อัจฉริยะสมองเพชร 1752-1757

 ตอนที่ 1752 ความประหลาดใจของเหยียนเฉว่

“กะอีแค่ต้นไม้ไม่กี่ต้น กล้าขวางทางพวกเราหรือ? ฝันไปเถอะ!”


อสูรตัวที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้เงื้อกรงเล็บและตวัดลงมา


กรงเล็บของมันคมกริบอย่างน่าทึ่ง เทียบชั้นได้กับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เลยทีเดียว ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างโกรธเกรี้ยว มิติที่อยู่โดยรอบสั่นสะท้านเล็กน้อย เกิดรอยแยกของมิติสีดำสนิทขึ้นกลางอากาศ


ทั้งกรงเล็บและเขี้ยวของเผ่าพันธุ์อสูรล้วนแต่เป็นวัตถุดิบชั้นเลิศสำหรับการหลอมเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น อสูรเหล่านี้ยังมีพละกำลังเทียบเท่ากับ 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่ด้วย ต่อให้ปรมาจารย์ที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกก็ยังรับมือกับการโจมตีของมันได้ยาก


ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป กรงเล็บเหล่านี้ก็เกินพอที่จะฉีกกระชากกิ่งไม้ให้ขาดเป็นท่อนๆ แต่ยังไม่ทันที่กรงเล็บเหล่านั้นจะถึงเป้าหมาย ก็เกิดเสียง ‘แคว่ก!’ ดังสนั่นขึ้นกลางอากาศ


บาดแผลฉีกขาดปรากฏบนใบหน้าของอสูร กิ่งไม้กิ่งหนึ่งพุ่งมาจากที่ไหนสักแห่งและฟาดเข้าใส่หน้าของมันอย่างจัง


“ฮื่ออออ!”


ความปวดแสบปวดร้อนบนใบหน้าทำให้อสูรตัวนั้นแทบคลุ้มคลั่งจากการถูกเหยียดหยาม มันตวัดกรงเล็บอย่างเกรี้ยวกราดเข้าใส่กิ่งไม้ที่อยู่เหนือศีรษะ เปิดการโจมตีอย่างไม่ลดละ แต่ถึงอย่างนั้น กิ่งไม้ก็ยังหลุดรอดการโจมตีของมันไปได้อย่างหวุดหวิดและเข้าเล่นงานจุดอ่อนของมันอีกครั้ง


ไม่ช้า ร่างของอสูรตัวนั้นก็มีแต่บาดแผล เลือดสดๆไหลทะลักออกมาไม่หยุด


เห็นหัวหน้ากำลังเพลี่ยงพล้ำ เผ่าพันธุ์อสูรที่เหลือรีบพุ่งเข้าใส่เพื่อช่วยเหลือ แต่กิ่งไม้ที่กวัดแกว่งอยู่กลางอากาศก็ใช้เวลาไม่นานในการเล่นงานพวกมันให้ลงไปกองกับพื้น สิ้นพละกำลังจะตอบโต้


“เอ่อ…”


เห็นภาพนั้น ทุกคนต่างอ้าปากค้าง แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น


เผ่าพันธุ์อสูรเหล่านี้มีประสิทธิภาพการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่านักรบทั่วไป แต่ก็ถูกต้นแอปริคอตเล่นงานจนราบคาบ


“ฮ่า!”


ชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาด, เหยียนเฉว่ หัวเราะหึๆเมื่อเห็นภาพนั้นก่อนจะหลับตา ราวกับคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้


ชายหนุ่มคนหนึ่งจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เดินเข้าไปกระซิบกระซาบกับเหยียนเฉว่ “เราควรเข้าไปจัดการไหม? หากช่วยชีวิตพวกมันได้ ก็จะได้รับความสำนึกในบุญคุณและทำให้พวกมันยอมจำนนได้สำเร็จ”


เมื่อดูจากการที่เผ่าพันธุ์อสูรถูกซ้อมจนมีสภาพย่ำแย่ หากตอนนี้พวกเขาเข้าไปขัดจังหวะและช่วยชีวิตพวกมันไว้ได้ ก็มีโอกาสที่จะได้เอาชนะใจและหว่านล้อมให้อีกฝ่ายยอมจำนนโดยเป็นอสูรของพวกเขา


“ไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก เพราะนอกจากเราจะยังไม่แน่ใจว่าจะช่วยพวกมันได้หรือไม่ ลำพังแค่การที่ก่อนหน้านี้พวกเราไม่ได้ยับยั้งมันไว้ ก็มากเกินพอจะทำให้พวกมันเกิดความเป็นปฏิปักษ์ต่อเราแล้ว” เหยียนเฉว่ตอบอย่างสุขุม “อีกอย่าง ต้นแอปริคอตพวกนี้ก็มีไว้เพื่อขัดขวางผู้บุกรุก มันไม่สังหารใคร เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องกังวลไปหรอก”


“อย่างนั้นก็ได้” ชายหนุ่มพยักหน้า


มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่อสูรเหล่านี้จะเกิดความเคืองแค้นที่พวกเขาไม่ยับยั้งพวกมันไว้เมื่อครู่นี้ ต่อให้พวกเขาเข้าไปช่วยชีวิตมันไว้ได้ อสูรเหล่านั้นก็คงจะคิดว่าพวกเขาพยายามเหยียดหยามมัน ซึ่งในกรณีเลวร้ายที่สุด พวกมันอาจหันกลับมาเล่นงานพวกเขาอย่างเคืองแค้นเสียเอง


“อสูรพวกนั้นไปไหนไม่ได้แล้วหรอก เมื่อเราทำสำเร็จ พวกมันจะยอมติดตามเราอย่างว่าง่ายเอง และเมื่อถึงเวลานั้น เราคงสลัดมันไม่หลุด ต่อให้อยากสลัดก็เถอะ…” เหยียนเฉว่หัวเราะเบาๆ


ถึงตอนนี้ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังฝูงชนก็พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด


ฟิ้วววว!


ในชั่วพริบตา ชายหนุ่มก็ไปอยู่ตรงหน้าอสูรกลุ่มนั้น เขาโบกมือเพื่อสร้างตาข่ายพลังปราณและลากอสูรทั้งกลุ่มออกจากรัศมีการโจมตีของต้นแอปริคอต


“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้…”


รู้ดีว่าชายหนุ่มกำลังพยายามช่วยพวกมัน เหล่าอสูรหันมามองเขาด้วยสายตาที่แสดงความสำนึกในบุญคุณ แต่กลับตรงกันข้ามกับที่พวกมันคิดไว้ ชายหนุ่มพุ่งเข้าใส่พวกมันอีกครั้ง และ…


ทั้งหมัดทั้งลูกเตะถูกประเคนเข้าใส่จนทั่ว


เหล่าอสูรพากันจังงัง


กลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ถึงกับตะลึง


พวกเขาคิดว่าชายหนุ่มช่วยชีวิตอสูรเหล่านั้นไว้เพื่อต้องการเอาชนะใจและดึงให้มาเป็นพรรคพวก แต่หลังจากช่วยมันจนรอดพ้นจากรัศมีการโจมตีของต้นแอปริคอตได้แล้ว ก็กลับลงมือซ้อมพวกมันเสียเอง นี่มันบ้าบออะไร?


ต้นแอปริคอตต่างก็มองหน้ากันอย่างงงงัน กิ่งไม้ที่พวกมันตั้งใจจะใช้สั่งสอนบทเรียนให้ชายหนุ่มที่เข้ามาก้าวก่ายถูกดึงกลับไปอย่างลังเล


พวกมันคิดว่าชายหนุ่มพยายามจะช่วยชีวิตอสูรไว้จากการโจมตีเมื่อครู่ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาอยากซ้อมอสูรเหล่านั้นเสียเอง หรือว่าการโจมตีเมื่อครู่นี้ของพวกมันปลุกความรู้สึกบางอย่างในส่วนลึกของหัวใจของเขาขึ้นมา และทำให้เขาอยากทดลองความสามารถของตัวเอง?


“เป็นโอกาสของพวกเราแล้ว!”


เหยียนเฉว่ก็จังงังไปครู่หนึ่งก่อนจะผุดรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจ เขารีบหันกลับไปเร่งกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ที่เหลือ “อสูรพวกนั้นเพิ่งถูกเจ้าหนุ่มนั่นเล่นงาน ถ้าเราเข้าไปยับยั้งหมอนั่นไว้ได้ เราก็จะสามารถเอาชนะใจและได้รับความจงรักภักดีจากพวกมัน!”


“ได้สิ” ได้ยินคำนั้น ทุกคนพยักหน้ารับ


อสูรเหล่านี้สำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก การทำให้พวกมันสักตัวยอมจำนนได้ย่อมหมายถึงประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีก และหากพวกเขากลับสู่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์โดยมีอสูรจากกลุ่มนี้ไปสักตัว สถานภาพของพวกเขาจะสูงส่งขึ้นมาก


“ช่วยเหล่าอสูรกันเถอะ!”


กลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์พร้อมดาบในมือพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มที่กำลังซ้อมเหล่าอสูร


“คุณทำอะไรอยู่น่ะ? เลิกทำเรื่องเหลวไหลเลอะเทอะเสียที!”


“วาสนานำพาให้พวกเรามาพบกันที่นี่ เหล่าสหายเผ่าพันธุ์อสูร, พวกเราไม่อาจทนเห็นพวกคุณถูกหมอนี่ซ้อมอย่างโหดเหี้ยมได้”


“สหายจากเผ่าพันธุ์อสูร พวกเรามาช่วยคุณแล้ว!”


ชายหนุ่มหลายคนประกาศศักดาด้วยถ้อยคำที่แสดงถึงความชอบธรรม ในตอนนั้น พวกเขาดูไม่ต่างอะไรกับเหล่าวีรบุรุษที่อุทิศตัวเข้าสู่โลกของปีศาจ


“เจ้าพวกนี้ก็ทำอะไรรวดเร็วเสียจริง” เหยียนเฉว่พยักหน้าอย่างพอใจ “พวกเขารู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อเอาชนะใจเหล่าอสูร ขอแค่พวกมันยอมมอบความปรารถนาดีให้ ต่อไปการจะทำให้พวกมันยอมจำนนก็คงง่ายขึ้นมาก”


เหยียนเฉว่กำลังจะสั่งการต่ออีกสองสามประโยคเพื่อควบคุมสถานการณ์ ก็พอดีกับที่เห็นภาพซึ่งทำให้ดวงตาแทบถลนออกจากเบ้า สีหน้าพรั่นพรึงอย่างหนักปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาขณะหลุดคำสบถออกจากปาก “เวรแล้ว มันเกิดนรกจกเปรตอะไรขึ้นละนั่น?”


ก่อนที่ดาบของเหล่าสหายของเขาจะได้เข้าเล่นงานชายหนุ่มที่กำลังซ้อมอสูร อสูรพวกนั้นก็พากันคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว พวกมันตวัดกรงเล็บและสะบัดหางเข้าใส่ ในชั่วพริบตา กลุ่มอัจฉริยะจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็นอนระเกะระกะอยู่กับพื้น ฟกช้ำดำเขียวไปทั่วทั้งตัว


ไม่เพียงเท่านั้น หัวหน้าเผ่าพันธุ์อสูรยังคำรามก้อง “พวกคุณจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์กำลังพยายามทำบ้าอะไร? ถ้าเข้ามาเกะกะตอนที่พวกเรากำลังถูกซ้อมอีกครั้งเดียว ผมสาบานเลยว่าผมจะกินคุณทั้งเป็น!”


“เจ้าพวกงั่ง! ไม่เห็นหรือไงว่าเรากำลังเพลิดเพลินกับการซ้อมที่เขามอบให้?”


“กระหายอยากเป็นวีรบุรุษจนไร้ยางอาย ไสหัวไปซะ อย่ามาวุ่นวายกับพวกเราอีก!”


เหล่าอสูรตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก หลังจากสอยพวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์กระเด็นไปแล้ว พวกมันก็หันกลับไปมองชายหนุ่มและวิงวอนอย่างน่าเห็นใจ “ได้โปรดทุบตีพวกเราให้แรงที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้นะ ได้โปรดเถอะ! แรงขึ้นอีก แรงขึ้นอีกหน่อย!”


“….” เหยียนเฉว่กับพรรคพวกทึ้งผมอย่างคลุ้มคลั่ง


นัยน์ตาของกลุ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจเบิกโพลงราวกับไข่ไก่ พวกมันถึงกับลืมกลืนน้ำลาย


ต้นแอปริคอตก็หยุดการเคลื่อนไหว กิ่งก้านของมันร่วงหล่นลงกับพื้นด้วยความตกตะลึง ราวกับไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


เผ่าพันธุ์อสูรล้วนแต่หยาบคายและหลงตัวเอง นี่เกิดอะไรขึ้นมา พวกมันถึงได้รื่นรมย์กับการถูกซ้อมขนาดนั้น?


ก่อนหน้านี้ ตอนที่ต้นแอปริคอตเล่นงานพวกมัน มีแต่เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ไม่ใช่เสียงครวญครางเพราะความปิติยินดี แล้วเรื่องประหลาดแบบนี้เกิดขึ้นกับเหล่าอสูรได้อย่างไรในช่วงระยะเวลาเพียงแป๊บเดียว?


“ยอมจำนนให้ผมเสีย แล้วผมจะซ้อมพวกคุณเมื่อผมมีเวลา” จางเซวียนโบกมืออย่างวางมาด


เผ่าพันธุ์อสูรพวกนี้ออกจะหนังหนาไปสักหน่อย มือไม้ของเขาเริ่มเจ็บจากการต้องซ้อมพวกมัน


“พวกเรายินดีอย่างยิ่ง! คารวะนายท่าน!”


“ขอให้นายท่านมีอายุยืนนาน! วู้ววว…”


ฟึ่บ!


พริบตาต่อมา อสูรทุกตัวก็ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่ได้รู้สึกต่ำต้อยในการยอมรับชายหนุ่มเป็นเจ้านายของมัน


ฉึกกก!


เหยียนเฉว่ทึ้งผมจากกระหม่อมของเขาหลุดออกมาเป็นกระจุก แต่ด้วยความตกตะลึงอย่างหนัก จึงไม่รู้สึกอะไรเลย


บ้าแล้ว! นี่มันนรกจกเปรตอะไร พวกแกถึงภาคภูมิใจกันขนาดนี้!


พวกแกกำลังจะกลายเป็นอสูรของนักรบคนหนึ่งนะ! ต่อให้สถานภาพจะสูงส่งแค่ไหน มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าพวกแกก็เป็นแค่สัตว์เลี้ยง สัตว์เลี้ยงน่ะ เข้าใจไหม? มันเป็นเรื่องที่ควรมีความสุขหรือไง?


ยอมจำนนอย่างง่ายดายให้กับใครคนหนึ่งหลังจากถูกซ้อม…เผ่าพันธุ์อสูรว่าง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


เมื่อทำให้อสูรยอมจำนนได้แล้ว ชายหนุ่มก็โบกมือก่อนจะเดินเข้าสู่ดงต้นแอปริคอต “เอาล่ะ ผมล้างแค้นให้พวกคุณแล้วนะ!”


เห็นชายหนุ่มยังคงวางท่าอาจหาญหลังจากทำให้อสูรยอมจำนนได้สำเร็จ เหยียนเฉว่อดคำรามเยาะไม่ได้ “หมอนั่นรนหาที่ตายแล้ว!”


ไม่ว่าอีกฝ่ายจะใช้กลวิธีใดก็ตามในการทำให้อสูรยอมจำนน ก็ไม่มีทางที่วิธีนั้นจะใช้ได้ผลกับต้น แอปริคอต


ต้นแอปริคอตพวกนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เคยรับฟังการถ่ายทอดคำสอนของปรมาจารย์ขง การเข้าไปเผชิญหน้ากับพวกมันจึงไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย


ต่อหน้าต่อตาเหยียนเฉว่ ในที่สุดชายหนุ่มก็ไปยืนอยู่ตรงหน้าต้นแอปริคอตที่เรียงราย


ฟึ่บ!


ต้นแอปริคอตตรงเข้าตีวงล้อมชายหนุ่ม ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ล่าถอย


ตอนที่ 1753 แถลงการณ์สัจจะ วาจาสิทธิ์บงการฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง

ผู้ที่ทำให้อสูรยอมจำนนได้สำเร็จและก้าวเข้าสู่ดงต้นแอปริคอตก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจางเซวียน


เมื่อเห็นว่ามีอสูรมากมายที่มีพละกำลังแข็งแกร่งเทียบเท่ากับ 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่ ก็ไม่มีทางที่เขาจะยอมปล่อยโอกาสงามครั้งนี้ให้หลุดมือ ดังนั้น เมื่อเห็นกิ่งไม้สามกิ่งตรงเข้าเล่นงานเหล่าอสูรอย่างดุเดือด ปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือพุ่งออกไปเพื่อช่วยชีวิตพวกมัน ก่อนจะจัดการซ้อมพวกมันด้วยตัวเอง


จากการถ่ายทอดพลังปราณเทียบฟ้าเข้าสู่ร่างของเหล่าอสูร จางเซวียนสามารถเยียวยาอาการบาดเจ็บและความบอบช้ำต่างๆในร่างกายของพวกมันได้ การกระทำของเขาทำให้ได้รับทั้งความเคารพและความสำนึกในบุญคุณจากเหล่าอสูร พวกมันจึงเต็มใจยอมรับเขาเป็นเจ้านาย


ตอนนี้เขาถูกรุมล้อมโดยต้นแอปริคอตจำนวนมาก พวกมันจับจ้องเขม็ง ดูเหมือนพร้อมจะฆ่าเขาให้ตายได้ทุกเมื่อหากเขาเปิดเผยจุดอ่อน


แต่จางเซวียนก็ไม่ตื่นตระหนก เขาสะบัดข้อมือและนำรากไม้ที่มีลักษณะเหมือนหยกออกมา


ฟึ่บ!


ราวกับว่าเหล่าต้นแอปริคอตได้เห็นสัญญาณของการยอมรับ พวกมันรีบเปิดทางให้จางเซวียนผ่านเข้าไป


จางเซวียนตั้งใจจะเข้าสู่เส้นทางที่ถูกเปิดออกนั้น แต่แล้วก็หยุดชะงักและครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งโทรจิตหาต้นแอปริคอต “เดี๋ยวก่อน เหตุผลที่พวกคุณแข็งแกร่งขนาดนี้ก็เพราะได้ฟังคำสอนของปรมาจารย์ขงใช่ไหม? ทำไมไม่ให้ผมเปิดการบรรยายให้พวกคุณฟังบ้างล่ะ?”


ต้นแอปริคอตที่อยู่กันเป็นดงนี้มีอานุภาพไร้เทียมทานเพราะได้ฟังคำสอนของปรมาจารย์ขง ก่อนหน้านี้ จางเซวียนเคยสงสัยว่าปรมาจารย์ขงอาจมีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ในครอบครองเหมือนกัน โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ว่าอีกฝ่ายสามารถฝึกฝนเทคนิควรยุทธในระดับของเทคนิคเทียบฟ้าได้ และในเมื่อต้นแอปริคอตพวกนี้เคยฟังคำสอนของปรมาจารย์ขงมาก่อน พวกมันก็คงอยากรู้ว่าระหว่างตัวเขากับปรมาจารย์ขง คำสอนของใครจะดีกว่า


สิ่งนี้จะเป็นเกณฑ์ให้จางเซวียนตัดสินได้ว่าปรมาจารย์ขงมีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ในครอบครองหรือไม่


มันอาจเป็นการกระทำที่ดูอ้อมค้อมไปสักหน่อย แต่ก็ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ในตอนนี้


ต้นแอปริคอตพากันสะบัดกิ่งก้านของมันด้วยความงุนงง


พวกเราเปิดทางให้คุณแล้ว ทำไมถึงอยากบรรยายให้พวกเราฟังอีก?


จางเซวียนเริ่มต้นบรรยายโดยไม่ใส่ใจความงุนงงของต้นแอปริคอต “เส้นทางของวรยุทธนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่มนุษย์หรืออสูร พืชพันธุ์ต่างๆก็แสวงหาหนทางสว่างผ่านทางวรยุทธได้เช่นกัน…”


???


ตอนแรก ต้นแอปริคอตต่างก็งุนงง แต่หลังจากได้ฟังคำบรรยายสักพัก พวกมันก็เริ่มร่ายรำอย่างเริงร่าไปรอบๆบริเวณนั้น ราวกับไม่อาจเก็บกลั้นความตื่นเต้นในหัวใจได้!


เนื้อหาคำบรรยายของชายหนุ่มลึกซึ้งและน่าสนใจพอๆกับปรมาจารย์ขง ทุกถ้อยคำของเขาพุ่งตรงเข้าสู่หัวใจของพวกมัน


พูดอีกอย่างก็คือ…แม้อีกฝ่ายจะดูเหมือนไม่ได้เก่งกาจอะไร แต่ในด้านการถ่ายทอดความรู้ เขาเทียบชั้นได้กับปรมาจารย์ขงเลยทีเดียว!


ขณะที่จางเซวียนกำลังถ่ายทอดความรู้ให้เหล่าต้นแอปริคอต ทายาทคนอื่นๆของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และเผ่าพันธุ์ปีศาจก็พากันขมวดคิ้วด้วยความงงงันกับสถานการณ์แปลกประหลาดตรงหน้า


พวกเขาคาดว่าหมอนั่นคงจะถูกฟาดอย่างหนักหน่วงทันทีที่ก้าวเข้าสู่ดงต้นแอปริคอต เหมือนที่เกิดขึ้นกับเหล่าอสูร แต่กลับตรงกันข้าม ต้นแอปริคอตไม่โจมตีเขาสักนิด กลับดูเหมือนตกอยู่ในภวังค์


“เขาทรุดตัวลงนั่ง ดูเหมือนกำลังพูดอะไรบางอย่าง…หรือว่าเขากำลังบรรยายให้ต้นแอปริคอตฟัง?” ใครคนหนึ่งในหมู่ฝูงชนตะโกนออกมา


เมื่อได้ยินคำนั้น ทุกคนเห็นสังเกตทันทีว่าชายหนุ่มขยับริมฝีปากไม่หยุด ยากที่จะบอกได้ว่าเขากำลังพูดอะไร มันอาจเป็นคำบรรยาย หรืออาจเป็นแค่การสนทนาพูดคุยกับต้นแอปริคอตก็เป็นได้


ฟึ่บ!


ยังไม่ทันที่ฝูงชนจะหายตกตะลึง ต้นแอปริคอตจำนวนหนึ่งก็โน้มกิ่งลงกับพื้น ราวกับกำลังแสดงความเคารพจากใจจริงให้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า


“พวกมันคือต้นไม้ที่เคยฟังคำสอนของปรมาจารย์ขงใช่ไหม? แต่ตอนนี้…พวกมันยอมรับคำสอนของหมอนั่น?”


ทุกคนถึงกับจังงัง


มีต้นไม้จำนวนหนึ่งที่สำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกหลังจากได้ฟังคำสอนของปรมาจารย์ขง พวกมันแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะนักรบในวรยุทธระดับเดียวกันคนไหนก็ได้…แล้วมันเรื่องอะไรถึงยอมจำนนให้กับชายหนุ่มแบบนั้น?


ดูไม่สมเหตุสมผลเลย!!


ครืนนนน!


ทันใดนั้น พื้นดินก็สั่นสะเทือน ทุกคนเห็นใบแอปริคอตที่เหี่ยวแห้งร่วงลงกับพื้นแล้วพากันลุกขึ้นตั้งตรงใบแล้วใบเล่า จากนั้นก็พุ่งตรงเข้าหาชายหนุ่มอย่างกระตือรือร้น ราวกับถูกคำสอนของเขาดึงดูด


“แม้แต่ใบไม้ยังได้ประโยชน์จากคำสอนของเขา?”


ทุกคนรู้สึกราวกับว่าเส้นแบ่งระหว่างความเป็นจริงกับความฝันได้พร่าเลือนไป


การที่ต้นไม้สามารถรับฟังคำบรรยายของชายหนุ่มได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรปรมาจารย์ขงก็ได้ถ่ายทอดคำสอนของเขาไว้ที่นี่ตั้งแต่หลายปีก่อน จึงไม่น่าแปลกใจที่ต้นไม้จะค่อยๆมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเองและมีความสามารถในการฝึกฝนวรยุทธ แต่ใบไม้พวกนั้น…แห้งเหี่ยวไปแล้วกว่าครึ่ง พร้อมที่จะกลับคืนสู่ผืนดินได้ทุกขณะ แต่แล้วก็กลับลุกตั้งตรงได้เพื่อฟังคำบรรยายของเขา!


มันออกจะเหลือเชื่อไปหน่อยไหม?


ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองของเหยียนเฉว่ขณะที่อุทานออกมาด้วยความอัศจรรย์ใจ “รอเดี๋ยว ต้นไม้พวกนี้สำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกแล้ว ทำไมถึงยังผลัดใบ? และที่สำคัญกว่านั้น ทำไมใบไม้พวกนี้ถึงเหี่ยวแห้ง?”


“เอ่อ…”


ได้ยินคำนั้น ฝูงชนต่างชะงัก


จริงด้วย ถ้าต้นไม้พวกนี้สำเร็จวรยุทธระดับนั้นแล้ว ทุกกิ่งก้านและทุกใบของมันย่อมเทียบเท่ากับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ต่อให้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลไม่อาจส่งผลกระทบต่อมันได้เลย


“บางที การร่วงหล่นและการเหี่ยวแห้งของใบเหล่านั้นอาจเป็นกระบวนการตามธรรมชาติของมันพูดอีกอย่างก็คือ…เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ใบไม้พวกนี้ก็จะกลับคืนสู่กิ่งก้านของมันโดยอัตโนมัติแทนที่จะงอกใบใหม่” เหยียนเฉว่ตั้งข้อสังเกต


ทันทีที่เขาพูดจบ ใบไม้เหี่ยวแห้งที่กำลังตั้งใจฟังคำบรรยายของจางเซวียนก็สั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นพวกมันก็ลอยขึ้นสู่ยอดของกิ่งก้านต้นแอปริคอต สีเหลืองของใบค่อยๆแปรเปลี่ยน กลับคืนสู่ความเขียวชอุ่มดังเดิม


ในเวลาเดียวกันนั้น ต้นแอปริคอตก็ดูเหมือนจะเริงร่าต้อนรับฤดูใบไม้ผลิครั้งใหม่


เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์พลันนึกอะไรขึ้นได้ เขากลืนน้ำลายด้วยความตกใจ


“แถลงการณ์สัจจะ วาจาสิทธิ์บงการฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง…นี่เป็นความสามารถที่มีแต่ปรมาจารย์ขงเท่านั้นที่ทำได้…”


ตำนานกล่าวไว้ว่าเมื่อครั้งที่ปรมาจารย์ขงเดินทางตระเวนไปทั่วโลก ได้พบกับต้นไม้เก่าแก่ที่กำลังเหี่ยวแห้งจนใกล้ตายต้นหนึ่งโดยบังเอิญ ด้วยความเมตตา เขาจึงเปิดการบรรยายให้ต้นไม้เก่าแก่ต้นนั้นฟัง อีกไม่นานหลังจากนั้น ต้นไม้ที่ว่าก็ฟื้นคืนชีพจนกลับเหมือนใหม่ ความแข็งแกร่งและพลังชีวิตกลับคืนสู่ลำต้นของมัน ใบเขียวสดงอกงามขึ้นบนกิ่งก้านอีกครั้ง และผลไม้โอชะก็งอกออกจากดอกที่กำลังผลิบาน ต้นไม้เก่าแก่ต้นนั้นเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิครั้งใหม่


ด้วยความยำเกรงในความเก่งกาจของปรมาจารย์ขง บรรดาลูกศิษย์ของเขาจึงเรียกขานปรากฏการณ์นี้ว่า ‘แถลงการณ์สัจจะ วาจาสิทธิ์บงการฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง…’


หรือว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีความสามารถแบบนั้นเหมือนกัน?


“นี่ไม่ใช่แถลงการณ์สัจจะ! ต้นไม้เก่าแก่ที่ปรมาจารย์ขงบรรยายให้มันฟังนั้นอยู่ในสภาพใกล้ตายแล้ว แต่ต้นแอปริคอตพวกนี้สำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน จะนำวีรกรรมทั้งสองมาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร?” เหยียนเฉว่กัดฟันกรอด


พวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ภาคภูมิใจในมรดกตกทอดอันสมบูรณ์แบบที่ได้รับจากปรมาจารย์ขง แต่มันก็ช่างย้อนแย้งเหลือเกินที่พวกเขาต้องมาอับจนหนทางอยู่ในวิหารแห่งขงจื๊อ ส่วนหมอนั่นกลับสร้างวีรกรรมอันน่าอัศจรรย์ขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า


สิ่งนี้ทำให้เหยียนเฉว่รู้สึกว่าตัวเองถูกหยามหน้าอย่างแรง


“เหยียนเฉว่, ในเมื่อต้นแอปริคอตกับใบไม้กำลังตั้งใจฟังคำสอนของหมอนั่น เราควรใช้โอกาสนี้บุกเข้าไปไหม? ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ล่ะก็ เมื่อไหร่ที่เราจะได้โจมตี?” ชายหนุ่มคนหนึ่งส่งโทรจิตหาเหยียนเฉว่


“เอ่อ…” ความลังเลปรากฏชัดในดวงตาของเหยียนเฉว่


สิ่งที่ชายหนุ่มพูดก็มีส่วนจริง อุปสรรคยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนนี้ของพวกเขาคือต้นแอปริคอต และพวกมันกำลังจดจ่อกับคำสอนของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า นี่ถือเป็นโอกาสงามที่พวกเขาจะได้เข้าไป


เหยียนเฉว่ครุ่นคิดอีกครู่ใหญ่ แต่ก็ยังรู้สึกกังวล จึงหันกลับไปพูดกับชายหนุ่มที่เสนอความคิดเมื่อครู่และพูดว่า “คุณลองดูก็ได้…”


ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะออกเดิน


ฟิ้ววววว!


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เข้าใกล้ต้นแอปริคอตพวกนั้น เสียงกรีดแหลมก็ดังกึกก้องไปทั่ว เขาหันไปมองด้วยความร้อนรน และเห็นกิ่งไม้กิ่งใหญ่พุ่งเข้าใส่


ฉึกกก!


ในชั่วพริบตานั้น ชายหนุ่มรู้สึกว่าแผงอกของเขาถูกใบไม้หลายสิบใบทิ่มแทง เขากระอักเลือดออกมากองใหญ่


ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ยังไม่ทันที่เขาจะทันได้หาวิธีตอบโต้ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียแล้ว


เงียบกริบ


ไม่มีใครคาดคิดว่าใบไม้จะทรงพลังขนาดนั้น เมื่อได้เห็นภาพ ก็ไม่มีใครสักคนที่กล้าก้าวออกไป


ริมฝีปากของเหยียนเฉว่สั่นเทาด้วยความตกตะลึง เขาพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน


เขาเคยคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะได้เข้าโจมตี แต่ใครจะไปคิดว่าใบไม้พวกนี้จะยังคอยระแวดระวังอยู่แม้จะกำลังฟังคำบรรยายของหมอนั่น ดูเหมือนพวกมันตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะไม่ปล่อยให้ใครผ่านเข้าไป


“ลมพัดมา…”


ฝูงชนต่างเงียบกริบ ขณะที่ทุกคนอับจนปัญญาโดยสิ้นเชิงและไม่รู้ว่าควรทำอะไร สายลมอ่อนก็พัดวู่หวิวมาแต่ไกล มันปะทะใบหน้าของพวกเขาอย่างแผ่วเบา แต่จากนั้นก็พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ใบไม้ส่งเสียงแสกสากดังไปทั่ว


ไม่ช้า พื้นโลกก็เริ่มสั่นสะเทือน


“ดูนั่น!”


ทุกคนรีบเงยหน้ามอง และเห็นแท่นสูงตระหง่านที่อยู่ใกล้ๆกำลังเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา ดูเหมือนมีร่างหนึ่งกำลังลอยตัวอย่างเงียบเชียบอยู่กลางอากาศ จากนั้นเสียงทรงพลังก็ดังก้องไปทั่ว


“นะ-นี่มันเสียงสะท้อนจากสวรรค์! ในที่สุดมันก็มาถึงที่นี่…” เหยียนเฉว่นัยน์ตาเบิกโพลงและตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น


ตอนที่ 1754 หยวนเทายกแท่น

จางเซวียนหันไปมอง และเห็นร่างหนึ่งกำลังเปิดการบรรยายบนแท่นสูงตระหง่าน คำพูดของเขาสั้นๆ ในช่วงแรกนั้นฟังแทบไม่ได้ยินและยากที่จะเข้าใจ แต่เมื่อคำพูดเหล่านั้นพุ่งเข้าสู่จิตใต้สำนึกของเขา ความสงสัยแคลงใจที่จางเซวียนเคยมีในเรื่องวรยุทธก็ดูจะกระจ่างชัดในทันที


ราวกับคนผู้นั้นใช้เวลาเนิ่นนานหลายปีดำดิ่งอยู่ในทะเลแห่งภูมิปัญญา ทำให้ความเข้าใจเรื่องวรยุทธของเขาเข้าถึงระดับที่ลึกซึ้ง


“เอ่อ…” จางเซวียนเลิกคิ้ว นัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ


เขาสัมผัสได้อย่างเลือนรางถึงเจตนาที่อยู่เบื้องหลังถ้อยคำเหล่านั้น มันคือเทคนิคการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย ถึงขั้นที่นักรบคนไหนก็ตามก็สามารถหลอมรวมมันเข้ากับภูมิปัญญาที่ตัวเองมีอยู่ได้อย่างง่ายดาย


ด้วยการถ่ายทอดภูมิปัญญาที่ประกอบกับเทคนิคการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ ก็ชัดเจนว่าปรมาจารย์ขงมีความล้ำลึกเหนือชั้นกว่าเขามาก


จางเซวียนมีความเชื่อว่าแม้ระดับวรยุทธของเขาจะอ่อนด้อยกว่าปรมาจารย์ขง แต่ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ของเขาก็ไม่ด้อยกว่าอีกฝ่ายมากนัก แต่เมื่อได้ฟังถ้อยคำจากร่างนั้น ก็รู้ทันทีว่าตัวเขากับปรมาจารย์ขงไม่เคยเทียบชั้นกันได้เลยตั้งแต่แรก!


“นี่คือถ้อยคำเรียบง่ายแห่งภูมิปัญญาล้ำลึกของปรมาจารย์ขง” เสียงของหลัวลั่วชิงดังขึ้นข้างหูจางเซวียน


เมื่อหันกลับไป จางเซวียนก็เห็นว่าหลัวลั่วชิงมายืนข้างเขาแล้ว


“ถ้อยคําเรียบง่ายแห่งภูมิปัญญาล้ำลึก?” จางเซวียนทวนคำของหลัวลั่วชิงด้วยน้ำเสียงที่เจือความสงสัย


“มันคือการใช้ถ้อยคำเรียบง่ายที่สุดเพื่อบรรยายให้เห็นตรรกะที่ล้ำลึกที่สุด ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ของปรมาจารย์ขงนั้นเทียบได้กับเทคนิคสวรรค์เลยทีเดียว” หลัวลั่วชิงพูด “ปฏิเสธไม่ได้ว่าปรมาจารย์ขงคือบุคคลที่ปราดเปรื่องมาก บางทีอาจจะเหนือกว่าคุณเสียอีก”


จางเซวียนพยักหน้ารับ


คำพูดที่ออกจากปากของร่างนั้นดูเรียบง่าย แต่บรรจุเอาความเข้าใจที่ล้ำลึกที่สุดของโลกเอาไว้ มันนำภูมิปัญญายิ่งใหญ่มาสู่ผู้ฟัง ทำให้พวกเขารับรู้ในสิ่งที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน


ท้องฟ้าสีฟ้าสดใส, ฤดูกาลทั้ง 4…มีปรากฏการณ์มากมายที่ดูจะเป็นธรรมชาติสำหรับพวกเรา และพวกเราก็มองมันเป็นเรื่องธรรมดา แน่นอนว่าเราคิดว่าเรารู้จักมันดี แต่เมื่อพยายามจะอธิบายว่าเหตุใดถึงเป็นแบบนั้น เรากลับอับจนถ้อยคำที่จะนำมาอธิบายให้สมเหตุสมผลได้


เรื่องนี้เป็นลักษณะเดียวกันกับเทคนิคเทียบฟ้า ที่แม้ภายนอกจะดูเรียบง่าย แต่มันบรรจุเอาตรรกะอันล้ำลึกไว้มากมายนับไม่ถ้วน เพื่อจะได้เอาชนะคู่ต่อสู้คนไหนก็ตามได้อย่างง่ายดาย


การปรับเปลี่ยนเรื่องราวอันลึกซึ้งให้เรียบง่ายขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และจะยังคงเป็นปัญหาต่อไปสำหรับปรมาจารย์รุ่นหลังๆ


แต่ปรมาจารย์ขงทำได้!


ในที่สุด เมื่อเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จางเซวียนก็พลันนึกบางอย่างได้ เขาหันไปถามหลัวลั่วชิง “แล้วคุณมาที่นี่ได้อย่างไร?”


ขณะที่เขากำลังถ่ายทอดความรู้ให้ต้นแอปริคอต ต้นไม้เหล่านั้นก็ยังสามารถเล่นงานผู้ที่เข้าใกล้มันได้ แล้วจู่ๆหลัวลั่วชิงมายืนข้างเขาได้อย่างไร?


“ปรมาจารย์ขงสร้างภาพลวงตาขึ้นหลังจากเปิดการบรรยาย และต้นแอปริคอตกับใบไม้เหล่านั้นก็ตั้งใจฟัง” หลัวลั่วชิงอธิบายยิ้มๆ


ในตอนนั้นเองที่จางเซวียนเพิ่งรู้ตัวว่าต้นแอปริคอตที่เคยรายล้อมอยู่รอบตัวเขาด้วยความยำเกรงก่อนหน้านี้ได้ไปยืนอยู่ตรงหน้าแท่นสูงตระหง่านนั้นแล้ว มันส่ายลำต้นไปมาไม่หยุด ล้อกับสายลมโชยอ่อน ยากที่จะบอกได้ว่ามันส่ายเพราะความตื่นเต้นหรือประหลาดใจ


“….” จางเซวียนรู้สึกเจ็บแปลบในอก


ที่ผ่านมา ใครก็ตามที่ได้ฟังคำบรรยายของเขาจะหมดความสนใจในคำบรรยายของผู้อื่นไปทันที แต่คราวนี้สถานการณ์กลับตาลปัตร เขาบรรยายมาตั้งนาน แต่ต้นแอปริคอตพวกนั้นก็จากเขาไปทันทีที่ได้ยินถ้อยคำเพียงไม่กี่คำจากปรมาจารย์ขง


ฟึ่บ!


ขณะที่จางเซวียนกำลังรู้สึกไม่ค่อยดี เผ่าพันธุ์ปีศาจและพวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ที่อยู่บริเวณนั้นก็พุ่งเข้ามาพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งบนเบาะรูปกลมที่อยู่ตรงหน้าแท่นสูงตระหง่าน


“นี่คือโอกาสที่พวกเขารอคอยมานานใช่ไหม?” จางเซวียนอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกได้


ตั้งแต่เข้าสู่โดมแอปริคอต พวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็เลือกที่จะรออยู่ในอาณาบริเวณรอบนอกของสวน ไม่ยอมเข้ามาด้านใน ราวกับกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง เท่าที่เห็น พวกเขาน่าจะกำลังรอให้ปรมาจารย์ขงเริ่มเปิดการบรรยาย


“แม้แท่นที่ปรมาจารย์ขงใช้ถ่ายทอดคำสอนของเขาจะทำจากวัตถุธรรมดาสามัญ แต่การที่ปรมาจารย์ขงใช้มันถ่ายทอดคำสอนมานานหลายปี ก็ทำให้แท่นนั้นได้รับทั้งจิตวิญญาณและพละกำลัง ก่อเกิดเป็นภาพลวงตาบางอย่างขึ้นมา” หลัวลั่วชิงอธิบาย “หากจะบอกว่าร่างที่อยู่บนแท่นนั้นคือปรมาจารย์ขง ก็น่าจะถูกต้องกว่าถ้าจะบอกว่ามันคือร่องรอยที่เขาทิ้งไว้ผ่านกาลเวลาเนิ่นนาน”


“เมื่อถึงเวลา ภาพลวงตาจะปรากฏและเริ่มเปิดการบรรยาย แม้ต้นแอปริคอตกับใบไม้พวกนั้นจะฟังคำบรรยายมาแล้วหลายครั้ง แต่พวกมันก็ยังเกิดภูมิปัญญาใหม่ๆทุกครั้งที่ได้ฟัง ทำให้พวกมันเกิดความคาดหวังเมื่อเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น นี่คือพลังสูงสุดของถ้อยคำเรียบง่ายแห่งภูมิปัญญาล้ำลึกของปรมาจารย์ขง”


จางเซวียนพยักหน้ารับ


นี่คือความแตกต่างอันยิ่งใหญ่ระหว่างคำบรรยายของปรมาจารย์ขงกับจางเซวียน หัวใจของถ้อยคำเรียบง่ายแห่งภูมิปัญญาล้ำลึกไม่ใช่การฉีกกระชากแนวคิดใหญ่ให้แยกออกเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆจนถึงขนาดที่แม้แต่เด็กก็ยังทำความเข้าใจได้ แต่เป็นการนำเสนอแนวคิดอันลึกซึ้งในรูปแบบที่ง่ายกว่าขณะกระตุ้นให้ผู้ฟังเกิดภูมิปัญญา ทำให้ผู้นั้นมีมุมมองและจุดยืนของตัวเอง


ส่วนการบรรยายของจางเซวียนนั้นตรงไปตรงมาและกระจ่างชัดเกินไป ทำให้ผู้ฟังพลาดความหมายลึกซึ้งบางอย่าง


การปรับแนวคิดอันล้ำลึกให้เรียบง่ายขึ้นนั้นจะทำให้ผู้ฟังทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้นมากก็จริง แต่หากปรับเปลี่ยนมากไป ก็อาจทำให้ผู้ฟังสูญเสียความกระตือรือร้นในการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์หยุดชะงัก


“คำสอนของคุณมีรายละเอียดมากเกินไป และเต็มไปด้วยการตีความตามแบบของคุณเอง” หลัวลั่วชิงพูด “นักรบคนอื่นๆจะเดินตามแนวทางความคิดของคุณและฝึกฝนวรยุทธตามรูปแบบของคุณอย่างเคร่งครัด ทำให้ผลที่ได้ออกมาเป็นพิมพ์เดียวกันหมด”


“ส่วนถ้อยคําเรียบง่ายแห่งภูมิปัญญาล้ำลึกของปรมาจารย์ขงจะกระตุ้นนักรบให้ตีความแต่ละหัวข้อตามความรู้ที่พวกเขาได้รับการถ่ายทอดมา และด้วยการทำแบบนั้น ปรมาจารย์ขงจะสามารถบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญออกมาได้หลากหลายรูปแบบ”


การฝึกฝนวรยุทธไม่ควรจะเป็นกระบวนการของการเลียนแบบ


หากครูบาอาจารย์ถ่ายทอดระบบการฝึกฝนวรยุทธของพวกเขารวมทั้งแนวคิดให้ลูกศิษย์ ก็เท่ากับเป็นการฉกฉวยโอกาสที่ลูกศิษย์จะได้ใช้จินตนาการและตีความวรยุทธต่างๆตามแบบของตัวเอง


อันที่จริง ถ้อยคำเรียบง่ายนั้นถือว่ามากเกินพอ เพราะสิ่งที่ลูกศิษย์ต้องการจริงๆ คือการจุดประกายความคิดให้พวกเขาก้าวเดินต่อไป เมื่อพวกเขาก้าวเดินตามเส้นทางที่ตัวเองเลือกแล้วเท่านั้น จึงจะเข้าถึงจุดสูงสุดที่ไม่เคยมีใครไปถึงมาก่อนได้


“อือ” จางเซวียนพยักหน้ารับ เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหลัวลั่วชิงด้วยแววตาที่ฉายความงุนงงเล็กน้อย


แม้ทั้งคู่จะได้ใช้เวลาร่วมกันมาบ้าง แต่สาวน้อยก็ยังคงเป็นความลึกลับซับซ้อนกับเขา ยิ่งเขารู้จักเธอมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีเรื่องราวให้รับรู้มากขึ้นเท่านั้น


ราวกับเขากำลังว่ายข้ามมหาสมุทรกว้างใหญ่ ต่อให้ว่ายไปไกลแค่ไหนก็ไม่เห็นฝั่ง


คำพูดของเธอดูธรรมดาสามัญ แต่บ่อยครั้งที่ชี้ทางสว่างให้เขาเห็น ราวกับพี่เลี้ยงสักคนที่คอยแนะนำผู้เข้าแข่งขันอย่างเงียบๆ


จางเซวียนรู้ดีว่าต่อให้เขาวิงวอน หลัวลั่วชิงก็คงไม่ยอมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเธอ จึงแอบถอนหายใจก่อนจะตั้งคำถามต่อ “คุณจะเข้าไปฟังคำบรรยายของปรมาจารย์ขงไหม?”


เพราะจางเซวียนฝึกฝนเทคนิคเทียบฟ้าเหมือนปรมาจารย์ขง คำบรรยายของภาพลวงตาจึงไม่มีประโยชน์กับเขานัก แต่อาจไม่เป็นอย่างนั้นสำหรับหลัวลั่วชิง


“การบรรยายเพิ่งเริ่ม เราน่าจะได้เห็นการเคลื่อนไหวของหยวนเทาเร็วๆนี้ ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีล่ะก็ เขาน่าจะได้ประโยชน์” หลัวลั่วชิงพูด


“ก็ได้” จางเซวียนพยักหน้า


ก่อนหน้านี้ หลัวลั่วชิงบอกไว้ว่ามีโอกาสที่หยวนเทาจะได้พบกับความโชคดีครั้งใหญ่ แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้ภาพลวงตาของปรมาจารย์ขงจะเริ่มเปิดการบรรยายแล้ว บางทีการแสดงที่แท้จริงอาจยังไม่เริ่ม


จางเซวียนมองไปรอบๆเพื่อค้นหาหยวนเทา ซึ่งก็เห็นอีกฝ่ายเดินตรงเข้าสู่แท่นสูงตระหง่านด้วยนัยน์ตาจ้องเขม็ง


“เขาถูกปิดกั้นการรับรู้ไว้ จึงไม่ได้ยินคำสอนของปรมาจารย์ขง…” จางเซวียนสะดุดกับทีท่าแปลกประหลาดของหยวนเทา ก่อนจะตาโตเมื่อนึกได้


มีผู้เชี่ยวชาญอยู่ที่นี่มากมาย ซึ่งทันทีที่พวกเขาได้ยินเสียงปรมาจารย์ขง ก็รีบตรงเข้าหาที่นั่งเพื่อตั้งใจฟังคำสอนนั้น แต่หยวนเทายังคงเคลื่อนไหวอยู่ เป็นไปได้ว่าการรับรู้ของเขาถูกบางอย่างปิดกั้นไว้


ในเมื่อหยวนเทาไม่ได้ยินเสียงปรมาจารย์ขง จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ


หยวนเทาเดินตรงเข้าสู่แท่นสูงตระหง่าน เขายืดแขนและปล่อยพละกำลังมหาศาลออกไป ดูเหมือนกำลังพยายามจะบีบบังคับอะไรสักอย่างให้ลอยขึ้นจากพื้น


“เฮ้ย…” จางเซวียนถึงกับผงะ


เขายังสงสัยอยู่ว่าหยวนเทาคิดอะไร ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะยกแท่น


“นี่คือแท่นที่ปรมาจารย์ขงใช้ถ่ายทอดคำสอนของเขา มันจึงเหนือชั้นกว่าระดับมนุษย์ธรรมดาสามัญ พลังปราณธรรมดาไม่อาจทำให้มันสะดุ้งสะเทือนได้” หลัวลั่วชิงพูด “ในฐานะผู้มีสายเลือดฮ่องเต้ หยวนเทามีพละกำลังอันน่าอัศจรรย์แม้จะปราศจากพลังปราณ หากต้องการจะเคลื่อนย้ายแท่น จึงไม่มีใครเป็นตัวเลือกที่ดีไปกว่าเขา!”


“หากใครสักคนสามารถนำแท่นนี้ออกไปได้ ด้วยภาพลวงตาของปรมาจารย์ขงที่มีอยู่ ก็จะสามารถบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญรุ่นต่อๆไปได้อย่างง่ายดาย…”


ฟิ้วววว!


พละกำลังของหยวนเทาพุ่งออกมา แท่นสูงตระหง่านนั้นสั่นสะท้านไม่หยุด สุดท้าย มันก็ลอยสูงขึ้นจากพื้น


ตอนที่ 1755 โจมตีภาพลวงตา

ฟิ้วววว!


ต้นแอปริคอตพากันโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นแท่นถูกฉุดลอยขึ้นจากพื้น ในชั่วพริบตา ทั้งกิ่งไม้และใบไม้ก็พุ่งเข้าเล่นงานหยวนเทา


“แย่แล้ว…” จางเซวียนหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึง


เขาเห็นประสิทธิภาพการต่อสู้ของต้นแอปริคอตและใบของมันมาแล้วกับตา ต่อให้ตัวเขาก็ยัง รับมือกับอาการบาดเจ็บสาหัสได้ยากหากถูกโจมตี นับประสาอะไรกับหยวนเทาที่มีระดับวรยุทธต่ำกว่า


จางเซวียนกำลังจะพุ่งเข้าไปช่วยหยวนเทา แต่ถูกดึงข้อมือไว้ เมื่อหันกลับไป ก็เห็นหลัวลั่วชิงส่ายหน้า


จางเซวียนงงมาก แต่รู้ว่าหลัวลั่วชิงต้องมีเหตุผลที่ยับยั้งเขาไว้ เพราะเชื่อใจเธอ จางเซวียนจึงยอมระงับความวิตกกังวลและเฝ้ามองสถานการณ์ต่อไป


ฟิ้วววว!


กิ่งไม้กับใบไม้พุ่งถึงตัวหยวนเทาแล้ว แต่หยวนเทาก็ตอบโต้การโจมตีของพวกมัน มีเสียงฮัมดังลั่นออกจากร่างของหยวนเทาขณะที่ดูเหมือนเขาจะเปิดใช้งานปราการป้องกันตัวบางอย่าง แสงนวลตาโอบล้อมร่างของเขาไว้ และก่อตัวขึ้นเป็นชุดเกราะที่ทำจากแสง


ชุดเกราะนั้นไม่หนาเท่าไหร่ แต่ไม่ว่ากิ่งไม้กับใบไม้จะตรงเข้าเล่นงานหนักหน่วงขนาดไหน ก็เจาะทะลุมันเข้าไปไม่ได้


“นั่นคือเสื้อเกราะวาจาทองคำของนักปราชญ์โบราณใช่ไหม?” จางเซวียนตาโต


เขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ก็เหมือนนักรบทองคำของลายมือบ่มเพาะจิตวิญญาณ เสื้อเกราะวาจาทองคำเป็นอำนาจรูปแบบหนึ่งของนักปราชญ์โบราณที่อยู่ในรูปของชุดเกราะ ซึ่งผู้ที่มีระดับวรยุทธต่ำกว่านักปราชญ์โบราณไม่อาจทำลายมันได้


ดูเหมือนกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จะคาดเดาอันตรายจากแท่นไว้ล่วงหน้า จึงได้เตรียมการเพื่อปกป้องหยวนเทา


ด้วยการโจมตีอย่างดุเดือดของต้นแอปริคอต ชุดเกราะวาจาทองคำที่ปกป้องหยวนเทาอยู่เริ่มจะจางหาย ยังคงมีคลื่นพลังงานอยู่บ้าง แต่สุดท้ายมันก็สลายตัวไปเมื่อเจอการโจมตีเข้าอย่างจัง


“ยกระดับ!”


แม้ประสาทสัมผัสทั้ง 6 ของหยวนเทาจะถูกปิดกั้นไว้ ทำให้เขาแทบไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาพอจะรู้สึกได้ถึงการโจมตีอันทรงพลังที่พุ่งเข้าใส่ หยวนเทาคำรามกร้าวและยกระดับความแข็งแกร่งของเขาขึ้นถึงขีดสุด


สายเลือดฮ่องเต้ที่ไหลเวียนทั่วร่างของหยวนเทาถูกปลุกขึ้นมา แล้วร่างอวตารของหลงชีก็ปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางอยู่ด้านหลัง ศีรษะของมันสูงตระหง่านอยู่กลางอากาศ ส่วนเท้าก็ยืนตั้งมั่นอยู่บนพื้นโลก


พละกำลังของร่างอวตารนั้นดูจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้หยวนเทาอีกมาก ในเวลาเดียวกัน ด่านคอขวดในวรยุทธของเขาก็ถูกทำลายภายใต้แรงกดดันมหาศาล ทำให้วรยุทธของหยวนเทาพุ่งพรวด


แม้จะปลุกสายเลือดฮ่องเต้ของตัวเองขึ้นแล้ว แต่วรยุทธของหยวนเทาก็ยังคงชะงักงันอยู่ที่ขั้นร่างอันทรงเกียรติอยู่เนิ่นนาน ด้วยแรงกดดันหนักหน่วงที่เขากำลังเผชิญ พละกำลังของหยวนเทาก็พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด และนำไปสู่การฝ่าด่านวรยุทธ


พละกำลังของหยวนเทาเพิ่มขึ้นพร้อมกันกับวรยุทธ ทำให้เขายกแท่นสูงตระหง่านนั้นได้สูงขึ้นกว่าเดิมอีกมาก ดูเหมือนสายสัมพันธ์ระหว่างแท่นกับพื้นโลกใกล้จะขาดสะบั้นเต็มที


“เหลือเชื่อจริงๆ…” จางเซวียนชื่นชม


ตอนนี้ หยวนเทาใช้ความแข็งแกร่งของโลกดึงพละกำลังมหาศาลของตัวเองออกมา ตราบใดที่เท้าของเขายังคงตั้งมั่นอยู่กับพื้น ก็ดูเหมือนจะปลดปล่อยพละกำลังได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด


หรือนี่คือประสิทธิภาพที่แท้จริงของสายเลือดฮ่องเต้?


ขอแค่เขายังอยู่บนพื้นดิน ก็ไม่มีใครสามารถทำลายปราการป้องกันตัวหรือเอาชนะความแข็งแกร่งของเขาได้ ไม่ต่างอะไรกับนักสู้ตัวจริง


“สายเลือดฮ่องเต้มีองค์ประกอบของดิน เมื่อเหยียบย่ำลงไปบนพื้นดิน ผู้ที่มีสายเลือดฮ่องเต้จะสามารถปลดปล่อยประสิทธิภาพการต่อสู้สูงสุดของเขาออกมาได้ ซึ่งหากสายเลือดนี้ถูกปลุกขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบเมื่อไหร่ ก็ไม่ด้อยไปกว่าสภาวะกายพิษแต่กำเนิดของเว่ยหรูเหยียนหรือสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์ของจ้าวหย่าเลย” หลัวลั่วชิงตั้งข้อสังเกตพร้อมกับพยักหน้า “คุณมีอสูรนรกลวงตาอยู่กับตัวใช่ไหม นำหยดเลือดของมันออกมาสิ”


“ได้” จางเซวียนพยักหน้า


เขารีบติดต่อกับ 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในรังนางพญามด ไม่ช้า หยดเลือด 2-3 หยดก็ลอยอยู่ตรงหน้า


5 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งมิติผืนป่าเชื่อมโยงกับ 5 ธาตุ และอสูรนรกลวงตาก็ดูเหมือนจะเชื่อมโยงกับธาตุดิน


“ให้หยดเลือดนั้นซึมซับเข้าสู่หว่างคิ้วของหยวนเทา” หลัวลั่วชิงสั่งการ


จางเซวียนกระดิกนิ้ว


ฟึ่บ!


หยดเลือดของอสูรนรกลวงตาพุ่งเข้าใส่เด็กหนุ่มร่างตุ้ยนุ้ยที่กำลังพยายามยกแท่น มันซึมซาบเข้าสู่หว่างคิ้วของเขา


ทันทีที่หยดเลือดนั้นหลอมรวมเข้ากับร่างของหยวนเทา ก็ดูเหมือนสายเลือดของเขาจะถูกจุดให้เป็นไฟ ร่างอวตารของหลงชีที่ลอยอยู่เหนือตัวเขาดูจะได้รับการบ่มเพาะครั้งใหญ่ มันขยายขนาดใหญ่ขึ้นและดูจะจับต้องได้มากขึ้น หากมันกระทืบเท้า ก็ดูราวกับว่าจะสามารถแบกรับน้ำหนักทั้งหมดของสวรรค์ไว้บนบ่าของมันได้


ฟึ่บ!


ในที่สุดสายสัมพันธ์ระหว่างแท่นกับพื้นดินก็ขาดสะบั้น หยวนเทานำแท่นออกจากโดมแอปริคอตได้สำเร็จ!


เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงในบริเวณโดยรอบ เสียงที่ดังมาจากภาพลวงตาบนแท่นสูงตระหง่านนั้นขาดหายไป ฝูงชนที่กำลังตั้งใจฟังคำบรรยายอยู่บนเบาะรูปกลมถูกดึงออกจากภวังค์ ทุกคนต่างงงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น


“คุณทำบ้าอะไรอยู่น่ะ?”


“คุณรนหาที่ตายแล้ว!”


เผ่าพันธุ์ปีศาจคำรามกึกก้อง


คำสอนของปรมาจารย์ขงถือเป็นเครื่องชี้ทาง และการบรรยายก่อนหน้านี้ก็มีประโยชน์กับวรยุทธของพวกมันมาก แต่หมอนี่กลับเข้ามายกแท่นและขัดจังหวะการฝึกฝนวรยุทธของพวกมัน ไม่ต่างอะไรกับการฉกฉวยโอกาสที่พวกมันจะได้ฝ่าด่านวรยุทธไป!


เผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเกิดแก่เจ็บตายเช่นกัน และพวกมันก็ปรารถนาที่จะมีพละกำลังที่แข็งแกร่งรวมทั้งสถานภาพที่สูงขึ้นกว่าเดิม นี่ถือเป็นความโชคดีครั้งใหญ่ แต่แล้วพวกมันก็ต้องพลาด


“ยับยั้งพวกมันไว้!” เหยียนเฉว่สั่งการอย่างสุขุม แล้วกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็ตีวงล้อมหยวนเทาเพื่อปกป้องเขา


แผนการของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็คือการให้หยวนเทายกแท่นขึ้นและนำมันออกไป พวกเขาจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาขัดจังหวะในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้เด็ดขาด


ขณะที่ทั้งสองฝ่ายจ้องตากันอย่างดุเดือด ความตึงเครียดหนักหน่วงก็แผ่ซ่านไปทั่ว ดูเหมือนการต่อสู้พร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกขณะ


จางเซวียนไม่แยแสความขัดแย้งระหว่างสองฝ่าย สายตาของเขาจับจ้องที่หยวนเทา แต่ในตอนนั้น ชุดเกราะวาจาทองคำที่หยวนเทาสวมอยู่ก็เหมือนจะพ่ายแพ้ให้กับการกระหน่ำโจมตีจากต้นแอปริคอต มันแตกเป็นเสี่ยงๆ


“แย่แล้ว…” จางเซวียนนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความพรั่นพรึง


หยวนเทายืนหยัดอยู่ได้ก็เพราะการปกป้องของชุดเกราะ ซึ่งในเมื่อมันแตกเป็นเสี่ยงๆไปแล้ว เขาจะต้องตายเพราะถูกต้นแอปริคอตกับใบไม้เล่นงานหรือเปล่า?


“อย่าห่วงน่ะ ไม่มีใครขี้กังวลไปกว่าคุณอีกแล้วล่ะ…” หลัวลั่วชิงหัวเราะเบาๆ


ทันทีที่เธอพูดจบ เหยียนเฉว่ก็นำเสื้อคลุมตัวใหญ่ออกมาโยนใส่หยวนเทา ห่อหุ้มร่างของอีกฝ่ายไว้


วิ้ง!


คราวนี้ การโจมตีของกิ่งไม้และใบไม้ก็ทำอะไรหยวนเทาไม่ได้อีก


“นี่มัน…ของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณ?” จางเซวียนหรี่ตา


เขารู้เลยว่ามันคือของล้ำค่าชั้นยอดที่มีไว้เพื่อการป้องกันตัว ต่อให้กระบี่เปลวเพลิงสีดำก็ไม่อาจเล่นงานมันได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว


สมกับที่เป็น 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ ทรัพย์สมบัติที่พวกเขามีช่างมากมายมหาศาล


เมื่อได้เสื้อคลุมช่วยปกป้อง หยวนเทาก็มีเวลาเพิ่มขึ้น เขาถือแท่นหนักอึ้งไว้ด้วยสองมือ จากนั้นก็เดินออกจากโดมแอปริคอต


ขณะที่แท่นขยับเขยื้อน ภาพลวงตาที่อยู่บนแท่นนั้นก็สั่นไหว


ตอนนี้แหละ จางเซวียน, เล่นงานภาพลวงตานั้นแล้วใส่มันเข้าไปในร่างของหยวนเทา” หลัวลั่วชิงสั่งการ


“ได้สิ”


จางเซวียนกระโจนผ่านพวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และเผ่าพันธุ์ปีศาจเพื่อขึ้นสู่ยอดของแท่นนั้น


นักรบส่วนใหญ่จากทวีปแห่งปรมาจารย์ และบางทีอาจจะรวมถึงเผ่าพันธุ์ปีศาจด้วย ต่างมีความยำเกรงในของล้ำค่าที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ แต่เพราะจางเซวียนมาจากโลกอีกใบ เขาจึงไม่มีความรู้สึกนั้น ด้วยการปล่อยพลังจากฝ่ามือ ภาพลวงตาก็สูญเสียการทรงตัวและร่วงลงมาจากแท่น


จากนั้น จางเซวียนก็ใช้พลังปราณเทียบฟ้าห่อหุ้มภาพลวงตาไว้และควบคุมการเคลื่อนไหวของมัน


ฟึ่บ!


ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา พวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และเผ่าพันธุ์ปีศาจจึงไม่มีเวลาตอบโต้ ยังไม่ทันที่ใครจะตั้งตัว ภาพลวงตานั้นก็ถูกส่งเข้าสู่หว่างคิ้วของหยวนเทาแล้ว


เกิดความเงียบงันครู่หนึ่ง ก่อนเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ครั้งใหญ่จะระเบิดขึ้น


“คุณทำบ้าอะไรอยู่?” เหยียนเฉว่ขนลุกขนชันด้วยความพรั่นพรึงในสิ่งที่เห็น เขาคำรามก้อง


เหตุผลที่พวกเขาพยายามจะยึดครองแท่นนี้ก็เพื่อจะให้ได้ภาพลวงตา แต่ชายหนุ่มกลับจัดการใส่ภาพลวงตาเข้าไปในร่างของหยวนเทาเสียแล้ว เหยียนเฉว่ทั้งหงุดหงิดและโกรธเกรี้ยว เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ไปครู่หนึ่ง


ช่างเหลวไหลสิ้นดี!


ส่วนอีกด้านหนึ่ง จางเซวียนก็ร่อนลงกับพื้นอย่างเงียบเชียบและกลับไปยังจุดที่เขายืนก่อนหน้านี้


จางเซวียนเห็นร่างของหยวนเทาขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากได้รับภาพลวงตา ร่างตุ้ยนุ้ยนั้นพองลมขึ้นจนเหมือนลูกโป่ง ดูเหมือนเขาพร้อมจะลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ทุกเมื่อ


ในชั่วพริบตา หยวนเทาก็ตัวกลมดิก ทั้งความสูงและความกว้างของเขาเกินกว่า 2 เมตร เขาดูเหมือนก้อนหินขนาดมหึมา


“มันเกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนจังงังกับความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของหยวนเทา


เขาไม่เคยนึกฝันว่าจะได้เห็นภาพประหลาดแบบนี้


ตอนที่ 1756 ล้มเหลว?

จางเซวียนหันขวับไปมองหลัวลั่วชิง เห็นเธอส่งยิ้มให้ความมั่นใจ เหมือนเธอจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น


เมื่อรู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เกินความคาดหมาย จางเซวียนแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะมองหยวนเทาอย่างเป็นห่วงอีกครั้ง ร่างของอีกฝ่ายยังคงพองโตขึ้นเรื่อยๆ ภายในเวลาไม่ถึง 1 นาที ความสูงของเขาก็พุ่งพรวดไปถึง 8 เมตร ดูเหมือนร่างพร้อมระเบิดได้ทุกขณะ


หากทุกอย่างเลวร้ายไปกว่านี้ จางเซวียนก็พร้อมที่จะก้าวเข้าไปช่วยชีวิตลูกศิษย์ของเขา


“นี่คือบททดสอบของหยวนเทา ถ้าเขาสามารถรับมือกับภาพลวงตานั้นได้ ที่เหลือก็ไม่ใช่ปัญหา” หลัวลั่วชิงส่งโทรจิตบอกจางเซวียน


“รับมือกับภาพลวงตา?” จางเซวียนประหลาดใจที่ได้ยินคำนั้น ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมอง เขาหรี่ตาด้วยความตกใจ “คุณหมายความว่า…ตอนนี้หยวนเทากำลังพยายามซึมซับภาพลวงตาเข้าสู่ร่างของเขาหรือ?”


จางเซวียนใช้พลังปราณเทียบฟ้าห่อหุ้มภาพลวงตาไว้ก่อนจะใส่มันเข้าไปในร่างของหยวนเทา เขาคิดว่าจะเก็บภาพลวงตานั้นไว้ในร่างของหยวนเทาเพียงชั่วคราว แต่ฟังจากที่หลัวลั่วชิงพูด…หยวนเทาน่าจะกำลังพยายามซึมซับภาพลวงตานั้น


ภาพลวงตาคือสิ่งก่อตัวขึ้นจากคำสอนยาวนานหลายปีของปรมาจารย์ขง ไม่มีทางคาดเดาได้ว่ามันทรงพลังแค่ไหน แต่ความรู้เรื่องวรยุทธและเทคนิคการต่อสู้ที่มีอยู่มากมายในนั้นสามารถทำให้ใครก็ตามคลุ้มคลั่งได้!


แค่การที่กลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เพียรพยายามเพื่อให้ได้แท่นสูงตระหง่านนี้มา ก็บ่งบอกชัดแล้วว่าภาพลวงตานั้นล้ำค่า


การได้ซึมซับความรู้มากมายแบบนั้นเป็นเสียยิ่งกว่าความโชคดีครั้งใหญ่ เหนือชั้นไปกว่าการได้ฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณเสียอีก


“อสูรนรกลวงตาเป็นอสูรที่ปรมาจารย์ขงทำให้มันยอมจำนนด้วยตัวเขาเอง และมันเก็บงำหัวใจของวิหารแห่งขงจื๊อส่วนหนึ่งไว้ มันมีต้นกำเนิดเดียวกันกับภาพลวงตา ทำให้ภาพลวงตาสามารถหลอมรวมเข้ากับมันได้อย่างไร้ที่ติ คุณได้ทำหน้าที่อย่างที่อาจารย์คนหนึ่งควรทำแล้ว ส่วนหยวนเทาจะไปได้ไกลแค่ไหนนั้น เป็นเรื่องที่เขาต้องตัดสินใจเอง” หลัวลั่วชิงเปรยขณะจ้องมองหยวนเทาอย่างสุขุม


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนอดกลืนน้ำลายไม่ได้


คนรักของเขาช่างไม่ธรรมดาจริงๆ! คงไม่มีใครในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่จะนึกฝันถึงการเล่นงานภาพลวงตาที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ แต่คนรักของเขามีกลยุทธ์ที่ทำให้หยวนเทาสามารถซึมซับภาพลวงตาเข้าสู่ร่างของตัวเองได้ ช่างเหนือชั้นจริงๆ


ก่อนหน้านี้ เขาเคยคิดว่าเธออาจเป็นผู้เชี่ยวชาญจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ แต่เท่าที่เห็น ก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น คงไม่มีทางที่ทายาทของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จะปฏิบัติต่อภาพลวงตาของปรมาจารย์ขงด้วยวิธีการแบบนี้


“นำมันออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”


ในเวลาเดียวกัน เหยียนเฉว่กับคนอื่นๆก็เพิ่งรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำอย่างโกรธจัด ดูเหมือนพร้อมระเบิดได้ทุกขณะ


ทุกคนลงทุนลงแรงไปมากมายเพื่อนำแท่นและภาพลวงตาออกมา แต่ใครจะไปคิดว่าทั้งๆที่วางแผนมาอย่างดี แต่ลงท้าย ทรัพย์สมบัติของพวกเขาก็ต้องตกเป็นของคนอื่น


ฟึ่บ!


เหยียนเฉว่ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาชักดาบออกมาแล้วเตรียมพุ่งตรงเข้าจ้วงแทงหัวใจของหยวนเทาจากด้านหลัง ขณะที่กำลังกวัดแกว่งดาบ ก็เกิดเสียงเคร้งคร้างของโลหะดังขึ้นกลางอากาศ ราวกับดาบนั้นเสียดสีกับบรรยากาศโดยรอบ การเคลื่อนไหวแต่ละท่วงท่าดูจะแข็งแกร่งและรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม เหมือนว่าโลกทั้งโลกเพิ่มพละกำลังให้กับศิลปะเพลงดาบของเขา


แม้จะอายุยังน้อย แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาสำเร็จแก่นสารเพลงดาบแล้ว ก็เหมือนกับจางเซวียน เขาน่าจะสำเร็จแก่นสารอย่างน้อยก็ 2 รูปแบบ!


“ฮึ่มมมม!” เห็นการโจมตีของเหยียนเฉว่ จางเซวียนเลิกคิ้วและคำราม


เขาชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาและพุ่งเข้าบังหยวนเทาไว้ จากนั้นก็เงื้อหอกขึ้นด้วยพละกำลังอันน่าทึ่ง


แม้ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของจางเซวียนจะอยู่ในขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณโลกจารึก แต่ก็สามารถต่อกรได้อย่างสมน้ำสมเนื้อกับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกโดยปราศจากปัญหาใดๆ


เคร้งงงง!


หอกปะทะกับคมดาบของเหยียนเฉว่ ในชั่วพริบตา มันก็ต่อสู้กัน คลื่นความสั่นสะเทือนอันน่าสะพรึงแผ่ออกไปโดยรอบ ทำลายทุกสิ่งที่ขวางทาง แม้แต่มิติก็ดูเหมือนจะเกิดรอยร้าวเพราะการโจมตีนั้น รอยแยกของมิติขนาดเล็กปรากฏขึ้นทั่วบริเวณ


“จางเซวียน, รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่? หากไม่มีภาพลวงตาของปรมาจารย์ขงคอยอารักขาพื้นที่นี้ไว้ วิหารแห่งขงจื๊อทั้งหลังจะต้องสูญเสียรากฐาน มิติแห่งนี้จะถูกเล่นงานโดยคลื่นความสั่นสะเทือนของมิติและเวลา พวกเราอาจต้องติดอยู่ในรอยแยกของมิติและเวลาไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ไม่อาจกลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้!” เหยียนเฉว่ตวาดก้องขณะเข้าโจมตีอย่างบ้าคลั่งครั้งแล้วครั้งเล่า


“ก็ในเมื่อคุณรู้ว่าอะไรจะเกิดตามมา ทำไมถึงยังคิดให้ลูกศิษย์ของผมขโมยภาพลวงตาของปรมาจารย์ขงล่ะ?” จางเซวียนไม่สะทกสะท้านกับคำถามของเหยียนเฉว่ เขาตอบอย่างสุขุมขณะรับมือกับการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างไร้ที่ติ


ตั้งแต่แรก ก็เป็น 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ที่เตรียมการทุกอย่างเพื่อฉกฉวยแท่นนั้น แต่เมื่อมีบางอย่างไม่เป็นไปตามแผน พวกนั้นก็พร้อมใจกันชี้นิ้วมาที่เขา นี่คือสิ่งที่เหล่าทายาทของ 72 นักปราชญ์พึงกระทำหรือ?


“ผมยอมรับว่าพวกเราพยายามจะขโมยภาพลวงตา แต่แท้ที่จริงแล้วเรามีแรงบันดาลใจอื่น…” ยังไม่ทันที่เหยียนเฉว่จะพูดจบ รังสีทรงพลังก็กวาดทั่วพื้นที่บริเวณนั้น ราวกับมีคลื่นขนาดใหญ่ซัดสาดเข้ามาขัดขวางการต่อสู้ของทั้งคู่


จางเซวียนกับเหยียนเฉว่แยกจากกัน ต่างถอยห่างไปคนละหลายก้าว


จางเซวียนรีบขับเคลื่อนพลังปราณเทียบฟ้าเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บของตัวเองก่อนจะลุกขึ้นยืนและมองดูบริเวณใจกลางรังสีอันทรงพลังนั้น เขาเห็นว่าความสูงของหยวนเทาเพิ่มขึ้นจนเกินกว่า 10 เมตร หยวนเทาดูราวกับยักษ์ที่มีพละกำลังเหนือชั้นกว่าใครๆในโลก


ฟึ่บ!


หยวนเทาเงยหน้าและคำรามเดือด เขากลืนร่างอวตารของหลงชีที่อยู่เหนือศีรษะของเขาลงไป พริบตาต่อมา รังสีของเขาก็แผดกล้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง


วรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติขั้นกลาง…ขั้นสูง…ขั้นสูงสุด…ขั้นสมบูรณ์แบบ…โลกจารึก!


วรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณขั้นกลาง…ขั้นสูง…ขั้นสูงสุด…ขั้นสมบูรณ์แบบ…โลกจารึก!


วรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน…


หยวนเทาสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกได้ในชั่วพริบตา!


แต่ถึงอย่างนั้น พละกำลังของเขาก็ยังพลุ่งพล่านอยู่ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด


“เขากำลังจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณหรือ?” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตื่นเต้น


เขาไม่คิดว่าสิ่งนี้จะเป็นความโชคดีครั้งใหญ่ที่เกิดกับหยวนเทา หากเป็นอย่างนี้ต่อไป หยวนเทาอาจเหนือชั้นกว่าจ้าวหย่าและคนอื่นๆ และสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณได้ด้วย!


“พลังงานที่ต้องใช้สำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณนั้นถือว่าเข้มข้นมาก การรวบรวมพลังในเวลานี้ของเขายังคงอ่อนด้อยอยู่ เพราะฉะนั้น การจะทำแบบนั้นได้จึงไม่ง่าย” หลัวลั่วชิงส่ายหน้า สายตาของเธอฉายแววล้ำลึก “อีกอย่าง นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณเป็นสิ่งจำเป็นในการฝ่าด่านวรยุทธ ซึ่งที่นี่ไม่มีนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณอยู่เลย”


“ไม่ต้องห่วง ผมอยู่ที่นี่แล้ว!”


รู้ดีว่านี่เป็นโอกาสหายากสำหรับลูกศิษย์ของเขา ไม่มีทางที่จางเซวียนจะปล่อยให้หลุดมือ เขากระดิกนิ้วและส่งขวดหยกใบหนึ่งให้หยวนเทาโดยไม่ลังเล


ฟิ้วววว!


ทันทีที่ขวดหยกลอยไปอยู่ตรงหน้าหยวนเทา จุกของมันก็ถูกเปิดออก แล้วหยดเลือดสีแดงก่ำก็ลอยเข้าสู่ริมฝีปากของเขา ไม่ช้า พลังงานมหาศาลก็พลุ่งพล่านทั่วร่างของหยวนเทา ทำให้เขามีพละกำลังเพื่อการผลักดันวรยุทธของตัวเองให้สูงขึ้น


หยดเลือดของนักปราชญ์โบราณ!


โชคดีที่จางเซวียนได้เก็บสะสมหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณเอาไว้บ้างจากการหลอกล่อนักปราชญ์โบราณจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ และนี่คือสถานการณ์เหมาะสมที่สุดที่จะใช้มัน


ในเวลาเดียวกัน เขาก็เปิดภาพผืนผ้าใบสี่ฤดูและปล่อยให้นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณพุ่งสู่พื้นที่โดยรอบ


เมื่อมีทั้ง 2 ปัจจัยมาประกอบ หยวนเทาที่ร่างกายแทบระเบิดก็ดูเหมือนจะฝ่าด่านคอขวดเหนียวแน่นที่สกัดกั้นเขาไว้ได้สำเร็จ รังสีของหยวนเทาแผ่ซ่านออกมาอีกครั้ง


รังสีของเขาทรงพลังเสียจนดูเหมือนหมู่เมฆจะสั่นไหวและสายฟ้าก็พร้อมจะฟาดใส่ ต่อให้มิติก็ไม่น่าจะต้านทานพละกำลังของเขาได้นานนัก


ครืนนนนน!


การทดสอบวรยุทธปรากฏ


เปลวเพลิงสวรรค์และสายฟ้าพุ่งตรงมาจากกลางอากาศ ราวกับถึงวันที่โลกพบจุดจบ


แม้แต่เหยียนเฉว่กับพรรคพวกซึ่งตั้งใจจะบังคับให้หยวนเทาคายภาพลวงตาออกมาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้อีกฝ่าย


พวกเขารู้ทันทีว่าหยวนเทาเพิ่งเรียกการทดสอบนักปราชญ์โบราณมา เป็นบททดสอบสุดท้ายที่นักรบต้องผ่านไปให้ได้เพื่อการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นสูงกว่าเดิม ความตายอาจเข้ามาได้ทุกขณะเมื่อมีพละกำลังระดับนี้


เปรี้ยงงงง!


เปลวเพลิงสวรรค์ที่แผดเผาไม่หยุดหย่อนและการบ่มเพาะอย่างต่อเนื่องของสายฟ้าขัดเกลาพลังงานที่เดือดพล่านอยู่ในร่างของหยวนเทาอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาหดเล็กลงอีกครั้ง ความสูงจาก 10 เมตรกลับไปสู่ระดับความสูงเดิม


ทั้งสายฟ้าและเปลวเพลิงสวรรค์ดูจะสร้างบาดแผลไว้บนผิวหนัง ดูเหมือนหยวนเทาจะค่อยๆเรียนรู้พละกำลังอันน่าสะพรึงทั้งสองของธรรมชาติ แม้แต่มิติก็ดูจะหลบลี้หนีหน้าไปเมื่อต้องเผชิญกับความแข็งแกร่งระดับนี้


“หยดเลือดนักปราชญ์โบราณเหือดแห้งไปหมดแล้ว!”


แต่ไม่ช้า ความก้าวหน้าของหยวนเทาก็หยุดกึก เขากำลังจะฝ่าด่านคอขวดด่านสุดท้ายระหว่างตัวเขากับวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ แต่พลังงานที่เขามีอยู่กลับไม่เพียงพอ


ปริมาณพลังงานที่ต้องใช้สำหรับการฝ่าด่านวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณนั้นมีมหาศาล ก่อนหน้านี้ จางเซวียนได้หยดเลือดจำนวนหนึ่งจากนักปราชญ์โบราณของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ แต่ตอนนี้ก็ชัดเจนว่ามันมีจำนวนไม่มากพอ


ขณะที่ปริมาณพลังงานในร่างของหยวนเทาถดถอยอย่างรวดเร็ว การทดสอบวรยุทธก็ค่อยๆเสื่อมสลาย ซึ่งไม่ใช่เพราะหยวนเทาผ่านการทดสอบ แต่เป็นเพราะถึงจุดสิ้นสุดของมันแล้ว พูดอีกอย่างก็คือ ความพยายามของหยวนเทาในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณนั้นล้มเหลว


โอกาสที่จะได้ฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณถือว่ามีน้อยมาก ถึงขนาดที่เรียกว่าต้องอาศัยโชคชะตา หากฝ่าด่านวรยุทธไม่สำเร็จ ก็ยากที่จะบอกได้ว่าโอกาสแบบนี้จะผ่านมาอีกครั้งเมื่อไหร่ หรือมันอาจไม่เกิดขึ้นอีกเลยก็ได้


และที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ ความยากของการทดสอบนักปราชญ์โบราณครั้งที่ 2 อาจยากขึ้นอีกอย่างน้อย 2 เท่า หรืออีกนัยหนึ่ง แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่นักรบจะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จหากล้มเหลวในครั้งแรก


ช่างน่าเสียดายที่ต้องพลาดพลั้งเพราะมีพลังงานไม่มากพอ


“ความพยายามของเขาจะต้องสูญเปล่าแบบนี้หรือ?” จางเซวียนพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


ตอนที่ 1757 หอลำดับแรกปรากฏ

หลัวลั่วชิงจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่กลางอากาศและพูดว่า “ความพยายามของเขาจะไม่สูญเปล่าหรอก คุณไม่รู้สึกหรือว่าหยวนเทาจงใจกดข่มวรยุทธของเขาไว้เพื่อไม่ให้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ?”


“เขาจงใจกดข่มวรยุทธ?” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


“ใช่” หลัวลั่วชิงพยักหน้า “เป็นความจริงที่ว่าความพยายามในการฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณครั้งที่ 2 จะยากขึ้นมาก ด้วยเหตุนี้ นักรบส่วนใหญ่จึงตั้งมั่นที่จะทำให้สำเร็จในครั้งแรก แต่สิ่งนี้มีไว้สำหรับนักปราชญ์โบราณที่อ่อนแอที่สุดเท่านั้น”


“การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณอาจเรียกได้ว่าเป็นความพยายามที่จะใช้พละกำลังปะทะกับสวรรค์เพื่อจะได้ยกระดับตัวเองให้เทียบเท่ากับสวรรค์ ผู้ที่ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จในครั้งแรกอาจปฏิบัติภารกิจข้อนี้ได้เช่นกัน แต่ในเวลาเดียวกัน ความแข็งแกร่งที่พวกเขาได้รับจากสวรรค์ก็มีจำกัด ความพยายามใดๆก็ตามที่จะต่อต้านสวรรค์ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้บ่มเพาะพละกำลังของผู้นั้น รวมทั้งขัดเกลาการใช้พลังงานด้วย ความพยายามครั้งที่ 2 ในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณอาจยากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แต่ถ้าทำได้ การจะผลักดันวรยุทธให้ก้าวหน้าต่อไปในอนาคตก็ง่ายขึ้นมาก”


“แบบนี้ก็เหมือนกระบวนการฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงของปรมาจารย์ขงในการฝ่าด่านวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ใช่ไหม เป็นบททดสอบรูปแบบหนึ่งเช่นกันใช่หรือเปล่า?” จางเซวียนตั้งคำถาม


มีการทดสอบสถาปนาเซียนเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่นักรบระดับเซียน เช่นเดียวกันกับกระบวนการฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงเพื่อให้สำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ วิธีการเหล่านี้อาจทำให้ฝ่าด่านวรยุทธได้ยากกว่า แต่ผู้ที่ทำสำเร็จก็จะมีพละกำลังสูงกว่านักรบรุ่นเดียวกัน แล้วการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณจะเป็นไปในทำนองนี้หรือเปล่า?


หลัวลั่วชิงเอาสองมือไพล่หลังไว้ขณะเหม่อมองไปไกลแสนไกล “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณก็เหมือนกับการฝ่าคลื่นขนาดใหญ่ที่ชำระล้างทรายออกจากร่างกายของนักรบผู้นั้น ยิ่งได้เผชิญหน้ากับการทดสอบนักปราชญ์โบราณบ่อยครั้งขึ้นเท่าไหร่ พลังปราณของเขาก็จะเข้มข้นและได้รับการขัดเกลามากกว่าเดิม”


“ระหว่างการฝ่าด่านวรยุทธ ปรมาจารย์ขงยับยั้งตัวเองไว้ถึง 3 ครั้งเมื่อตอนที่ใกล้จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ เมื่อถึงครั้งที่ 4 เขาจึงปล่อยมัน สิ่งนี้ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นครูบาอาจารย์ของโลก เป็นผู้ที่ไม่มีใครในโลกเทียบชั้นได้”


“แม้จะดูเหมือนว่าหยวนเทาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณไม่สำเร็จ แต่ในครั้งแรกนี้ กายเนื้อของเขาก็ได้ซึมซับหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณแล้ว พูดอีกอย่างก็คือเขามีร่างกายของนักปราชญ์โบราณ แม้จะยังไม่ใช่นักปราชญ์โบราณที่แท้จริง แต่พละกำลังที่เขาครอบครองก็มากพอที่จะรับมือกับผู้ที่เพิ่งสำเร็จวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณมือใหม่”


“เอ่อ…” จางเซวียนถึงกับชะงัก


ดูน่าประทับใจไม่น้อยที่หยวนเทามีพละกำลังเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณมือใหม่แม้จะมีวรยุทธแค่ขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก และปรมาจารย์ขงก็ยับยั้งตัวเองไว้ถึง 3 ครั้งก่อนจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ปรมาจารย์ขงจะต้องทรงพลังขนาดไหน?


ไม่มีนักรบคนไหนในโลกที่ไม่ปรารถนาจะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองและกลายเป็นผู้ที่สูงตระหง่านจนเทียบเท่ากับสวรรค์ แต่ปรมาจารย์ขงก็เอาชนะความปรารถนานั้นได้และระงับตัวเองไว้ก่อนจะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้ในที่สุด เพียงเท่านี้ก็เห็นชัดแล้วว่าสภาวะจิตของเขาแข็งแกร่งอย่างไม่ธรรมดา


ไม่น่าสงสัยเลยที่ปรมาจารย์ขงสามารถนำพามวลมนุษย์ไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ถึงจางเซวียนจะไม่ได้มีความยำเกรงในตัวปรมาจารย์ขงเหมือนกับคนทั่วไปในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ก็ต้องบอกว่าเขาเคารพอีกฝ่าย


จางเซวียนอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อน คงมีนักรบไม่กี่คนหรอกที่รู้ความลับข้อนี้ ใช่ไหม? แล้วทำไมหยวนเทาถึงทำแบบนั้น?”


เป็นไปได้ว่าต่อให้ปรมาจารย์หยางหรือเซียนดาบชิงกับคนอื่นๆก็น่าจะไม่รู้ความจริงข้อนี้ แต่เพราะจางเซวียนรู้ดีว่าหลัวลั่วชิงน่าจะมาจากกลุ่มอำนาจที่มีพละกำลังมาก จึงไม่น่าประหลาดใจนักที่เธอจะรู้เรื่องดังกล่าว แต่หยวนเทาติดตามเขามาตั้งแต่อาณาจักรเทียนเซวียน แล้วรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?


ความปรารถนาที่จะได้เป็นนักปราชญ์โบราณนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะบรรยาย หากผู้นั้นมีความรอบรู้ไม่มากพอ ก็ไม่น่าจะยอมเสี่ยงกับสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นโอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธเพียงครั้งเดียวของเขา


“หยวนเทาได้ซึมซับภาพลวงตาของปรมาจารย์ขง ความเข้าใจเรื่องวรยุทธของเขาจึงเหนือชั้นกว่าแม้แต่กับ 72 นักปราชญ์” หลัวลั่วชิงอธิบาย “เพียงแต่การซึมซับภาพลวงตานั้นจะทำให้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากปรมาจารย์ขง ซึ่งนั่นจะส่งผลเสียต่อความก้าวหน้าของคุณ ไม่อย่างนั้นฉันคงให้คุณซึมซับภาพลวงตานั้นแทนแล้ว”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนได้แต่ส่ายหน้าและยิ้มเจื่อนๆ “ส่งผลเสียต่อความก้าวหน้าของผม?”


เขารู้ตัวดีว่าหากฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ คงแทบไม่มีใครในโลกนี้ที่จะเป็นภัยคุกคามต่อเขาอีก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ยังมีอะไรที่ต้องกังวล?


“คุณเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานเช่นกัน และถูกลิขิตมาให้เดินในเส้นทางที่แตกต่างจากปรมาจารย์ขง หากคุณพยายามเดินตามรอยเขา สิ่งที่คุณจะได้เป็นก็คือ 72 นักปราชญ์อีกคนหนึ่งเท่านั้น จะไม่มีวันเหนือชั้นไปกว่าเขาได้เลย” หลัวลั่วชิงตอบ


จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า


การจะเหนือกว่าเหล่าบรรพบุรุษได้นั้น อย่างแรกจะต้องค้นหาเส้นทางของตัวเองให้เจอเสียก่อน


หากนักรบคนหนึ่งทำได้แค่เดินตามรอยเท้าของเหล่าบรรพบุรุษ ในที่สุดทุกอย่างก็จะเดินไปสู่การชะงักงัน


ยกตัวอย่าง 72 นักปราชญ์, แต่ละคนมีความปราดเปรื่องอย่างน่าอัศจรรย์และประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงชีวิตของพวกเขา แม้จะพูดได้ว่าปรมาจารย์ขงคือผู้ที่นำพาพวกเขาไปสู่ความสูงส่งระดับนั้น แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็กล่าวได้ว่าปรมาจารย์ขงเป็นข้อจำกัดของพวกเขาเช่นกัน ทุกคนถูกมรดกตกทอดของปรมาจารย์ขงตีกรอบไว้จนไม่อาจค้นหาเส้นทางของตัวเองและก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองไปได้


อันที่จริง นี่คือเหตุผลที่เหล่าทายาทของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ไม่สามารถถีบตัวจนเหนือชั้นไปกว่าผู้ก่อตั้งของพวกเขา


ในเวลาเดียวกัน การละทิ้งมรดกตกทอดและพยายามค้นหาเส้นทางของตัวเองนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นการกระทำของคนเสียสติ มีแต่มรดกตกทอดเท่านั้นที่จะรับประกันความยิ่งใหญ่ได้ ซึ่งการละทิ้งมันอาจทำให้ชีวิตของคนคนหนึ่งต้องล้มเหลว


ถึงที่สุดแล้ว การจะนำพาตัวเองให้เหนือชั้นไปกว่าเหล่าบรรพบุรุษก็เป็นสิ่งที่พูดง่ายกว่ากระทำมาก


การเดินตามเส้นทางที่เห็นได้ชัดว่าจะนำไปสู่ความยิ่งใหญ่ หรือละทิ้งทุกอย่างไว้และต่อสู้ดิ้นรนเพื่อโอกาสเพียงน้อยนิดที่จะได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง…


ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิดสำหรับคำถามข้อนี้ มันเป็นทางเลือกที่นักรบคนหนึ่งจะต้องตัดสินใจ


ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิด รังสีเจิดจ้าก็แผดกล้าออกจากแท่นที่อยู่เหนือศีรษะของเขา รังสีนั้นพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ จากนั้นจางเซวียนก็เห็นลำแสงอีก 5 ลำพุ่งจากที่ไกลๆ พลังงานมหาศาลพุ่งทะลุ ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม รอยแยกของมิติสีดำสนิทค่อยๆขยายตัวออกจนดูเหมือนมีลำแสง 6 ลำ


ถัดจากรอยแยกของมิติสีดำสนิทนั้น โครงร่างของพระราชวังขนาดมหึมาปรากฏให้เห็น


“นะ…นี่ นี่มันหอลำดับแรก! ในที่สุดหอลำดับแรกของวิหารแห่งขงจื๊อก็ปรากฏ!” เหรินชิงหยวนอุทานอย่างตื่นเต้น


ที่ผ่านมา ทุกคนได้พบหอบริวารทั้ง 6 หอ แต่ไม่มีใครได้พบหอลำดับแรกเลย ซึ่งเมื่อหอบริวารทั้ง 6 หอถูกเปิดใช้งาน พลังงานที่พวกมันแผ่ออกมาก็ได้ทำลายปราการด่านสุดท้ายของวิหารแห่งขงจื๊อ ทำให้หอลำดับแรกปรากฏ


เครื่องรางในตำนานที่กล่าวได้ว่ามีอำนาจชี้ชะตาของทวีปแห่งปรมาจารย์อยู่ในพระราชวังขนาดมหึมาที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา-มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง!


“ไปกันเถอะ!”


เหยียนเฉว่มองหอลำดับแรกที่อยู่กลางอากาศ ก่อนจะหันกลับไปมองหยวนเทากับจางเซวียน แม้จะไม่เต็มใจอย่างมาก แต่ก็รู้ดีว่าทำอะไรไม่ได้ จึงร้องเรียกพรรคพวกจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ให้ตามเขาไปก่อนจะพุ่งเข้าสู่รอยแยกแห่งมิติ


เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นก็รีบเดินทางเข้าสู่รอยแยกแห่งมิติเช่นกัน


เห็นปรมาจารย์เหรินกับคนอื่นๆยังตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น จางเซวียนพูดยิ้มๆ “คุณไปก่อนเลย”


เพราะรู้ว่ายังพอมีเวลาก่อนที่ทางเข้าวิหารลำดับแรกจะเปิด จางเซวียนจึงไม่รีบร้อนอะไร เขาหันกลับไปมองหยวนเทาอีกครั้ง


ตอนนี้ลูกศิษย์ของเขาขัดเกลาระดับวรยุทธเรียบร้อยแล้ว และการทดสอบนักปราชญ์โบราณก็ล่าถอยแล้วเช่นกัน


“ท่านอาจารย์!”


หยวนเทาลืมตา รู้สึกได้ถึงพละกำลังที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่าง เขาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น หยวนเทาเดินตรงเข้าหาจางเซวียนและทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้า


ในตอนแรก ประสาทสัมผัสทั้ง 6 ของหยวนเทาถูกปิดกั้นไว้ แต่การปิดกั้นนั้นก็ถูกทำลายทันทีที่เขารับเอาภาพลวงตาเข้าสู่ร่างกาย หยวนเทารู้ดีว่าทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณท่านอาจารย์ที่ให้ความช่วยเหลือจนเขามีพละกำลังในระดับที่เป็นอยู่


“อือ!”จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ


นี่เป็นความโชคดีครั้งใหญ่ของหยวนเทา การได้ซึมซับภาพลวงตาของปรมาจารย์ขงและฝ่าด่านวรยุทธได้หลายขั้นในคราวเดียว เวลานี้ หยวนเทาเหนือชั้นกว่าจ้าวหย่า เว่ยหรูเหยียน และแม้แต่จางเซวียนแล้ว


“ถึงคุณจะได้ครอบครองกายเนื้อของนักปราชญ์โบราณ แต่สภาวะจิตและจิตวิญญาณของคุณยังอ่อนด้อยอยู่ ผมมีเทคนิควรยุทธและผลโพธิ์ที่จะทำประโยชน์ให้คุณได้มาก” จางเซวียนพูดขณะยื่นผลโพธิ์ให้หยวนเทา


แม้หยวนเทาจะได้ซึมซับภาพลวงตาของปรมาจารย์ขง แต่ก็ยังต้องบ่มเพาะสภาวะจิตทุกเมื่อที่มีโอกาส


“ได้!” หยวนเทารับผลโพธิ์มาแล้วรีบกลืนลงไป พริบตาต่อมา ก็รู้สึกว่าสภาวะจิตได้รับการขัดเกลาอย่างรวดเร็ว


หากเป็นจ้าวหย่าหรือเว่ยหรูเหยียน ทั้งคู่ก็ยังต้องเตรียมตัวและปรับสภาวะร่างกายก่อนจะกินผลโพธิ์เข้าไป แต่เพราะมีกายเนื้อของนักปราชญ์โบราณแล้ว หยวนเทาจึงไม่ต้องทำอะไรแบบนั้น


หลังจากจัดการเรื่องหยวนเทา จางเซวียนก็นำตัวจ้าวหย่า เว่ยหรูเหยียน หลัวฉีฉี และคนอื่นๆออกจากรังนางพญามด


“หอลำดับแรกเปิดแล้ว พวกคุณอยากติดตามผมไปเพื่อแสวงโชค หรือฝึกฝนวรยุทธต่อที่นี่?”


นี่เป็นครั้งแรกที่หอลำดับแรกของวิหารแห่งขงจื๊อเปิดออกในช่วงระยะเวลาหลายหมื่นปี และดูเหมือนจะเต็มไปด้วยทั้งความเสี่ยงและโอกาส ถึงเขาจะเป็นอาจารย์ของคนเหล่านี้ แต่ก็รู้สึกว่าควรจะปล่อยให้ทุกคนได้ตัดสินใจเอง


“ฉันอยากเห็นหอลำดับแรก!” จ้าวหย่าตอบหนักแน่น


“ฉันด้วย”


อีก 2 คนพยักหน้ารับ


หลัวลั่วชิงชำเลืองมองเมื่อเห็นหลัวฉีฉีออกจากรังนางพญามดของจางเซวียน เกิดรอยย่นเล็กน้อยบนหน้าผากของเธอ แต่เธอก็ตัดสินใจไม่พูดอะไร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)