คัมภีร์วิถีเซียน 1756-1757
ตอนที่ 1756 บรรลุระดับผสานอินทรีย์ (ต...
วานรยักษ์สีทองโบกสะบัดมืออันใหญ่ยักษ์ราวกับพัดทั้งสองรัดคอมังกรวารีสีม่วงเอาไว้ ออกแรงที่แขนทั้งสองข้างคาดไม่ถึงว่าจะบิดหัวของมังกรวารีขนาดยักษ์ตรงๆ ท่ามกลางเสียงร้องคำราม
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ร่างของมังกรวารีสีม่วงกลายเป็นประจุไฟฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วสลายหายไป
วานรยักษ์กลับเงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง อ้าปากออกพ่นลำแสงสีทองออกมา
ชั่วขณะนั้นประจุไฟฟ้าพลันแตกสลายออก ลำแสงสีทองที่แตกสลายออกก็ทยอยกันถูกดูดเข้าไปในปากของวานรสีทอง
ชั่วพริบตาสายฟ้าทั้งหมดก็สลายหายไปจากกลางอากาศ
ไม่ใช่แค่นี้!
เงาลวงตาของวานรยักษ์ไม่มีเจตนาจะหยุดยั้งเลยสักนิด ผิวของมันมีลำแสงหมุนวนโคจรไปมา ลำแสงสีทองที่พ่นออกมาทั้งหมดกลายเป็นเสาลำแสงต้นหนึ่งจมหายเข้าไปในเมฆห้าสี
กลางเมฆวิญญาณมีเสียงอึกทึกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดไม่ถึงว่าเสาลำแสงสีทองจะหมุนวนอยู่ตรงใจกลางเมฆห้าสี
อักขระหลากสีสันทยอยกันบินออกมาจากเมฆวิญญาณด้วยพลังแรงดูดมหาศาล แล้วถูกลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบม้วนเข้าไปข้างใน สุดท้ายก็ถูกเงาลวงตาวานรยักษ์ดูดเข้าไปในท้องจนหมด
ครู่ต่อมาอักขระยันต์หลากสีสันก็ทอตัวทั่วเสาลำแสงสีทอง แล้วทะลักลงไปด้านล่างราวกับคลื่นน้ำ
ปากใหญ่ยักษ์ของวานรยักษ์สีทองดูราวกับหลุมที่ไร้ก้น หลังจากดูดอักขระยันต์จำนวนมากเข้าไปก็ยังมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่อยู่ตรงขอบของทะเลหมอก ล้วนเห็นทุกอย่างในครรลองสายตาจึงทยอยกันตกตะลึงจนตาค้าง
ในหัวของชายชราผมขาวมีคำว่า ‘วานรยักษ์ภูเขา’ ‘เลือดเนื้อเชื้อไขจิตวิญญาณเที่ยงแท้’ ปรากฏขึ้นไม่หยุดใบหน้าตกตะลึงเสียยิ่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ
ในฐานะที่เป็นอาวุโสสาขาย่อยของตระกูลกู่ซึ่งเป็นตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ แน่นอนว่าย่อมมีความรู้มากกว่าคนธรรมดา มองปราดเดียวก็รู้จักเงาดวงตาสีทองที่ใหญ่ยักษ์ราวกับภูเขาในทะเลหมอก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเทวรูปวานรยักษ์ภูเขา ในใจจะตกตะลึงแค่ไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว
“มิน่าล่ะคนผู้นี้จึงไม่ยอมเข้าร่วมตระกูลกู่ของพวกเรา ที่แท้ก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขของจิตวิญญาณเที่ยงแท้อยู่! ทว่าเทวรูปตนนี้มันน่าตกตะลึงเกินไปหน่อยกระมัง ระยะห่างขนาดนี้ยังแผ่กลิ่นอายที่ทำให้ตนและพวกยอมจำนนออกมาได้ และยิ่งไปกว่านั้นปรากฏการณ์ท้องฟ้าครั้งนี้ยังน่ากลัวกว่าครั้งที่แล้ว พลังปราณฟ้าดินจำนวนมากมารวมตัวอยู่ด้วยกัน หรือว่าอีกฝ่ายจะทะลวงจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์?” ชายชราผมขาวมีพลังยุทธ์ไม่สูงนัก แต่ในสมองกลับไม่ธรรมดา ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็คาดเดาความจริงได้เจ็ดแปดส่วน จึงตกตะลึงอยู่เงียบๆ
ยามนี้เหนือทะเลหมอกไม่เพียงจะมีอักขระยันต์บินไปหาลำแสงสีทอง แม้แต่เมฆวิญญาณห้าสีเองก็ยังหมุนคว้าง ถูกม้วนเข้าไปข้างใน
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เมฆวิญญาณกลางอากาศก็หดเล็กลงค่อยๆ ยืดยาวขึ้น กลายเป็นรูปทรงประหลาดราวกับกรวยยักษ์
พลังปราณแท้จำนวนมากกลายเป็นเมฆวิญญาณ บรรจุเข้าไปในเงาลวงตาวานรยักษ์
เดิมเงาลวงตาวานรยักษ์ยังรางเลือน เมื่ออักขระวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบก็ปรากฏชัดเจนขึ้น
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร เมฆวิญญาณห้าสีก็ถูกดูดไปจนเกลี้ยง
เงาลวงตาวานรยักษ์เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ กลับยังคงไม่หายอยาก หุบปากอันใหญ่ยักษ์ สองมือทุบไปที่ทรวงอกอย่างแรงอีกครั้ง ผิวเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า
เสียง “ปัง” ดังขึ้น!
พายุหมุนสีขาวกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากจุดที่เงาลวงตาวานรยักษ์ยืนอยู่ มันขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็มีขนาดหนามาก ห่อหุ้มเงาลวงตาตัวเท่าภูเขาขนาดย่อมเอาไว้
ในเวลาเดียวกันระลอกคลื่นไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งก็แผ่ออกมาจากพายุหมุนไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านอย่างรวดเร็ว แฉลบผ่านขอบของทะเลหมอก อาณาเขตเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนตกใจจนอ้าปากค้าง
เห็นเพียงพลังปราณฟ้าดินในรัศมีหมื่นลี้ล้วนเกิดความโกลาหลขึ้น ทยอยกันกลายเป็นดวงลำแสงขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลือง แล้วทะลักไปหาทะเลหมอก
ดวงลำแสงทั้งหมดปรากฏขึ้นใกล้ๆ กับพายุหมุนราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ แล้วเปล่งแสงสว่างวาบจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนกลางพายุหมุนก็มีเสียงร้องคำรามต่ำๆ ของวานรยักษ์ดังมาก ราวกับกำลังร้อนใจ และกำลังเจ็บปวด
จากนั้นดวงลำแสงห้าสีก็มากขึ้นเรื่อยๆ เสียงคำรามของวานรยักษ์กลับยิ่งแผ่วเบาลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ อีก
แต่ไม่ว่าดวงลำแสงที่ทะลักมาจากรอบด้านจะมีเท่าไหร่ ก็ถูกพายุหมุนกลืนเข้าไปจนหมด ราวกับไม่มีวันเติมเต็มได้
ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่อยู่รอบด้านทะเลหมอกเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็อดที่จะกลืนน้ำลายลงคอไม่หยุดไม่ได้
หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดา ถูกพลังปรารฟ้าดินบรรจุเข้าไปในร่างจำนวนมากขนาดนี้ เกรงว่าร่างกายคงระเบิดออกตายไปตั้งนานแล้ว
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้อเต็มๆ กลางพายุหมุนสีขาวก็มีเสียงร้องแหลมสูงของวานรดังขึ้น จากนั้นก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
คาดไม่ถึงว่าพายุหมุนจะระเบิดออก ระลอกคลื่นแผ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน พัดดวงลำแสงที่อยู่ในบริเวณรอบจนแตกกระจายออก
และตรงใจกลางระลอกคลื่น เงาร่างวานรยักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ทว่าผิวของเงาลวงตาในยามนี้ไม่ได้มีสีทองเรืองรองอีก กลับมีอักขระห้าสีสันงดงามปรากฏขึ้นรางๆ ราวกับว่าร่างทั้งร่างถูกตัวอักษรห้าสีแปะเอาไว้
มองจากไกลๆ ช่างแปลกประหลาดยิ่ง
ส่วนวานรก็เอาสองมือกุมหัว สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็ว
เดี๋ยวเจ็บปวดเหลือแสน เดี๋ยวระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมา หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ก็ตาแดงก่ำ ราวกับว่าตกอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่งก็ไม่ปาน
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นอักขระยันต์บนร่างของมันก็เปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด ทำให้ร่างกายเดี๋ยวรางเลือน เดี๋ยวชัดเจน ดูเหมือนจะไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง
คนอื่นๆ ที่มองจากไกลๆ ย่อมถลึงตามองและรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจนัก
มีเพียงชายชราผมขาวที่ตกตะลึงอยู่ในใจ และรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
สถานการณ์เช่นนี้อีกฝ่ายกำลังทะลวงจุดคอขวดอยู่ในช่วงเวลาสำคัญชัดๆ ท่าทางจะถูกจิตมารเข้าแทรก
หากอีกฝ่ายควบคุมระดับจิตใจไม่ได้ สูญเสียสติสัมปชัญญะไป ถูกจิตมารเข้าควบคุมก็อาจจะทำการสังหารใหญ่ในบริเวณรอบ
และจากพลังยุทธ์ที่น่าตกตะลึงของอีกฝ่าย ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำและกลางอย่างพวกเราย่อมไม่มีพลังขัดขืน ทำได้เพียงยอมตายอย่างเชื่อฟังเท่านั้น
สถานการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
ชายชราผมขาวยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว ภายใต้ความร้อนใจจึงกระตุ้นพลังปราณในร่าง คิดจะยืนขึ้นท่ามกลางพลังแรงกดมหาศาล เพื่อจะหาคนในเผ่าหนีไป
แต่ร่างกายของเขาเพิ่งจะยืนได้ครึ่งหนึ่ง สองขาก็สั่นเทา แล้วคุกเข่าลงไปกับพื้นอีกครั้ง
แม้ว่าเงาลวงตาวานรยักษ์ที่อยู่ไกลออกไปจะดูเหมือนมีสติสัมปชัญญะไม่ชัดเจน แต่พลังแรงกดที่แผ่ออกมากลับไม่อ่อนแอเลยสักนิด เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนหนึ่งยังไม่อาจกระดิกตัวได้ พลังปราณในร่างถูกพลังมหาศาลกดเอาไว้จนไม่อาจเคลื่อนไหวได้ แม้กระทั่งคำเตือนก็ยังไม่อาจถ่ายทอดไปสู่คนในเผ่าได้
ชายชราพลันรู้สึกตกตะลึงระคนหวาดกลัว!
ในเวลาเดียวกัน ในห้องลับบนยอดเขา หานลี่นั่งสมาธิอยู่กลางเขตอาคมที่มีลักษณะพิเศษเล็กๆ แห่งหนึ่ง กายเนื้อนิ่งงัน ราวกับเป็นสิ่งไม่มีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
ทารกวิญญาณสีทองอมเขียวสูงครึ่งฉื่อลอยอยู่เหนือจากกายเนื้อไปสองสามฉื่อ จ้องเขม็งไปยังมุมหนึ่งด้านนอกเขตอาคมนิ่ง
สองมือของทารกโอบกอดใบมีดชำรุดสีทองเอาไว้ กระบี่เล่มเล็กสีเขียวความยาวสองสามชุ่นเจ็ดสิบสองเล่มรอบด้าน ปกป้องเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา
ภายใต้กระบี่เล่มเล็กที่ห้อมล้อมอยู่ พลันมีไม้บรรทัดสั้นๆ สีเงินอีกไม้หนึ่ง หม้อใบเล็กสีเขียวอีกใบหนึ่งรวมทั้งกระบี่ยักษ์สีดำอีกเล่มหนึ่ง วนล้อมรอบทารกไปมาไม่หยุด
และสาเหตุที่กล่าวว่าประหลาดนั้นก็เพราะใบหน้าของทารกมีลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบที่ดวงตาข้างหนึ่ง ดวงตาอีกข้างหนึ่งเป็นสีแดงสดราวกับโลหิต และตรงกลางใบหน้าระหว่างสันจมูกก็แยกออกเป็นสองส่วน เผยสีหน้าที่แตกต่างกันออกมา
ครึ่งหนึ่งมีสีหน้าบิดเบี้ยว เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม อีกครึ่งกลับดูเหมือนกำลังอมยิ้ม แววตาสดใส
ราวกับว่าในร่างของทารกวิญญาณมีหานลี่สองคนที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วอย่างไรอย่างนั้นอยู่
กายเนื้อด้านล่างใช้มือหนึ่งร่ายอาคม อีกมือหนึ่งถือกระถางธูปหอมทองสัมฤทธิ์เอาไว้ ในกระถางธูปมีธูปสีดำสนิทปักอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ไม่ได้ถูกแผดเผา
เพดานห้องลับมีอักขระห้าสีร่อนลงมา ไม่ว่าจะตกลงบนทารกวิญญาณหรือกายเนื้อ ล้วนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอย่างเงียบเชียบ
ทารกวิญญาณจ้องเขม็งไปยังมุมหนึ่ง กลับมีไอสีดำขนาดเท่าศีรษะหมุนวนไปมา และเปล่งเสียงร้องประหลาดออกมา
เสียงนี้เข้ามาในโสตประสาท กลับเป็นเสียงร้องอย่างร้อนใจ ทำให้จิตใจสงบนิ่งได้ยาก และเป็นเสียงที่ให้ความรู้สึกกระหายที่จะทำการสังหาร
ใบหน้าของทารกวิญญาณครึ่งหนึ่งที่ยังราบเรียบยังพอว่า ไม่ส่งเสียงร้องใดๆ ออกมา
ใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งกลับร้องเสียงแหลมประหลาดๆ ลำแสงสีโลหิตในแววตาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และมีแววบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ มองเห็นว่าสติสัมปชัญญะสุดท้ายกำลังจะสูญเสียไป
แววตาของทารกวิญญาณพลันเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ฉับพลันนั้นลำแสงเย็นเยียบพลันเปล่งแสงสว่างวาบ มือข้างหนึ่งยกขึ้น ใช้นิ้วชี้ไปที่กระถางธูปที่กายเนื้อถืออยู่
เสียง “ฟิ้ว” ดังขึ้น เปลวเพลิงสีเงินพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว โจมตีไปยังธูปบนกระถางธูปอย่างแม่นยำ
ธูปพลันเผาไหม้ กลิ่นหอมลึกลับอบอวลไปทั้งห้องลับ
จะว่าแปลกก็แปลก ทารกวิญญาณแค่สูดดมกลิ่นธูปเข้าไปสองสามครั้ง ใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งที่เดิมควบคุมไม่ได้ พลันลดความกระหายที่จะสังหารลง แววตาสีโลหิตค่อยๆ จืดจางลง
และไอสีดำที่ซ่อนอยู่ตรงมุมหนึ่ง เมื่อสัมผัสกับกลิ่นหอมนี้ ก็ระเบิดเสียงร้องอันน่าเวทนาออกมา เสียงร้องแปลกๆ หยุดลง
ไอสีดำหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง กลิ่นหอมค่อยๆ แผ่ออกไปทั่ว เผยใบหน้าปีศาจที่หน้าตาไม่มีดวงตาและจมูกออกมา สีหน้าเจ็บปวดมาก
ทารกวิญญาณเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็อ้าปากออกอย่างไม่ลังเล พ่นประจุไฟฟ้าสีทองออกไป
เสียงกรีดร้องดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองโจมตีไปบนใบหน้าของปีศาจอย่างไม่ผิดพลาด ทำให้ร่างกายของมันสั่นเทา
มันกัดฟันอย่างคับแค้น ส่งเสียงกรีดร้องแหลมๆ ออกมา ฉับพลันนั้นก็รางเลือน และสุดท้ายก็กลายเป็นไอสีดำสลายหายไป
ทารกวิญญาณถึงได้ปิดตาลงอย่างช้าๆ ใบหน้าที่เดิมบิดเบี้ยวค่อยๆ สลายหายไป เมื่อดวงตาทั้งสองลืมขึ้นอีกครั้ง แววตาก็สดใสดังเก่า
“เป็นแค่จิตแยกของมารเหนือฟ้าตนหนึ่ง คิดจะถือโอกาสที่จิตมารเข้าแทรกรบกวนจิตวิญญาณของข้า ดูถูกข้าไปหน่อยแล้ว” ทารกวิญญาณใช้เสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา
จากนั้นมันก็โยนใบมีดชำรุดในมือขึ้นไปเหนือศีรษะ สองมือร่ายอาคมอย่างรวดเร็ว แล้วหลับตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง!
อักขระห้าสีร่วงลงมาจากเพดาน เพิ่มความเร็วขึ้นเท่าหนึ่ง ทั้งห้องลับมีแสงสีสันงดงามเปล่งแสงระยิบระยับไม่หยุด
ในเวลาเดียวกันกลิ่นหอมประหลาดอีกกลุ่มหนึ่งก็แผ่ออกมาจากกายเนื้อด้านล่าง
แต่ทารกวิญญาณกลับทำเหมือนไม่ได้กลิ่น แค่พยายามดูดซับพลังปราณฟ้าดินกลางอากาศที่กลายเป็นอักขระห้าสี คาดไม่ถึงว่ากายเนื้อจะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ
หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ คาดไม่ถึงว่าทารกวิญญาณของหานลี่จะสูงขึ้นสามสี่ฉื่อ ราวกับทารกเติบใหญ่ขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
ยามนี้เงาลวงตาวานรยักษ์ที่อยู่เหนือยอดเขา ซึ่งกลายเป็นเสาลำแสงสายหนึ่งพลันหดกลับเข้าไปในสันเขา
พลังปราณฟ้าดินมหาศาลมาถึงในห้องลับ และพยายามบรรจุเข้าไปในร่างของทารกวิญญาณและกายเนื้อ
ผิวของกายเนื้อเริ่มเปลี่ยนเป็นสีสันแวววาว ในเวลาเดียวกันกลิ่นหอมที่แผ่ออกมาก็ตลบอบอวลขึ้นเรื่อยๆ
คาดไม่ถึงว่าพอลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบทารกวิญญาณที่อยู่ด้านบนก็ยิ่งขยายร่างใหญ่ขึ้นจนเท่ากับกายเนื้อภายในไม่กี่อึดใจ แต่แค่ดวงตาทั้งสองปิดสนิท นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศราวกับไม่มีสิ่งใด หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ตอนที่ 1757 บรรลุระดับผสานอินทรีย์ (ต...
ยามนี้ทารกวิญญาณของหานลี่แค่รู้สึกเรือนกายร้อนรุ่ม ในร่างของทารกวิญญาณราวกับเต็มไปด้วยธารลาวาอันร้อนระอุ ทำให้ลำคอของเขาแห้งผาก แขนขาทั้งสี่แดงก่ำ
และในยามนี้พลังแรงดูดมหาศาลก็ระเบิดออกจากกายเนื้อด้านล่าง
ทารกวิญญาณหดเล็กลงเป็นสิบเท่าอย่างไม่มีเรี่ยวแรงจะขัดขืน เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปในหน้าผากของกายเนื้อ กลับเข้าสู่ร่างอีกครั้ง
พลังร้อนระอุที่เดิมบรรจุอยู่เต็มร่างทารกวิญญาณ พลันหาทางระบายพบ มันทะลักเข้าสู่กายเนื้ออย่างบ้าคลั่ง
ร่างของหานลี่ที่แต่เดิมมีสีสันแวววาว พลันมีความร้อนฉ่าทะลักเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ผิวพรรณมีสีสันแวววาวไหลวนโคจรไปมา คาดไม่ถึงว่ากายเนื้อจะเปลี่ยนเป็นกึ่งโปร่งใสในพริบตา
แม้แต่กระดูกสีทองอ่อนๆ ในกายเนื้อ ก็ยังมองเห็นได้รางๆ
ยามนี้กระดูกของพวกมันมีเส้นไหมลำแสงบางๆ จำนวนนับไม่ถ้วนพันรัดเอาไว้ และเปล่งแสงห้าสีจางๆ ออกมา…
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น พลังเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนที่จุดตันเถียนก็ไล่มาตามจุดต่างๆ ของชีพจรอย่างรวดเร็ว
หานลี่รู้สึกเพียงว่าทุกแห่งที่พลังนี้กวาดผ่านไป ความร้อนจะหายวับไป กลายเป็นความเย็นเยียบเข้ามา ทำให้ร่างกายของเขารู้สึกสบายตัว
เพียงชั่วครู่พลังทั้งหมดก็รวมตัวกัน และพุ่งไปหาศีรษะของเขาโดยทันที
หานลี่รู้สึกเพียงว่าในจิตสัมผัสมีสิ่งที่ถูกตรึงอยู่ ถูกพลังนี้ทะลวงออกราวกับสายน้ำไหล ทันใดนั้นความรู้สึกเป็นเหน็บชาในส่วนลึกของจิตวิญญาณก็ทะลักออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ทำให้เขาอดที่จะอ้าปากออกไม่ได้ และเปล่งเสียงกรีดร้องยาวๆ ออกมา!
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในละแวกนั้นเห็นเงาร่างวานรยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ในเวลาเดียวกันกลิ่นอายอันน่าตกตะลึงที่กดทับพวกเขาเอาไว้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ย่อมรู้สึกตกตะลึงระคนสงสัย
หลังจากที่พวกเขาทยอยกันลุกขึ้นยืนแล้ว ทุกคนกลับเคลื่อนไหวไม่เหมือนกัน
บ้างก็กำลังครุ่นคิด ยังคงยืนมองทะเลหมอกที่อยู่ไกลออกไป และคิดว่าจะมองอันใดออก
บ้างก็รู้สึกว่าอันตรายมาก จึงรีบร้องเรียกสหาย แล้วเตรียมตัวจากไป
ชั่วพริบตาที่ชายชราผมขาวกลับมาเคลื่อนไหวได้ ก็กลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งไปในถ้ำพำนักทันที แล้วร้องเรียกรวมตัวคนในเผ่าให้จากไปทันที
แต่คนเหล่านี้ถึงจะฟื้นฟูการเคลื่อนไหวได้ชั่วครู่ เสียงกรีดร้องยาวๆ ของหานลี่ก็ทะลักเข้ามา
เสียงกรีดร้องราวกับฟ้าผ่า หลังจากแฉลบผ่านทะเลหมอกไปสองสามร้อยลี้ ก็ทยอยกันม้วนวนเป็นคลื่นหมอกขนาดเท่าภูเขา แผ่ออกไปรอบด้าน
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ตรงขอบของทะเลหมอกเห็นสถานการณ์เช่นนั้น พลันตกตะลึง ทยอยกันหนีเตลิดไป
แต่หลังจากที่เสียงกรีดร้องเข้ามาในโสตประสาท ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นก็รู้สึกเพียงว่าสติสัมปชัญญะขาดผึ่ง ราวกับฟ้าผ่ากลางศีรษะ ทยอยกันกรีดร้องแล้วร่วงหล่นลงไปจากกลางอากาศ
แม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้จะสูญเสียพลังปราณไป แต่กายเนื้อก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา แม้ว่าจะร่วงลงสู่พื้นจากความสูงสองสามร้อยจั้ง ก็แค่เจ็บปวด ไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดนัก
กลับเป็นเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจากจุดที่ไกลออกไป ราวกับเสียงมารล่าวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนี้รู้สึกเจ็บปวดจนกลิ้งหลุนๆ ทยอยกันใช้สองมืออุดหูเอาไว้ หมายจะลดความเจ็บปวดลง
แต่เสียงกรีดร้องกลับยังคงส่งผลกระทบต่อจิตสัมผัสของทุกคน แม้ว่าจะมีคนฉีกส่วนบนของเสื้อคลุมมาอุดหู ก็ยังไม่มีผลเลยสักนิด
เสียงกรีดร้องยังคงดังเข้ามาในโสตประสาทอย่างชัดเจน เสียงระเบิดดังขึ้นไม่หยุด
ทว่าครู่ต่อมาผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้กลับยังคงเหมือนประสบกับมันมานานหลายเดือน ร่างกายของทุกคนแทบจะระเบิดออก จะได้ทำให้การทรมานครั้งนี้หยุดลงเสียที
รู้สึกราวกับว่าตายทั้งเป็น!
ยามนี้ระลอกคลื่นหมอกขนาดยักษ์พลันม้วนวนไปทางขอบของทะเลหมอก ยังคงพุ่งออกจากขอบของทะเลหมอกแล้วออกแรงกดไปรอบด้าน
ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ฝืนหันหน้าไปมองเห็นสถานการณ์นี้ ก็หน้าถอดสีเป็นไร้สีโลหิต
แม้ว่าระลอกคลื่นยักษ์เหล่านี้สร้างขึ้นจากม่านหมอก แต่พลังอันน่าตกตะลึงที่พุ่งออกมา ก็ยังคงทำให้พวกเขาอดที่จะอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้
ถึงอย่างไรเสียพวกเขาในยามนี้ก็ไม่อาจกระตุ้นสมบัติเคล็ดวิชาต่างๆ มาคุ้มครองต้านทานระลอกคลื่นนี้ และผู้ใดจะรู้ว่าในระลอกคลื่นเหล่านี้จะมีพลังอันใดแฝงอยู่
เห็นระลอกคลื่นสีขาวเป็นชั้นๆ หมายจะทยอยกันโจมตียอดเขา กลืนกินผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนั้นเข้าไป
เสียงหวีดร้องใจกลางของทะเลหมอกกลับหยุดลง จากนั้นก็มีแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา
จากนั้นเสียง “ปังๆ” พลันดังขึ้น!
ชั่วพริบตานั้นระลอกคลื่นทั้งหมดก็ระเบิดออก แล้วหายวับไป
ราวกับว่าฉากที่น่าตกตะลึงเมื่อครู่ ไม่เคยเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มนี้ถึงได้ทยอยกันปีนขึ้นมาจากพื้นด้วยท่าทีจนตรอก บางคนก็มองสบตากับคนที่ในบริเวณใกล้เคียงแวบหนึ่ง แล้วมองเห็นแววตาตื่นตระหนกระคนหวาดกลัวจากแววตาของอีกฝ่าย
ทุกคนล้วนไม่ได้เอ่ยปากพูดจาอันใดกัน ทยอยกันควบคุมลำแสงหลีกหนีกลับมายังถ้ำพำนัก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ลำแสงหลีกหนีก็บินออกมาจากยอดเขาเป็นสายๆ แล้วพุ่งไปทั่วทุกสารทิศ
ระหว่างทางพวกเขาไม่หยุดพักเลยสักนิด หลังจากที่บินออกมาได้ล้านลี้ ถึงได้มีคนร่อนลำแสงหลีกหนีลงมาอย่างลังเลเล็กน้อย
คนจำนวนมากบินหายไปอย่างไร้ร่องรอย ออกจากที่นี่โดยสิ้นเชิง
ถึงอย่างไรเสีย ‘ชนชั้นสูง’ ที่แค่ใช้เสียงกรีดร้องก็ทำให้พวกเขาจะเป็นจะตายก็ไม่รู้มาเป็นเพื่อนบ้าน ช่างทำให้พวกเขาอกสั่นขวัญแขวนจริงๆ
ทว่าปรากฏการณ์ที่น่าตกตะลึงเมื่อครู่กับอิทธิฤทธิ์ที่หานลี่สำแดงออกมาก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อยคาดเดาอันใดได้
ดังนั้นบางคนที่ตกตะลึง กลับมีความคิดอื่นขึ้นมา
ชายชราผมขาวที่อยู่ในยอดเขาแห่งหนึ่งห่างออกไปล้านลี้ หลังจากจัดวางลูกศิษย์ในเผ่าแล้ว ก็ส่งชายร่างใหญ่ที่มีพลังยุทธ์ไม่ด้อยกว่าเขาคนหนึ่งนำคัมภีร์ม้วนไปส่งให้ตระกูลกู่ที่อยู่ห่างออกไปไม่รู้ตั้งกี่หมื่นลี้ด้วยตัวเอง
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ยอดเขาพระอาทิตย์ขึ้นมีข่าวลือเรื่องผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งจะพัฒนาระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่งมาพักอาศัยอยู่ก็แพร่ขยายไปยังดินแดนอื่นอย่างรวดเร็ว!
และในยามนี้ทะเลหมอกที่ใกล้เคียงก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ หมอกสีขาวหนาๆ ปกคลุมทั้งยอดเขาเอาไว้ ทุกอย่างก็เผยความเงียบสงัดออกมา
……
สามวันต่อมาภายในห้องลับตรงสันเขา หานลี่นั่งสมาธิอยู่แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
รูม่านตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ แต่หลังจากกะพริบตาสองสามคราก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทราวปกติ
แม้ว่าสองสามวันก่อนเขาจะพัฒนาระดับผสานอินทรีย์สำเร็จแล้ว แต่เพื่อให้ระดับพลังยุทธ์มั่นคง จึงต้องนั่งสมาธิสองสามคืนในห้องลับทันที
ยามนี้ในที่สุดเขากดผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับพลังยุทธ์ได้แล้ว จึงสามารถทำเรื่องอื่นได้แล้ว
แววตาของหานลี่เปล่งประกาย มองไปรอบด้านอย่างช้าๆ เดิมที่มีใบหน้าราบเรียบดุจสายธาร พลันมีสีหน้าแปลกประหลาดปรากฏขึ้น
ไม่ทันใดที่เขาแผ่จิตสัมผัสออกไป ในห้องลับที่แต่เดิมว่างเปล่า พลันสัมผัสได้ถึงพลังปราณฟ้าดินที่ลอยวนเวียนอยู่กลางอากาศ
หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง มือหนึ่งพลันร่ายอาคม ในเวลาเดียวกันก็ร่ายคาถาอย่างง่ายๆ
ฉากที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น!
เสียงอึกทึกดังขึ้น ลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ ใบมีดพายุขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้นเป็นสายๆ
ใบมีดวายุเหล่านี้บางเบามาก รูปร่างกึ่งโปร่งแสง ลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับสั่นเทาน้อยๆ ทั่วทั้งห้องลับ
“ในตำราบันทึกเอาไว้ไม่ผิด! หากเข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์ พลังสัมผัสที่มีต่อพลังปราณฟ้าดินและพลังในการควบคุมจะเหนือกว่าระดับหลอมสุญตา แทบจะไม่ต้องใช้พลังปราณใดๆ ก็สามารถควบคุมพลังปราณทำการโจมตีได้” หานลี่เอ่ยพึมพำ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้ายินดี
สะบัดแขนเสื้อ ใบมีดวายุกลายเป็นลำแสงสีขาวแล้วสลายหายไป
หานลี่หลับตาทั้งสองข้างลง และเริ่มใช้จิตสัมผัสตรวจสอบกายเนื้อและพลังปราณของตนเองหลังจากบรรลุระดับผสานอินทรีย์ ว่ามีจุดใดที่ผิดปกติหรือไม่
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร หานลี่ก็ลืมตาขึ้นอย่างยินดี
หลังจากพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ ระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อและพลังปราณก็เหนือกว่าที่เขาคิดเอาไว้ เขาเดาว่าพลังยุทธ์ในยามนี้ต่อให้ต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่ง ก็น่าจะมีอัตราการชนะกว่าครึ่ง
เมื่อระงับความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ หานลี่ก็เริ่มครุ่นคิดเรื่องนี้ด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
ไม่ต้องสงสัยเลย เขาที่บรรลุระดับผสานอินทรีย์แล้ว นอกจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานระหว่างทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวผู้ใดแล้ว นี่จึงทำให้เรื่องที่เขาคิดจะทำหลังจากนี้ ย่อมไม่จำเป็นต้องยอมนิ่งเฉยแล้ว
แน่นอนว่าสองสามปีนี้เขาต้องออกจากที่นี่ และยังต้องพยายามทำให้พลังยุทธ์มั่นคง
จากนี้ต้องจัดการเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมเป็นการที่ต้องมั่นใจก่อนว่าภรรยารัก ‘หนานกงหวั่น’ ขึ้นมาที่แดนวิญญาณหรือไม่ ทว่าเป็นเพราะหนานกงหวั่นอาจจะใช้วิธีการข้ามผ่านห้วงมิติเวลาบินขึ้นมายังแดนวิญญาณ ดังนั้นแม้ว่าจะตามหาไม่พบในเมืองเทวะสวรรค์ ก็อาจจะร่อนเร่พเนจรอยู่ที่อื่น หรือแม้กระทั่งอาจจะไปอยู่ในแดนปีศาจ
ถึงอย่างไรเสียดินแดนของเผ่ามนุษย์และปีศาจก็อยู่ติดกัน
ดังนั้นหากไม่ได้ข่าวคราวจากเมืองเทวะสวรรค์จริงๆ ก็ต้องไปหาตามสถานที่ต่างๆ ในเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจสักรอบหนึ่ง
หากหนานกงหวั่นมีพลังยุทธ์และอิทธิฤทธิ์ไม่พอ และถูกกักอยู่ในแดนมนุษย์ เขาก็ต้องหาวิธีทลายเขตแดน เพื่อช่วยหนานกงหวั่นอีกแรง
เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ขอแค่เอายาลูกกลอนและสมบัติในมือของเขา ส่งข้ามแดนไปให้หนานกงหวั่น ก็จะทำให้พลังยุทธ์เพิ่มขึ้น และสามารถบรรลุขึ้นมายังแดนวิญญาณได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น
เมื่อนึกถึงภรรยาที่รัก แน่นอนว่าหานลี่ย่อมรู้สึกเจ็บปวด และจนปัญญาอยู่นานภายในห้องลับ
สุดท้ายหลังจากที่เขาถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา ถึงได้รวบรวมสมาธิกลบัมา แล้วครุ่นคิดเรื่องอื่นต่อ
นอกจากเรื่องของหนานกงหวั่นแล้ว เขายังต้องไปตามหาชนรุ่นหลังของเซียนวิญญาณน้ำแข็งนามว่า ‘เซียนสวี่’ หลังจากกักตนอีก
ขอแค่ถามหาเบาะแสเซียนวิญญาณน้ำแข็งจากนาง มอบของที่ชายหนุ่มแซ่เวิงมอบให้ๆ อีกฝ่าย คิดดูแล้วก็คงจัดการเรื่องนี้ได้แล้ว
นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องที่ชิงหยวนจื่อให้เขาไปรวบรวมวัตถุดิบมา
แม้ว่าเขาจะรวบรวมวัตถุดิบได้พอสมควรแล้ว แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ที่สถานที่ที่ส่งตัวกลับมาจากแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี มีระยะทางห่างจากเผ่ามนุษย์และเผ่าวิญญาณเหาะเหินนั้นมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ไปที่เผ่าวิญญาณเหาะเหินในตอนแรก และกลับมาที่เผ่ามนุษย์ก่อน ให้ตนเองมีพลังรักษาชีวิตตนเองก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ถึงอย่างไรเสียภายในพันปีที่อีกฝ่ายพูดถึง ก็ยังเหลือเวลาอยู่อีกตั้งหกเจ็ดร้อยปี
ช่วงเวลานี้เขาก็สามารถทำให้พลังยุทธ์ของตนเองเพิ่มขึ้นไประดับผสานอินทรีย์แล้วค่อยไปพบชิงหยวนจื่อ เพื่อทำการแลกเปลี่ยนนมเทวะแม่น้ำยมโลก
เช่นนั้นถึงจะมั่นคงมากขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น