คัมภีร์วิถีเซียน 1758-1760

 ตอนที่ 1758 แขกผู้มาเยือน

 

แน่นอนว่าช่วงเวลานี้เขายังต้องรวบรวมวัตถุดิบเสริม ใช้หญ้ากร่อนพิษเป็นวัตถุดิบหลักเพื่อหลอมยาลูกกลอนระดับผสานอินทรีย์


แม้ว่าเทียบกับหญ้ากร่อนพิษแล้ว วัตถุดิบอื่นๆ จะไม่อาจเทียบได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากมากในแดนวิญญาณ ดังนั้นหากอยากรวบรวมวัตถุดิบที่ต้องการให้ครบ ก็ต้องใช้เวลาสักหน่อย


นอกจากนี้เพื่อเผชิญหน้ากับเคราะห์สวรรค์สามพันปีครั้ง เขายังต้องเอาภูเขาไท่อีที่ได้มาจากแดนกว้างเย็นไปหลอมให้กลายเป็นหนึ่งในภูเขาระดับสุดยอด


แม้ว่าอานุภาพจะไม่อาจเทียบกับภูเขาผสานปราณขั้นที่ห้าได้ แต่เมื่อเทียบกับภูเขาเทวะดูดปราณแล้ว ก็มีผลในการต้านทานกับเคราะห์สวรรค์อย่างแน่นอน


ได้ยาลูกกลอนวิญญาณวิญญาณมา ก็ต้องหาวิธีเช่นกัน


เขาถึงได้กินเข้าไปอย่างวางใจ รวมทั้งรู้ว่ากินตอนไหนจะเหมาะสมที่สุด


นอกจากนี้เป็นเพราะฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสประกอบกับจิตสัมผัสที่เพิ่มขึ้นจากการพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ ทำให้แม้ว่าเขาจะไม่อาจควบคุมแมลงกลืนวิญญาณหมื่นตัวได้ แต่พันกว่าตัวกลับทำได้อย่างสบายๆ


แมลงกลืนทองโตเต็มวัยจำนวนมากขนาดนี้ นับว่าเป็นอาวุธสังหารที่น่ากลัวมากชนิดหนึ่งแล้ว


สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ปกติ ย่อมหวาดกลัวแน่


เช่นนั้นเขากลับสามารถใช้แก่นดวงจิตมัจฉาสายรุ้งเหินในมือเริ่มหลอม ‘ยาลูกกลอนเจ็ดสี’ ในตำนานได้


ภายใต้การผสานกันระหว่างยาลูกกลอนวิญญาณโบราณและไผ่อัสนีสีทอง คิดดูแล้วคงทำให้แมลงกลืนทองที่โตเต็มวัยมีโอกาสจะบรรลุระดับขั้นหรือว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง


ตอนนั้นเขาเคยใช้วัตถุดิบก้อนศิลาประหลาด ทำให้แมลงกลืนทองเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยครั้งหนึ่ง


แค่ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ นอกจากน้ำหนักของแมลงกลืนทองเหล่านั้นจะเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง ก็ไม่มีผลพิเศษที่น่าตกตะลึงใดๆ อีก ทำให้เขารู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก


ส่วนราชาแมลงกลืนทองตามที่ชิงหยวนจื่อเอ่ยถึง แม้แต่เซียนก็ไม่อาจหลบหลีกได้ สำหรับเขาแล้วมันเหลือเชื่อเกินไป ต่อให้อยากเลี้ยงก็ไม่อาจทำได้ และทำได้เพียงคิดเท่านั้น


ทว่าไม่ว่าจะเพื่อควบคุมแมลงกลืนทอง หรือว่าเพื่อเตรียมทะลุจุดคอขวดในวันข้างหน้า ก็ต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสขั้นที่สอง


และจากสถานการณ์ของเขาในยามนี้ จิตสัมผัสก็ถึงระดับที่กำหนดแล้ว แต่ระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อกลับยังคงขาดอีกนิดหน่อย จำต้องรอให้ถึงระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายและฝึกฝนเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ ถึงจะพอฝืนให้เข้ากับเงื่อนไขได้


แต่ก่อนหน้านี้กลับสามารถคิดหาวิธีใช้สิ่งของภายนอกมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กายเนื้อก่อนแล้วค่อยว่ากัน


ตัวอย่างเช่นสุราตาข่ายแดงสวรรค์ ก็สามารถเปลี่ยนคุณสมบัติของร่างกายให้ดีขึ้นอย่างช้าๆ นำมาใช้เตรียมดื่มก่อนได้


แน่นอนยันต์วิเศษแดนเซียนสองสามแผ่นและภาพวาดดาราลึกลับ ก็จำต้องใช้เวลาเรียนรู้ทีละนิดๆ


หานลี่ครุ่นคิดในใจอย่างเงียบๆ ร่างทั้งร่างตกอยู่ในภวังค์ความครุ่นคิด…


เวลาหนึ่งปีที่เหลือหานลี่ไม่ได้ออกจากถ้ำพำนักบนยอดเขาพระอาทิตย์ขึ้นแม้แต่ก้าวเดียว ล้วนมุ่งมั่นอยู่กับการทำให้พลังปราณและระดับจิตใจมั่นคง


แต่ด้านนอกกลับเป็นเพราะเขาพัฒนาระดับผสานอินทรีย์จึงเกิดความวุ่นวายขึ้น


ขุมอำนาจที่อยู่บริเวณใกล้เคียงจำนวนไม่น้อย ต่างก็เตรียมเคลื่อนไหว


โชคดีที่ขุมอำนาจเหล่านี้ล้วนรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งทะลวงจุดคอขวดคนหนึ่ง จำต้องกักตนบำเพ็ญเพียรหนึ่งปี ดังนั้นช่วงระยะเวลานี้จึงไม่ได้ส่งคนไปรบกวนการฝึกบำเพ็ญเพียรของหานลี่อย่างรู้จักวางตัว


แต่พอครบหนึ่งปีเต็ม ก็มีคนทนไม่ไหวทันที


วันนี้ชายชราร่างกายสูงผอมคิ้วเป็นสีทองอ่อนคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่ขอบของทะเลหมอก


เขาสวมชุดคลุมยาวสีเขียว ตรงเอวมีหยกสมประสงค์สีเขียวมรกตห้อยอยู่ ยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง และมองไปยังใจกลางของทะเลหมอกด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก


ฉับพลันนั้นชายชราพลันเอียงศีรษะ มองไปทางด้านหลัง


เห็นเพียงตรงปลายขอบฟ้ามีลำแสงสว่างวาบ สายรุ้งสีเงินความยาวสิบจั้งเศษพลันปรากฏขึ้น


เสียงแหวกอากาศดังขึ้น สายรุ้งสีเงินมีความเร็วที่น่าตกตะลึง แค่กะพริบวาบๆ ก็มาอยู่บริเวณใกล้เคียง หลังจากมองเห็นว่ากะพริบวาบอีกครั้งก็ทะลวงเข้ามาในทะเลหมอก


แต่ในยามนั้นเองกลางอากาศกลับมีเสียงร้องอุทานว่า “เอ๋” ดังขึ้นเบาๆ เสียงไม่ดังนักแต่กลับเข้ามาในโสตของชายชราอย่างชัดเจน


ชายชราได้ยินก็อดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้


ทันใดนั้นก็เห็นสายรุ้งสีเงินหมุนวน แล้วพุ่งลงมายังยอดเขาที่ชายชราอยู่


ลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ ห่างจากชายชราไปสิบจั้งเศษ เงาร่างคนอรชนอ้อนแอ้นพลันปรากฏขึ้น


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหญิงสาวหน้าตาขาวผ่องงดงามสวมชุดชาววังสีฟ้าคนหนึ่ง


เรือนร่างของหญิงสาวผู้นี้ไม่มีกลิ่นอายแผ่ออกมาเลยสักนิด สีหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ ราวกับสาวงามที่หน้าตาโดดเด่นในตำบลซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในแดนมนุษย์


“เซียนเสี่ยวเฟิง! คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเซียนจะให้ความสำคัญกับตระกูลกู่ คาดไม่ถึงว่าจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง” ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวเห็นใบหน้าของหญิงสาว รูม่านตาก็หดเล็กลงขณะเอ่ย


“ที่แท้ก็อาวุโสชีของเมืองเทวะสวรรค์นี่เอง ท่านอาวุโสมาที่นี่เพราะคนที่อยู่บนยอดเขาพระอาทิตย์ขึ้นหรือ?” หญิงสาวกลอกตาไปมา แล้วเอ่ยถามอย่างมีมารยาทเล็กน้อย


“หึๆ เมืองเทวะสวรรค์อยู่ห่างจากนี้แค่สองสามเดือน ที่นี่มีสหายระดับผสานอินทรีย์ปรากฏตัวขึ้น ย่อมต้องรู้อยู่แล้ว ท่านอาวุโสคนอื่นๆ กักตนอยู่ ผู้ที่ออกไปข้างนอกก็ออกไปข้างนอก มีเพียงข้าที่วิ่งมาที่นี่ หัวหน้าตระกูลกู่มาที่นี่ ก็คงมีจุดประสงค์เดียวกันสินะ?” ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวเผยรอยยิ้มออกมาขณะตอบกลับและมีท่าทีเกรงใจหญิงสาวเป็นอย่างมาก


“ท่านอาวุโสปราดเปรื่องยิ่ง! ความจริงแล้วหนึ่งปีก่อนอาวุโสตระกู่ของพวกเราได้พูดคุยกับท่านอาวุโสที่อยู่ในยอดเขาพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าแค่ปีเดียว อาวุโสผู้นี้จะบรรลุระดับผสานอินทรีย์ได้ แน่นอนว่าชนรุ่นหลังย่อมต้องมาพบด้วยตัวเองสักครั้ง” หญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ


“หากข้าจำไม่ผิดละก็ อีกสองสามปีตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้อย่างพวกเจ้าก็จะทำพิธีวิญญาณเที่ยงแท้สามพันปีครั้งแล้วสินะ มิน่าล่ะจึงรีบร้อนอยากเพิ่มพละกำลังให้กับตระกูลกู่เช่นนี้ ทว่าสหายบนยอดเขาพระอาทิตย์ขึ้นผู้นี้ หากอยู่ในระดับผสานอินทรีย์จริงๆ ตาเฒ่ากลับไม่อาจถอยให้ได้ ยามที่ชนต่างเผ่าเข้าโจมตีเมืองครั้งที่แล้ว เมืองเทวะสวรรค์ก็สูญเสียอาวุโสไปสองคน ประกอบกับมีอาวุโสอีกสองคน เดาว่าคงผ่านเคราะห์สวรรค์ได้ยาก จำต้องเอาสหายใหม่ที่เพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์เข้ามาเสริม” ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวกลับสั่นศีรษะ ไม่มีเจตนาจะยอมถอยให้


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่พิธีจิตวิญญาณเที่ยงแท้เป็นเกียรติและศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลกู่ ชนรุ่นหลังเองก็ไม่ยอมถอยง่ายๆ เช่นกัน” หญิงสาวพลันขมวดคิ้วดำขลับ แล้วหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา


“หึๆ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งไหนเลยจะยอมเข้าร่วมตระกูลไหนง่ายๆ บางทีเจ้ากับข้าอาจจะต้องกลับไปมือเปล่าก็เป็นได้ หลังจากที่ได้พบกับสหายผู้นี้แล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน” ชายชราหัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ


“เป็นเช่นนั้นจริงๆ หากเป็นเช่นนั้นข้าและอาวุโสชีก็ไปคารวะท่านอาวุโสผู้นี้ด้วยกันเถิด” หญิงสาวพยักหน้า แล้วเอ่ยอย่างเห็นด้วย


ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวยิ่งไม่มีความเห็นอื่น


ดังนั้นทั้งสองจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนี แล้วมาอยู่ตรงขอบของทะเลหมอกในพริบตา


ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็อ้าปากเอ่ยด้วยเสียงอันดัง


“เมืองเทวะสวรรค์ชีซวี่ปิง เซียนเสี่ยวเฟิงแห่งตระกูลกู่ มาเยี่ยมเยียน!”


เสียงของชายชรากลายเป็นพลังวิญญาณส่งไปตามทะเลหมอก ดังสะท้อนก้องไปมากลางอากาศในรัศมีสองสามร้อยลี้


หานลี่ที่กำลังหลับตานั่งสมาธิอยู่ในถ้ำพำนัก พลันลืมตาขึ้น ใบหน้าเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา


ทว่าเขาพลันพลิกฝ่ามือตะปบออกไปกลางอากาศ จานอาคมสีขาวโพลนปรากฏขึ้นใจกลางฝ่ามือ


มือหนึ่งพลันร่ายอาคมชี้ไปที่จานอาคมอย่างรวดเร็ว มุมปากของหานลี่กระตุกเล็กน้อย


ในเวลาเดียวกันชายชราผู้สวมชุดคลุมสีเขียวและพวกทั้งสองคนก็อยู่ตรงขอบของทะเลหมอก ชั่วครู่ก็มีเสียงราบเรียบของหานลี่ดังขึ้น


“ที่แท้สหายทั้งสองก็มาเยี่ยมเยียนนี่เอง ผู้แซ่หานยังอยู่ในการกักตน ไม่สะดวกออกไปต้อนรับ เชิญสหายทั้งสองมานั่งในถ้ำพำนักของข้าน้อยก่อนเถิด ผู้แซ่หานจะออกไปพบด้วยตัวเอง”


สิ้นเสียงทะเลหมอกด้านล่างก็หมุนวน ชั่วครู่ก็เผยทางเดินความกว้างสองสามจั้งออกมา


ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวและเซียนเสี่ยวเฟิงผู้นั้นพลันมองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วบินเข้าไปตามลำดับทันที


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งสองคนก็มาอยู่เหนือยอดเขา และร่อนลำแสงหลีกหนีลงตรงหน้าถ้ำพำนักบนสันเขา


ประตูถ้ำพำนักของหานลี่เปิดออก


ชายชราและหญิงสาวพลันเดินเข้าไปในทันที


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งสองก็แยกกันนั่งลงตามจุดต่างๆ ที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายในห้องโถง


จากนั้นหญิงสาวชุดขาวที่มีใบหน้าไร้ความรู้สึก มือถือจานรองถ้วยชาใบหนึ่ง ก็ส่งถ้วยชาวิญญาณมีกลิ่นหอมสองใบให้ทั้งสองคน จากนั้นก็นั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้าง


ตอนแรกชายชราสวมชุดคลุมสีขาวและหญิงสาวยังไม่ได้สนใจ แต่เมื่อจิตสัมผัสกวาดไปบนเรือนร่างของหญิงสาวชุดขาว ทั้งสองก็อดที่จะเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาไม่ได้


“ท่านอาวุโสชี ชนรุ่นหลังมองไม่ผิดสินะ หญิงสาวผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่ง” หญิงสาวถ่ายทอดเสียงเอ่ยถามด้วยความตกตะลึงระคนสงสัย


“ไม่ผิด เป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่งและยิ่งไปกว่านั้น ดูจากกลิ่นอายแล้วดูเหมือนจะเป็นหุ่นเชิดระดับหลอมสุญตา แต่สิ่งที่แปลกก็คือดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดควบคุม สามารถเดินเหินได้อย่างอิสระ” ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวแววตาเปล่งประกายโหดเหี้ยม มองสิ่งที่หญิงสาวมองไม่ออก


หญิงสาวได้ยินจะตกตะลึงแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว


แต่ไม่รอให้นางได้ขบคิดจะตรวจสอบหญิงสาวชุดขาวอย่างละเอียดอีกครั้ง ด้านนอกห้องโถงกลับมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ ชายหนุ่มท่าทางอายุประมาณยี่สิบปีเศษพลันเดินเข้ามาด้วยสีหน้าราบเรียบ


ชั่วขณะนั้นหญิงสาวพลันกลอกตาไปมาแล้วจ้องเขม็งมองมาทันที


ผลคือครู่ต่อมาหญิงสาวผู้นี้ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วยืนขึ้นในทันที พลางคารวะให้ชายหนุ่ม


“ท่านอาวุโสบรรลุระดับผสานอินทรีย์แล้วดังคาด ชนรุ่นหลังเป็นตัวแทนของตระกูลกู่มาแสดงความยินดีกับความสำเร็จของท่านอาวุโส”


ชายชราชุดคลุมสีเขียวที่อยู่อีกด้าน ก็เผยรอยยิ้มออกมาแล้วหยัดกายลุกขึ้น พลางเอ่ยกับคารวะว่า “ข้าน้อยชีซวี่ปิง อาวุโสท่านหนึ่งของเมืองเทวะสวรรค์ คารวะสหาย”


“สหายทั้งสองมีมารยาทเกินไปแล้ว! ทั้งสองมาจากแดนไกล ผู้แซ่หานไม่ได้ออกไปต้อนรับจากแดนไกล หวังว่าสหายทั้งสองจะไม่ถือสา” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วคารวะตอบเช่นกัน


“ฮ่าๆ สหายหานเพิ่งจะบรรลุระดับผสานอินทรีย์ กำลังอยู่ในช่วงทำให้พลังยุทธ์มั่นคง ผู้แซ่ซีจะไม่รู้ได้อย่างไร” ชายชราลูบเคราขณะเอ่ยตอบ


ดังนั้นหลังจากที่สามคนเอ่ยอย่างเกรงใจกันสองสามประโยคแล้ว ก็แยกกันนั่งตรงตำแหน่งของแขกผู้มีเกียรติ


“ไม่ปิดบังท่านอาวุโสหาน ยามที่ข้าได้รับข่าวมาว่าท่านอาวุโสกำลังพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ ก็แทบจะไม่อยากจะเชื่อ ถึงอย่างไรเสียก่อนหน้านี้อาวุโสกู่อวิ๋นของเผ่าเราก็เพิ่งจะกลับไปได้ไม่นาน และบอกว่าสหายมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับหลอมสุญตา คิดไม่ถึงว่าแค่ปีเดียว ท่านอาวุโสจะมีระดับพลังยุทธ์ขนาดนี้” หญิงสาวของตระกูลกู่เอ่ยพร้อมกับทอดถอนใจ


“หึๆ ความจริงแล้วตอนนั้นผู้แซ่หานกำลังเตรียมการทะลวงจุดคอขวด แต่สหายทั้งสองเองก็รู้ว่าอัตราการบรรลุระดับผสานอินทรีย์นั้นมีไม่มากนัก ข้าน้อยก็คิดไม่ถึงว่าจะบรรลุระดับได้ในครั้งเดียว ตอนแรกก็ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังสหายกู่อวิ๋น” หานลี่เผยสีหน้าขอโทษขอโพยออกมา

 

 

 


ตอนที่ 1759 เรียนเชิญและการแข่งขันของ...

 

“ชนรุ่นหลังจะไปกล้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านอาวุโสทะลวงจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์เป็นเรื่องที่สำคัญระดับไหน ระมัดระวังมากหน่อยก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” หญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน


“ตอนแรกยามที่ตาเฒ่าทะลวงจุดคอขวดนั้น ก็หาสถานที่รกร้างเช่นเดียวกัน มีความคิดไม่ต่างอันใดกับสหานหานนัก” ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวเองก็หัวเราะร่าออกมา


หานลี่ได้ยินย่อมฉีกยิ้มรับ


จากนั้นทั้งสามคนก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แค่พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกัน


 ประสบการณ์จากการเดินทางข้ามแผ่นดินใหญ่ทั้งสองของหานลี่จะมากมายแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว


ส่วนชายชราและหญิงสาวคนหนึ่งก็เป็นเจ้าของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ คนหนึ่งก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุระดับผสานอินทรีย์มาหลายปี ประสบการณ์จึงไม่ธรรมดาเลยสักนิด


ทั้งสามคนพูดคุยกันรอบหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะพูดคุยกันถูกคอ


ชายชราและหญิงสาวต่างก็ได้เปิดหูเปิดตา


“สหายหาน ฟังจากเมื่อครู่ เจ้าเข้าใจเรื่องราวของชนต่างเผ่าเยอะมาก มีหลายอย่างที่ไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ในคัมภีร์ แม้กระทั่งเรื่องแผ่นดินใหญ่แผ่นดินอื่น หรือว่าสหายเคยไปหาประสบการณ์ที่แผ่นดินใหญ่แผ่นดินอื่น?” ในที่สุดชายชราก็ระงับความฉงนไม่ไหว เอ่ยปากถามขึ้น


“สายตาของสหายชีช่างแหลมคมนัก! ข้าน้อยเพิ่งกลับมาจากผจญภัยในแดนรกร้าง ส่วนแผ่นดินใหญ่นั้นก็บังเอิญไปมาครั้งหนึ่ง” หานลี่ไม่ได้มีเจตนาปิดบัง จึงตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา


แต่ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวและหญิงสาว กลับสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง


เซียนเสี่ยวเฟิงเงียบขรึมไปชั่วครู่ แล้วถึงได้เอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อยออกมา


“มิน่าล่ะจากอิทธิฤทธิ์ของท่านอาวุโส ก่อนหน้านี้ชนรุ่นหลังไม่เคยได้ยินอันใดมาก่อน ที่แท้ท่านอาวุโสก็ไปฝึกฝนที่ภายนอกมา ช่วงนี้เพิ่งจะกลับมาที่เผ่าของเรา ทว่าฟังจากคำพูดของท่านอาวุโสอวิ๋น สหายเคยเอ่ยถึงตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้อย่างตระกูลเยี่ยและตระกูลหล่ง ข้าจึงนึกได้เรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่”


“อ๋อ เรื่องใดหรือ? สหายพูดมาเถิด!” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง


“ในเมื่อท่านอาวุโสกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะพูดตรงๆ ไม่ปิดบังท่านอาวุโส หลังจากที่อาวุโสกู่อวิ๋นบอกเรื่องนี้กับข้า ข้าก็รู้สึกสนใจมาก และใช้ให้คนไปสืบหาคนที่มีแซ่เดียวกันกับท่านอาวุโส แม้ว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ จะยังหาอันใดพบไม่มากนัก แต่กลับได้ข้อมูลง่ายๆ มานิดหน่อย สองสามร้อยปีก่อนเคยมี ‘หานลี่’ รับตำแหน่งผู้พิทักษ์ยมโลกนิลที่เมืองเทวะสวรรค์ ใช่ท่านอาวุโสหรือไม่?” เซียนเสี่ยวเฟิงเอ่ยอย่างแช่มช้า


ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวได้ยินกลับตกตะลึง


ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่หานลี่เป็นหนึ่งในสมาชิกของเมืองเทวะสวรรค์ หรือว่าผู้พิทักษ์ยมโลกนิลคนหนึ่งเมื่อสองสามร้อยปีก่อนยามนี้จะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ ล้วนทำให้อาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์ผู้นี้ประหลาดใจมาก


“หึๆ ชื่อเสียงของตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้ไม่ธรรมดาจริงๆ ทว่าแค่สองสามปีก็หาต้นกำเนิดของผู้แซ่หานได้ ข้าน้อยเคยเป็นผู้พิทักษ์ยมโลกนิลที่เมืองเทวะสวรรค์จริงๆ หลังจากที่รับภารกิจหนึ่งก็ได้รับอิสรภาพ แล้วจึงออกไปจากเมืองเทวะสวรรค์” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติขณะเอ่ย


“เช่นนั้นคนที่ถูกตระกูลหล่งและตระกูลเยี่ยตามหาในเวลาเดียวกันก็คือท่านอาวุโสหาน” หญิงสาวมีสีหน้าประหลาดใจ


“ตระกูลเยี่ย ตระกูลหล่ง? พวกเขาเคยตามหาข้างั้นหรือ?” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน


“ตอนนั้นตระกูลเยี่ยตามหาท่านอาวุโสเป็นเวลาร้อยกว่าปีจึงล้มเลิกไป กลับเป็นตระกูลหล่งที่มีชื่อเสียงว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่ดูเหมือนจะยังคงไม่ล้มเลิกคำสั่งนี้อย่างเป็นทางการ ที่ผ่านมาตระกูลเยี่ยและตระกูลหล่งต่างก็เป็นปฏิปักษ์ต่อกันไม่น้อย แม้ว่าจะยังไม่ถึงกับลงมือ แต่ยามที่ทั้งสองตระกูลมีเรื่องขัดแย้งกัน ลองคำนวณดูแล้วก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งสองตระกูลเริ่มตามหาท่านอาวุโส” หญิงสาวเอ่ยอย่างมีเลศนัย


หานลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้เอ่ยตอบอันใดกลับเงียบขรึมขึ้น


“สหายเคยเป็นผู้พิทักษ์ยมโลกนิลของเมืองเทวะสวรรค์? ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ พอดีเลยมีบางเรื่องที่ผู้แซ่ชีอยากกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เจตนาที่ตาเฒ่ามาเยี่ยมเยียนสหายในครั้งนี้ สหายหานก็น่าจะเดาออกอยู่หลายส่วนสินะ”  หลังจากที่ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวกระแอมไอเบาๆ ก็เอ่ยปากขึ้นในยามนี้


“อืม ที่พี่ชีพูด หรือว่าจะอยากเชิญข้าน้อยเข้าร่วมเมืองเทวะสวรรค์!” หานลี่เลิกคิ้ว แล้วตอบกลับอย่างราบเรียบ


“ใช่แล้ว ตาเฒ่าเป็นตัวแทนของสมาคมอาวุโส มาเรียนเชิญสหายให้เข้าร่วมเมืองของเราอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่าจากพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ของสหาย เมื่อเข้าร่วมเมืองของเราจะกลายเป็นหนึ่งในสมาคมอาวุโสทันที ส่วนการต้อนรับหลังจากนี้ ในเมื่อสหายหานเคยอยู่ในเมืองเทวะสวรรค์ ก็น่าจะรู้ดี ไม่ต้องให้ตาเฒ่าพูดมากอันใด” ชีซวี่ปิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม


“เรื่องนี้…”


หานลี่เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา และไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ


หญิงสาวเห็นสถานการณ์เช่นนั้น หลังจากที่กลอกตาไปมา ริมฝีปากบางก็อ้าออกแล้วพ่นคำพูดออกมาเบาๆ


“ในเมื่อท่านอาวุโสชีเอ่ยปากแล้ว ข้าในฐานะของเจ้าของตระกูลกู่ แน่นอนว่าย่อมมีเจตนาที่ไม่แตกต่างกันนัก อยากเชิญท่านอาวุโสเข้าร่วมตระกูลกู่ กลายเป็นอาวุโสแขกผู้มีเกียรติของตระกูลกู่ ตำแหน่งนี้นอกจากจะต้อนรับอย่างทำให้สหายพอใจได้แล้ว ปกติแล้วนอกจากเรื่องความเป็นความตายของตระกูลกู่ ตระกูลกู่ของพวกเราไม่มีทางยุ่งเกี่ยวกับสหายแน่”


เซียนเสี่ยวเฟิงเอ่ยปาก เงื่อนไขกลับน่าเย้ายวนใจยิ่งกว่า


ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวได้ยินก็มีสีหน้าเคร่งเครียด แต่กลับไม่รู้จะพูดกับหญิงสาวอย่างไร


ถึงอย่างไรเสียแม้ว่าหญิงสาวจะมีพลังยุทธ์แค่ระดับหลอมสุญตา แต่ในฐานะเจ้าของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้กลับทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ไม่กล้าดูแคลน


แต่หลังจากที่ชายชราครุ่นคิดเล็กน้อยก็ยังคงเอ่ยกับหานลี่อย่างแช่มช้า “ระดับผสานอินทรีย์ในเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจทั้งสองของพวกเรามีอยู่น้อยมาก นอกจากเมืองของข้าแล้วเชื่อว่าไม่ว่าดินแดนไหนในสามเขตเจ็ดดินแดนก็ไม่อาจมีสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์จำนวนมากอาศัยอยู่ร่วมกันได้ สมาชิกอาวุโสของเมืองเรา มักจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์การฝึกฝนด้วยกัน หากสหายยอมเข้าร่วมเมืองของเราจากนี้จะต้องได้รับประโยชน์จากการฝึกฝนไม่น้อยแน่ และยิ่งไปกว่านั้นสมาคมอาวุโสของพวกเราก็มักจะร่วมมือกันไปที่ดินแดนรกร้างเพื่อล่าอสูรโบราณที่แข็งแกร่ง นี่เป็นสิ่งที่ดินแดนอื่นไม่อาจเปรียบเทียบได้ สหายหายลองไตร่ตรองให้ละเอียด ตาเฒ่ามาเรียนเชิญสหายเข้าเมืองของเราด้วยความจริงใจ”


หานลี่หน้าเปลี่ยนสี ดูเหมือนว่าจะสนใจอยู่หลายส่วน


“แม้ว่าตระกูลกู่ของพวกเราจะมีอาวุโสระดับผสานอินทรีย์นั่งบัญชาการอยู่เพียงคนเดียว แต่ในฐานะหนึ่งในตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ของตระกูลกู่ย่อมมีเคล็ดวิชาลับในการใช้และควบคุมโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ ได้ยินว่ายามที่ท่านอาวุโสทะลวงจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์ ก็เผยเทวรูปวานรยักษ์ภูเขาออกมา จากที่ข้ารู้มาจิตวิญญาณเที่ยงแท้ในเผ่ามนุษย์ไม่มีตระกูลไหนเลยที่รับการถ่ายทอดโลหิตวิญญาณมาจากวานรยักษ์ภูเขา ดูแล้วท่านอาวุโสคงได้โลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้มาจากเผ่าอื่นสินะ หากท่านอาวุโสยอมเข้าร่วมกับตระกูลกู่ของพวกเรา ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาหลอมและควบคุมโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ให้กับท่านอาวุโส และยิ่งไปกว่านั้นรับประกันว่าหมื่นปีให้หลัง หากท่านอาวุโสมีความคิดจะจัดตั้งตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ล่ะก็ ตระกูลกู่ของพวกเราจะไม่มีทางขัดขวางและร่วมมืออย่างเต็มกำลังแน่” หญิงสาวเอ่ยที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดออกมา


ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวได้ยินว่าหานลี่มีโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ก็พลันตกตะลึงและเมื่อได้ยินเงื่อนไขของหญิงสาวสีหน้าก็เปลี่ยนสีไป


“ตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ตระกูลใหม่!” หานลี่แววตาเปล่งประกาย ในใจเกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเช่นกัน


“ใช่แล้วจากอิทธิฤทธิ์ของท่านอาวุโสและโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่ได้รับการถ่ายทอดมา ตระกูลกู่จะกล้าให้ท่านอาวุโสรับตำแหน่งท่านอาวุโสแขกผู้มีเกียรติที่เป็นเพียงชื่อเสียงลวงๆ ได้อย่างไร ขอแค่ท่านอาวุโสยอมรับตำแหน่งอาวุโสของตระกูลเป็นเวลาหมื่นปี หมื่นปีให้หลังตระกูลกู่ของพวกเราจะต้องช่วยท่านอาวุโสตั้งตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ขึ้นมาอีกตระกูลแน่ มิเช่นนั้นแม้ว่าจากพลังยุทธ์ของท่านอาวุโสจะสามารถตั้งตระกูลขึ้นมาได้ แต่จะต้องมีเสียงยับยั้งไม่น้อยแน่ ถึงอย่างไรเสียตระกูลต่างๆ ก็จะได้รับข้อได้เปรียบเสียเปรียบไม่น้อย หากมีตระกูลเพิ่มขึ้นมาตระกูลหนึ่ง จะต้องเสียประโยชน์ไม่น้อยแน่ ตระกูลอื่นๆ คงไม่มีทางยอม” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับอมยิ้ม


หานลี่ลูบใต้คางไปมา แล้วเงียบขรึมไม่ได้ปริปากอันใด


หานลี่ไม่ได้ตอบสนองอันใด แต่เห็นได้ชัดว่าหากจะเข้าร่วมกับกลุ่มอำนาจใดจริงๆ ก็ไม่มีทางเป็นพวกชาวเทวะสวรรค์อย่างพวกเขาได้


ส่วนหญิงสาวจากตระกูลกู่แม้ว่าจะมีสีหน้าราบเรียบ แต่ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน ไม่รู้ว่าเงื่อนไขที่ตนเองเอ่ยไปจะทำให้อีกฝ่ายสนใจได้หรือไม่


ถึงอย่างไรเสียก็มีเซียนระดับสูงจำนวนไม่น้อยที่ไม่อยากจัดตั้งเผ่า ตระกูลหรือขุมอำนาจของตนเอง


ผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนอย่างหนักจำนวนไม่น้อยแค่อยากอยู่บนเส้นทางแห่งการฝึกฝน และยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่อยากถูกควบคุมหรือมีพันธสัญญาใดๆ


มิเช่นนั้นหลังจากที่เมืองเทวะสวรรค์สูญเสียผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ไปคนหนึ่ง คงไม่หาผู้มาเสริมแทนจากสามเขตเจ็ดดินแดนได้ยากเพียงนี้


“ข้าน้อยได้ยินว่าหนึ่งในสามจักรพรรดิอย่างจักรพรรดิเทียนเมี่ยวเพิ่งเพลี่ยงพล้ำไปไม่นาน จักรพรรดิใหม่จะถูกเลือกในอีกร้อยกว่าปี ไม่ทราบว่ามีเรื่องนี้หรือไม่?” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยปาก คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยสิ่งที่ทำให้ชีซวี่ปิงและเซียนเสี่ยวเฟิงตะลึงงัน


“มีเรื่องนี้จริงๆ การแข่งขันผู้บำเพ็ญเพียรศักดิ์สิทธิ์จะถูกจัดขึ้นในอีกร้อยปีให้หลัง และเลือกสหายระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งมาเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ สหายหานถามถึงเรื่องนี้ หรือว่าสนใจตำแหน่งจักรพรรดิ?” ตะลึงไปชั่วครู่ ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวถึงได้เอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ


“อันใด ข้าน้อยไม่มีคุณสมบัติจะเข้าร่วมการคัดเลือกจักรพรรดิองค์ใหม่หรือ?” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วตอบกลับอย่างคลุมเครือ


“ขอแค่เป็นสหายเผ่ามนุษย์ระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไป ล้วนมีคุณสมบัติในการแย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิ ทว่าในอดีตที่ผ่านมาตำแหน่งจักรพรรดิทั้งสามแทบจะตกอยู่ในมือของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายกันหมด บางครั้งที่มีข้อยกเว้น ก็สิ่งมีชีวิตขั้นกลางที่มีอิทธิฤทธิ์เหนือชั้น ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นแรกรับตำแหน่งจักรพรรดิ จากที่ผู้แซ่ชีรู้มาตั้งแต่ที่เผ่ามนุษย์ตั้งรกร้างในแดนวิญญาณ ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ชายชราเก็บสีหน้าประหลาดใจ แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น


“ท่านอาวุโสหานมีโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีความสามารถไม่ธรรมดา แต่หากอยากได้ตำแหน่งจักรพรรดิ เกรงว่าคงจะเป็นการรีบร้อนเกินไปหน่อย ภายในระยะเวลาร้อยปีเพิ่งจะทำให้ท่านอาวุโสคุ้นเคยกับระดับพลังยุทธ์ที่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น เกรงว่าคงไม่อาจสู้กับสิ่งมีชีวิตขั้นปลายได้” หลังจากที่หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่ง ก็ใช้น้ำเสียงอ่อนหวานชักจูงขณะเอ่ย


“หึๆ แน่นอนว่าผู้แซ่หานย่อมไม่อวดดีเพียงนั้น คิดว่าตนเพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์ได้ ก็สามารถแย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิวิญญาณได้ ในการแข่งขันจักรพรรดิจะต้องมีสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันมารวมตัวกันจำนวนมากแน่ ข้าน้อยเข้าร่วมการแข่งขันนี้แค่อยากรู้จักกับเหล่าสหายให้มากขึ้นเท่านั้น ส่วนการเรียนเชิญของสหายทั้งสอง ผู้แซ่หานเป็นพวกไม่ชอบอยู่ที่ไหนนานนัก และไม่อยากเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของผู้ใดมากนัก จึงทำได้เพียงขอปฏิเสธอย่างเสียมารยาทเท่านั้น หากเซียนเสี่ยวเฟิงยินยอมล่ะก็ ข้าน้อยยอมใช้สมบัติหรือเคล็ดวิชาอื่นมาแลกเปลี่ยนกับเคล็ดวิชาลับเหล่านั้น ไม่ทราบว่าเซียนสนใจหรือไม่?” หลังจากที่แววตาของหานลี่เปล่งประกาย คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยเช่นนี้ออกมา

 

 

 


ตอนที่ 1760 ความกังวลเกี่ยวกับโลหิตเท...

 

เมื่อได้ฟังคำนี้หญิงสาวก็กะพริบตาปริบๆ แล้วตะลึงค้าง


อีกฝ่ายไม่ได้ตอบรับว่าจะเข้าร่วมกับตระกูลกู่ กลับอยากได้เคล็ดวิชาหลอมโลหิตเที่ยงแท้ของตระกูลกู่ ช่างทำให้นางรู้สึกหมดคำพูดจริงๆ


หลังจากที่สตรีผู้นี้มีสีหน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครั้ง ในที่สุดก็ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า


“ข้อเสนอของท่านอาวุโสหาน เกรงว่าชนรุ่นหลังจะตอบรับไม่ได้ เคล็ดวิชาโลหิตของตระกูลกู่ไม่สามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้ง่ายๆ ต่อให้ท่านอาวุโสเอาเคล็ดวิชาและสมบัติที่เย้ายวนใจขนาดไหนออกมา ข้าก็ไม่มีทางตอบรับ นอกเสียจากว่าท่านอาวุโสจะยอมตกลงกับเรื่องเมื่อครู่”


“เช่นนั้นการเข้าร่วมตระกูลกู่ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ไม่ใช่แค่ตระกูลกู่ ขุมอำนาจอื่นๆ ผู้แซ่หานก็ไม่เข้าร่วม ดูแล้วครั้งนี้คงทำให้สหายทั้งสองมาเสียเที่ยวแล้ว” หานลี่ไม่ได้ใส่ใจการปฏิเสธของหญิงสาว กลับเอ่ยเสียงราบเรียบออกมา


หลังจากนั้นหญิงสาวทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ แววตาเปล่งประกายไม่ได้เอ่ยอันใดอีก


ชีซวี่ปิงที่อยู่ด้านข้างเองก็ขมวดคิ้วแน่น ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเรียนเชิญหานลี่อีกเช่นกัน


จากนั้นทั้งสามคนก็แค่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ของเคล็ดวิชาและการฝึกบำเพ็ญเพียรไปเสียเลย เดิมทีบรรยากาศที่ค่อนข้างอึดอัดก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง


หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม ทั้งสองคนก็หยัดกายลุกขึ้นกล่าวลา


แน่นอนว่าหานลี่ย่อมเอ่ยปากรั้งไว้ แต่ชายชราและหญิงสาวตัดสินใจจะจากไปแล้ว เขาจึงทำได้เพียงออกมาส่งที่นอกถ้ำพำนักด้วยตนเอง


จากนั้นไม่นานลำแสงหลีกหนีสองสายก็พุ่งไปหาทะเลหมอก หลังจากหม่นแสงลง เงาร่างของชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวและหญิงสาวก็ปรากฏขึ้นที่ขอบของทะเลหมอกอีกครั้ง


“ท่านอาวุโซชี ดูแล้วครั้งนี้พวกเราคงต้องกลับไปมือเปล่าเสียแล้ว ชนรุ่นหลังจะกลับไปยังตระกูลกู่ ท่านอาวุโสเองก็จะกลับไปที่เมืองเทวะสวรรค์สินะ?” หญิงสาวเอ่ยด้วยชายชราด้วยรอยยิ้มบางๆ


“สหายเสี่ยวเฟิงเอาตามสะดวกเถิด ตาเฒ่ายังไม่กลับเมืองเทวะสวรรค์ ได้ยินว่าในเขตเสวียนอู่มีผู้บำเพ็ญเพียรเพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์ได้ไม่นานเช่นกัน แม้ว่าจะได้ยินว่าคนผู้นี้ตอบรับคำเชิญของจักรพรรดิป้าแล้ว แต่ข้าก็ยังอยากจะไปดูสักครั้ง” ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วตอบเช่นนี้ออกมา


“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ชนรุ่นหลังก็ขอตัวก่อน” หญิงสาวพยักหน้า หลังจากคารวะชายชรา ผิวก็เปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเงินพุ่งไปยังขอบฟ้า


เพียงชั่วพริบตาขอบฟ้าก็เปล่งแสงสว่างวาบ สายรุ้งสีเงินสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย


หลังจากที่ชายชราสวมชุดคลุมสีเขียวจ้องเขม็งไปยังจุดที่หญิงสาวหายไปชั่วครู่ ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วยกมือขึ้นปล่อยสำเภาเหาะสีเขียวมรกตออกมาลำหนึ่ง พลิ้วกายขึ้นไปยืนอยู่ด้านบน


มือหนึ่งพลันร่ายอาคม สำเภาเหาะกลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งออกไปพันลี้


ในชั่วพริบตานั้นที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า รอบด้านเงียบสงัด


แต่หลังจากผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ขอบฟ้าก็มีลำแสงสว่างวาบ สายรุ้งสีเงินสายนั้นมาปรากฏตัวอีกครั้ง หลังจากหมุนวนไปรอบหนึ่งก็ร่อนลงตรงขอบของทะเลหมอกอีกครั้ง


เมื่อลำแสงหลีกหนีหม่นลง ก็ปรากฏเงาร่างของหญิงสาวขึ้น


หญิงสาวมีสีหน้าราบเรียบ ริมฝีปากบางเอ่ยพึมพำอันใดสักอย่างกับทะเลหมอก


ผลคือครู่ต่อมาทะเลหมอกตรงหน้าพลันหมุนวน แล้วเปิดเป็นทางสายหนึ่งอีกครั้ง


เซียนเสี่ยวเฟิงผู้นี้กลายเป็นลำแสงหลีกหนีอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในทะเลหมอก


จากนั้นทะเลหมอกก็ผสานเข้ากันอีกครั้ง


เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม ทางเดินกลางทะเลหมอกก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง สายรุ้งสีเงินบินออกมา หลังจากกะพริบวาบๆ ก็หายไปอย่างไร้เงา


ในเวลาเดียวกันหานลี่ที่นั่งอยู่ในห้องโถงของถ้ำพำนัก มือหนึ่งก็ถือแผ่นป้ายหยกสีเงินขาวเอาไว้ นิ้วลูบไปมาบนแผ่นป้ายหยกไม่หยุด ใบหน้าเต็มไปสีหน้าครุ่นคิด


แผ่นป้ายหยกเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับ บนแผ่นป้ายมีตัวอักษรสลักคำว่า ‘กู่’ ลายบนแผ่นป้ายเป็นรูปอสูรประหลาดสามหัวสีแดง


ร่างกายของอสูรประหลาดราวกับม้าพันธุ์ดีตัวหนึ่ง กายมีเกล็ดสีแดง หนึ่งในหัวทั้งสามก็เป็นหัวม้าเขาเดียว อีกสองหัวกลับแบ่งเป็นพยัคฆ์สีดำตัวหนึ่งและหัวสิงโตสีฟ้าตัวหนึ่ง


นั่นก็คือรูปร่างของ ‘หลี่โหว’ ในตำนานของจิตวิญญาณเที่ยงแท้


แม้ว่าอสูรในตำนานตัวนี้จะจัดอยู่แค่ระดับกลางในจิตวิญญาณเที่ยงแท้ แต่หัวทั้งสามกลับสามารถควบคุมพลังธาตุที่แตกต่างกัน และยิ่งไปกว่านั้นทุกชนิดยังมีอิทธิฤทธิ์ที่น่าเหลือเชื่อ


อิทธิฤทธิ์เหล่านี้ไม่เพียงจะไม่ธรรมดาในการต่อสู้กับศัตรู ในด้านการช่วยเหลือหรือด้านอื่นๆ ก็มีประสิทธิภาพที่น่าอัศจรรย์เช่นกัน


แผ่นป้ายหยกแผ่นนี้เป็นสิ่งที่เซียนเสี่ยวเฟิงมอบให้เขาหลังจากที่มาหาอีกครั้ง


ตระกูลกู่ได้รับถ่ายทอดโลหิตของจิตวิญญาณเที่ยงแท้หลี่โหวมา


หานลี่ก็ประหลาดใจกับที่หญิงสาวไปและกลับมาอีกครั้งเช่นกัน ในหัวย้อนนึกถึงคำพูดที่อีกฝ่ายพูดถึงหลังจากกลับมาเยือนอีกครั้ง


เมื่อหญิงสาวผู้นี้ได้พบเขา ไม่เพียงจะโยนแผ่นป้ายหยกในมือมาให้เขาทันที ยังเสนอเงื่อนไขที่ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้ออกมา


คาดไม่ถึงเลยว่านางจะเอ่ยว่าไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมตระกูลกู่อย่างเป็นทางการนานนับหมื่นปี ขอแค่สิบกว่าปีหลังจากที่เข้าร่วมพิธีจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่ตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้จะมารวมตัวกันและลงมือช่วยเหลือสักครั้งก็พอแล้ว


ขอแค่เขาช่วยแย่งชิงผลประโยชน์ของตระกูลกู่ได้เพียงพอ นางก็สามารถถ่ายทอดเคล็ดวิชาโลหิตส่วนหนึ่งของตระกูลกู่ให้กับเขาได้


แน่นอนว่าหญิงสาวเองก็พูดอย่างชัดเจนว่าเคล็ดวิชาลับส่วนนี้แม้ว่าจะไม่ใช่แกนหลักของเคล็ดวิชาตระกูลกู่ แต่ตระกูลอื่นๆ นอกจากตระกูลกู่ก็ไม่อาจเอาไปได้ง่ายๆ เช่นกัน ดังนั้นถึงได้ใช้พวกมันแลกเปลี่ยนกับการที่ให้หานลี่ลงมือในครั้งนี้


เมื่อได้ยินว่าไม่ต้องเข้าร่วมตระกูลกู่นาน แค่ช่วยครั้งหนึ่งหานลี่ก็รู้สึกสนใจขึ้นมา


แม้ว่าในมือของเขาจะควบคุมการหลอมโลหิตของตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบสองครั้งอยู่ แต่ถึงอย่างไรเสียเคล็ดวิชานี้ก็เป็นสิ่งที่เผ่าวิญญาณเหาะเหินสร้างขึ้น จึงไม่ค่อยมีประโยชน์กับเผ่ามนุษย์มากนัก


ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่บรรลุระดับผสานอินทรีย์ เขายังไม่รู้สึกอันใด แต่เมื่อทำให้พลังยุทธ์มั่นคงภายในหนึ่งปี ในที่สุดเขาก็บังเอิญพบว่าโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่เขาคิดว่าหลอมไปหมดแล้ว ยังคงมีเศษลึกลับหลงเหลืออยู่ และซ่อนอยู่ในส่วนลึกของร่างกาย


ครานี้เขาจึงตกตะลึงไปไม่น้อย และเริ่มศึกษาอย่างละเอียดทันที


ผลคือพบว่าจากสถานการณ์ตรงหน้าเขาอาศัยพลังปราณในร่างกดระงับเศษซากของโลหิตเที่ยงแท้เหล่านี้เอาไว้และไม่ได้กีดขวางอันใด แต่หากดูดซับโลหิตเที่ยงแท้อื่นๆ ต่อ เกรงว่าอาจจะเกิดปัญหาที่ไม่อาจคาดคิดได้


ไม่ใช่ว่าเศษซากโลหิตเที่ยงแท้จะแว้งกัดกายเนื้อของเขา แต่คือไม่อาจสำแดงวิชาตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบสองครั้งได้อีก


ดังนั้นช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาจึงทำให้พลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์มั่นคงไปพลาง ขบคิดวิธีการแก้ปัญหาไปพลาง


ด้วยเหตุนี้ยามที่หญิงสาวเอ่ยถึงเคล็ดวิชาหลอมโลหิตเที่ยงแท้ของตระกูลกู่ ถึงได้ทำให้เขาสนใจเป็นอย่างมาก


แม้ว่าเคล็ดวิชาหลอมของตระกูลเหล่านี้จะไม่อาจช่วยเขาหลอมเศษซากของโลหิตเที่ยงแท้ได้ แต่ต้องมีประโยชน์ในการอ้างอิงแน่


หากเขาไม่รู้คาถาตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบสองครั้ง แค่เคล็ดวิชาหลอมที่ตื้นเขินย่อมทำอันใดไม่ได้ แต่หากมีคาถาตื่นจากจำศีลคอยเปรียบเทียบ ขอแค่เขาหาจุดที่ไม่เหมือนกันระหว่างเคล็ดวิชาหลอมของเผ่ามนุษย์และคาถาตื่นจากจำศีล ก็สามารถแก้ปัญหาอันใหญ่หลวงนี้ได้แล้ว


ทว่าจะว่าไปแล้วก็เหมือนกับที่กล่าวเอาไว้ก่อนหน้า เขาไม่มีทางเอาตัวไปติดพันกับตระกูลกู่เป็นหมื่นปีเพราะเหตุนี้แน่


และยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เขาไม่ได้เคล็ดวิชาหลอมของตระกูลกู่มา ก็คงใช้วิธีการชั่วร้าย ไปเอาเคล็ดวิชาหลอมที่คล้ายคลึงกับตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้อื่นอยู่ดี


แน่นอนว่าหากทำเช่นนี้ จะต้องมีปัญหาแน่ และอาจจะสร้างความแค้นกับตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้บางตระกูล


ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินหญิงสาวอธิบายถึงพิธีจิตวิญญาณเที่ยงแท้ว่าแค่ต้องการให้ผู้บำเพ็ญเพียรของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้สำแดงทักษะในพิธีกับตระกูลอื่น แค่ชิงประโยชน์มาให้ตระกูลกู่เท่านั้น ก็พยักหน้าตอบรับ ให้เซียนเสี่ยวเฟิงจากไปอย่างยินดี


ส่วนแผ่นป้ายหยกในมือ ย่อมเป็นสิ่งยืนยันฐานะอาวุโสตระกูลกู่ชั่วคราวของเขา


หลังจากที่เขาขบคิดซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ ก็รู้สึกว่าไม่มีจุดใดที่ผิดปกติ จึงโยนเรื่องนี้ทิ้งไปก่อนชั่วคราว ยังคงกลับมาในห้องลับ แล้วเริ่มทำให้ระดับผสานอินทรีย์ของตนมั่นคงต่อไป


จากนั้นก็มีขุมอำนาจใหญ่ๆ อีกสองสามแห่งมาหา แม้กระทั่งทูตของจักรพรรดิเทียนหยวนก็เป็นหนึ่งในนั้น


หานลี่ที่ตัดสินใจแล้ว ย่อมปฏิเสธอย่างไม่เกรงใจ


เช่นนั้นเวลาสองสามปีจึงผ่านไปภายในพริบตา


สามปีต่อมาหานลี่จึงเดินออกมาจากห้องลับ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกจากถ้ำพำนัก


หลังจากผ่านการกักตัวเป็นระยะเวลาสั้นๆ เขาก็มั่นใจว่าควบคุมกายเนื้อและพลังปราณของตนได้แล้ว จึงออกมาจัดการเรื่องที่กวนใจของตนเอง


สถานที่ซึ่ง อยู่ใกล้กับเมืองเทวะสวรรค์ที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นสถานที่ที่ เขาต้องไปเป็นแห่งแรก


ระหว่างทางไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หลังจากผ่านไปสองเดือน ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นที่กำแพงเมืองของเมืองเทวะสวรรค์ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็บินตรงไปยังสถานที่หนึ่ง


ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างหอคอยขนาดใหญ่ที่อยู่ในส่วนลึกของหอคอยศิลาตั้งตระหง่านฟ้า เป็นสถานที่ที่ ค่อนข้างมีชื่อเสียงที่ให้ผู้บำเพ็ญเพียรจากภายนอกเข้ามาพักผ่อนชั่วคราวของเมืองเทวะสวรรค์


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับจิตวิญญาณสีทองระดับเทพแปลงที่พลังยุทธ์ต่ำหน่อยมีเงินในกระเป๋าน้อย ย่อมพักอยู่หอคอยเดียวกันสิบกว่าคน ส่วนผู้ที่พลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาที่มีพลังยุทธ์สูง ย่อมพักอยู่เพียงลำพัง


หนึ่งในหอคอยนั้นถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงสี่คนเหมาเอาไว้


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงสี่คนว่ากันว่ามีอิทธิฤทธิ์ไม่อ่อนแอ และยิ่งไปกว่านั้นยังพักอยู่ที่นี่มาเป็นร้อยปีแล้ว ประกอบกับเข้าไปในแดนรกร้างและกลับมาได้อย่างครบสามสิบสองหลายครั้ง แน่นอนว่าย่อมมีชื่อเสียงเล็กๆ อยู่ในเมืองเทวะสวรรค์


ทว่าสองสามปีมานี้ทั้งสี่คนกลับไม่ค่อยออกจากหอคอย เวลาส่วนใหญ่ล้วนกักตนอยู่ในที่พัก


ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณรอบๆ ก็ได้ยินชื่อเสียงและความสามารถของพวกเขาอยู่บ้าง สองสามปีก่อนทั้งสี่คนเข้าไปในส่วนลึกของแดนรกร้าง จนเสียเปรียบและสูญเสียปราณแท้ไปไม่น้อย ดังนั้นถึงได้เป็นเช่นนี้


แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญในเมืองเทวะสวรรค์ มากสุดก็ทำให้คนอื่นๆ สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวและอันตรายของแดนรกร้างอีกครั้ง และไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก


ทว่าวันนี้บุรุษสองคนและสตรีสองคนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่ภายในหอคอย ฉับพลันนั้นข้างหูก็มีเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้น


“สหายทั้งสี่ ผู้แซ่หานขอมาเยี่ยมเยียนได้หรือไม่”


เสียงนี้ไม่สนใจเขตอาคมต้องห้ามที่ทั้งสี่คนวางเอาไว้นอกหอคอย ทั้งสี่คนจึงได้ยินอย่างชัดเจน


เมื่อทั้งสี่คนได้ยินก็พลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็นึกถึงคนคนหนึ่ง หน้าเปลี่ยนสีแล้วทยอยกันลุกขึ้น บินลงมาที่ชั้นหนึ่งในทันที


ผู้นำที่แต่งกายเป็นนักปราชญ์ผู้นั้น ฟื้นฟูแขนที่ขาดไปกลับมาเป็นดังเดิมแล้ว หลังจากที่มาปรากฏตัวที่ชั้นหนึ่ง ก็เปล่งแสงสว่างวาบเปิดประตูหอคอยออกทันที


เห็นเพียงด้านนอกมีชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียวหน้าตาราบเรียบคนหนึ่งยืนอยู่ซึ่งนั่นก็คือหานลี่


“ชนรุ่นหลังคารวะท่านอาวุโส! ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสมาเยี่ยมเยียน หวังว่าท่านอาวุโสจะไม่ถือสา!” ใบหน้าของนักปราชญ์เต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจ จากนั้นก็คารวะอย่างนอบน้อม แล้วเชิญหานลี่ให้เข้าไปข้างใน


หานลี่เองก็ไม่เกรงใจ หลังจากพยักหน้าให้นักปราชญ์ก็เดินเข้าไป


ยามนี้ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีแดงผู้นั้นและหญิงสาวที่เหลือทั้งสองพลันปรากฏตัวที่ชั้นหนึ่งเช่นกัน หลังจากเห็นว่าเป็นหานลี่ ก็รีบร้อนคารวะอย่างนอบน้อมเช่นกัน


“ช่างเถิด ข้าและสหายนับว่าเป็นสหายเก่ากัน ไม่จำเป็นต้องมากพิธี!” หานลี่โบกมือขณะเอ่ย และนั่งลงตรงตำแหน่งหลักด้วยสีหน้าราบเรียบ


นักปราชญ์และพวกทั้งสี่กลับร้องเสียงหลงว่ามิกล้า และยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความนอบน้อม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)