ลำนำบุปผาพิษ 1760-1763

 บทที่ 1760 ข้าจะต้องพบหน้าท่านให้ได้!


เมื่อครู่ยามที่เขาเห็นนางทำลายเขตแดนออกมา รู้สึกตกใจอย่างยิ่ง!


กู้ซีจิ่วกอดอกมองเขา “ข้าฟื้นคืนชีพก่อนกำหนด ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องรบกวนตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว ข้าจะไปหาเขาเอง…”


แววตาหลงโม่เหยียนโชนแสงแวบหนึ่ง ถอนหายใจกล่าวว่า “ซีจิ่ว ในเมื่อเจ้าไม่สมควรจะฟื้นคืนชีพเร็วถึงเพียงนี้ ก็ยิ่งไม่สมควรจะไปหาเขาอีก มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น…แบบนี้แล้วกัน เจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อน ข้าจะไปหาเขาร่ำเรียนศาตร์อาคมเทพศักดิ์สิทธิ์ พอเรียนเป็นแล้วจะกลับมาสอนเจ้าอีกที ความจริงแล้วเจ้าคืนชีพได้เร็วเช่นนี้ข้าดีใจยิ่งนัก พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันเร็วขึ้นหน่อย…”


กู้ซีจิ่วฟาดกิ่งไผ่ในมือใส่เขตแดนด้านข้างเบาๆ น้ำเสียงราบเรียบทว่าเยียบเย็น “นี่เจ้าคิดจะขังข้าไว้ที่นี่หรือ? ขังไปอีกสามสิบแปดปีใช่ไหม?”


หลงโม่เหยียนส่ายหน้า “ไม่หรอก ซีจิ่ว เจ้าเพิ่งทำลายเขตแดนออกมาได้ ร่างกายต้องอ่อนล้าเป็นแน่ ที่นี่พลังวิญญาณพรั่งพร้อม เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับฝึกฝน เจ้ากักตนฝึกฝนฟื้นฟูอยู่ที่นี่เถอะ อีกสามเดือนข้าจะมาพาเจ้าออกไป…เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าอยากไปไหนก็จะได้ไป ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าทุกที่”


กู้ซีจิ่วสูดหายตื้นๆ เฮือกหนึ่ง หลงโม่เหยียนก็คิดจะกักขังเธอไว้ตราบจนตี้ฝูอีจากโลกนี้ไปสินะ…


เธอก้าวเข้าหาหลงโม่เหยียนก้าวหนึ่ง “เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถขังข้าได้หรือ?”


ที่พูดจาไร้สาระกับเขามากมายขนาดนี้ ก็เพราะกู้ซีจิ่วต้องการพักผ่อนเติมเต็มกำลัง และทำความเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวเกือบทั้งหมดแล้วด้วย ชาพิษที่อยู่ในร่างก็ฉวยโอกาสขับออกมาแล้ว พละกำลังก็ฟื้นฟูได้ครึ่งหนึ่งแล้วด้วย


กู้ซีจิ่วย่อมไม่คิดจะคุยเล่นกับเขาอีกต่อไปแล้ว!


ตอนนี้เวลาของเธอมีค่าดั่งทอง ไม่อยากจะเสียวเลาไปเลยสักวินาทีเดียว!


เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ เธอก็รวบรวมพลังไว้ที่ฝ่ามือแล้วซัดไปทางหลงโม่เหยียน!


ลำแสงสีรุ้งดั่งอสรพิษแล่นวาบ โจมตีใส่หลงโม่เหยียนอย่างสะท้านสะเทือน เพียงกระบวนท่าเดียวก็เหี้ยมโหดยิ่งนักแล้ว!


หลงโม่เหยียนถอยหลังไปทันที “ซีจิ่ว เจ้าไม่อาจโคจรพลังวิญญาณได้! ข้าผสมบางสิ่งลงไปในน้ำชาที่เจ้าดื่ม ถ้าโคจรพลังวิญญาณจะกัดเซาะชีพจรของเจ้า ถ้ายับยั้งไม่ทันกาลจะทำให้เจ้ากลายเป็นสวะไร้พลัง…”


เขากล่าวไปพลาง สะบัดแขนไปทางลำไผ่ที่อยู่ด้านข้างไปพลาง จุดนั้นปรากฏประตูบานหนึ่งขึ้นในทันใด เงาร่างเขาหายลับออกนอกประตูไป เหลือเพียงเสียงที่ยังล่องลอยอยู่ในอากาศ “ซีจิ่ว ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก ขอเพียงภายในสามเดือนนี้เจ้าไม่โคจรพลังวิญญาณสำแดงวรยุทธ์ โอสถนี้ก็จะส่งผลดีต่อตัวเจ้า เขตแดนนี้ของข้าเจ้าทำลายไม่ได้หรอก เจ้าฝึกฝนอยู่ที่นี่อย่างว่าง่ายเป็นเวลาสามเดือนเถิด”


ภายในพื้นที่กว้างใหญ่เหลือกู้ซีจิ่วอยู่เพียงผู้เดียว หลงโม่เหยียนหายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากเผชิญหน้ากับเธอ จึงหลบฉากไปเสีย…


และกระบวนท่านั้นของหลงโม่เหยียนก็ไม่สามัญเลย ต้องบรรลุพลังวิญญาณขั้นสิบแล้วจริงๆ ถึงจะสามารถสำแดงออกมาได้


กู้ซีจิ่วถอนหายใจโดยความโล่งอกอย่างไร้สุ้มเสียง ตัวเธอในตอนนี้ถ้าสู้กันขึ้นมาก็ไม่มั่นใจเลยว่าเอาชนะได้ ถ้าประมือกันจริงๆ ขึ้นมาเธอไม่มีความได้เปรียบสักเท่าไหร่เลย…


ตอนนี้เขาหลบออกไปแล้ว เธอก็สงบใจลงมือทำลายเขตแดนนี้ของเขาได้พอดี!


เขตแดนนี้ทำลายได้ยากนัก เธอเตรียมใจกับความคิดนี้ไว้แล้ว


แต่เธอคือยอดฝีมือด้านการทำลายเขตแดน อยู่ในสภาพกายจิตยังสามารถทำลายเขตแดนที่สวรรค์คุมขังเธอไว้ได้เลย ตอนนี้เธอมีกายเนื้อแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเขตแดนเช่นใดสำหรับเธอแล้วล้วนไม่คณามือเลย!


เธอจะฝ่าออกไปให้ได้!


เธอเริ่มเดินวนสำรวจ คิดหาวิธีทำลายเขตแดน…


ตี้ฝูอี สวรรค์บอกว่าท่านและข้าไร้วาสนาต่อกัน ข้าไม่เชื่อ! ข้าจะต้องพบหน้าท่านให้ได้!


….


หลงโม่เหยียนยืนอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่ง มองบ้านที่ตนเคยพำนักอยู่ไกลๆ ถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง


เขาไม่อยากปะทะกับกู้ซีจิ่วอย่างซึ่งหน้าจริงๆ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะล้วนไม่มีผลดีเลย


เขาจัดการอย่างเยือกเย็นเช่นนี้คือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว


————————————————————


บทที่ 1761 พูดถึงโจโฉโจโฉก็มา!


เขาจัดการอย่างเยือกเย็นเช่นนี้คือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ในที่พำนักของเขามีน้ำมีอาหารมีสวนผัก ต่อให้ขังนางไว้ด้านในสักไม่กี่เดือนก็ไม่ทำให้นางอดอยาก


อีกไม่กี่เดือนให้หลัง เมื่อตี้ฝูอีล่วงลับไปแล้ว ค่อยปล่อยตัวนางออกมาต่อให้นางร้องไห้ฟูมฟายอาละวาดสักเพียงใดก็แก้ไขอะไรไม่ได้ล้า เขายังมีเวลาให้ค่อยๆ ตะล่อมเกลี้ยมกล่อมนาง…


อย่างไรเสียเขากับนางก็เป็นคู่บุพเพที่สวรรค์ลิขิต


ซีจิ่ว พวกเราสิถึงเป็นคู่กัน เมื่อก่อยข้าเคยพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่คิดจะพลาดเป็นครั้งที่สองอีก!


เขาไม่กังวลเลยว่ากู้ซีจิ่วจะทำลายเขตแดนได้หรือไม่


ที่ดินแดนเบื้องบนเขาเป็นยอดฝีมือด้านการติดตั้งเขตแดน หลังจากตื่นรู้ขึ้นมาแล้ว ทักษะเดิมก็เริ่มกลับคืนมาอีกครั้งอย่างช้าๆ


เขตแดนนี้ที่เขาติดตั้งไว้ที่ดินแดนเบื้องบนไม่มีผู้ใดสามารถทำลายได้เลย ต่อให้เป็นดินแดนเบื้องบน ก็ยังยากจะหาผู้ที่ต่อกรได้


ปีนั้นเขาเคยกักขังแม่ทัพคนหนึ่งของดินแดนเบื้องบนไว้ในเขตแดนนี้นานถึงหนึ่งปี…


แม่ทัพผู้นั้นไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน สิ่งเดียวที่หวั่นเกรงคือเขตแดนของเขา นับแต่นั้นมาก็ไม่กล้ายั่วยุเขาอีก


จะทำลายเขตแดนชนิดนี้ได้ไม่เพียงแต่ต้องมีทักษะเฉพาะเท่านั้น ยังต้องมีพลังวิญญาณอย่างเต็มเปี่ยมอีกด้วย และในชาที่เขาวางยากู้ซีจิ่วก็ผนึกการโคจรพลังวิญญาณของนางเอาไว้พอดี ต่อให้นางรู้วิธีทำลายเขตแดน ถ้าไม่มีพลังวิญญาณเกื้อหนุนมากพอเช่นนั้นก็อับจนหนทางแล้ว…


เขาจับตามองอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง เมื่ออยู่ด้านนอกจะมองไม่เห็นสถานการณ์ด้านใน แต่เขตแดนนั้นยังนิ่งสงบอยู่ตลอด คาดว่ากู้ซีจิ่วจะต้องไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือไปชั่วระยะหนึ่งเป็นแน่


เขาวางใจแล้ว ใคร่ครวญอยู่ในใจว่าจะเป็นฝ่ายไปหาเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูก่อนดีไหม…


ทันใดนั้นคล้ายว่าจะสัมผัสถึงอะไรได้ หันหลังไปในทันใด ร่างกายพลันแข็งทื่อเล็กน้อย!


บนคาคบไม้ของพฤกษาใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขา มีบุรุษชุดขาวผู้หนึ่งยืนสง่าอยู่


อาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะโบกพลิ้ว เรือนผมดำขลับดั่งม่านน้ำตกปลิวไสว หน้ากากเงินอันหนึ่งบดบังดวงหน้าของเขาไว้ เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่เปล่งประกายลึกล้ำยิ่งกว่าดวงดารา  บัดนี้กำลังมองพินิจเขาอย่างเฉยชาอยู่


เทพศักดิ์สิทธิ์…หวงถู!


ไม่นึกเลยว่าพูดถึงโจโฉโจโฉก็มา!


ลมหายใจหลงโม่เหยียนขาดห้วงเล็กน้อย เขาทราบว่าวรยุทธ์หวงถูลึกล้ำ ทว่านึกไม่ถึงเลยว่าจะลึกล้ำถึงขั้นนี้ ด้วยวนยุทธ์ของหลงโม่เหยียน ไม่น่าเชื่อว่าจะรับรู้ไม่ได้เลยว่าเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่!


ดวงตาของเขาวูบไหวเล็กน้อย ค้อมตัวทำความเคารพ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์!”


อีกฝ่ายสวมชุดพิธีการอันเป็นเอกลักษณ์ เขาย่อมไม่อาจแสร้งทำเป็นไม่รู้จักได้


ตี้ฝูอีมองดูเขาโดยไม่พูดอะไร เขาเก็บอารมณ์ไว้เสมอมา ทำให้ผู้อื่นคาดเดาความคิดของเขาไม่ออก


หลงโม่เหยียนถูกเขามองจนหนังศีรษะชาหนึบแล้ว ค้อมกายอยู่ตรงนั้นไม่กล้ายืดกายขึ้นชั่วขณะ


ผ่านไปสักพัก ในที่สุดตี้ฝูอีก็เปิดปากเอ่ย “ในเมื่อรู้จักเปิ่นจุนแล้ว เหตุใดจึงไม่คุกเข่ากราบกรานคารวะอีกเล่า?”


ผู้คนจากดินแดนเบื้องบนเมื่อพบเห็นเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องคุกเข่ากราบคารวะเช่นกัน แม้แต่จักรรดิสวรรค์ก็ไม่ยกเว้น นอกเสียจากเขาจะออกปากเองว่าผู้ใดที่ให้งดเว้นการกราบคารวะได้


หลงโม่เหยียนแข็งทื่อไปเล็กน้อย นับตั้งแต่เขาทราบว่าตนคือตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็รู้สึกว่าศักดิ์ฐานะไม่ต่างไปจากตี้ฝูอีเท่าไหร่ เมื่อพบหน้าเขาอีกครั้งย่อมคิดจะคุกเข่ากราบคารวะแล้ว…


เขากระแอมเบาๆ คราหนึ่ง ทำใจกล้าเงยหน้ามองตี้ฝูอี ท่าทีไม่อ่อนน้อมไม่แข็งกร้าว “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ โม่เหยียนเป็นตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากสวรรค์น่าจะงดเว้นการกราบคารวะได้กระมัง?”


ม่านตาตี้ฝูอีหดตัวเล็กน้อย ดุเหมือนหลงโม่เหยียนจะทราบแล้วว่าตัวเขาคือตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์…


ในเมื่อเขาทราบแล้วว่าตนเป็นตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นก็น่าจะทราบแล้วว่าเส้นตายของตี้ฝูอีใกล้เข้ามาแล้ว ถ้างั้นเขาก็สมควรจะเป็นฝ่ายไปหาตี้ฝูอีก่อนเพื่อสืบทอดภาระหน้าที่นี้ มิใช่ปลีกวิเวกมาพำนักอยู่ที่นี่อย่างสำราญบานใจ…


นี่คิดจะเลียนอย่างเจียงไท่กงรึ?


หรือมีสาเหตุอื่นอยู่?


ตี้ฝูอียังคงทราบถึงเบาะแสร่องรอยของเขาอยู่บ้าง รู้ว่าเขาปลีกวิเวกมาอยู่ที่นี่ได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว ทุกวันจะเรียนรู้งานเกษตรเพาะบุปผาปลูกต้นไผ่ ดำเนินชีวิตเยี่ยงนักพรตผู้ถือสันโดษ


บทที่ 1762 การประลองระหว่างเทพศักดิ์สิทธิ์และตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์


หลงโม่เหยียนหาใช่ผู้ถือสันโดษอย่างแท้จริงไม่ ตอนเขาอยู่ที่อาณาจักรเฟยซิงก็เคยคร่ำหวอดอยู่ในบ่วงอำนาจ ความสัมพันธ์กับหลงเจียหลัวก็ไม่เลวเลย คนผู้นี้ยังคงเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เพียงแต่ปกติแล้วไม่เผยประกายออกมาเท่านั้น


“เจ้ารู้ว่าเปิ่นจุนมาจะหาเจ้างั้นหรือ?” น้ำเสียงตี้ฝูอีแฝงเยียบเย็นเฉยชาไว้


หลงโม่เหยียนคาดไม่ถึงว่าเขาจะถามออกมาตรงๆ เช่นนี้ ชะงักไปเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยตอบ “เป็นโม่เหยียนที่ขลาดเขลา ถึงแม้จะทราบความจริงบางส่วนแล้ว ทว่าไม่กล้าไปตามหาท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ โม่เหยียนไร้ใจใฝ่อำนาจ ทว่าถูกบีบคั้นให้กลายเป็นตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรดีไปชั่วขณะ จึงมาคลายอารมณ์อยู่ที่นี่…นึกไม่ถึงว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะมาหาด้วยตัวเอง โม่เหยียนจึงประหม่า”


เขาตอบอย่างน้ำไม่รั่วเลยสักหยด ทำให้คนจับผิดอะไรไม่ได้


แต่ผู้ที่เขาเผชิญหน้าอยู่คือตี้ฝูอี ไม่มีผู้ใดสามารถเนลูกไม้ต่อหน้าเขาได้โดยไม่ถูกเปิดโปง!


ตี้ฝูอีมองเขาครู่หนึ่ง เห็นปากเขาบอกว่าประหม่า แต่การกระทำกลับไม่มีความประหม่าเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่ามีอำนาจหนุนหลังจึงไร้ความกริ่งเกรง…


คนเช่นนี้ถ้าได้กุมอำนาจอย่างแท้จริง คิดจะให้เขาละวางเกรงว่าคงยากยิ่งกว่าปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก…


ตี้ฝูอีไม่แสดงสีหน้า ทว่าได้ประเมินหลงโม่เหยียนอยู่ในใจแล้ว


หยกนภาหมอบอยู่บนข้อมือเขา กำลังจับสังเกตหลงโม่เหยียนอยู่ ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็เป็นตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ ภายหน้าต้องคบค้าสมาคมกับเจ้านายของบ้านตนบ่อยๆ มันต้องตรวจสอบให้ดีเพื่อเจ้านาย


หลงโม่เหยียนผู้นี้รูปโฉมยอดเยี่ยมนัก ให้เก้าสิบคะแนน


ไม่ละโมบโลภอำนาจ มีกลิ่นพรตผู้สันโดษ มองเห็นว่าที่มุมชุดของเขายังมีคราบดินเปื้อนอยู่ ดูท่าจะเป็นนักพรตผู้สันโดษจริงๆ ให้เก้าสิบคะแนนอีกเหมือนกัน


ถึงอย่างไรหยกนภาก็พบเจอผู้น้อยมาน้อย ดังนั้นมันจึงให้คะแนนหลงโม่เหยียนสูงนัก…


‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ หลงโม่เหยียนผู้นี้ไม่เลวเลย ข้าว่าพลังวิญญาณของเขาน่าจะขั้นเก้ากระมัง? ตัวคนก็ดูสุภาพอ่อนน้อม ท่านสามารถให้เขาติดตามอยู่ข้างกายถ่ายทอดทักษะให้เขาได้เลย…’


หยกนภาเจื้อยแจ้วอยู่ในสมองตี้ฝูอี


‘หุบปาก!’ ตี้ฝูอีตอบกลับมันเพียงสองคำ จากนั้นมองออกไปไกลๆ แวบหนึ่ง มองเห็นมุมหนึ่งของกระท่อมไผ่โผล่ออกมาจากด้านหลังป่าไผ่ผืนนนั้นรางๆ


เขาเหินกายลงไป เยื้องย่างงามสง่า เอ่ยเสียงเรียบ “ไปกันเถอะ”


เมื่อหลงโม่เหยียนเห็นทิศทางที่เขาก้าวไป สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อย!


“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านเดินทางมาไกล ให้โม่เหยียนพาท่านเข้าไปรับรองในตัวเมืองดีหรือไม่?” เขาไล่ตามไป ขวางหนทางไปของตี้ฝูอีไว้อย่างคล้ายจะเจตนาและคล้ายว่ามิเจตนา


ตี้ฝูอีไม่หยุดฝีเท้าเลย “ไม่ต้อง ไปบ้านเจ้าเถอะ” เขาต้องการไปดุแหล่งพักของเขาสักหน่อย บางทีอาจได้เห็นนิสัยใจคอของคนผู้นี้จากที่พำนักของเขาก็เป็นได้


หลงโม่เหยียนรีบค้อมกายกล่าวว่า “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ที่พำนักในหุบเขาซอมซ่อโสมม เลวทรามเกินจะใช้รับรองท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งได้ สวมควรเข้าเมืองเสาะหาที่สะอาดๆ สักแห่ง…”


นัยน์ตาตี้ฝูอีสาดแสงแวบหนึ่ง เท่าที่เขาทราบ หลงโม่เหยียนผู้นี้ก็รักสะอาดอย่างยิ่งเช่นกัน สถานที่พักอาศัยจึงสะอาดเอี่ยมไร้ฝุ่นเสมอมา“”


ซอมซ่อนั้นเป็นไปได้ ทว่าโสมมนั้นเป็นไปไม่ได้


นี่เขาถ่อมตัวรึ? หรือว่าที่พำนักของเขามีเรื่องซ่อนเร้นไว้?


“เปิ่นจุนค่อนข้างอ่อนล้า กระท่อมภูเขาของเจ้าห่างจากที่นี่ไม่ไกล เปิ่นจุนจะไปพักเท้าที่นั่นสักประเดี๋ยว” ฝีเท้าเขาดั่งเมฆาเคลื่อนคล้อยธาราไหลริน ทะยานไปข้างหน้า


ในใจหลงโม่เหยียนร้อนรนยิ่งนัก!


ค่อนข้างสำนึกเสียใจแล้วที่ไม่ได้ใช้อาคมอำพรางกระท่อมเอาไว้อย่างสมบูรณ์


เขตแดนที่เขาติดตั้งไว้ด้านนอกกระท่อมมองอยู่ไกลๆ จะไม่เห็นอะไร เพียงแต่ถ้าเข้าไปใกล้ก็จะพบเขตแดนนั้นเข้า…


กู้ซีจิ่วถูกขังไว้ด้านใน หากว่าตี้ฝูอีพบเข้าล่ะก็….


เช่นนั้นแผนการของเขาก็จะพังพินาศ!


ในสถานการณ์หลงโม่เหยียนพลันเกิดไหวพริบ รีบก้าวขึ้นไปสองก้าว ขวางหน้าตี้ฝูอีไว้ ยิ้มน้อยๆ แล้วอ่ยว่า “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านคงคิดจะทดสอบพลังของโม่เหยียนอยู่เป็นแน่ มาถึงยามนี้โม่เหยียนคงต้องแสดงความขายหน้าแล้ว จะใช้อาคมก่อคฤหาสน์ขึ้นให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ได้พักเท้า และยังต้องขอคำชี้แนจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วย”


——————————————————————-


บทที่ 1763 การประลองระหว่างเทพศักดิ์สิทธิ์และตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ 2


ไม่รอให้ตี้ฝูอีได้กล่าววาจา เขาก็ถอยหลังไปอีกครั้ง จรดนิ้วร่ายอาคม แสงห้าสีวาบออกมาจากปลายนิ้วเขา…


และเขาก็มีความสามารถอยู่จริงๆ ผ่านไปไม่กี่อึดใจก็ก่อสร้างหอไผ่หลังขึ้นบนเนินเขาด้านข้าง หอไผ่หลังนั้นคล้ายหอทรงแปดเปลี่ยมยิ่งนัก ชายคางอนเชิด แขวนกระดิ่งเงินไว้ตรงปลายยอด ดูสง่างามอีกทั้งมีกลิ่นอายความโบราณ


เมื่อมองจากด้านนอกแล้ว หอไผ่หลังนี้หรูหราอลังการกว่ากระท่อมไผ่หลังนั้นมากนัก


กระท่อมไผ่ของเขาเสมือนที่พักอาศัยของราษฎร แต่หอไผ่หลังนี้เสมือนที่พำนักของท่านอ๋อง


เขาค้อมกาย ใบหน้าหล่อเหลาเคารพนบน้อม “ขอเชิญท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เข้าไปพักผ่อนในหอไผ่เถิด”


นัยน์ตาตี้ฝูอีโชนแสงแวบหนึ่ง ทว่าครั้งนี้มิปฏิเสธอีก พยักหน้าน้อยๆ “ได้ นับว่าเจ้ามีใจแล้ว” ยกเท้าก้าวไปทางหอไผ่หลังนั้น


หลงโม่เหยียนพรูลมหายใจอย่างแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินออกมา รีบตามหลังไปทันที


ภายในหอไผ่ของเขามีข้าวของครบครัน ม้านั่ง ตั่งไม้ เครื่องเรือนไม้แบบโบราณ…ทุกสิ่งล้วนดูประณีตยิ่งนัก


ตี้ฝูอีเดินวนอยู่ด้านในรอบหนึ่ง หลงโม่เหยียนรีบเชื้อเชิญให้เขานั่งลงหน้าโต๊ะไม้แบบโบราณตัวหนึ่ง ขอคำชี้แนะจากเขาอย่างจริงใจ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ทักษะนี้ของโม่เหยียนพอใช้ได้หรือไม่?”


ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ ดวงตาทอแววเฉียบคมรางๆ “หลงซื่อจื่อบรรลุพลังวิญญาณขั้นสิบแล้ว เป็นเรื่องน่ายินดี”


หลังจากหลงโม่เหยียนเผยฝีมือนี้ออกมา ก็ทราบแล้วว่าตนไม่อาจปิดบังกำลังที่แท้จริงต่อหน้าตี้ฝูอีได้อีกต่อไป จึงกล่าวอย่างนอบน้อม “โม่เหยียนมาจากดินแดนเบื้องบน เมื่อก่อนถูกผนึกความทรงและพลังวิญญาณเอาไว้ จัดจำอดีตไม่ได้ หลังจากตื่นรู้ได้ไม่กี่วัน พลังวิญญาณของโม่เหยียนก็บรรลุถึงขั้นสิบแล้วจริงๆ แต่มิได้มีเจตนาจะซ่อนเร้นความสามารถที่แท้จริงไว้ หวังว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่ถือสา…”


ตี้ฝูอีมองเขาแวบหนึ่ง คนผู้นี้พูดจาไร้ช่วงโหว่โดยแท้…


เขาพินิจหอไผ่แห่งนี้ดูครู่หนึ่ง “อาคมนี้ของเจ้าไม่เลวเลย เพียงแต่ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์มิใช่ว่าสร้างเรือนได้ก็เพียงพอแล้ว เปิ่นจุนยังคิดจะทดสอบฝีมือด้านอื่นของเจ้าอีกเล็กน้อย”


“ขอเชิญท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกหัวข้อ”


“ฝีมือด้านการต่อสู้” ตี้ฝูอีพลันยื่นมือออกไป กระบี่ยาวเล่มหนึ่งพลันก่อร่างขึ้นในมือ ดีดปลายนิ้วคราหนึ่ง กระบี่ยาวจู่โจมใส่หลังคาจนเกิดเสียงดังครืนพุ่งทะยานขึ้นสู่นภา!


หมุนวนอยู่กลางอากาศ กลายเป็นกระบี่เล่มน้อยนับไม่ถ้วน เรียงตัวกันเป็นผังค่ายกลจานแปดทิศ…


ปลายกระบี่ทั้งหมดจ่อเล็งไปที่หลงโม่เหยียน ยังไม่ทันได้โจมตีลงมา ไอสังหารอันเข้มข้นดุดันก็แผ่ไปทั่วหอไผ่ทั้งหลังแล้ว


หยกนภาที่หมอบเงียบๆ อยู่บนข้อมือของตี้ฝูอีรำพันอยู่ในใจ ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ นี่ท่านกำลังหึงหวงอยู่กระมัง? ผู้อื่นสร่างบ้านอย่างว่องไว ทว่าท่านทำลายบ้านได้ว่องไวกว่า!’


“หลงโม่เหยียน เจ้าจงทำลายค่ายกลกระบี่ของเปิ่นจุนเสีย อย่าได้กล่าวโทษว่าเปิ่นจุนไม่เตือนเจ้าก่อน ค่ายกลนี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง จำเป็นต้องทำลายทิ้งเท่านั้นถึงจะหลุดพ้น หากว่าทำลายไม่ได้คงทำได้เพียงมอบชีวิตน้อยๆ ของเจ้าไว้ที่นี่แล้ว”


ตี้ฝูอีนั่งแกว่งตัวอยู่บนยอดไม้ของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง น้ำเสียงสะท้อนกังวาน ก้องไปทั่วเนินเขา


หลงโม่เหยียนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ค่ายกลกระบี่นี้ดุร้ายเกินไปแล้ว! หากว่าเขาไม่ทุ่มฝีมือทั้งหมดออกมา เกรงว่าคงจบสิ้นอยู่ที่นี่!


เขายังคิดไม่ทันจบ กระบี่เล่มน้อยเหล่านั้นก็พุ่งเข้าใส่เขาปานห่าฝน!


หยกนภาย่อมเป็นตัวรอบรู้เช่นกัน มองค่ายกลกระบี่นี้แวบเดียวก็ทราบแล้วว่าดุร้ายยิ่งนัก ถามอย่างหวาดหวั่น ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ นี่ท่านใช้ค่ายกลพิชิตมารสวรรค์กระมัง? ต่อให้หลงโม่เหยียนผู้นี้มีพลังวิญญาณขั้นสิบก็เกรงว่าจะรับมือไม่ไหว ท่านอย่าได้เล่นเขาถึงตายจริงๆ นะ ถ้าสังหารตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ไป แล้ววันหน้าเจ้านายของข้าจะทำอย่างไร?’


ตี้ฝูอีตอบอย่างเฉยชา “หากว่าเขาถูกสังการได้ง่ายๆ เช่นนี้ ก็ไม่คู่ควรเป็นตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว”


ยามนี้ค่ายกลกระบี่นั้นปิดล้อมหลงโม่เหยียนไว้ตรงใจกลาง แม้แต่ชายชุดก็ไม่โผล่ออกมาให้เห็นเลย


อยู่ภายในค่ายกลกระบี่เช่นนี้ หลงโม่เหยียนไม่อาจฝ่าออกมาพักใหญ่เลย


ตี้ฝูอีกล่างพลางกระโจนลงสู่พื้นไปด้วย ก้าวเดินไปข้างหน้า


‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ นี่ท่านจะไปไหนหรือ?’ หยกนภาฉงน


“ไปดูกระท่อมของเขา ดูว่าสรุปแล้วเขาซ่อนอะไรไว้ที่นั่นกันแน่” ตี้ฝูอีตอบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)