ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1754-1769
ตอนที่ 1754 ไม่กินหูฉลาม
โอหยางซานซานกัดริมฝีปากแน่น ไม่สบายใจเอามาก เธอไม่ได้ขาดแคลนเครื่องประดับอยู่แล้ว หากไม่เป็นเพราะต้องทำภารกิจของผู้ชายคนนั้นให้สำเร็จ เธอไม่มีทางกล้ำกลืนฝืนทนอยู่กับไอ้แก่ไร้ประโยชน์นี่หรอก!
“ขอบคุณค่ะพ่อบุญธรรม ฉันจะไม่ออมมือแน่นอน!”
โอหยางซานซานพูดเสียงออดอ้อน แววตาปล่อยประกายไฟจนครึ่งร่างของเขานั้นกรอบไปหมด แอบนึกด่าไปทีว่าปีศาจ
หากว่าเขาเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบจะต้องเก็บปีศาจตัวนี้ไว้นาน ๆ มีความสุขอยู่บนตัวเธอทุกวัน แต่ตอนนี้แก่แล้วคงได้แค่ลิ้มลองความสดใหม่เพียงไม่กี่วัน!
เหมยเหมยมองโอหยางซานซานอย่างดูแคลน ถึงอย่างไรก็มาจากครอบครัวของนักปฏิบัติ และยังสอบติดมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอีกด้วย เส้นทางอนาคตต้องสดใสอยู่แล้ว ทำไมถึงต้องย่ำยีตัวเองด้วยนะ?
โอหยางซานซานแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเธอ เหมยเหมยก็ไม่อยากสานสัมพันธ์กับเธอ แค่หันไปพยักหน้าให้เธอเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่สนใจโอหยางซานซานอีกจึงหันไปพูดคุยกับโจวจื่อหัว
“เหมยเหมย…ฉันเรียกเธอว่าเหมยเหมยแล้วกัน คุณหนูจ้าวเรียกแล้วดูห่างเหินเกินไป” โจวจื่อหัวยิ้มพลางพูด
“หนูเรียกว่าลุงแล้ว ลุงหัวก็ต้องเรียกชื่อหนูสิคะ” เหมยเหมยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
โจวจื่อหัวอารมณ์ดีไม่น้อย กวักมือเรียกลูกน้องให้ไปเร่งทางร้านเสิร์ฟอาหาร
“หูฉลามของที่นี่คือต้นตำรับที่สุด อีกเดี๋ยวเหมยเหมยต้องกินเยอะ ๆนะ หูฉลามกินแล้วช่วยเรื่องความสวยความงาม อาเมย์ก็กินเยอะ ๆล่ะ”
ภัตตาคารเสิร์ฟอาหารอย่างรวดเร็ว โดยเสิร์ฟหูฉลามให้ก่อนคนละชาม โจวจื่อหัวแบ่งให้เหมยเหมยกับโอหยางซานซาน จากนั้นตัวเขาก็ค่อย ๆกินอย่างช้า ๆ
“ได้ยินมานานแล้วว่าหูฉลามของภัตตาคารป้าหวังนั้นเป็นที่หนึ่ง แต่หนูรับน้ำใจการต้อนรับของลุงหัวไว้นะคะ หนูไม่กินหูฉลามค่ะ เดี๋ยวจะรอกินหอยเป่าฮื้อแทน!”
แม้ว่าพูดแบบนั้นออกไปจะทำให้โจวจื่อหัวอารมณ์เสีย แต่เธอก็ไม่อยากฝืนปณิธานของตัวเองที่ยืนหยัดจะไม่กินหูฉลาม พอนึกถึงการกินหูฉลามหนึ่งชามก็จะต้องมีปลาฉลามตัวหนึ่งที่ต้องตายอย่างอนาถ
เธอจึงรู้สึกเบื่ออาหารในทันที
และเธอก็ยังคิดว่าหูฉลามไม่มีอะไรแตกต่างไปจากวุ้นเส้นเลย เธอใช้วุ้นเส้นดี ๆเคล้ากับเครื่องปรุงรสอย่างดี ก็สามารถทำอาหารรสชาติดี ๆออกมาได้เหมือนกัน รสชาติไม่แย่เลยสักนิด
ส่วนคำพูดที่บอกว่าหูฉลามช่วยเรื่องความงาม เธอยิ่งรู้สึกตลก ผลลัพธ์คงไม่ต่างไปจากปีกไก่ตุ๋นนักหรอกใช่ไหม?
ก็แค่คอลลาเจนก็เท่านั้น!
และนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ตรวจสอบแล้วด้วย คุณค่าทางโภชนาการของหูฉลามไม่ได้สูงเลย หนำซ้ำมันยังไม่ได้มีโภชนาการเทียบเท่ากับไข่สักฟองหรือว่านมสักแก้ว และจากเหตุผลที่ว่ามานี้เพียงเพราะฉลามกำลังหายากขึ้นทุกปี
ดังนั้นเหมยเหมยจึงไม่เข้าใจกระแสความชอบหูฉลามของคนฮ่องกง ว่ากันว่าแค่เมืองใหญ่เท่าฝ่ามืออย่างฮ่องกง ทุกปีกินหูฉลามไปมากกว่า 1,400 ตัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือทุกปีจะต้องมีฉลาม 100,000 ตัวตายเพราะความตะกละของคนฮ่องกง
โจวจื่อหัวนิ่งอึ้งราวกับนึกไม่ถึงว่าเหมยเหมยจะปฏิเสธการกินหูฉลาม แน่นอนว่าเขาไม่ได้รู้สึกอารมณ์เสีย สำหรับคนสวยเขาจิตใจกว้างขวางมากพอ
“เหมยเหมยคนงามจิตใจก็งาม การกินหูฉลามจริง ๆคือการทำให้เกิดการสังหารหมู่” โจวจื่อหัวยิ้มพลางประชดตัวเอง
เหมยเหมยใจสั่น รีบพูดว่า “ลุงหัวก็พูดเกินไปค่ะ หลัก ๆมันเป็นเพราะหนูปากไม่ค่อยรู้จักความอร่อย ไม่รู้ข้อดีข้อเสียของอาหาร ถ้ายกหูฉลามมาให้โดยไม่บอกหนูคงคิดว่ากินวุ้นเส้นแน่นอนค่ะ”
“ฮ่า ๆ…”
โจวจื่อหัวหัวเราะเสียงดังอย่างร่าเริง กวักมือเรียกบริกรให้รีบเสิร์ฟหอยเป่าฮื้อและพูดกับเหมยเหมยว่า “หอยเป่าฮื้อของที่นี่เป็นหอยเป่าฮื้อสองหัวชั้นดีที่ได้มาจากญี่ปุ่น แล้วก็ได้รับการปรุงอย่างพิถีพิถันจากเชฟ รสชาติชั้นเลิศเลยนะ”
เหมยเหมยยิ้มร่า คีบหอยเป่าฮื้อตัวหนึ่งขึ้นมากิน รสชาติเยี่ยมมากจริง ๆ เธอหันไปชูนิ้วโป้งให้กับโจวจื่อหัวและเอ่ยปากชม “สมคำร่ำลือค่ะ!”
โจวจื่อหัวยกยิ้มอย่างพอใจและกินหูฉลามต่อ ไม่เหลียวมองหอยเป่าฮื้อที่หายากเลยสักนิด ฐานะทางสังคมและตำแหน่งของเขาในตอนนี้ ต่อให้กินหอยเป่าหื้อสองหัวทุกวันก็ไม่เป็นปัญหา เรื่องอาหารไม่ใช่สิ่งที่เขาแสวงหาอีกต่อไปแล้ว!
……………………………………………………..
ตอนที่ 1755 รู้หน้าที่ของตัวเอง
โจวจื่อหัวกินหูฉลามช้าๆ จนหมด พอเช็ดปากสะอาดแล้วก็พูดว่า “จะว่าไปซานซานก็มาจากเมืองหลวงเหมือนกันนะ ซ้ำยังออกทีวีด้วยกันอีก พวกเธออายุไล่เลี่ยกัน ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ชวนกันไปเดินเล่นดื่มชาสิ!”
เหมยเหมยเหลือบมองโอหยางซานซาน จงใจพูดติดตลกว่า “อันที่จริงหนูกับโอหยางซานซานรู้จักกันมานานแล้วละค่ะ เพียงแต่ตอนนี้เธอเป็นแฟนสาวของคุณลุงหัว แล้วหนูก็เรียกว่าคุณอาว่าอาด้วย การจัดลำดับรุ่นนี่ช่างไม่ง่ายเลยนะคะ!”
โอหยางซานซานหน้าเปลี่ยนสีแอบแค้นยู่ในใจ เธอแอบด่าในใจไปหลายประโยค ปิดปากยิ้มอย่างอ่อนหวาน “คุณหนูจ้าวนี่หูไม่ค่อยดีสินะคะ ทั้ง ๆที่ฉันเรียกเขาว่าพ่อบุญธรรมทำไมเธอถึงยังพูดว่าฉันเป็นแฟนสาวไปได้ล่ะ! ”
เหมยเหมยจ้องเธอเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “งั้นฉันคงฟังผิดจริง ๆ ที่แท้เธอก็เป็นลูกสาวบุญธรรมนี่เอง!”
เธอจงใจเน้นเสียงหนักที่คำว่า ‘ธรรม[1]’ และยังได้ลากเสียงยาว เป็นความหมายที่ไม่ต้องพูดก็เข้าใจได้
เหอะ!
ช่างหน้าไม่อาย คำว่า‘ธรรม’ ของลูกสาวบุญธรรม เป็นคำกริยาไม่ใช่หรือไง?
ทำอย่างกับว่าคนอื่นเขาโง่อย่างนั้นแหละ!
โจวจื่อหัวหัวเราะร่ามองพวกเธอต่อปากต่อคำกันโดยไม่โกรธเลยสักนิด ในเมื่อเป็นลูกสาวบุญ ‘ธรรม’ จริง ๆนี่นา!
แต่เขาก็ดูออกว่าจ้าวเหมยกับโอหยางซานซานไม่ลงรอยกัน เขาจึงไม่ได้บอกให้จ้าวเหมยเหมยไปเดินเล่นกับโอหยางซานซานอีกแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที โอหยางซานซานถูกเขาเมินทิ้งไว้อีกฟากหนึ่ง
ต่อให้เป็นคนสวยที่น่าภาคภูมิใจแค่ไหนแต่ก็เป็นแค่ผู้หญิงเท่านั้น ผู้หญิงก็เหมือนเสื้อผ้าเปลี่ยนวันละชุดก็ไม่เห็นเป็นไร คนอย่างโจวจื่อหัวไม่มีทางเอาเรื่องคนรักมาเป็นเรื่องจริงจังได้ ก็แค่ของเล่นเท่านั้นเอง
อาหารทยอยเข้ามาเสิร์ฟเหมยเหมยลิ้มรสทุกอย่างแต่ก็ไม่ได้กินเยอะ โจวจื่อหัวคุยกับเธอไปเรื่อยเปื่อยซึ่งไม่ได้เอ่ยถึงเฉินกั๋วเปียว แต่เหมยเหมยก็รู้ดี เหตุที่เชิญเธอมากินข้าววันนี้ก็เพื่อต้องการให้เฉินกั๋วเปียวเห็น
“ขอบคุณลุงหัวสำหรับการต้อนรับนะคะ คราวหน้าถ้าลุงหัวมีโอกาสกลับแผ่นดินใหญ่ หนูจะเลี้ยงข้าวคุณอาเองค่ะ ถึงฝีมือการทำอาหารของฉันจะสู้เชฟในภัตตาคารไม่ได้ แต่ก็ถือว่ามีฝีมือพอควรนะคะ”
เหมยเหมยพูดล้อเล่นขำขัน ในขณะเดียวกันก็เป็นการทดสอบแทนเหยียนหมิงซุ่นด้วย
ในแววตาของโจวจื่อหัวมีความหมายลึกซึ้ง ยิ้มอ่อนและพูดว่า “เอาสิ ถึงตอนนั้นจะต้องชิมรสมือของเหมยเหมยให้ได้เลย”
โอหยางซานซานกระวนกระวายใจมาก โจวจื่อหัวตอบรับคำเชิญของเหมยเหมย นั่นหมายความว่าเขาต้องการที่จะร่วมมือกับเหยียนหมิงซุ่นอย่างงั้นเหรอ?
ไม่ได้การล่ะ เธอต้องรีบจัดการเสียแล้ว เธอต้องดึงโจวจื่อหัวมาให้ได้ไม่เช่นนั้นภารกิจก็จะไม่สำเร็จ ผู้ชายที่น่ากลัวคนนั้นจะต้องไม่ปล่อยเธอไว้แน่!
เหมยเหมยเหลือบมองโอหยางซานซานอีกครั้ง ก่อนจะขอตัวลา
“พ่อ(บุญธรรม)คะ พ่อจะกลับแผ่นดินใหญ่จริง ๆเหรอ? ที่นั่นไม่ได้ร่ำรวยเหมือนฮ่องกงนะคะ!” โอหยางซานซานพูดออดอ้อน ฝ่ามือที่อ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกลูบไล้ที่แผ่นอกของชายผู้นั้น ขาเรียวเล็กสัมผัสเข้ากับส่วนสำคัญเป็นครั้งคราว
โจวจื่อหัวหยิกหยอกเธอแต่ไม่ได้มีความต้องการมากเหมือนทุกครั้ง ซ้ำยังผลักตัวเธอออกพร้อมกับหุบยิ้ม และพูดด้วยเสียงขรึม “อาเมย์ สิ่งสำคัญในการเป็นผู้หญิงของฉันคือพูดให้น้อยลงฟังให้น้อยลงทำให้มากขึ้น เข้าใจไหม?”
โอหยางซานซานตัวสั่นอย่างรุนแรง แผ่นหลังเย็นวาบขึ้นทันที ความเศร้าโศกล้นทะลักเข้ามาในใจ
เมื่อคืนยังเรียกเธอว่าสาวน้อยที่รักอยู่เลย ตอนนี้บอกจะเปลี่ยนใจก็เปลี่ยนไปเสียดื้อ ๆ ที่แท้ผู้ชายก็เป็นพวกที่ไร้ความรู้สึกที่สุด
“เข้าใจแล้ว ต่อไปฉันจะไม่พูดพร่ำเพรื่ออีกค่ะ” โอหยางซานซานก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง พูดด้วยเสียงเบาหวิว
“เด็กดี เดี๋ยวออกไปเลือกเครื่องประดับในร้านเองนะ” โจวจื่อหัวหยิกแก้มเธอเบา ๆ จากนั้นก็เอามือไขว้หลังแล้วเดินจากไป เขาต้องกลับไปดูภรรยาที่บ้านเก่าและหลานสาวที่เขาพึ่งได้มาใหม่ ความสามัคคีในครอบครัวเป็นสิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุด
โอหยางซานซานเดินออกมาจากภัตตาคารเพียงลำพัง เธอไปที่ร้านเครื่องประดับและเลือกอันที่แพงที่สุดมา เธอยัดมันลงกระเป๋าโดยไม่แม้แต่จะมอง โบกแท็กซี่และมุ่งหน้าไปยังเขตชานเมือง
……………………………………………………
[1] เสียงของคำว่า ‘ธรรม’ ซึ่งมาจากคำว่า “干” เนื่องจากบุตรสาวบุญธรรมในภาษาจีนคือคำว่า “干女儿”
ตอนที่ 1756 อยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่น จำเป็นต้องก้มหัว
โอหยางซานซานลงรถตรงหมู่บ้านที่ระยะทางไม่ไกลจากดินแดนใหม่เท่าไรนัก ที่นี่ไม่ได้เจริญรุ่งเรืองและสะอาดเหมือนกับในเมือง ทั้งแออัดและสกปรก ความสงบเรียบร้อยของชุมชนก็ย่ำแย่ มีพวกนักเลงหัวไม้เดินผ่านมาเป็นครั้งคราวและผิวปากส่งให้โอหยางซานซาน
“คนสวย พี่พาไปเลี้ยงไอศกรีมไหม!” นักเลงบางคนถึงกับเข้ามาอย่างไม่เจียมตัว คิดจะลงไม้ลงมือกับเธอ
“ไสหัวไป!” โอหยางซานซานตะโกนขึ้นอย่างเย็นชา
“เอ๊ะ ที่แท้ก็เป็นสาวน้อยแผ่นดินใหญ่นี่เอง เจ้าอารมณ์ไม่น้อยเลยนี่” พวกนักเลงได้ยินสำเนียงของเธอ ก็รู้เลยว่าเธอเป็นคนแผ่นดินใหญ่ ความกล้าจึงมีมากขึ้น ในแววตาเผยถึงความคิดลามกอนาจารคิดอยากจะลากเธอไปในซอยเล็ก ๆ
ดวงตาของโอหยางซานซานฉายแววเย็นชาส่งขาถีบเร็วปานไฟฟ้า รองเท้าส้นสูงสามนิ้วเตะเข้าที่ส่วนสำคัญที่สุดของนักเลงหนึ่งในนั้น นั่นถึงชีวิตเลยนะนั่น ไอ้นักเลงเฮงซวยนั่นกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ตัวงอเป็นกุ้งแห้ง เกรงว่าเจ้านั่นจะใช้การไม่ได้แล้ว
“อ๊าก… ”
โอหยางซานซานใช้ขาถีบซ้ำอีกครั้ง เธอส่งขาถีบอย่างรวดเร็วมาก ซ้ำยังเตะส่วนนั้นของอีกฝ่ายโดยเฉพาะ เพียงครู่เดียวเจ้าพวกนักเลงสามคนก็ลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นแล้ว แต่ละคนเจ็บจนดิ้นพล่าน
“ยังไม่ไปอีก? หรืออยากจะกลายเป็นขันที?” โอหยางซานซานตะเบ็งเสียงถาม แข้งขายังขาวขนาดนี้ เรียวตรงขนาดนี้ สวยงามขนาดนี้ แต่ในสายตาของพวกนักเลงกลับไม่มีความต้องการใด ๆทั้งสิ้น
พวกนักเลงที่เหลือต่างมองหน้ากัน ไหนเล่าจะกล้าคิดร้ายกับโอหยางซานซานอีก พวกเขาพยุงนักเลงเฮงซวยทั้งสามคนขึ้นและวิ่งหนีไปอย่างหัวหดตดหาย
โอหยางซานซานหัวเราะอย่างดูแคลน เสยผมขึ้นท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของผู้คน จากนั้นเดินขึ้นไปบนตึกเก่าตึกหนึ่ง สูงสี่ชั้น ทั้งมืดทั้งทรุดโทรม และบนระเบียงยังแขวนด้วยเสื้อผ้าสีสดใสเต็มไปหมด สายไฟฟ้าห้อยลงมาต่ำมาก แค่ยื่นมือออกไปทางหน้าต่างก็สามารถสัมผัสได้แล้วซึ่งอันตรายมาก
ทางเดินมืดมากและพื้นทางเดินก็มืดสนิท ซ้ำยังมีก้นบุหรี่นอนกลิ้งเกลือกอยู่ โอหยางซานซานมุ่นคิ้วเดินขึ้นไปยังชั้นสาม เคาะประตูห้องห้องหนึ่ง เคาะเพียงแค่ครั้งเดียวประตูก็เปิดออก
“ทำไมเธอถึงเพิ่งมาเอาป่านนี้?” น้ำเสียงแหบพร่าไม่พอใจเอามาก แต่ก็ฟังออกว่าเป็นชายวัยกลางคน
ผ้าม่านในห้องถูกปิดสนิท ดูมืดสลัว ดวงตาของโอหยางซานซานฉายแววขยาด พูดขึ้นเสียงเบา “กลางวันแสก ๆจะปิดม่านทำไม?”
“ถ้ามีคนเห็นฉันเข้าจะทำอย่างไร? ไม่ง่ายเลยกว่าฉันจะเอาชีวิตรอดมาได้” ชายหนุ่มดูหวาดกลัว แท้จริงแล้วเขาคือโอหยางสยง เขาบาดเจ็บและหนีออกมา ที่แท้ก็บากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากโอหยางซานซานนี่เอง
มือขวาของโอหยางสยงใช้ผ้าขาวบางห้อยไว้ บนร่างก็มีผ้าก๊อซหลายผืนพันไว้อยู่และมีรอยเลือดซึมออกมา ชะตาชีวิตดูตกต่ำ เค้าของคุณชายผู้สูงส่งแห่งเมืองหลวงไปอยู่ที่ไหนเสียแล้วล่ะ?
โอหยางซานซานมองเขาอย่างดูถูก หยิบซองเล็ก ๆออกมาจากกระเป๋า “นี่คือยาทาแผลและยาแก้อักเสบ คุณอารีบจัดการแผลให้เสร็จเถอะ”
โอหยางสยงบาดเจ็บไม่น้อย ซ้ำยังไม่ได้รักษาให้ทันท่วงทีจนบาดแผลเป็นหนองหมดจึงทำให้มีกลิ่นเหม็น ในห้องมีแต่กลิ่นเหม็นคละคลุ้งจนโอหยางซานซานไม่อยากอยู่ที่นี่นาน ๆ
“หนูไปก่อนนะ อีกระยะหนึ่งจะรีบทำเรื่องส่งตัวไปอยู่อเมริกา คุณอารักษาตัวก่อนเถอะ” โอหยางซานซานพูดด้วยเสียงเรียบนิ่งแล้วหมุนตัวเตรียมเดินออกไป
“เดี๋ยว เธอต้องทายาให้ฉันก่อนสิ!” โอหยางสยงพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด มองด้วยสายตาเย็นชา
แต่ก่อนหลานสาวคนนี้เคารพเขามาก ถ้าให้เธอไปทางตะวันออกไม่มีทางกล้าไปทางตะวันตกแน่นอน ตอนนี้เหลิงทำตัวสูงส่งเสียดฟ้าเมินไม่สนใจเขา ไม่เห็นแก่หน้าเขาเลยสักนิด ซ้ำยังให้เขามาอยู่ในที่โสโครกแบบนี้อีก แล้วจะให้โอหยางสยงชอบใจได้อย่างไร?
โอหยางซานซานขมวดคิ้วแน่น มุมปากหยักยิ้มอย่างถากถางดูถูกอย่างไม่มีปกปิด
“คุณอาในตอนนี้ก็เป็นแค่หมาเร่ร่อนตัวหนึ่งเท่านั้นเอง คิดจะมาเบ่งบารมีอะไรต่อหน้าหนูเหรอ? อย่าลืมสิ หนูเป็นคนช่วยคุณอาไว้นะ”
เธอเชิดคางขึ้น เดินเข้าใกล้โอหยางสยงที่หน้าตาซีดเขียว พูดดูแคลนว่า “คนเราอยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่นจำเป็นต้องก้มหัว[1] หลักการนี้คงไม่จำเป็นต้องให้หนูสอนคุณอาหรอกใช่ไหมคะ?”
…………………………………………………………..
ตอนที่ 1757 รู้สึกคลางแคลงใจ
โอหยางซานซานไม่ปกปิดความดูถูกในแววตาเลยสักนิด น้ำเสียงก็ไม่น่าฟัง มีหรือที่โอหยางสยงจะทนไหว มือซ้ายที่ไม่ได้บาดเจ็บหมายจะตบหน้าสักฉาดหนึ่ง
“โอ๊ย!”
โอหยางสยงเจ็บจนเหงื่อไหลชุ่ม มือซ้ายตกลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง มองโอหยางซานซานอย่างเหลือเชื่อ
หลานคนนี้ของเขาไปฝึกกังฟูมาตั้งแต่เมื่อไรกัน?
เขารู้สึกคลางแคลงใจ การเปลี่ยนแปลงภายนอกของโอหยางซานซานคงไม่ต้องเอ่ยถึง การเปลี่ยนแปลงของเด็กสาวในวัยเจริญพันธุ์ แม้ว่าโอหยางซานซานจะสวยกว่าเดิมมาก แต่นิสัยใจคอค่อนข้างเปลี่ยนไปมาก
แต่ใบหน้าที่ประดับอยู่ไม่ต่างอะไรจากเมื่อก่อนเลย
แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือนิสัยที่เปลี่ยนไปของโอหยางซานซานทั้งก่อนและหลัง ทำไมจู่ ๆถึงได้เปลี่ยนไปเหมือนกลายเป็นคนแปลกหน้าล่ะ?
เขาจำได้ดีช่วงที่เขาเคยไปเยี่ยมโอหยางซานซานที่อเมริกาเมื่อสองปีก่อน หลานสาวคนนี้ยังคงเหมือนเดิม ทำไมในช่วงเวลาสั้น ๆไม่ถึงสองปี เธอถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้?
“เกรงใจฉันหน่อยก็ดีนะ ถ้าไม่เป็นเพราะหนูช่วยคุณอาเอาไว้ คนของเหยียนหมิงซุ่นคงเจอตัวคุณไปนานแล้ว” โอหยางซานซานประกาศกร้าวอย่างเย็นชา
โอหยางสยงพิงผนังอย่างไร้เรี่ยวแรง เข่นเขี้ยวกัดฟันแน่น เสือร่วงลงสู่พื้นที่ราบถูกสุนัขรังแก[2] และเขาจะรอวันที่ได้หวนคืนกลับมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง แล้วจะต้องสั่งสอนหลานสาวคนนี้ให้ดี
“จะจัดการทำเรื่องให้ฉันไปเอมริกาเมื่อไร?” โอหยางสยงฝืนความโมโหถามขึ้นอย่างขุ่นเคือง
“อีกไม่กี่วันหรอก ตอนนี้นังชั่วจ้าวเหมยอยู่ฮ่องกง รอเธอกลับแผ่นดินใหญ่ก่อนค่อยจัดการ” แววตาโอหยางสยงเผยความกลัว รีบถามว่า “เหยียนหมิงซุ่นมาไหม?”
“ไม่หรอก แค่จ้าวเหมยคนเดียว” โอหยางซานซานมองเขาอย่างดูแคลนและไม่อยากคุยกับเขาอีก จึงเตรียมที่จะจากไป แต่โอหยางสยงก็เรียกตามหลังมาว่า “เธอไม่คิดจะแก้แค้นแทนพ่อแม่เธอเลยเหรอ? พวกเขาตายด้วยน้ำมือของเหยียนหมิงซุ่นนะ”
ถึงแม้ตอนนั้นเฮ่อเหลียนเช่อจะเป็นคนฆ่าหวงอวี้เหลียน แต่เขากลับโยนความผิดนั้นไปให้เหยียนหมิงซุ่น และแน่นอนว่าโอหยางสยงไม่ได้สนใจต่อความเป็นความตายของหวงอวี้เหลียน แต่เขารู้ถึงความสัมพันธ์ของโอหยางซานซานกับหวงอวี้เหลียนดี เขาจึงต้องใช้ประโยชน์จากจุดนี้
เหยียนหมิงซุ่นทำลายกิจการที่เขาสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงทิ้งภายในวันเดียว ครึ่งชีวิตที่เหลือยังต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆในต่างประเทศ จะได้กลับมาอีกเมื่อไรก็ไม่รู้ โอหยางสยงจึงไม่เต็มใจเอามาก
พอเขาได้ยินว่าจ้าวเหมยอยู่ฮ่องกงตัวคนเดียว ความคิดบางอย่างก็แล่นผ่านขึ้นมา ต่อให้ครึ่งชีวิตที่เหลือของเขาจะเป็นได้แค่หมาเร่ร่อน แต่เขาก็จะทำให้เหยียนหมิงซุ่นเจ็บปวดกับการสูญเสียคนรัก ทุกข์ทนจากการอกหัก!
ฮ่องกงไม่ใช่ที่ของเหยียนหมิงซุ่น เขาแค่ต้องระวังตัวหน่อย จากนั้นก็ให้โอหยางซานซานช่วยเหลือ จ้าวเหมยไม่มีทางรอดไปจากเงื้อมมือเขาได้แน่
โอหยางซานซานมีท่าทีสงบมาก ถามกลับว่า “แล้วคุณอาคิดจะแก้แค้นอย่างไร?”
โอหยางสยงมีสีหน้าดีใจ พูดแผนการที่เขาคิดออกมา แน่นอนว่าโอหยางซานซานตื่นเต้นมาก ในโลกใบนี้ไม่มีใครเกลียดจ้าวเหมยได้เท่าเธออีกแล้ว เธออยากแทงใจจ้าวเหมยด้วยดาบนับพันเล่ม สับให้เละเป็นหมื่นท่อน!
แต่ตอนนี้เธอทำแบบนั้นไม่ได้!
คนคนนั้นไม่มีทางยอม!
“ล้มเลิกเรื่องนี้เสียเถอะ บอดี้การ์ดข้างกายจ้าวเหมยเยอะราวกับเมฆ ถึงเวลานั้นกลัวว่าจะไม่ได้แก้แค้น แต่จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น แล้วดึงให้เหยียนหมิงซุ่นมาหาเสียเปล่า” โอหยางซานซานปฏิเสธทันควัน
โอหยางสยงเห็นเธอมีท่าทีนิ่งเฉย ไม่มีความแปรปรวนทางอารมณ์เลยสักนิด ความคลางแคลงใจจึงมีมากขึ้น อดพูดออกไปไม่ได้ว่า “โอหยางซานซานเธอยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า? เธอรู้ไหมว่าพ่อแม่เธอตายอย่างน่าอนาถแค่ไหน?”
“แล้วไง? ตอนนี้จะให้หนูไปสู้กับเหยียนหมิงซุ่นงั้นเหรอ?” โอหยางซานซานมีสีหน้าดูหมิ่นเหยียดหยาม ช่างไม่รู้จักประมาณตนเลยจริง ๆ ถ้าอยากตายนักก็อย่าลากเธอไปเกี่ยวด้วยสิ
โอหยางสยงมองโอหยางซานซานจากไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เสียงของร้องเท้าส้นสูงค่อยๆ เงียบลง เขาวิ่งไปที่หน้าต่างแล้วยกผ้าม่านมุมหนึ่งแง้มมองก็เห็นว่าโอหยางซานซานไม่ได้รีบโบกรถกลับแต่เธอไปแผงขายของกินข้างทาง ซื้อลูกชิ้นปลาไม่กี่ไม้มากินอย่างเอร็ดอร่อย
ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
……………………………………………………………………..
[1] เปรียบเทียบการถูกควบคุมหรือจำกัดสิทธิ์จึงต้องทำตามอย่างไม่มีทางเลือก
[2] คำปริศนาพักท้าย ที่หมายถึง การสูญเสียอำนาจ หรือถูกลดตำแหน่งลง
ตอนที่ 1758 ใครหน้าไหนก็ไม่ขาย
ลูกชิ้นปลาในฮ่องกงก็เหมือนของเสียบไม้ที่ขายตามข้างถนนในเมืองฉงชิ่ง ลูกชิ้นปลาเองก็สามารถพบได้ตามตรอกซอกซอยทุกพื้นที่และยังมีร้านเก่าแก่จำนวนไม่น้อย น้ำจิ้มล้วนได้มาจากการสืบทอดของบรรพบุรุษ ร้านที่โอหยางซานซานกินก็เป็นร้านเก่าแก่ชื่อดัง ธุรกิจดีมาก
โอหยางสยงเห็นในมือของโอหยางซานซานถือลูกชิ้นปลาสามไม้กินด้วยความเอร็ดอร่อย เขาจึงขมวดคิ้วแน่นเป็นปม มีสีหน้าคลางแคลงใจ
ช่วงกลางคืนเขาเองก็มักจะไปกินลูกชิ้นปลาที่ร้านเก่าแก่ด้านล่างอยู่บ่อยครั้ง รสชาติดีจริงๆ สมกับที่เป็นร้านเก่าแก่ชื่อดังที่สืบทอดมานานหลายสิบปี และลูกชิ้นปลาที่ร้านนี้ขายก็ล้วนเป็นลูกชิ้นปลาทำมือแบบต้นตำรับ เนื้อปลาเยอะ ไม่เหมือนร้านลูกชิ้นปลาร้านอื่นที่ต้องการจะประหยัดต้นทุน แป้งเยอะกว่าเนื้อ รสชาติไม่ละมุนเท่าร้านนี้
ตอนนี้โอหยางซานซานกำลังรีบกินลูกชิ้นปลาจนหมดไปแล้วสองไม้ ในมือจึงเหลืออยู่เพียงหนึ่งไม้ ดูเหมือนว่าจะชอบกินมันมาก
คิ้วของโอหยางสยงขมวดมุ่นกว่าเดิม ความกลัวในใจซัดมาเป็นระลอก…
โอหยางซานซานขึ้นรถจากไปแล้วเขาถึงได้ปิดม่านลงด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ซ้ำยังมีท่าทีหวาดกลัวด้วย
ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
โอหยางสยงรีบไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบกระเป๋าเดินทางออกมา ยัดเสื้อผ้าเข้าไปในกระเป๋าเดินทางอย่างรวดเร็ว อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว เขาต้องรีบไปจากที่นี่
“ก๊อก ๆ”
ประตูถูกเคาะอีกครั้งเสียงเป็นจังหวะมาก แต่โอหยางสยงกลับตกใจจนตัวสั่น มือถือกระเป๋าเอาไว้ไม่อยู่จนร่วงลงพื้น
รายการโทรทัศน์ที่เหมยเหมยและคนอื่น ๆเข้าร่วมได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในท้องถิ่น ทางสถานีโทรทัศน์ฉายซ้ำอยู่หลายรอบ เรตติ้งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหมยเหมยสยงมู่มู่และคนอื่น ๆต่างก็ยิ่งโด่งดังกว่าเดิม
เดิมทีสยงมู่มู่มาที่ฮ่องกงเพื่อร่วมงานกับทางคลื่นวิทยุ แต่ไม่กี่วันมานี้ไม่ว่าจะเป็นทีวีหรือวิทยุต่างก็แห่มาเชิญชวนเขาเข้าร่วมรายการ สยงมู่มู่ไม่ได้สนใจต่อสิ่งเหล่านี้สักเท่าไรแต่สุดท้ายเขาก็ตอบรับคำเชิญจากรายการทีวี และเตรียมออกรายการทอล์คโชว์ของเซี่ยเข่ออิ๋งพร้อมกับเหมยเหมย
คนที่เข้าร่วมด้วยยังมีอู่เชา เพราะเขาเองก็มีชื่อเสียงเหมือนกัน
ทอล์คโชว์ผ่านไปได้ด้วยดี เซี่ยเข่ออิ๋งไม่ได้ถามคำถามที่ล่อแหลมจนเกินไป สองชั่วโมงในการบันทึกและออกอากาศเป็นที่น่าพอใจมาก บรรยากาศดูเข้ากันได้เป็นอย่างดี เมื่อรายการออกอากาศไปสิ่งที่ผู้คนในท้องที่ให้ความสนใจมากที่สุดคือความสัมพันธ์ระหว่างเหมยเหมยกับพวกเขาทั้งสามคน
ลูกพี่ลูกน้องรวมถึงเพื่อนที่โตมาด้วยกัน นี่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการคบเพื่อนที่ดีสักคน
คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ[1] คำพูดของคนโบราณมีเหตุผลเสมอ ดังนั้นเหมยเหมยพวกเขาทั้งสามคนจึงกลายเป็นแบบอย่างที่ดีเยี่ยมสำหรับพ่อแม่ในท้องถิ่นที่จะใช้สอนลูก ๆ โดยมักจะพูดกันเช่นนี้ว่า ‘ดูนั่นสิ…พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็กที่เติบโตมาด้วยกัน เพื่อนแบบนี้แหละที่จะเป็นเพื่อนสนิทที่แท้จริง ลูกดูสิว่าเพื่อนที่ลูกคบมีแต่พวกเพื่อนเกเรหรือเปล่า? คบคนดีก็ดีตาม คบคนชั่วก็ชั่วตาม รีบไปตัดขาดความสัมพันธ์กับเพื่อนพวกนั้นเลยนะ ต่อไปนี้ต้องคบเพื่อนที่คะแนนดี ๆเท่านั้น!’
…
เหมยเหมยไม่รู้เลยว่าตัวเธอเองกลายเป็น ‘ลูกของคนบ้านอื่น’ เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเก่งมากมายขนาดไหน เพียงแค่คลำทางของตัวเองเจอก็เท่านั้น
รายการเพิ่งบันทึกเสร็จ หลินฮ่านเหวินก็จัดงานแจกลายเซ็นให้เธอและอู่เชาซึ่งเนืองแน่นด้วยผู้คน เธอเซ็นจนมือแทบหักแต่ในใจกลับรู้สึกดีเหลือเกิน
ในระยะเวลาสั้น ๆชื่อเสียงของเธอก็โด่งดังไปทั่วฮ่องกง ซ้ำยังดึงดูดผู้คนมากมายให้อยากร่วมงานกับเธอ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่ต้องการซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ของหนังสือเธอ
“อาเหวินบอกพวกเขาไปเลยว่าลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ของฉันจะไม่ขายให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น!” พอมีคนถามเยอะ เหมยเหมยจึงต้องพูดออกไปอย่างเด็ดขาด
หลินฮ่านเหวินพูดอย่างลำบากใจ “ถ้าเป็นคนอื่นก็ยังพอไหวฉันยังพอช่วยเธอตอบกลับไปได้ แต่หัวหน้าของเข่ออิ๋งก็อยากถ่ายทำและคนที่เป็นแกนนำเลยก็คือโจวจื่อหัว!”
ทั้งสองคนเป็นบุคคลใหญ่โตที่เขาและภรรยาต่างก็ไม่อาจล่วงเกินได้
……………………………………………………………
ตอนที่ 1759 ปุ๋ยไม่ไหลไปที่นาของบุคคลภายนอก
พอเหมยเหมยได้ยินว่าโจวจื่อหัวเป็นแกนนำก็พลันคิ้วขมวดแน่น ทำไมผู้มีอิทธิพลคนนี้ถึงได้ให้ความสนใจกับการถ่ายทำละครได้ล่ะ?
“งั้นคุณก็บอกไปว่าบทภาพยนตร์และโทรทัศน์ของฉันขายไปแล้ว” เหมยเหมยพูด
เธอรับปากกับเจ้าเสวียเอ๋อร์ไว้แล้วว่าจะให้เขาถ่ายทำเจ้าหญิงอัปลักษณ์จะคืนคำไม่ได้แน่นอน และเธอก็ไม่อยากให้ทางฝั่งฮ่องกงเป็นคนถ่ายทำด้วย ต่อให้จ้าวเสวียเอ๋อร์ไม่ถ่ายเธอก็จะหาบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ในแผ่นดินใหญ่มาถ่าย
หลินฮ่านเหวินวิ่งกลับมาบอกเธออย่างรวดเร็ว “หัวหน้าของเข่ออิ๋งถามผมว่าคุณขายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์และโทรทัศน์ให้กับบริษัทไหน ผมต้องบอกไหมครับ?”
“คุณบอกไปว่าบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ฉางเฉิง”
บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ฉางเฉิงเป็นบริษัทใหม่ที่เปิดโดยจ้าวเสวียเอ๋อร์ เธอและสยงมู่มู่มีหุ้นอยู่ด้วย จ้าวเสวียเอ๋อร์อยากจะถ่ายทำหนังสือของเธอตั้งแต่เริ่มเปิดบริษัทแล้ว แต่เหมยเหมยไม่เห็นด้วย
เธอให้จ้าวเสวียเอ๋อร์ถ่ายทำละครทีวีเรื่องอื่นไปก่อน หากประสบความสำเร็จถึงจะแสดงให้เห็นว่าการจัดการและทรัพยากรของบริษัทจ้าวเสวียเอ๋อร์เติบโตขึ้นมากแล้ว เธอถึงจะวางใจยกหนังสือให้เขาถ่ายทำได้ ไม่งั้นเธอคงไม่ยอมถ่ายเพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกทำพัง
โชคดีที่จ้าวเสวียเอ๋อร์ไม่ทำให้เธอผิดหวัง ทำละครทีวีสองเรื่องติดต่อกัน เรื่องหนึ่งเป็นละครอิงประวัติศาสตร์ อีกเรื่อหนึ่งเป็นละครปัจจุบันในเมืองใหญ่ เรตติ้งดีมากและทำเงินได้ไม่น้อยเลย
พอได้จังหวะโอกาสจ้าวเสวียเอ๋อร์และผู้กำกับฟางชิงผิงถึงได้เริ่มคัดนักแสดงทั่วประเทศ โดยเฉพาะคนที่จะรับบทนางเอก เหมยเหมยไม่ต้องการใช้ดาราที่มีชื่อเสียง ความคิดของเธอตรงกับผู้กำกับฟางชิงผิง เพื่อทำให้เห็นถึงความสดใสของนักแสดงหน้าใหม่
ถึงอย่างไรเสียละครรักวัยรุ่นใส ๆก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องฝีมือการแสดงเท่าไร หน้าตาดีสิถึงจะสำคัญที่สุด
หลินฮ่านเหวินคิดอยู่นานก็นึกบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ฉางเฉิงไม่ออก เห็นได้ว่าบริษัทนี้ไม่ได้มีชื่อเสียงนัก ถ้าพูดถึงบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในแผ่นดินใหญ่ก็ต้องเป็นหัวหยู่อยู่แล้ว ซึ่งก็คือบริษัทของเหมยซูหาน
“เหมยเหมย ทำไมเธอไม่ร่วมมือกับหัวหยู่ล่ะ? ทรัพยากรของบริษัทนี้น่าจะมีพร้อมมากกว่าฉางเฉิงหรือเปล่า?”
“ฉางเฉิงเป็นบริษัทของพี่ชายคนที่สามของฉัน สร้างละครโทรทัศน์ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วสองเรื่อง และพี่สามของฉันก็ได้ตัวผู้กำกับฟางชิงผิงมาแล้วด้วย ฉันมั่นใจในตัวฉางเฉิงมาก”
ตีเธอให้ตายเธอก็ไม่มีวันร่วมมือกับเหมยซูหาน แล้วเธอก็ยังเป็นเจ้าของหุ้นอีก 20% ในฉางเฉิงด้วย ทำไมจะต้องปล่อยให้ปุ๋ยไหลไปที่นาของคนอื่น[2]ล่ะ?
หลินฮ่านเหวินเพิ่งจะนึกขึ้นได้
ที่แท้ก็เป็นคนในครอบครัวนี่เอง ไม่แปลกเลย…
เขาบอกกับเจ้าของสถานีโทรทัศน์ไปแล้ว เจ้าของคนนี้ก็เป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย แม้จะนึกเสียดายแต่ก็ไม่ได้ดึงดันอะไร ถึงอย่างไรสำหรับสถานีโทรทัศน์ขนาดใหญ่ก็ไม่ได้มีผลอะไรมากหรอก เหตุที่อยากถ่ายทำหลัก ๆก็เป็นเพราะโจวจื่อหัว
กิจกรรมที่จัดขึ้นที่นี่โดยรวมเสร็จสิ้นแล้ว เหมยเหมยคิดไว้ว่าจะไปเดินเล่นทั้งวัน แล้วก็จะไปเที่ยวเล่นที่ดิสนีย์แลนด์กับโอเชียนปาร์ค จากนั้นค่อยกลับบ้าน
วันถัดมาเธอเตรียมจะไปชอปปิ้งที่ร้านขายเครื่องประดับเพื่อซื้อเครื่องประดับทองไปฝากเหยียนซินหย่า ป้าฟาง แล้วก็พวกฉีฉีเก๋อสักหน่อย เครื่องประดับทองในฮ่องกงมีหลากหลายรูปแบบและราคาก็ไม่แพงมาก ซื้อเยอะ ๆไปฝากคนอื่นก็ไม่เลว
แต่ช่วงเช้าตอนกำลังเตรียมตัวออกบ้านก็ได้รับสายจากโจวจื่อหัว บอกว่าอยากเชิญเธอไปดื่มชายามเช้า[3]
เหมยเหมยจึงจำต้องตอบรับนัด โดยให้เซียวเซ่อและคนอื่น ๆไปเดินเล่นก่อน ถ้าเธอดื่มชายามเช้าเสร็จจะตามไปสมทบ
สถานที่ที่โจวจื่อหัวนัดดื่มชายามเช้ายังคงเป็นที่ภัตตาคารป้าหวัง ชายามเช้าของที่นี่ยังถือเป็นเมนูทีเด็ดของท้องถิ่นด้วย คนรวยจำนวนมากจะมากินที่นี่ คนสามัญชนธรรมดาไม่มีปัญญามากินหรอก
โอหยางซานซานก็อยู่ด้วย นั่งชิดแนบแอบอิงอยู่กับโจวจื่อหัว วันนี้เปลี่ยนมาใส่ชุดกระโปรงสีดำยาวอีกตัว ยืดผมตรงแล้วก็แต่งหน้าอ่อน ๆ ดูสวยสดใสและน่าหลงใหลไม่เบา
“ลุงหัวมีธุระอะไรกับหนูเหรอคะ?” เหมยเหมยยิ้มพลางเอ่ยถาม และยังนั่งในตำแหน่งถัดจากหัวโต๊ะเหมือนเคบ
โจวจื่อหัวให้ความสำคัญกับหลักประเพณีมาก พวกหลักประเพณีเก่าแก่ทำนองนั้น เธอได้ยินมาว่าลูก ๆหลาน ๆของเขาต้องท่องหลักปฏิบัติของเยาวชนตั้งแต่เด็ก การอบรมสั่งสอนทางบ้านเข้มงวดมาก และโจวจื่อหัวจะไม่ปล่อยให้ลูก ๆหลาน ๆ เข้าแก๊งเลย ทุกคนล้วนเป็นพนักงานและนักธุรกิจที่ชอบธรรมหมด
ด้วยเช่นนี้โจวจื่อหัวจึงพึงพอใจต่อเหมยเหมยมาก ส่งยิ้มจางๆ พลางสั่งให้บริกรเสิร์ฟขนมและชา
………………………………………………………………….
[1] ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล
[2] มาจากสำนวนที่แปลว่า ปุ๋ยไม่ไหลไปที่นาของบุคคลภายนอก ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน
[3] คนจีนทางใต้จะนิยมเรียกการกินติ่มซำ(ของนิ่ง เช่น เกี๊ยวนึ่ง ขนมจีบ ตีนไก่ ซาลาเปา เป็นต้น)และดื่มชาในตอนเช้าว่า 早茶
ตอนที่ 1760 ดื่มชายามเช้า
โจวจื่อหัวเลื่อนซาลาเปาไส้หมูแดงที่บริกรเพิ่งเสิร์ฟส่งให้เหมยเหมย อมยิ้มพลางเอ่ยว่า “ซาลาเปาหมูแดงรสชาติดีมาก เรื่องธุระไม่ต้องรีบหรอก กินให้ท้องอิ่มก่อนเถอะ”
เหมยเหมยรู้สึกรำคาญที่โจวจื่อหัวแสร้งทำตัวมีเลศนัยแต่ก็ยังฝืนกินไปลูกหนึ่ง แล้วก็ไม่กินอีก “รสชาติไม่เลวค่ะ แต่เสียดายที่หนูกินข้าวเช้าก่อนออกจากบ้านมาแล้ว ต่อให้อยากกินแค่ไหนก็คงไม่ไหวจริง ๆค่ะ!”
“นั่นสินะ พวกเธอคงไม่คุ้นชินกับการดื่มชายามเช้า เป็นฉันที่คิดไม่รอบครอบเอง ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสจะชวนเธอไปจิบน้ำชายามบ่าย[1] ชายามบ่ายชองที่นี่ก็อร่อยเหมือนกันนะ” โจวจื่อหัวพูดขึ้น
เหมยเหมยอมยิ้มโดยไม่พูดอะไร เหยียนหมิงซุ่นกำชับเธอในสายโทรศัพท์ครั้งสุดท้ายว่าอย่าเป็นฝ่ายชวนโจวจื่อหัวคุยมากเกินไป วางตัวกลาง ๆไว้ดีที่สุด ถ้าถ่อมตัวต่อคำเยินยอเกินไปก็จะทำให้โจวจื่อหัวดูถูกเอาได้ ทำตัวสำรวมเข้าไว้ถึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
โจวจื่อหัวเห็นว่าเหมยเหมยไม่ได้พูดโต้ตอบอะไรจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที ถามว่า “ได้ยินมาว่าหนังสือของเธอพร้อมสำหรับการถ่ายทำแล้วเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ฉันขายให้กับบริษัทของพี่ชายคนที่สามไปเมื่อปีก่อน เพื่อให้ปุ๋ยไม่ไหลไปที่นาของคนอื่นค่ะ ขอให้ลุงหัวช่วยเข้าใจด้วยนะคะ” หัวหน้าหยางเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ แล้วก็เป็นเพื่อนสนิทของโจวจื่อหัว
โจวจื่อหัวหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “ผลประโยชน์ล้วนต้องมอบให้กับครอบครัวตัวเองเป็นธรรมดา ถ้าเป็นฉันก็จะทำแบบนี้เหมือนกัน เธอไม่จำเป็นต้องคิดมากหรอก”
“ลุงหัวไม่โทษฉันก็ดีค่ะ”
เหมยเหมยพูดคำสุภาพไปหลายประโยค จิบชาอย่างช้า ๆ ชาหลงจิ่งของทะเลสาบซีหู[2] ถือเป็นชาใหม่ของปีนี้ด้วย กลิ่นหอมอ่อน ๆรสชาติที่ค้างละมุนอยู่ในลำคอ เธอไม่ได้เอ่ยพูดอะไรเพราะรอให้โจวจื่อหัวพูดจุดประสงค์ของเขาออกมา
โอหยางซานซานเห็นว่าทั้งสองคนไม่เข้าประเด็นสักทีจึงแอบร้อนใจ แต่เธอก็ไม่กล้าเร่งเร้า ไม่ง่ายเลยที่จะเกลี้ยกล่อมให้โจวจื่อหัวออกหน้าช่วงชิงมา ถ้าทำให้เขาโมโหละก็แผนการของเธอคงเละไม่เป็นท่า
แม้ว่าตอนนี้เธอไม่ได้ขาดแคลนเงินแต่เธอขาดชื่อเสียง สังคมในปัจจุบันการมีชื่อเสียงเป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุดและคงไม่พ้นอาชีพดารา
แค่ถ่ายละครเรื่องดังเรื่องหนึ่งจะกลายเป็นดาราดังที่รู้จักกันในชั่วข้ามคืน ไม่เพียงแค่มีชื่อเสียงแต่ยังมีเงินอีกด้วย ดีกว่าการมีชีวิตที่แสนเหน็ดเหนื่อยของเธอหลายร้อยเท่า
หึ ต่อให้เธอสอบติดมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแล้วอย่างไรเหรอ?
มันก็เป็นการทำงานให้คนอื่นอยู่ดี!
ไหนจะสู้ชีวิตที่มีความสุขของดาราได้ล่ะ?
สิ่งที่แม่พูดก่อนหน้านี้เป็นเรื่องโกหก สอบได้ที่หนึ่งถึงจะมีอนาคตที่ดี สอบได้ที่โหล่ทำได้แค่ร้องขอข้าวกิน ถุย มันล้วนเป็นแค่คำโกหกทั้งนั้น…
ทั้งหมดเป็นแค่คำโกหก!
ยัยชั่วจ้าวเหมยสอบได้ที่โหล่ แต่เธอกลับมีชื่อเสียงตีพิมพ์หนังสือออกรายการทีวี มีชีวิตที่สุขสบาย เธอจะต้องไปได้ไกลกว่าจ้าวเหมยและจะต้องมีชื่อเสียงมากกว่าจ้าวเหมย!
วิธีที่จะก้าวผ่านมันไปให้เร็วที่สุดก็คือการเป็นดารา!
“ผมได้ยินมาว่าคุณมีเงื่อนไขกับบทนางเอกในหนังสือเล่มนี้สูงมาก จนถึงตอนนี้ก็ยังเลือกไม่ได้?” ในที่สุดโจวจื่อหัวก็พูดเข้าประเด็น โอหยางซานซานพลันนึกโล่งใจ
เหมยเหมยใจเต้นระรัว เหลือบมองโอหยางซานซานครั้งหนึ่ง มีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง
หรือว่า…
“ถูกต้องค่ะ ความจริงยังเลือกไม่ได้…ลุงหัวคะ อาคงไม่รู้หรอกว่าการเลือกนักแสดงมันยากแค่ไหน หนูดูวกไปวนมาเป็นหลายร้อยคนแต่ไม่มีเลยสักคนที่เข้าตา เฮ้อ…”
เหมยเหมยถอนหายใจลากยาวบ่นพึมพำกับโจวจื่อหัว ไม่นึกเลยว่าโจวจื่อหัวจะถูกเธอกระตุ้นความสนใจได้ “เธอนี่ยากยิ่งกว่าฮ่องเต้เลือกนางสนมอีกนะ หรือว่าเธอตั้งมาตรฐานไว้สูงเกินไปหรือเปล่า? อันที่จริงถ้าเธอต้องการเลือกผู้หญิงที่สวยเหมือนเธอ มันก็ยากจริง ๆนั่นแหละ เธอต้องลดมาตรฐานลงถึงจะได้”
โอหยางซานซานร่างกายชะงักพลางรีบก้มหน้าลงจิบชาเพื่อช่วยกลบความอิจฉาที่แฝงในแววตา
เหมยเหมยยิ้มและพูดว่า “คุณลุงหัวก็ชมเกินไปค่ะ อันที่จริงฉันไม่ได้มีเงื่อนไขสูงกับรูปลักษณ์หน้าตาเลย ผู้หญิงหลายคนก็ผ่านเกณฑ์เงื่อนไขของฉันนะคะแต่สุดท้ายก็ติดอยู่แค่เรื่องแววตา”
[1] จะคล้ายกับการดื่มชายามเช้า ที่จะเสิร์ฟขนมพร้อมน้ำชา แต่จะต่างตรงที่เพิ่มอาหารจำพวกนึ่ง และข้าวต้มขึ้นมาด้วย
[2] ชาหลงจิ่ง เป็นชาเขียวที่ถือกำเนิดในทะเลสาบซีหู เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง หลงจิ่งเป็นชาจีนที่โด่งดังที่สุด หายากที่สุด และราคาแพงที่สุด โดยถือว่าเป็นชาจักรพรรดิ
…………………………………………………………………
ตอนที่ 1761 ปฏิเสธทางอ้อม
โจวจื่อหัวสนใจมากกว่าเดิมเลยถามไปว่า “แล้วเหมยเหมยอยากได้แววตาแบบไหนล่ะ?”
เหมยเหมยคิด ๆแล้วก็ตอบกลับไปว่า “จะอธิบายอย่างไรดีนะ ความจริงเป็นแค่ความรู้สึกแบบหนึ่งขอแค่หนูได้เห็นแล้วถึงจะรู้ มันยากไปสักหน่อยถ้าจะให้หนูอธิบายออกมา อืม…น่าจะเป็นแววตาที่ไร้มลทิน ใสบริสุทธิ์เหมือนน้ำในคลอง แต่กลับมีชีวิตชีวา สดใส ต่อให้ไม่พูดคุณก็ดูออกว่าเธออยากพูดอะไรผ่านสายตา…”
เธอคิดพลางหาคำอธิบายสื่อลักษณะของนางเอกที่เธอต้องการไปพร้อมกัน ดีที่โจวจื่อหัวฟังเข้าใจเลยโพล่งขึ้น “ฉันเข้าใจความหมายของเธอแล้ว เธออยากได้คนที่มีแววตาบริสุทธิ์เหมือนแม่ชีในวัดตามเขาสินะ!”
เหมยเหมย ‘…คำอธิบายนี้…เข้าใจง่ายเสียจริง’
“ประมาณนี้แหละค่ะ ลุงหัวเก่งจริง ๆเลยนะคะ ฉันคิดตั้งนานก็คิดไม่ออก แต่ลุงสามารถสรุปเป็นประโยคเดียวได้”
เธอยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่ายเป็นการประจบประแจงอย่างชัดเจน โจวจื่อหัวได้ใจอย่างมากและยิ้มกว้างกว่าเดิม
เขาชอบฟังคนอื่นชมเขาว่าเป็นคนที่มีความรู้มากที่สุดเลยล่ะ!
เหมยเหมยโอดครวญต่อ “แต่ฉันจะไปหาแม่ชีมาถ่ายละครจริง ๆไม่ได้นี่นา แต่ผู้หญิงสมัยนี้โตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ถึงจะสวยกันมากแต่กลับไม่มีบุคลิกใสสะอาดที่ฉันกับผู้กำกับฟางต้องการ เมื่อวานผู้กำกับฟางยังโทรมาบ่นให้ฉันเลยว่าถ้ายังหาไม่เจอเธอพร้อมจะไปตามหาคนบนเขาแล้ว”
คำพูดเหล่านี้เป็นความจริงครึ่งโกหกครึ่ง นักแสดงบทนางเอกตามหายากก็จริงแต่ไม่ได้สาหัสถึงขนาดที่เหมยเหมยว่า ในเมื่อประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ในยุคนี้เศรษฐกิจยังไม่ก้าวหน้าเหมือนสมัยสิบกว่าปีหลังจากนี้และไม่ได้เจริญเท่าฮ่องกง ฉะนั้นบนตัวของหญิงงามมากมายมีบุคลิกใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่ต้องการ
เหตุผลที่จนถึงตอนนี้ก็ยังตัดสินใจไม่ได้เป็นเพราะโรคตัดสินใจยากของผู้กำกับฟางชิงผิงเกิดกำเริบขึ้นมา ไม่อาจตัดสินใจได้ยามเผชิญหน้าสาวงามนับสิบคนเท่านั้นเอง
และเหตุผลที่พูดไปเช่นนั้นก็เพื่ออุดปากโจวจื่อหัวไว้ไม่ให้เขาพูดออกมาเท่านั้น
เป็นไปตามคาด–
โจวจื่อหัวเริ่มลังเล หญิงข้างกายไม่มีบุคลิกตามที่เหมยเหมยต้องการอย่างชัดเจนนี่นา!
ไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ตั้งแต่ก่อนจะคบหากับเขาแล้ว และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยไปนอนกับผู้ชายมากี่คนแล้วด้วย!
ถ้าสะอาดบริสุทธิ์สิถึงแปลก
แต่เขาก็ถามหยั่งเชิงไปอยู่ดี “ถ้าหานางเอกที่ถูกตาต้องใจไม่ได้ จะลดมาตรฐานลงใช่ไหม?”
“ไม่ค่ะ ถ้าหาไม่ได้หนูยอมไม่ถ่ายดีกว่า นิยายเล่มนี้เป็นผลงานชิ้นแรกของหนู สำหรับหนูแล้วมันมีความสำคัญเทียบเท่ากับลูกคนหนึ่ง ถ้าถ่ายก็ต้องทำออกมาให้สมบูรณ์แบบห้ามมีข้อตำหนิแม้แต่น้อยหรือไม่ก็ไม่ต้องถ่าย”
เหมยเหมยปฏิเสธเสียงเด็ดขาดแน่วแน่
อีกประโยคหนึ่งที่เธอไม่ได้พูดออกมา ความจริงนิยายเรื่องเจ้าหญิงอัปลักษณ์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวประสบการณ์จริงของเธอซึ่งเล่าเกี่ยวกับชีวิตในชาติที่แล้วรวมถึงชาตินี้ในฉบับย่อ แล้วจะให้คนน่ารังเกียจอย่างโอหยางซานซานมาย่ำยีผลงานของเธอได้อย่างไร?
คนเจ้าเล่ห์อย่างโจวจื่อหัวแค่ฟังก็รู้ทันทีว่าเหมยเหมยรู้จุดประสงค์ของเขาแล้ว เขาพึงพอใจมากที่เหมยเหมยไม่ได้หักหน้าเขา ในเมื่อคนที่มีสถานะอย่างเขาหากขอร้องใครแล้วถูกปฏิเสธเข้ามันเป็นเรื่องที่น่าขายหน้ามากทีเดียว
เหมยเหมยทำเช่นนี้ดีกว่า โจวจื่อหัวพึงพอใจมาก
“จะว่าไปหลานสาวของฉันยังเป็นแฟนคลับตัวยงนิยายของเหมยเหมยเชียวนะ วัน ๆเอาแต่พูดให้ฉันฟังจนหูชาไปหมด” โจวจื่อหัวเปลี่ยนเรื่องไม่เอ่ยถึงเรื่องนักแสดงอีก
เหมยเหมยถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนยิ้มกล่าว “งั้นก็เป็นเกียรติของหนูจริง ๆค่ะ หลานสาวของลุงหัวต้องเป็นเด็กผู้หญิงที่สวยและน่ารักคนหนึ่งแน่ ๆเลย”
โจวจื่อหัวยิ้มบ่น “ก็เด็กเอาแต่ใจคนหนึ่ง น่ารำคาญจะตายอยู่แล้ว”
แม้ปากจะว่าไปอย่างนั้นแต่แววตากลับฉายแววเอ็นดูจนปิดไม่มิด บ่งบอกถึงความสำคัญของหลานสาวคนนี้ที่มีต่อโจวจื่อหัวเลยทำให้เหมยเหมยรู้สึกปลาบปลื้มใจไปด้วย
โจวจื่อหัวฆ่าใครไม่เคยให้ความปรานี เป็นพี่ใหญ่ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในเส้นทางนี้แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาเป็นคุณพ่อที่ดีและคุณปู่ที่ดี ความรักความเอาใจใส่ต่อครอบครัวเป็นสิ่งที่มาจากใจจริง
ตอนที่ 1762 จงใจนั่นแหละ
เหมยเหมยคิด ๆแล้วก็เอ่ยขึ้น “ถ้าลุงหัวไม่รังเกียจ ฉันอยากมอบชุดนิยายเจ้าหญิงอัปลักษณ์พร้อมลายเซ็นให้หลานสาวของคุณลุง ลุงหัวจะให้คนไปเอาหรือให้ฉันส่งไปถึงบ้านของคุณลุงเลยดีคะ?”
ลุงหัวชะงักไปกึกหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างปลื้มใจ “งั้นก็ดีเลย ยายตัวแสบของฉันมีนิยายเรื่องใหม่พร้อมลายเซ็นของเธอก็จริงแต่เรื่องเก่ายังไม่มี เอางี้แล้วกัน เหมยเหมยสะดวกเมื่อไรขอเชิญไปเป็นแขกที่บ้านฉันนะ”
ตอนนี้กลับกลายเป็นเหมยเหมยที่ชะงักแทน ต้องรู้ก่อนว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาโจวจื่อหัวใช้ชีวิตเยี่ยงคนปลดเกษียณน้อยครั้งที่จะเชิญใครไปเป็นแขกที่บ้าน ถึงต่อให้เป็นยุครุ่งเรืองในอดีตโจวจื่อหัวก็ไม่ใช่คนง้อแขก
ไม่คิดว่าเขาจะเชิญตัวเองเลยสักนิด
ไม่นานเธอก็ตั้งสติทันเลยตอบกลับอย่างยินดี “ไปเป็นแขกที่บ้านลุงหัวได้นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ ฉันว่างเสมอ ลุงหัวเป็นคนจัดการก็พอค่ะ”
“ในเมื่อไม่รู้วันไหนงั้นก็วันนี้เลยแล้วกัน คืนนี้ฉันจะให้คนขับรถมารับเธอ แม่ครัวบ้านฉันทำอาหารเซี่ยงไฮ้อร่อยมาก เธอต้องชอบทานแน่ ๆ”
โจวจื่อหัวได้ใจอย่างมาก ทุกครั้งที่เอ่ยถึงแม่ครัวเขาจะมีสีหน้าท่าทางเช่นนี้เสมอ
เพราะแม่ครัวประจำบ้านของเขาคอยรับใช้ติดตามเขามานานถึงสิบห้าปี เป็นผู้หญิงที่ติดตามเขาได้นานที่สุดนอกจากภรรยาเขาแล้ว
แน่นอนว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์คนรักใด ๆแต่เพราะโจวจื่อหัวชื่นชอบอาหารฝีมือแม่ครัวนี้ คนอื่นไม่ว่าจะเป็นอาหารระดับมิชลินหรือพ่อครัวโรงแรมห้าดาวล้วนทำไม่ถูกปากโจวจื่อหัวเลยสักคน
กับเรื่องอาหารโจวจื่อหัวถือว่าเป็นคนรักเดียวใจเดียว ตลอดชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแม่ครัวเลย
แม่ครัวคนนี้เองก็มีชื่อเสียงในพื้นที่มากเช่นเดียวกัน มีคนใหญ่คนโตในฮ่องกงมากมายต่างเคยทานอาหารฝีมือของเธอแล้วทั้งสิ้น แน่นอนว่าฝีมือสู้พ่อครัวระดับโรงแรมใหญ่ ๆไม่ได้แต่อาหารพื้นบ้านกลับทำได้ดีเป็นพิเศษ ไม่ได้หรูหราแต่กลับทำให้คนรู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกได้ถึงรสชาติของ ‘บ้าน’
ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในพื้นที่นามว่าคุณไช่หลันเคยชิมอาหารฝีมือแม่ครัวคนนี้ตามคำเล่าลือมาก่อน แถมยังได้เขียนบทความอธิบายถึงเมนูอาหารฝีมือแม่ครัวลงหนังสือพิมพ์และให้การประเมินไว้สูงมาก
“เคยได้ยินมานานแล้วว่าฝีมือการทำอาหารของคุณป้าบ้านลุงหัวดีมาก คืนนี้หนูลาภปากแล้วสิคะ” เหมยเหมยยิ้มกล่าว
โอหยางซานซานจิกฝ่ามือจนเลือดซิบ ตาแก่ทำไมไม่พูดถึงเรื่องของเธอเลยล่ะ?
อีกอย่างตาแก่กลับเชิญจ้าวเหมยไปทานข้าวที่บ้าน หรือว่าตาแก่จะถูกใจจ้าวเหมยเข้าให้แล้ว?
“พ่อบุญธรรม เกี๊ยวกุ้งอันนี้รสชาติไม่เลวเลย พ่อจะทานสักชิ้นไหมคะ?” โอหยางซานซานคีบเกี๊ยวกุ้งแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงออดอ้อนที่คนฟังขนลุกซู่ เธออยากเตือนโจวจือหัวว่าอย่าลืมเรื่องที่เขารับปากไว้
โจวจือหัวรู้อยู่แก่ใจดีและไม่ได้โกรธ ขอแค่ไม่ยุ่มย่ามเรื่องสำคัญก้พอเขามักใจกว้างต่อผู้หญิงอยู่แล้ว
เขารับเกี๊ยวกุ้งมาแล้วค่อย ๆทานซึ่งไม่ได้พูดตอบรับอะไรเธอ หนำซ้ำยังตวัดตามองโอหยางซานซานเป็นการเตือนแวบหนึ่งให้เธอสงบเสงี่ยมลงบ้าง
เหมยเหมยดื่มน้ำชาหมดหนึ่งแก้วก็พูดตามมารยาทไปอีกไม่กี่ประโยคก่อนขอตัวลากลับ “ลุงหัวคะ หนูกับเพื่อนนัดกันไว้จะไปชอปปิ้ง ขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“ได้เลย คืนนี้ฉันให้คนไปรับเธอกับเพื่อนของเธอมาแล้วกัน หลานสาวฉันก็เป็นแฟนคลับของเพื่อนเธอเหมือนกัน” โจวจื่อหัวยิ้มตาหยีพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยนอย่างมาก
เหมยเหมยชะงักไปทีแล้วยิ้มตอบ “ค่ะ คืนนี้เจอกัน”
ก็แค่ทานข้าวด้วยกันสักมื้อ ไปสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรอก
โจวจื่อหัวเป็นผู้ที่มีความคิดการณ์ไกล เขารู้ว่าต้องผูกมิตรกับคนแผ่นดินใหญ่ไว้ถึงจะเป็นผลดีในระยะยาว หนำซ้ำเขาอยากชะล้างมลทิน เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าการไปลงทุนในจีนแผ่นดินใหญ่แล้ว ฉะนั้นจะผูกมิตรกับเขาไว้จึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
โอหยางซานซานคอยมองเหมยเหมยจากไปด้วยความผิดหวังและรู้สึกวาบหวิวในใจ อดบ่นเสียงกระเง้ากระงอดไม่ได้ “คุณพ่อ ไม่ช่วยพูดให้หนูเลย!”
โจวจื่อหัวเอ่ยเสียงเรียบ “เธอไม่ได้ยินเงื่อนไขของจ้าวเหมยเหรอ? เธอคิดว่าตัวเองมีจุดไหนที่เหมาะสมบ้าง?”
โอหยางซานซานที่ถูกพูดแทงใจดำก็มองเขาอย่างไม่พอใจ เธอไม่เหมาะสมตรงไหน?
มีครบทั้งเรื่องหน้าตาและความสามารถ อายุไม่มากแต่เพียงแค่ขาดโอกาส นางแพศยาจ้าวเหมยต้องจงใจแน่ ๆ!
จ้าวเหมยแค่นหัวเราะ ‘…เหอเหอ ก็จงใจนั่นแหละ!’
……………………
ตอนที่ 1763 ไปเป็นแขก
เวลาเย็นฟ้ายังไม่ทันมืดคนของโจวจื่อหัวก็มารับถึงที่แล้ว เหมยเหมยได้เตรียมชาหลงจิ่งชั้นดีไว้หนึ่งกระปุกโดยเฉพาะซึ่งก่อนหน้านั้นได้เก็บไว้ที่ฉิวฉิว ได้ยินมาว่าภรรยาของโจวจื่อหัวชื่นชอบการดื่มชามาก โจวจื่อหัวกับภรรยาของเขาผ่านความยากลำบากมาร่วมกันจึงรักกันมาก ปกติไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ล้วนผ่านการถามความคิดเห็นของภรรยามาทั้งสิ้น
อีกทั้งทรัพย์สมบัติของโจวจื่อหัวก็ได้ภรรยาเป็นคนจัดการเสียส่วนมาก บ่งบอกได้ว่าเขาเชื่อใจภรรยา
เพียงแต่ต่อให้โจวจื่อหัวจะให้เกียรติภรรยาอย่างไรก็แก้นิสัยเจ้าชู้ของเขาไม่ได้ เรื่องผู้หญิงนอกบ้านมีไม่ขาดสายแต่คุณนายโจวเป็นผู้หญิงที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่ง
เธอไม่เคยโวยวายกับโจวจื่อหัวเลย และไม่เคยถามไถ่เรื่องนอกบ้านกับเขาแค่ตั้งใจอบรมสั่งสอนลูก ๆ ดูแลทรัพย์สมบัติ เพราะเธอเข้าใจ–
เงินพึ่งพาได้กว่าผู้ชายเสมอ!
เมื่อเทียบกับการต้องทุ่มแรงกายแรงใจแย่งหัวใจของผู้ชายมา งั้นสู้หาวิธีสร้างเงินให้ตัวเองดีกว่า
ระหว่างโจวจื่อหัวและภรรยาหากจะบอกว่าเป็นสามีภรรยากันกลับใช้คำว่าครอบครัวคงเหมาะสมกว่า อีกทั้งคุณนายโจวเองก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไร เธอไม่สนว่าโจวจื่อหัวมีผู้หญิงนอกบ้านกี่คน เธอมีข้อแม้เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือโจวจื่อหัวห้ามมีลูกนอกสมรสเด็ดขาด
ดีที่โจวจื่อหัวเป็นคนรักษาคำพูด แม้จะมีผู้หญิงมากเท่าขนแต่ไม่เคยมีเรื่องถึงขั้นท้อง ต่อให้มีผู้หญิงบางส่วนคิดแผนแอบตั้งท้องเอง พอโจวจื่อหัวรู้เข้าก็จะชิงลงมือก่อนอย่างโหดเหี้ยม
อดีตใช่ว่าไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน ผู้หญิงคนนั้นมีจุดจบอย่างอนาถ เสียลูกเสียสุขภาพ ยิ่งกว่านั้นคือโจวจื่อหัวไม่ให้เงินเธอสักแดงเดียว
สูญเสียทั้งคนและเงินทอง!
หลังจากนั้นเป็นเหตุให้ผู้หญิงรอบกายโจวจื่อหัวไม่เคยผุดความคิดนี้ขึ้นอีกต่างสงบเสงี่ยมเงียบกันมาก เพียงแค่รอเวลาผ่านไปครึ่งปีก็จะได้เงินก้อนโตมาใช้
คฤหาสน์ตระกูลโจวอยู่ไม่ห่างจากที่พักอาศัยของเหมยเหมยเท่าไรนักขับรถไปไม่กี่นาทีก็ถึง แต่คฤหาสน์กลับดูโอ่อ่ากว่ามากทีเดียว ซึ่งนับว่าเป็นคฤหาสน์หรูอย่างแท้จริง ฮ่องกงไม่ได้มีคฤหาสน์ขนาดใหญ่เช่นนี้ให้เห็นมากเท่าไรหรอก
คุณนายโจวเป็นคนที่ดูแลตัวเองอย่างดีแต่ผู้หญิงก็มักแก่ไวกว่าผู้ชายอยู่แล้วเลยดูอายุมากกว่าโจวจื่อหัวไปสิบกว่าปี ทั้งที่ความจริงสองสามีภรรยาคู่นี้อายุเท่ากัน
“เหมยเหมยสินะ เป็นผู้หญิงที่สวยจริง ๆ รีบเข้ามานั่งสิ” คุณนายโจวรูปร่างอวบอิ่ม ใบหน้ากลมยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“นี่เป็นชาตัวใหม่จากต้นชารุ่นที่สองของต้นชาหลงจิ่งแท้ ๆที่ซีหู น้ำใจเล็ก ๆน้อย ๆ หวังว่าคุณป้าโจวจะไม่รังเกียจนะคะ”
เหมยเหมยส่งมอบกระปุกชาเล็ก ๆไปให้ แน่นอนว่าเธอแค่พูดถ่อมตัวไปเท่านั้น ต้นชาเขียวหลงจิ่งที่ซีหูมีค่าเทียบเท่าต้นชาต้าหงเผาที่มีไว้เป็นของบรรณาการซึ่งจะไม่วางขายตามท้องตลาดทั่วไป
ซึ่งต้นชารุ่นที่สองจากต้นชาแท้ ๆนี้ก็มีคุณค่ามากจนยากจะหาซื้อของแท้ได้ตามท้องตลาดเพราะส่วนมากล้วนถูกนำไปเป็นของบรรณาการหมดแล้ว กระปุกนี้ของเหมยเหมยก็เป็นของเฮ่อเหลียนชิงที่เอามาจากนายใหญ่นั่นเอง
ซึ่งเหมยเหมยก็ขอมันมาจากเฮ่อเหลียนชิงด้วยเช่นกัน อย่างไรเสียเจ้าหมอนี่ก็มีของดี ๆมากพอแล้ว เอามาดีกว่าไม่เอา
คุณนายโจวเป็นคนดูของออก พอได้ยินเช่นนั้นพลันสีหน้าก็เปลี่ยนไปก่อนจะยิ้มเอ่ยอย่างปลื้มปิติ “นี่เป็นของดีที่ต่อให้มีเงินก็หาซื้อได้ยากเชียว ขอบคุณมากจริง ๆ”
เหมยเหมยเองก็พอใจมาก รู้คุณค่าก็ดี
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดยามให้ของใครก็คือการต้องเจอคนที่ไม่รู้คุณค่า อย่างเช่นตอนให้หยกขอบทองอีกฝ่ายอาจจะรังเกียจหาว่าทองไม่บริสุทธิ์พอก็ได้!
โจวจื่อหัวเองก็อยู่บ้านรวมถึงลูกชายและลูกสะใภ้ทั้งสามของเขา นอกจากนี้ยังมีบรรดาหลานชายหลานสาวที่รวม ๆ แล้วกว่าสิบคน ครอบครัวขนาดใหญ่ไม่ขาดใครไปซึ่งก็สื่อถึงความสำคัญที่มีต่อแขก
เหมยเหมยเองก็ตกใจแต่เธอกลับรอบคอบยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรล้วนระมัดระวังเป็นอย่างดีเพราะกลัวจะพลาดท่าเข้า
“พี่เหมย นิยายของพี่ฉันชอบมาก ๆเลย วันแจกลายเซ็นวันนั้นฉันไปด้วยนะ ฉันได้จับมือพี่ด้วยล่ะ พี่จำฉันได้ไหม?”
เสียงใสร่าเริงแว่วมาก่อนที่เจ้าตัวจะปรากฏตัวให้เห็นเสียอีก สาวน้อยผู้มีสีผิวน้ำผึ้งรูปร่างสูงเพรียวคิ้วเข้มตากลมโตวิ่งมาพร้อมเสียงดังเจื้อยแจ้ว อายุราว ๆสิบห้าสิบหกปีที่ตัดผมสั้นประบ่า ถือว่าเป็นเด็กสาวที่น่ารักมากคนหนึ่งเลย
ตอนที่ 1764 มีความรัก
เหมยเหมยเดาออกว่าสาวน้อยคนนี้เป็นหลานสาวสุดที่รักของโจวจื่อหัวตั้งแต่แวบแรกและเป็นหลานสาวคนโตประจำตระกูลโจวนามว่าโจวซิงเอ๋อร์ปีนี้อายุสิบหกปี เพราะเป็นหลานคนแรกของรุ่นสามประจำตระกูลโจวจึงเป็นที่โปรดปรานของสองสามีภรรยาโจวจื่อหัว
แน่นอนว่านิสัยของโจวซิงเอ๋อร์เองก็น่าเอ็นดู แค่ดูก็รู้ว่าเป็นสาวร่าเริงสดใส มีเธออยู่บ้านต้องมีเสียงหัวเราะอยู่ร่ำไป
โจวซิงเอ๋อร์สูงมากแต่เตี้ยกว่าเซียวเซ่อเพียงเล็กน้อย เซียวเซ่อสูง 175 โจวซิงเอ๋อร์น่าจะสูง 170 ได้ หนำซ้ำเธอยังมีหุ่นเพรียวได้รูปสีผิวเป็นสีแทนน้ำผึ้งฉบับสาวแข็งแรง บ่งบอกว่าเด็กสาวคนนี้ชอบออกกำลังกายมาก
“สวัสดี เด็กผู้หญิงสวย ๆอย่างเธอพี่จะจำไม่ได้ได้ไงล่ะ เพียงแต่พี่ไม่รู้ว่าเธอเป็นหลานสาวของลุงหัว”
เหมยเหมยยิ้มตาหยีพูดปด งานวันแจกลายเซ็นผู้คนท้วมท้นจำนวนนับพันคนคอยโอบล้อม เธอแจกลายเซ็นจนตาลายไปหมดแล้วจะมีเวลาว่างไปสังเกตโฉมหน้าใครอื่นเสียเมื่อไร จำได้สิแปลก!
แน่นอนว่าเธอไม่มีทางพูดความจริงไปอยู่แล้วไม่อย่างนั้นจะเป็นการทำร้ายจิตใจสาวน้อยคนนี้มากเลยละ!
คำโกหกสีขาวจะช่วยให้โลกงดงามมากขึ้น
โจวซิงเอ๋อร์ยิ้มแก้มปริตามคาด พอเห็นชุดนิยายเรื่องเจ้าหญิงอัปลักษณ์ที่เหมยเหมยมอบให้เธอก็ยิ่งยิ้มกว้างจนแทบไม่เห็นตา ความสุขล้นปรี่เกินจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
“ขอบคุณพี่เหมย ฉันรักพี่มาก ๆเลย ฉันต้องเป็นคนเดียวในเมืองที่มีนิยายพร้อมลายเซ็นครบชุดของพี่แน่ ๆ เพื่อนฉันอิจฉาฉันจะแย่อยู่แล้ว!”
โจวซิงเอ๋อร์หอบนิยายนับยี่สิบกว่าเล่มกลับห้องไปอย่างมีความสุข บอกว่าจะเก็บมันเองไม่ให้คนรับใช้แตะต้องเด็ดขาด
สยงมู่มู่ก็ได้ให้ซีดีอัลบั้มพร้อมลายเซ็นแก่บรรดาหลาน ๆของโจวจื่อหัวเช่นกัน เด็กพวกนี้ล้วนอายุสิบสามถึงสิบห้าปีนับว่าเป็นช่วงวัยที่ร่าเริงสดใสที่สุดจึงเข้ากับสยงมู่มู่อู่เชาได้ดี มีเพียงเซียวเซ่อที่ทำหน้านิ่งมาโดยตลอดและไม่ชอบสุงสิงกับใคร
โจวจื่อหัวย่อมรู้ดีถึงความเป็นมาเป็นไปของเซียวเซ่อเลยไม่ถือสาแม้แต่น้อย กลับยิ้มร่าอย่างปลื้มใจเสียด้วยซ้ำ
ในบ้านตระกูลโจวถูกจัดไว้สองโต๊ะให้ผู้ใหญ่หนึ่งโต๊ะเด็กหนึ่งโต๊ะ โจวซิงเอ๋อร์รั้นจะขอนั่งร่วมโต๊ะผู้ใหญ่ด้วยและโจวจื่อหัวเองก็ตามใจเธอ โดยปกติเขามักใจกว้างต่อหลานสาวอยู่แล้วแต่กับหลานชายกลับเข้มงวดเป็นพิเศษ ไม่แม้แต่จะส่งมอบรอยยิ้มให้สักนิด พอดูออกว่าพวกผู้ชายบ้านตระกูลโจวต่างเคารพยำเกรงโจวจื่อหัวกันมาก
“พวกนี้แม่ครัวทำให้โดยเฉพาะเลย พวกเธอลองทานดูสิว่ารสชาติเหมือนต้นตำรับไหม?” โจวจื่อหัวยิ้มเอ่ย
กับข้าวอุดสมบูรณ์อย่างมาก น้ำแกงปลาสะใภ้ซ่ง แผ่นเต้าหู้ยัดไส้ทอดกรอบ หมูสามชั้นตุ๋นผักดอง หัวสิงโตน้ำแดง เคาหยก ปลากะพงขาวนึ่ง น้ำซุปเป็ดหน่อไม้…ล้วนเป็นอาหารประจำบ้านที่เห็นได้ทั่วไปมาก ไม่ได้ดูน่าตะลึงเหมือนในโรงแรมใหญ่โตและดูเป็นธรรมชาติที่สุด
แต่แค่ได้กลิ่นหอมเหมยเหมยก็รู้ทันทีว่าแม่ครัวผู้เลื่องชื่อคนนี้มีความสามารถอย่างแท้จริง ทำอาหารทางใต้ได้เหมือนต้นตำรับขนาดนี้
“อร่อย รสชาติดีมาก ๆ ไม่ได้ทานน้ำแกงปลาที่เหมือนต้นตำรับขนาดนี้มานานแล้ว”
เหมยเหมยทานน้ำแกงปลาหนึ่งถ้วยซึ่งรสชาติหอมสดใหม่ก็อดชูนิ้วโป้งให้ไม่ได้และพูดชมไม่ขาดปาก
คุณนายโจวยิ้มอย่างใจดี “อร่อยก็ทานเยอะ ๆ เมนูหัวสิงโตอันนี้ก็เป็นเมนูถนัดของแม่ครัวเขาด้วย พวกเธอลองชิมดู”
อาหารอร่อยเจ้าบ้านก็ต้อนรับอย่างอบอุ่น ทำเอาพวกเหมยเหมยทานข้าวได้อย่างเอร็ดอร่อยและพูดคุยกับเจ้าบ้านอย่างสนุกสนาน
หลังทานข้าวเหมยเหมยไม่ได้ขอตัวกลับทันทีแต่เลือกจะนั่งอีกครู่หนึ่ง โจวซิงเอ๋อร์เอาแต่ตามเหมยเหมยแจพูดเจื้อยแจ้วราวกับนกแก้ว แต่ทว่าไม่ได้สร้างความน่ารำคาญใจแก่คนฟังเลยสักนิด
“พี่เหมย พี่คือเพื่อนสนิทกับเฉินเจียใช่ไหมคะ?” จู่ ๆโจวซิงเอ๋อร์เอ่ยถามเสียงเบาและทำหน้าขวยเขิน
เหมยเหมยเลิกคิ้ว นี่สาวน้อยกำลังมีความรักหรือเนี่ย?
เธอจงใจถาม “ฉันรู้จักเฉินเจียหลายคน เธอถามถึงคนไหนเหรอ?”
โจวซิงเอ๋อร์หลงคิดว่าเป็นความจริงเลยตอบกลับไปอย่างเขินอาย “ก็เฉินเจียคนฮ่องกงไง เขากับพี่เหมยเคยออกรายการเดียวกันด้วยนะ”
…………………….
ตอนที่ 1765 ส่งสายตาพลอดรัก
เหมยเหมยมองโจวซิงเอ๋อร์อย่างมีเลศนัยแล้วลากเสียงยาว “…อ๋อ…ที่แท้ก็เขานี่เอง ซิงเอ๋อร์รู้จักเฉินเจียด้วยเหรอ?”
โจวซิงเอ๋อร์กลับเป็นเด็กสาวที่ร่าเริงตรงไปตรงมา ถึงแม้จะเขินจนหน้าแดงก่ำแต่กลับตอบอย่างตรงไปตรงมา “ฉันรู้จักเขา เขาไม่รู้จักฉันหรอก ฉันแทบจะไปดูทุกการแข่งขันของเฉินเจียมาหมดแล้ว”
สาวน้อยกะพริบตาหยาดเยิ้ม แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่ากำลังตกอยู่สภาวะแอบรัก
เฉินเจียเป็นคนหน้าตาหล่อเหลา นิสัยดีและเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าหญิงสาว โจวซิงเอ๋อร์จะแอบชอบก็เป็นเรื่องปกติ
เหมยเหมยหันข้างมาถามเสียงเบา “เธอชอบเฉินเจียเหรอ?”
“ค่ะ ฉันชอบเฉินเจีย มีผู้หญิงห้องฉันหลายคนเลยที่ชอบเขาแต่มีแค่ฉันที่รักเดียวใจเดียวที่สุด ชอบเขาคนเดียว ไม่เหมือนคนอื่นที่นอกจากชอบเฉินเจียแล้วยังชอบจางกั๋วหรงกับหลิวเต๋อหัว…”
โจวซิงเอ๋อร์ทำหน้าหยามเหยียด หลายใจแบบนี้มีสิทธิ์อะไรมาแย่งเฉินเจียกับเธอล่ะ?
เหมยเหมยหลุดขำ ช่างเป็นสาวน้อยที่น่ารักเสียจริง
“ฉันกับเฉินเจียไม่ถือว่าเป็นเพื่อนสนิทแต่ก็พอจะรู้จักกันบ้าง ซิงเอ๋อร์ถามเรื่องนี้ทำไมเหรอ?” เหมยเหมยบอกไปตามความจริง
โจวซิงเอ๋อร์ดวงตาเป็นประกายและขยับหน้าเข้ามาใกล้เหมยเหมยกว่าเดิมอีกนิด คุณนายโจวเห็นทุกอย่างในสายตาเลยมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ คิดว่าอีกประเดี๋ยวจะลองปรึกษากับโจวจื่อหัวดู
“พี่เหมย…พี่สนิทกับฉันยิ่งกว่าพี่แท้ ๆของฉันซะอีก พี่ช่วยขอตั๋วเข้าชมการแข่งขันในอีกสามวันข้างหน้าของเฉินเจียให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ?” โจวซิงเอ๋อร์ทำหน้าเว้าวอนส่งเสียงออดอ้อนจนคนฟังใจอ่อนยวบ
“อีกสามวันเฉินเจียมีแข่งเหรอ?” เหมยเหมยทำหน้าสงสัยอย่างมาก คราวก่อนที่ทานข้าวกับเฉินเจียไม่เคยได้ยินหมอนี่พูดถึงมาก่อนนี่นา
โจวซิงเอ๋อร์ส่งสายตาผิดหวังและเริ่มสงสัยในความสัมพันธ์ของเหมยเหมยกับเฉินเจีย ถึงขนาดไม่รู้ว่าเฉินเจียมีแข่งด้วยซ้ำ!
เซียวเซ่อที่ทานข้าวเงียบ ๆอยู่ข้างเหมยเหมยมาตลอดเอ่ยแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่ง “สามวันข้างหน้าตอนเช้าเก้าโมงครึ่งแข่งรอบรองชนะเลิศระดับเอเชีย ฮ่องกงเป็นหนึ่งในเขตของการแข่งขัน”
เซียวเซ่อคีบเคาหยกมันวาวใส่ปากทั้งคำเช่นเดียวกับสยงมู่มู่ที่นั่งอยู่ด้านข้างก็คีบมาทานเช่นกัน แต่กัดไปเพียงครึ่งชิ้นด้วยท่าทางเรียบร้อยสง่าคนละขั้วกับเซียวเซ่ออย่างชัดเจน
“ตุ๊ด…”
เซียวเซ่อแค่นเสียงอย่างหยามเหยียดไปทีหนึ่งแล้วเพ่งสายตาไปยังอาหารอีกจาน หมูสามชั้นตุ๋นผักดองส่งกลิ่นหอมโชยมาคิดว่ารสชาติต้องอร่อยอย่างแน่นอน แม่ครัวตระกูลโจวฝีมือไม่เลวหรืออาจจะฝีมือดีกว่าป้าฟางบ้านเหมยเหมยด้วยซ้ำ
“…คนตะกละ!”
สยงมู่มู่เค้นเสียงพูดออกมานึกรังเกียจสภาพการกินตะกละมูมมามของเซียวเซ่อ ผู้ชายห่าม ๆยังไม่ทานเก่งเท่าเธอเลย เคาหยกกว่าครึ่งจานใหญ่ถูกยัยทอมนี่ฟาดเรียบ
โจวซิงเอ๋อร์เบิกตากว้างทำท่าอิจฉาอย่างมาก “เหมาะสมกันจังเลย…”
สยงมู่มู่กับเซียวเซ่อหันขวับมาอย่างพร้อมเพรียง จับจ้องโจวซิงเอ๋อร์อย่างอาฆาตและสายตาที่กำลังสื่อความหมายว่า ‘พูดภาษาคนได้ไหม…’
โจวซิงเอ๋อร์เบะปากอย่างน่าสงสาร ทั้ง ๆที่ส่งสายตาพลอดรักกันเสียขนาดนั้น แม้แต่หมายังดูออกเลยว่ามีใจให้กันแต่ก็ยังไม่ยอมรับสักที…
ฮือ…เกลียดคู่รักที่ชอบสวีทหวานต่อหน้าคนโสดที่สุดเลย!
“ซิงเอ๋อร์อยากได้ตั๋วกี่ใบ? เดี๋ยวฉันจะโทรไปขอเฉินเจียให้” ในเมื่อรู้ว่าเฉินเจียจะมีการแข่งขันเธอย่อมต้องไปเป็นกำลังใจให้ คิดว่าเฉินเจียน่าจะรู้มาจากหลินฮั่นเหวินว่าเธอใกล้กลับแผ่นดินใหญ่แล้วเลยไม่กล้าพูดถึงเรื่องการแข่งขันสินะ
โจวซิงเอ๋อร์ทำท่าดีใจกลบความผิดหวัง “พี่เหมยดีที่สุดเลย…ฉันขอแค่ใบเดียว…ไม่สิ…ขอให้ฉันสองใบได้ไหมคะ? เพื่อนสนิทฉันก็อยากไปดูการแข่งขันเหมือนกัน”
“ได้เลย ฉันจะให้คำตอบเธอพรุ่งนี้นะ”
เหมยเหมยรับปากทันควัน ตั๋วหนึ่งใบหรือสองใบไม่ต่างกันมาก การแข่งขันระดับนี้ฝ่ายผู้จัดมักมีตั๋วเหลือจำนวนไม่น้อย ต่อให้เฉินเจียขอมาไม่ได้เสี่ยวอวิ๋นก็หาทางเอามาให้ได้
นอกจากนี้สถานะของโจวจื่อหัว อย่าว่าแต่ตั๋วสองใบเลยต่อให้ยี่สิบใบก็ไม่มีปัญหา
“ทำไมเธอไม่ขอคุณปู่เธอช่วยหาตั๋วมาให้เธอล่ะ? ปู่เธอเก่งกว่าเยอะเลย” เหมยเหมยพูดเชิงล้อเล่น
ตอนที่ 1766 น่าสงสารยิ่งกว่าแม่ชี
โจวซิงเอ๋อร์หดคอเอานิ้วชี้ปิดปากแล้วส่งเสียงชู่วก่อนพูดเสียงแผ่ว “พี่เหมยอย่าบอกเรื่องนี้ให้ปู่ฉันรู้นะ ถ้าปู่ฉันรู้เข้าละก็ต้องไม่ให้ฉันไปดูการแข่งขันแน่ ๆ”
“ทำไมล่ะ?” เหมยเหมยนึกแปลกใจอย่างมาก แค่ไปดูการแข่งขันเท่านั้นเองไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง!
“ใครจะไปรู้ละ…ปู่ฉันเข้มงวดมากเลย ห้ามนู่นห้ามนี่ ฉันเกือบจะเหมือนแม่ชีที่บวชอยู่บนเขาอยู่แล้ว…”
โจวซิงเอ๋อร์ทำหน้าเศร้าสลด ใครเล่าจะดวงซวยอย่างเธอ อายุสิบหกปีแล้วแต่ยังถูกกำหนดเวลาเข้าบ้านโดยห้ามออกจากบ้านหลังเวลาสองทุ่มเป็นต้นไป ไม่อย่างนั้นก็จะโดนตัดเงินค่าขนมสามเดือน
แล้วก็ไม่อนุญาตให้ใส่กระโปรงเหนือเข่าอีกด้วย…
ทั้งยังไม่อนุญาตให้มีความรักก่อนวัย ไม่อนุญาตให้ดื่มเหล้า ไม่อนุญาตให้สูบบุหรี่ ไม่อนุญาตให้อยู่กับผู้ชายสองต่อสอง(ที่นอกจากพ่อและพี่ชาย)…
สงสัยโจวซิงเอ๋อร์คงอึดอัดมาก พอได้ระบายหน่อยก็พล่ามบ่นยาวเหยียดเสียงเจื้อยแจ้ว “พี่ว่านี่ยุคสมัยไหนแล้วยังห้ามไม่ให้ออกจากบ้านอีก เพื่อนฉันอายุสิบหกปีมีแฟนตั้งหลายคนแล้ว แต่ฉันยังไม่เคยมีแม้แต่จูบแรกด้วยซ้ำ…
แล้วเวลาคบเพื่อนห้ามคบเพื่อนผู้ชายเด็ดขาด เพื่อนผู้หญิงก็ต้องถามตามสืบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตามสืบยันต้นตระกูลรากเหง้ายันสิบแปดโคตรของเขามาจนหมด แล้วใครจะยังกล้าเป็นเพื่อนกับฉันอีก…”
สาวน้อยยิ่งพูดก็ยิ่งน้อยใจ ฮ่องกงมีใครที่มีชีวิตน่าเศร้าไปกว่าเธออีกไหม?
ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกยามจับมือกับผู้ชายด้วยซ้ำ ความรู้สึกใจเต้นเหมือนรัวกลอง…ความรู้สึกหวั่นไหวเหมือนไฟฟ้าสถิต…ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยสักครั้ง
แม่ชีที่บวชตามวัดยังมีความสุขมากกว่าเธออีก!
เหมยเหมยฟังแล้วก็อ้าปากค้างราวกับได้ย้อนกลับไปใช้ชีวิตสมัยโบราณ
ที่เขาต่างบอกกันว่าโจวจื่อหัวเป็นคนเข้มงวดแต่ไม่คิดว่าจะเข้มงวดถึงเพียงนี้ จุ๊ ๆ!
เธอมองโจวซิงเอ๋อร์ที่ยังไม่หายโกรธด้วยความเห็นใจ น่าสงสารจริง ๆเลย ภายใต้สภาพแวดล้อมอันเข้มงวดนี้แต่ยังมีนิสัยร่าเริงสดใสได้อีก ไม่ง่ายเลยจริง ๆนะ!
จู่ๆ เหมยเหมยก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีกว่าใคร จ้าวอิงหัวกับเหยียนซินหย่านับว่าเป็นพ่อแม่ที่หัวทันสมัยที่สุดในโลกแล้ว พวกเขาไม่เคยยุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอ อย่างมากแค่ถามเรื่องสำคัญสักหน่อยขอแค่ไม่นอกลู่นอกทางก็พอ
“เธอน่าจะลองคุยกับคุณปู่เธอดี ๆนะ ลองบอกให้เขารู้ความคิดเธอบ้าง” เหมยเหมยเกลี้ยกล่อม
“ไม่ได้ผลหรอก ปู่ฉันอยู่บ้านก็คือไท่ซ่างหวงที่สั่งคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้น พ่อฉันยังไม่กล้าค้านคำสั่งท่านเลย ฉันบอกไปก็ไม่ฟังหรอก” โจวซิงเอ๋อร์ทำท่าระอาอย่างมาก
ก่อนหน้านี้พ่อของเธอไปมีลูกนอกสมรสมา ทั้ง ๆที่ยังอยู่ในท้องแม่แท้ ๆแต่พอคุณปู่รู้เข้าก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบส่งคนไปกำจัดลูกนอกสมรสนั้นทิ้ง พ่อของเธอคุกเข่าอ้อนวอนก็เปล่าประโยชน์
อย่าเห็นว่าปกติคุณปู่ดีกับเธอขนาดไหนแต่เงื่อนไขคือห้ามทำผิดกฎท่าน หากทำผิดกฎที่ท่านกำหนดไว้จะถูกส่งไปตำหนักเย็นทันที
อย่างเช่นพ่อของเธอ
ตอนนี้ยังหางจุกตูดทำท่ายำเกรงอยู่เลย!
เหมยเหมยเองก็พอจะดูออกว่าโจวจื่อหัวเป็นผู้ปกครองประเภทเข้มงวดเอาแต่ใจ ไม่อนุญาตให้คนใต้อาณัติฝืนคำสั่งเขา
“งั้นถ้าเธอแอบไปดูการแข่งขันของเฉินเจีย ถ้าปู่เธอรู้เข้าจะไม่โกรธเหรอ?” เหมยเหมยถาม
“ฉันระวังตัวหน่อยปู่ฉันก็ไม่มีทางรู้หรอก พี่เหมยวางใจได้ ต่อให้ปู่ฉันรู้ฉันก็จะไม่ทรยศพี่ ฉันก็จะบอกไปว่าฉันซื้อตั๋วจากหวงหนิว[1]มา”
โจวซิงเอ๋อร์ทั้งให้คำมั่นสัญญาทั้งสาบานเพื่อรับประกันว่าเธอจะยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว เหมยเหมยเห็นแล้วก็นึกขำ ช่างเป็นสาวใสซื่อเสียจริง ถึงขนาดหลงคิดว่าจะปิดบังความจริงได้!
จากอำนาจการควบคุมของโจวจื่อหัวเขาจะไม่ส่งคนตามปกป้องหลานสาวสุดที่รักได้หรือ เขารู้ความเคลื่อนไหวของโจวซิงเอ๋อร์ทุกฝีก้าวอยู่แล้ว
“ไม่จำเป็นต้องแอบหรอก เธอคอยดูนะ” เหมยเหมยขยิบตาให้โจวซิงเอ๋อร์ ไม่รอให้เธอตอบกลับเหมยเหมยก็ตะโกนบอกโจวจื่อหัวไปว่า “ลุงหัวคะ หนูกับซิงเอ๋อร์เพิ่งเจอกันครั้งแรกแต่เหมือนคนที่รู้จักกันมานาน หนูขอพาเธอไปให้กำลังใจการแข่งขันเพื่อนหนูด้วยกันได้ไหมคะ?”
[1] หวงหนิว ใช้เรียกกลุ่มคนที่ชอบขายตั๋วราคาเกินจริงเอากำไรสูง
………………………..
ตอนที่ 1767 ที่บ้านเข้มงวด
โจวซิงเอ๋อร์มองเหมยเหมยอย่างตกใจ อย่างไรเสียก็นึกไม่ถึงว่าเธอยังไม่ทันหันก้นหนีเลยเหมยเหมยก็หักหลังเธอแล้ว!
พี่…ไม่เอามีดแทงข้างหลังกันแบบนี้สิ!
โจวซิงเอ๋อร์อยากร้องไห้แต่กลับไร้น้ำตา!
โจวจื่อหัวขมวดคิ้วน้อย ๆ ยังไม่ทันปริเสียงคุณนายโจวก็ชิงถามก่อนว่า “เพื่อนของเหมยเหมยเป็นนักกีฬาเหรอ? เล่นกีฬาอะไรเหรอ?”
“น้าโจวอาจจะไม่รู้จัก ชื่อเฉินเจียเป็นนักกีฬาฟันดาบทีมชาติฮ่องกง สามวันหลังจากนี้คือการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ หนูกะจะพาซิงเอ๋อร์ไปร่วมให้กำลังใจพร้อมพวกมู่มู่ด้วยค่ะ”
เหมยเหมยยิ้มอธิบาย เทียบกับการต้องหลบ ๆซ่อน ๆ สู้ถามอย่างเปิดเผยเลยดีกว่าเพราะอย่างไรเสียก็ปิดไม่มิด
โจวจื่อหัวแค่นเสียงเบา ๆ “เกรงว่าจะไปดูคนมากกว่ามั้ง!”
คิดว่าเขาไม่รู้ว่าหลานสาวแอบรักนักกีฬาสกุลเฉินคนนั้นฝ่ายเดียวหรือไง เจ้าหมอนั่นคุณสมบัติไม่เลวแต่หน้าตาสวยกว่าผู้หญิงเสียอีก เขาก็ต้องมีหญิงติดตรึมอยู่แล้ว ผู้ชายแบบนี้เหมาะกับหลานสาวเขาเสียที่ไหนกัน?
แต่โจวจื่อหัวก็ให้หน้าเหมยเหมยเต็มที่ไม่ได้ปฏิเสธทันควันแต่สีหน้ากำลังบ่งบอกว่าไม่ยินยอมอย่างชัดเจน
คุณนายโจวกระทุ้งศอกใส่เขาเบา ๆทีหนึ่งแล้วพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ช่วยสร้างชื่อเสียงให้ประเทศเราก็ต้องสนับสนุนอยู่แล้ว อีกอย่างไปกับเหมยเหมยคุณมีอะไรไม่ไว้วางใจอีกเหรอ?”
โจวซิงเอ๋อร์ตาวาว คุณย่ารู้ใจเธอเสียด้วย!
เหมยเหมยเองก็ยิ้มกล่าว “ลุงโจวกังวลเกินไปแล้ว ฮ่องกงจะมีใครกล้าเป็นปรปักษ์กับคุณบ้าง? อีกอย่างมีฉันคอยตามดูอยู่จะเกิดเรื่องอะไรกับซิงเอ๋อร์ได้ละคะ!”
เธอว่าแล้วก็เตะขาเจ้าหนูที่ยังคงตกตะลึงไปทีหนึ่ง โจวซิงเอ๋อร์เข้าใจความหมายดีเลยถูมือออดอ้อนเว้าวอนไม่หยุดหย่อน “คุณปู่คะ ขอร้องละ…หนูแค่ไปดูการแข่งขัน จะอยู่ห่างจากผู้ชายทุกคนสามเมตรเลย…ได้ไหมคะ…”
โจวจื่อหัวปวดศีรษะเพราะเสียงกวนใจของเธออีกทั้งยังมีคนคอยช่วยพูดตั้งมากขนาดนี้ เขาเองก็จะหักหน้าทุกคนไม่ได้เลยเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบตึง “ดูการแข่งขันเสร็จก็กลับบ้าน อย่าออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนฝูงจิ้งจอกพวกนั้นของเธอล่ะ”
อย่าคิดว่าเขารู้ไม่ทันว่านี่เป็นแผนของหลานสาวที่จงใจให้จ้าวเหมยออกหน้าแทน ถ้าเป็นจ้าวเหมยเขาไม่กังวลอยู่แล้วแต่เขากลับไม่ไว้ใจกลุ่มเพื่อนของโจวซิงเอ๋อร์เลยสักนิด
ตอนนี้ฮ่องกงกำลังอยู่ในความวุ่นวาย กลุ่มมีอิทธิพลน้อยใหญ่เริ่มผุดออกมาเป็นดอกเห็ดซึ่งแต่ละคนต่างก็เพ่งเล็งมาที่ถิ่นของเขา โดยเฉพาะสวะอย่างเฉินกั๋วเปียวที่ไร้คุณธรรมสิ้นดี ช่วงก่อนหน้าลักพาตัวเศรษฐีเกาะไต้หวันไปคนหนึ่งแต่พอได้เงินค่าไถแล้วยังฆ่าปิดปากอีกฝ่ายไปด้วย
ไร้ความเป็นคนเลยจริง ๆ!
โจวซิงเอ๋อร์อ้าปากหวอราวกับไม่คิดว่าจะราบรื่นขนาดนี้ เหมยเหมยเตะอีกทีเธอถึงได้สติกลับมาแล้ววิ่งไปตรงหน้าโจวจื่อหัวจุ๊บแก้มเขาหนัก ๆหนึ่งทีอย่างดีใจ
แล้วก็หันไปจุ๊บแก้มคุณนายโจวอีกด้วย ท่าทางดีอกดีใจเหมือนเด็กไม่มีผิด
คุณนายโจวแม้ใบหน้าจะยิ้มแย้มแต่ระหว่างคิ้วกลับดูตึงเครียดเล็กน้อย ยิ่งหนักแน่นในความคิดเมื่อครู่กว่าเดิม สถานการณ์ไม่สู้ดีจะต้องรีบตัดสินใจโดยเร็วที่สุด
ในเมื่อโจวจื่อหัวอนุญาตแล้วย่อมไม่ต้องให้เหมยเหมยไปขอตั๋วจากเฉินเจียอีก เช้าวันรุ่งขึ้นคนขับรถประจำตระกูลโจวก็เอาตั๋วที่นั่งแขกกิตติมาศักดิ์มาส่งถึงที่แล้วบอกอีกว่าวันแข่งขันตระกูลโจวจะส่งรถมารับ บริการครบครันสุดแสนจะประทับใจ
เหมยเหมยคิดในใจว่าโจวจื่อหัวช่างทุ่มเทให้กับครอบครัวเหลือเกิน!
เพียงแต่ความกลัดกลุ้มใจของเขาพวกโจวซิงเอ๋อร์ไม่เข้าใจน่ะสิ!
แต่นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของเขา ลำพังเธอแค่คนนอกไม่มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ อีกอย่างเธอกับโจวจื่อหัวก็ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นนั้น
เหลืออีกตั้งสองวันถึงจะเป็นวันแข่ง เหมยเหมยกับพวกเซียวเซ่อเลยถือโอกาสเอาสองวันนี้ออกเที่ยวให้หนำใจ มีสองที่ที่ต้องไปให้ได้นั่นก็คือหม่องก็อกกับโอเชี่ยนพาร์ค พวกเหมยเหมยเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานแต่กลับชอบมีคนเป็นมารขัดความสุขพวกเขาเสมอ
“หร่วนหวาไฉ่มาฮ่องกงได้ไงกัน? แล้วยังอ้างชื่อเสียงของปู่ฉันกุเรื่องหลอกลวงอีก?” เหมยเหมยเผลอไปเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเข้าก็โมโหแทบตาย
ตอนที่ 1768 เพื่อนสนิทที่ชุมชนจัดสรร
วันนี้เป็นวันแข่งขันของเฉินเจีย เหมยเหมยเลยตื่นแต่เช้าตรู่ ตอนทานข้าวเช้าหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะมาอ่านพอพลิกไปหน้าที่สองก็เห็นบทความข่าวอันน่ารังเกียจเข้า
พาดหัวข่าวว่าเป็นกลุ่มศิลปินจากแผ่นดินใหญ่ที่มาแลกเปลี่ยนความรู้กับทางฮ่องกงโดยมีผู้นำกลุ่มเป็นหร่วนหวาไฉ่ พอทำมาหากินที่แผ่นดินใหญ่ไม่ได้ก็หนีมาหลอกลวงชาวฮ่องกงแทน เหอะ ๆ…
เหมยเหมยไม่ยุ่งเรื่องกุเรื่องหลอกลวงในเมื่อฝ่ายที่โดนหลอกไม่ใช่เธอแต่ไอ้แก่นี่ดันใช้ชื่อคุณปู่เป็นเครื่องมือ ไม่ได้ เรื่องนี้เธอไม่มีวันยอม
“เสี่ยวอวิ๋นไปสืบดูสิว่าผู้จัดกิจกรรมครั้งนี้เป็นใคร? จัดที่ไหน เริ่มตั้งแต่เมื่อไร สืบมาให้หมด” เหมยเหมยสั่ง
คงต้องโทษหร่วนหวาไฉ่อับโชคที่ดันมาฮ่องกงในเวลานี้ หึ ตาแก่นี่เตรียมตัวโดนเธอบุกถึงที่ได้เลย!
ไม่นานรถของตระกูลโจวก็มาถึง โจวซิงเอ๋อร์อยู่บนรถกำลังโบกมือให้เหมยเหมยอย่างร่าเริง
ยัยหนูแต่งตัวได้สดใสมาก เธอใส่หมวกกันแดดสีขาว เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนรัดรูปสีน้ำเงินคู่กับรองเท้าผ้าใบสีขาว รวบผมตึงสูงขับให้ดูสูงโปร่งแข็งแรงดูแล้วสบายตาอย่างมาก
“ถ้าเธอเปลี่ยนกางเกงเป็นกระโปรงสั้นจะสวยกว่านี้” เหมยเหมยยิ้มเอ่ย
โจวซิงเอ๋อร์มีสัดส่วนหุ่นที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ขาทั้งยาวและตรงไม่มีไขมันสักนิด ใส่กระโปรงสั้นจะต้องสวยมากแน่ ๆ
“เฮ้อ…ปู่ไม่ให้ฉันใส่กระโปรงสั้นเลยขึ้นเข่า ถ้าใส่กระโปรงยาวก็วิ่งไม่ได้ สู้ใส่กางเกงสะดวกกว่า” โจวซิงเอ๋อร์ยักไหล่อย่างระอาแต่ดูท่าทางอารมณ์ดีไม่หยอก
ใกล้จะได้เจอไอดอลในระยะประชิดแล้ว ไม่แน่อาจจะได้สนทนากันหลายประโยคด้วย!
เหมยเหมยส่ายหน้า ตระกูลโจวช่าง…
ยากที่จะให้คนเชื่อว่าตระกูลโจวได้ดีจากวงการตลาดมืด กลับคร่ำครึหัวโบราณยิ่งกว่าตระกูลผู้ดีบางส่วนเสียอีก
“แบบนี้ก็สวย กระโปรงสั้นไม่สะดวกจริง ๆแหละ อีกอย่างโป๊ง่ายด้วย ข้อกังวลของปู่เธอมีเหตุผลดี” เหมยเหมยกล่าว
โจวซิงเอ๋อร์ไม่สนใจในเมื่อเธอเองก็ไม่ชอบใส่กระโปรงสั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะขนขาของเธอทั้งยาวทั้งดำเหมือนผู้ชายไม่มีผิดจึงทำให้ดูน่าเกลียดเวลาใส่กระโปรง เพียงแต่บางครั้งเห็นเพื่อนใส่กระโปรงสวย ๆแล้วเธอแอบอิจฉาบ้างก็เท่านั้นละ!
“ยังต้องไปรับเพื่อนสนิทของฉันก่วนเสี่ยวอวี้ เธอพักไกลหน่อยพี่เหมยอย่าว่ากันนะ!” โจวซิงเอ๋อร์รู้สึกผิดหน่อย ๆเพราะกลัวไม่ทันเวลา
“ไม่รีบ อีกตั้งชั่วโมงครึ่งถึงจะเริ่มแข่ง”
เหมยเหมยเองก็สงสัยว่าก่วนเสี่ยวอวี้เป็นใคร ได้ยินว่าเป็นเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของโจวซิงเอ๋อร์ที่ได้รับการยอมรับหลังสืบประวัติครอบครัวสิบแปดชั่วโคตรของโจวจื่อหัว อีกทั้งก่วนเสี่ยวอวี้ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีไม่มีแม้แต่บ้านเป็นของตัวเอง ทั้งครอบครัวต้องอาศัยอย่างแออัดภายในบ้านจัดสรรจากทางรัฐ
สองคนนี้เป็นเพื่อนกันโดยที่คนหนึ่งก็เป็นต้นหญ้าอีกคนก็เป็นเจ้าหญิง ไม่รู้เลยจริง ๆว่าพวกเธอมาเป็นเพื่อนสนิทกันได้อย่างไร
บ้านจัดสรรสาธารณะของฮ่องกงความจริงก็คือบ้านเช่าราคาถูกที่แน่นอนว่าสภาพความเป็นอยู่ต้องไม่ดีอยู่แล้ว บ้านหลังเก่าสภาพแวดล้อมรอบข้างที่แสนเลวร้าย คนที่อาศัยอยู่ตรงนั้นส่วนมากเป็นชาวบ้านที่มีรายได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ค่าเช่าบ้านเลยมีราคาถูก
แม้พักที่บ้านจัดสรรสาธารณะจะช่วยประหยัดเงินแต่กลับต้องโดนดูถูก โดยเฉพาะเด็กที่อาศัยอยู่บ้านจัดสรรสาธารณะที่ต้องโดนข่มเหงรังแกในโรงเรียนอย่างแน่นอน
โจวซิงเอ๋อร์เข้าเรียนอยู่โรงเรียนนานาชาติที่ดีที่สุดในฮ่องกง ค่าเล่าเรียนราคาสูงลิ่วเด็กที่เรียนที่นั่นจึงเป็นลูกหลานเศรษฐี เหตุผลที่ก่วนเสี่ยวอวี้เข้าเรียนได้เพราะเธอมีผลการเรียนดีได้รับทุนการศึกษาสูงสุดจากโรงเรียน
ฟังแล้วน่าจะเป็นผู้หญิงที่กระตือรือร้นทะเยอทะยานไม่ยอมพ่ายแพ้ให้กับโชคชะตาคนหนึ่ง มิน่าถึงผ่านการทดสอบของโจวจื่อหัวได้
“เสี่ยวอวี้ ทางนี้!”
โจวซิงเอ๋อร์ให้คนขับรถจอดรถในสวนสาธารณะแล้วโบกมือเรียกเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเผยรอยยิ้มจริงใจที่พอจะเห็นได้ว่าเธอชอบเพื่อนคนนี้มากจริง ๆ
………………………..
ตอนที่ 1769 เลี้ยงมื้อใหญ่
ก่วนเสี่ยวอวี้ตัวเล็กเตี้ยกว่าโจวซิงเอ๋อร์กว่าคืบน่าจะสูงราว 160 เซนติเมตร มีหน้าตาน่ารักผิวขาวเนียนสวมแว่นหนาเตอะ ตัวผอมบางและขอบตาดำ ท่าทางได้รับสารอาหารไม่ครบและนอนหลับไม่เพียงพอ
เธอเป็นนักเรียนที่ขยันขันแข็งคนหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ดูแล้วสภาพร่างกายของเธอน่าจะแบกรับไม่ค่อยไว้แล้ว!
ก่วนเสี่ยวอวี้เป็นคนขี้อายเสียหน่อยเลยไม่ชอบคุยกับใคร หลังขึ้นรถก็แค่ทักทายก่อนจะนั่งอยู่เงียบ ๆ ไม่ปริเสียงใด
แต่เธอเป็นผู้ฟังที่ดีคนหนึ่ง บางครั้งจะส่งเสียงตอบกลับมาทำให้โจวซิงเอ๋อร์ไม่ดูเป็นคนคุยจ้อแต่เพียงฝ่ายเดียว
เหมยเหมยสังเกตเห็นว่าเธอสวมชุดนักเรียนเลยรู้ได้ทันทีว่าฐานะทางบ้านของก่วนเสี่ยวอวี้แย่กว่าที่เธอคาดคิด ผู้หญิงล้วนรักสวยรักงาม ในวันหยุดสุดสัปดาห์ใครอยากจะสวมชุดนักเรียนกัน ก่วนเสี่ยวอวี้ยังคงสวมชุดนักเรียนแบบนี้บ่งบอกว่าเธอไม่มีตัวเลือกชุดอื่นให้สวมใส่แล้ว
หรือบางทีเสื้อผ้าตัวอื่นของเธอใส่ออกบ้านไม่ได้เพราะเทียบไม่ได้แม้แต่กับชุดนักเรียน
ชุดนักเรียนประจำโรงเรียนของโจวซิงเอ๋อร์ถูกออกแบบโดยนักออกแบบชื่อดังที่แบ่งออกเป็นสี่ฤดู ชุดที่ดูดีที่สุดคือชุดประจำฤดูร้อน หากไม่ได้มีหุ่นอ้วนกลมเป็นลูกบอลสาวน้อยทุกคนจะดูดีเมื่อสวมใส่ และก่วนเสี่ยวอวี้กับโจวซิงเอ๋อร์เองต่างก็ใส่สวยกันทั้งคู่
“เสี่ยวอวี้ พ่อเธอตีเธออีกแล้วใช่ไหม?” โจวซิงเอ๋อร์คว้าแขนก่วนเสี่ยวอวี้ขึ้นมาในฉับพลันด้วยสีหน้าเดือดดาล
“เปล่าหรอก ฉันเดินชนเอง”
ก่วนเสี่ยวอวี้ชักมือกลับเงียบ ๆ ใช้มืออีกข้างปกปิดรอยแผลตรงแขน รอยฟกช้ำเขียวจ้ำมีหลายจุดที่น่าจะโดนของประเภทเชือกฟาดเข้า
“เธอโกหกฉันอีกแล้ว แค่ดูก็รู้ว่าโดนไม้หวายฟาด พ่อเธอแพ้พนันอีกแล้วสินะ? หึ ฉันจะหาคนไปสั่งสอนพ่อเธอเธอก็ไม่ยอม น่าโมโหที่สุด…”
โจวซิงเอ๋อร์พร่ำบ่นอย่างโมโหเพราะรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนเพื่อนโดยไม่สังเกตเห็นความอึดอัดที่ฉายบนใบหน้าก่วนเสี่ยวอวี้
เหมยเหมยจงใจพูดเสียงดัง “โอ้โห น้ำพุข้างนอกสวยจัง ซิงเอ๋อร์เธอเลื่อนหน้าต่างลงหน่อย”
ไม่นานโจวซิงเอ๋อร์ก็ถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปแล้วเลื่อนหน้าต่างลงแต่โดยดี แล้วยังแนะนำสถานที่ตามท้องถนนให้เหมยเหมยอย่างกระตือรือร้น ก่วนเสี่ยวอวี้มองเหมยเหมยแวบหนึ่งเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะพรูลมหายใจออกเบา ๆ
เธอรู้ว่าโจวซิงเอ๋อร์หวังดีแต่ต่อหน้าคนนอกแบบนี้ การเปิดโปงเรื่องอื้อฉาวภายในบ้านของเธอทำให้เธอรู้สึกอึดอัดสิ้นดี
โดยเฉพาะยังมีพวกสยงมู่มู่กับเหมยเหมยอยู่ ก่วนเสี่ยวอวี้ก็ยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
เหมยเหมยรู้สึกแปลกใจขึ้นเรื่อย ๆ อุปนิสัยของโจวซิงเอ๋อร์กับก่วนเสี่ยวอวี้ต่างกันสุดขั้วดูอย่างไรก็ไม่เข้ากันเลยสักนิด ฐานะทางบ้านเองก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว แล้วสองคนนี้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันได้อย่างไร?
ไม่นานจากนั้นก็เดินทางมาถึงสนามแข่งที่ยังห่างจากเวลาเริ่มการแข่งขันอีกหนึ่งชั่วโมง เฉินเจียหาเวลาว่างออกมาพบพวกเขา สภาพเขาดูดีไม่หยอกไหนจะเป็นฝ่ายล้อเล่นกับพวกเขาอีกด้วย
“ถ้าฉันแข่งได้อันดับดีพวกเธอต้องเลี้ยงมื้อใหญ่ฉัน แต่ถ้าไม่ฉันจะเป็นฝ่ายเลี้ยงพวกเธอเอง…”
“ถุย ๆ…เฉินเจียนายจะต้องได้อันดับที่ดีแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์…”
โจวซิงเอ๋อร์ดูจะกระวนกระวายยิ่งกว่าเฉินเจียราวกับว่าคนที่ลงแข่งเป็นเธอเสียอย่างนั้นแหละ
เฉินเจียชะงักไปครู่หนึ่งแล้วอมยิ้มน้อย ๆ “ขอบคุณนะ ฉันจะพยายาม”
เหมยเหมยแนะนำโจวซิงเอ๋อร์กับก่วนเสี่ยวอวี้ให้เขารู้จักโดยไม่พูดถึงพื้นหลังครอบครัวของโจวซิงเอ๋อร์ บอกเพียงว่าเป็นลูกของเพื่อนที่รู้จัก “ซิงเอ๋อร์เป็นแฟนคลับของนาย บอกว่าจะมาให้กำลังใจนาย นายต้องทำตัวดี ๆนะ ถ้าได้อันดับดีฉันจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงมื้อใหญ่ที่ภัตตาคารป้าหวังเอง”
เฉินเจียตาเป็นประกาย “…เพื่อมื้อใหญ่ที่ภัตตาคารป้าหวัง…ฉันจะสู้!”
เขาไม่ได้อยู่นานแค่ครู่เดียวก็ขอตัวไปแล้ว โจวซิงเอ๋อร์กับก่วนเสี่ยวอวี้ต่างตื่นเต้นกันทั้งคู่ ใบหน้าแดงระเรื่อดวงตาระยิบระยับและใบหน้าแต้มยิ้มอย่างหลงใหล
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น