อัจฉริยะสมองเพชร 1758-1759

 ตอนที่ 1758 นักปราชญ์โบราณเหยียนชิง

เห็นสาวน้อยหน้านิ่วคิ้วขมวด จางเซวียนเลิกคิ้วทันทีเมื่อนึกได้ เขารีบเข้าหาเธอและลนลานอธิบาย “ก่อนหน้านี้ ผมพบเธอที่หอสงบใจ จึงพาเธอกับเว่ยหรูเหยียนออกมาด้วยกัน…”


“ไปกันเถอะ!” หลัวลั่วชิงดูจะไม่แยแสคำอธิบายของจางเซวียน เธอออกเดินหน้าและนำทางเข้าไปในหอลำดับแรก


“เอ่อ…” จางเซวียนงงกับปฏิกิริยาของหลัวลั่วชิง แต่ก็รีบตามไป


อาณาบริเวณรอบนอกของหอลำดับแรกยิ่งใหญ่กว่าบรรดาหอบริวารมาก ในตอนนั้น จัตุรัสขนาดมหึมาที่อยู่หน้าหอลำดับแรกกำลังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน


นักรบส่วนใหญ่ที่ก่อนหน้านี้ติดแหง็กอยู่ในมิติแห่งใดแห่งหนึ่งด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างก็พากันเดินทางมาที่นี่ เกิดเป็นฝูงชนที่มีจำนวนหลายพันคน แม้พวกเขาจะไม่อาจเข้าสู่หอลำดับแรกได้ แต่การเดินทางครั้งนี้ก็ไม่สูญเปล่าหากได้เห็นอานุภาพอันน่าทึ่งของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง


“นายท่าน ผมได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้ว หอบริวารทั้งหมดจะถูกเปิดออกเพื่อให้ประตูของหอลำดับแรกเผยโฉม…” เสียงเครื่องรางน้อยดังขึ้นในสมองของจางเซวียน “ผมพาคุณเข้าไปข้างในได้นะ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะหอลำดับแรกยังไม่เปิด!”


“ผมเข้าใจ” เมื่อเห็นเครื่องรางที่แสนจะไม่เอาไหนเพิ่งได้ความทรงจำกลับคืนมาหลังจากที่ทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เขาเดินไปหาหลัวลั่วชิง และเมื่อเห็นสีหน้าของเธอยังคงเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ก็ตัวสั่นเล็กน้อยขณะพยายามอธิบายสถานการณ์ “เอ่อ…ที่จริงมันไม่ใช่แบบนั้นนะ…เราพบกันโดยบังเอิญ…”


หลัวลั่วชิงหันกลับมามองจางเซวียน แต่ขณะที่เธอกำลังจะพูด เสียงตื่นเต้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น


“ปรมาจารย์จาง ฉันนึกแล้วว่าคุณต้องอยู่ที่นี่!”


จากนั้น ร่างหนึ่งก็โผเข้าหาเขา


“เฟยเอ๋อ เธอก็อยู่ที่นี่หรือ?” หลัวฉีฉีตาโตขณะพุ่งเข้าใส่ร่างนั้น


สาวน้อยอีกคนไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเพื่อนสนิทของเธอ องค์หญิงแห่งจักรวรรดิฮ่วนหยู หยู่เฟยเอ๋อ!


เมื่อเห็นหลัวฉีฉี หยู่เฟยเอ๋อกอดเธอแน่นและพูดอย่างสำนึกในบุญคุณ “ฉันรู้แล้วว่าที่อาจารย์จี้รับฉันเป็นศิษย์ก็เพราะเธอ…”


เธอเป็นแค่องค์หญิงต๊อกต๋อยแห่งจักรวรรดิฮ่วนหยู การที่จะสะดุดตาผู้อาวุโสจี้โหรวเฉินแห่งสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่และถึงกับยอมรับเธอเป็นศิษย์สายตรงด้วยนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะเพื่อนที่แสนดีของเธอ, องค์หญิงน้อยแห่งตระกูลหลัวจะต้องเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้แน่


ไม่อย่างนั้น ต่อให้เธอฉลาดปราดเปรื่องแค่ไหนแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่สถานภาพของเธอจะสะดุดตาชนชั้นนำของทวีปแห่งปรมาจารย์ได้


“ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอก” หลัวฉีฉีตอบยิ้มๆ


ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างรื่นเริง ก่อนที่หยู่เฟยเอ๋อจะหันไปยิ้มให้จางเซวียน น้ำเสียงของเธอหนักแน่นและเด็ดเดี่ยวเหมือนอย่างเคย แต่มีร่องรอยของความถือดีเล็กน้อยในน้ำเสียงนั้น “ปรมาจารย์จาง ครั้งล่าสุดที่เราพบกันก็นานมากแล้วนะ!”


เธอมีใจให้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับหลัวฉีฉีแล้ว และนั่นทำให้แน่ใจว่าเธอกับเขาไม่มีทางลงเอยกันได้ หยู่เฟยเอ๋อผิดหวังและไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้ แต่เธอก็เย่อหยิ่งและไม่ใช่คนชนิดที่จะยอมวิ่งตามใคร ดังนั้นจึงเลือกที่จะทักทายและมอบรอยยิ้มสดใสให้ชายหนุ่มเหมือนอย่างที่เคยทำ


“ใช่ ก็สักพักหนึ่งแล้ว…” จางเซวียนเกาหัวพร้อมกับหันไปมองหลัวลั่วชิงอย่างลำบากใจ “ดูสิ…ช่างบังเอิญเหลือเกิน…”


หลัวลั่วชิงชำเลืองมองชายหนุ่มตรงหน้าซึ่งกำลังปั่นป่วนกับความพยายามจะอธิบายทั้งที่ไม่รู้ว่าจะสรรหาถ้อยคำที่เหมาะสมอย่างไร เธอเหยียดริมฝีปากยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็เดินหน้าต่อโดยไม่พูดอะไรอีก


ตอนนี้จัตุรัสที่อยู่ด้านหน้าหอลำดับแรกแบ่งออกเป็น 4 โซนอย่างชัดเจน สภาปรมาจารย์กับกลุ่มอำนาจหลักของทวีปแห่งปรมาจารย์ยึดครองโซนหนึ่ง, 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ยึดครองโซนหนึ่ง, เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นยึดครองอีกโซนหนึ่ง และโซนสุดท้ายเป็นของเผ่าพันธุ์อสูร


สมาชิกของแต่ละกลุ่มยืนอยู่ใกล้กัน และต่างก็จ้องมองอีกโซนหนึ่งอย่างหวาดระแวง


จางเซวียนหลับตาและสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างถี่ถ้วน มันออกจะเลือนราง แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงรังสีทรงพลังที่ซ่อนอยู่


เป็นไปได้ว่าเหตุผลที่ยังมีความสงบสุขระหว่างทั้ง 4 กลุ่มอำนาจก็เพราะมีนักปราชญ์โบราณคอยควบคุม


“ศิษย์พี่!”


จางเซวียนกำลังครุ่นคิดว่าเขาจะสามารถสร้างบาดแผลให้นักปราชญ์โบราณสัก 1 หรือ 2 บาดแผลเพื่อให้ได้หยดเลือดมาด้วยวิธีไหน ก็พอดีกับได้ยินเสียงร้องเรียกไม่ห่างออกไปนัก เมื่อหันไปมอง ก็เห็นปรมาจารย์หยางบินตรงเข้ามาพร้อมกับยิ้มร่า


“คุณ…ฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณได้แล้วหรือ?” จางเซวียนอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตาโตด้วยความตื่นเต้น


รังสีที่ผู้อาวุโสตรงหน้าเขาแผ่ออกมายังคงเลือนรางเหมือนเดิม ทำให้กะประมาณความล้ำลึกของมันได้ยาก เมื่อมองแวบแรก ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้เหนือชั้นกว่าเขาเท่าไหร่ แต่เมื่อตั้งใจพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็ได้รู้ว่าตัวเองกำลังจ้องมองลงไปในมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต ไม่ว่าจะใช้ความพยายามสักแค่ไหน ก็ดูเหมือนพละกำลังของอีกฝ่ายจะไม่มีจุดสิ้นสุด


ชัดเจนว่าศิษย์น้องของเขาได้พบกับความโชคดีบางอย่าง และเป็นนักรบคนแรกที่ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ


“ผมน่ะโชคดี!” ปรมาจารย์หยางตอบพร้อมกับยิ้มให้


“เรื่องวรยุทธน่ะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโชคหรอก” จางเซวียนตอบ


ปรมาจารย์หยางสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกมานานแล้ว และเหตุผลที่เขาเดินทางตระเวนไปทั่วโลกก็เพื่อเสาะแสวงหานิรันดร์กาลแห่งนักปราชญ์โบราณ ภูมิปัญญาสุดท้ายที่จะทำให้เขาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ ด้วยการสั่งสมที่ผ่านๆมา ในที่สุดเขาจึงสามารถคว้าโอกาสได้เมื่อมันมาถึงหน้าประตู


“ทุกคน…”


เสียงชัดเจนหนักแน่นดังก้องขึ้นกลางอากาศ


ฝูงชนหันขวับ และเห็นผู้อาวุโสคนหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศบริเวณหน้าหอลำดับแรก


“นั่นคือนักปราชญ์โบราณจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์!”


ผู้อาวุโสคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกันกับกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ จึงไม่ต้องสงสัยว่าเขามาจากกลุ่มไหน


“ในเมื่อหอลำดับแรกปรากฏแล้ว ผมก็มองไม่เห็นเหตุผลอื่นใดที่พวกเราจะต้องซ่อนตัวอยู่ในเงามืดอีก ออกมาเถอะ!” ผู้อาวุโสพูดเบาๆ แต่เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทั้งพื้นที่


“จริงด้วย พวกเราไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวแล้ว”


“เห็นได้ชัดว่าพวกเรามีเป้าหมายเดียวกัน ในเมื่อในที่สุดหอลำดับแรกก็ปรากฏ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่พวกเราจะต้องซ่อนตัวอยู่ในเงามืดอีก”


“ถ้าอย่างนั้นก็ออกมาเถอะ!”


ฟึ่บ!


ขณะที่เสียงเหล่านั้นดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างนักรบจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือจัตุรัส แต่ละโซนมีนักปราชญ์โบราณปรากฏตัวราว 6-7 คน


“ที่นี่มีนักปราชญ์โบราณมากมายขนาดนี้เลย?” จางเซวียนเลิกคิ้วด้วยความอัศจรรย์ใจ


เขาเคยคาดเดาไว้ว่าน่าจะมีนักปราชญ์โบราณราว 5-10 คนในวิหารแห่งขงจื๊อ แต่ในชั่วพริบตา ทั่วทั้งบริเวณนี้ก็มีนักปราชญ์โบราณอยู่ราว 20 คน


นักปราชญ์โบราณคนที่เขาเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้ยืนอยู่ในกลุ่มของนักปราชญ์โบราณจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์


ขณะที่นักรบคนอื่นๆมาที่นี่เพื่อมุ่งมั่นแสวงหาความโชคดี แต่เป้าหมายของนักปราชญ์โบราณนั้นชัดเจน คือมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ก่อนหน้านี้ ตอนที่หอบริวารเริ่มเปิดออก พวกเขาเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในเงามืดเพื่อปกป้องเหล่าทายาทจากคนอื่นๆ พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงการปะทะที่ไม่จำเป็นกับกลุ่มอื่นๆ


แต่การเปิดออกของหอลำดับแรกก็เป็นสัญญาณที่บอกให้พวกเขารู้ว่าใกล้ถึงเส้นชัย เมื่อถึงจุดนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีกต่อไป ถึงเวลาที่จะต้องหงายไพ่เสียที


“เพราะผ่านหอบริวารมาแล้วถึง 6 หอ ผมเชื่อว่าพวกเราคงได้ความรู้คร่าวๆแล้วว่าวิหารแห่งขงจื๊อทำงานอย่างไร หอลำดับแรกปรากฏแล้วก็จริง แต่ทางเข้ายังคงปิดสนิท ยังมีกระบวนการที่สำคัญอีกอย่างที่เราต้องทำให้ได้เพื่อเปิดประตูหอลำดับแรก” ผู้อาวุโสกล่าว


เผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณตัวหนึ่งคำราม “นักปราชญ์โบราณเหยียนชิง คุณคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเราที่นี่ เลิกพูดจาอ้อมค้อมและตรงเข้าประเด็นเสียที คุณคาดหวังให้พวกเราทำอะไร?”


“นักปราชญ์โบราณเหยียนชิง? ทายาทของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนใช่ไหม?”


จางเซวียนขมวดคิ้ว


นักปราชญ์โบราณจื่อหยวนคือหัวหน้ากลุ่ม 72 นักปราชญ์ เป็นศิษย์พี่คนแรกในบรรดาศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ขง เหยียนเฉว่คงเป็นทายาทของเขา และมีความเป็นไปได้ว่านักปราชญ์โบราณเหยียนชิงจะเป็นบรรพบุรุษของเหยียนเฉว่


“ศิษย์น้อง คุณรู้จักนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงหรือเปล่า?” จางเซวียนส่งโทรจิตถามปรมาจารย์หยาง


“ผมไม่รู้จัก…ถึงสภาปรมาจารย์จะมีต้นกำเนิดเดียวกันกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ แต่พวกเราก็ติดต่อกันน้อยมาก” ปรมาจารย์หยางซึ่งเพิ่งเข้ามารวมกลุ่มกับนักปราชญ์โบราณของสภาปรมาจารย์ส่งโทรจิตตอบ


“คุณไม่รู้จักเขา…แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนั้นเรียกชื่อเขาอย่างมั่นใจ…” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เท่าที่เขารู้ เหล่านักปราชญ์โบราณของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ไม่ได้ปรากฏตัวมาหลายหมื่นปีแล้ว ถึงขนาดที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ยังไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ปัจจุบันภายใน 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เป็นอย่างไร แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งกลับเรียกชื่ออีกฝ่ายได้อย่างถูกต้อง ทั้งยังถึงกับยกย่องว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาด้วย


จางเซวียนอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงพฤติกรรมลับๆล่อๆระหว่าง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


“ผมก็แค่อยากทำทุกอย่างให้ชัดเจน ในเมื่อพวกเราอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว ผมก็คาดหวังว่าจะได้มีส่วนร่วม เพราะถึงอย่างไร เผ่าพันธุ์อสูรของเราก็ไม่ได้อะไรจากหอบริวาร ถ้าพวกคุณคิดจะทิ้งพวกเราไว้เบื้องหลังล่ะก็ คงพูดได้เพียงว่าคุณควรเตรียมตัวรับมือกับความเคืองแค้นของพวกเราไว้ด้วย!” อสูรตัวมหึมาจากเผ่าพันธุ์อสูรคำราม


อสูรตัวนี้สำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณแล้วเช่นกัน มิติที่อยู่รอบตัวมันดูจะแข็งแกร่งมั่นคงมาก


“นายใหญ่สีขาว ได้โปรดใจเย็นก่อน เหตุผลที่ผมให้ทุกคนมาหารือกันก็เพื่อแบ่งสรรปันส่วนโควต้าในการเข้าสู่หอลำดับแรก ส่วนความโชคดีชนิดไหนที่ผู้ได้เข้าไปข้างในจะได้พบเจอนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถและโชคชะตาของพวกเขาแล้วล่ะ!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบยิ้มๆ


ตอนที่ 1759 นายใหญ่สีขาว

“เอาล่ะ ผมจะฟังสิ่งที่คุณพูด แต่เคลียร์กันให้ชัดเจนก่อนนะ พวกเราเหล่าอสูรต้องการโควต้าอย่างน้อย 2 ที่ ถ้าคุณทำตามความต้องการของพวกเราไม่ได้ล่ะก็ วางใจได้เลยว่าเราจะทำลายทุกอย่างที่นี่ให้ราบคาบ!” อสูรที่เป็นที่รู้จักในชื่อนายใหญ่สีขาวคำราม


ร่างของอสูรตัวนั้นคือสุนัขจิ้งจอกสีขาวที่มีความยาวราว 10 เมตร แม้ยังไม่ได้สำแดงพละกำลังออกมา ร่างกายของมันก็น่ายำเกรงพอที่จะทำให้ใครๆพากันตัวสั่น


หากมันโกรธเกรี้ยวขึ้นมาล่ะก็ ผู้คนกว่าครึ่งที่อยู่ในจัตุรัสนี้จะต้องบาดเจ็บล้มตายอย่างแน่นอน


“กล้าขอโควต้า 2 ที่ตั้งแต่แรก คุณไม่รู้สึกว่าตัวเองโลภมากไปหน่อยหรือ?” ชายวัยกลางคนที่ลอยตัวอยู่เหนือสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เยาะหยัน


“แล้วอย่างไรล่ะ?” นายใหญ่สีขาวหันขวับไปมองชายวัยกลางคนผู้นั้น รังสีโหดเหี้ยมระเบิดออกจากตัวมัน ทำให้จิตวิญญาณของผู้พบเห็นสั่นสะท้าน


เพียงเท่านั้นก็มองออกแล้วว่ามันมีทักษะเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเรื่องการโจมตีจิตวิญญาณ


“ก็ลองดูสิ! มาดูกันว่าดาบของผมจะเห็นด้วยหรือเปล่า! ถ้าผมจำไม่ผิด บรรพบุรุษคนหนึ่งของตระกูลจางของเรา, จางหยู่ เอาชนะนักปราชญ์โบราณ 9 ตัวของพวกคุณได้โดยลำพังจากการใช้ดาบของเขาตั้งแต่เมื่อสองหมื่นปีก่อน” ชายวัยกลางคนคำราม “มาดูกันว่าวันนี้ผมจะทำอย่างที่เขาเคยทำได้หรือไม่!”


“ตระกูลจาง? แปลว่าเขาคือนักปราชญ์โบราณของตระกูลจางของเราหรือ” จางเซวียนเลิกคิ้ว


แม้ก่อนหน้านี้ นักปราชญ์โบราณของตระกูลจางจะได้ช่วยเหลือเขาเมื่อตอนที่อยู่ด้านนอกหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายใกล้ๆ เขารู้ว่านักปราชญ์โบราณของตระกูลจางเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ใครจะไปคิดว่าจะถึงขนาดกล้าต่อกรกับนักปราชญ์โบราณที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์อสูร!


เมื่อพิศดูชายวัยกลางคนอย่างถี่ถ้วน จางเซวียนก็เห็นว่าอีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมสีเขียว คิ้วของเขาโก่งขึ้นราวกับคมเคียว นอกจากดาบเล่มหนึ่งที่แขวนไว้ที่เอว ก็ไม่มีเครื่องประดับกายใดๆอีก ถึงรูปลักษณ์ของเขาจะดูธรรมดาสามัญ แต่ก็ครอบครองพละกำลังสูงส่งชนิดที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง


“เขาคือนักปราชญ์โบราณคนสุดท้ายของตระกูลจาง, จางหงเทียน! ชายผู้ปราดเปรื่องมาก สามารถฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังเป็นผู้รักอิสระและความชอบธรรม เขารังเกียจเดียดฉันท์ภูตผีปีศาจถึงขนาดที่จะลุกขึ้นเผชิญหน้ากับความอยุติธรรมต่างๆโดยไม่ลังเล เขายังอายุน้อยอยู่ตอนที่นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณเริ่มเลือนหายไปจากโลก อันที่จริง จางหงเทียนควรจะได้ใช้ชีวิตในวัยหนุ่มอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องกังวลมากนัก แต่เขาก็เลือกจะเข้าสู่ภาวะจำศีล เพื่อจะได้ปกป้องมนุษย์ได้นานเท่าทานตราบที่เขาจะทำได้…” ปรมาจารย์หยางส่งโทรจิตหาจางเซวียนเพื่ออธิบายภูมิหลังของนักปราชญ์โบราณของตระกูลจาง


มีเรื่องเล่าขานกันว่าจางหงเทียนผู้นี้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จตั้งแต่อายุ 500 ปีต้นๆเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นช่วงอายุที่นักรบส่วนใหญ่ในหมู่ชนชั้นนำเพิ่งจะเริ่มลงหลักปักฐานและสร้างครอบครัวของตัวเอง รื่นรมย์กับการใช้ชีวิต แต่เขาเลือกที่จะอำลาบุคคลที่เขารักโดยไม่ลังเลและเข้าสู่สภาวะจำศีล


การตัดสินใจแบบนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือบุคคลที่ควรค่าแก่การยกย่อง


“คุณ…” นึกไม่ถึงว่าจางหงเทียนจะเยาะหยันมันขนาดนั้น นายใหญ่สีขาวหันศีรษะสุนัขจิ้งจอกกลับมาและคำราม “ผมยอมรับว่าศิลปะเพลงดาบของคุณนั้นน่าทึ่ง แต่หากคุณคิดจะฆ่าผมล่ะก็ ไม่ง่ายหรอก และถ้าคุณฆ่าผมไม่สำเร็จ แน่ใจได้เลยว่าผมจะต้องตามล่าสมาชิกทุกคนในตระกูลจางของคุณ อยากเห็นนักว่าคุณจะปกป้องเหล่าทายาทของคุณไว้ได้สักกี่คนกัน!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า! ด้วยความยินดี! ถ้าผมจำไม่ผิด มีอยู่ 2-3 พื้นที่ที่มีสุนัขจิ้งจอกสีขาวพำนักอยู่ และคุณก็มีทายาทอยู่จำนวนหนึ่งด้วย กล้าแตะต้องทายาทตระกูลจางของผมเพียงคนเดียว, ผมจะสังหารทายาทสุนัขจิ้งจอกของคุณ 10 ตัว แตะต้องทายาทตระกูลจางของผม 10 คน, ผมจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกคุณ!” จางหงเทียนคำรามพร้อมกับยืดตัวตรง


“คุณมันบ้าไปแล้ว! กล้าดีอย่างไร…” นายใหญ่สีขาวคำรามลั่นพร้อมกับกัดฟันกรอด


“ก็ลองดูสิ! ผม, จางหงเทียน ไม่เคยหวาดกลัวอะไรทั้งนั้นนับตั้งแต่เริ่มต้นฝึกฝนวรยุทธ คุณก็ลองขอโควต้า 2 ที่นั้นดู!” จางหงเทียนคำรามลั่นขณะหันกลับไปมองนักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ


“ฮึ่มมม!” นักปราชญ์โบราณที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้คำรามเสียงต่ำด้วยความไม่พอใจ


“นั่นน่าจะเป็นตาเฒ่าหยู…” จางเซวียนจดจำอีกฝ่ายได้อย่างเลือนรางจากเสียงคำรามนั้น


เขารู้สึกว่าเสียงของตาเฒ่าหยูฟังดูคุ้นหูตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายเจรจากับนักปราชญ์โบราณเหยียนชิง แต่เมื่อได้ยินคำพูดของจางหงเทียน ก็จับต้นชนปลายได้สำเร็จ นั่นคือเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณซึ่งเขาได้เผชิญหน้าด้วยที่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่!


“ก็จริงที่ว่าไม่มีอะไรที่คุณไม่กล้าทำ ผมยังจำได้ว่าทายาทกลุ่มใหญ่ของนายใหญ่สีขาวถูกทายาทตระกูลจางของคุณทำให้ยอมจำนนที่โดมแอปริคอตตั้งแต่เมื่อครู่ก่อนใช่ไหม?” ตาเฒ่าหยูคำรามเสียงเย็น


“ทำให้ยอมจำนน? คุณว่าอะไรนะ?” นายใหญ่สีขาวถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะคำรามก้องอย่างดุเดือด


เห็นได้ชัดว่ามันไม่รู้เรื่องนี้


“ถ้าคุณไม่เชื่อผม ก็ไปดูเอง เหล่าทายาทที่คุณส่งพวกเขาเข้าสู่โดมแอปริคอตน่ะยังอยู่กับคุณหรือเปล่า คุณยังติดต่อกับพวกเขาได้ไหม?” ตาเฒ่าหยูตอบเสียงเรียบขณะชำเลืองมองจางเซวียนด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์


ครั้งล่าสุดที่หมอนี่ล่อลวงเขา เขาต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ในเมื่อมีโอกาสเอาคืน ก็แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปล่อยให้พลาด


นายใหญ่สีขาวจ้องหน้าตาเฒ่าหยูก่อนจะหันกลับไปสั่งการอสูรที่เป็นนักปราชญ์โบราณตัวหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลัง ครู่ต่อมา อสูรตัวนั้นก็เข้ามากระซิบบางอย่างใส่หู ใบหน้าของนายใหญ่สีขาวขึ้งเครียดขึ้นมาทันทีขณะที่หันขวับมามองทางทิศที่จางเซวียนยืนอยู่


นัยน์ตาของมันลุกโพลงราวกับภูเขาไฟที่พร้อมแผดเผาทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้มอดไหม้


“มันเรื่องอะไรเราถึงต้องเข้าไปเกี่ยวข้องล่ะนี่?” จางเซวียนถึงกับพูดไม่ออก


เขาเป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติต๊อกต๋อยคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่นักปราชญ์โบราณ แล้วพวกนั้นดึงเขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งครั้งนี้ทำไม?


เมื่อรู้สึกได้ถึงเจตนาเหี้ยมโหดในดวงตาของนายใหญ่สีขาว จางหงเทียนพลันนึกได้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนอกหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับมาถาม “คุณทำให้เหล่าทายาทของมันยอมจำนนได้สำเร็จใช่ไหม?”


เหล่าอสูรที่จางเซวียนทำให้ยอมจำนนได้สำเร็จที่ด้านนอกหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นั้นไม่ได้แข็งแกร่งนัก และไม่ใช่ทายาทของนายใหญ่สีขาวด้วย แต่สำหรับเหล่าอสูรที่เข้าสู่โดมแอปริคอตนั้นแตกต่างออกไป


ผู้ที่ได้สำรวจวิหารแห่งขงจื๊อมาก่อนจะเข้าใจดีถึงความสำคัญของโดมแอปริคอต ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าไปในนั้นล้วนแต่เป็นอัจฉริยะชั้นยอดผู้มีความปราดเปรื่องเป็นเลิศจากแต่ละกลุ่มอำนาจ หรือว่าเหล่าทายาทของเขาจะถูกทำให้ยอมจำนนได้ทั้งที่มีความปราดเปรื่องระดับนั้น?


“พวกนั้นเป็นทายาทของมันหรือ? ผมไม่รู้เลย…ก่อนหน้านี้ ตอนที่ผมเข้าสู่โดมแอปริคอต มีอสูรกลุ่มหนึ่งถูกดงต้นแอปริคอตซ้อม พวกมันร่อแร่เต็มที ผมจึงรีบเข้าไปช่วย ด้วยความสำนึกในบุญคุณ ลงท้ายพวกมันจึงยอมจำนนให้ผม…แต่ผมนึกไม่ออกเลยว่ามีสุนัขจิ้งจอกสีขาวอยู่ในอสูรกลุ่มนั้นด้วย” จางเซวียนพูด


ความจริงที่อยู่เบื้องหลังการยอมจำนนของอสูรกลุ่มนั้นก็คือกรรมวิธีการฝึกอสูรด้วยการอัดให้น่วมของจางเซวียน แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะพูดเรื่องแบบนี้


“พวกมันยอมจำนนให้คุณเพราะความสำนึกในบุญคุณหรือ?” จางหงเทียนอดใจไม่ไหวอีกต่อไป เขาหัวเราะลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่า! ทำได้ดีมาก!”


ในฐานะนักปราชญ์โบราณ เขารู้ทันทีว่าจางเซวียนไม่ได้พูดความจริง แต่เหตุผลที่หัวเราะลั่นก็เพราะนึกได้ว่าเมื่อครู่ก่อนนายใหญ่สีขาวหยิ่งผยองขนาดไหน แต่แล้วก็ต้องมาพบว่าทายาทของมันถูกใครคนหนึ่งทำให้ยอมจำนน


ช่างเป็นช่วงเวลาของการตบหน้าเอาคืนที่ไม่อาจใช้ถ้อยคำไหนมาบรรยายความสะใจของเขาได้!


จางหงเทียนพูดไปหัวเราะไป “นายใหญ่สีขาว ในเมื่อเหล่าทายาทของคุณยอมจำนนให้กับทายาทของผมแล้ว ทำไมไม่ให้ผมให้โอกาสคุณที่จะยอมจำนนบ้างล่ะ? ขอแค่คุณยอมเป็นอสูรของผม ผมจะยิ่งกว่าเต็มใจที่จะมอบโควต้าให้คุณ 2 ที่!”


“คุณรนหาที่ตายแล้ว!” ได้ยินคำพูดเย้ยหยันเหล่านั้น นายใหญ่สีขาวอดรนทนไม่ไหว มันคำรามกร้าวและกระโจนเข้าใส่ พร้อมจะฉีกจางหงเทียนให้แหลกเป็นชิ้นๆ


กรงเล็บสีดำสนิทฉีกกระชากมิติ ก่อให้เกิดรอยแยกของมิติหลายรอย


ชัดเจนว่านายใหญ่สีขาวมีพละกำลังมากแม้แต่ในหมู่นักปราชญ์โบราณด้วยกัน


“ผมอาจรนหาที่ตาย แต่ในนรกน่ะ ไม่มีทางที่ผมจะยอมตายด้วยน้ำมือของคุณหรอก…”จางหงเทียนไม่แยแสความโกรธเกรี้ยวของนายใหญ่สีขาว เขาหัวเราะหึๆ จากนั้นก็ชักดาบออกมาและพุ่งเข้าใส่


ฟิ้ววววว!


ดาบปะทะกับกรงเล็บของนายใหญ่สีขาว เกิดเสียงหวีดหวิว


บึ้มมมม!


มิติขนาดใหญ่ที่อยู่โดยรอบถูกฉีกกระชากเพราะแรงปะทะนั้น นายใหญ่สีขาวถูกบีบให้ถอยไปก้าวหนึ่ง แต่มันก็ตั้งหลักได้ทันและพุ่งเข้าใส่เพื่อโจมตีซ้ำ


ในตอนนั้นเอง นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงก็ก้าวเข้าขวางทั้งคู่ ด้วยการโบกมือ เขาสร้างปราการที่เหมือนกับผืนผ้าซึ่งกันไม่ให้ทั้งคู่พุ่งเข้าหากันได้


“พอที เรื่องด่วนตอนนี้คือการเข้าสู่หอลำดับแรก ไม่ใช่การสู้กัน ถ้าคุณทั้งสองอยากจะฟาดฟันกันมากนักล่ะก็ เมื่อเรื่องนี้จบลงแล้ว ผมจะไม่ยับยั้งพวกคุณเลย แต่ตอนนี้คงต้องขอให้พวกคุณถอยกันคนละก้าว” นักปราชญ์เหยียนชิงพูดอย่างสุขุม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)