กระบี่จงมา 176.1-178.1

 บทที่ 176.1 น่าเบื่อก็เพราะไม่มีอะไรให้ต้องคุย

โดย

ProjectZyphon

ช่วงเช้าตรู่คนทั้งสามขยับตัวเร่งเดินทางกันอีกครั้ง ขณะที่เดินหน้ารับสายลมและหิมะ เฉินผิงอันที่นำอยู่ด้านหน้าฝึกท่าหมัดเสร็จไปรอบหนึ่งก็พลันหยุดเดิน


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถามขึ้นเบาๆ “นายท่านกำลังคิดถึงใครกัน?”


เด็กชายชุดเขียวตอบน้ำเสียงเกียจคร้าน “อากาศบ้าๆ แบบนี้ นายท่านอาจจะอยากหาสถานที่ที่งดงามไปนั่งอึก็ได้ อย่างน้อยก้นก็ต้องไม่เย็น”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูโมโห “น่าเกลียด!”


เด็กชายชุดเขียวถอนหายใจ “คำพูดตรงไปตรงมามักระคายหูเสมอแหละน่า”


……


ปีนี้แคว้นหนันเจี้ยนที่นิยมสายนักพรตและกวีผู้ลือนามครึกครื้นมากเป็นพิเศษ งานเลี้ยงฉลองยิ่งใหญ่งานหนึ่งเพิ่งจะปิดม่านลงไป


ชายแดนแคว้นหนันเจี้ยน บนทางเล็กเงียบสงัดกลางป่าด้านหลังขุนเขาแห่งหนึ่งที่สูงทะลุเมฆ มีแม่ชีสาวผู้หนึ่งกำลังก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ในมือถือกิ่งไผ่สีเขียวขจี นิ้วมือบิดหมุนมันเล่นเบาๆ ด้านหลังของนางมีกวางขาวที่ฉลาดเฉลียวมากเป็นพิเศษติดตามมา


บุรุษสวมชุดขาวพกกระบี่ยาวหนึ่งเล่มเดินเคียงไหล่มากับนางด้วยสีหน้าเซื่องซึม


นางกล่าวอย่างจนใจ “เคยบอกกับเจ้ามาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้ามีตบะแค่ห้าขอบเขตล่าง ข้าถึงได้ไม่ชอบเจ้า และต่อให้เจ้ามีตบะห้าขอบเขตบนแล้วก็ใช่ว่าข้าจะต้องชอบเจ้าเสมอไป เว่ยจิ้น ข้าบอกกับเจ้าเลยว่าไม่มีทางเป็นไปได้จริงๆ ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมตัดใจนะ? ไม่อย่างนั้นเจ้าลองบอกข้ามาสิว่าต้องทำอย่างไร เจ้าถึงจะยอมตัดใจ?”


สามารถทำให้แม่ชีที่ทุ่มเทมานะในการฝึกตนเอ่ยถ้อยคำเปิดเปลือยตรงไปตรงมาขนาดนี้ได้ ดูท่าชายผู้นั้นคงตามตื๊อนางอย่างหนักจนนางเริ่มรำคาญแล้วจริงๆ


ฝ่ายบุรุษก็คือผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์แห่งหอเทพเซียนศาลลมหิมะ เว่ยจิ้น


คำว่าผู้มีพรสวรรค์ในบรรดาผู้ฝึกตนบนภูเขา อันที่จริงก็มีการแบ่งลำดับชั้น ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดที่ยังหนุ่มขนาดนี้ เว่ยจิ้นถือเป็นอันดับหนึ่งได้อย่างสมศักดิ์ศรี การฝ่าทะลุขอบเขตรวดเร็วเหนือคนรุ่นเดียวกัน


สีหน้าเว่ยจิ้นเหงาหงอย ไหนเลยจะยังมีมาดเหมือนบุคลคลผู้โด่งดังที่เพิ่งข้ามธรณีประตูของขอบเขตสิบเอ็ดไปได้อีก เขายิ้มขมขื่น “เป็นเพราะเจ้ามีคนที่ชอบแล้วอย่างนั้นหรือ? ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์อาในสำนักของเจ้าคนนั้น?”


แม่ชีสาวหยุดเดิน หันกลับมามองผู้ฝึกกระบี่สวมลมฟ้าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทวีป โกรธจนกลายเป็นขำ “เว่ยจิ้น ทำไมเจ้าถึงได้ไร้เหตุผลขนาดนี้!”


แม้ว่าสีหน้าของเว่ยจิ้นจะไร้อารมณ์ แต่ในใจกลับรู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายหรือรั้งอีกฝ่ายเอาไว้อย่างไร จึงได้แต่เงียบงันไปชั่วขณะ ต่อให้เป็นเว่ยจิ้นที่อยู่ในอารมณ์หมดอาลัยตายอยาก อาภรณ์ยับย่น ทว่าในสายตาของคนนอก ไม่ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงไหนด้วยท่าทางอย่างไร เขาก็ยังคงเป็นกระบี่เล่มหนึ่งที่ทรงพลังที่สุดในใต้หล้า


น่าเสียดายที่คนนอกในที่นี้ ไม่ได้รวมถึงแม่ชีสาวเบื้องหน้าเว่ยจิ้นไว้ด้วย


จิตแห่งกระบี่ใสกระจ่างดุจกระจก แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเชี่ยวชาญช่ำชองเรื่องทางโลก โดยเฉพาะเรื่องของความรักที่เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลที่สุดในใต้หล้าอยู่แล้ว ซึ่งยิ่งทำให้คนหงุดหงิดจิตตกได้ง่าย


เว่ยจิ้นเอ่ยเบาๆ “เฮ้อเสี่ยวเหลียง สุดท้ายนี้ข้าจะถามเจ้าแค่คำถามเดียว”


นางพยักหน้ารับ “เจ้าถามมาได้เลย”


เว่ยจิ้นลังเลไปชั่วขณะ หันสายตามองไปยังทิศทางอื่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าให้ความสำคัญกับเรื่องบุพเพวาสนามากที่สุด ถ้าอย่างนั้นหากมีวันหนึ่งที่เจ้าได้พบเจอกับคนที่มีวาสนาต่อเจ้า ต่อให้ในใจเจ้าไม่ชอบเขา เจ้าจะเลือกเขาเป็นคู่บำเพ็ญตนเพื่อมหามรรคาหรือไม่?”


รอบด้านเงียบสงัด


ราวกับว่าแม้แต่ลมเย็นพลิ้วเป็นระลอกที่มองไม่เห็นก็ยังหยุดนิ่งในนาทีนี้


แม่ชีสาวยิ้มบาง “เลือก”


แววตาของเว่ยจิ้นหม่นแสงลงอย่างสิ้นเชิง ดวงตาของเขาแดงก่ำ ยังคงไม่มองสตรีที่เขาหลงรักตั้งแต่แรกพบ “ต่อให้เจ้ากับเขาจะกลายเป็นคู่รักเทพเซียนในสายตาของคนทั้งโลก แต่ตัวเจ้าเองไม่มีความสุขน่ะหรือ เฮ้อเสี่ยวเหลียง บอกเจ้าตามตรง ข้าไม่ต้องการเห็นเจ้าไม่มีความสุข”


แม่ชีสาวถอนหายใจเบาๆ แม้ว่าจะเผยความเสียใจออกมาเสี้ยวหนึ่ง แต่กลับยืนหยัดในจิตแห่งการฝึกตนอย่างมั่นคงดุจหินผา “เว่ยจิ้น ต่อให้มีวันนั้นจริงๆ ต่อให้ข้ามีชีวิตไม่สมดังใจปรารถนา แต่ข้าไม่มีทางเสียใจเด็ดขาด ยิ่งไม่หันกลับมาชอบเจ้าเว่ยจิ้น”


เว่ยจิ้นพึมพำ “แบบนี้เองหรือ?”


แม่ชีสาวหันตัวกลับแล้วเดินจากไป


เว่ยจิ้นยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน นางไม่เสียใจ แต่เขากลับเสียใจภายหลังแล้ว เสียใจที่ไม่ควรถามคำถามโง่ๆ ที่ทำร้ายทั้งคนอื่นและตัวเองคำถามนี้


นักพรตหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากจุดลึกของผืนป่า ข้างกายมีปลายักษ์สองหาง หางข้างหนึ่งสีเขียว ข้างหนึ่งสีแดงแหวกว่ายอยู่กลางอากาศ


เว่ยจิ้นดึงสายตากลับ หลังจากแม่ชีเฮ้อเสี่ยวเหลียงเดินจากไปนานแล้วเขาถึงกล้าจ้องนิ่งไปยังแผ่นหลังที่ออกห่างไปไกลทุกขณะของนาง


เขาไม่หันไปมองกุมารทองซึ่งเป็นคู่กุมารีหยกรุ่นนี้ของบุรพแจกันสมบัติทวีป เพียงกล่าวเสียงเย็น “หากเจ้ากล้าพูดแม้แต่คำเดียว ข้าก็กล้าชักกระบี่ฆ่าคน”


แม้ว่านักพรตหนุ่มจะกริ่งเกรงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดผู้นี้อยู่บ้าง แต่ป่าแห่งนี้ตั้งอยู่หลังภูเขาของสำนักตน เขาเชื่อว่าหากพูดไม่เข้าหู เว่ยจิ้นต้องกล้าชักกระบี่ฆ่าคน เพียงแต่นักพรตหนุ่มไม่เชื่อว่าตนจะตายจริงๆ เขาจึงหลุดหัวเราะพรืด “ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดของศาลลมหิมะกล้ามากระทำการรุนแรงในสำนักโองการเทพของพวกเรางั้นรึ?”


คำว่าสำนักคำนี้ นักพรตหนุ่มเพิ่มน้ำหนักเสียงเน้นย้ำอยู่หลายส่วน


สามสำนักของลัทธิเต๋าในแจกันสมบัติทวีปยกย่องสำนักโองการเทพแห่งแคว้นหนันเจี้ยนเป็นอันดับหนึ่ง เป็นก้านธูปหลักใจกลางระบบเต๋าของหนึ่งทวีป ครั้งก่อนเขาจับมือกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงลงจากภูเขาไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูของราชสำนักต้าหลี ต้องเดินขึ้นเหนือไปตลอดทาง ทุกที่ที่ผ่าน ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ในโลกมนุษย์ หรือเจินจวินของแคว้นต่างๆ เทพเซียนพสุธา ฯลฯ ต่างก็ปฏิบัติต่อคู่กุมารทองกุมารีหยกเช่นเขาและเฮ้อเสี่ยวเหลียงอย่างมีมารยาท ไม่กล้าเพิกเฉยใส่แม้แต่น้อย


สำนักโองการเทพตั้งอยู่ริมชายแดนของแคว้นหนันเจี้ยน ยึดครองพื้นที่มงคลบ่อกระจ่างซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองพื้นที่มงคลเพียงผู้เดียว ฉีเจินเจ้าสำนักควบตำแหน่งเจินจวินของสี่แคว้น มีคาถาอาคมเลิศล้ำค้ำฟ้า คือเทพเซียนแท้จริงที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในบุรพแจกันสมบัติทวีป แม้ว่าสำนักโองการเทพจะเป็นสำนักล่างของระบบเต๋าในสายพวกเขา แต่ต่อให้ฉีเจินเดินทางไปยังสำนักดั้งเดิมของระบบเต๋าที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาก็ยังคงเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญที่สุดเป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย


และกุมารทองผู้นี้ก็คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของฉีเจินเจ้าสำนักพอดี


ส่วนเฮ้อเสี่ยวเหลียงศิษย์พี่หญิงร่วมสำนักมีอาจารย์เป็นเซวียนฝูเจินเหริน ผู้อาวุโสที่ไม่แก่งแย่งชิงดีกับใครผู้นั้นไม่เหมือนกับฉีเจินศิษย์น้องของเขาที่เป็นเจ้าสำนัก เขารับเฮ้อเสี่ยวเหลียงเป็นลูกศิษย์แค่คนเดียว ตอนที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงเพิ่งเข้ามาอยู่ในสำนักโองการเทพ ชื่อเสียงยังไม่โด่งดัง พรสวรรค์ยังไม่เด่นชัด ชาติกำเนิดไม่โดดเด่น มีเพียงเซวียนฝูเจินเหรินเท่านั้นที่หมายตานางทั้งที่มองเพียงปราดเดียว เรื่องราวในกาลหลังก็พิสูจน์ให้เห็นว่าทุกคนต่างมองผิด มีเพียงเซวียนฝูเจินเหรินคนเดียวเท่านั้นที่คว้าหยกงามหายากในโลกไปได้ ถึงขั้นที่ว่าไม่จำเป็นต้องให้อาจารย์อย่างเขาสลักกลึงเกลา เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่มีบุญบารมีก็รุดหน้าผงาดขึ้นมาด้วยตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ความเร็วในการฝ่าทะลุขอบเขต โชควาสนาอันยอดเยี่ยมของนางทำให้คนทั้งสำนักปากอ้าตาค้าง


และความเป็นไปได้ที่กุมารทองกุมารีหยกจะจับคู่เป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันก็มีสูงมาก ต่อให้อยู่กันคนละสำนักก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เพราะทั้งสองสำนักต่างก็ยินดีที่จะให้เป็นเช่นนั้น


ในประวัติศาสตร์เกือบพันปีของบุรพแจกันสมบัติทวีป กุมารทองกุมารีหยกที่อยู่ในสำนักเดียวกันเช่นเขาและเฮ้อเสี่ยวเหลียงนี้ เมื่อรวมพวกเขาสองคนเข้าไปด้วยแล้วก็ยังเคยมีปรากฏแค่สามครั้งเท่านั้น และทุกคนต่างก็กลายเป็นคู่รักบนมหามรรคาที่จับมือกันเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน


ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นข้อยกเว้นแรก


เว่ยจิ้นหันไปมองนักพรตเต๋าหนุ่มผู้นั้น พลันรู้สึกหมดสนุก “เจ้าไม่มีคุณสมบัติมากพอให้ข้าชักกระบี่ หากเป็นฉีเจินอาจารย์ของเจ้ายังพอว่า”


ความสามารถในการต่อสู้ของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดเท่าเทียมกับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสองเว้นจากคนของสำนักการทหาร นี่คือความรู้ทั่วไป


แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าสำนักโองการเทพติดอยู่ในขอบเขตสิบเอ็ดขั้นสูงสุดมานานหลายปีแล้ว งานเลี้ยงฉลองในปีนี้จัดขึ้นก็เพื่อเฉลิมฉลองที่เขาฝ่าทะลุขอบเขตได้ในที่สุด ดังนั้นเว่ยจิ้นและเจ้าสำนักฉีเจินต่างก็เป็นผู้ฝึกลมปราณที่ไม่ได้ฝ่าทะลุขอบเขตมานาน หากคนทั้งสองเปลี่ยนเวทีการต่อสู้ก็ยังบอกไม่ได้ว่าใครจะแพ้ใครชนะ


แต่ว่าที่นี่คือถิ่นของสำนักโองการเทพ ค่ายกลชนิดต่างๆ มีให้ดึงออกมาใช้ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังเป็นเขตแดนของเจินจวิน ฉีเจินที่ได้เปรียบด้านฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคีย่อมไม่อาจมองเป็นนักพรตขอบเขตสิบสองขั้นต้นธรรมดาทั่วไป


นักพรตหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ “ไม่มีคุณสมบัติ แล้วอย่างไร?”


สำหรับเว่ยจิ้นที่ถูกแม่ชีเฮ้อเสี่ยวเหลียงราดน้ำเย็นใส่ศีรษะมาแล้วรอบหนึ่ง ประโยคนี้นับว่าทำร้ายจิตใจอย่างถึงที่สุด


ดังนั้นเว่ยจิ้นจึงพูดเรียบๆ ว่า “รับให้ดี”


นักพรตหนุ่มมองเห็นภาพที่เว่ยจิ้นชักกระบี่ได้ไม่ชัดเจน รู้ตัวอีกทีปราณกระบี่ยาวแค่ชุ่นกว่าๆ ก็ผ่าแสกหน้าเขามาแล้ว


นักพรตหนุ่มที่คิดว่าตัวเองกำลังจะเสียยันต์คุ้มกันชีวิตแผ่นหนึ่งไปเปล่าๆ กลับเห็นฝ่ามือนุ่มนวลขาวดุจหยกยื่นมาที่เหนือศีรษะ รับปราณกระบี่น่าหวาดกลัวที่แหวกอากาศมาถึงแทนเขา


จากนั้นกลางอากาศก็มีกลิ่นคาวเลือดผุดขึ้นมา แปลกแยกจากผืนป่าเงียบสงบส่งกลิ่นหอมสดชื่นแห่งนี้อย่างสิ้นเชิง


เว่ยจิ้นมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญแวบหนึ่งแล้วคลายด้ามกระบี่ เดินจากไปเชื่องช้า ทิ้งประโยคเดียวไว้ว่า “ระวังตัวให้ดี”


นักพรตเต๋าหน้าตาหล่อเหลาดุจหยกสลักผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้ากุมารทองสำนักโองการเทพ เขาดึงมือข้างที่ยืนออกไปรับปราณกระบี่ของเว่ยจิ้นกลับมา บาดแผลกลางฝ่ามือลึกจนเห็นกระดูก


นักพรตเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ผู้ฝึกตนที่เดินบนมรรคา ในเมื่อยังฝึกจิตใจให้หนักแน่นไม่ได้ เหตุใดต้องอวดเก่งปากไว”


กุมารทองสายเต๋าเอ่ยนอบน้อม “อาจารย์อา ข้าผิดไปแล้ว”


นักพรตรูปงามสะโอดสะองสั่งสอนพร้อมรอยยิ้ม “รู้ว่าผิดก็ต้องรู้จักแก้ไข อย่ายอมรับผิดแต่ปาก”


นักพรตหนุ่มที่มีปลาใหญ่สองหางแหวกว่ายอยู่ข้างกายพูดขัดเขิน “อาจารย์อา ข้ารู้ตัวว่าผิดจริงๆ และจะต้องปรับปรุงตัวแน่นอน”


อันที่จริงนักพรตที่ถูกเรียกว่าอาจารย์อาอายุไม่มาก มองดูแล้วยังไม่ถึงสามสิบปี เขายิ้มบางๆ “หากเจ้าไม่เต็มใจปรับปรุงตัว อาจารย์อาก็จนปัญญา ใครใช้ให้อาจารย์ของเจ้าคือศิษย์พี่เจ้าสำนักของข้าเล่า”


กุมารทองผู้นั้นรู้สึกหัวโตโดยพลัน เขากลัวเวลาอาจารย์อาพูดจาด้วยท่าทางแบบนี้มากที่สุด และในความเป็นจริงแล้วต่อให้ฉีเจินเจ้าสำนักมาเอง เกรงว่าก็คงรู้สึกเสียวสันหลังไม่ต่างกัน


เขาจึงรีบทำหน้าม่อย “อาจารย์อา ข้าจะกลับไปคัดบทชิงสือลวี่จาง (ถ้อยคำที่ใช้รายงานต่อสวรรค์เมื่อลัทธิเต๋าจัดการกินเจ) หนึ่งบท”


นักพรตเต๋าพยักหน้ารับ “คัด ‘บทฝานลู่’ ก็ได้ อีกสามวันนำมามอบให้ข้า”


กุมารทองก้าวเร็วๆ จากไปอย่างน่าสงสาร ท่าทางนั้นราวกับจะบอกว่าต้องเป็นสามวันสามคืนถึงจะถูก ชีวิตข้าช่างขื่นขมยิ่งนัก


นักพรตเต๋าก้าวออกไปหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็มาโผล่อยู่ตรงริมบ่อดอกบัว ยืนอยู่ข้างกายแม่ชีเฮ้อเสี่ยวเหลียง ถามตรงไปตรงมา “บนมหามรรคา ขนบธรรมเนียมประเพณีมักจะมาคู่กันอารมณ์ความรู้สึกเสมอ จะอย่างไรซะที่นี่ก็คือใต้หล้าไพศาล เจ้าคิดดีแล้วหรือยัง?”


เฮ้อเสี่ยวเหลียงยื่นมือไปตบสันหลังที่อ่อนนุ่มของกวางขาวเบาๆ พลางพยักหน้ารับ “อาจารย์อา ข้าคิดดีแล้ว”


แม่ชีสาวสีหน้าหม่นหมอง


นักพรตมองไปยังใบบัวสีเขียวสดเป็นพุ่มหนาในบ่อ ในช่วงฤดูหนาวเยียบเย็น ความเหน็บหนาวกัดกินใบบัวนับไม่ถ้วนนอกภูเขาไปนานแล้ว แต่ใบบัวของที่นี่กลับยังชูช่อตระหง่านประหนึ่งอยู่ในช่วงที่ร้อนที่สุดของฤดูร้อน เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “หากต้องไปถึงก้าวนั้นจริงๆ อาจารย์อาจะอยู่ข้างกายเจ้า”


เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลพราก กลับยังทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “มหามรรคาช่างไร้ความรู้สึก”


นักพรตอืมรับหนึ่งที “เป็นเช่นนี้จริง เจ้าคิดได้แบบนี้ ถือว่าดีต่อการฝึกตน”


การที่เขาเลือกยืนอยู่ข้างเดียวกับเฮ้อเสี่ยวเหลียง ฝั่งตรงข้ามกับเซวียนฝูเจินเหรินศิษย์พี่ของเขา ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงน่าสงสาร แต่เป็นเพราะมหามรรคาที่เขายืนอยู่เป็นเส้นทางเดียวกับมหามรรคาของเฮ้อเสี่ยวเหลียงพอดี หากมีวันใดอาจารย์และลูกศิษย์คู่นี้สลับตำแหน่งกัน เขาก็จะยังเลือกทำแบบเดิม


เฮ้อเสี่ยวเหลียงเลิกคิดสะระตะ ถามด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์อา เจ้าคนที่พวกเราเรียกล้อเลียนว่าอาจารย์อาน้อยลู่ผู้นั้นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากฝ่ายไหนกันแน่? เขาอยู่ในแถบชายแดนแคว้นหนันเจี้ยนมาเกือบหนึ่งปีแล้วนะ”


นักพรตส่ายหน้า “ข้าเดารากฐานของคนผู้นั้นไม่ออก ในเมื่อเขาเต็มใจจะเรียกข้าว่าศิษย์พี่ แถมข้ายังเล่นหมากล้อมแพ้เขา ก็ได้แต่ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ ข้าแค่พอจะรู้ว่าเขาคือเงื่อนตายในสถานการณ์อันเป็นทางตันของถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลี วิธีการของฉีจิ้งชุนอยู่เหนือการคาดการณ์ของผู้คน ทำให้ถึงท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังไม่มีโอกาสได้ลงมือ นอกจากนี้เขายังมีความเกี่ยวข้องกับสำนักดั้งเดิมที่อยู่เบื้องบนสำนักโองการเทพ แค่นี้เท่านั้น นอกจากนี้ข้าก็คาดการณ์อะไรไม่ได้อีกแล้ว”


ได้ยินประโยคนี้ ต่อให้เป็นเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ยังอดขนพองสยองเกล้าไม่ได้


 —–


บทที่ 176.2 น่าเบื่อก็เพราะไม่มีอะไรให้ต้องคุย

โดย

ProjectZyphon

แม้ว่าการลงมือครั้งสุดท้ายของฉีจิ้งชุนจะถูกอริยะฝ่ายต่างๆ อำพรางความลับสวรรค์ไว้อย่างรวดเร็ว แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่เพียงแต่ได้เห็นจุดเริ่มต้นของศึกใหญ่ครั้งนั้น ยังสัมผัสได้ถึงท่วงทำนองของการต่อสู้ที่ยังเหลือค้างอยู่ ต่อให้กว่านางจะตระหนักได้ก็เป็นช่วงเวลาที่เหลือเพียงริ้วคลื่นแผ่กระเพื่อมหลังจากคลื่นยักษ์ตีกระทบชายฝั่งผ่านไปแล้ว แต่นั่นก็ยังทำให้เฮ้อเสี่ยวเหลียงตะลึงพรึงเพริดเป็นเท่าตัว ขณะเดียวกันก็ยิ่งทำให้จิตใจของเฮ้อเสี่ยวเหลียงยืนหยัดในการมุ่งสู่มรรคาแห่งเต๋ามากขึ้น


ใต้หล้ากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ยอดฝีมือยิ่งใหญ่ถึงปานนั้น เหตุใดข้าเฮ้อเสี่ยวเหลียงถึงไม่เดินไปดูที่ตรงนั้นเพื่อให้เห็นกับตาตัวเอง?


นักพรตยิ้มบาง “ไม่ต้องคิดมากถึงขนาดนั้น น้ำลดหินย่อมผุดขึ้นมาเอง”


หลังจากนั้นนักพรตที่ถือว่ามีลำดับสูงอย่างถึงที่สุดในทวีปแห่งหนึ่งก็ออกเดินเชื่องช้า ใช้ความคิดอย่างสบายอุราอยู่ริมบ่อบัว


นักพรตครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่างที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินมากที่สุดในโลกมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่นทำไมฝนถึงตก ทำไมมนุษย์ถึงเป็นสัตว์ประเสริฐ ทำไมถึงมีข้างขึ้นข้างแรม ทำไมถึงมีถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล เป็นต้น การที่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องราวน่าเบื่อหน่ายซึ่งทุกคนเคยชินคิดว่าเป็นเรื่องปกติเหล่านี้ก็เพราะว่าหากเจ้าคุยเรื่องพวกนี้กับคนอื่น จะคุยไม่ได้นาน


เฮ้อเสี่ยวเหลียงมองตามไปไกลๆ ถอนหายใจให้กับตัวเองที่สู้ไม่ได้


 ไม่เกี่ยวกับความต่างด้านขอบเขต ไม่เกี่ยวกับความต่างของวัยวุฒิ


แต่อยู่ที่ว่าอาจารย์อาน้อยซึ่งยังหนุ่มแน่นผู้นั้นเดินไปบนมหามรรคาได้ไกลมากจนคนอื่นยากจะมองเห็นแผ่นหลังของเขา ดังนั้นจึงเกิดความละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้


…….


ซื้อเหล้ากาหนึ่งจากร้านขายสุราข้างทาง เว่ยจิ้นเทเหล้าส่วนหนึ่งลงในฝ่ามือ ลาขาวตัวนั้นก้มดื่มอย่างรวดเร็ว ยังดีที่ชาวบ้านของที่นี่ได้พบเห็นโลกกว้างมามาก อย่าว่าแต่ลาดื่มเหล้าเลย ต่อให้ลาตัวนั้นพูดได้ พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว


เว่ยจิ้นดึงมือกลับแล้วเริ่มดื่มเหล้าของตัวเอง เดินออกมาจากร้านเหล้าแล้วเขาก็เดินเล่นเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย เจ้าลาเดินเอื่อยๆ ตามมาด้านหลัง


พอเดินออกมาจากเมืองที่ตั้งอยู่ตรงตีนเขาของสำนักโองการเทพ เว่ยจิ้นที่เห็นตัวเองเป็นคนในยุทธภพมาโดยตลอดก็ยังไม่ยอมขี่กระบี่บิน เขาดื่มเหล้าจนตัวเองเมามาย ปีนขึ้นไปนั่งโงนเงนอยู่บนหลังลา ปล่อยให้มันพาตนเดินไปตามใจชอบ


ภูเขาแม่น้ำสลับหมุนเวียนซ้ำไปซ้ำมา


สุดท้ายมาถึงเฟิงหยางเมืองหลวงของแคว้นหนันเจี้ยน เว่ยจิ้นเองก็เหมือนคนทั่วไปก็ต้องส่งมอบหนังสือเดินทางหน้าประตูเมืองก่อน แล้วถึงได้เดินจูงลาเข้าไปในตัวเมือง


เว่ยจิ้นที่ทั่วร่างคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุราพยายามย้อนคิด จำได้ว่าตนมีเพื่อนในยุทธภพที่ถูกคอคนหนึ่งอยู่ในเมืองเฟิงหยาง เมื่อเจ็ดแปดปีก่อนเคยเป็นสหายร่วมเดินทางกัน ดูเหมือนคนผู้นั้นจะเคยบอกว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของประมุขพรรคขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองเฟิงหยาง เว่ยจิ้นจึงถามทางไปยังพรรคที่มีชื่อว่าจ้าววายุ เว่ยจิ้นจำได้ว่าคนผู้นั้นเคยพูดเสียดสีตัวเอง บอกว่าบรรพบุรุษของเขาช่างไม่มีความรู้ ถึงได้ไม่พิถีพิถันในตั้งชื่อพรรคเอาเสียเลย เว่ยจิ้นจึงปลอบใจเขาไปว่า ทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปมีตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ใหญ่มาก สืบทอดกันมานับพันปี รากฐานลึกล้ำ เป็นผู้พิชิตของพื้นที่แห่งหนึ่ง กองกำลังเทียบเคียงได้กับหนึ่งแคว้น แต่กลับถูกบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งพรรคตั้งชื่อว่าหมัดเทพไร้เทียมทาน นั่นต่างหากถึงเรียกว่าน่าสงสาร ทุกครั้งที่มีงานเฉลิมฉลอง เทพเซียนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน เหล่าลูกศิษย์ในพรรคต่างก็ขายหน้าจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ


เว่ยจิ้นเดินไปข้างหน้าช้าๆ ข้างทางมีแผงดูดวงอยู่แผงหนึ่ง เพราะกิจการซบเซา นักพรตหนุ่มสวมชุดเต๋าครอบกวานเต๋าจึงกำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะพลางเอ่ยสั่งสอนเด็กขี้มูกยืดที่ถือถังหูลู่ในมือคนหนึ่งไปด้วย “โลกใบนี้เฮงซวยอย่างมาก แต่เจ้าก็ไม่ควรมองว่าคนดีที่มีน้ำใจ ยินยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบคนอื่นเป็นคนโง่เพียงเพราะสาเหตุนี้”


นักพรตเต๋าเพิ่มน้ำหนักเสียง “อันที่จริงเจ้าต่างหากที่เป็นคนโง่ รู้หรือไม่?”


เด็กชายสีหน้าไร้อารมณ์สูดน้ำมูก น้ำมูกที่เหมือนมังกรเขียวสองตัวออกจากถ้ำจึงหดกลับเข้าไปในถ้ำเกินครึ่งตัว จากนั้นเขาก็เลียถังหูลู่หนึ่งที


นักพรตเริ่มร้อนใจ “พูดเรื่องสำคัญกับเจ้าอยู่นะ มัวกินถังหูลู่อะไรอยู่”


เด็กชายยังคงไม่สะทกสะท้าน เอียงศีรษะกินถังหูลู่ของตัวเองต่อไป


นักพรตหนุ่มเอ่ยด้วยประโยคที่เต็มไปด้วยความหวังดี “เฮ้อ เจ้าลูกหมาคนนี้นี่นะ ไม่มีสติปัญญาบ้างเสียเลย นักพรตผู้ต่ำต้อยอุตส่าห์พยากรณ์ให้เจ้าด้วยความหวังดี คำทำนายก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าเกิดมาเป็นคู่สร้างคู่สมกับแม่นางน้อยข้างบ้าน นักพรตผู้ต่ำต้อยไม่เก็บเงินเจ้า นี่ยังไม่ถือว่ามีคุณธรรมอีกหรือ? ทำไมเจ้าไม่รู้จักซาบซึ้งบุญคุณเสียบ้าง? แค่ถังหูลู่ไม้เดียวเท่านั้น จะมีค่าสักกี่อีแปะกันเชียว? เมียในอนาคตยังสู้ไม่ได้เลยหรือ?”


จู่ๆ เด็กชายที่ทำหน้าทึ่มทื่อมาตลอดเวลากลับหัวเราะคิกๆ “เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไง”


จากนั้นเด็กชายก็หมุนตัวกลับแล้วกระโดดเด้งซ้ายเด้งขวาจากไป ปากก็ตะโกนไปด้วยว่า “กินถังหูลู่อร่อยจังเลย”


นักพรตหนุ่มตบโต๊ะอารมณ์เสีย “โลกหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ใจคนก็ไม่บริสุทธิ์ดังเดิม!”


เว่ยจิ้นเดินยิ้มผ่านไป แล้วทันใดนั้นเขาก็พลันหยุดฝีเท้า แต่ไม่ได้หันกลับมา ย้อนนึกถึงเครื่องแต่งกายของนักพรตหมอดูคนนั้นรอบหนึ่งแล้วเว่ยจิ้นก็เกิดลังเลตัดสินใจไม่ได้


ทว่านักพรตผู้นั้นกลับเปิดปากพูดยิ้มๆ ขึ้นมาเสียก่อน “ในเมื่อมีวาสนาต่อกัน ไยไม่มาพบหน้ากันเล่า?”


เว่ยจิ้นจูงลาเดินจากไป


นักพรตหนุ่มพูดน่าสงสาร “ชีวิตลำบากยากแค้น เหตุใดคนของแคว้นหนันเจี้ยนถึงได้แปลกประหลาดกันอย่างนี้? ประเพณีนิยมก็ไม่บริสุทธิ์เรียบง่ายเหมือนเดิมอีกแล้ว!”


เขานั่งกลับลงไปบนม้านั่งอย่างขุ่นเคือง อาบแดดเฝ้ากระบอกเซียมซีบนโต๊ะ มือทั้งคู่ซ้อนกันไว้ที่ท้ายทอย โยกลำคอไปข้างหน้าทีข้างหลังทีจนกวานบนศีรษะไหวโยนตามไปด้วย พึมพำกับตัวเองเบาๆ “น่าเบื่อ น่าเบื่อจริงๆ”


มีสตรีสาวหน้าตาหมดจดผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ปลุกความกล้าให้ตัวเองได้แล้วก็ถามว่า “ท่านนักพรต ช่วยทำนายดวงเนื้อคู่ได้หรือไม่?”


นักพรตหนุ่มรีบนั่งตัวตรง “ย่อมได้อยู่แล้ว หากไม่ใช่เซียมซีดีไม่รับเงิน!”


เด็กสาวที่งดงามด้วยวัยสาวอึ้งตะลึง จากนั้นก็หันตัวเดินกลับหลัง ในใจคิดว่านี่มันหลอกลวงกันชัดๆ ไม่ใช่หรือ ต้องเป็นพวกนักต้มตุ๋นหน้าไม่อายในยุทธภพแน่นอน คิดแล้วก็คงจะใช่ นักพรตของแคว้นหนันเจี้ยนเรา ไหนเลยจะตกต่ำได้ถึงขนาดนี้ ตนไม่ควรเห็นแก่ของถูก เรื่องแต่งงานสำคัญอย่างมาก ควรจะไปหานักพรตดูดวงที่แท้จริงที่ตรอกผิงเฟิงจะดีกว่า ราคาอาจจะแพงสักหน่อย แต่ก็คงดีกว่าถูกหลอก จากนั้นนางก็รู้สึกขัดใจเล็กน้อย เพราะอันที่จริงนักต้มตุ๋นคนนั้นหล่อมากเลยทีเดียว ทำไมถึงเป็นคนไม่ดีไปได้นะ?


นักพรตหนุ่มใช้สองมือขยี้ใบหน้าแรงๆ พูดเสียงห่อเหี่ยว “ชีวิตนี้หมดสิ้นแล้ว คนเราเมื่อแก่โทรม โชควาสนาก็ถดถอย ต่อให้ในอดีตเคยเป็นวีรบุรุษก็ยังไม่อาจได้ทุกอย่างสมใจปรารถนา กรรมตามสนองนั้นไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย”


สุดท้ายนักพรตหนุ่มถอนหายใจ “วิญญูชนที่ดีสามารถใช้เหตุผลที่เหมาะสมมาหลอกลวงคนอื่น ในเมื่อเจ้าเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ นักพรตผู้ต่ำต้อยย่อมไม่รังแกกันมากเกินไป”


บ่นไปก็เก็บแผงไปด้วย นักพรตหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับงานในมือพูดกับตัวเองในใจ “ภูเขาสูงแม่น้ำไหลยาว ถ้าอย่างนั้นพวกเราไว้พบกันใหม่?”


เพียงแต่ว่าไม่นานเขาก็ส่ายหัวปฏิเสธความคิดนี้ “ยาก”


……


ชายแดนทางทิศใต้ของต้าหลี ลมหิมะพัดหวีดหวิว หนึ่งเด็กโตสองเด็กเล็กเดินอยู่ท่ามกลางหุบเขาแห่งหนึ่ง


เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งอย่างยากลำบาก เพื่อประคองให้การเดินนิ่งสำเร็จในรวดเดียว การหายใจของเขาจึงยิ่งลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ


ทุกครั้งที่หายใจเหมือนมีมีดจำนวนนับไม่ถ้วนกรูกันเข้าไปในทวารทั้งเจ็ด จนสีหน้าของเฉินผิงอันเขียวคล้ำทุกขณะ


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่แบกหีบหนังสือใบใหญ่เอ่ยถาม “นายท่าน ระวังจะได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้ามนะ ในตำราบอกว่ายิ่งเร่งรีบยิ่งช้า วันนี้นายท่านใช้เวลาเดินนิ่งนานกว่าปกติมากแล้ว”


เฉินผิงอันแค่ส่ายหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร หาไม่แล้วลมปราณที่เก็บสะสมมาเฮือกนั้นจะสลายหายไปสิ้น


เด็กชายชุดเขียวที่จงใจเดินรั้งท้ายตะโกนขึ้นมาว่า “เด็กโง่”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหันกลับไปมอง เห็นเขาโบกมือให้ตน แถมยังแอบทำมือบอกให้เงียบเสียงด้วย


เดิมทีนางไม่คิดจะสนใจ แต่เด็กชายชุดเขียวถลึงตาดุดันใส่ ทำเอานางตกใจจำต้องชะลอฝีเท้าลง และไม่นานก็กลายเป็นว่าพวกเขาสองคนเดินเคียงบ่ากัน


เด็กชายชุดเขียวสีหน้ามืดทะมึน ไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเลยต้องเงียบตามไปด้วยครู่หนึ่ง ก่อนจะถามเบาๆ ว่า “ไม่อย่างนั้นเจ้ายอมรับผิดกับนายท่านดีไหม?”


เด็กชายชุดเขียวเต้นผาง ไฟโทสะพุ่งสูงสามจั้ง แต่ก็ไม่ลืมกดเสียงให้เบา “ยอมรับผิด?! น้ำของแม่น้ำทั้งสายไหลเข้าไปในสมองงูหลามไฟโง่ๆ ของเจ้าแล้วหรือไง?”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรอีก


เด็กชายชุดเขียวลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ถามขึ้นว่า “เจ้าว่านายท่านจะจดจำความแค้น เลยคลางแคลงใจในตัวข้าหรือไม่?


นางส่ายหน้า “นายท่านไม่ทำอย่างนั้นหรอก”


เขาทำหน้าไม่เชื่อถือ “จริงรึ?”


“จริง!”


ตอนแรกเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยังเต็มไปด้วยความมาดมั่น แต่แปบเดียวก็แอบเติมอีกสองคำ “กระมัง?”


เด็กชายชุดเขียวโมโหมาก แผ่กลิ่นอายของความฉุนเฉียวออกมาจากทั่วร่าง ใจอยากจะเผยร่างจริงแล้วพุ่งชนผนังภูเขาสองด้านให้แหลกเป็นจุล แต่สุดท้ายเขาก็กัดฟัน เค้นรอยยิ้มแข็งทื่อออกมา “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไปโขกหัวยอมรับผิดกับนายท่าน!”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูทำหน้างง “อะไรนะ?”


แต่ไปได้ไม่นานเด็กชายชุดเขียวก็กลับมาด้วยสีหน้าหงอยซึม


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถามอย่างสงสัย “เป็นอะไรไป?”


เด็กชายชุดเขียวพยายามข่มกลั้นไฟโทสะที่สุมแน่นอยู่เต็มอก “เจ้าไม่ต้องมายุ่ง!”


สุดท้ายเขานั่งแปะลงไปบนพื้น พูดหน้าตาห่อเหี่ยว “นายท่านถึงขนาดไม่กล้าเปิดปาก ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เจ้าว่ามันน่าโมโหมั้ยล่ะ?”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูมองแผ่นหลังที่เดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า ค่อยหันกลับมามองเด็กชายชุดเขียวที่นั่งอยู่บนพื้น แล้วนางก็ทรุดตัวลงนั่งยอง “ข้าพอจะรู้ความคิดของนายท่านอยู่บ้าง เจ้าอยากฟังหรือไม่? หากไม่อยาก ข้าก็จะไม่พูด แต่หากเจ้าอยากฟังก็ต้องรับปากว่า ฟังแล้วจะไม่โกรธ แล้วก็ห้ามกินข้าด้วย!”


เด็กชายชุดเขียวตอบรับอย่างหงุดหงิดเพราะทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านั้น “รับปาก รับปากทุกเรื่องเลย เจ้าพูดมาเถอะ”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแอบฟ้องเด็กชายชุดเขียวด้วยสีหน้าจริงจัง “หากความตั้งใจเดิมของเจ้าคือทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นรู้ว่าการใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั้นไม่ง่าย ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ถูกแล้ว ไม่แน่ว่านายท่านอาจจะเต็มใจขอโทษเจ้าด้วยซ้ำ แต่หากเจตนาของเจ้าเป็นเพียงแค่เพราะรู้สึกว่ามันสนุกจึงพูดจาทำร้ายจิตใจคน ต่อให้สุดท้ายแล้วเรื่องที่เจ้าทำไปเป็นเรื่องดี แต่นายท่านก็ยังคงรู้สึกว่า…ไม่ถูกต้อง เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความคิดเหลวไหลของข้าเอง อาจจะไม่ถูกต้อง อาจจะไม่ใช่ความคิดที่แท้จริงของนายท่านเสมอไป อันที่จริงข้ารู้สึกว่าทางที่ดีที่สุดเจ้าควรคุยกับนายท่านเอง”


เด็กชายชุดเขียวฟังแล้วก็อึ้งงัน จากนั้นพึมพำว่า “แน่นอนว่าข้าต้องรู้สึกสนุกอยู่แล้ว วันหน้าเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้นจะเป็นหรือตายแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูระอาใจ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่รู้จะช่วยเจ้ายังไงแล้ว”


เด็กชายชุดเขียวพลันถาม “แล้วเจ้ารู้สึกว่าข้าผิดหรือไม่?”


นางทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด


เขาแค่นเสียงเย็น “พูดมาตามตรง!”


นางขยับเปลี่ยนทิศทาง หันหีบหนังสือใบเล็กไปหานายท่านของตัวเอง ส่วนตัวนางหลบอยู่ด้านหลังหีบหนังสือราวกับว่าทำแบบนี้แล้วจะสามารถพูดตามความจริงได้อย่างสบายใจ “ข้ารู้สึกว่า นายท่านไม่ผิดแน่นนอน แต่เจ้าเองก็ไม่ต้องสนใจความคิดของนายท่านมากเกินไป เพราะอันที่จริงนายท่านเองก็ไม่ได้สนใจว่าเจ้าจะสนใจความคิดของเขาหรือไม่ หากคิดแบบนี้ได้ เรื่องราวก็จะง่ายดายมากขึ้น”


เด็กชายชุดเขียวคิดตามแล้วพยักหน้ารับ “พูดต่อสิ”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบาลง “อีกอย่าง พวกเราต่างก็เป็นผู้ฝึกตน ขอบเขตยังสูงกว่านายท่านมาก หากเจ้าฝึกตนได้เร็วกว่าดีกว่า ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งนายท่านอาจจะรู้สึกว่าตัวเองผิด เพราะอย่างไรซะนายท่านก็เคยบอกกับข้าเองว่า หากมีเรื่องใดที่เขาทำไม่ถูกต้อง เราต้องบอกเขาตามตรง นายท่านไม่ได้คิดว่าเหตุผลของเขาจะต้องถูกต้องตลอดกาล นี่ก็คือนิสัยของนายท่านที่ข้าชอบมากที่สุด!”


พูดมาถึงช่วงสุดท้าย สีหน้าของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสดใสเปี่ยมชีวิตชีวา ใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ของความชอบใจ


เด็กชายชุดเขียวค้อนตาคว่ำใส่นาง “ข้าบอกกับเจ้าตั้งนานแล้วว่า การฝึกตนอาศัยพรสวรรค์ ไม่ได้อาศัยความขยัน”


“อีกล่ะ มิน่าเล่านายท่านถึงได้ไม่ชอบเจ้า” เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูลุกขึ้นยืน สาวเท้าเร็วๆ ไล่ตามเฉินผิงอันไป


เด็กชายชุดเขียวยื่นมือข้างหนึ่งออกมา เพียงไม่นานหิมะลูกหนึ่งก็ก่อตัวขึ้น เขาจับมันยัดเข้าปาก เคี้ยวกร้วมๆ อย่างใส่อารมณ์


เขาเดินพลางครุ่นคิดไปด้วย


ทั้งอยากจะต่อยให้นายท่านที่ยังเป็นเด็กหนุ่มซึ่งน่าเบื่ออย่างถึงที่สุดผู้นั้นตายไปด้วยหมัดเดียว เอาให้จบสิ้นกันไป ผิดแล้วก็ผิดให้ถึงที่สุด


แต่ขณะเดียวกันก็อยากจะละเมิดต่อความตั้งใจเดิมของตนด้วยการก้มหน้ายอมรับผิด แต่เขาไม่อาจเปิดปากได้ ด้วยไม่เต็มใจจะกลายเป็นคนน่าเบื่อเหมือนกับเจ้าเด็กบ้านนอกผู้นั้น


เขาอดหันหน้ากลับไปมองด้านหลังไม่ได้


เด็กชายชุดเขียวคิดถึงบ้านเกิดของตัวเองแล้ว


อยู่ที่นี่ รวมตนเข้าไปด้วยก็ยังมีแค่สามคนเดียวดาย เขาไม่มีเพื่อนที่เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันแม้แต่คนเดียว


ที่บ้านเกิดยังมีเหล้าถ้วยใหญ่ให้ดื่ม มีเนื้อก้อนใหญ่ให้กิน ที่นั่นมีสหายนั่งกันเต็มห้องโถง มีบุญคุณตอบแทนบุญคุณ มีความแค้นชำระแค้น


ที่นั่นไม่มีการแบ่งผิดถูก ไม่มีหลักการเฮงซวยของคนชั่ว ไม่มีนายท่านที่ทำให้เขาอารมณ์ไม่ดี ทำให้เขาหมดสนุก


 —–


บทที่ 177 พระพุทธเจ้าพิจารณาน้ำในบาตร

โดย

ProjectZyphon

แต่ไหนแต่ไรมา แจกันสมบัติทวีปมักจะชอบใช้สำนักศึกษากวานหูเป็นตัวแบ่งเหนือใต้


ทางเหนือมีพวกป่าเถื่อนเยอะ ทางใต้ล้วนเป็นพวกที่ได้รับการศึกษา


คนใต้ดูถูกคนเหนือ นั่นคือเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน ต่อให้เป็นเหล่ากวีผู้ลือนามของต้าสุยแห่งทางเหนือ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญญาชนผู้มีความรู้ของแคว้นหนันเจี้ยนก็ยังยอมรับว่าตัวเองต่ำต้อยกว่าระดับหนึ่ง นี่จึงเป็นเหตุให้ชนชั้นสูงของทางใต้เห็นว่า หากแต่งงานกับคนทางเหนือถือเป็นความอัปยศ


ใกล้ช่วงปลายปี ในตลาดที่ครึกครื้นแห่งหนึ่งทางทิศใต้ มีหลวงจีนวัยกลางคนใบหน้ารูปเหลี่ยมเด็ดเดี่ยว เปลือยเท้าอุ้มบาตรเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า


มีนักเล่นกายกรรมคนหนึ่งแสดงฝีมือของตนออกมาอย่างเต็มที่ เรียกเสียงปรบมือและเสียงให้กำลังใจจากผู้ชมได้เป็นระลอก หลวงจีนมองเห็นลิงตัวเล็กที่ถูกมัดเข้ากับเสาไม้เสาหนึ่ง ตัวมันผอมมาก ดวงตาจึงดูกลมโตเป็นพิเศษ


หลวงจีนย่อตัวลง ควักขนมแป้งแข็งครึ่งชิ้นออกมา บิให้เล็กละเอียด วางกลางฝ่ามือ ยื่นให้ลิงน้อยตัวผอมแห้ง


แต่มันกลับตกใจกับการกระทำด้วยความหวังดีของหลวงจีนจึงวิ่งเผ่นหนีไปด้านหลังด้วยความลนลาน โซ่เลยถูกดึงให้ตึงในฉับพลัน ร่างถูกดึงกลับ ลิงน้อยที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยแส้หงายหลังลงบนพื้น มันรีบขดตัว ส่งเสียงร้องครางแผ่วๆ


หลวงจีนวางขนมที่บิเล็กไว้ใกล้ๆ กับเสาไม้ ก่อนจะบิแผ่นแป้งที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วโปรยไว้บนพื้น จากนั้นจึงวางบาตรลง แล้วเสร็จถึงได้ลุกขึ้นยืนเดินถอยหลัง สุดท้ายไปนั่งขัดสมาธิอยู่ห่างจากเสาไม้ประมาณสามสี่ก้าวแล้วเริ่มหลับตา ริมฝีปากขยับขมุบขมิบ ท่องศีลข้อห้ามของคัมภีร์


เดินก็ฝึกบำเพ็ญเพียร นั่งก็ฝึกบำเพ็ญเพียร ระยะทางยาวไกลนับหมื่นลี้ล้วนบำเพ็ญตนอย่างยากลำบากอยู่ตลอดเวลา


ลิงน้อยที่ทั้งอดยากและหนาวเหน็บคงจะหิวมากแล้วจริงๆ หลังจากหลวงจีนนั่งเข้าฌานแล้ว ลิงน้อยที่มองเขาอย่างขลาดกลัวอยู่นาน ในที่สุดก็ปลุกความกล้าขยับเข้าไปหยิบเศษขนมมาหนึ่งชิ้น ถอยกลับมาที่เดิมแล้วก้มหน้ากัดกิน พอเห็นว่าหลวงจีนยังนิ่งเฉย ความกล้าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น แอบขโมยกินอีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา หันไปเห็นโดยบังเอิญว่าในบาตรมีน้ำใสอยู่จึงดื่มเข้าไปหนึ่งอึก ทั้งที่เป็นช่วงกลางฤดูหนาว แต่น้ำใสในบาตรกลับค่อนข้างอุ่น นี่จึงทำให้ลิงน้อยรู้สึกสบาย เริ่มไม่กลัวหลวงจีนผู้นั้น ดวงตากลมโตจ้องเป๋งไปยังเจ้าคนหัวโล้นเปลือยเท้าผู้นั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ


หลังจากท่องคัมภีร์บทหนึ่งจบ หลวงจีนก็ลืมตาแล้วลุกขึ้นยืน ลิงน้อยขยับตัวหลบซ่อน หลวงจีนทำเพียงแค่ค้อมตัวหยิบบาตรขึ้นมาแล้วจากไป


 ลิงน้อยจับเสาไม้ มองแผ่นหลังของหลวงจีนที่หายไปท่ามกลางหมู่มวลชนที่เบียดเสียดอย่างรวดเร็ว


มันเรอออกมาเบาๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยื่นมือเกาข้างแก้มแห้งตอบไร้เนื้อของตัวเอง กะพริบดวงตากลมโตปริบๆ


หลวงจีนเท้าเปล่าเดินก้มหน้าอยู่ท่ามกลางฝูงชน ต่อให้ถูกคนเดินชนไหล่ก็ไม่เงยหน้าขึ้น กลับกันยังใช้มือขวาวางตั้งไว้ตรงหน้าอก ผงกศีรษะเล็กน้อยแสดงการคารวะ แล้วจึงเดินหน้าต่อไป


ในตลาดมีผู้เฒ่าสติวิปลาสอยู่คนหนึ่ง หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเป็นปม เสื้อผ้าขาดร่องแร่ง เนื้อตัวสกปรกมอมแมม ขอแค่เจอเข้ากับเด็กเล็ก ไม่ว่าผู้ปกครองของพวกเด็กๆ จะรวยหรือจน เขาก็จะต้องขยับเข้าไปใกล้แล้วถามคำถามหนึ่งที่เหมือนกัน ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นกันจนชินตา อย่างมากก็แค่จูงลูกหลานเดินเร็วๆ จากไป แต่ก็มีบางส่วนที่ด่าอย่างไม่จริงจังนัก ยังมีชายฉกรรจ์นิสัยฉุนเฉียวบางคนที่อาจจะผลักผู้เฒ่าวิปลาสออกให้พ้นตัว และตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้เฒ่าเสียสติจะเอาแต่เอ่ยคำถามประหลาดนั้นซ้ำๆ


“เด็กบ้านเจ้าตั้งชื่อแล้วหรือยัง?”


มีคนหนุ่มเสเพลกลุ่มหนึ่งที่รู้ความเป็นมาของผู้เฒ่าดีมาขวางทางเขาเอาไว้ คนหนึ่งในนั้นถามด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “ที่บ้านข้ามีเด็กคนหนึ่งยังไม่ได้ตั้งชื่อ เจ้าจะทำไม?”


ผู้เฒ่าหน้าบานทันที เขาดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น “ข้าจะตั้งให้ ข้าจะตั้งชื่อให้เอง คราวนี้ข้าต้องตั้งชื่อดีๆ ได้แน่…”


“ตั้งกะปู่เจ้าน่ะสิ!” ผู้เฒ่าถูกคนหนุ่มผู้นั้นถีบเข้าที่หน้าท้องจนหงายหลังผลึ่ง กุมท้องล้มกลิ้งไปบนพื้น


หลวงจีนถือบาตรย่อตัวลงประคองผู้เฒ่าให้ลุกขึ้น อันธพาลกลุ่มนั้นจากไปพร้อมเสียงหัวเราะดังครืน


หลังถูกประคองให้ลุกขึ้น ผู้เฒ่าก็ยื่นมือมาจับแขนหลวงจีนไว้แน่น และยังคงถามคำถามที่ไร้ความเคารพยำเกรงอย่างถึงที่สุดคำถามนั้นกับหลวงจีน “เด็กบ้านเจ้าตั้งชื่อแล้วหรือยัง?”


หลวงจีนวัยกลางคนมองสีหน้าเซ่อซ่าของผู้เฒ่าแล้วส่ายหน้า ช่วยปัดฝุ่นบนร่างให้ผู้เฒ่า ค่อยเดินหน้าต่อไป


ผู้เฒ่ายังคงหาเรื่องลำบากใส่ตัว เรียกคำด่าและอาการค้อนตาจากคนนับไม่ถ้วนอยู่ในตลาด


ภายใต้แสงอาทิตย์แรงจ้า หลวงจีนถือบาตรขอบิณฑบาต หลังผ่านไปได้เจ็ดหลังคาเรือนก็ไม่มีวาสนาอีก อาหารในบาตรหร็อมแหร็ม คิดจะกินให้ท้องอุ่นยังยาก


หลวงจีนเข้าเมืองทางทิศเหนือ ออกจากเมืองทางทิศใต้ คนสัญจรไปมาบนถนนเดินสวนกันขวักไขว่ หลวงจีนก้มหน้าเดิน หากเจอแมลงตัวเล็กก็จะเก็บขึ้นมาแล้ววางลงข้างทางที่ไม่มีคนเดินผ่าน


สุดท้ายพบวัดเก่าที่ถูกทิ้งร้างมานานแห่งหนึ่ง หลวงจีนคารวะด้วยมือข้างเดียวอยู่นอกประตู ก่อนเดินช้าๆ เข้าไปข้างใน


หลังจากกินอาหารในบาตรอยู่บนระเบียงทางเดินใต้ชายคานอกห้องโถงใหญ่ หลวงจีนก็เริ่มนั่งสมาธิเข้าฌาน ฝึกบำเพ็ญตบะต่ออีกครั้ง


ท่ามกลางแสงสายัณห์ ผู้เฒ่าวิปลาสเดินโซซัดโซเซกลับมา เขาบึ่งเข้าไปในห้องโถงใหญ่โดยไม่แม้แต่จะชายตาแลหลวงจีน เดินไปล้มตัวลงนอนบนกองฟางกองหนึ่ง ตลบผ้าห่มผืนบางแหว่งวิ่นขึ้น พยายามดึงมาห่มมือและเท้า กรนครอกๆ เสียงดัง


หนึ่งคืนผ่านไปอย่างปกติสุข


ผู้เฒ่าสกปรกที่ชอบตั้งชื่อให้คนอื่นมั่วซั่วนอนหลับถึงเที่ยงวันกว่าจะตื่นขึ้นมา พอตื่นแล้วก็ออกจากวัดร้าง เข้าไปรวมอยู่กับฝูงชนในเมือง ไม่คิดจะแยแสหลวงจีนวัยกลางคนแม้แต่น้อย ตอนแรกใช่จะไม่มีคนเดาได้ว่า ผู้เฒ่าวิปาลาสจะใช่คนวิเศษที่มีนิสัยประหลาดหรือไม่ ภายหลังถึงได้พบว่าผู้เฒ่าคือคนแก่กะโหลกกะลาอย่างแท้จริง โดนตีก็ไม่เอาคืน โดนด่าก็ไม่ด่ากลับ แถมพอถูกตีเจ็บยังร้องไห้โวยวาย โดนตีหนักเข้าก็เลือดไหลได้เหมือนคนปกติ ถึงท้ายที่สุดจึงมีเพียงพวกอันธพาลเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเท่านั้นที่ถึงจะหาเรื่องผู้เฒ่าเพื่อความบันเทิงของตัวเอง


ผู้เฒ่าอาศัยอยู่ในวัดร้างแห่งนี้มาหลายปีแล้ว


เกือบครึ่งปีต่อมา วันเวลาแต่ละวันล่วงเลยผ่านไป หลวงจีนก็มาอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราว บางครั้งก็เข้าเมืองไปพร้อมผู้เฒ่า ถือบาตรออกบินฑบาตร และบางครั้งก็ออกจากเมืองกลับเข้ามาในวัดพร้อมกับผู้เฒ่า คนทั้งสองไม่เคยพูดคุยกัน แม้แต่จะมองสบตากันก็ยังน้อยครั้ง ทุกครั้งที่พบหลวงจีน ผู้เฒ่าวิปลาสจะทำหน้างงงัน จำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น


คืนนี้ฝนเทกระหน่ำพร้อมฟ้าคำรามกระหึ่มก้อง


ท่ามกลางสายลมที่ซัดสาดและเม็ดฝนหนาถี่ ต่อให้ตะโกนเรียกในระยะประชิดก็คงได้ยินไม่ชัดเจนนัก


ทุกครั้งที่เสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น ผู้เฒ่าที่นอนขดตัวอยู่บนกองฟางจะต้องสะดุ้งตกใจตัวสั่นระริก ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าที่นอนหลับสนิทนึกถึงเรื่องเศร้าอะไร หรือว่าฝันร้ายถึงเรื่องใด มือสองข้างของเขาถึงได้กำแน่น ร่างขึงเกร็ง พึมพำซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด “เป็นปู่ที่ตั้งชื่อไม่ดี เป็นปู่ที่ทำร้ายเจ้า เป็นปู่ที่ทำร้ายเจ้าแท้ๆ”


ใบหน้าแห้งตอบแก่ชรานั้นไม่มีน้ำตาเหลือให้ไหลนานแล้ว ทว่านี่กลับยิ่งทำให้สีหน้าของเขาดูร้าวรานใจมากเป็นพิเศษ


เมื่อเสียงฟ้าร้องถี่กระชั้นเปลี่ยนมาเป็นขาดๆ หายๆ แม้ว่าเม็ดฝนจะยังถี่หนา พลังอำนาจน่าพรั่นพรึง ทว่าเสียงพึมพำของผู้เฒ่ากลับค่อยๆ แผ่วจางลงไป


แต่ขณะที่ผู้เฒ่ากำลังจะหลับลึกนั้นเอง หลวงจีนกลับงอนิ้วแล้วเคาะเบาๆ หนึ่งที


ติ๊ง!


ประหนึ่งเสียงปลาไม้ที่ดังกังวานไปทั่ววัดร้าง


ประหนึ่งเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิที่ก้องกระหึ่มภายใต้ชายคาระเบียง


ผู้เฒ่าสะดุ้งโหยง ผุดลุกขึ้นนั่ง กวาดตามองไปรอบด้าน ตอนแรกยังมึนงง จากนั้นถึงคืนสติ สุดท้ายลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเจ็บปวดขมขื่น เดินออกไปนอกห้องโถงใหญ่ ระหว่างที่เดินผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่เสื้อผ้าขาดวิ่นแผ่พลังอันดุดัน ประหนึ่งพยัคฆ์ที่ลงจากภูเขา ดุจมังกรข้ามแม่น้ำ เพียงแต่ว่าถึงแม้พลังอำนาจจะน่าครั่นคร้าม ร่างกายของผู้เฒ่ากลับอ่อนแออย่างถึงที่สุด


ก็แค่บารมีที่ยังเหลือค้างของเสือที่ตายไปแล้วเท่านั้น


ผู้เฒ่าเดินออกไปนอกวัด เงยหน้ามองฟ้าไร้คำพูดอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็เหลือเพียงความเศร้าอาลัย


หลวงจีนเอ่ยเบาๆ “ผู้มีรักล้วนมีทุกข์”


ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด ไม่แม้แต่จะปรายตามองหลวงจีน “ทุกข์อะไรกัน! ข้าผู้อาวุโสเต็มใจ! เซียนที่ตัดขาดอารมณ์และความปรารถนาจะมีความสุขได้อย่างไร? ชีวิตอมตะมองการณ์ไกลกะผีน่ะสิ แต่ละคนวางตัวสูงส่งเหนือผู้อื่น จดจำแค่เซียน ลืมมนุษย์หมดสิ้น…ฮ่าๆ ชาวบ้านธรรมดาที่ลืมรากเหง้าของตัวเองต้องถูกฟ้าผ่าถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ เทพเซียนที่ลืมรากเหง้าตัวเองกลับถือว่าเป็นเทพเซียนที่แท้จริง ช่างน่าขันยิ่งนัก…”


หลวงจีนวัยกลางคนเอ่ยอีกว่า “สรรพสัตว์ล้วนมีความทุกข์”


ผู้เฒ่าเงียบงัน ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ วางสองหมัดที่กำแน่นไว้บนหัวเข่า เอ่ยหยันตัวเอง “เหมือนอยู่ห่างไกลกันคนละโลก”


ยามฟ้าสาง ผู้เฒ่าที่ไม่รู้ว่าผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่พลันสะดุ้งตื่น เป็นอีกครั้งที่ดวงตาของเขาขุ่นมัว หลังจากนั้นเขาก็ใช้ชีวิตด้วยความเลอะเลือนผ่านไปอีกวัน


เป็นแบบนี้ไปอีกประมาณหนึ่งเดือนกว่า ค่ำคืนหนึ่งที่พระจันทร์เต็มดวง ในที่สุดผู้เฒ่าก็คืนสติ เพียงแต่ว่าคราวนี้จิงชี่เสินตลอดทั้งร่างของเขาเทียบเท่ากับก่อนหน้านี้ไม่ได้อีกแล้ว เริ่มชราภาพและทรุดโทรมลงเรื่อยๆ


เขานั่งอยู่บนระเบียงกับหลวงจีน มองพระจันทร์เต็มดวงดวงนั้นแล้วผู้เฒ่าก็พึมพำกับตัวเอง “หลานชายของข้าฉลาดมาก เป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่ฉลาดที่สุดในใต้หล้า น่าเสียดายที่แค่แซ่ชุยก็ถือว่าซวยแล้ว มาเจอกับปู่อย่างข้าก็ยิ่งซวยเข้าไปอีก ไม่ควรเป็นอย่างนี้ ไม่ควรเป็นอย่างนี้เลย…”


ไม่มีเสียงตอบรับมาจากหลวงจีนวัยกลางคน


เคยมีคนสกุลชุยในแจกันสมบัติทวีปกล่าวไว้ว่า ‘มีวัดไร้หลวงจีน สายลมกวาดพื้น มีธูปไร้ควัน แสงจันทร์ส่องสว่าง’


หลังจากเข้าหน้าหนาว หิมะใหญ่ก็พากันตกลงมา ผู้เฒ่านอนหลับอยู่ในวัด ฟันกระทบกันดังกึกๆ สีหน้าเขียวคล้ำราวกับว่าจะมีชีวิตไม่พ้นไปจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บครานี้ หลวงจีนถือบาตรเดินเข้ามา ส่งแผ่นแป้งอุ่นร้อนชิ้นหนึ่งให้กับผู้เฒ่า หลังจากรับไปอย่างงงๆ ผู้เฒ่าก็ขว้างมันลงบนพื้น สายตาที่คล้ายจะกลับคืนสู่ความมีสติบ้างเล็กน้อยหันมองหลวงจีนที่เก็บแผ่นแป้งขึ้นมาแล้วยื่นส่งให้เขาใหม่อีกครั้ง ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ข้ามีชีวิตอยู่ก็เพราะอยากพบหน้าหลานชายอีกสักครั้ง หาไม่แล้วข้าคงตายตาไม่หลับ ความแค้นนี้ข้าไม่อาจกลืนมันกลับลงไป ไม่อาจตัดมันได้ขาด! ข้าอยากจะขอโทษเขาสักครั้ง เป็นปู่ที่ผิดต่อเขา…ข้าจะเป็นบ้าไม่ได้ ข้าต้องมีสติ พระคุณเจ้าช่วยข้าด้วย!”


มือข้างหนึ่งของผู้เฒ่ากำแขนหลวงจีนไว้แน่น “พระคุณเจ้า ขอแค่ท่านช่วยให้ข้าได้พบหลานชายอย่างมีสติ จะให้ข้าเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านก็ได้…ข้าจะโขกหัวคำนับท่าน ข้าจะปาวรณาตัวเป็นลูกศิษย์ท่านเดี๋ยวนี้! ใช่ๆๆ พระคุณท่านมีคาถาอาคมเลิศล้ำ จะต้องช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากทะเลแห่งความทุกข์ได้แน่…”


ผู้เฒ่าที่ตื่นขึ้นมาในครั้งนี้ จิงชี่เสินลดต่ำดุจไม้แห้งเหี่ยว เกิดลางว่าจะเป็นตะเกียงที่น้ำมันแห้งขอด สติก็คล้ายจะไม่แจ่มชัดอีกต่อไป


หลวงจีนเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ว่าจะอย่างไรก็วางทิฐิลงไม่ได้งั้นหรือ? ต่อให้เจ้าได้พบกับเขา เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วยังจะทำอะไรได้อีก?”


ผู้เฒ่าสีหน้าขมขื่น “จะให้วางลงได้อย่างไร? ไม่ใช่เรื่องของข้าคนเดียวสักหน่อย วางไม่ลง ชั่วชีวิตนี้ก็วางไม่ลง”


หลวงจีนวัยกลางคนครุ่นคิด “ในเมื่อวางไม่ลง ถ้าอย่างนั้นก็หยิบขึ้นมาก่อน”


ผู้เฒ่าถามอย่างโง่งม “หยิบอย่างไร?”


หลวงจีนตอบ “ไปต้าหลี”


ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ใช่ๆ หลานชายคนนั้นของข้าอยู่ที่ต้าหลี”


ผู้เฒ่าส่ายหน้า “หลานชายของเจ้าอยู่ที่ต้าสุย แต่อาจารย์ของหลานชายเจ้าอยู่ที่อำเภอหลงเฉวียนต้าหลี”


ผู้เฒ่าหวาดผวา ถอยกรูดไปด้านหลัง เอาตัวชิดติดกำแพง ส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าไม่อยากเจอเหวินเซิ่ง…”


ครู่หนึ่งต่อมา ผู้เฒ่าก็เปลี่ยนอารมณ์เป็นเกรี้ยวกราด “หากเจ้าคิดจะทำร้ายข้าก็ตีข้าให้ตายไปซะ แต่หากเจ้าคิดจะทำร้ายหลานชายของข้า ข้าก็จะต่อยร่างทองคำของเจ้าให้เละด้วยหมัดเดียว! ต่อให้ศาสดาลัทธิพุทธของเจ้ามาเอง ข้าก็จะออกหมัดเหมือนกัน!”


ขาดคำ ผู้เฒ่าก็ดิ้นรนลุกขึ้นยืน พลังอำนาจกร้าวกล้าดุดัน ถึงขนาดไม่เป็นรองผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสองคนที่ประมือกันในถ้ำสวรรค์หลีจูของต้าหลีเลยแม้แต่น้อย


แต่เอาเข้าจริงก็เหลือแค่พลังน้อยนิดที่ได้แต่ขู่ขวัญตบตาคนอื่นเท่านั้น


หลวงจีนสีหน้านิ่งเฉยเป็นปกติ ก้มหน้าลงมองบาตรที่อยู่ในมือ น้ำใสในบาตรกระเพื่อมเป็นริ้ว “พระพุทธเจ้าพิจารณาน้ำในบาตร เห็นสิ่งมีชีวิตนับอนันต์”


ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “ลาหัวโล้น (คำเรียกหมิ่นเกียรติพระสงฆ์) อย่าคิดใช้คารมคมคายกับข้าผู้อาวุโส!”


หลวงจีนหันหน้ากลับไปมอง ยกบาตรขึ้นเบาๆ “นี่ก็คือส่วนที่น่าสนใจที่สุดของหลานชายเจ้า เพราะเขามองเห็นส่วนที่ ‘เล็ก’ อาตมารู้สึกว่าสามารถพูดคุยกับอาจารย์ของเขาดูได้”


สายตาของผู้เฒ่าเด็ดเดี่ยว “พระคุณเจ้าแผนการของท่านช่างลึกล้ำ ข้าผู้อาวุโสไม่มีทางรับปากท่านเป็นแน่”


หลวงจีนถอนหายใจหนึ่งที “ต้นหญ้าไร้ราก” (ต้นหญ้าที่ขาดรากต่อให้แช่อยู่ในน้ำก็ไม่มีทางเติบโตได้อีก เปรียบเปรยเหมือนคนที่ไร้สติปัญญาจะรับฟังคำสั่งสอน)


แล้วหลวงจีนก็หมุนกายจากไปทั้งอย่างนี้


ผู้เฒ่ารีบทำเวลานั่งสมาธิเข้าฌาน เริ่มกำหนดลมหายใจเข้าออก กล้ามเนื้อทั้งร่างที่แต่เดิมแห้งเหี่ยวเริ่มค่อยๆ ส่องแสงสีทองเปล่งประกาย


จากนั้นผู้เฒ่าก็ใช้ปลายนิ้วสลักห้าคำว่า ‘อำเภอหลงเฉวียนต้าหลี’ ลงกลางฝ่ามือของตัวเองจนแยกเลือดกับเนื้อไม่ออก พร่ำบอกตัวเองไม่หยุดว่า “ไปที่แห่งนี้ ต้องไปที่แห่งนี้ให้ได้ แค่มองไม่พูด ไม่ถามไม่ทำ” ทะเลสาบในหัวใจเกิดคลื่นกระเพื่อมไหว เสียงแห่งหัวใจสลักลึกตราตรึง


ผู้เฒ่ากลับเข้าไปในวัด หัวถึงหมอนก็หลับสนิท


ด้านนอกหิมะตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าไอหนาวที่พัดมาเป็นระลอกเพิ่งจะย่างกรายเข้าใกล้ประตูวัดก็สลายไปเองก่อนแล้ว


 —–


บทที่ 178.1 ข้ามองเห็นภูเขาลูกหนึ่ง

โดย

ProjectZyphon

ครั้งนี้เฉินผิงอันไม่เข้าเขตแดนต้าหลีโดยผ่านด่านเหย่ฟู หลังเดินออกจากทางเดินเลียบหน้าผาและหุบเขาแห่งนั้น เฉินผิงอันสามคนก็เจอเข้ากับหน่วยทหารสืบความลับหน่วยหนึ่ง


ลมโชยมาพร้อมหิมะขาวโพลน สองฝ่ายยืนคุมเชิงกัน


เดิมทีคนส่วนใหญ่ในหน่วยลาดตระเวนสืบความลับของชายแดนต้าหลีกลุ่มนั้นหันหัวม้ากลับเงียบๆ ไปแล้ว แต่จู่ๆ กลับมีม้าตัวหนึ่งฝ่าออกมาจากกลุ่ม ควบตะบึงมาหยุดอยู่ข้างเฉินผิงอัน ผู้ขี่คือคนหนุ่มที่มีใบหน้ามุ่งมั่น เปี่ยมไปด้วยการระแวงภัยและสำรวจตรวจตรา ในจุดลึกของดวงตาทหารลาดตระเวนชายแดนต้าหลีผู้นี้ยังมีความเฉียบขาดที่ในเวลานั้นเฉินผิงอันไม่อาจเข้าใจอยู่ด้วย


เมื่อม้าตัวนี้พุ่งออกมา สหายคนอื่นของเขาก็กัดฟันตามมาด้วย ม้าหลายตัวที่ควบเข้ามาทำให้เกล็ดหิมะปลิวว่อนไปสี่ทิศ ลมหนาวโชยมาปะทะใบหน้า


เฉินผิงอันตะโกนด้วยภาษาทางการของต้าหลี “พวกเราคือคนของอำเภอหลงเฉวียน เพิ่งกลับมาจากแคว้นหวงถิง เข้าด่านมาจากทางหนิวจ้าหลัน”


ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็ควักเอกสารผ่านด่านซึ่งที่ว่าการอำเภอต้าหลีเป็นผู้ออกให้ออกมาจากสาบเสื้อหน้าอก เดินทางนับพันนับหมื่นลี้ไปขอศึกษาต่อ บนเอกสารเต็มไปด้วยตราประทับของด่าน พื้นที่และแคว้นต่างๆ เมื่อเห็นว่านายทหารผู้นั้นจะพลิกตัวลงจากหลังม้า เฉินผิงอันก็ก้าวยาวๆ วิ่งเหยาะๆ ขึ้นหน้าไป ชูมือสูงส่งเอกสารให้ ร่างของทหารคนนั้นยิ่งขึงเกร็ง ม่านตาของคนทั้งกลุ่มหดตัวเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ


ทหารลาดตระเวนผู้นั้นค้อมตัวลงมารับเอกสารผ่านด่าน หลังอ่านอย่างละเอียดแล้วก็พลันยิ้มกว้าง มือข้างที่เดิมทีกำด้ามกาบไว้แน่นแอบยื่นไปด้านหลังแล้วทำมือให้คนทั้งกลุ่มรู้ว่าสถานการณ์ปลอดภัย นายทหารยังคงยืนกรานจะลงจากหลังม้า ยื่นเอกสารส่งคืน เฉินผิงอันรับเอามาอย่างระมัดระวัง นายทหารหนุ่มจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “อากาศย่ำแย่ขนาดนี้ หากเจอปัญหาสามารถไปขอพักที่หอส่งสัญญาณไฟของพวกเราได้ ที่นั่นมีอาหารพร้อมสรรพ รอให้หิมะเบาลงค่อยเดินทางต่อก็ยังไม่สาย”


เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความจริงใจของนายทหารจึงรีบกุมมือคารวะด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ข้าจะได้อาศัยโอกาสนี้ฝึกวิชาหมัดพอดี อาจจะยากลำบากอยู่สักหน่อย แต่ก็ยังพอทนได้”


ต้าหลีนิยมนักสู้ ประเพณีนิยมความดุดันกล้าหาญ สร้างชื่อเสียงระบือไปทั่วทวีป


การที่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะยืนหยัดขนาดนี้ทำให้เหล่าทหารลาดตระเวนรู้สึกดีต่อเขาได้อย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นหัวหน้าอาวุโสคนหนึ่งที่ใบหน้าหยาบกระด้างเรียบง่าย ปกติไม่ชอบยิ้มแย้มก็ยังอดคลี่ยิ้มอย่างชอบใจไม่ได้


ทั้งสองฝ่ายจึงจากลากัน ณ ตรงนั้น ทหารลาดตระเวนลงใต้ไปสำรวจตรวจตราตามหน้าที่ของตัวเองต่อ ส่วนเฉินผิงอันก็เดินทางขึ้นเหนือกลับบ้านเกิด


หัวหน้ากองทหารม้าหันกลับมามองแผ่นหลังของคนทั้งสามที่เดินทางขึ้นเหนือ หุบยิ้มแล้วหันหน้ามาตวาดสั่งสอนนายทหารคนนั้น “ทำตัวเป็นวีรบุรุษอะไรของเจ้า ไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือไง?! ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีตื้นลึกหนาบางอย่างไร ลำพังสาวใช้ชายหญิงสองคนที่สวมเสื้อผ้าบางๆ ข้างกายเขาก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเป็นผู้ฝึกตนที่มีตบะไม่ธรรมดา หาไม่แล้วจะทนรับความทรมานจากอากาศแบบนี้ได้อย่างไร เมื่อครู่นี้ก็เห็นสีหน้าสดชื่นของพวกเขาในระยะประชิดแล้ว เจ้ายังมองไม่ออกอีกหรือ?


หากคนทั้งสามเป็นสายลับของแคว้นศัตรูจริงๆ เจ้าวู่วามบุกขึ้นหน้าไปถามไถ่เหมือนครานี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเราตายกันหมด แม้แต่การส่งข่าวรายงานก็ยังต้องถูกถ่วงให้ล่าช้าด้วย!”


นายทหารหนุ่มตัวสั่นด้วยความขลาดกลัว แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ “หัวหน้า พวกเราเป็นหน่วยสืบความลับระดับสองของชายแดน และนี่ก็ยังอยู่ในขอบเขตของต้าหลี ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มาจากไหนก็ต้องทำตามกฎของกองทัพชายแดนพวกเราไม่ใช่หรือ? หากกล้าสังหารพวกเราจริงๆ เมื่อมีการตรวจสอบหลังจบเรื่อง พวกเขาก็มีแต่เสียกับเสีย หรือต่อให้ถอยไปพูดหมื่นก้าว ไม่ใช่ว่ายังมีท่านอ๋องอยู่หรอกหรือ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครมีความสามารถมากพอจะงัดข้อกับท่านอ๋องได้”


หัวหน้าอาวุโสที่อยู่บนหลังม้ามาครึ่งชีวิตโมโหจัดจึงฟาดแส้ออกไป แต่ตีโดนความว่างเปล่าเหนือไหล่ของนายทหารหนุ่ม เสียงเบากว่าฟ้าผ่ายามฝนตกกระหน่ำหน่อยเดียวเท่านั้น เขาโกรธจัดจนกลายเป็นหัวเราะ “หากเปลี่ยนมาเป็นตอนที่ข้าเพิ่งเข้ามาอยู่ในกองทัพ การกระทำเช่นนี้ของเจ้าเท่ากับท้าทายนายท่านผู้ฝึกลมปราณแล้ว รู้หรือไม่? ทำไมถึงไม่ยอมรับรู้เลยว่า ถ้าเจอกับแม่ทัพที่มีคุณธรรม อย่างมากเขาก็แค่ช่วยทวงเงินบำรุงขวัญให้เจ้าแค่ไม่กี่สิบตำลึง แต่หากไม่ใช่ผู้มีคุณธรรม เขาก็ไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะเป็นหรือตาย!”


สามารถกลายมาเป็นทหารหน่วยลาดตระเวนสืบความลับศัตรูระดับสองของกองทัพชายแดนต้าหลีได้นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นทหารกล้าที่ปรีชาสามารถแห่งต้าหลี ไม่มีใครที่เป็นโง่ นายทหารหนุ่มจึงรีบพูดแก้ไข “ท่านหัวหน้าโปรดระงับโทสะ วันหน้าเมื่อบุกไปยังรังของสกุลเกาต้าสุย ข้าจะใช้คุณความชอบทางทหารมาแลกเปลี่ยนเป็นสาวๆ ผิวนวลเนื้อนุ่มให้แก่ท่าน ท่านจะได้อารมณ์ดี…”


หัวหน้าผู้อาวุโสก่นด่า “เจ้าบ้า คุณความชอบทางทหารน้อยนิดแค่นั้นของเจ้ายังไม่พอจะยัดซอกฟันข้าผู้อาวุโสด้วยซ้ำ เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว ไปลาดตระเวนต่อ! เบื้องบนสั่งมาแล้วว่าให้ระวังความวุ่นวายจากทางแคว้นหวงถิงให้ดี ยิ่งเป็นอากาศแบบนี้ยิ่งต้องระวังให้มาก ไม่ใช่กลัวว่าพวกเขาจะทะเล่อทะล่าเข้ามารนหาที่ตาย แต่สู้รบทำสงครามมานานหลายปีขนาดนี้ ล้วนเป็นกีบเท้าม้าของพวกเราที่เหยียบย่ำในบ้านของคนอื่น ไม่มีเหตุผลที่จะให้คนอื่นเหยียบย่ำเข้ามาในบ้านของพวกเรา”


นายทหารหนุ่มยิ้มหน้าเป็น “ทราบแล้วๆ ข้าจะนำไปเดี๋ยวนี้ รับรองว่าแม้แต่แมลงวันสักตัวก็จะไม่ปล่อยให้บินเข้าไปในหุบเขาสันหลังวัวที่อยู่เบื้องหน้าได้”


นายทหารหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ดึงหมวกหนังเตียวหนานุ่มที่ตอนนี้ค่อนข้างแข็งลงมา สลัดเศษน้ำแข็งที่เกาะหมวกออกแล้วควบม้าไปเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า


นายทหารวัยกลางคนผู้หนึ่งถามขึ้นอย่างอดไม่ไหว “หัวหน้า ก่อนหน้านี้ชายแดนของสองแคว้นเกิดความเคลื่อนไหวรุนแรงขนาดนั้น ได้ยินมาว่าในแคว้นหวงถิงเกิดแผ่นดินไหวพื้นดินปริแยก คนตายไปหลายคน ทางฝ่ายเรากลับไม่มีความเสียหายใดๆ นี่เป็นเพราะมีสาเหตุใดแอบแฝงหรือไม่? หัวหน้าท่านมีช่องทางข่าวสารเยอะ นายทหารอาวุโสหลายคนตอนนี้ล้วนเป็นใต้เท้ารองแม่ทัพกันหมดแล้ว ข้ารู้มาว่าก่อนหน้านี้ท่านตั้งใจไปดื่มเหล้ากับใครบางคน มีอะไรที่พอจะเล่าให้ฟังบ้างได้ไหม?”


สีหน้าของหัวหน้าอาวุโสเคร่งขรึมไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ไม่ได้เปิดเผยความลับสวรรค์ เพียงแค่ยิ้มกว้าง สายตาฉายประกายร้อนแรง พูดด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย “ไม่มีอะไรให้ต้องพูด ก็แค่อีกไม่นานพวกเราจะได้กินเนื้อแล้ว เป็นเรื่องดี!”


อีกด้านหนึ่ง เฉินผิงอันที่เดินฝ่าลมหิมะไปเบื้องหน้าเอ่ยเนิบช้า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้เห็นทหารม้าของต้าสุย พวกเขาคุ้มครองพวกเราจากชายแดนไปส่งถึงเมืองหลวง แต่เมื่อเทียบกับทหารม้าของต้าหลีแล้ว มักจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน…แต่ก็อธิบายไม่ถูก”


เด็กชายชุดเขียวกล่าวอย่างเกียจคร้าน “นายท่าน นี่ก็ง่ายจะตายไป กองทัพม้าต้าสุยคือหมาเฝ้าบ้านที่ถูกเลี้ยงไว้ในคฤหาสน์หลังใหญ่ แค่มองดูเหมือนร้ายกาจเท่านั้น แต่แน่นอนว่าหากสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก็น่าจะพอถูไถไปได้ แต่กองทัพม้าต้าหลีของพวกท่าน โดยเฉพาะกองทัพม้าชายแดนที่ถือว่าเป็นหมาป่ากัดคนไปทั่ว เขี้ยวเล็บจึงถูกลับให้แหลมคมมานานแล้ว หากเปลี่ยนเป็นทหารชายแดนของแคว้นหวงถิง เห็นพวกเราสามคนคงวิ่งหนีป่าราบไปนานแล้ว ไหนเลยจะยังเหลือความกล้าเดินเข้ามาถาม”


เด็กชายชุดเขียวหาวหวอด จากนั้นก็พูดต่อว่า “เมื่อก่อนตอนอยู่แม่น้ำอวี้เจียง เคยได้ยินสหายเทพวารีของข้าเล่าความลับเรื่องหนึ่งให้ฟัง เมื่อสิบกว่าปีก่อน ทางทิศเหนือของต้าหลีมีกองทัพชายแดนกองหนึ่งเกิดความขัดแย้งกับกลุ่มผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา ด้วยความโมโห แม่ทัพใหญ่จึงรวมพลทหารยอดฝีมือหกพันนาย ตัวเขาเองและเลขาธิการฝ่ายบู๊ใต้บังคับบัญชาของเขา รวมถึงผู้ฝึกลมปราณติดตามกองทัพที่ยืมมาจากสหายให้ร่วมมือกันไล่ฆ่าฝ่ายตรงข้ามไกลถึงแปดร้อยกว่าลี้ ผู้ฝึกลมปราณสี่คนที่มีชื่อเสียงด้านความอำมหิตถูกพวกเขาฆ่าไปถึงสามคน”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูตกใจ “ในแคว้นหวงถิง ไม่ว่าจะเป็นทหารของท้องถิ่นหรือในยุทธภพด้านล่างภูเขาล้วนไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา การที่สกุลเฉาจือหลันยอมทุ่มเททุกความสามารถปลูกฝังบุตรชายคนเล็กก็เพราะหวังว่า เมื่อคนหนึ่งบรรลุเป็นเซียน หมูหมากาไก่รอบตัวก็พลอยได้ดีลอยขึ้นสวรรค์ไปด้วย ไม่จำเป็นต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจอีกต่อไป”


“สกุลหงแห่งแคว้นหวงถิง ตั้งแต่บนยันล่างล้วนเละเทะไปหมด สงครามในอนาคต ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของคนเถื่อนต้าหลีได้”


เด็กชายชุดเขียวยื่นมือสองข้างออกมาสร้างลูกหิมะโปร่งใสครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นก็ขว้างมันไปไกลๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเกียจคร้าน “กองทัพชายแดนต้าหลีก็เละตุ้มเป๊ะพอควร โดยเฉพาะเลขาธิการฝ่ายบู๊ที่ตายกันไปเกินครึ่ง สรุปคือเหตุการณ์นั้นลุกลามใหญ่โตมาก ฮ่องเต้ต้าหลีทรงพิโรธอย่างหนัก เรียกตัวแม่ทัพฝ่ายบู๊ขั้นสามชั้นเอกผู้นั้นกลับเมืองหลวงทันที แล้วสั่งลดขั้นเขาให้เป็นนายทหารชั้นต่ำรวดเดียว นี่ถึงได้พอทำให้สำนักเบื้องหลังผู้ฝึกลมปราณทั้งสี่คนนั้นหายโมโหได้บ้าง เพียงแต่ได้ยินมาว่าผ่านไปได้แค่ไม่กี่ปี ชาวบู๊ที่เฝ้าพิทักษ์สมรภูมิรบทางชายแดนทิศเหนือผู้นั้นก็มาปรากฎตัวอยู่ที่ด่านเหย่ฟูชายแดนทิศใต้ อีกทั้งเพียงไม่นานก็ได้ยศเดิมกลับคืน กองทหารของเขาก่อนหน้านี้ก็ยิ่งได้อวยยศด้วยตำแหน่งทรงเกียรติโดยขึ้นเป็นหนึ่งใน ‘ทัพม้าเหล็ก’ กองใหม่ของต้าหลี คนของกองทัพชายแดนไม่เพียงแต่กลับมามีจำนวนเต็มดังเดิมอย่างรวดเร็ว ยังมีม้าตัวใหญ่ระดับหนึ่งและนายทหารระดับหนึ่งเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ก็มีหน้ามีตายิ่งนัก”


เฉินผิงอันนึกถึงสำนักศึกษาซานหยาขึ้นมา พึมพำกับตัวเองว่า “ขออย่าให้มีสงครามเลย”


เด็กชายชุดเขียวพลันขว้างหิมะลูกหนึ่งขึ้นไปยังจุดสูง จากนั้นก็ขว้างหิมะลูกที่สองออกไปโจมตี ทั้งสองลูกกระทบกันแตกกระจาย “ลูกธนูขึ้นสายแล้ว จะไม่ยิงไม่ได้ ข้าว่าศึกใหญ่ล่มแคว้นครั้งนี้คงหนีไม่พ้น ที่สำคัญคือต้องดูว่าต้าสุยจะเอาถ่านหรือไม่ แต่หากป๋ายอวี้จิงของต้าหลีร้ายกาจอย่างที่เล่าลือกันจริงๆ ข้าว่ากองกำลังบนภูเขาส่วนมากของต้าสุยที่เดิมทีเป็นฝ่ายได้เปรียบคงจะเลือกรักษาตัวรอดไว้ก่อน เพราะคงไม่มีใครเต็มใจอยากถูกกระบี่ที่บินออกจากหอป๋ายอวี้จิงพุ่งเข้ามาสังหารถึงในจวนที่มีค่ายกลใหญ่คุ้มกันในเวลาเพียงเสี้ยววินาที แบบนั้นเรียกว่าตายตาไม่หลับจริงๆ ใครเล่าจะยินดีทดลองสัมผัสกับพลังสังหารของกระบี่บินจากป๋ายอวี้จิง? ยิ่งขอบเขตสูงเท่าไหร่ ผู้ฝึกลมปราณก็ยิ่งรักตัวกลัวตายมากเท่านั้น เอาเป็นว่าสหายเทพวารีบอกกับข้าว่า ขอแค่กระบี่บินของป๋ายอวี้จิงมีพลานุภาพได้สักครึ่งหนึ่งอย่างที่เล่าลือกันมา เขาจะเป็นฝ่ายยอมยกธงขาวเอง และดูจากพฤติกรรมของราชสำนักต้าหลีแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังรักษาตำแหน่งเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงของเขาเอาไว้ได้”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสีหน้ามึนงง “ป๋ายอวี้จิงคืออะไร? ยังมีกระบี่บินพุ่งออกมาได้ด้วย?”


เด็กชายชุดเขียวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ดีดนิ้วเบาๆ ลูกหิมะก็ดีดเข้าที่หน้าผากของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู “สวบทีเดียว กระบี่บินเล่มหนึ่งก็จะพุ่งออกจากป๋ายอวี้จิงที่อยู่ในเมืองหลวงต้าหลีด้วยความเร็วเท่าเทียมกับเซียนกระบี่พสุธาห้าขอบเขตบนขี่กระบี่บิน พริบตาเดียวก็ข้ามผ่านพันขุนเขาหมื่นวารี ทะลุทะลวงกะโหลกศีรษะของเด็กโง่ๆ อย่างเจ้า สนุกไหมล่ะ?”


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยกสองมือกุมหน้าผาก ตกใจไม่ใช่น้อย


เด็กชายชุดเขียวพูดเยาะเย้ย “แค่ตบะเท่าขี้เล็บของเจ้า จะสังหารเจ้ายังต้องใช้กระบี่บินจากป๋ายอวี้จิงด้วยหรือ? เจ้าเป็นเด็กโง่นั้นไม่ผิด แต่ราชสำนักต้าหลีไม่โง่สักหน่อย ตอนนี้เป้าหมายที่กระบี่บินสิบกว่าเล่มในป๋ายอวี้จิงเพ่งเล็งล้วนเป็นพวกตะพาบแก่ๆ ที่มุดหัวอยู่ใต้น้ำของเขตแดนต้าสุย ข้าเดาเอาว่าในบรรดาผู้ฝึกลมปราณที่มีคุณสมบัติพอให้ติดอันดับบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ของต้าสุยจะต้องมีคนแอบหลบหนีออกจากต้าสุยเพื่อเลี่ยงหายนะเป็นแน่”


แม้ว่าเฉินผิงอันจะไม่ได้เอ่ยแทรก แต่กลับรู้สึกว่าข้อสรุปและการคาดเดาส่วนใหญ่ของงูน้ำแห่งแม่น้ำอวี้เจียงมีเหตุผลและมีหลักฐาน จึงรับฟังอยู่เงียบๆ และจดจำทุกถ้อยคำไว้ขึ้นใจ นั่นจึงทำให้เฉินผิงอันยิ่งไม่เข้าใจ ทำไมคนที่มองปัญหาได้อย่างทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ถึงได้เต็มใจทำตัวเป็นแพะรับบาปแทนเทพวารีที่มีเจตนาชั่วร้ายตอนอยู่แม่น้ำอวี้เจียงบ้านเกิด?


หรือจะเป็นเงาดำใต้โคมไฟ? (คล้ายสำนวนเส้นผมบังภูเขา)


เฉินผิงอันไม่ได้เปิดปากถาม จะอย่างไรซะนี่ก็เป็นเรื่องในครอบครัวของอีกฝ่าย


เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งรับลมหิมะที่โชยมาปะทะใบหน้าเป็นระลอกไปเงียบๆ


ฝึกเดินนิ่งของวิชาหมัดเขย่าขุนเขาท่ามกลางหิมะตกหนักที่สูงถึงเข่าจำต้องชะลอความเร็วลง เดินตั้งแต่ทางเลียบหน้าผามาถึงที่นี่ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ยิ่งเป็นช่วงหลังๆ เฉินผิงอันก็ต้องใช้พละกำลังและแรงใจมากกว่าเวลาปกติเป็นสิบเท่าตัว


ตั้งแต่ภายในยันภายนอกทั่วทั้งร่างของเฉินผิงอันเหมือนจะจับก้อนเป็นน้ำแข็ง เป็นเหตุให้พอมาถึงช่วงหลังไม่จำเป็นต้องให้เฉินผิงอันจงใจใช้การโคจรลมปราณสิบแปดหยุด ลมปราณมหัศจรรย์ที่เหมือนมังกรไฟลาดตระเวนชายแดนเส้นนั้นก็ว่ายวนไปทั่วกายเขาด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว ช่วยให้เฉินผิงอันพอจะประคับประคองลมปราณที่แท้จริงเฮือกนั้นไม่ให้ร่วงหล่นลงไปข้างล่าง


ทุกครั้งที่สูดลมหายใจเข้าออกล้วนเป็นความเจ็บปวดที่บาดลึกถึงกระดูก


เด็กชายชุดเขียวมองเขาแล้วก็ให้ปวดหัว รู้สึกเหลือเชื่อ พรสวรรค์ย่ำแย่ก็ช่วยยอมรับชะตากรรมได้หรือไม่? คนอื่นเดินบนเส้นทางการฝึกตนวันเดียวได้พันลี้ แต่เจ้าเฉินผิงอันต้องเสียเวลาเป็นเท่าตัวกับเรื่องนี้ทุกวัน มันน่าอายนะรู้ไหม


เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกลับมองดูด้วยความสงสารปานจะขาดใจ


 ————————–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)