตแล้ว ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานและระดับเคราะห์สวรรค์ในตำนานนั้น ก็เป็นเรื่องที่ใฝ่ฝันแต่ไปไม่ถึง


เผ่าต่างๆ ที่มีขนาดเล็กหน่อย ทั้งเผ่าก็ไม่รู้ว่าจะมีอยู่สักคนสองคนหรือไม่


ดังนั้นเมื่อไม่มีผู้ใดคอยชี้แนะ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ ก็ทำได้เพียงอาศัยการแลกเปลี่ยนจุดที่ยากลำบากในการฝึกบำเพ็ญเพียรกับผู้อื่น


ภิกษุจินเย่ว์ผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์แล้ว เข้าใกล้ขั้นสุดท้ายอีกก้าวเดียวเท่านั้น ประสบการณ์ในการฝึกบำเพ็ญเพียรจึงเหนือกว่าอาวุโสชีผู้ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นจะเทียบเทียมได้


ส่วนหานลี่ก็มีอิทธิฤทธิ์หลากหลาย เคล็ดวิชาพราหมณ์เที่ยงแท้มารศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเคล็ดวิชาฝึกบำเพ็ญเพียรคู่ที่ไม่เคยมีผู้ใดฝึกฝนมาก่อน การฝึกฝนจึงค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์


เมื่อทั้งสองแลกเปลี่ยนกันก็รู้สึกว่าได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าจะผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนโดยไม่รู้ตัว


เช้าตรู่วันที่สองภิกษุจินเย่ว์ถึงได้กล่าวลาอย่างเบิกบานใจ


หานลี่ยังคงกลับมาที่ชั้นบนสุดของหอคอย พลางนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญเพียรต่อ


สองสามวันต่อมาไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ มาเยี่ยมเยียน ดูแล้วไม่ใช่มีธุระอื่น ก็คงรู้ว่าเขาไม่เข้าร่วมสมาคมอาวุโสจากปากของภิกษุจินเย่ว์ จึงไม่ได้ทำอันใดให้มากความ


หกวันต่อมา ยามที่ถึงวันที่เจ็ด ในที่คนที่เขารอคอยก็มาถึง


หานลี่ไม่รอให้หญิงรับใช้ด้านล่างรายงาน ก็ลุกขึ้นจากฟูก แล้วลอยลงมา


สาวใช้สองสามคนกำลังพูดคุยอันใดด้วยเสียงแผ่วเบาอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เมื่อเห็นหานลี่ปรากฏตัว ก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง ทยอยกันเข้ามาคารวะ


หานลี่โบกมือ แล้วออกคำสั่งอย่างราบเรียบ


“พวกเจ้าออกไปก่อน คนที่ข้ารอมาถึงแล้ว ไปเชิญนางเข้ามา”


เมื่อได้ยินคำพูดของสหาย สตรีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณเหล่านั้นพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ตอบรับอย่างนอบน้อม แล้วเดินออกไปด้านนอกหอคอย


หานลี่นั่งลงบนตำแหน่งหลัก


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ สาวใช้คนหนึ่งก็เป็นตัวแทน พาหญิงสาวหน้าตาขาวนวลคนหนึ่งเดินเข้ามา


หญิงสาวผู้นี้ร่างกายสูงผอม สวมชุดชาววังสีฟ้า นั่นก็คือ ‘เซียนสวี่’ ในปีนั้น


พลังยุทธ์ของนางอยู่ในระดับเทพแปลงแล้ว


“เป็นท่านอาวุโสหานจริงๆ ด้วย ท่านอาวุโสบรรลุระดับผสานอินทรีย์แล้ว!”


หานลี่มีหน้าตาแทบจะเหมือนกับเมื่อสองสามร้อยปีก่อน นางมองปราดเดียวก็จำหานลี่ได้ จึงรีบร้อนทำความเคารพหานลี่


ตอนนั้นหานลี่เห็นว่านางเป็นชนรุ่นหลังของเซียนวิญญาณน้ำแข็ง จึงดูแลนางเป็นอย่างดีและชี้แนะเรื่องการฝึกบำเพ็ญเพียรให้นาง


หญิงสาวผู้นี้จึงเคารพเลื่อมใสและรู้สึกซาบซึ้งใจต่อหานลี่มาโดยตลอด


ดังนั้นเมื่อนางกลับมาในเมือง เมื่อได้ยินคำพูดของชายร่างใหญ่ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลและชายชราเคราสั้น คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะมาปรากฏตัวที่เมืองเทวะสวรรค์อีกครั้ง และกำลังตามหานางก็รีบมาที่หอรวมเซียนทันที


แน่นอนว่าเรื่องที่หานลี่บรรลุระดับผสานอินทรีย์ หญิงสาวผู้นี้ได้ฟังก็ตกตะลึงเช่นกัน ระดับความตกตะลึงนั้นไม่น้อยไปกว่าชายชราแซ่เย่ว์เลยสักนิด


แต่เรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ หากไม่เห็นกับตานางก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


ยามนี้ได้พบหานลี่ และสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันแข็งแกร่งของหานลี่ แน่นอนว่าในใจของนางจึงไร้ข้อกังขาใดๆ อีก ทันใดนั้นก็รีบร้อนเข้ามาคารวะหานลี่ด้วยความตกตะลึงระคนดีใจ


“สหายไม่ต้องมากพิธี เซียนและข้านับว่าเป็นสหายเก่ากัน นั่งลงคุยกันเถิด” หานลี่เอ่ยพร้อมกับฉีกยิ้มน้อยๆ ให้ชนรุ่นหลังของเซียนวิญญาณน้ำแข็งผู้นี้


“เช่นนั้นชนรุ่นหลังต้องขอเกินเลยแล้ว!” เซียนสวี่ลังเลเล็กน้อย แล้วเชื่อฟังคำสั่งอย่างนอบน้อม


หญิงสาวผู้นี้นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างหานลี่


ยามนี้สาวใช้พลันถือถ้วยชาเข้ามา เทชาวิญญาณที่หอมกรุ่นให้สองถ้วย


“พวกเจ้าออกไปให้หมด หากไม่มีคำสั่งของข้า อย่าให้ผู้ใดเข้ามา” หานลี่ออกคำสั่งกับสาวใช้ผู้นั้น


“เจ้าค่ะ!” สาวใช้รับคำ แล้วถอยออกไปอย่างเคารพ


หานลี่ถึงได้สะบัดแขนเสื้อไปทางประตูใหญ่เล็กน้อย


ชั่วขณะนั้นประตูหอคอยพลันมีหมอกลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วค่อยๆ ปิดลงโดยทันที


ในเวลาเดียวกันกำแพงรอบด้านก็มีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด เขตอาคมเดิมที่อยู่กับหอคอยถูกกระตุ้นกั้นห้องโถงชั้นหนึ่งเอาไว้


หญิงสาวสวมชุดสีฟ้าเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็ใจหายวาบ สีหน้าอดที่จะเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วนมิได้


หากไม่ได้พูดคุยเรื่องที่ค่อนข้างเป็นความลับ แน่นอนว่าผู้ใดก็คงไม่ทำอะไรให้ยุ่งยากเช่นนี้


“สหายสวี่ ที่ข้าตามหาเจ้าในครั้งนี้ ความจริงแล้วมีเรื่องอยากจะซักถาม บรรพชนของสหายคือเซียนวิญญาณน้ำแข็งสินะ!” หานลี่เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“เซียนวิญญาณน้ำแข็งเป็นบรรพชนของชนรุ่นหลังจริงๆ เจ้าค่ะ ชนรุ่นหลังมิกล้าโกหกหลอกลวงอันใด” เซียนสวี่พลันตกตะลึง แต่ก็ตอบกลับอย่างไม่ต้องครุ่นคิด


“เยี่ยม ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สหายรู้เบาะแสของท่านอาวุโสเซียนวิญญาณน้ำแข็งหรือไม่ ข้ามีธุระ เกรงว่าจะต้องพบกับท่านอาวุโสผู้นี้สักหน่อย” หานลี่พ่นลมหายใจออกมา แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า


“อ่า พบท่านบรรพชน?” แม้ว่าก่อนหน้านี้หญิงสาวจะคาดเดามามากมาย ยามนี้ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้


“อันใด สหายไม่รู้เบาะแสของบรรพชนเจ้าหรือ” หานลี่ขมวดคิ้ว


“แม้ว่าชนรุ่นหลังจะได้รับการสืบทอดสายโลหิตมาจากท่านบรรพชน แต่ยามที่ถือกำเนิด ท่านบรรพชนหายตัวไปหลายหมื่นปีแล้ว ทว่าฟังจากคำพูดของอาวุโสท่านอื่นๆ ในตระกูล ยามนั้นท่านบรรพชนเพิ่งจะบรรลุระดับผสานอินทรีย์ แม้กระทั่งได้รับคำเชิญจากเมืองเทวะสวรรค์เช่นกัน แต่แค่ท่านบรรพชนดูเหมือนมีจะธุระอื่น จึงปฏิเสธคำเรียนเชิญของเมืองเทวะสวรรค์ไป หลังจากนั้นก็หายตัวไปไม่มีข่าวคราวอีก” เซียนสวี่เอ่ยพร้อมกับหัวเราะขมขื่นออกมา


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีหนทางอื่น เลือดเนื้อเชื้อไขของเซียนวิญญาณน้ำแข็ง นอกจากสหายสวี่แล้ว ไม่ทราบว่ามีชนรุ่นหลังคนอื่นหรือไม่” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามขึ้น


“ไม่ปิดบังท่านอาวุโส ผ่านมาหลายปีแล้ว ตอนแรกเลือดเนื้อเชื้อไขของเซียนวิญญาณน้ำแข็งถูกแบ่งออกเป็นสิบกว่าสาขา แม้กระทั่งหนึ่งในนั้นยังมีผู้ที่อาศัยเคล็ดวิชาของท่านบรรพชนก่อตั้งพรรคเล็กๆ ขึ้นมาสองพรรค แต่หากเป็นผู้ที่มีเลือดชิดที่สุด ตระกูลสวี่ของพวกเราก็เป็นตระกูลที่มีเลือดชิดกับท่านบรรพชนมากที่สุดแล้ว แม้แต่แซ่ก็ยังได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านบรรพชนจนถึงทุกวันนี้” เป็นเพราะรู้ว่าหานลี่ดูเหมือนจะมีที่มาเดียวกันกับเซียนวิญญาณน้ำแข็ง ดังนั้นหญิงสาวผู้นี้จึงไม่ได้ถือตัวอันใด หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็บอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมา


“เช่นนั้นผู้นำตระกูลสวี่ในตอนนี้คือผู้ใด สหายงั้นหรือ” ฉับพลันนั้นหานลี่ก็ฉีกยิ้มพลางเอ่ยถาม


“ท่านอาวุโสล้อเล่นแล้ว ไม่ใช่แน่นอน แม้ว่าตระกูลสวี่ของพวกเราจะไม่ใช่ตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้ในตำนาน แต่ก็มีชื่อเสียงอยู่บ้างในเขตเทียนหยวน ยามนี้ผู้นำตระกูลคือบิดาของข้า นอกจากนี้ในตระกูลยังมีท่านปู่อยู่อีกสองสามคน” หลังจากที่เซียนสวี่ลังเลเล็กน้อย ก็เอ่ยปากขึ้น


หานลี่แววตาเปล่งประกาย ลูบใต้คางแล้วหัวเราะน้อยๆ ออกมา


“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าอยากไปเยี่ยมบิดาของเจ้าสักหน่อย สหายมีความคิดเห็นอันใดหรือไม่”


“ท่านอาวุโสยอมไปที่ตระกูลสวี่ แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องดีของตระกูลสวี่ แต่แค่…ท่านอาวุโสหานบอกสาเหตุให้ข้าได้หรือไม่” หญิงสาวตกตะลึงไปเล็กน้อย แล้วถึงได้เอ่ยถามอย่างลังเล


“หึๆ เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าแค่ได้รับไหว้วานมาว่าให้มอบสิ่งของชิ้นหนึ่งให้กับเซียนวิญญาณน้ำแข็ง หรือไม่ก็มอบให้กับชนรุ่นหลังที่มีเลือดสายตรงกับนาง ในเมื่อยามนี้ตระกูลสวี่ของพวกเจ้าเป็นตระกูลที่มีเลือดใกล้ชิดกับเซียนวิญญาณแข็งที่สุด สิ่งนี้ก็ต้องมอบให้กับผู้นำตระกูลสวี่ด้วยตัวเอง” หานลี่ไม่มีเจตนาจะปิดบัง พลางตอบกลับอย่างซื่อๆ


“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย! ท่านอาวุโสบอกได้หรือไม่ว่าผู้ใดส่งมา ชนรุ่นหลังรู้จักหรือไม่” เห็นได้ชัดว่าคำตอบของหานลี่ทำให้หญิงสาวผู้นี้ประหลาดใจเป็นอย่างมาก และเอ่ยถามอย่างตกตะลึง


 “หึๆ คนผู้นี้สหายสวี่น่าจะไม่รู้จัก! ส่วนในตระกูลสวี่มีคนรู้จักหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้” หานลี่เอ่ยพร้อมกับสั่นศีรษะ


“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เช่นนั้นชนรุ่นหลังก็จะพาท่านอาวุโสกลับไปที่ตระกูล ข้าเพิ่งลาดตระเวนเสร็จพอดี จึงพักผ่อนได้ครึ่งปี ตระกูลสวี่ของพวกเราอยู่ในเขตแดนเทียนหยวน อาศัยเขตอาคมส่งตัวของเมือง ก็เพียงพอให้ไปและกลับแล้ว” หญิงสาวได้ยิน ก็มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้เอ่ยอย่างตัดสินใจออกมา


“หึๆ สหายสวี่ยอมไปเป็นเพื่อนข้า ย่อมดีเข้าไปใหญ่” หานลี่ไม่ได้ประหลาดใจอันใด มุมปากเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย


“เช่นนั้นรุ่นหลังจะกลับไปเตรียมตัวที่ถ้ำพำนัก สองวันต่อจากนี้ก็ออกเดินทางเป็นอย่างไร” เซียนสวี่กลับตรงไปตรงมามาก หลังจากยืนขึ้นจากเก้าอี้ ก็เอ่ยถามหานลี่อย่างนอบน้อม


“ผู้แซ่หานไม่มีอันใดให้เตรียม ออกเดินทางได้ตลอดเวลา ในเมื่อสหายสวี่บอกว่าสองวัน เช่นนั้นก็สองวันเถิด” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วพยักหน้าเห็นด้วย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)