คัมภีร์วิถีเซียน 1761-1762
ตอนที่ 1761 สหายเก่า
“ดูจากท่าทางของสหายทั้งสี่ เหมือนว่าปราณแท้ที่สูญเสียไปในแดนรกร้างคงจะฟื้นฟูกลับมายังไม่หมด” หานลี่กวาดมองเรือนร่างของทั้งสี่คนแวบหนึ่ง แล้วมองสถานการณ์ของพวกเขาในยามนี้ออกอย่างง่ายดาย พลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ท่านอาวุโสดวงตาเฉียบแหลมนัก ชนรุ่นหลังและพวกสูญเสียปราณแท้ไปจริงๆ ประกอบกับพลังยุทธ์ไม่สูงนัก ยามนี้จึงพอฝืนฟื้นฟูกลับมาได้แค่ครึ่งหนึ่ง” นักปราชญ์ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบัง พลางตอบกลับอย่างซื่อสัตย์
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้ามียาลูกกลอนอยู่ พวกเจ้าทั้งสี่เอาไปเถิด หลอมฤทธิ์ของยาแล้วนั่งสมาธิสักสองสามเดือน ก็จะทำให้พวกเจ้าฟื้นฟูกลับมาดังเดิมแล้ว” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย มือหนึ่งพลิกฝ่ามือในมือมีขวดหยกสีเขียวอ่อนปรากฏขึ้นสี่ขวดแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่มอบยาลูกกลอนให้!” นักปราชญ์และพวกทั้งสี่คนพลันรู้สึกดีใจและคารวะขอบคุณอีกครั้ง
พวกเขาพากันก้าวขึ้นไปข้างหน้า สองมือรับขวดหยกเอาไว้จากนั้นก็เปิดฝาออกกลิ่นหอมของยาตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้องโถง
แค่ได้กลิ่นเล็กน้อยก็รู้สึกผ่อนคลายมีชีวิตชีวาขึ้น
นักปราชญ์และพวกต่างก็รู้สึกยินดีมาก รู้ว่ายาลูกกลอนในขวดจะต้องไม่ธรรมดาประสิทธิภาพอาจจะมากกว่าที่หานลี่กล่าวเอาไว้
“ท่านอาวุโสมาถึงที่พักของชนรุ่นหลังในครั้งนี้ มีเรื่องอันใดให้ชนรุ่นหลังออกแรงหรือ” นักปราชญ์ฝึกฝนจนมาอยู่ระดับขั้นนี้ได้แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คนที่โง่เขลา หลังจากรับยาลูกกลอนไปแล้วก็เอ่ยถามอย่างรู้จักวางตัว
“อืม ข้ามีเรื่องจะให้พวกเจ้าไปทำ แม้ว่าเรื่องนี้จะง่ายดายมากแต่ก็ต้องเสียเวลานานหน่อยและยิ่งไปกว่านั้นจะต้องอยู่ที่เมืองเทวะสวรรค์เป็นเวลานาน ไม่ทราบว่าสหายพอมีเวลาหรือไม่ แน่นอนว่าผู้แซ่หานไม่มีทางให้เหล่าสหายทำเรื่องนี้เปล่าๆ” หานลี่เอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ท่านอาวุโสโปรดวางใจชนรุ่นหลังและพวกทั้งสี่ไม่ได้มีแผนจะออกจากเมืองเทวะสวรรค์ภายในหนึ่งร้อยปีนี้ มีเรื่องอันใดก็รับสั่งมาเถิด หากชนรุ่นหลังทำได้ย่อมไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน” นักปราชญ์ได้ยินหานลี่เอ่ยว่าเรื่องนี้ไม่มีอันตรายใดๆ ก็รู้สึกผ่อนคลายลงแล้วตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
“ในเมื่อสหายเอ่ยเช่นนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเคยเอ่ยถึงสตรีผู้บำเพ็ญเพียรนามว่าหนานกงหวั่น พวกเจ้าช่วยข้าหาสตรีผู้นี้ในเมืองเทวะสวรรค์หน่อย นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุขึ้นมา และอาจจะเปลี่ยนชื่อแซ่ แต่ข้าจะทิ้งคัมภีร์ไว้ให้พวกเจ้าม้วนหนึ่ง ในนั้นเป็นภาพวาดเหมือนของนาง พวกเจ้าจะได้แยกแยะได้ หากหาในเมืองเทวะสวรรค์ไม่พบ ภายในร้อยปีหลังจากนี้หากพวกเจ้าก็ช่วยข้าตามหาสตรีผู้บำเพ็ญเพียรผู้นี้ต่อ จนหาสตรีผู้นี้พบ ข้าจะต้องตอบแทนอย่างหนักแน่” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
“ไม่มีปัญหา ชนรุ่นหลังและพวกมีสหายสนิทอยู่ในเมืองเทวะสวรรค์ ขอแค่เซียนผู้นี้มาปรากฏตัวที่เมืองเทวะสวรรค์ จะต้องช่วยท่านอาวุโสหาพบแน่” นักปราชญ์ตอบรับอย่างนอบน้อม
“อืม นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่อง ผู้แซ่หานเตรียมจะหลอมยาลูกกลอนจำนวนหนึ่ง แต่มีวัตถุดิบที่ต้องการค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่ล้วนไม่ใช่ของที่พบเห็นได้ทั่วไป แม้แต่ในเมืองเทวะสวรรค์ก็อาจจะไม่ได้รวบรวมจนครบได้ในระยะเวลาอันสั้น ส่วนข้านั้นจะออกไปที่อื่นสักหน่อย จึงทำได้เพียงให้สหายช่วยรวบรวมแทนข้า นี่คือศิลาวิญญาณ น่าจะพอซื้อสมุนไพร นอกจากนี้สมบัติอีกเหล่านี้ ข้าบังเอิญได้มาก มอบให้เหล่าสหายก็แล้วกัน”
เมื่อหานลี่เอ่ยจบก็สะบัดแขนเสื้อไปบนโต๊ะด้านข้าง
ลำแสงวิญญาณหลากสีสันเปล่งแสงสว่างวาบ กล่องหยกขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันสี่กล่องและถุงหนังสีดำปรากฏขึ้น
นักปราชญ์และพวกทั้งสี่ได้ยินก็อดที่จะลอบมองสบตากันด้วยแววตาตกตะลึงไม่ได้ หลังจากถ่ายทอดเสียงพูดคุยกันสองสามประโยคก็เผยสีหน้านอบน้อมแล้วตอบตกลงออกมา
จากนั้นหลังจากที่นักปราชญ์เอ่ยอย่างรู้สึกผิดก็หยิบถุงหนังขึ้นมา หลังจากกวาดจิตสัมผัสเข้าไปข้างในก็ร้องอุทานออกมาพร้อมกับหน้าเปลี่ยนสี สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ชั่วขณะนั้นชายชราชุดเกราะสีแดงและพวกทั้งคนพลันตกตะลึง สายตาที่มองไปที่หานลี่อดที่จะเผยแววตาตกตะลึงระคนสงสัยออกมาไม่ได้
แต่หานลี่กลับมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น
โชคดีที่นักปราชญ์เห็นสิ่งผิดปกติก็รีบร้อนเอ่ยปากอธิบาย “ท่านอาวุโสนี่มันจำนวนมากเกินไป คาดไม่ถึงว่าจะเอาศิลาวิญญาณระดับสุดยอดจำนวนมากขนาดนี้ออกมา ดูแล้วสมุนไพรที่ท่านอาวุโสอยากซื้อ คงไม่ธรรมดาจริงๆ ทว่าในเมื่อท่านอาวุโสเชื่อมั่นในชนรุ่นหลังและพวกเช่นนี้ ชนรุ่นหลังจะทำเต็มที่ขอรับ”
เอ่ยจบนักปราชญ์ก็เก็บถุงหนังเข้าไปอย่างระมัดระวัง หลังจากลังเลเล็กน้อยก็หยิบกล่องหยกบนโต๊ะขึ้นมากล่องหนึ่งแล้วเปิดออกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หมอกลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งบินออกมา ในกล่องคือพัดหยกสีขาวด้ามหนึ่ง ผิวของมันเปล่งแสงระยิบระยับ มีอักขระอยู่เต็มไปหมด
นักปราชญ์ยกมือขึ้น หยิบพัดหยกขึ้นมา พอโบกสะบัดเล็กน้อย เงาพัดก็ปรากฏขึ้นด้านหน้า ในเวลาเดียวกันก็แผ่แรงกดที่น่าตกตะลึงออกมา
“พัดภูเขาแม่น้ำด้ามนี้มีอิทธิฤทธิ์ทั้งวายุและธรณี หลังจากพัดออกไป สามารถปล่อยพลังหนักพันชั่งที่ไร้รูปร่างในรัศมีร้อยจั้งได้ นับว่าเป็นสมบัติที่ไม่เลวชิ้นหนึ่ง” หานลี่มองเห็นฉากนี้ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
นักปราชญ์พลันเอ่ยขอบคุณไม่หยุดทันที
คนที่เหลือทั้งสามคนต่างก็หยิบกล่องหยกขึ้นมาคนล่ะกล่อง และเปิดออกอย่างตื่นเต้น
ผลคือในกล่องหยกมีกำไลสีเงินคู่หนึ่ง ผ้าไหมหลากสีสันผืนหนึ่งและใบมีดบินน้ำแข็งทมิฬเล่มหนึ่ง
สมบัติสามชิ้นนี้เป็นแค่ของไร้ค่าสำหรับหานลี่ แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงอย่างพวกของนักปราชญ์แล้ว กลับเป็นสิ่งที่เพ้อฝัน จึงเอ่ยขอบคุณด้วยความดีใจเกินคาดเช่นกัน
แน่นอนว่าทั้งสี่คนเก็บสมบัติเข้าไปในทันที แล้วนับว่าเป็นการตอบรับเงื่อนไขของหานลี่อย่างเป็นทางการ
ส่วนทั้งสี่คนจะรู้สึกเสียใจในภายหลังแล้วนำศิลาวิญญาณหนีไปหรือไม่ หานลี่กลับวางใจมาก
ประวัติของทั้งสี่คนนั้นเขาไปสืบหามาจากในเมืองแล้ว
พวกเขามีชื่อเสียงไม่น้อยในเมือง และไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษ ไม่ว่าตระกูลหรือว่าพรรคล้วนหาได้อย่างง่ายดาย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทั้งสี่คนแค่ใช้สมองเล็กน้อย ก็ไม่มีทางทำเรื่องที่โง่เขลาเช่นนี้แล้ว มิเช่นนั้นก็เป็นการนำหายนะมาสู่ญาติพี่น้องของตนเอง
และยิ่งไปกว่านั้นก่อนจะออกจากหอคอย หานลี่ก็ยังใช้น้ำเสียงราบเรียบบอกทั้งสี่คนว่าตนเพิ่งจะบรรลุระดับผสานอินทรีย์เป็นการเตือนอีกครั้ง และแสดงให้เห็นว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ถึงจะควบคุมพลังปราณฟ้าดินได้อย่างง่ายดายได้
นักปราชญ์และพวกทั้งสี่คนพลันตกตะลึงจนตาค้าง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจมีความคิดเป็นอื่นได้
หลังจากที่หานลี่ออกจากหอคอย ก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีตรงไปยังหอคอยศิลายักษ์ที่เคยอาศัยยามที่เป็นผู้พิทักษ์สวรรค์ในปีนั้น
หลังจากนั้นไม่นานหานลี่ก็มาปรากฏตัวใกล้ๆ กับหอคอยศิลาแห่งหนึ่ง มองทางเข้าที่มีผู้พิทักษ์หลากสีสันเดินเข้าออกไม่หยุด ใบหน้าเผยสีหน้าใจลอยออกมา
หอคอยศิลาแห่งนี้คือที่พักยามที่เขารับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ยมโลกนิลในนั้น
ทว่ามาที่นี่อีกครั้งในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองสามร้อยปี ราวกับว่าทุกอย่างเหมือนเดิมทุกระเบียบนิ้ว
หลังจากที่แววตาของหานลี่เปล่งประกายสองสามครั้ง ก็เก็บความรู้สึกปลงอนิจจังกลับไป แล้วกลายเป็นลำแสงหลีกหนีบินไป
ตรงทางเข้าของหอคอยศิลา ผู้พิทักษ์เกราะทมิฬสิบกว่าคนและผู้พิทักษ์ยมโลกนิลสองคนกำลังรักษาการณ์อยู่ตรงนั้น
เมื่อเห็นหานลี่ที่ไม่ใช่ผู้พิทักษ์ของเมืองเทวะสวรรค์บินมา ชั่วขณะนั้นก็กวาดตามองด้วยความสงสัย
หานลี่พลันมีสีหน้าราบเรียบ แต่เมื่อเข้าใกล้กับผู้พิทักษ์เหล่านั้นกลับแผ่นกลิ่นอายระดับผสานอินทรีย์ออกมาอย่างไม่ปิดบัง
แม้ว่าเขาจะแผ่ออกมาเพียงเล็กน้อย แต่ความแตกต่างของระดับพลังยุทธ์ ก็ยังทำให้ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลสองคนที่ไม่ทันระวังตัว หน้าเปลี่ยนสี ตัวสั่นเทาอย่างต่อเนื่อง
ผู้พิทักษ์เกราะสีดำเหล่านั้นยิ่งทนไม่ไหว ถอยร่นไปสองสามก้าวจนดัง “ตึกๆ”
“ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์!” ชายร่างใหญ่ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลคนหนึ่งสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง
“เอ๋ เจ้าคือสหายหาน!” ชายชราผู้พิทักษ์ยมโลกนิลเคราสั้นอีกคนหนึ่ง กวาดสายตาตามบนใบหน้าของหานลี่ แล้วพลันอ้าปากค้าง
คาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะรู้จักหานลี่
หานลี่ได้ยินเช่นนั้นพลันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงอดที่จะกวาดมองชายชราเคราสั้นแวบหนึ่งอย่างละเอียดไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าจะดูคุ้นหน้าอยู่สองสามส่วน
“เจ้าคือสหายเย่ว์!” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วจำชายชราขึ้นได้
“สหายหาน…ไม่ใช่ ท่านอาวุโสหาน ท่าน…” ชายชราเคราสั้นมีท่าทีไม่อยากจะเชื่อราวกับเห็นผี ปากก็เอ่ยพึมพำราวกับละเมอออกมา
“ท่านอาวุโสไม่ใช่อาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์สินะ ขอถามแซ่ของท่านอาวุโส ชนรุ่นหลังมีอันใดให้ช่วยหรือ พี่เย่ว์ หรือว่าเจ้ารู้จักกับท่านอาวุโสผู้นี้” แม้ว่าชายร่างใหญ่ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลจะตกตะลึงเช่นกัน แต่ก็ไม่กล้าดูแคลนรีบเข้ามาคารวะและเอ่ยถามชายชราแซ่เย่ว์ด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างอดไม่ได้
แต่ในยามนี้ชายชราเคราสั้นกลับกำลังเหม่อลอย อ้าปากพะงาบๆ กลับไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมา
“เซียนสวี่ผู้พิทักษ์ยมโลกนิล อยู่ในหอคอยหรือไม่” หานลี่เอ่ยถามอย่างราบเรียบ
“อ๋อ เซียนสวี่! สองสามวันก่อนสหายสวี่เพิ่งจะนำกองกำลังออกไปลาดตระเวน เกรงว่าคงต้องรออีกสองสามวันถึงจะกลับมา” แม้ว่าชายร่างใหญ่ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลจะประหลาดใจกับท่าทางของชายชรา แต่ก็ตอบกลับอย่างนอบน้อม
“ในเมื่อไม่อยู่ ข้าก็ไม่เข้าไปแล้ว รอเซียนสวี่กลับมา ขอรบกวนสหายช่วยผู้แซ่หานฝากไปบอกหน่อยว่าข้ารออยู่ที่หอรวมเซียนในเมือง เชิญสหายสวี่มาสักครั้ง ส่วนฐานะของข้าสหายเย่ว์รู้ดี ข้าจะไม่พูดแล้ว” หานลี่ขมวดคิ้วมุ่น แต่ทันใดนั้นก็ออกคำสั่งด้วยสีหน้าราบเรียบ
จากนั้นเขาก็ประสานมือคารวะให้ชายชราเคราสั้นอีกครั้ง คนก็กลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งพุ่งออกไป
แน่นอนว่าชายร่างใหญ่ย่อมเป็นผู้นำของผู้พิทักษ์เกราะทมิฬแสดงท่าทีน้อมส่ง
“พี่เย่ว์ ท่านอาวุโสหานผู้นี้คือผู้ใดกันแน่ เหตุใดท่านถึงเสียกิริยาขนาดนั้น” เมื่อเห็นว่าสายรุ้งสีเขียวหายไปอย่างไร้เงา ชายร่างใหญ่ก็หันกลับมา เห็นชายชราแซ่ยังมีท่าทีตกตะลึงก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก
“ในเมื่อมาตามหาเซียนสวี่ ดูแล้วคงเป็นผู้นี้ไม่ผิดแน่ พี่ติงอย่าถือสาเลย สามร้อยปีก่อนท่านอาวุโสหานผู้นี้เป็นแค่ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลเหมือนพวกเราอย่างไรอย่างนั้น ตอนนั้นครั้งสุดท้ายที่ข้าพบกับ ‘ท่านอาวุโสหาน’ ผู้นี้เขาเพิ่งจะอยู่ในระดับเทพแปลงขั้นกลาง” ในที่สุดชายชราเคราสั้นก็ดูเหมือนจะได้สติกลับมาแล้ว จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด
“สามร้อยปีก่อน ผู้พิทักษ์ยมโลกนิล! พี่เย่ว์ล้อเล่นอยู่หรือ!” ชายร่างใหญ่ได้ยินพลันสะดุ้งโหยง สองตาเบิกโพลงจนเป็นวงกลม
“พี่ติงเพิ่งจะเข้ามาในเมืองเทวะสวรรค์ได้ไม่ถึงสองร้อยปี ดังนั้นจึงไม่รู้จัก ข้าและ ‘ท่านอาวุโสหาน’ ผู้นี้เป็นผู้พิทักษ์ยมโลกนิลเช่นเดียวกันในปีนั้น แม้ว่าจะไม่มีได้คบค้าอันใดกันมาก แต่ก็เคยถูกอีกฝ่ายช่วยสนับสนุนครั้งหนึ่ง ก่อนหน้านี้ ‘ท่านอาวุโสหาน’ ผู้นี้นับว่ามีชื่อเสียงมากในบรรดาผู้พิทักษ์ยมโลกนิลของพวกเรา สามารถสังหารชนต่างเผ่าระดับหลอมสุญตาได้โดยใช้พลังยุทธ์ระดับเทพแปลง ต่อมาดูเหมือนจะรับภารกิจลับอันใดสักอย่าง เข้าไปในแดนรกร้าง แล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น แค่ไม่ได้พบกันไม่กี่ปี คาดไม่ถึงว่าจะกระโดดจากระดับเทพแปลงไประดับผสานอินทรีย์ มันจะเหลือเชื่อเกินไปหน่อยกระมัง” ชายชราแซ่เย่ว์พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมา คำพูดปกปิดความตกตะลึงระคนอิจฉาเอาไว้ไม่มิด
ตอนที่ 1762 เงามารปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ไม่ต้องเอ่ยถึงชายร่างใหญ่ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลที่ได้ยินคำพูดของชายชราแล้วจะมีท่าทีตะลึงค้างไปเช่นกัน
หลังจากที่หานลี่ออกจากหอคอยศิลาแล้ว ก็ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วบินตรงไปยังย่านร้านค้า
แม้ว่าเขาจะมอบเรื่องรวบรวมสมุนไพรเสริมให้กับนักปราชญ์และพวกทั้งสี่แล้ว แต่แน่นอนว่าก็ต้องไปที่ย่านร้านค้าดูสักรอบเพื่อรวบรวมวัตถุดิบส่วนหนึ่งที่หาซื้อได้ก่อน
ย่านร้านค้าของเมืองเทวะสวรรค์ หานลี่เคยไปมาหลายครั้งแล้ว และยังคงไปหาร้านวัตถุดิบร้านเดียวกับครั้งที่แล้วและมอบรายการให้เถ้าแก่ ให้เขาไปช่วยรวบรวมมาให้
จากนั้นเขาก็ออกจากร้านค้าตรงไปยังวิหารใหญ่ตรงใจกลางย่านร้านค้า
ทางเผ่ามนุษย์มีคนคอยช่วยเหลือเขาแน่นอนว่าย่อมไม่ต้องกังวลอันใด แต่ทางเผ่าปีศาจอาจจะไม่มีวัตถุดิบที่เขาตามหา
เขาตัดสินใจจะลองไปสักครั้ง ดูว่าจะได้อะไรกลับมาหรือไม่
ทว่าแค่รวมวัตถุดิบช่วยเสริม เขาต้องไปย่านการค้าด้วยตัวเอง หากพูดถึงด้านนี้เทียบกับการเข้าร่วมกับขุมอำนาจใดสักแห่งแล้วย่อมสู้ไม่ได้
อย่างน้อยเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ก็สามารถมอบให้คนอื่นไปทำแทนได้
แน่นอนว่าเทียบแล้วมันมีข้อจำกัดมากกว่า ตนควบคุมพลังด้วยตนเองจะดีกว่า
และจากพลังยุทธ์ของหานลี่ในยามนี้ อยากจะสร้างขุมอำนาจของตนเองขึ้นมาย่อมทำได้ แต่ระหว่างขั้นตอนเหล่านั้นจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างมาก และจะพลาดการฝึกบำเพ็ญเพียรของตนเองไป
หากมองการณ์ไกล กลับได้ไม่คุ้มเสีย!
หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็การได้ตำแหน่งของจักรพรรดิวิญญาณมา ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
ถึงอย่างไรเสียงานของศาลจักรพรรดิก็ไม่เหมือนกับพรรคหรือตระกูลต่างๆ พลังอำนาจส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่ตำแหน่งสามจักรพรรดิ ไม่ว่าผู้ใดขอแค่ขึ้นมาอยู่ตำแหน่งสามจักรพรรดิได้ ก็จะกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเผ่ามนุษย์
หานลี่ขบคิดอยู่ในใจ คนก็มาถึงหน้าวิหารยักษ์ที่ใช้แลกเปลี่ยนระหว่างเผ่าปีศาจและมนุษย์
ยามที่เขาจ่ายศิลาวิญญาณและเหยียบย่างเข้าไปในประตูของวิหารนั้น ถ้ำใต้ดินลับแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเผ่ามนุษย์มาก เขตอาคมยักษ์ที่มีหุ่นเชิดชุดเกราะสิบกว่าตนคุ้มครองอยู่ พลันส่งเสียงอึกทึกลำแสงหลากสีสันหยุดเปล่งแสงสว่างวาบ
หุ่นเชิดผู้พิทักษ์ที่แต่เดิมนิ่งงันอยู่รอบด้าน ดวงตาพลันเปล่งแสงสีแดงทันที ใบมีดยักษ์ในมือขยับพุ่งไปที่เขตอาคมอย่างช้าๆ
แทบจะในเวลาเดียวกันทางเข้าถ้ำพำนักก็มีลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนเลือนรางแผ่ลำแสงสีเงินรอบกายออกมาจากตรงนั้น
ครู่ต่อมาใจกลางของเขตอาคมส่งตัวก็มีลำแสงสีขาวสว่างวาบ ปรากฏเงาร่างสายที่สองออกมา
หลังจากที่ลำแสงจากเขตอาคมส่งตัวหม่นแสงลง เงาร่างสองคนก็ชัดเจนขึ้นทันที
ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำร่างกายสูงใหญ่ และหญิงสาวสวมชุดสีขาวท่าทางสง่างาม
ชายร่างใหญ่อายุสามสิบกว่าปี ผิวดำคล้ำ หน้าตาอัปลักษณ์
ผิวของหญิงสาวขาวยิ่งกว่าหิมะ ดวงตาทั้งสองข้างเป็นสีดำขลับดุจดวงดาว
“พวกเจ้าเป็นใคร ไม่ใช่คนของเผ่าเงิน เหตุใดถึงใช้เขตอาคมส่งตัวของเผ่าเรา” เงาร่างคนในลำแสงสีเงินเห็นบุรุษและสตรีคู่นี้ กลับเปล่งเสียงแหลมสูงออกมา ดูเหมือนว่าจะตกตะลึงไม่น้อย
“เอ๋ ทางนี้ยังมีคนเผ่าเงินคอยดูแลอยู่ ใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ให้ข้าน้อยกินเขาเถิด” ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำเหลือบมองเงาร่างคนในลำแสงสีเงินแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะเผยสีหน้าน้ำลายสอออกมา
“เผ่าเงินผู้นี้มีพลังยุทธ์ไม่ต่ำต้อย ไม่ด้อยไปกว่าเจ้า ไม่กลัวฟันจะหักหรือ” หญิงสาวสวมชุดสีขาวกวาดตามองเงาร่างคนในลำแสงสีเงินแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“หึๆ มีท่านบรรพชนศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่ ระดับศักดิ์สิทธิ์เผ่าเงินคนหนึ่งจะขึ้นไปบนฟ้าได้อย่างไร” ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำได้ยินพลันมีสีหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มขอโทษขอโพย แล้วเอ่ยเยินยอหญิงสาวชุดขาว
“บังอาจ!” เงาร่างคนในลำแสงสีเงินผู้นั้นได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน แน่นอนว่าย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายคือศัตรูมิใช่มิตร ชั่วขณะนั้นพลันร้องเสียงแหลมด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวออกมา
ในเวลาเดียวกันนั้น ใบมีดยักษ์ในมือของหุ่นเชิดรอบด้านก็สับไปที่ใจกลางของเขตอาคม
เสียง “พึ่บๆ” ดังขึ้น ลำแสงสีเงินสิบกว่าสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไป
“ฝีมือต่ำต้อย!” ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ กลับหัวเราะอย่างเย็นชา สะบัดแขนเสื้อกลายเป็นหมอกลำแสงสีดำ ต้านทานอยู่เบื้องหน้า
เสียงระเบิด “ตูมๆๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ลำแสงสีเงินโจมตีไปที่หมอกสีดำ ราวกับปะทะเข้ากับกำแพงเหล็ก ทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วระเบิดออก
จากนั้นชายร่างใหญ่พลันทำเรื่องที่ทำให้ชนเผ่าเงินตกตะลึง
เขาอ้าปาก ลำแสงสีดำบินออกมา คาดไม่ถึงเลยว่าจะม้วนเอาลำแสงสีเงินที่ระเบิดออกเข้าไปในท้อง
จากนั้นชายร่างใหญ่ก็พลิ้วกาย เงาสีดำหนาๆ สายหนึ่งกวาดมาที่แผ่นหลัง
เสียงอึกทึกดังขึ้นอีกครั้ง!
คาดไม่ถึงว่าหุ่นเชิดสิบกว่าตัวจะถูกเงาสีดำกวาดล้างไปพร้อมกัน จากนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจต้านทานการโจมตีได้ราวกับโคลน
คนเผ่าเงินพลันตกตะลึง ดวงตาทั้งสองจ้องเขม็งไปยังเงาสีดำอย่างร้อนรน
เห็นเพียงสิ่งนั้นเป็นสีดำสนิท ผิวมีเกล็ดหนาๆ ปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นหางยักษ์สีดำ
มีความยาวประมาณสิบกว่าจั้ง ล้อมรอบชายร่างใหญ่สองสามรอบ
ในยามนี้ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำพลันแสยะยิ้ม เรือนร่างเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ กลิ่นอายที่แข็งแกร่งที่ระดับศักดิ์สิทธิ์ถึงจะมีได้พลันแผ่ออกมาจากเรือนร่าง
เงาร่างคนในลำแสงสีเงินพลันตกตะลึง!
แค่ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่ง เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้หรือไม่แล้ว หญิงสาวชุดขาวที่อยู่ด้านข้างดูเหมือนว่าจะร้ายกาจยิ่งกว่าหลายส่วน
“ไม่ได้ สู้ไม่ได้!”
คนของเผ่าสีเงินร้องอุทานออกมาเงียบๆ ผิวมีลำแสงสีเงินไหลวนโคจร เงาร่างคนด้านในเปลี่ยนเป็นเลือนราง
“คิดจะหนี!”
แววตาของชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำฉายแววโหดเหี้ยม ชั่วขณะนั้นหางสีดำที่รัดอยู่ตรงหน้าพลันพุ่งออกมาราวกับงูเหลือมยักษ์ คิดไม่ถึงว่าจะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วอยู่ห่างออกไปสิบจั้งเศษ ในชั่วพริบตาก็ทะลวงผ่านเงาร่างคนในลำแสงสีเงิน
แต่เมื่อลำแสงสีเงินแผ่ออก เงาร่างคนซึ่งเลือนรางกลับสลายหายไป
ชาวเผ่าเงินยังคงสำแดงการหลบหนีได้รวดเร็วกว่าชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำไปก้าวหนึ่ง
แต่ในยามนี้หญิงสาวชุดขาวที่ยืนอยู่ด้านข้างชายร่างใหญ่ กลับหัวเราะออกมาน้อยๆ นิ้วเรียวชี้ไปที่ตรงหน้าเล็กน้อย
บุปผาวิญญาณสีชมพูดอกหนึ่งผลิบานออกมาจากปลายนิ้ว จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นเงาลวงตาใหญ่ยักษ์ ปกคลุมทั้งถ้ำเอาไว้โดยไม่ทันได้คาดคิด
ชั่วพริบตาทุกแห่งในรัศมียี่สิบสามสิบจั้งพลันเต็มไปด้วยสีชมพู และมีกลิ่นหอมประหลาดอย่างแปลกประหลาด
เสียง “ปัง” ดังขึ้น ลำแสงสีเงินสายหนึ่งดีดตัวออกมาจากกลางอากาศในบริเวณใกล้เคียงอย่างไม่มีเค้าลางมาก่อน
นั่นก็คือชาวเผ่าเงินที่เพิ่งจะหนีไป
“เป็นไปไม่ได้” ชาวเผ่าเงินผู้นั้นร้องอุทานด้วยความตื่นตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว ผิวเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วเดินออกมาอีกครั้ง
หญิงสาวสวมชุดสีขาวเห็นเช่นนั้น คิ้วดำขลับพลันขมวดมุ่นเล็กน้อย
ครู่ต่อมาจุดตรงที่เท้าของเงาสีเงินยืนอยู่ ก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ดอกบัวยักษ์สีชมพูปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ
เงาร่างคนสีเงินรู้สึกว่าร่างกายตึงแน่น ไม่อาจขยับตัวได้เลยสักนิดขึ้นมาในกะทันหัน
เขาพลันหน้าซีดขาวไร้สีเลือด
ส่วนชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำกลับหัวเราะร่า ฉับพลันนั้นไอสีดำก็หมุนวนบนเรือนร่าง กระโจนเข้าไปหาชาวเผ่าเงิน
ท่ามกลางไอสีดำ ปากใหญ่ยักษ์ยาวสองสามจั้งราวกับบ่อโลหิตอ้าออก กลิ่นคาวเลือดโชยมา…
หญิงสาวชุดขาวกลับดูเหมือนว่าจะสูญเสียความสนใจไป ชักสายตากลับมา ในมือมีดอกบัวสีชมพูอีกดอกปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ ค่อยๆ นำมาจรดปลายจมูกอย่างแผ่วเบา ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีสีหน้าสงบนิ่งออกมา
ในเวลาเดียวกันชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำที่กลายเป็นไอสีดำก็ห่อหุ้มร่างของเผ่าเงินเอาไว้ และส่งเสียงร้องอันน่าเวทนาออกมา
……
ในวิหารใต้ทะเลตรงแดนเชื่อมระหว่างแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนและแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี ภายในห้องลับที่มีไอสีดำห่อหุ้มอยู่เป็นชั้นๆ สิ่งที่มีรูปร่างเหมือนรังไหมโลหิตขนาดใหญ่พลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ผิวของมันมีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบอย่างต่อเนื่อง และกะพริบวาบๆ ไม่หยุด ราวกับว่ากำลังตั้งท้องอันใดอยู่
ด้านล่างรังไหมโลหิต คืออสูรมหึมาสีดำสนิทสิบสองตัว
บ้างก็มีสองหัวหกตา บ้างก็มีปีกสี่ปีกกรงเล็บสามกรงเล็บ แม้กระทั่งยังมีมังกรวารีสีทองบริสุทธิ์ตัวหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะมีหางบางๆ เก้าหางที่ดูสะดุดตายิ่งพร้อมกัน
แต่อสูรประหลาดสิบสองตัวนั้นกลับหมอบอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน ไร้ซึ่งกลิ่นอายพลังชีวิต
จากลำแสงสีโลหิตที่เปล่งแสงสว่างวาบบนหัว พลันมองเห็นอย่างชัดเจนว่า อสูรประหลาดสิบสองตัวนี้ล้วนร่างกายซูบผอม ราวกับว่าโลหิตทั่วสรรพางค์กายถูกอันใดดูดไปจนเกลี้ยง ร่างกายจึงหดเล็กลงหลายเท่า
มิเช่นนั้นตามขนาดเดิมของอสูรประหลาดทั้งสิบสองตัว ห้องลับที่ดูเหมือนกว้างขวางนี้ก็ไม่อาจบรรจุอันใดได้
ทว่าที่มุมหนึ่งของห้องลับยังมีโคมไฟโบราณสิบสองดวงวางอยู่ แค่เปลวไฟบนโคมไฟยามนี้กลับว่างเปล่า
อีกด้านของห้องลับ มีโต๊ะหยกสีเขียวเตี้ยๆ วางอยู่ตัวหนึ่ง
บนโต๊ะมีดวงแสงวารีขนาดเท่ากำปั้นวางอยู่ เปล่งแสงระยิบระยับ
ผิวของมันมีภาพวาดชัดเจนปรากฏอยู่
ในภาพวาดเป็นดอกบัวสีเงินระยิบระยับดูเสมือนจริงลอยอยู่ตรงนั้น ราวกับเป็นของจริงก็ไม่ปาน
……
ในวิหารย่านร้านค้าของเมืองเทวะสวรรค์เผ่ามนุษย์ หานลี่มองหญิงสาวเผ่าปีศาจที่อยู่ท่ามกลางไอสีดำตรงหน้า ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสหายที่นี่ ทำให้ผู้แซ่หานตกตะลึงจริงๆ”
“จุ๊ๆ ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับสหายหานสักวันหนึ่งเช่นกัน เป็นเพราะสหายต้องหลบหนีจากการที่ถูกชนต่างเผ่าโจมตี จึงต้องปิดชื่อฝังแซ่ออกไปจากเมืองนี้ ดูแล้วข้าคงดูถูกสหายไปหน่อย” หานลี่ที่อยู่ในไอสีดำห่างออกไปสองสามจั้ง หญิงสาวเผ่าปีศาจที่เคยแลกเปลี่ยนกับหานลี่ในตอนนั้นตอบกลับด้วยพร้อมกับหัวเราะเสียงแผ่วเบา
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้ได้พบหานลี่ก็มีท่าทีดีใจ และปิดความตื่นเต้นเอาไว้ไม่มิด
ทว่าเป็นเพราะที่นี่มีเขตอาคมทำงานอยู่ หานลี่จึงไม่อาจมองพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายออกหลังจากที่ไม่ได้พบกันสองสามร้อยปี
แต่ตามหลักการแล้ว จากที่เขาคืนสมุนไพรวิญญาณหมื่นปีให้กับหญิงสาวผู้นี้จำนวนมาก จะต้องมีพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นไม่น้อยแน่
แน่นอนว่าหญิงสาวผู้นี้ก็ไม่อาจพบความเปลี่ยนแปลงที่น่าตกตะลึงของพลังยุทธ์ของหานลี่ได้
ทันใดนั้นหานลี่พลันหัวเราะน้อยๆ ออกมาแล้วเอ่ยอีกว่า
“ตอนแรกผู้แซ่หานหนีออกมาไม่ทัน หากไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น จะกลับมาพบกับสหายอีกครั้งได้หรือไม่ก็พูดยาก เดิมข้าคิดว่าสหายได้สมุนไพรหมื่นปีไปแล้วน่าจะกักตนบำเพ็ญเพียรเป็นระยะเวลานานเสียอีก”
“สหายคิดว่าข้าไม่อยากทำเช่นนั้นหรือ แต่ตอนแรกแม้ว่าข้าจะได้สมุนไพรหมื่นปีไปจากสหายไม่น้อย แต่จะให้ข้าใช้คนเดียวได้อย่างไร สมุนไพรวิญญาณหมดไปตั้งนานแล้ว ที่ผ่านมาข้าก็หาสมุนไพรหายากพบอยู่บ้าง สหายหานจะยอมแลกเปลี่ยนต่อหรือไม่” หญิงสาวเผ่าปีศาจผู้นี้ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างมีความหวัง
“ขอแค่ในมือของข้าไม่มีเมล็ดพันธุ์อยู่ ย่อมไม่มีทางปฏิเสธเป็นแน่ แต่ผ่านไปนานขนาดนี้ สมุนไพรและเมล็ดพันธุ์ในมือของข้ากลับรวบรวมได้ครบแล้ว ต่อให้แลกเปลี่ยน เกรงว่าก็คงแลกได้ไม่มากนัก” หานลี่แววตาเปล่งประกาย พลางเอ่ยอย่างเสียงราบเรียบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น