ข้ามกาลบันดาลรัก 176.2-179.1
ตอนที่ 176-2 ตกตะลึง
ไม่นานโจวเสี้ยวและโจวหลี่ก็กุลีกุจอเดินเข้ามาในห้อง พูดขึ้น “ท่านพ่อ ท่านต้องการพบพวกเรา?”
ตี้ซือชี้เมิ่งอี้เซวียนแล้วพูดกับคนทั้งสอง “นี่คือเด็กน้อยสกุลเมิ่ง พวกเจ้าว่าเขาเหมือนใคร?”
ทั้งสองพินิจมอง แล้วร้องอุทานพร้อมกัน “ท่านพ่อ เขา เขา เขา…”
ตี้ซือกล่าวว่า “เมื่อครู่พ่อก็ตกใจสะดุ้ง ฉับพลันคิดว่าท่านอ๋องฉีในวัยเยาว์มายืนตรงหน้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังยิ่งขมวดคิ้วรัดแน่น ในสมองมีบางสิ่งสะท้อนวาบ
แม้เมิ่งอี้เซวียนจะไม่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไรกัน แต่ก็ยืนสงบนิ่งให้พวกเขามองประเมินตามใจอยู่ตรงนั้น
ตี้ซือเห็นเขาอายุเพียงเท่านี้ก็มั่นคงสงบนิ่งได้เพียงนี้ ในสมองพลันมีบางสิ่งสว่างวาบ เอ่ยปากถามขึ้น “เจ้าเป็นลูกบ้านพวกเขาจริงๆ หรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงขึ้นอย่างไม่พอใจ “เมื่อเขาแซ่เมิ่ง ก็คือลูกหลานของพวกเราสกุลเมิ่ง คำพูดท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไร?”
เมื่อกล่าววาจาออกไปแล้ว ตี้ซือถึงรู้สึกตัวว่าถามไม่เหมาะสม เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวถามตนเอง จึงโน้มตัวลงขอขมา “ตัวข้าสะเพร่าเกินไป ขอแม่นางน้อยอย่าได้โมโห”
ตี้ซือมีสถานะสูงส่ง แม้แต่ขุนนางอำมาตย์ในวังยังต้องทำความเคารพให้สามส่วน บัดนี้กลับกล่าวขอขมาตนเองที่เป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ถือโทษโมโหอีก
เมิ่งอี้เซวียนกลับไม่เข้าใจ เดิมเขาก็เป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง เรื่องนี้คนในหมู่บ้านต่างก็รู้กัน ต่อให้วันนี้ไม่พูด เวลาผ่านไปนานเข้าท่านอาจารย์ก็ต้องรู้ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเมิ่งเชี่ยนโยวต้องโมโหด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างมีนัยแฝง “ในเมื่อท่านอาจารย์เกษียณตัวกลับบ้านเกิดแล้ว เรื่องบางเรื่องอย่าได้ข้องเกี่ยวอีกจะเป็นการดีกว่า เรื่องบางอย่างเมื่อแพร่งพรายออกไปแล้ว ผลลัพธ์อาจจะเกิดกว่าที่พวกเราจะคาดการณ์ได้”
ตี้ซือตกตะลึงพรึงเพริด พินิจมองเด็กสาวตรงหน้าใหม่อีกครั้ง เกิดความรู้สึกเหมือนได้รู้จักนางคนใหม่
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนนิ่งปล่อยให้เขามองประเมินอยู่ตรงนั้น
ครู่ใหญ่ตี้ซือถึงพูดขึ้นว่า “แม่นางพูดถูกต้อง เมื่อตัวข้าเกษียณตัวกลับบ้านเกิดแล้ว ต่อไปก็เป็นเพียงอาจารย์ธรรมดาคนหนึ่ง เรื่องบางอย่างไม่เข้าไปข้องเกี่ยวจะเป็นการดีกว่า” พูดจบกำชับบุตรชายทั้งสองคนของตัวเอง “เรื่องนี้เก็บไว้ในใจก็พอ อย่าได้แพร่งพรายออกไป นำพาความเดือดร้อนมาให้พวกเราและสกุลเมิ่งเด็ดขาด”
ทั้งสองพูดอย่างอ่อนน้อม “ทราบแล้ว ท่านพ่อ พวกเราจะจดจำไว้”
เมื่อเห็นคนทั้งหมดไม่เซ้าซี้เรื่องนี้อีก เมิ่งเชี่ยนโยวก็แอบลอบถอนหายใจโล่งอก
เสียงของตี้ซือเปล่งดังขึ้น “ทว่า ข้ายังต้องทดสอบความรู้ของน้องชายเจ้า หากความรู้ไม่ดี ไม่ว่าเขาเป็นใคร ข้าก็จักไม่รับปากเป็นอาจารย์ให้เขาเช่นเดิม”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว หากน้องชายข้าความรู้ไม่ดี พวกเราก็ไม่ยินดีให้ท่านต้องเสียเวลา”
ตี้ซือหัวเราะลั่น “แม่นางอายุเพียงเท่านี้ก็พูดจาได้อย่างไร้ช่องโหว่ ภายหน้าจะต้องมีอนาคตยาวไกล”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “ท่านพูดเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงเด็กสาวชนบทคนหนึ่ง มีอะไรก็พูดเช่นนั้น หากพูดอะไรผิดพลาดไปขอท่านอย่าได้ถือโทษ”
ตี้ซือหัวเราะร่วน “การได้พบกับเด็กสาวเยี่ยงเจ้าในชนบทนี้ ถือได้ว่าหาได้ยาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร
ตี้ซือก็ไม่สนใจ หลังจากถามเมิ่งอี้เซวียนว่าเคยเรียนอะไรมาบ้าง ก็เริ่มทำการทดสอบความรู้ของเขา กลับยิ่งทดสอบก็ยิ่งปลาบปลื้มปิติ สุดท้ายดีใจจนใช้มือตบโต๊ะอย่างกลั้นไม่อยู่ “เด็กน้อยคนนี้มีพรสวรรค์โดยแท้ อายุเพียงเท่านี้ก็อ่านซื่อซูอู่จิง[1]จนแตกฉานหมดแล้ว”
โจวเสี้ยวและโจวหลี่เห็นปฏิกิริยาของตี้ซือ หันหน้าสบตากัน รู้ว่าตนเองหมดหวังที่จะได้กลับบ้านเกิดแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกภาคภูมิใจ พูดว่า “ไม่เพียงเท่านี้ น้องชายข้ายังมีความสามารถอ่านสิ่งใดแล้วก็ไม่ลืม”
ตี้ซือปิติยินดี ทำการทดสอบทันที ผลลัพธ์เป็นจริงดังว่า ตัดสินใจฉับพลัน “ดี ข้าจะอยู่ที่นี่สอนสั่งเจ้าสามปี”
เมิ่งเชี่ยนโยวปลาบปลื้มปิติ พูดขึ้นทันควัน “อี้เซวียน ยังไม่รีบขอบคุณท่านอาจารย์?”
เมิ่งอี้เซวียนพูดอย่างว่านอนสอนง่าย “ขอบคุณท่านอาจารย์”
อาจารย์ลูบเคราพูดด้วยความยินดี “ดี! ดี! ดี!”
เมื่อกำหนดเรื่องได้แล้ว อาจารย์เตรียมจะกำหนดเวลาการเรียนในแต่ละวันให้เรียบร้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มพูดว่า “เรื่องนี้อย่าเพิ่งรีบร้อน พวกท่านเพิ่งจะมาถึงที่นี่ ควรจัดการเรื่องคนอื่นๆ ก่อน ค่อยมาว่าหลังจากนั้นต่อ”
อาจารย์โบกมือ “พวกเราไม่มีอะไรต้องจัดการ เมื่อข้าอยู่เป็นอาจารย์ที่นี่ บุตรชายทั้งสองของข้าก็ต้องอยู่ด้วย สำหรับเรื่องการงาน หากมีที่เหมาะสม แม่นางจัดการตามสะดวกก็พอ หากว่าไม่มี ก็ให้พวกเขาไปหากันเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ชนบทแห่งนี้ มีแต่งานใช้แรงงาน คุณชายทั้งสองเติบโตในเมืองหลวง เกรงจะทำไม่ไหว ท่านให้ข้าขบคิดสองสามวันเถอะ ดูว่าพอจะหางานที่เหมาะสมให้พวกเขาได้หรือไม่”
ท่านอาจารย์กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ขอบใจแม่นางมาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ท่านอาจารย์เกรงใจเกินไปแล้ว การเชิญท่านมาเป็นอาจารย์ให้น้องชายข้าได้ เป็นเกียรติอย่างหาที่สุดไม่ได้ของพวกเรา ข้าย่อมต้องช่วยขจัดความทุกข์กังวลให้ท่าน”
ท่านอาจารย์หัวเราะร่วน กล่าวชื่นชมเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนเดินออกมาจากเรือนที่พัก ค่อยๆ เดินทางกลับ
เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดมาได้ครึ่งทาง ตอนที่ใกล้จะถึงหน้าประตูบ้านพลันถามโพล่งขึ้น “เจ้าอยากสอบขุนนางได้หรือไม่?”
เมิ่งอี้เซวียนชะงักอึ้ง พยักหน้าแล้วพูด “หากไม่ใช่พวกเจ้า บางทีข้าอาจจะถูกขายไปนานแล้ว หรือบางทีอาจจะไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้นานแล้ว เป็นพวกเจ้าที่ช่วยข้าขึ้นมาจากห้วงทะเลทุกข์ ข้าจะต้องตอบแทนบุญคุณของพวกเจ้า และที่ข้าทำได้ ก็คือพากเพียรศึกษาหาความรู้ สักวันจะได้เชิดหน้าชูตา เทิดเกียรติแก่วงศ์สกุล”
“หากพวกเราไม่ต้องการให้เจ้าเทิดเกียรติแก่วงศ์สกุลเล่า เจ้ายังหวังจะสอบขุนนางได้อีกหรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อทันที
เมิ่งอี้เซวียนยังคงพยักหน้า “หวัง!”
ลินมองไปที่เขา
เมิ่งอี้เซวียนจ้องนางกลับเขม็ง “ข้าจะต้องสอบขุนนางให้ได้ จะได้เชิดหน้าชูตา เช่นนั้นภายหน้าถึงจะมอบชีวิตที่ดีให้เจ้าได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงจังงัง หัวใจมีบางสิ่งไหลทะลัก
ครู่ใหญ่ถึงถามขึ้นเสียงแผ่ว “หากสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องการให้เจ้าทำแล้ว เจ้ายินดีจะละทิ้งการสอบขุนนางหรือไม่?”
เมิ่งอี้เซวียนไม่เข้าใจ ถามขึ้น “เจ้าเป็นอะไรไป? เหตุใดถึงเอาแต่ถามคำถามเช่นนี้? เจ้ามิได้หวังเห็นข้าเทิดเกียรติแก่วงศ์สกุลมาตลอดหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบเขา กลับพูดขึ้นอีกครั้ง “ตอบคำถามเมื่อครู่ของข้า เจ้ายินดีจะละทิ้งหรือไม่?”
เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้าเด็ดเดี่ยว
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดฝีเท้า จ้องมองเขาอย่างลุ่มลึก
เมิ่งอี้เซวียนถูกนางมองจนขนลุกชัน กลืนน้ำลายอึกใหญ่ พูดตะกุกตะกัก “ถ้า ถ้าหากว่าเจ้าไม่อยากให้ข้าเรียนหนังสือ เช่น เช่นนั้นข้าละทิ้งก็ได้”
ได้ยินคำตอบจากเขา เมิ่งเชี่ยนโยวคลี่ยิ้มฉับพลัน ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า เดินไปพลางพูดว่า “ไม่ว่าจะโชคลาภหรือภัยพิบัติล้วนหลบหลีกไม่พ้น ในเมื่อเจ้าชอบเรียนหนังสือ อยากสอบขุนนาง ข้าก็จะสนับสนุนเจ้า แต่ว่า เจ้าต้องจำไว้ว่า ภายหน้าเจ้าอย่าได้เสียใจต่อการตัดสินใจในวันนี้ของเจ้าเด็ดขาด”
เมิ่งอี้เซวียนยิ่งทวีความคลางแคลงสงสัย สาวเท้าเดินไล่กวดนาง ถามขึ้น “วันนี้เจ้าแปลกๆ เป็นเพราะวันนี้พวกเขาพูดว่าข้าเหมือนคนอื่นอย่างนั้นหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้าเล็กน้อย แล้วเดินหน้าต่อ พูดว่า “ไม่ใช่”
เมิ่งอี้เซวียนเห็นนางไม่ยินดีพูด จึงไม่ซักถามอีก เพียงกลับบ้านไปพร้อมนางเงียบๆ
ทั้งครอบครัวกำลังรอฟังข่าวของพวกเขา เห็นพวกเขากลับมา เมิ่งชื่อถามด้วยความร้อนใจ “เป็นอย่างไร? ผ่านการทดสอบของท่านอาจารย์หรือไม่?”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า “ท่านอาจารย์รับปากแล้ว บอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปเข้าเรียนได้”
เมิ่งชื่อปิติยินดี พูดว่า “แม่ว่าแล้วอี้เซวียนของพวกเราจะต้องทำได้”
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ดีใจยกใหญ่ “ครานี้ดีแล้ว ได้เขามาเป็นอาจารย์ ภายหน้าอี้เซวียนจะต้องสอบขุนนางได้เป็นแน่แท้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตัดกำลังใจพวกเขา “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านอย่าเพิ่งดีใจกันเร็วเกินไป ท่านอาจารย์เพียงแค่ชี้แนะคำสอนให้เขาเท่านั้น มิได้รับประกันส่งให้เป็นขุนนางได้”
เมิ่งชื่อยื่นมือออกไปตีนางเบาๆ พูดเอ็ด “เจ้าเด็กคนนี้ ชอบพูดให้เสียกำลังใจ อี้เซวียนของพวกเราฉลาดเยี่ยงนี้ จักต้องไม่มีปัญหา”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูดโอนอ่อนไปตามนาง “ใช่ๆๆ อี้เซวียนจะต้องสอบขุนนางได้ แต่ว่าท่านแม่ที่รักของข้า ก่อนจะถึงจุดนั้น พวกเรากินข้าวก่อนได้หรือไม่ ข้าหิวจะตายแล้ว”
เมิ่งชื่อขบขันในคำเรียกของนาง “เจ้าลูกคนนี้ ไม่รู้ว่าไปเรียนรู้สิ่งประหลาดเหล่านี้มาจากไหน”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดหน้าทะเล้น “บุตรสาวท่านฉลาดหลักแหลม ไยต้องไปเรียนมาจากใครอีก”
ทั้งครอบครัวหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปกับนาง
กินอาหารค่ำเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เข้าไปพักผ่อนในห้องแต่หัวค่ำ
เมิ่งชื่อนึกว่านางเหนื่อย ไม่ได้สนใจอะไร
เมิ่งอี้เซวียนกลับมองประตูห้องนางครุ่นคิดอยู่เป็นนาน
เมิ่งเชี่ยนโยวนอนบนเตียงเตา พลิกตัวนอนไม่หลับไปมา ในสมองย้อนคิดถึงแต่คำพูดของท่านอาจารย์
[1] ซื่อซูอู่จิง หมายถึง 4ตำรา 5คัมภีร์ เป็นคัมภีร์ของลัทธิขงจื้อ
ตอนที่ 177-1 พระกระโดดกำแพง
กลางดึก เมิ่งเชี่ยนโยวที่ยังไม่ง่วงเลยแม้แต่น้อยได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก ลุกขึ้นสวมเสื้อ เปิดประตูใหญ่ออก เห็นเหวินเปียวและเหวินหู่กำลังเดินมาถึงหน้าประตูพอดี
เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเปิดประตูใหญ่ออก ทั้งสองก็ให้ตกตะลึง จากนั้นเหวินเปียวก็พูดอย่างรู้สึกผิดเสียงเบา “แม่นาง ทำท่านตื่นแล้ว? เดิมพวกเราคิดจะบังคับม้าเข้าไปในลานบ้านเงียบๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า พูดเสียงเบาเช่นกัน “เดิมข้าก็ไม่ได้หลับ ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก คาดว่าพวกเจ้าคงกลับมาแล้ว ถึงได้ออกมาดู”
ทั้งสองเก็บรถม้าเรียบร้อย เหวินเปียวล้วงตั๋วเงินออกจากอกเสื้อ “นี่คือเงินขายกระเป๋านักเรียน แม่นางตรวจดูก่อน ว่าถูกต้องหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา ไม่แม้แต่จะมอง พูดว่า “พวกเจ้าสองคนเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบกลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าไม่ต้องเข้ามาสอนวรยุทธ์พวกเขาแล้ว”
เหวินเปียวและเหวินหู่รับรู้ด้วยสายตา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเชื่อใจพวกเขาเช่นนี้ ก็ให้ซาบซึ้งใจ พูดว่า “พวกเราไม่เป็นอะไร เมื่อก่อนตอนทำหน้าที่คุ้มกัน ต้องเร่งเดินทางเป็นสิบวันถึงครึ่งเดือน คุ้นชินเสียแล้ว พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะเข้ามาตรงตามเวลา”
เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ได้ ข้าขอสั่งให้พรุ่งนี้พวกเจ้าพักผ่อนหนึ่งวัน หากมีเรื่องอะไร ข้าจะให้คนไปเรียกพวกเจ้าเอง”
เหวินเปียวและเหวินหู่รู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวหวังดีกับพวกเขา ก็ยิ่งซาบซึ้งใจ ไม่ดึงดั้นอีก กลับบ้านไปพร้อมแสงจันทร์สลัวที่สาดส่อง
เห็นทั้งสองคนเดินไปไกลแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวปิดประตูใหญ่ กลับเข้ามาในห้อง วางตั๋วเงินไว้บนโต๊ะ กลับไปนอนบนเตียงเตาอีกครั้ง คิดอะไรอีกมากมาย ฟ้าใกล้จะสางถึงได้นอนหลับไป
เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉไม่ต้องไปเรียนในตัวตำบลแล้ว เมิ่งชื่อจึงไม่ต้องตื่นแต่เช้ามาทำอาหารอีก นอนหลับอย่างเต็มที่สบายใจ กระทั่งฟ้าเริ่มสางถึงลุกขึ้นมาเข้าครัวทำอาหาร
หลังจากรองแม่ทัพชุยทราบว่าตี้ซือตัดสินใจจะอยู่ที่นี่ ก็ออกเดินทางตลอดคืนกลับไปเรียนรายงานแล้ว
เมิ่งเสียนนึกว่าเหวินเปียวและเหวินหู่ไปส่งของยังไม่กลับมา จึงไปวิ่งกับพวกอู๋ต้าทั้งสิบคนแทนสองคนนั้น
พวกอู๋ต้าทั้งสิบคนหลังจากผ่านการฝึกฝนมาได้ระยะหนึ่ง ความเร็วในการวิ่งก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยวิ่งรอบภูเขาใหญ่ห้ารอบใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม
เหวินหู่เห็นพวกเขามีพัฒนาการ จึงสอนวิทยายุทธพื้นฐานที่เหมาะสมให้กับพวกเขา สิ่งแรกที่ให้ฝึกก่อนก็คือท่านั่งม้า ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลานี้ ทุกคนจะต้องร้องร่ำรำพัน โอดครวญว่าวิ่งยังสบายกว่า มีครั้งหนึ่งเมิ่งเชี่ยนโยวมาได้ยินเข้า เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มแล้วพูดกับพวกเขาว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านั่งม้าก็ไม่ต้องแล้ว ต่อไปให้วิ่งรอบภูเขาใหญ่ยี่สิบรอบทุกวัน”
พวกอู๋ต้าทั้งหมดร้องโอดครวญขอความเมตตา ภายใต้การสอนสั่งของเหวินหู่ ยอมทำท่านั่งม้าแต่โดยดี
เมิ่งเชี่ยนโยวก็มักจะคอยคิดหาวิธีมากลั่นแกล้งพวกเขา อย่างเช่นวางหนังสือไว้บนหัวพวกเขา ในระหว่างที่ทำท่านั่งม้า หากหนังสือบนหัวของใครตกลงมา จะเพิ่มเวลาทำท่านั่งม้าอีกหนึ่งเค่อ วิธีนี้ได้ผลเกินคาด พวกอู๋ต้าทั้งหมดผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ก็สามารถทำท่านั่งม้าได้โดยที่ขาทั้งสองข้างไม่สั่นแล้ว ฝึกฝนได้อย่างเข้าท่าเข้าทาง
เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาฝึกวรยุทธ์ รู้สึกมึนๆ หัว รู้ว่าตัวเองนอนไม่พอ คิดว่าอย่างไรก็ไม่มีเรื่องให้ทำ จึงนอนกลับไปตามเดิม ผ่อนคลายอารมณ์ เข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างเต็มอิ่ม
เมิ่งชื่อทำอาหารเสร็จ เห็นนางยังไม่ตื่น จึงเดินเข้ามาในบ้านร้องเรียนนาง
เพิ่งจะเข้ามาในบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตกใจตื่น พอได้ยินว่าเป็นเสียงฝีเท้าเมิ่งชื่อ ก็ไม่ขยับ พูดอย่างเกียจคร้านว่า “ท่านแม่ ตั๋วเงินขายกระเป๋านักเรียนวางอยู่บนโต๊ะ ท่านเอาไปเก็บไว้ให้ดี”
เมื่อคืนวานเมิ่งชื่อไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว นึกว่าพวกเหวินเปียวยังไม่กลับมา ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ก็รีบเดินไปข้างโต๊ะหยิบตั๋วเงินออกมาดูแล้วดูอีก
เนื่องจากเมิ่งเชี่ยนโยวได้นอนเต็มอิ่ม รู้สึกกระปรี้กระเปร่า อารมณ์ดีขึ้น จึงพูดหยอกล้อกับเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ท่านดูถี่ถ้วนเช่นนี้ ทราบหรือไม่ว่าเป็นตั๋วเงินมูลค่าเท่าใด?”
เมิ่งชื่อเห็นบุตรสาวเย้าแหย่ตนเองแต่เช้าตรู่ โมโหตีไปที่ร่างของบุตรสาวที่มีผ้าห่มกั้นไว้เต็มแรง “เจ้าขบขันที่แม่ไม่รู้หนังสือใช่หรือไม่? แม่จะบอกให้นะ เจ้าดูแคลนแม่เกินไปแล้ว ช่วงที่ผ่านมาแม่รู้จักอักษรหลายตัวบนตั๋วเงินแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เชื่อ “เช่นนั้นท่านบอกหน่อยเถิดว่านี่เป็นเงินเท่าใด?”
เมิ่งชื่อหยิบตั๋วเงินขึ้นตอบอย่างยิ้มย่องใจ “นี่เป็นเงินสามพันตำลึงใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเลิกผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง ถามอย่างประหลาดใจ “ท่านแม่ ท่านเรียนรู้มาแต่เมื่อใด?”
เมิ่งชื่อพูดโยกโย้ “ไม่บอกเจ้าหรอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวกอดเมิ่งชื่อไว้แน่น พูดอย่างเกินจริง “ท่านแม่ ทำไมท่านเก่งแบบนี้ ข้ารักท่านจะแย่แล้ว”
เมิ่งชื่อทนรับความอบอุ่นเช่นนี้ของนางไม่ไหว เล่นเอาหน้าแดงก่ำ รีบผลักนางออก พูดว่า “เจ้าผีเข้าอะไรแต่เช้าตรู่ รีบลุกขึ้น ประเดี๋ยวอาหารจะเย็นเสียก่อน” พูดจบก็หยิบตั๋วเงินยิ้มหน้าบานกลับเข้าไปในห้องตัวเอง
กระทั่งเมิ่งชื่อเดินออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวถึงค่อยๆ เก็บคืน นั่งนิ่งบนเตียงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถึงลุกขึ้นแต่งตัว
หลังจากเมิ่งชื่อเก็บตั๋วเงินดีแล้ว ก็เข้าไปจัดแจงอาหารให้ดี เมิ่งเอ้ออิ๋นและคนอื่นๆ ทยอยกันเดินเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงข้างโต๊ะ ถามซุนเหลียงไฉอย่างจริงจัง “นับแต่วันนี้ไปอี้เซวียนก็ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป?”
ซุนเหลียงไฉกลืนหมั่นโถวในปากลงไป แล้วพูดว่า “ข้าก็ต้องไม่ไปด้วยอยู่แล้ว”
เมิ่งชื่อคัดค้าน “เจ้าจะไม่ไปโรงเรียนได้อย่างไร?”
ซุนเหลียงไฉตอบกลับ “เดิมข้าก็ไม่อยากเรียนหนังสือ ท่านปู่ที่จะให้ข้าไปให้ได้ ตอนนี้ในที่สุดก็มีข้ออ้างที่ดีนี้ ข้าไม่อยากต้องทุกข์ทรมานอีกแล้ว”
เมิ่งชื่อหันมองมาที่เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวพลันคิดอะไรบางอย่างได้ พูดอย่างปลาบปลื้มใจ “ไม่ไปก็ไม่ต้องไปเถอะ”
เมิ่งชื่อไม่เห็นด้วย “โยวเอ๋อร์ เจ้าตามใจเขาแบบนี้ ภายหน้าจะตอบซุนซ่านเหรินอย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวปลอบประโลมนาง “ท่านแม่ ข้าเพียงแค่ไม่ให้เขาร่ำเรียนไม่กี่วันเท่านั้น มิใช่จะไม่ให้เขาไม่ได้เรียนระยะยาวเสียหน่อย”
เมิ่งชื่อได้ฟังก็ให้งุนงง ถามขึ้น “เจ้าหมายความว่าอย่างไร เหตุใดแม่ถึงฟังไม่เข้าใจเล่า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอย่างมีเลศนัย “อีกไม่กี่วันท่านแม่ก็รู้แล้ว”
กินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวเตรียมจะไปดูฉั่งฉิกที่หมู่บ้านหลี่ว่าเติบโตเป็นอย่างไรแล้ว เพิ่งจะเดินพ้นประตูออกมา ก็เห็นรถม้าคันหนึ่งวิ่งแล่นเข้ามาแต่ไกล
พอรถม้าเข้ามาใกล้ เมิ่งเชี่ยนโยวถึงเห็นชัดว่า เป็นคนงานของจูหลานที่บังคับรถมา
คนงานจอดรถม้าสนิท พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างอ่อนน้อม “แม่นางเมิ่ง นายท่านของพวกเราให้ข้ามาบอกท่าน อีกสองวันเขาและคุณชายเซี่ย คุณชายอันรวมถึงคุณชายเปาและแม่นางซุนจะเข้ามาเป็นแขกที่บ้านท่าน ให้ท่านเตรียมวัตถุดิบอาหารให้เรียบร้อย ถึงตอนนั้นจะได้ทำพระกระโดดกำแพงให้พวกเขารับประทาน”
พอได้ยินว่าพวกซุนฮุ่ยจะมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็พยักหน้าดีใจ “รู้แล้ว กลับไปบอกนายท่านของพวกเจ้า ถึงตอนนั้นให้พวกเขาเข้ามาได้เลย”
คนงานรับคำ อีกทั้งชี้ไปที่รถม้าพูดว่า “นี่เป็นรถม้าที่คุณชายเปาชดเชยให้ท่าน ใหม่หมดตั้งแต่ข้างในไปถึงข้างนอก เชิญท่านดูก่อนว่าพอใจหรือไม่? คุณชายเปาบอกว่าหากท่านไม่พอใจ ให้ข้าบังคับกลับไป อีกสองวันพอเขามาเองจะซื้อคันใหม่นำมาให้ท่านอีกครั้ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปตรงหน้ารถม้า เปิดม่านรถออก เห็นด้านในมีสิ่งของพร้อมสรรพ พยักหน้าพึงพอใจ พูดว่า “ไม่เลว ข้าจะรับไว้”
คนงานถอดรถม้าออก หลังจากถามเมิ่งเชี่ยนโยวว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ก็พลิกตัวขึ้นรถม้า กลับไปรายงาน
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนหน้าประตูร้องตะโกน “พี่ใหญ่ พวกท่านออกมาหน่อยเถิด”
เมิ่งเสียนได้ยินเสียงเดินออกมา เห็นรถม้าคันหนึ่งหน้าประตูก็ให้ประหลาดใจ ถามขึ้น “น้องสาว มาจากไหนหรือ?”
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาจากตัวจังหวัด ก็มิได้บอกคนในครอบครัวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางกับพวกเขา อีกทั้งหลายวันมานี้คนในครอบครัวก็มีเรื่องยุ่ง ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าบนรถม้าตัวเองมีร่องรอยถูกคนฟัน ได้ยินเมิ่งเสียนถาม จึงสร้างเรื่องพูดปด “ข้ารังเกียจที่รถม้าของพวกเราทรุดโทรมแล้ว เกรงภายหน้านำออกไปคุยการค้าจะขายหน้า จึงให้คุณชายเปาช่วยซื้อคันใหม่มาให้ เมื่อครู่คนงานของจูหลานเข้ามาส่งข่าว จึงนำรถม้าเข้ามาด้วยเลย”
เมิ่งเสียนไม่คลางแคลงใจอะไร ร้องเรียกเมิ่งฉี เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉออกมา ร่วมแรงกันเข็นรถม้าเข้าไปในลานบ้าน
หลังจากเข็นรถม้าเข้ามาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งเสียนว่า “พี่ใหญ่ วันนี้ท่านขึ้นไปบนเขาดูว่าฉั่งฉิกเติบโตเป็นอย่างไรแล้ว อีกสองวันพวกคุณชายเปาก็จะมากินข้าวบ้านพวกเรา ข้าจักต้องเข้าเมืองไปซื้อวัตถุดิบ”
เมิ่งเสียนพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งกำชับให้วันนี้เมิ่งฉีพาเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉไปแปลงดินด้วย ให้พวกเขาได้ออกกำลังบ้าง จากนั้นกลับเข้าไปในห้อง หยิบพู่กันเขียนสิ่งที่ตัวเองต้องการ ถึงไปตะโกนบอกเหวินเปียวและเหวินหู่ให้เข้าไปซื้อวัตถุดิบในเมืองพร้อมตัวเอง
หลังจากเข้ามาถึงในเมือง เหวินเปียวเฝ้ารถม้า เหวินหู่ติดตามนางเข้าไปซื้อวัตถุดิบในตลาดสด
เดินวนในตลาดสดรอบใหญ่ วัตถุดิบโดยรวมซื้อได้ครบหมดแล้ว ส่วนวัตถุดิบหลักที่ใช้สำหรับอาหารสิบกว่าอย่างกลับซื้อได้เพียงสามถึงสี่ชนิด
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาขึ้นรถม้า สั่งการเหวินเปียวให้ไปที่เหลาจวี้เสียน
เหวินเปียวชะงักอึ้งเล็กน้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเขา “มุ่งหน้าตรงไปตามถนนเส้นนี้ ประมาณหนึ่งเค่อก็จะเห็นเหลาจวี้เสียน”
เหวินเปียวขานรับ บังคับรถม้ามาถึงเหลาจวี้เสียน
ตอนที่ 177-2 พระกระโดดกำแพง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้มาที่เหลาจวี้เสียนเป็นเวลานานแล้ว เสี่ยวเอ้อที่หน้าประตูเห็นนาง รีบเข้ามาต้อนรับ พูดอย่างกระตือรือร้น “แม่นาง ท่านมาแล้ว ท่านพ่อครัวของพวกเรามายืนคอยท่านที่หน้าประตูทุกวัน รอคอยให้ท่านเข้ามา”
สิ้นเสียง เสียงดังกังวานของพ่อครัวก็ดังแว่วมา “แม่นางเมิ่ง เจ้ามาเสียที หากเจ้าไม่มา ข้าจะไปหาเจ้าถึงบ้านแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ช่วงที่ผ่านมานี้ ในบ้านค่อนข้างยุ่ง ไม่มีเวลามา ไม่ทราบว่าท่านพ่อครัวมีเรื่องสำคัญอันใดอยากพบข้า?”
พ่อครัวตอบกลับ “ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญ เจ้าบอกว่าจะทำพระกระโดดกำแพงไม่ใช่หรือ? จะเริ่มทำเมื่อใดเล่า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวชี้วัตถุดิบบนรถม้า “วันนี้ข้าก็มาหาท่านเพราะเรื่องนี้ วัตถุดิบหลักของพระกระโดดกำแพงยังขาดไปบางส่วน ท่านดูหน่อยเถิดว่าเหลาจวี้เสียนของพวกท่านพอจะมีหรือไม่”
พอพ่อครัวได้ฟังว่าจะทำพระกระโดดกำแพง ก็ให้ดีใจลิงโลด พูดขึ้นทันควัน “ข้าบอกเจ้าแต่แรกแล้ว ต้องการวัตถุดิบอะไรก็ให้มาเอาจากเหลาจวี้เสียน ข้ามิได้จะโอ้อวดนะ ขอเพียงเป็นวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร เหลาจวี้เสียนของพวกเรามีทุกอย่าง เจ้าขาดอะไร ตามข้าเข้าไปในครัวก็พอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวนำกระดาษที่เขียนวัตถุดิบออกมา ชี้สิ่งของที่หาซื้อไม่ได้ให้เขาดู พูดว่า “ข้าคงไม่เข้าไปแล้ว ท่านดูเถิดว่าของที่ข้าขาดพอจะหาได้หรือไม่? หากว่ามี รบกวนท่านช่วยเตรียมออกมาให้ข้าตามปริมาณในกระดาษนี้ด้วยเถอะ”
พ่อครัวรับคำอย่างเบิกบาน “มีๆๆ มีทั้งหมด เจ้ารอประเดี๋ยว ข้าจะไปเอามาให้เจ้าเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มกล่าวขอบคุณ พ่อครัวโบกมือ หุนหันเข้าไปในครัว
เสี่ยวเอ้อถามนางอย่างนบนอบ “แม่นาง ข้าต้องไปเรียนหลงจู๊ของพวกเราหรือไม่ว่าท่านมาแล้ว?”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “วันนี้ข้าเพียงเข้ามาเอาสิ่งของบางส่วนกลับไปทำอาหาร ไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษ ไม่ต้องไปบอกหลงจู๊หรอก”
เสี่ยวเอ้อรับคำ ถอยกลับไปอีกด้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปรอข้างรถม้า
เวลาผ่านไปได้ครู่ใหญ่ พ่อครัวถึงเดินออกมา ไม่เพียงนำสิ่งของที่จำเป็นออกมา ยังถือห่อผ้าเล็กๆ ห่อหนึ่งออกมาด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างสงสัย “นี่ท่าน…?”
พ่อครัวตอบกลับ “เจ้ามิได้บอกว่าจะสอนข้าทำพระกระโดดกำแพงหรือ? ข้าจะไปกับเจ้าเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า รับสิ่งของในมือพ่อครัว ให้เขาขึ้นรถม้า
หลงจู๊วิ่งกระวีกระวาดตามออกมาจากด้านหลัง ขวางเขาไว้ พูดอย่างโมโหเดือดดาล “เหล่าอู๋ เจ้าบอกจะไปก็ไป ลูกค้าที่สั่งอาหารไว้จะทำอย่างไร?”
พ่อครัวตอบกลับ “ไม่เป็นไร ข้าสั่งการไว้หมดแล้ว ให้ศิษย์พวกนั้นของข้าไปผัดอาหารแทน” พูดจบก็จะขึ้นรถม้า
หลงจู๊ยิ่งเดือดเนื้อร้อนใจ รั้งเขาไว้ไม่ยอมปล่อย “พวกเขาเป็นศิษย์เจ้าไม่นาน อาหารที่ผัดออกมาจะเหมือนเจ้าหรือ? อีกอย่าง เจ้าไปแล้ว ก็ไม่มีใครควบคุมดูแลห้องครัว หากเกิดเรื่องยุ่งยากจะทำอย่างไร? ไม่ได้ เจ้าห้ามไป หากเจ้าอยากเรียนจริงๆ ก็ให้แม่นางเมิ่งมาสอนเจ้าที่เหลาจวี้เสียนก็ได้”
พ่อครัวถูกเขากระชากจนขยับไม่ได้ เริ่มร้อนรน “เจ้าจะไปรู้อะไร แม่นางเมิ่งบอกว่าพระกระโดดกำแพงนี้ต้องใช้เวลาทำหลายวัน พวกเราจะทำใจให้นางมาทุกวันได้อย่างไร”
หลงจู๊ยังคงไม่ปล่อยมือ “เช่นนั้นเอาไว้ภายหน้ามีโอกาสค่อยว่ากัน สรุปคือ ตอนนี้เจ้าจะไปไม่ได้”
พ่อครัวออกแรงสะบัดมือของหลงจู๊ออก แทรกมุดขึ้นไปบนรถม้า พูดว่า “ไม่ได้ ไม่ง่ายที่จะมีโอกาสเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไป”
หลงจู๊ร้อนรนกระทืบเท้ารัว “ข้าจะเขียนจดหมายหานายท่านเดี๋ยวนี้ บอกว่าเจ้าทิ้งลูกค้าไปอย่างไม่ไยดี ดูว่านายท่านจะลงโทษเจ้าอย่างไร?”
พ่อครัวยื่นศีรษะออกมา พูดโต้แย้ง “เหล่าหลิว ท่านทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง ท่านลองคิดดู ช่วงเวลานี้เหล่าจวี้เสียนของเราทำมาค้าขึ้นชื่อเสียงโด่งดัง มิใช่เพราะสูตรอาหารที่แม่นางเมิ่งสอนหรอกรึ นี่ก็นานแล้วที่ไม่มีรายการอาหารใหม่ ลูกค้าเก่าเริ่มมีความเห็นต่างแล้ว ข้าไม่เรียนทำอาหาร ท่านจะโดดเด่นกว่าหลงจู๊ตั้งมากมายเหล่านั้น ได้รับคำชื่นชมจากนายท่านได้อย่างไร อีกอย่าง ข้าไปแค่ไม่กี่วัน ท่านช่วยรับมือไปก่อน รอให้ข้าเรียนเป็นแล้วกลับมา เหล่าจวี้เสียนของเราจะต้องยิ่งดังระเบิด ไม่แน่ว่านายท่านจะให้รางวัลท่านด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากขึ้นในเวลาที่เหมาะสม “คือว่า พวกท่านพอจะรับฟังข้าได้หรือไม่?”
ในตอนนี้หลงจู๊ถึงเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ข้างๆ คิดถึงพฤติกรรมเมื่อครู่ของตัวเอง ใบหน้าชราพลันแดงอ่อน พูดกลบเกลื่อนทันควัน “แม่นางเมิ่ง เจ้าก็มาด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มพยักหน้า “หลงจู๊ ข้าขอร้องแทนท่านพ่อครัวได้หรือไม่?”
พ่อครัวปิติยินดี หลงจู๊ชะงักงัน
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ข้ารับปากว่าจะมาทำอาหารให้พวกคุณชายเปาทุกเดือน และมอบสูตรอาหารให้พวกท่าน แต่ตอนนี้ทุกคนต่างมีเรื่องยุ่ง ปลีกตัวมาไม่ได้ พระกระโดดกำแพงนี้ใช้วัตถุดิบจำนวนมาก แค่เครื่องเคียงก็สิบกว่าชนิดแล้ว ต้องใช้เวลาสองสามวันถึงจะทำเสร็จ คนที่จะเรียนทำอาหารจานนี้จักต้องเรียนให้ครบทุกขั้นตอน พระกระโดดกำแพงถึงจะทำออกมาได้อย่างหอมกรุ่นตลบอบอวล ทำให้ลูกค้าเจริญอาหาร และอาหารนี้ก็มิใช่ทำเป็นจานๆ แต่ในหนึ่งครั้งสามารถทำออกมาได้จำนวนมาก รอให้พ่อครัวเรียนทำอาหารจานนี้เป็น ไม่แน่ว่าเหล่าจวี้เสียนของพวกท่านจะยิ่งมีชื่อเสียงขจรขจาย”
หลงจู๊เริ่มหวั่นไหว
พ่อครัวยิ่งไม่ต้องพูดถึง เข้าไปนั่งอยู่ในห้องโดยสารแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจาซุกซนกับหลงจู๊ “ข้าจะบอกท่านให้นะ นี่เป็นอาหารที่ข้าชำนาญมากที่สุด ไม่แน่ว่าจะทำแค่ครั้งนี้ ต่อไปคงไม่มีเวลาทำอีกแล้ว ท่านแน่ใจว่าจะไม่ให้พ่อครัวไปเรียนทำอาหารนี้กับข้า?”
หลงจู๊ไม่พูดอะไร เสียงเร่งเร้าของพ่อครัวดังออกมาจากห้องโดยสาร “แม่นางเมิ่ง ไม่ต้องพูดพร่ำกับเขาแล้ว พวกเรารีบไปเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ
หลงจู๊รู้ว่าวันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็รั้งพ่อครัวกลับมาไม่ได้แล้ว จึงกัดฟันพูดว่า “ได้ ให้เขาไปเรียนกับท่าน แต่ให้เวลาสามวันเท่านั้น เกินกว่าสามวัน เหลาจวี้เสียนของข้าได้เกิดเรื่องโกลาหลแน่”
เสียงพ่อครัวดังลอยออกมา “เจ้ารับคำแต่เนิ่นๆ เช่นนี้ก็จบแล้ว ไม่แน่ว่าข้าถึงบ้านแม่นางเมิ่งนางแล้ว”
หลงจู๊โมโหพลุ่งพล่าน หากไม่เพราะเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ด้วย คาดว่าจะกระชากพ่อครัวออกมาจากรถม้าด้วยความโมโหไปแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้อนพูด “เมื่อหลงจู๊รับปากแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ขอตัวก่อน”
หลงจู๊คลายโทสะลง บอกลาเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างมีมารยาท
เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวขึ้นรถม้า เห็นพ่อครัวร่างใหญ่กำยำ วางห่อผ้าใบย่อมลง รู้สึกเป็นภาพที่น่าขบขัน แอบโพล่งหัวเราะออกมา
พ่อครัวที่กำลังกระดี้กระด๊าไม่สังเกตเห็นนางหลุดขำ พูดเร่งเร้านาง “แม่นางเมิ่ง พวกเรารีบไปเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นนั่งบนรถม้าเรียบร้อย ถึงพูดขึ้น “พวกเรายังต้องซื้อโถใหญ่สองสามใบ ถึงจะกลับบ้านได้”
พ่อครัวใจร้อนรุ่ม พูดว่า “ไม่ต้องซื้อแล้ว ในภัตตาคารมี พวกเราเอาไปสักโถก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้าซื้อโถมาทำพระกระโดดกำแพง คนในครอบครัวข้ามาก แค่โถใบเดียวไม่พอใช้ ต้องซื้อหลายโถ ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่าในเมืองนี้มีขายที่ไหน?”
พอได้ยินว่าใช้ทำพระกระโดดกำแพง พ่อครัวก็พูดขึ้นทันควัน “รู้ ข้าจะพาพวกท่านไป”
ภายใต้การบอกทางของพ่อครัว เหวินเปียวก็บังคับรถม้ามาถึงหน้าร้านขายโถโดยเฉพาะ เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เดินเข้ามาในร้าน ทำการเลือกโถขนาดใหญ่เล็กไม่เท่ากันสี่ใบอย่างละเอียด พอจ่ายเงินเสร็จ ก็บอกหลงจู๊ว่า “ในรถม้าของพวกเรามีคนมาก บรรจุโถเหล่านี้ไปไม่หมด รบกวนจัดส่งไปให้ข้าด้วยเถอะ”
หลงจู๊ของร้านค้ารับคำอย่างยินดี ถามที่อยู่ชัดเจนแล้วก็สั่งการพนักงานรีบนำของไปส่ง
เมื่อซื้อสิ่งของที่ต้องการได้หมดครบถ้วนแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็สั่งเหวินเปียวให้กลับบ้าน
เมิ่งชื่อเห็นชายตุ้ยนุ้ยคนหนึ่งกลับมากับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วย ก็ให้ตกใจ เมิ่งเชี่ยนโยวรีบแนะนำว่าเป็นพ่อครัวเหลาจวี้เสียน มาเรียนทำอาหารให้ตนเอง เมิ่งชื่อถึงวางใจลงได้
พ่อครัวเป็นคนเถรตรง และไม่เกรงใจคนสกุลเมิ่ง ให้เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มลงมือทำอาหารทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเหวินเปียวและเหวินหู่ให้นำวัตถุดิบที่ซื้อมาวางไว้ในลานใหญ่ และให้ทั้งสองคนไปหาบน้ำถังใหญ่เข้ามา เพื่อล้างวัตถุดิบให้สะอาด
เมิ่งชื่อเห็นวัตถุดิบจำนวนมากมายนี้ ก็ให้ตกอกตกใจ รีบร้อนถาม จะมีแขกมาบ้านหรืออย่างไร เหตุใดถึงทำอาหารมากมายเช่นนี้
ลิ้มยิ้มพูด “ท่านแม่ นี่เป็นวัตถุดิบสำหรับทำอาหารหนึ่งชนิด ข้าคิดจะทำเยอะหน่อย ให้คนในบ้านได้ลิ้มรสด้วย”
เมิ่งชื่อร้องอุทาน “อาหารอะไรถึงต้องใช้วัตถุดิบมากมายเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตาหยีบอกนาง “อาหารชนิดนี้มีชื่อว่าพระกระโดดกำแพง ความหมายก็คือหลังจากทำอาหารจานนี้เสร็จ แม้แต่เทพเซียนก็ยังทนไม่ไหวต้องกระโดดกำแพงออกมากิน”
เมิ่งชื่อขบขันไปกับนางพูดว่า “เจ้าลูกคนนี้ พูดจาแก่แดดแก่ลมขึ้นทุกวัน จะมีอาหารอร่อยขนาดนั้นที่ไหนกัน”
ตอนที่ 178-1 หวั่นไหว
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “รอให้ข้าทำออกมาท่านก็จะทราบเอง”
พนักงานนำโถมาส่ง เมิ่งเชี่ยนโยวล้างด้วยตัวเองอย่างสะอาดเอี่ยม วางพักตากให้แห้ง
วัตถุดิบที่ซื้อมามีจำนวนมาก พ่อครัว เมิ่งชื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสามคนใช้เวลาถึงช่วงบ่ายถึงจะชำระล้างเสร็จ วางแยกไว้รอพร้อมใช้งาน
เมิ่งเชี่ยนโยวนำวัตถุดิบที่สิ้นเปลืองเวลาค่อนข้างนานนำไปดองแช่ไว้อีกด้านก่อน
พ่อครัวคอยตามติดข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ห่าง มองดูการกระทำของนางอย่างไม่ให้คลาดสายตา
ทุกขั้นตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำ จะบอกเขาอย่างใจเย็น พ่อครัวกลัวว่าผ่านไปนานเข้าจะจำไม่ได้ รีบร้อนหยิบกระดาษพู่กันออกมาจดบันทึก
วัตถุดิบในวันแรกจัดเตรียมพร้อมสรรพ มาถึงวันที่สองเมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มนำวัตถุดิบที่ไม่เหมือนกันทำเป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกัน
พ่อครัวไม่เข้าใจ ซักไซ้ว่าทำเช่นนี้ต่างอะไรกับการทำอาหารธรรมดาทั่วไป
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วบอกเขาอย่าใจร้อน ค่อยๆ ดูต่อไปเดี๋ยวก็จะรู้เอง
วัตถุดิบมีเยอะมาก เมิ่งเชี่ยนโยวทำทั้งวันถึงจะทำเสร็จ หลังจากทำเสร็จถึงบอกพ่อครัวว่าขั้นตอนสำคัญของการทำพระกระโดดกำแพงเริ่มต้นแล้ว
พ่อครัวเบิกตาโพลง เมิ่งเชี่ยนโยวนำวัตถุดิบที่ทำเสร็จแล้วมาวางสุมกันเป็นชั้นๆ อย่างเป็นระเบียบในโถสองสามใบ พอจัดวางไปได้สองสามชั้นก็จะเทน้ำปรุงที่แตกต่างกัน กระทั่งนำผักที่ทำเสร็จแล้วใส่ลงไปข้างในเสร็จ เทน้ำปรุงสุดท้ายเข้าไป ถึงปิดผนึกฝาขวด กำชับเหวินเปียวและเหวินหู่ให้นำโถสี่ใบนี้ไปวางบนเตาไฟที่ก่อเสร็จแล้วใช้ไฟอ่อนตุ๋นจนถึงพรุ่งนี้เช้า
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกพ่อครัวว่าไฟและเวลาในการตุ๋นนี้ล้วนต้องพิถีพิถัน
พ่อครัวถือกระดาษพู่กันจดบันทึกอย่างละเอียด
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเหวินเปียวและเหวินหู่ ไม่ว่าสถานการณ์ใด ห้ามให้ไฟดับ จะต้องตุ๋นจนให้ได้ตามเวลาถึงจะใช้ได้ ทั้งเรียกพวกอู๋ต้าเข้ามา ให้พวกเขาผลัดเปลี่ยนกันคอยดูไฟ
หนึ่งคืนผ่านไป
วันที่สอง ฟ้ายังไม่สาง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถูกปลุกด้วยเสียงดังลั่นของพ่อครัวอู๋ หยิบเสื้อผ้ามาสวม เปิดประตูออก กลิ่นหอมก็ฟุ้งกระจายตลบอบอวลเข้ามา รู้ว่าพระกระโดดกำแพงทำสำเร็จแล้ว ก็เดินไปที่ลานบ้านทันที
พ่อครัววนรอบโถทั้งหมดอย่างปลาบปลื้มปิติ แทบอยากจะเปิดโถออกกินเสียเดี๋ยวนั้น
เหวินเปียวและเหวินหู่นำพาพวกอู๋ต้าคอยดูกำลังไฟทั้งคืน ในตอนนี้ก็ยังดูมีชีวิตชีวาดี เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา พูดอย่างดีใจ “แม่นาง อาหารนี้หอมเหลือเกิน พวกเราต่างก็ทนไม่ไหว น้ำลายหกไปหลายสอแล้ว”
พ่อครัวพูดจาเกินเลยยิ่งกว่า “แม่นางเมิ่ง หากไม่มีสายตาคอยจับจ้องตะครุบข้าของพวกเขา เกรงว่าพระกระโดดกำแพงในโถนี้ได้ถูกข้ากินเกลี้ยงไปแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะ
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อก็ถูกเสียงดังเอะอะของพ่อครัวปลุกให้ตื่น กระวีกระวาดใส่เสื้อผ้าออกมา ได้กลิ่นหอมฟุ้งลอยมาปะทะจมูก ก็ให้แปลกประหลาดใจมาก
กระทั่งฟ้าสาง เมิ่งเชี่ยนโยวถึงให้พวกเขาดับไฟ
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเด็กน้อยทั้งสองคน สูดกลิ่นเข้าจมูก เดินวนเวียนรอบโถไม่ห่าง
เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวจะลวกถูกพวกเขา กำชับพวกเขาให้อยู่ห่างจากโถ บอกพวกเขาว่า รอยามเที่ยงเมื่อแขกมาแล้วถึงจะกินได้
เด็กน้อยทั้งสองไชโยโห่ร้อง ยิ่งวิ่งอย่างชื่นบานวนรอบโถ ทว่าอยู่ห่างออกมาอย่างเชื่อฟัง
เมิ่งเชี่ยนโยวกินข้าวเช้าพร้อมกลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งเสร็จ ก็แบ่งหน้าที่ให้พวกเหวินเปียว ให้เหวินเปียวไปหอน้ำชาของซุนซ่านเหรินรับซุนซ่านเหรินและซุนเชี่ยนเข้ามา ให้พวกอู๋ต้าเข้าไปยืมโต๊ะเก้าอี้จำนวนหนึ่งในหมู่บ้านมา ยังคิดจะให้คนกางศาลา ภายหลังคิดได้ว่ายุคสมัยนี้ไม่มีผ้าเต็นท์ ทั้งต้องใช้ฟางข้าวถึงจะกางได้ รู้สึกว่ายุ่งยาก จึงล้มเลิกไป คิดว่าช่วงเวลานี้อากาศยังไม่ร้อน การกินอาหารนอกบ้านก็เป็นรสชาติที่แปลกใหม่ไปอีกแบบ
หลังจากพวกอู๋ต้าจัดโต๊ะเก้าอี้ที่ยืมมาเสร็จ เริ่มรู้สึกง่วงหงาว
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสภาพเช่นนั้นของพวกเขาก็ยิ้มพูด “หากพวกเจ้ารู้สึกไม่ไหวแล้ว ก็กลับไปพักผ่อนสักครู่เถอะ แต่ข้าบอกพวกเจ้าไว้ก่อน หากพวกเจ้าพลาดเวลานี้ไป ก็จะไม่มีพระกระโดดกำแพงให้กินอีก”
ตั้งแต่ที่กลิ่มหอมแรกของพระกระโดดกำแพงลอยออกมาพวกอู๋ต้าก็น้ำลายสอมาถึงตอนนี้ ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่าตัวเองก็กินได้ แต่ละคนต่างถลึงตาโตพลัน มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
เหวินเปียวไปรับซุนซ่านเหรินและซุนเชี่ยนกลับมาอย่างไว
สองปู่หลานสกุลซุนเพิ่งจะลงจากรถม้า ก็ได้กลิ่นหอมฟุ้งลอยเต็มลานบ้าน รู้สึกประหลาดใจ ไม่รอให้เหวินหู่ไปรายงาน ก็สาวเท้าเดินเข้ามาในลานบ้าน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็อยู่ด้วย ซุนซ่านเหรินหัวเราะเหอะๆ พูดว่า “แม่นางเมิ่ง พวกเรามาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังสั่งพวกอู๋ต้าให้จัดวางโต๊ะเก้าอี้ใหม่ ได้ยินเสียงซุนซ่านเหรินก็กลับหลังหัน ยกยิ้มพูด “ข้าทำอาหารชนิดหนึ่ง คิดว่าพวกท่านน่าจะไม่เคยกิน จึงให้คนไปรับพวกท่านมา คงไม่รบกวนเวลาของพวกท่านหรอกนะ?”
ซุนซ่านเหรินโบกมือ พูดอย่างอารมณ์ดี “แม่นางเมิ่งพูดอะไรกัน ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่คับฟ้าก็ไม่อาจขวางข้ามากินอาหารที่หอมอบอวลเช่นนี้ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกเขาหยอกเย้าจนหัวเราะร่วน
ซุนเชี่ยนกลับยิ่งประหลาดใจ “ที่แท้เจ้ามิได้เพียงทำอาหารเป็น ทั้งยังทำอาหารมีกลิ่นหอมเย้ายวนได้ถึงเพียงนี้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ไม่เพียงอาหารชนิดนี้ ข้ายังทำอาหารอื่นๆ ได้อีกมาก หากเจ้าอยากกิน เมื่อมีเวลาว่างก็มาบ้านพวกเราบ่อยๆ ข้าจะทำอาหารหลายๆ ชนิดให้เจ้ากิน”
ซุนเชี่ยนพูดทันควัน “เจ้าพูดเองนะ หากภายหน้าข้ามากินข้าวบ้านเจ้าทุกวัน เจ้าจะรำคาญมิได้นะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับอย่างมีนัยแฝง “เฝ้าหวังให้เป็นเช่นนั้น”
เมิ่งเสียนได้ฟังพวกนางสนทนากัน กะพริบตาปริบๆ ก้มศีรษะมองต่ำ
ซุนเชี่ยนแสร้งทำเป็นมองเขาโดยไม่ตั้งใจแวบหนึ่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบมองทั้งหมดนี้ไว้ในสายตา
ซุนเหลียงไฉที่แทบอยากเอาตัวเองแปะติดกับโถเห็นซุนซ่านเหรินเข้ามา ดีใจวิ่งเข้าหา ร้องเรียก “ท่านปู่”
ซุนซ่านเหรินหัวเราะเหอะๆ ขานรับ
ซุนเชี่ยนใช้มือเขกศีรษะซุนเหลียงไฉ พูดว่า “เจ้าตัวดี ยังมีข้าเล่า?”
ซุนเหลียงไฉลูบศีรษะตัวเอง พูดอย่างไม่พอใจ “ทำไมข้าถึงโชคร้ายเช่นนี้ มีพี่สาวที่ชอบตีคนเช่นท่านได้”
ซุนเชี่ยนเคาะไปอีกครั้ง “ข้าว่าเจ้าอยากถูกอัดจริงๆ แล้ว พูดเช่นนี้กับพี่สาวได้อย่างไรกัน?”
ซุนเหลียงไฉยื่นหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่นาง “ท่านโหดเช่นนี้ ระวังจะขายไม่ออก” พูดจบกลัวซุนเชี่ยนจะอัดเขา หันหลังเผ่นแนบ
ซุนเชี่ยนยกกระโปรงวิ่งไล่กวดอย่างไม่สนภาพลักษณ์ “เจ้าตัวดี ทางที่ดีอย่าให้ข้าจับได้เล่า ไม่เช่นนั้นวันนี้ข้าจะตีจนภายหน้าเจ้าไม่กล้าพูดเหลวไหลอีก”
เมิ่งเสียนเห็นท่าทีที่ไม่สะดีดสะดิ้งเสแสร้งแม้แต่น้อยของนาง ก่อเกิดความรู้สึกประหลาดบอกไม่ถูกขึ้นในใจ
ซุนซ่านเหรินมองดูสองพี่น้องวิ่งไล่กวดกันอย่างมีความสุข พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างซาบซึ้งใจ “แม่นางเมิ่ง เพราะเจ้าแท้ๆ เชี่ยนเอ๋อร์และไฉเอ๋อร์ถึงเข้าหากันได้ดีเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าหาได้ทำสิ่งใดไม่”
ซุนซ่านเหรินถอนใจ “เฮ้อ เพราะว่าเชี่ยนเอ๋อร์เป็นบุตรสาว เจ้าบุตรชายไม่เอาถ่านของข้าถึงไม่ดูดำดูดีนาง เชี่ยนเอ๋อร์ต้องอยู่ข้างกายข้ามาตลอด แต่เชี่ยนเอ๋อร์ก็มีนิสัยแข็งกร้าว จึงเห็นเขาขวางหูขวางตาไปด้วย สิ่งนี้กระทบต่อความสัมพันธ์ของเชี่ยนเอ๋อร์และไฉเอ๋อร์ กระทั่งได้เจ้าสอนสั่งมาหลายเดือน หลังจากไฉเอ๋อร์กลับบ้านก็เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเชี่ยนเอ๋อร์ ทั้งสองถึงมีความสัมพันธ์เยี่ยงพี่น้องแท้ๆ ไม่เช่นนั้น ไม่แน่ว่าภายหน้าพวกเขาสองคนอาจจะเป็นศัตรูกันก็เป็นได้”
คำพูดทำนองนี้ ซุนซ่านเหรินเคยพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นหลานชายและหลานสาวเข้ากันได้เป็นอย่างดี ก็มักจะคิดถึงเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วโรคขี้บ่นก็มักจะกำเริบตามมา
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “หาได้รุนแรงเช่นนั้นไม่ พื้นฐานเหลียงไฉมิได้เลวร้าย เพียงแค่เขาถูกตามใจจนเคยตัวมานาน ลุ่มหลงไม่ได้สติไปกับบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น ข้าเองก็มิได้ทำสิ่งใด เขาคงจะเห็นพวกเราพี่น้องรักใคร่สมัครสมานสามัคคี หัวใจถูกกระตุ้นเร้า จึงปรับเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อคุณหนูซุน”
ได้ฟังนางถ่อมตนเช่นนี้ ซุนซ่านเหรินหัวเราะเหอะๆ พูดว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องขอบใจการสอนสั่งที่เจ้ามีต่อเหลียงไฉ”
ซุนเชี่ยนวิ่งไล่กวดซุนเหลียงไฉหนึ่งรอบ และไม่รู้ว่าซุนเหลียงไฉตั้งใจหรือเป็นความบังเอิญ วิ่งไปข้างกายเมิ่งเสียน แล้วมุดตัวหลบด้านหลังเมิ่งเสียน ซุนเชี่ยนไม่กล้าเดินหน้าเข้าไปจับเขา พูดด้วยน้ำโห “เจ้าตัวดี ออกมาเดี๋ยวนี้ ไปหลบหลังคนอื่นใช้ได้ที่ไหนกัน?”
ซุนเหลียงไฉยื่นหัวออกมาจากหลังเมิ่งเสียน แลบลิ้นปลิ้นตาใส่นางอย่างคึกคะนอง พูดจายั่วยุ “ข้าไม่ออกไปเสียอย่าง ท่านจะทำอะไรข้าได้?”
ซุนเชี่ยนโมโหเดือดดาล เข้าไปคว้าเมิ่งเสียนดึงไปอีกด้าน “ท่านหลีกไป วันนี้ข้าจักต้องตีเจ้าตัวดีนี่ให้รู้สำนึก”
เมิ่งเสียนก็ไม่หลบเลี่ยง ถูกนางลากไปอีกด้าน
ซุนเหลียงไฉร้องอุทาน หันหลังวิ่งแผ่นแนบ ซุนเชี่ยนวิ่งไล่กวดตามหลังไป
เมิ่งเสียนยืนอยู่อีกด้าน ลูบแขนตัวเองที่ถูกนางดึงรั้ง ความรู้สึกแปลกประหลาดในใจยิ่งทวีความเข้มข้น
เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนซ่านเหรินมองทุกอย่างนี้อยู่ในสายตา กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ
ตอนที่ 178-2 หวั่นไหว
พวกจูหลานมาถึงโดยไว คงเพราะได้กลิ่นหอมฟุ้งของพระกระโดดกำแพง เสียงแปดหลอดของจูหลานก็ดังขึ้นนอกประตู “หอมนัก ข้าไม่เคยได้กลิ่นหอมน่าพิศวงเช่นนี้มาก่อน วันนี้พวกเจ้าใครก็ห้ามแย่งข้า ข้าจะต้องกินให้อิ่มหนำ”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงพวกเขา ออกมาต้อนรับ
คนทั้งหมดแย้มยิ้มกล่าวทักทายนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวสาวเท้าเดินไปข้างกายซุนฮุ่ย คลี่ยิ้มกล่าวว่า “ท่านพี่ซุน ท่านมาเสียที คิดถึงท่านจะแย่แล้ว”
ซุนฮุ่ยยิ้มพูด “ข้าก็คิดถึงเจ้า หากไม่เพราะเปาอีฝานยืดเวลาแล้วยืดเวลาเล่า ข้าคงได้มาหาเจ้าไปนานแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงนึกได้ว่าไม่เห็นเปาอีฝาน ถามแหย่เย้าว่า “ท่านพี่ซุน เหตุใดคุณชายเปาถึงไม่ได้มาด้วย? เขาไม่กลัวกลับไปจะถูกท่านให้เขาคุกเข่ายกกระดานซักผ้าหรือ”
ซุนฮุ่ยเขินหน้าแดง อธิบายว่า “เดิมพวกเราตกลงกันดีแล้ว ว่าวันนี้จะออกมาพร้อมกัน ใครจะไปคิดว่าเมื่อวานท่านใต้เท้าผู้ว่าให้คนมาส่งข่าว บอกว่าคดีพวกค้ามนุษย์เกิดปัญหา ให้เขาเข้าไปร่วมหารือด้วย วันนี้เขาจึงต้องรีบเข้าไปในจังหวัดแต่เช้าตรู่”
เมิ่งเชี่ยนโยวดึงมือซุนฮุ่ยมาพาเดินเข้าไปด้านใน “เช่นนั้นเขาก็ไม่มีลาภปากแล้ว วันนี้ท่านกินให้มากหน่อย กลับไปค่อยบอกเขาว่าอร่อยมากเพียงใด แกล้งเขาให้น้ำลายสอ”
ซุนฮุ่ยได้ยินนางพูดด้วยวาจาเหมือนเด็กซุกซน ก็ให้หลุดขำ
ซุนฮุ่ยและซุนเหลียงไฉหยุดเล่นอาละวาดแล้ว ทั้งสองคนกำลังพูดจาหัวร่อต่อกระซิบข้างกายซุนซ่านเหริน
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกนาง “คุณหนูซุน ท่านมาตรงนี้หน่อยเถิด”
ซุนเชี่ยนได้ฟังลุกขึ้นยืน เดินไปหน้าคนทั้งสอง
เมิ่งเชี่ยนโยวแนะนำซุนเชี่ยนกับนาง “นี่คือท่านพี่ซุน เป็นเพื่อนรักคนหนึ่งของข้า บ้านอยู่ในอำเภอ วันนี้ตั้งใจมากินพระกระโดดกำแพงที่บ้านพวกเรา”
ซุนเชี่ยนตกตะลึง “ท่านก็แซ่ซุน? เช่นนี้หลายร้อยปีก่อนพวกเราก็คือครอบครัวเดียวกันนะสิ”
ซุนฮุ่ยชะงักอึ้งเล็กน้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบาย “ท่านนี้คือคุณหนูซุน เป็นเพื่อนรักอีกคนของข้า หากท่านไม่รังเกียจ เรียกนางว่าซุนเชี่ยนก็ได้”
ซุนฮุ่ยเข้าใจพลัน คลี่ยิ้มพูด “พวกเราต่างก็ถูกอกถูกใจโยวเอ๋อร์ด้วยกัน ไม่แน่ว่าเมื่อก่อนจะเคยเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ”
หญิงสาวทั้งสามคนคุยกระซิบกระซาบกันไม่หยุด เมิ่งเสียนพาพวกจูหลานทั้งสามคนเข้ามาในลานบ้าน
คนทั้งหมดเดิมก็เป็นนักกิน ตอนนี้ได้กลิ่นพระกระโดดกำแพง แทบอยากจะเปิดฝาลิ้มรสเสียให้รู้แล้วรู้รอด
เมิ่งเชี่ยนโยวหาจังหวะพูดหยอกเย้าคนทั้งสาม “พวกท่านทั้งสามอย่างไรก็เป็นคุณชายเศรษฐี อย่ากระทำตัวไร้การอบรมเช่นนี้ได้หรือไม่?”
จูหลานตอกกลับ “คุณชายเศรษฐีก็เป็นคน เป็นคนล้วนชอบกิน นี่เป็นการแสดงออกตามสัญชาตญาณของพวกเราต่างหากเล่า”
เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม
ซุนฮุ่ยยิ้มพูด “อย่าไปสนใจพวกเขาเลย พอเห็นของกิน พวกเขาก็ไม่เหลือมาดอะไรแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนฮุ่ยหัวเราะร่วน
พวกจูหลานก็ไม่สนใจพวกนาง เดินวนรอบโถสูดกลิ่นเต็มแรง
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้า หันไปพูดกับซุนฮุ่ยและซุนเชี่ยนว่า “พวกท่านทั้งสองคุยกันไปก่อน ข้าจะไปเรียกครอบครัวท่านอาจารย์มา พวกเราก็จะกินกันได้แล้ว”
ทั้งสองพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปหาเมิ่งเอ้ออิ๋น ให้เขาไปเรียกคนที่บ้านใหญ่มากินพระกระโดดกำแพงด้วยกัน
เมิ่งเอ้ออิ๋นดีใจเป็นอย่างมาก ก้าวเท้ายาวเร่งรุดไปบ้านใหญ่ทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องเรียกเมิ่งอี้เซวียน ทั้งสองมาถึงเรือนหลังใหม่พร้อมกัน
บ่าวเฝ้าประตูรู้จักพวกเขาแล้ว รีบเข้ามาถามอย่างอ่อนน้อมว่ามีเรื่องอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตาหยีบอกเขา “ข้าทำอาหารเลิศรสชนิดหนึ่งไว้ จะมาเชิญครอบครัวท่านอาจารย์ไปกินด้วยกัน รบกวนท่านช่วยไปรายงานหน่อยเถอะ”
บ่าวรับใช้ไม่กล้ารอช้า วิ่งแนบเข้าไปรายงานในลานบ้าน
เมื่อวานหลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนกลับไป อาจารย์โจวก็ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดกับบุตรชายทั้งสองคน ห้ามเอ่ยถามถึงชาติกำเนิดของเมิ่งอี้เซวียนขึ้นอีก โดยกล่าวว่า “แม่นางน้อยกล่าวถูกต้อง เมื่อพวกเราออกห่างจากเมืองหลวงมาแล้ว ก็อย่าได้เข้าไปพัวพันกับเรื่องจริงๆ เท็จๆ เหล่านี้อีก อย่างมากสามปี พวกเราก็กลับบ้านเกิดแล้ว ถึงตอนนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ทั้งหมดล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา”
โจวเสี้ยวและโจวหลี่พยักหน้า แสดงว่าจดจำไว้แล้ว
แม้ความคิดของพวกเขาจะไม่เลว แต่เรื่องราวมักไม่ได้เป็นไปตามที่ใจปรารถนา ในอนาคตอันใกล้ พวกเขายังต้องกลับไปเมืองหลวง แน่นอนว่าเป็นเรื่องภายหลัง สำหรับสาเหตุ ภายหน้าค่อยบอกเล่า
บ่าวรับใช้เข้ามาในลานบ้าน เปล่งเสียงรายงานว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมาเชื้อเชิญพวกเขาทั้งครอบครัวไปกินข้าวด้วยกัน ท่านอาจารย์ครุ่นคิดเล็กน้อย คิดว่าเมื่อตนเองรับปากจะอยู่เป็นอาจารย์แล้ว มิควรวางตัวให้สูงศักดิ์เกินไป ควรจะใช้ชีวิตให้เข้าตามถิ่นธรรมเนียมจะเป็นการดีกว่า จึงพยักหน้ารับคำ ให้บ่าวรับใช้ไปบอกเมิ่งเชี่ยนโยวให้รอสักครู่ พวกเขาทั้งครอบครัวจะออกไปเดี๋ยวนี้
บ่าวรับใช้ขานรับคำ รีบวิ่งกลับออกมาบอกเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนรออยู่หน้าประตูอย่างใจเย็น
ท่านอาจารย์ให้บ่าวรับใช้ไปบอกโจวเสี้ยวและโจวหลี่ ให้จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ทั้งครอบครัวจะไปกินข้าวบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว
โจวเสี้ยวและโจวหลี่ย่อมไม่คัดค้าน ตระเตรียมอย่างรวดเร็ว แต่ละคนพาครอบครัวของตัวเองมายืนรออาจารย์โจวที่หน้าประตู
อาจารย์โจวและภรรยาก็จัดแจงอย่างว่องไว เดินพ้นประตูลานบ้าน นำคนทั้งหมดมาถึงด้านนอกประตูใหญ่
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนเห็นท่านอาจารย์ออกมา รีบเข้าไปทำความเคารพ ท่านอาจารย์โบกมือ “ต่อไปข้าจะพำนักที่นี่ระยะยาว ใช้ชีวิตตามถิ่นธรรมเนียม พิธีการยิบย่อยพวกนี้ให้เลี่ยงไปเถอะ”
ทั้งสองขานรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ชนบทพื้นที่ห่างไกล ไม่มีอะไรต้อนรับท่านอาจารย์ วันนี้พอดีมีมิตรสหายมาเยี่ยมเยือน ข้าทำอาหารที่ถนัดไว้ชนิดหนึ่ง อยากเชิญพวกท่านทั้งครอบครัวไปลิ้มรส ถือเป็นการต้อนรับการมาของพวกท่าน”
ได้ยินว่านางทำอาหารเพียงชนิดเดียว ท่านอาจารย์ก็ให้กังขา ทว่า การถูกอบรมบ่มเพาะมานานหลายปีทำให้เขาไม่ได้ซักไซ้ออกไป เพียงกล่าวอย่างเกรงใจ “ขอบใจแม่นางเมิ่งมาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนยกยิ้มเดินขึ้นหน้านำทางพวกเขา ท่านอาจารย์นำคนทั้งครอบครัวเดินตามหลังไป
คนในหมู่บ้านได้เห็นท่านอาจารย์ที่ถูกเชิญมาเป็นครั้งแรก เห็นพวกเขาทั้งครอบครัวแต่งกายไม่ธรรมดา แต่ละคนล้วนมีท่วงท่าสูงศักดิ์แผ่ออกมารอบกาย แอบลอบคาดเดาในใจ บ้านสกุลเมิ่งไปเชิญผู้สูงศักดิ์เช่นนี้มาจากที่ไหนกันแน่
เดินมาถึงหน้าประตูบ้าน กลิ่นหอมฟุ้งก็ลอยอบอวลออกมา คนทั้งหมดอดใจไม่ไหวสูดดมไปหนึ่งฟอด แม้แต่อาจารย์โจวก็ยังทนไม่ไหว
เมิ่งเชี่ยนโยวพาท่านอาจารย์เข้ามาในลานบ้าน เมิ่งจงจวี่และภรรยาก็นำคนในครอบครัวมาถึงแล้ว เห็นท่านอาจารย์เข้ามา เร่งรุดเข้าไปทำความเคารพ ท่านอาจารย์โบกมือ “ต่อไปข้าเป็นเพียงอาจารย์ของอี้เซวียนเท่านั้น ซิ่วไฉเมิ่งมิต้องแสดงความเคารพข้าแล้ว”
ได้ยินว่าเขารับปากแล้ว เมิ่งจงจวี่ก็ให้ปิติ น้อมคำนับแสดงความเคารพอีกครั้ง พูดอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณท่านอาจารย์”
เมิ่งเชี่ยนโยวจัดวางโต๊ะเก้าอี้ไว้สี่โต๊ะ โต๊ะแรกเป็นของครอบครัวท่านอาจารย์ อีกโต๊ะเป็นของคนในสกุลเมิ่งเอง อีกโต๊ะเป็นของครอบครัวเหวินเปียวรวมถึงพวกอู๋ต้า สำหรับซุนซ่านเหริน เมิ่งเชี่ยนโยวจัดสรรให้พวกเขานั่งร่วมกับครอบครัวตัวเอง ส่วนโต๊ะสุดท้ายตนเองและซุนเชี่ยนจะนั่งร่วมวงกินกับซุนฮุ่ยและพวกจูหลาน พ่อครัวเห็นว่าโต๊ะนี้คนน้อย จึงร่วมนั่งโต๊ะนี้ด้วย
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวจัดสรรคนทั้งหมดแล้ว อาหารของเมิ่งชื่อก็ทำเสร็จแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเหวินเปียวและเหวินหู่ให้ยกโถเหล่านั้นที่มีขนาดใหญ่เล็กไม่เท่ากันขึ้นจากเตาแยกย้ายนำไปวางไว้บนโต๊ะแต่ะละตัว ทั้งกำชับพวกอู๋ต้าไปยกอาหารเข้ามา ถึงพูดกับคนทั้งหมดว่า “เอาล่ะ เมื่อเปิดฝาออกก็ลงมือกินได้แล้ว”
จูหลานอดทนรอไม่ไหวมานานแล้ว สิ้นเสียงเมิ่งเชี่ยนโยว เขาก็ยื่นมือออกไปเปิดฝาออก กลิ่นหอมคละคลุ้งอัดแน่นปะทะเข้าจมูกเต็มๆ อันอี่หยวนยิ่งเร็วกว่า หยิบตะเกียบคีบอาหารเข้าปากทันที อาหารเพิ่งจะเข้าปาก ก็ร้องเสียงหลง “อร่อยเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยกินอาหารที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน” เซี่ยเจียงเฟิงก็ไม่ยอมน้อยหน้า หยิบตะเกียบขึ้นคีบอาหารเข้าปากตัวเองหนึ่งคำ แล้วก็ร้องชื่นชมไม่ขาดเช่นกัน
ทุกคนเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา ทยอยกันเปิดฝาโถบนโต๊ะตัวเอง กลิ่นหอมตลบอบอวลลอยฟุ้งไปทั่วทั้งลานบ้านฉับพลัน กลิ่นหอมนี้ค่อยๆ ลอยกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง ได้กลิ่นหอมตลบไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
ครอบครัวเหวินเปียวและครอบครัวอู๋ต้าต่างไม่มีพิธีรีตอง ไม่เกรงใจกันและกัน หยิบตะเกียบได้ก็ลงมือกินทันที
คนบ้านสกุลเมิ่งมีเมิ่งจงจวี่อยู่ด้วย กลับไม่มีใครสนใจใครคีบอาหารกินคำโต ทว่าเพราะความเคยตัว ต่อให้รู้ว่าต้องมีมารยาทกว่านี้ แต่ก็ยังมีความมูมมามในการกินอย่างเห็นได้ชัด
มีเพียงโต๊ะของท่านอาจารย์ อย่างไรก็เป็นวงศ์สกุลบัณฑิต ได้รับการฝึกอบรมมาแต่เด็ก แม้จะอยากอาหารมากเพียงใด ก็มิได้กินมูมมามเหมือนกับคนอื่นๆ
มีเพียงโต๊ะของจูหลานที่สามารถเรียกว่าแย่งได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพวกเขาไม่สนใจภาพลักษณ์ตัวเอง เกิดอาการอ้าปากตลึงค้าง
ซุนฮุ่ยกลับเห็นจนชินแล้ว หัวเราะพูดว่า “นี่เพราะอยู่บ้านพวกเจ้า พวกเขาเก็บอาการไปมากแล้ว หากว่าอยู่ที่อื่น ไม่แน่ว่าจะต้องมีใครสักคนอุ้มโถวิ่งหนีไปแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ท่านพูดผิดแล้ว พวกเขามิได้เก็บอาการ พวกเขาเพียงอุ้มโถใบใหญ่นี้ไปไม่ไหว”
ซุนเชี่ยนและซุนฮุ่ยหัวเราะครื้นเครง
บุตรสาวของโจวเสี้ยวได้ยินพวกเขาหัวเราะอย่างมีความสุข หันมองมาอย่างอิจฉา
จูหลานกินไปพลางโอดครวญอย่างไม่พอใจ “ข้าบอกแล้วว่าให้พกเหล้ามาด้วย พวกเจ้าเอาแต่พูดว่าเหล้าจะแตกกลางทางได้ ไม่ยอมให้นำมา ครานี้ดีแล้ว อาหารเลิศรสเช่นนี้ไม่มีเหล้าแก้ม ภายหน้าคิดแล้วก็ให้อาดูรนัก”
ตอนที่ 179-1 จัดสรร
อันอี่หยวนและเซี่ยเจียงเฟิงก็ให้รู้สึกเสียใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ไม่มีเหล้าพวกท่านสามคนก็คลุ้มคลั่งพอแล้ว หากว่ามีเหล้า พวกเราคงไม่ได้กินแม้สักคำเดียว”
ทั้งสามคนกินมาได้สักพัก เริ่มรู้สึกหนังท้องตึงนิดๆ แล้ว เห็นพวกเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสามคนยังไม่ได้กิน เกิดอาการรู้สึกผิดในใจ
จูหลานวางตะเกียบลง ขยับโถไปทางทั้งสามคน พูดว่า “พวกเจ้าสามคนก็กินเสียหน่อยเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดหยอกเย้า “ในที่สุดคุณชายจูก็คิดถึงพวกเราแล้ว”
จูหลานหน้าแดงเรื่อ “ก็ข้าได้รับบาดเจ็บมาช่วงระยะหนึ่ง วันๆ กินแต่น้ำซุปจืดๆ อยากอาหารจะแย่แล้ว อีกอย่างนี่ก็จะโทษข้าไม่ได้ ใครอยากให้เจ้าทำอาหารได้อร่อยเช่นนี้เองทำไม”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งขมวดคิ้วมุ่น “นี่ถือเป็นความผิดข้าหรือ? ได้ ต่อไปข้าจะไม่ทำของอร่อยเช่นนี้ให้พวกท่านกินแล้ว”
อันอี่หยวนคิดว่าเป็นจริง ร้อนรนพูด “แม่นางเมิ่ง เจ้าอย่าสนใจเขา เขาพักรักษาตัวมาช่วงเวลาหนึ่ง สมองมีแต่สนิมกัดกร่อนไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่”
จูหลานไม่พอใจแล้ว “สมองข้ามีสนิมที่ไหนกัน? ที่ข้าพูดคือความจริง หรือเจ้าก็มิได้คิดเช่นนี้?”
อันอี่หยวนปิดปากเขาแน่น “เจ้าพูดให้น้อยๆ หน่อย ภายหน้าเจ้าไม่อยากกินอาหารที่แม่นางเมิ่งทำอีกแล้วจริงๆ หรือไร?”
จูหลานถึงพลันได้สติ รีบหุบปากตัวเองสนิท
ซุนฮุ่ยยิ้มพูด “ข้าเห็นพวกเขามีปากมีเสียงกันทีไรก็ให้ปวดหัวทุกที มีเพียงเจ้าที่พอจะจัดการพวกเขาได้”
พ่อครัวร่วมนั่งโต๊ะนี้ด้วย เดิมคิดว่าคนน้อย ตัวเองจะได้กินมากหน่อย ไม่คิดว่าพวกจูหลานสามคนจะกินเก่งเช่นนี้ รู้สึกเสียใจเล็กๆ ยังดีว่าตนเองรู้วิธีการทำแล้ว พอกลับไป อยากกินเท่าไหร่ก็ทำได้เท่านั้น ก็ให้อิ่มเอมสุขใจ
อาจารย์โจวในฐานะตี้ซือ กินอาหารโอชะไม่ว่าจะบนบกหรือในทะเลมานับไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยได้กินอาหารรสเลิศเช่นนี้มาก่อน เกิดความรู้สึกแปลกใหม่ต่อเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง ลอบคิดในใจ เด็กสาวเช่นนี้มาเกิดอยู่ในชนบทน่าเสียดายนัก หากอยู่ในเมืองหลวง จักต้องกลายเป็นสาวสังคมชั้นสูงที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วแคว้น
ซุนซ่านเหรินก็ให้ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ลอบคิดว่า เด็กสาวที่ชาญฉลาดสามารถเช่นนี้ ไม่รู้ว่าภายหน้าใครจะมีโชคลาภได้แต่งเข้าบ้าน
เป็นมื้ออาหารที่ทุกคนกินอย่างอิ่มหนำ แม้แต่ท่านอาจารย์ก็เกือบจะกินจนจุกแน่น
หลังอาหารท่านอาจารย์และทุกคนพูดคุยเสวนากันครู่หนึ่ง จากนั้นท่านอาจารย์จึงพาครอบครัวเดินกลับบ้าน
พวกจูหลานไม่รีบร้อนกลับไป แต่ให้เมิ่งเสียนพาไปเดินวนรอบแปลงมันฝรั่ง อันอี่หยวนเห็นใบมันฝรั่งสีเชียวชอุ่มสุดลูกหูลูกตา คิดว่าปีนี้จะมีเงินกลิ้งกลุกๆ เข้ามาในกระเป๋าตัวเอง กระโดดโลดเต้นดีใจอยู่บนแปลงดิน
กลุ่มคนที่รดน้ำในแปลงดินต่างหันมามองเขาอย่างแปลกประหลาด
เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนเชี่ยนอยู่พูดคุยกับซุนฮุ่ย ทั้งสามคนนิสัยเข้ากันได้ดี เสวนากันอย่างถูกคอ ซุนฮุ่ยเชื้อเชิญซุนเชี่ยนเมื่อมีเวลาว่างให้เข้ามาเที่ยวในอำเภอพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว ถึงตอนนั้นตนเองจะเป็นเจ้าบ้าน ดูแลต้อนรับพวกนางอย่างดี
ซุนเชี่ยนรับปากอย่างชื่นบาน
ซุนฮุ่ยยิ่งทวีความชื่นชอบนาง
พวกจูหลานกลับมาจากแปลงดิน ก็กล่าวลากลับบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวรั้งซุนฮุ่ยให้พักอยู่บ้านตนเองอีกสองสามวัน ซุนฮุ่ยส่ายหน้า “หลายวันนี้ท่านป้าเปาสุขภาพไม่สู้ดี ข้าต้องกลับไปดูแลนาง”
ได้ยินว่ามารดาของเปาอีฝานไม่สบาย เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “เป็นหนักหรือไม่?”
ซุนฮุ่ยหัวเราะพูด “เป็นหวัดธรรมดาเท่านั้น หมอบอกว่ากินยาไม่กี่ขนานก็หาย น้องโยวเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นห่วง”
ทั้งสองคุยกันอีกครู่หนึ่ง ซุนฮุ่ยถึงขึ้นนั่งบนรถม้าบอกลาเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างอาลัยอาวรณ์
ซุนซ่านเหรินกลับไม่มีแววว่าจะจากไป นั่งบนม้านั่งหัวเราะเหอะๆ มองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวลอบถอนใจ “ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดจริงๆ เขาน่าจะสังเกตเห็นอะไรแล้ว ถึงไม่ยอมไปคอยรอจะถามตนเอง”
เป็นดังคาด เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะนั่งลง ซุนซ่านเหรินก็ยิ้มตาหยีถามขึ้น “แม่นางเมิ่ง สถานะของท่านอาจารย์โจวผู้นี้คงไม่ธรรมดาสินะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ซุนซ่านเหรินพูดต่อ “คงจะมาจากเมืองหลวงกระมั้ง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงเล็กน้อย ถามขึ้น “โลกนี้มีคนมีความรู้มากมาย ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขามาจากเมืองหลวง?”
ซุนซ่านเหรินลูบแผงเคราหัวเราะเหอะๆ พูดว่า “ข้าทำการค้ามาหลายปี เข้าไปเมืองหลวงนับครั้งไม่ถ้วน ท่วงท่าการพูดจาการแต่งกายของพวกเขา เห็นแวบแรกก็รู้ว่าเป็นคนเมืองหลวง อีกทั้ง อาจารย์โจวผู้นี้เกรงจะมิได้เป็นเพียงอาจารย์ที่มีความรู้มากธรรมดาๆ คนหนึ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ปฏิเสธ “พวกเขามีประวัติที่ไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ข้าไม่อาจบอกท่านตามจริงได้ ขอท่านโปรดอภัย”
ซุนซ่านเหรินได้รับการยืนยันการคาดเดาของตนเอง ก็ไม่ซักไซ้ต่ออีก เพียงแต่หัวเราะเหอะๆ พูดว่า “บัดนี้ข้ายิ่งทวีความเลื่อมใสในตัวแม่นาง อายุเพียงเท่านี้กลับสามารถเชิญบุคคลที่มีสถานะเช่นนี้มาเป็นอาจารย์สอนน้องชายตนเองได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าไฉนเลยจะมีความสามารถมากเช่นนั้น เพราะข้ามีโอกาสบังเอิญไปช่วยเพื่อนจากเมืองหลวงคนหนึ่งไว้ เขาที่ช่วยเชิญอาจารย์ท่านนี้มาให้”
ซุนซ่านเหรินกล่าวว่า “ดูท่าคนที่เจ้าช่วยก็คงมีประวัติไม่ธรรมดา แม่นางเมิ่งมีโชควาสนาเช่นนี้ อนาคตไม่แน่ว่าจักต้องสนั่นลื่อเลือง”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านยิ่งพูดก็ยิ่งออกทะเล ข้าเป็นเพียงเด็กสาวบ้านนาธรรมดา ความฝันอันสูงสุดก็คือได้อยู่กับครอบครัวอย่างสงบสุขพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่มีความปรารถนาอื่นแล้ว”
ซุนซ่านเหรินหัวเราะเหอะๆ ไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “วันนี้นอกจากข้าจะเรียกท่านมากินข้าวแล้ว ยังมีเรื่องหนึ่งต้องการซักถามท่าน”
“เชิญแม่นางเมิ่งพูด”
“คืออย่างนี้ อาจารย์ที่ข้าเชิญมาสอนอี้เซวียนรับปากจะสอนวิชาให้เขาเพียงคนเดียว เมื่อวานข้าถามเหลียงไฉแล้ว เขาบอกว่าหากอี้เซวียนไม่ไปโรงเรียนเขาก็ไม่ไป ข้าอยากถามความเห็นของท่าน หากท่านต้องการให้เขาไป ต่อไปข้าจะให้คนส่งเขาไปโรงเรียนตามเวลาทุกวัน”
ซุนซ่านเหรินยังคงหัวเราะเหอะๆ พูดว่า “เมื่อข้ามอบเหลียงไฉให้เจ้าสอนสั่ง เรื่องของเขาข้าจะไม่ขอยุ่ง แม่นางเมิ่งจัดการได้ตามสบาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “เมื่อท่านพูดเช่นนี้ ข้าก็รู้ว่าควรทำอย่างไรแล้ว”
ซุนซ่านเหรินมองดูซุนเชี่ยนที่กำลังเล่นหัวร่อต่อกระซิกกับซุนเหลียงไฉ กดเสียงต่ำถามขึ้น “ไม่ทราบว่าเรื่องแต่งงานของเชี่ยนเอ๋อร์และพี่ชายเจ้า…?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ท่านวางใจเถอะ ข้าปักใจให้แม่นางซุนเป็นพี่สะใภ้ข้าแล้ว”
ซุนซ่านเหรินหัวเราะก้อง
การมาครั้งนี้ซุนซ่านเหรินเก็บเกี่ยวอะไรกลับไปได้มากมาย อิ่มอกอิ่มใจ บอกลาเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปอย่างมีความสุข
พ่อครัวก็ตามติดรถกลับไปด้วย
วันรุ่งขึ้นพอกินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งอี้เซวียนว่า “วันนี้ข้าอยากไปดูว่าฉั่งฉิกบนภูเขาเติบโตเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เจ้าไปกับข้าด้วยเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อก่อนเรื่องพวกนี้เมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่ให้เขาเข้าร่วม ทว่าก็มิได้ถามอะไร เพียงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ซุนเหลียงไฉพูดหาเรื่องสนุกไปอย่างนั้น “ข้าไปด้วย!”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “เจ้าอยากเห็นว่ามันฝรั่งงอกออกมาได้อย่างไรมาตลอดมิใช่หรือ วันนี้จะให้เจ้าไปดูกับพี่ใหญ่”
ซุนเหลียงไฉเพียงแค่อยากหาเรื่องสนุก ได้ฟังก็ไม่ยืนหยัดตามไปด้วยอีก
หลังจากบอกกล่าวเมิ่งชื่อ ก็สั่งเหวินเปียวและเหวินหู่บังคับรถม้ามายังข้างภูเขาร้างหมู่บ้านหลี่ ทั้งสองคนลงจากรถม้า มุ่งหน้าเดินขึ้นไปบนเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้มาเป็นเวลานานแล้ว เมล็ดพันธุ์ฉั่งฉิกงอกออกมาแล้ว จางจู้กำลังนำพากลุ่มคนรดน้ำ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา พูดขึ้นอย่างดีใจ “โยวเอ๋อร์ เจ้ามาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ร้องเรียก “ท่านลุงใหญ่”
เมิ่งอี้เซวียนก็ร้องเรียกตามไปด้วย
จางจู้ขานรับอย่างยินดี หันมาพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “อี้เซวียนสอบถงเซิงได้ เดิมพวกเราจะเข้าไปแสดงความยินดี แต่พอคิดว่าที่บ้านจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสี ถ้าพวกเราเข้าไปพวกเจ้าจะต้องดูแลพวกเราอีก จึงไม่ได้เข้าไป แต่ว่าท่านยาย ท่านป้าใหญ่และท่านป้ารองของเจ้าพวกเขาก็เตรียมของขวัญให้อี้เซวียนเอาไว้แล้ว อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็กลับบ้านไปเอานะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “วันนี้พวกเรายังมีธุระ ไม่เข้าไปแล้ว ท่านบอกท่านยาย อีกไม่กี่วันพอพวกเรามีเวลา จะไปหานางพร้อมกัน”
จางจู้พูดกับเมิ่งอี้เซวียน “ลุงใหญ่เป็นคนบ้านป่า ไม่รู้ว่าสมควรต้องพูดอย่างไร แต่ลุงใหญ่ดีใจแทนเจ้าจากใจจริง หวังว่าต่อไปเจ้าจะตั้งใจร่ำเรียนให้มากยิ่งขึ้น จะได้สอบขุนนางได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ใครบอกว่าท่านเป็นคนบ้านป่ากัน คำพูดของท่านพูดได้ดีกว่าคนมีความรู้เสียอีกเล่า”
จางจู้หน้าแดง “เจ้าอย่าหยอกเย้าลุงใหญ่เลย”
ผู้ใหญ่บ้านชราเห็นพวกเขา ก็เข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้น เห็นเด็กชายข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว ถามขึ้นอย่างยินดี “หรือนี่ก็คือน้องชายเจ้าที่สอบถงเซิงได้คนนั้น?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ผู้ใหญ่บ้านชรามองประเมินเมิ่งอี้เซวียนอย่างยินดีปรีดา พูดว่า “โดดเด่นเหนือคนทั่วไป ท่วงท่าไม่ธรรมดาโดยแท้ ภายหน้าจะต้องประสบความสำเร็จเป็นใหญ่เป็นโต”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณอย่างยินดี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น