ข้ามกาลบันดาลรัก 175.2-176.1

ตอนที่ 175-2 วาจาของแม่ทัพรองชุย

 

รถม้าสองคันมาถึงประตูเมืองฝั่งตะวันตก รถม้าของตี้ซือยังมาไม่ถึง 


 


 


เหวินซื่อโล่งอก สั่งการพนักงานให้บังคับรถม้าไปด้านนอกประตูเมือง ลงจากรถม้ามายืนรอ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและคนทั้งหมดก็ลงจากรถม้า 


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นประคองเมิ่งจงจวี่ลงมายืนนิ่ง 


 


 


ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ไกลออกไปมีรถม้าหลายคันแล่นมุ่งหน้าเข้ามา 


 


 


คนที่คุ้มกันมาตลอดทางคล้ายจะรู้จักเหวินซื่อ เห็นเขายืนรออยู่หน้าประตูเมือง พูดเสียงเบาบอกคนในรถม้าว่ามีคนมารับพวกเขาแล้ว รถม้าทั้งหมดหยุดจอด 


 


 


เหวินซื่อก็รู้จักผู้คุ้มกัน เอ่ยปากเสียงลั่น “ท่านรองแม่ทัพชุย ท่านมาส่งด้วยตัวเอง” 


 


 


รองแม่ทัพชุยประสานหมัดขานรับ “นายท่านเหวิน สบายดีหรือ” 


 


 


เหวินซื่อชี้รอยแผลเป็นบนใบหน้าตนเองแล้วถาม “ข้าดูเหมือนสบายดีเช่นนั้นหรือ?” 


 


 


รองแม่ทัพชุยชะงักอึ้งเล็กน้อย แล้วยิ้มพูด “นายท่านเหวินยังมีอารมณ์ขันเช่นเดิม” 


 


 


ม่านบังรถรถม้าคันแรกถูกเปิดออก ชายชราผู้เต็มไปด้วยรัศมีแห่งผู้ทรงภูมิ ท่วงท่ากระชุมกระชวยแข็งแรงคนหนึ่งเดินลงมา 


 


 


เมิ่งจงจวี่เป็นผู้นำทุกคนเข้าไปต้อนรับ 


 


 


รองแม่ทัพชุยก็ลงจากม้า พูดกับทุกคน “ท่านผู้นี้คืออาจารย์ที่ท่านแม่ทัพเชิญมาให้เด็กน้อยบ้านสกุลเมิ่ง” 


 


 


เมิ่งจงจวี่ลนลานประสานมือคารวะกล่าวว่า “ข้าคือปู่ของอี้เซวียน ได้ฟังว่าท่านอาจารย์จะมา ตั้งใจพาคนในครอบครัวมาต้อนรับ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลอบประเมินท่ามกลางกลุ่มคน ชายชรามีรูปร่างสมส่วน เสื้อผ้าพอดีตัว ไม่ถือว่าหรูหรา กลับสะท้อนความสูงส่งไม่ธรรมดา ใบหน้าสดใสเบิกบาน แผงเคราสีขาวพลิ้วไสวเบื้องหน้าหน้าอก สะท้อนบารมีเยี่ยงเทพเซียน 


 


 


จากปากของฉู่เหวินเจี๋ย ตี้ซือทราบเพียงว่าสกุลเมิ่งเป็นคนชนบท มิได้รับทราบสิ่งใดอีก ตอนนี้ได้ฟังเมิ่งจงจวี่กล่าวถ้อยคำอย่างมีมารยาท อดมองประเมินพวกเขาหลายครั้งไม่ได้ เห็นพวกเขาแต่ละคนแต่งกายใช้ได้ ไม่เหมือนครอบครัวที่ยากจนข้นแค้น ก็ให้รู้สึกเบาใจไปได้บ้าง กล่าวอย่างอ่อนโยน “เกรงใจแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นเพียงอาจารย์คนหนึ่ง ลำบากพวกเจ้าต้องมาต้อนรับแล้ว” 


 


 


ตี้ซือประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้เหล่าองค์ชายมาหลายปี เนื้อตัวสะท้อนบารมีน่าเกรงขาม แม้นว่าตนเองจะแสดงกิริยาอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน รัศมีอันน่าเกรงขามบนตัวนั้นก็ยังคงอยู่ 


 


 


เมิ่งจงจวี่พลันพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ท่านอาจารย์ถ่อมตนเกินไปแล้ว ด้วยความรู้ของท่าน ยอมมาสอนสั่งหลานชายของข้าด้วยตนเอง ถือว่าเป็นเกียรติแก่สกุลเมิ่งของพวกเราแล้ว” 


 


 


ตี้ซือโบกมือ “พูดเช่นนี้ยังเร็วเกินไป รอให้ข้าพบหลานชายคนนั้นของท่านก่อนถึงค่อยตัดสินใจ” 


 


 


เมิ่งจงจวี่ยังคงกล่าวอย่างนบนอบ “วันนี้หลานชายข้าไปโรงเรียน จึงไม่อาจมาต้อนรับท่านด้วยได้ รอพาท่านอาจารย์เข้าที่พักเรียบร้อย พวกเราก็จะไปรับเขามากราบคารวะท่านอาจารย์” 


 


 


ตี้ซือยิ้มอ่อนๆ “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกท่านก็นำทางเถิด มีเรื่องอะไรรอให้พวกเราเข้าที่พักเรียบร้อยแล้วค่อยว่ากัน” 


 


 


เมิ่งจงจวี่ขานรับคำ 


 


 


ตี้ซือเดินกลับไปขึ้นรถม้า 


 


 


เมิ่งจงจวี่ปาดเหงื่อผดบนหน้าผากตัวเอง เร่งรุดกลับไปขึ้นรถม้าตัวเองด้วยการประคองของเมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนคานรถม้าด้านหน้า กำชับให้เหวินเป้าตรงกลับบ้าน 


 


 


รองแม่ทัพชุยเห็นนางเป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆ กลับออกมานั่งด้านนอกรถม้า หลังจากมองนางอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง ถึงพลิกตัวขึ้นหลังม้า กำชับรถม้าให้ตามติดไป 


 


 


เหวินซื่อก็ขึ้นบนหลังม้าแล้ว ม้าเดินไปพลางพูดคุยกับรองแม่ทัพชุยไปพลาง ถามไถ่สถานการณ์ช่วงนี้ของฉู่เหวินเจี๋ย 


 


 


รองแม่ทัพชุยตอบเขาเสียงเบา “ตอนนี้ท่านแม่ทัพสบายดีทุกประการ เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันจะง่วนอยู่กับการฝึกทหารในค่าย ทว่า ก่อนข้ามาท่านแม่ทัพได้ฝากข่าวมาให้ท่าน บอกว่าปีนี้ยุ่งมาก อาจจะปลีกตัวมาจากเมืองหลวงไม่ได้ เรื่องที่เขาฝากฝังท่านไว้ขอท่านอย่าได้ลืมเลือนเด็ดขาด ต่อให้มีเบาะแสเพียงน้อยนิดก็ต้องแจ้งเขา” 


 


 


เหวินซื่อพยักหน้าพูดว่า “ท่านกลับไปบอกท่านพี่ฉู่ บอกว่าเรื่องนี้ยังไม่มีความคืบหน้า แต่ข้าคอยให้คนสืบข่าวอยู่ตลอด เมื่อได้ข่าวข้าจะแจ้งเขาไปทันที” 


 


 


รองแม่ทัพชุยรับคำ “ข้ากลับไปจะแจ้งท่านแม่ทัพตามจริงทุกประการ” 


 


 


พูดจบก็ยิ่งกดเสียงต่ำถามความ “ไม่ทราบว่าสกุลเมิ่งและท่านแม่ทัพมีความเกี่ยวดองอันใดต่อกัน ท่านแม่ทัพถึงกับเชิญตี้ซือมาสอนเด็กบ้านพวกเขา” 


 


 


เหวินซื่อก็ไม่ปิดบัง “ปีก่อนหลังจากท่านพี่ฉู่ออกจากเมืองหลวง ถูกลอบทำร้าย คนร้ายยิงธนูตะขออาบยาพิษเข้าที่กลางหลังเขา แม้แต่ข้าก็ทำอะไรไม่ถูก เป็นแม่นางน้อยสกุลเมิ่งที่ยื่นมือมาช่วยชีวิตเขาไว้” 


 


 


เมิ่งจงจวี่พยักหน้า “เป็นอย่างนี้เอง ถึงว่าท่านแม่ทัพไม่เสียดายที่จะทวงบุญคุณขอให้ตี้ซือมาสอน ทำเอาพวกข้าพี่น้องแอบคาดเดากันเองอยู่เป็นนาน แต่ว่า ไม่ทราบว่าแม่นางสกุลเมิ่งคนนี้มีอายุเท่าใด เหตุใดถึงมีวิชาแพทย์สูงส่งปานนั้น” 


 


 


เหวินซื่อชี้เมิ่งเชี่ยนโยวแล้วพูด “ก็คือนาง” 


 


 


รองแม่ทัพชุยมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตกอกตกใจแวบหนึ่ง ถามอย่างไม่เชื่อ “นางคือคนที่ช่วยชีวิตท่านแม่ทัพ?” 


 


 


เหวินซื่อพยักหน้า 


 


 


รองแม่ทัพชุยลอบมองประเมินเมิ่งเชี่ยนโยวโดยรอบอีกครั้งอย่างอดใจไม่ได้ เห็นนางเป็นเพียงสาวน้อยบ้านนาธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ก็ให้ยิ่งประหลาดใจ ถามขึ้น “แม่นางน้อยท่านนี้มองดูแล้วมีอายุอานามเพียงสิบสองสิบสามปีเท่านั้น กลับมีวิชาแพทย์ที่ล้ำเลิศได้ปานนั้น?” 


 


 


เหวินซื่อตอบเขา “เจ้าอย่าได้ดูแคลนนางเป็นอันขาด นางไม่เพียงรู้วิชาแพทย์ ทั้งยังปรุงยาได้ ยาห้ามเลือดที่ท่านพี่ฉู่นำกลับไปปีก่อนก็ได้นางเป็นคนปรุงให้” 


 


 


รองแม่ทัพชุยยิ่งให้ตกตะลึง ยาห้ามเลือดที่ท่านแม่ทัพนำกลับไปปีก่อนสร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งกองทัพ แพทย์ทหารถึงกับไม่สนใจหน้าตาร้องฟูมฟายจะแขวนคอตาย ให้ท่านแม่ทัพคิดหาวิธีนำกลับไปอีก ท่านแม่ทัพกลับไม่รับปาก ที่แท้เป็นแม่นางน้อยท่านนี้เป็นคนปรุงออกมา 


 


 


เหวินซื่อพูดต่อ “ไม่เพียงเท่านั้น นางยังมีความเชี่ยวชาญด้านการค้า อายุเพียงเท่านี้ก็หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำแล้ว” 


 


 


รองแม่ทัพชุยได้ฟังจึงหันไปพินิจมองเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาต่อนางเต็มหัวใจ 


 


 


“แต่ทว่า นางเป็นคนอารมณ์ร้าย ท่านอย่าได้ยั่วโมโหนางเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นนางจะใช้วิธีอัศจรรย์พันลึกต่างๆ นาๆ มาจัดการท่าน” สุดท้ายเหวินซื่อกล่าวด้วยความปรารถนาดี 


 


 


รองแม่ทัพชุยรีบร้อนพูด “ไม่แน่นอน ท่านแม่ทัพกล่าวไว้แล้ว ขอเพียงตี้ซือยินดีจะอยู่ที่นี่ ก็ให้พวกเราเดินทางกลับไปทันที” 


 


 


เหวินซื่อพยักหน้า “ก่อนไปท่านต้องมาที่ร้านยาเต๋อเหริน พวกเราจะได้เสวนากันอย่างเต็มที่” 


 


 


มาถึงทางแยก เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงพูดกับเหวินซื่อ “ที่ร้านยาค่อนข้างยุ่ง เจ้ากลับไปก่อนเถอะ” 


 


 


เดิมทีเหวินซื่อและตี้ซือก็ไม่รู้จักมักจี่กัน ที่ตามมาก็เพื่อตามมารับคนด้วยเท่านั้น ตอนนี้รับคนมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว จึงไม่มีธุระกงการอะไรของเขาอีก ได้ฟังดังนั้นก็รั้งเชือกม้า หันไปพูดกับรองแม่ทัพชุย “เช่นนั้นข้าไม่ไปส่งแล้ว เมื่อท่านจะไปจะต้องมาที่ร้านยาเต๋อเหริน” 


 


 


รองแม่ทัพชุยรับคำ 


 


 


เหวินซื่อกระตุกม้าเดินทางกลับ 


 


 


คนที่เหลือเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านหวง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเกรงคนทั้งครอบครัวตี้ซือจะไม่คุ้นชิน ให้เหวินเป้าลดความเร็วของรถม้า ใช้เวลาสองชั่วยามเต็มกว่าจะมาถึงเรือนหลังใหม่ 


 


 


เหวินเป้าหยุดรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดลงมาก่อน เมิ่งจงจวี่ก็ตามลงมาด้วยการประคองของเมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋น เดินมาเบื้องหน้ารถม้าของตี้ซือ รอคอยตี้ซือลงจากรถม้าอย่างนอบน้อม 


 


 


รถม้าทั้งหมดหยุดสนิทแล้ว คนบนรถม้าต่างทยอยกันเดินลงมา 


 


 


เมิ่งจงจวี่กล่าวกับตี้ซืออย่างนบนอบ “นี่เป็นที่พักที่เตรียมไว้ให้ท่าน เชิญท่านตามข้าเข้าไปดูว่าพึงพอใจหรือไม่?” 


 


 


ตี้ซือยอมตบปากรับมาสอนสั่งวิชาให้เมิ่งอี้เซวียนเพื่อทดแทนบุญคุณของฉู่เหวินเจี๋ย ทว่าก็ยังคิดจากใจว่าเด็กน้อยบ้านนาคนหนึ่ง ต่อให้ฉลาดมีพรสวรรค์เพียงใด ย่อมอ่อนด้อยห่างไกลจากเหล่าโอรสองค์ชายเป็นอย่างมาก ไม่มีทางเข้าตาตนเอง ดังนั้นระหว่างทางที่มาก็ได้เตรียมใจกลับบ้านเกิดไว้แล้ว ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจเรื่องที่พักอาศัยแม้แต่น้อย ได้ฟังเมิ่งจงจวี่พูดเช่นนี้ จึงพูดอย่างเกรงใจและมีมารยาทว่า “ข้าเป็นเพียงอาจารย์ต่ำต้อย มิได้มีข้อเรียกร้องสูงต่อที่พักอาศัย ขอเพียงอาศัยได้ก็พอแล้ว” 


 


 


เมิ่งจงจวี่อ่านความคิดเขาไม่ออก ทำได้เพียงเชื้อเชิญเขาเข้าไปในบ้านอย่างนอบน้อมอีกครั้ง 


 


 


ตี้ซือรอคนทั้งหมดลงจากรถม้าแล้ว ถึงก้าวเท้าเข้าไปในเรือนใหม่อย่างไม่รีบไม่ร้อน 


 


 


เมิ่งจงจวี่เร่งรุดตามติดไปอย่างอ่อนน้อม 


 


 


คนทั้งหมดเดินตามหลังมาติดๆ 


 


 


แม้ตี้ซือจะมิได้คาดหวังใดๆ กับที่พัก แต่หลังจากเดินเข้ามาในเรือนใหม่ ก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าหมู่บ้านชนบทเล็กๆ นี้กลับปลูกเรือนได้โดดเด่นมีเอกลักษณ์อีกทั้งใหญ่โตงดงามแปลกตา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นปฏิกิริยาของเขาก็ให้วางใจลง 


 


 


บรรดาผู้ที่เดินตามหลังเข้ามาก็ให้ตกตะลึงพรึงเพริด 


 


 


เมิ่งจงจวี่กล่าวแนะนำ “นี่เป็นเรือนสี่ประสานสี่ลานเรือน คนในแต่ละลานเรือนสามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นส่วนตัว หรือจะรวมตัวกันทันทีก็ได้” 


 


 


ตี้ซืออดกล่าวชื่นชมไม่ได้ “เป็นการออกแบบที่ล้ำเลิศนัก ไม่ทราบว่ายอดฝีมือท่านใดคิดออกมา” 


 


 


เมิ่งจงจวี่ตอบอย่างภาคภูมิใจ “หลานสาวของข้าเป็นผู้ออกแบบออกมา” 


 


 


ตี้ซือตะลึงเล็กน้อย “หลานสาวท่านช่างมีสติปัญญาปราดเปรื่อง ไม่ทราบว่าปีนี้อายุเท่าใด” 


 


 


เมิ่งจงจวี่หันไปกวักมือให้เมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวขึ้นมาข้างหน้า 


 


 


เมิ่งจงจวี่ยกยิ้มพูด “นี่ก็คือหลานสาวผู้นั้นของข้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคลี่ยิ้มคารวะตี้ซือ 


 


 


ตี้ซือเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ถามอย่างตกตะลึง “เรือนหลังนี้เจ้าเป็นผู้ออกแบบ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ในบ้านมีคนมาก ปลูกเรือนเป็นหลังๆ ยุ่งยากเกินไป ข้าจึงคิดออกแบบเช่นนี้ เทียบไม่ได้กับคฤหาสน์หลังใหญ่ในเมืองหลวง แต่ในชนบทนี้ถือได้ว่ามีเพียงหลังเดียว”  

 

 


ตอนที่ 176-1 ตกตะลึง

 

ตี้ซือพยักหน้า ลอบครุ่นคิดตริตรอง เด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็มีความคิดปราดเปรื่องได้ถึงเพียงนี้ คาดว่าเด็กน้อยคนนั้นก็คงจะไม่เลวเช่นกัน แอบคาดหวังรอคอยเมิ่งอี้เซวียนรางๆ ในใจ 


 


 


เมิ่งจงจวี่นำตี้ซือเข้ามาในเรือนหลังแรกอย่างพินอบพิเทา เปิดบานประตูเรือนออก กล่าวว่า “เรือนหลังนี้เพิ่งจะปลูกเสร็จไม่นาน ยังไม่เคยเข้าพักอาศัย เครื่องเรือนภายในก็เป็นของใหม่ เชิญท่านพักอาศัยอย่างสบายใจ หากยังประสงค์สิ่งใด ก็ขอให้รีบบอก พวกเราจะรีบนำส่งมาให้” 


 


 


ตี้ซือกวาดตามองโดยรอบแวบหนึ่ง เห็นภายในมีทุกอย่างครบถ้วนแล้ว จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ใช้ได้แล้ว พวกท่านเตรียมพร้อมได้อย่างครบถ้วนแล้ว” 


 


 


กลุ่มคนด้านหลังก็เดินตามเข้ามาในห้อง 


 


 


ตี้ซือชี้หญิงสูงวัยคนหนึ่งกล่าวแนะนำ “นี่คือฮูหยินของข้า” 


 


 


เมิ่งจงจวี่เป็นผู้นำคนทั้งหมดแสดงความเคารพ 


 


 


ฮูหยินชราโน้มตัวเล็กน้อย ถือเป็นการรับความเคารพ 


 


 


ตี้ซือยังชี้ไปที่ชายอายุราวสามสิบกว่าปีและหญิงอีกคนข้างกายเขารวมถึงเด็กน้อยสองคนแล้วพูดว่า “นี่คือครอบครัวทั้งสี่คนของบุตรชายคนโตข้าโจวเสี้ยว” 


 


 


โจวเสี้ยวและภรรยาแสดงความเคารพเมิ่งจงจวี่ 


 


 


ตี้ซือชี้ชายอายุราวยี่สิบกว่าปีและหญิงข้างกายเขารวมถึงเด็กน้อยสองคนกล่าวว่า “นี่คือครอบครัวบุตรชายคนรองข้าโจวหลี่” 


 


 


โจวหลี่และภรรยาแสดงความเคารพเมิ่งจงจวี่เช่นกัน 


 


 


สุดท้ายตี้ซือกล่าวว่า “คิดว่าพวกท่านคงจะทราบแล้ว ข้าเคยเป็นตี้ซือ บัดนี้อายุมากแล้ว จึงเกษียณตัวกลับบ้านเกิด บุตรชายทั้งสองของข้ากตัญญู มุ่งมั่นจะกลับไปพร้อมข้า ดูแลปรนนิบัติข้าในยามชรา ท่านแม่ทัพฉู่มีบุญคุณต่อข้า เพื่อตอบแทนบุญคุณนี้ พวกเราทั้งครอบครัวจึงมายังที่แห่งนี้ หากหลานชายท่านสามารถทำให้ข้าพึงใจได้ ข้าจะอยู่ที่นี่สอนสั่งเขาสามปี หวังว่าต่อไปพวกท่านจะไม่เอาแต่กริ่งเกรงข้า ให้เห็นข้าเป็นดั่งคนในครอบครัว และเพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น นับจากนี้ไป สถานะตี้ซือของข้านี้อย่าได้หยิบยกขึ้นมากล่าวถึงอีก เพียงเรียกข้าว่าอาจารย์โจวก็พอ” 


 


 


เมิ่งจงจวี่น้อมรับคำอย่างพินอบพิเทา จากนั้นก็ชี้เมิ่งต้าจินและภรรยาแนะนำว่า “นี่คือบุตรชายคนโตของข้าเมิ่งต้าจิน เป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านนี้” 


 


 


แล้วชี้ไปที่เมิ่งเอ้ออิ๋น “นี่คือบุตรชายคนรองของข้าเมิ่งเอ้ออิ๋น เป็นบิดาของอี้เซวียนที่จะมาคารวะท่านเป็นศิษย์” 


 


 


แล้วจึงชี้ไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว “นี่คือหลานสาวของข้า และเป็นพี่สาวของอี้เซวียน” 


 


 


คนทั้งหมดแสดงความเคารพต่ออาจารย์โจวอีกครั้ง 


 


 


สุดท้ายจึงพูดว่า “ข้าคือซิ่วไฉชราของหมู่บ้านนี้เมิ่งจงจวี่” 


 


 


เมื่อทั้งสองฝ่ายแนะนำตัวเสร็จ เมิ่งจงจวี่เห็นอาจารย์โจวมีอิริยาบถอ่อนล้า จึงพูดขึ้นว่า “ท่านเดินทางไกลเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาตลอดทาง คิดว่าคงไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ พวกเราทั้งหมดขอตัวลาก่อน สำหรับที่พักอาศัยของคุณชายทั้งสองรวมถึงคนอื่นๆ คือเรือนอีกสองหลังที่อยู่ด้านหลัง พวกเราไม่นำทางพวกท่านแล้ว ฟืนฟางน้ำมันเกลือในครัวแต่ละเรือนพวกเราก็เตรียมพร้อมไว้ให้หมดแล้ว พวกท่านใช้สอยได้อย่างสบายใจ” 


 


 


แม้จะไม่ได้รีบเร่งเดินทาง แต่นั่งรถม้ามาหลายวัน ตี้ซือก็รู้สึกว่าร่างกายตัวเองรับไม่ไหวแล้ว ได้ฟังก็ไม่บอกปัด กล่าวขอบอกขอบใจ 


 


 


เมิ่งจงจวี่โบกมือ กล่าวว่านี่เป็นสิ่งที่ตนเองสมควรทำ แล้วพาคนทั้งสามล่าถอยออกไป 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนยังไม่กลับมา ตี้ซือยังไม่ทำการตัดสินใจ รองแม่ทัพชุยย่อมต้องอยู่รอด้วย 


 


 


หลังจากเมิ่งจงจวี่นำคนทั้งหมดเดินพ้นออกมาจากเรือนหลังใหม่ ก็ให้โล่งใจไปหนึ่งเปราะ กล่าวว่า “ตี้ซือไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปจริงๆ ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว โชคดีที่ข้าอายุปูนนี้แล้วยังทนทานไหว ไม่เช่นนั้นได้กลายเป็นตัวตลกเป็นแน่” 


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่านปู่มีอาการทุกข์ทรมาน อยากให้เขากระปรี้ประเปร่าขึ้น กล่าวขึ้น “ตี้ซือก็เพียงมีความรู้มากไปหน่อยเท่านั้น นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากท่านเลย” 


 


 


เมิ่งจงจวี่รีบยับยั้งนาง “โยวเอ๋อร์ เจ้าพูดผิดแล้ว จะเอาคนอย่างปู่ไปเทียบกับตี้ซือได้อย่างไร สิ่งที่ปู่ร่ำเรียนมาหาเทียบได้กับหนวดเพียงเส้นเดียวของเขาไม่ เจ้าพูดกับพวกเรากันเองได้ แต่ห้ามไปพูดเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด” 


 


 


เห็นท่านปู่ยำเกรงตี้ซือเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย 


 


 


เมิ่งจงจวี่วางใจลงเดินนำคนทั้งหมดกลับไปบ้าน 


 


 


จู่ๆ หมู่บ้านก็มีรถม้าหลายคันวิ่งเข้าไปอยู่ในเรือนใหม่ของบ้านเมิ่ง คนในหมู่บ้านต่างก็ประหลาดใจ ว่าคนที่มามีสถานะเช่นใดกันแน่ พอเห็นพวกเขาเดินตรงมา คนที่อายุมากหน่อยเข้าไปซักถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “ซิ่วไฉเมิ่ง คนใหญ่คนโตที่ไหนมาอาศัยอยู่ในเรือนใหม่ของบ้านพวกเจ้ารึ?” 


 


 


เมิ่งจงจวี่หัวเราะตอบ “คนใหญ่คนโตที่ไหนกัน เป็นอาจารย์ที่พวกเราเชิญมาสอนอี้เซวียน ให้พักที่เรือนหลังใหม่ไปก่อน” 


 


 


กลุ่มคนพยักหน้าหงึกหงัก เปลี่ยนหัวข้อพูด กล่าวด้วยความอิจฉา “ซิ่วไฉเมิ่ง อี้เซวียนของพวกท่านอายุเพียงเท่านี้ก็สอบถงเซิงได้แล้ว ตอนนี้ท่านยังเชิญอาจารย์ที่มีความรู้มากมา เกรงว่าภายหน้าสกุลเมิ่งของพวกท่านทั้งหมดจะต้องเจริญก้าวหน้ารุ่งโรจน์ตามไปด้วย” 


 


 


ได้ยินเช่นนี้เมิ่งจงจวี่ย่อมยินดีอิ่มเอม แต่ก็ยังคงพูดอย่างถ่อมตน “ขอเพียงมีสักวันที่เขาสอบเป็นขุนนางได้ สร้างชื่อเสียงให้วงศ์สกุล ข้าก็พึงพอใจแล้ว สำหรับที่ว่าสกุลของพวกเราจะได้เจริญก้าวหน้ารุ่งโรจน์หรือไม่ เป็นเรื่องเล็กน้อย” 


 


 


คนทั้งหมดได้ยินความสำเร็จในภายหน้าของเมิ่งอี้เซวียน ก็ยิ่งให้อิจฉาในใจ 


 


 


ข่าวที่สกุลเมิ่งเชิญอาจารย์ท่านหนึ่งมาสอนเป็นการส่วนตัวให้เมิ่งอี้เซวียนแพร่สะพัดไปทั่วทั้งหมู่บ้านโดยไว หัวหน้าสกุลแต่ละสกุลได้ยินข่าวเล่าลือนี้ ก็รับรู้ได้ทันทีว่าอาจารย์ท่านนี้จะต้องมีสถานะไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นตี้ซือ มีเพียงหัวหน้าสกุลเมิ่งที่หลังจากได้ยินข่าวนี้ ก็ลูบเคราตัวเอง หัวเราะเหอะๆ พูดงึมงำว่า “วันที่สกุลเมิ่งจะได้มีชื่อเสียงกำลังใกล้เข้ามาในอีกไม่ช้าแล้ว” 


 


 


ไม่ว่าคนในหมู่บ้านจะคาดเดาอย่างไร คนในสกุลเมิ่งก็ปิดปากเรื่องสถานะของอาจารย์เอาไว้สนิท ผู้คนยิ่งทวีความอยากรู้อยากเห็น กลับไม่มีใครกล้าไปสอบถามหน้าประตูเรือนใหม่ 


 


 


เมิ่งจงจวี่กลับมาบ้าน คิดถึงเรื่องที่ภายหน้าอี้เซวียนจะได้รับการสอนสั่งจากตี้ซือโดยตรง ก็ให้ดีใจราวกับเป็นเด็กน้อย ดีอกดีใจยกใหญ่ ทำเอาหญิงชราเมิ่งหันมามองค้อนขวับหลายครั้ง 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาถึงบ้าน เมิ่งชื่อถามพวกเขาว่าอาจารย์ที่เชิญมาเป็นอย่างไร เมิ่งเอ้ออิ๋นตอบกลับไปเพียงประโยคเดียว “หากได้รับการชี้แนะนำทางจากเขา อนาคตของอี้เซวียนจะต้องไร้ขีดจำกัด” 


 


 


เมิ่งชื่อได้ฟังก็ดีใจเป็นหนักหนา 


 


 


กระทั่งยามบ่าย เมิ่งเชี่ยนโยวและเหวินเป้าไปรับเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉกลับมาด้วยกัน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดทบทวนเป็นนาน แล้วก็ตัดสินใจจะพาเมิ่งอี้เซวียนไปคำนับตี้ซือด้วยตัวเอง 


 


 


เมิ่งชื่อเห็นพวกเขาจะไปคารวะอาจารย์ จึงให้เมิ่งอี้เซวียนเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ทั้งจัดแจงแต่งเนื้อแต่งตัวให้เขาใหม่ เห็นอี้เซวียนเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ถึงพยักหน้าพึงพอใจ พูดกำชับเขา “หลังจากได้พบท่านอาจารย์จะต้องว่านอนสอนง่าย ท่านอาจารย์ถามอะไรก็ตอบไปตามนั้น อย่าได้พูดมากความเด็ดขาด เพื่อไม่ให้ท่านอาจารย์ไม่พอใจ ไม่ยินดีสอนสั่งเจ้า” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ท่านแม่ วางใจเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งอี้เซวียนมุ่งหน้าไปบ้านท่านอาจารย์ เพื่อไม่ให้เมิ่งอี้เซวียนตื่นเต้น จึงเดินไปพูดไป “ท่านอาจารย์ก็เป็นคนปกติ เพียงแค่มีความรู้มากหน่อยเท่านั้น เมื่อเจ้าได้เจอแล้วไม่ต้องหวาดกลัว ทำตามความสามารถในยามปกติของเจ้าก็พอ” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า 


 


 


ทั้งสองมาถึงเรือนใหม่ หน้าประตูมีบ่าวรับใช้คอยเฝ้าอยู่หน้าประตูแล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาถึงหน้าประตู พูดอย่างมีมารยาท “พวกเรามาคารวะท่านอาจารย์ รบกวนเจ้าช่วยไปรายงานหน่อยเถิด” 


 


 


บ่าวเฝ้าประตูเคยเห็นนาง ย่อมจำนางได้ เห็นนางเป็นเพียงเด็กสาวพาเด็กชายงดงามคนหนึ่งเข้ามาลำพัง ก็ให้ประหลาดใจ แต่ก็ให้พวกเขารอสักครู่ ตนเองเข้าไปเรียนรายงาน 


 


 


ตี้ซือได้พักผ่อนครึ่งค่อนวัน ร่างกายฟื้นคืนกระปรี้กระเปร่า ในตอนนี้กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ในห้อง ได้ยินคำรายงานของบ่าวรับใช้ วางหนังสือลงบนโต๊ะ สั่งกำชับบ่าวรับใช้ “ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ” 


 


 


บ่าวรับใช้เดินออกมานอกประตู พาทั้งสองเข้ามาในลานบ้าน เปล่งเสียงตะโกนถาม “นายท่าน คุณหนูเมิ่งและคุณชายเมิ่งมาถึงแล้วขอรับ” 


 


 


เสียงตี้ซือดังลอยออกมา “พาพวกเขาเข้ามาเถอะ” 


 


 


บ่าวรับใช้เปิดม่านบังประตู เชิญทั้งสองคนเข้าไป 


 


 


ทั้งสองเข้ามาในห้อง กำลังจะแสดงความเคารพตี้ซือ ตี้ซือกลับถลึงตัวลุกพรวด ชี้เมิ่งอี้เซวียนแล้วกล่าวว่า “เจ้า เจ้า เจ้า…” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนมองเขาอย่างไม่เข้าใจ 


 


 


ตี้ซือถลึงตาโต เดินมาตรงหน้าเมิ่งอี้เซวียน มองประเมินเขาขึ้นลงโดยทั่ว เอ่ยปากพูดพร่ำ “เหมือน เหมือนมาก หากเจ้ามิได้กำเนิดในชนบท ข้าคงสงสัยว่าเจ้าเป็นโอรสเชื้อพระวงศ์แล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังขมวดคิ้วมุ่นถาม “เหมือนมากหรือ?” 


 


 


ตี้ซือพยักหน้า “เหมือนมาก” พูดจบถึงตระหนักได้ว่าตนเองพูดอะไร พลันรู้สึกเสียใจ แต่พอคิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวก็เป็นเพียงเด็กสาวชนบท ไม่น่าจะรู้ว่าตนเองพูดอะไร ก็ให้โล่งใจลง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม และมองพินิจเมิ่งอี้เซวียนอย่างถี่ถ้วน พบว่าเจ้าเด็กกะโปโลคนนี้ไปอยู่ที่ไหน ร่างกายจะมีบารมีสูงศักดิ์ที่มีติดตัวมาแต่กำเนิดออกมาด้วยเสมอ เพียงแต่ตนเองใกล้ชิดกับเขานานแล้ว ไม่ได้สนใจก็เท่านั้นเอง 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเห็นท่านอาจารย์และเมิ่งเชี่ยนโยวใช้แววตาแปลกประหลาดมองประเมินตนเอง อดถามขึ้นไม่ได้ “ข้ามีอะไรผิดปกติหรือ?” 


 


 


คาดไม่ถึงว่าพอเขาเอ่ยปาก ก็ทำให้ท่านอาจารย์ตกตะลึงพรึงเพริดอีกครั้ง “ข้ามิได้เกิดภาพหลอนหรอกนะ แม้แต่เสียงก็เหมือนกับพวกเขายามเยาว์มาก” 


 


 


พูดจบ เหมือนจะคิดอะไรขึ้นได้ สั่งการบ่าวรับใช้ด้านนอก “ไปเรียกคุณชายใหญ่และคุณชายรองเข้ามา บอกว่าข้ามีเรื่องด่วนอยากพบพวกเขา” 


 


 


บ่าวรับใช้รับคำ สาวเท้าจากไป 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)