ยอดหญิงสกุลเสิ่น 175.1-175.2

ตอนที่ 175-1 สงครามครั้งนี้

 

เมืองชายแดนเริ่มหนาวขึ้นแล้ว คนเฒ่าคนแก่ที่มีประสบการณ์ต่างก็บอกว่านี่คือลางที่จะเกิดพายุหิมะ ศึกใหญ่นั้นก็อยู่ไม่ไกลแล้ว ทั่วทั้งเมืองชายแดนวุ่นวายมากเป็นพิเศษ เร่งรีบสำรองฟืน สัตว์ที่ล่ามารวมถึงเกลือและวัตถุดิบต่างๆ ซ่อมแซมกำแพงเมืองที่ผุพัง เพิ่มความสูงเพิ่มความหนา ทำให้แข็งแรงมากขึ้น ทหารชายแดนเองก็เร่งฝึกฝนความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการร่วมมือกันเป็นกลุ่ม 


 


 


องค์ชายใหญ่ซีเหลียงได้อำนาจทหารกลับมาอย่างสมปรารถนา ภายใต้การเร่งรัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของประมุขซีเหลียงในที่สุดเขาก็หายดี บัญชากองทัพใหญ่ลงไปทางตะวันออก 


 


 


องค์ชายใหญ่ซีเหลียงมีความรู้ความสามารถกว่าน้องรองของเขามาก ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันได้สามวันแล้ว ซีเหลียงปรับเปลี่ยนการต่อสู้ที่รุนแรงฉับพลันอย่างเมื่อก่อน เป็นการโจมตีทุกวันวันละสองถึงสามชั่วยามเช่นนั้น เวลาที่เหลือก็ปิดล้อมไม่โจมตี ท่าทางคล้ายมีความอดทนอย่างยิ่ง 


 


 


“ซีเหลียงต้องการจะปิดล้อมพวกเราให้ตาย” ฟังต้าฉุยไม่คุ้นชินกับยุทธศาสตร์การรบแบบใหม่ของซีเหลียงเป็นอย่างยิ่ง ยังสู้ไม่ทันสะใจ กองทัพใหญ่ซีเหลียงก็ถอยทัพแล้ว เขารู้สึกอัดอั้นอย่างถึงที่สุด 


 


 


“ข้าน้อยก็คิดเหมือนกัน” หวังต้าชวนอ่ยปากเห็นด้วย “สุนัขซีเหลียงหน้าเนื้อใจเสือจริงๆ จะสู้ก็สู้กันให้เต็มที่ ยุแหย่แล้วหนีไปเช่นนี้จะนับว่าเป็นวีรบุรุษลูกผู้ชายได้อย่างไร” เขาเป็นทหารตัวจริง สิ่งที่ชอบที่สุดก็คือการต่อสู้อย่างถึงอกถึงใจ 


 


 


“เชียนเกอเอ๋อร์ว่าอย่างไร” ท่านเสิ่นโหวฟังฟังต้าฉุยและหวังต้าชวนพูดจบแล้ว ก็ถามหลานชายคนโตของตนทันที 


 


 


เสิ่นเชียนนิ่วหน้า ลุกขึ้นยืนกล่าวอย่างถ่อมตัว “หลานเองก็เห็นด้วยกันความคิดของแม่ทัพทั้งสอง กองทัพซีเหลียงล้อมเมืองตัดเส้นทางการติดต่อของพวกเรากับข้างนอก เมื่อเสบียงในเมืองหมดแล้ว พวกเขาโจมตีเมืองอีกครั้งก็จะได้ผลประโยชน์โดยเสียแรงแต่น้อย ซีเหลียงน่าจะมีเจตนานี้” 


 


 


คนหลายคนฟังแล้วก็รู้สึกสมเหตุสมผล พากันพยักหน้า 


 


 


ท่านเสิ่นโหวยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ส่งสายตาไปหาเสิ่นเวย “เจ้าสี่คิดอย่างไร” 


 


 


เสิ่นเวยคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ข้าคิดว่าแผนการขององค์ชายใหญ่ซีเหลียงผู้นั้นไม่ใช่แค่เรียบง่ายเช่นนี้ องค์ชายแห่งแว่นแคว้นผู้ยิ่งใหญ่ ใต้บังคับบัญชาจะไม่มีสายลับได้อย่างไร เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเมืองชายแดนของเราไม่ขาดแคลนเสบียง เขารู้ แต่ก็ยังปิดล้อมไม่โจมตี ข้าคิดว่าเขากำลังทำสงครามบั่นทอนกำลัง อย่างไรเสียกำลังพลเมืองชายแดนของพวกเราก็เทียบซีเหลียงไม่ได้” 


 


 


บั่นทอนกำลังทหารชายแดนทีละส่วนๆ เช่นนี้ เวลานานเข้าจะเป็นผลดีได้อย่างไร เมื่อทหารชายแดนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากแล้วเขายกทัพโจมตีเมืองครั้งใหญ่อีกครั้ง ย่อมสามารถโจมตีสำเร็จได้อย่างง่ายดาย 


 


 


เจ้าบอกว่าทหารซีเหลียงก็บาดเจ็บล้มตายทุกวันเหมือนกันไม่ใช่หรือ แต่กำลังพลซีเหลียงของพวกเขามีมากพอ ตายก็ไม่เป็นไร พวกเขายกทั้งแคว้นมารุกราน แต่ซีเจียงของเจ้ามีกำลังน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของกำลังพลต้ายง 


 


 


ได้ยินเสิ่นเวยวิเคราะห์เช่นนี้ สีหน้าคนหลายคนก็เปลี่ยนเล็กน้อย “มารดาเขาสิ องค์ชายใหญ่ 


 


 


ซีเหลียงผู้นี้ไม่ใช่คนที่รับมือง่ายจริงๆ” ฟังต้าฉุยทุบโต๊ะอย่างหนักหน่วง มองท่านเสิ่นโหวที่นั่งอยู่ข้างบนแล้วกล่าว “ท่านโหว เช่นนั้นพวกเราควรจะทำอย่างไรดี เมืองชายแดนของพวกเรามีทหารชายแดนเพียงสี่หมื่นนาย คิดจะขอกำลังหนุนก็ออกไปไม่ได้” 


 


 


ท่านเสิ่นโหวไม่ตอบ ยังคงส่งสายตามองเสิ่นเวย “เจ้าสี่มีแผนการรับมือหรือไม่” 


 


 


เสิ่นเวยขมวดคิ้วมุ่น ตำหนิในใจ ท่านปู่ก็จริงๆ เลย เห็นๆ กันอยู่ว่ามีแผนในใจแต่ก็ยังจะถามนางให้ได้ ไม่เห็นหรือว่าที่นางวิเคราะห์เมื่อครู่นั้นปู่นางไม่เปลี่ยนแม้แต่สีหน้า ผู้เฒ่าเช่นเขาสู้รบมาทั้งชีวิตจะไม่มีกลยุทธ์ดีๆ ได้อย่างไร นางไม่เชื่อหรอก 


 


 


แต่ก็ไม่อาจตบหน้าท่านปู่ได้ เสิ่นเวยทำได้เพียงแสยะปากกล่าวไม่ยินดี “เช่นนั้นพวกเราก็ใช้กลยุทธ์ป้องกันการรุกรานเสียสิ ใช้การรักษากำลังเป็นหลัก ใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ ถ่วงซีเหลียงให้มาก อีกไม่นานหิมะก็ตกหนักแล้ว พวกเราไม่ขาดแคลนเสบียง กองทัพใหญ่ซีเหลียงจะไม่ขาดแคลนได้ด้วยหรือ” 


 


 


เห็นทุกคนมองนางด้วยความงุนงง เสิ่นเวยจึงลูบจมูกหัวเราะอย่างเหนียมอาย กล่าวราวกับเคอะเขิน “ที่บอกว่าอุบายก็คือการราดน้ำร้อนบนกำแพงเมืองให้เกาะตัวเป็นน้ำแข็งเพิ่มระดับความยากในการปีนให้ทหารซีเหลียง หรือว่าเปลี่ยนธนูเป็นธนูไฟ หรือราดน้ำมันร้อนลงไปจากยอดกำแพงเมือง หรือว่า ให้หมอหลิวปรุงยานอนหลับชนิดที่ดมก็สลบ อาวุธของพวกเรามีไม่มาก ประหยัดได้ก็ประหยัดเถอะ” 


 


 


เสิ่นเวยพูดเช่นนี้ สายตาที่มองนางของคนหลายคนก็ซับซ้อน นี่มันอุบายเล็กๆ น้อยๆ ที่ไหนกัน ที่มันกลยุทธ์สังหารวงกว้างมิใช่หรือ แม้ว่าจะพูดอย่างเรียบง่าย แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้วก็เป็นวิธีที่ดีพอสมควร 


 


 


“ฮ่าๆ คุณชายสี่ฉลาดจริงๆ เหตุใดเหล่าหวังจึงคิดไม่ถึง” หวังต้าชวนตบบ่าเสิ่นเวยเอ่ยชื่นชมอย่างตรงไปตรงมา เมื่อนึกภาพน้ำมันร้อนสาดลงไปบนร่างทหารซีเหลียงแล้ว เขาก็มีความสุขอย่างยิ่ง สมองคุณชายสี่คิดได้อย่างไร เหตุใดเขาถึงคิดวิธีที่ดีเช่นนี้ไม่ออก 


 


 


เสิ่นเวยยกมุมปาก ขอร้องอย่าตบบ่าได้หรือไม่ มือใหญ่ๆ ราวกับพัดใบลานนั้นของเจ้าตบแล้วเจ็บอย่างยิ่งรู้หรือไม่ 


 


 


วันที่สี่กองทัพใหญ่ซีเหลียงโจมตีอีกครั้ง พบว่าวิธีรบของเมืองชายแดนต้ายงเปลี่ยนไป อันดับแรกทหารชายแดนต้ายงบนยอดกำแพงเมืองต่างก็หลบอยู่ในที่กำบังคอยยิงธนู ที่ยิงออกมาล้วนเป็นธนูไฟ ยิงคนไม่ตายแต่กลับสามารถทำให้เสื้อผ้าติดไฟได้ จากคนติดไฟหนึ่งคนก็ลุกลามเป็นผืนใหญ่ ยังมาไม่ถึงล่างกำแพงเมืองก็ไฟคลอกตายไปไม่น้อยแล้ว 


 


 


กว่าจะวิ่งมาถึงล่างกำแพงเมืองได้ กลับพบว่าบันไดไต่กำแพงเมืองวางไม่อยู่อย่างสิ้นเชิง เมื่อมองดูให้ดี ก็เห็นว่าบนกำแพงเมืองมีน้ำแข็งหนึ่งชั้น ลื่นเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


คนหนึ่งกลุ่มข้างล่างใช้แรงไปมากกว่าจะประคองบันไดไว้ได้ เพิ่งจะปีนไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็ถูกน้ำมันร้อนหนึ่งหม้อสาดลงมาท่วมหัว ร้อนลวกจนทหารซีเหลียงร้องโอดครวญพลัดตกลงไป 


 


 


ไม่รู้ว่าสละชีพไปมากน้อยเพียงใดในที่สุดก็ปีนขึ้นไปถึงยอดกำแพงเมือง ทหารชายแดนต้ายงทุกคนใช้กลยุทธ์รอซ้ำยามเปลี้ย ชูดาบใหญ่รออยู่นานแล้ว มือเพิ่งจะเกาะขึ้นไปก็ถูกคนฟันศีรษะเสียแล้ว 


 


 


มีความช่วยเหลือจากอุบายเล็กๆ เหล่านี้ ทหารชายแดนต้ายงก็ไม่บาดเจ็บล้มตายแม้แต่คนเดียว ปกป้องการโจมตีเมืองอีกครั้งของกองทัพใหญ่ซีเหลียงไว้ได้ กลับเป็นกองทัพใหญ่ซีเหลียงที่ทิ้งศพไว้จำนวนมากด้านล่างหอประตูเมือง 


 


 


“ชนะแล้ว! ชนะแล้ว!” เห็นกองทัพใหญ่ซีเหลียงที่ถอยทัพออกไป ทหารชายแดนต้ายงก็ส่งเสียงโห่ร้องดีใจเป็นพักๆ อัดอั้นมาสามวัน ในที่สุดก็ได้ระบายอารมณ์แล้ว 


 


 


เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงวิ่งไปหาเสิ่นเวยอย่างมีความสุข “น้องสี่ๆ เจ้ายังมีอุบายอะไรอีก” 


 


 


สบสายตาที่เปล่งประกายแวววาวสองคู่ เสิ่นเวยก็กลอกตาอย่างไม่มีความเกรงใจ “พวกท่านคิดเองไม่ได้หรือ ไม่มี ไม่มีแล้ว ที่ข้าคิดได้ก็บอกพวกท่านหมดแล้ว” 


 


 


เสิ่นเชียนกับหร่วนเหิงสบตากับเล็กน้อย ลดตัวลง กล่าวโน้มน้าว “อย่าพูดเช่นนี้สิน้องสี่ พวกเราไม่ได้สมองไวเท่าเจ้ามิใช่หรือ รีบช่วยพวกข้าคิดเร็ว น้องสาวคนเก่ง ถือเสียว่าพี่ขอร้องเจ้า” เพียงแค่คว้าชัยชนะมาได้ ศักดิ์ศรีจะไปสำคัญอะไร! 


 


 


เสิ่นเวยหงุดหงิดแล้ว เหตุใดงานนี้ถึงตกมาอยู่ที่นางแล้วเล่า อะไรๆ ก็ให้นางทำ พวกเจ้าโตขนาดนี้แล้วใช้อะไรได้บ้าง พวกเจ้าบีบคั้นน้องสาวเช่นนี้ ท่านปู่รู้หรือไม่ 


 


 


“ข้าคนเดียวจะคิดได้สักกี่วิธี ทหารชายแดนของพวกเรารวมกันแล้วก็มากกว่าแสนคนใช่หรือไม่ คนเขลาสามคนเท่ากับขงเบ้งหนึ่งคน[1] ทุกคนช่วยกันสุมฟืนกองไฟก็ลุกสูงเข้าใจหรือไม่ พี่ชายทั้งหลาย พวกท่านต้องเรียนรู้ที่จะชี้แนะให้ทุกคนรู้จักคิด ปกป้องบ้านคุ้มกันแคว้น แต่ละคนก็มีหน้าที่ของตัวเอง” เสิ่นเวย 


 


 


กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี ทั้งยังถือว่าได้ชี้ทางสว่างให้อีกด้วย 


 


 


“จริงสิ เหตุใดพวกข้าจึงคิดไม่ถึงเล่า” ชั่วขณะเสิ่นเชียนก็ตาลุกวาว ตบมืออย่างแรงแล้วกล่าว 


 


 


“ไปๆๆ พวกเรารีบไป” หร่วนเหิงดึงเสิ่นเชียนอย่างตื่นเต้นกำลังจะออกไปข้างนอก ทั้งยังไม่ลืมหันกลับมาขอบคุณเสิ่นเวย “ขอบคุณน้องสี่! กลับเมืองหลวงแล้วพี่จะทำเครื่องประดับให้เจ้าใส่” 


 


 


เสิ่นเวยกลอกตาอีกครั้ง แค่นเสียงหนึ่งครา เหอะ นางดูเหมือนขาดแคลนเครื่องประดับนักหรือ เครื่องประดับเหล่านั้นที่ผู้จัดการชวีกับอาจารย์ซูช่วยนางซื้อนางก็ใส่ไม่หมดแล้ว 


 


 


ไม่รู้เหมือนกันว่าคนแก่สองคนนี้ชอบเด็กผู้หญิงหรืออย่างไร ชอบซื้อเครื่องประดับให้นางมากเป็นพิเศษ อาจารย์ซูกระตือรือร้นขึ้นมาก็จะออกแบบหาช่างฝีมือด้วยตัวเอง ทอง เงิน หยก อัญมณี ปะการัง ทุกๆ เดือนล้วนต้องส่งมาให้นางหนึ่งกล่องเล็ก นางไหนเลยจะใส่หมด 


 


 


ไม่รู้เหมือนกันว่าอาจารย์ซูอยู่ที่เมืองหลวงสบายดีหรือไม่ ออกมาหลายเดือนแล้วยังคงคิดถึงเขาจริงๆ เสิ่นเวยรู้สึกว่าอาจารย์ซูเหมือนพ่อเสียยิ่งกว่าพ่อนางอีก 


 


 


อาจารย์ซูที่อยู่ในเมืองหลวงแสนไกลกำลังสนทนากับเด็กรับใช้ผู้หนึ่ง เด็กรับใช้ผู้นี้สวมชุดบ่าวรับใช้ทั่วไป หน้าตาธรรมดา ประเภทที่หากโยนไว้ในกลุ่มคนก็หาไม่เจอประเภทนั้น 


 


 


“เจ้าบอกว่าช่วงนี้มีคนไปสืบข่าวที่สำนักคุ้มภัยหรือ” คิ้วของอาจารย์ซูขมวดเล็กน้อย 


 


 


เด็กรับใช้ผู้นั้นกล่าวด้วยความเคารพ “ขอรับ อาจารย์ อาจารย์เหยาให้ผู้น้อยมาบอกท่าน ช่วงนี้สำนักคุ้มภัยมักจะมีบุคคลน่าสงสัยปรากฏตัว ยังมีคนพยายามจะสืบถามคนในสำนักคุ้มภัยว่าอาจารย์จางกับอาจารย์เฉียนไปไหน และสืบถามว่าเจ้านายของพวกเราคือผู้ใด” 


 


 


คิ้วของอาจารย์ซูขมวดมุ่นยิ่งขึ้น หลายวันมานี้มีเด็กในร้านทยอยมารายงาน บอกว่าช่วงนี้ร้านค้าหลายร้านในนามคุณหนูมีบุคคลน่าสงสัยปรากฎตัว ตอนนี้สำนึกคุ้มภัยก็ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ คุณหนูไปดึงดูดสายตาใครเข้าแล้ว 


 


 


“ไปบอกอาจารย์เหยาว่า ควรทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น อย่าเผยพิรุธ หาคนแปลกหน้าสองคนให้เจอแล้วสืบประวัติคนเหล่านี้” อาจารย์ซูไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงออกคำสั่ง 


 


 


หลังจากเด็กรับใช้ไปแล้ว อาจารย์ซูก็ยืนมือไพล่หลังอยู่หน้าหน้าต่าง ในเมื่อละแวกร้านค้ากับสำนักคุ้มภัยมีบุคคลน่าสงสัยปรากฎตัวขึ้น เช่นนั้นก็ต้องรู้แล้วว่านี่คือกิจการของคนๆ เดียวกัน สงสัยในตัวคนผู้นี้ หรือว่าต้องการสืบสาวมาถึงคุณหนู แต่ว่าตอนแรกคุณหนูใช้อีกตัวตนหนึ่ง ใครกัน ใช่มีความเกี่ยวข้องกับคนที่ลอบสังหารคุณหนูครั้งก่อนหรือไม่ 


 


 


คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในใจอาจารย์ซู แต่กลับไม่ได้รับคำตอบ เขามองทิวทัศน์ที่เงียบเหงานอกหน้าต่าง คิดว่าคุณหนูที่เมืองชายแดนซีเจียงจะสบายดีหรือไม่ ต้องสบายดีสิ เด็กคนนั้นร่าเริงเหมือนดอกทานตะวันอยู่ตลอดเวลา ทำให้คนข้างกายเห็นแล้วมีความสุขอย่างอดไม่ได้ 


 


 


มุมปากอาจารย์ซูปรากฏรอยยิ้มบางๆ สั่งคนให้ไปเรียกจางจู้จื่อมา 


 


 


“อาจารย์ ท่านเรียกผู้น้อยหรือขอรับ” จางจู้จื่อเคารพอยู่ตรงหน้าอาจารย์ซู เขานับได้ว่าเป็นคนที่อาจารย์ซูสั่งสอนมากับมือ ตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่เรือนนอกเรือนเฟิงหวา นอกจากเขาจะจัดการเรื่องของคุณชายห้าเป็นอย่างดีแล้วก็ยังช่วยอาจารย์ซูทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง 


 


 


“มีเรื่องให้เจ้าต้องไปด้วยตัวเองเองเที่ยวหนึ่ง” อาจารย์ซูสั่งจางจู้จื่อเสียงเบาหลายประโยค “อย่าดึงดูดความสนใจผู้อื่น” 


 


 


จางจู่จื่อตกใจในใจ กล่าวอย่างจริงจัง “ผู้น้อยเข้าใจแล้ว” 


 


 


ตั้งแต่ที่คุณหนูเข้าเมืองหลวงก็ไม่เคยติดต่อคุณชายเจียงเฉินอีกเลย คุณหนูบอกว่าคุณชายเจียงเฉินคือไพ่ลับ ตอนนี้อาจารย์ซูส่งตนไปส่งข่าวด้วยวาจา ต้องรอบคอบมิใช่หรือ 


 


 


สองวันถัดมากองทัพใหญ่ซีเหลียงไม่ได้โจมตีเมืองแล้ว การเตรียมป้องกันของเมืองชายแดนต้ายงไม่เพียงแต่ผ่อนคลายลง แต่ยังเพิ่มความแข็งแกร่ง ฟังต้าฉุยเสิ่นเชียนและคนอื่นๆ แบ่งเวรนำคนไปลาดตระเวนทั้งกลางวันและกลางคืน พวกเขารู้ดีว่าตอนที่กองทัพใหญ่ซีเหลียงโจมตีเมืองอีกครั้งจะต้องรุนแรงมากเป็นพิเศษแน่นอน 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] คนเขลาสามคนเท่ากับขงเบ้งหนึ่งคน แม้จะเป็นคนเขลาแต่หากร่วมมือกันก็สามารถคิดหาทางออกได้เหมือนผู้มีปัญญา  

 

 


ตอนที่ 175-2 สงครามครั้งนี้

 

วันที่เจ็ด กองทัพใหญ่ซีเหลียงโจมตีเมืองอีกครั้ง 


 


 


ทหารชายแดนต้ายงยิงธนูไฟออกไป กองทัพใหญ่ซีเหลียงมีแผนการรับมือแล้ว พวกเขาใช้โล่กำบัง หลังจากนั้นทหารซีเหลียงก็ยกตะกร้าดินดับไฟ 


 


 


กองทัพใหญ่ต้ายงเห็นว่าธนูไฟหมดประโยชน์แล้ว ก็เปลี่ยนมาใช้ลูกธนูธรรมดาทันที แต่กำลังคนในกองทัพใหญ่ซีเหลียงก็มีโล่คนละอัน นอกจากจะเป็นเทพนักธนูแล้ว ก็ยากอย่างยิ่งที่จะทำให้ทหาร 


 


 


ซีเหลียงได้รับบาดเจ็บได้ 


 


 


ทหารซีเหลียงวิ่งเข้ามาล่างกำแพงเมือง ปีนขึ้นบันไดสูงอย่างไม่รีบร้อน จุดไฟเผากำแพงเมืองก่อน เมื่อน้ำแข็งบนกำแพงเมืองละลายแล้วจึงค่อยปีนบันได 


 


 


ทหารซีเหลียงบนบันไดสูงติดอาวุธพร้อม ร่างสวมเกราะ ศีรษะสวมหมวกเกราะ แม้แต่มือยังติดอาวุธ ด้วยเหตุนี้น้ำมันร้อนก็ใช้ไม่ได้ผลเช่นกัน 


 


 


ทหารชายแดนต้ายงบนกำแพงเมืองเห็นท่าไม่ดี ทั้งหมดเข้าสู่สถานะเตรียมรบขั้นสูงสุด ปิดจมูกปิดมือธนูหยิบถุงยาที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ยิงออกไปทีละอันๆ 


 


 


ถุงยากระจายออกกลางอากาศ ผงข้างในลอยตามสายลมไปทั่วสารทิศ ทหารซีเหลียงที่สูดดมยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นขาก็ล้มพับลงบนพื้นแล้ว 


 


 


หนึ่งคน สองคน แปดคน สิบคน ร้อยคน…ทหารซีเหลียงทยอยล้มลงไปเป็นวงกว้าง 


 


 


ทหารซีเหลียงที่ยังยืนอยู่ก็หวาดกลัว ชูดาบแต่ไม่กล้าพุ่งไปข้างหน้า ตะโกนด้วยความตื่นตระหนกไม่ขาดสาย “มนต์ดำ มนต์ดำ กองทัพต้ามีมนต์ดำ” 


 


 


องค์ชายใหญ่ซีเหลียงในรถศึกเห็นท่าไม่ดี ขวัญกำลังทหารแตกสลายจะยังสู้รบต่อไปได้อย่างไร รีบส่งสัญญาณถอยทัพเถอะ 


 


 


ซีเหลียงถอยทัพเช่นนี้ ทว่าฝั่งต้ายงกลับเปิดประตูเมือง ทหารสวมหน้ากากหนึ่งกลุ่มก็ไม่ไล่ตาม ตั้งใจแทงซ้ำทหารซีเหลียงบนพื้น ก่อนหน้านี้ทหารซีเหลียงที่ล้มลงเพียงแค่หมดสติ ยังไม่ตาย ฉวยโอกาสตอนที่ฤทธิ์ยายังอยู่ รีบฆ่าให้หมดเสีย มิเช่นนั้นจะเสียยาสลบไปเปล่ามิใช่หรือ 


 


 


สู้กันไปมาเช่นนี้ ทหารชายแดนต้ายงไม่เสียเปรียบ กองทัพใหญ่ซีเหลียงเองก็เอาเปรียบไม่ได้ องค์ชายใหญ่ซีเหลียงเห็นว่าแผนถ่วงเวลาก่อนหน้านี้ไม่มีประโยชน์แล้ว ก็เปลี่ยนยุทธศาสตร์ทันที 


 


 


การโจมตีเมืองครั้งที่หกต่อเนื่องมาเป็นเวลาสองวันหนึ่งคืนแล้ว ทหารซีเหลียงล่างกำแพงเมืองตายไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว บนยอดกำแพงเมืองก็ถูกโลหิตสดแปดเปื้อนเป็นสีแดงฉาน ดาบฟันจนงอ ทหารชายแดนที่บาดเจ็บล้มตายถูกหามลงไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


คนทั้งหมดต่างก็เข่นฆ่าจนตาแดงก่ำ ในใจมีเพียงความคิดเดียว ต่อให้ตาย ก็ต้องลากศัตรูไปด้วยหลายๆ คน 


 


 


ประชาชนเมืองชายแดนต่างก็ลงมือด้วยตัวเอง ช่วยดูแลทหารบาดเจ็บ ทำกับข้าวให้ทหารชายแดน…แต่ละคนต่างก็ทำเรื่องที่ตนพอจะทำได้ 


 


 


เที่ยงคืน ท้องฟ้าไม่มีดวงดาวสักดวงเดียว ยื่นมือไปแทบจะมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า 


 


 


เสิ่นเวยกับสวีโย่วนำคนหนึ่งพันคนออกเดินทางเงียบๆ ไม่มีม้าศึก ทั้งหมดอาศัยขาสองข้าง พวกเขาข้ามป่าเขา ข้ามผาสูง อ้อมผ่านกองทัพใหญ่ซีเหลียง แอบเข้าไปในเขตซีเหลียงเงียบๆ มุ่งตรงไปยังเมืองหลวงซีเหลียง 


 


 


กระทั่งวันที่ห้า ทหารชายแดนที่คุ้มกันประตูเมืองต่างก็เป็นเหน็บชาหมดแล้ว ฉวยโอกาสตอนที่เปลี่ยนเวรเพื่อกินข้าวลวกๆ ไม่กี่คำ พิงกำแพงงีบหลับ ทุกคนล้วนมีหนวดครึ้ม สภาพจนตรอกอย่างถึงที่สุด 


 


 


“ท่านปู่ ท่านให้หลานนำคนออกจากเมืองเถิด เป็นเช่นนี้ต่อไปก็มีแต่จะบาดเจ็บล้มตายมากขึ้น” เสิ่นเชียนขอเข้าร่วมศึกด้วยดวงตาแดงก่ำ มองทหารที่ถูกหามลงจากกำแพงเมืองทีละคนๆ หัวใจของเขาก็เจ็บปวด 


 


 


“ใช่แล้ว ท่านปู่ ท่านให้พวกข้าไปเถอะ” หร่วนเหิงเองก็กำหมัดแน่น 


 


 


หวังต้าชวนก็ตะโกนต่อ “ท่านโหว ให้เหล่าหวังไป ข้าไม่อยากฆ่าลูกสุนัขเหล่านี้แล้ว” เขาบ้วนน้ำลายอย่างแรงหนึ่งครา 


 


 


ท่านเสิ่นโหวเองก็นอนไม่พอมาหลายวันแล้ว อย่างไรเสียเขาก็อายุมาก แก้มทั้งสองตอบลึก ร่างทั้งร่างดูแก่ลงอย่างถึงที่สุด สายตาของเขาปรายผ่านใบหน้าเสิ่นเชียนหร่วนเหิงหวังต้าชวน กล่าวเสียงต่ำ “พวกเจ้าสามคนนำทหารคนละห้าร้อยนายไปบุกค่าย ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ห้ามรบยืดเยื้อ พาพวกเขากลับมาทั้งหมด นี่คือคำสั่ง” 


 


 


เสาหลักถูกทำลาย สิ่งใดเล่าจะรอดชีวิต! หากเมืองชายแดนแตก พวกเขาทั้งหมดก็อย่าได้คิดจะมีชีวิตรอด ยังไม่สู้ปล่อยพวกเขาไปบุกฆ่าตอนนี้ อย่างไรเสียก็คลายความกดดันได้เล็กน้อย 


 


 


“ช้าก่อน!” จู่ๆ มีคนตะโกน 


 


 


เป็นจางสงกับเฉียนเป้า เสิ่นเวยไม่ได้พาสองคนนี้ไปด้วย “ช้าก่อนท่านโหว ให้พวกข้าสองพี่น้องนำทัพครั้งนี้ด้วยเถิด!” เห็นคุณชายใหญ่คล้ายกำลังจะคัดค้าน จางสงก็รีบกล่าว “ท่านโหว นี่คือคำสั่งของคุณชายสี่ ให้พวกข้าสองพี่น้องนำค่ายทหารเดนตายนำทัพเถิดขอรับ” 


 


 


ท่านเสิ่นโหวมองทหารเดนตายที่โหดเ**้ยมดุร้ายแต่ละคนๆ ข้างหลังคนทั้งสอง จึงพลันนึกได้ว่ายังมีคนพวกนี้อยู่ หลานสาวของเขาจับโจรลักม้ากลับมาไม่น้อย โจรเ**้ยมเหล่านี้เก่งกาจกว่าทหารชายแดนเสียอีก 


 


 


“ดี เช่นนั้นก็ลำบากพวกเจ้าทั้งสองแล้ว” ท่านเสิ่นโหวกล่าวอย่างดีใจ 


 


 


“มิบังอาจ!” จางสงกับเฉียนเป้ากล่าวพร้อมกัน นี่คือปู่ของนายท่าน ทั้งสองไหนเลยจะกล้าทะนงตน 


 


 


“หัวหน้าทั้งหลาย ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะแสดงตัวแล้ว! คุณชายสี่ของพวกเราบอกว่า ขอเพียงแค่สู้รบอย่างห้าวหาญ ฆ่าทหารซีเหลียงได้มาก มีชีวิตรอด คุณชายสี่ก็จะปล่อยพวกเจ้าเป็นอิสระ สร้างคุณงามความดียิ่งใหญ่ ทั้งยังมีโอกาสเข้ากองทัพชายแดนรับราชการ หากมีใครกล้าถอยหลัง เหอะ ไม่ต้องรอให้คุณชายสี่ลงมือ เหล่าเฉียนจะจัดการเจ้าเอง ไป ออกเดินทาง!” เฉียนเป้าตะโกนใส่ค่ายทหารเดนตาย 


 


 


ชื่อเสียงของเสิ่นเวยใช้ได้ผลจริงๆ คนในค่ายทหารเดนตายทั้งหมดนึกถึงฝีมือของคุณชายอายุน้อยผู้นั้นแล้ว ต่างก็หวาดกลัวขึ้นมาในใจ ซ้ำเมื่อได้ฟังว่าขอเพียงแค่ฆ่าทหารซีเหลียงให้มากก็สามารถได้รับอิสระ อีกทั้งยังรับราชการได้ เบื้องหน้าก็ปรากฏความหวังอย่างไม่รู้ตัว 


 


 


พวกเขาต่างก็เป็นคนใจเ**้ยอำมหิต ไหนเลยจะกลัวทหารซีเหลียง ชั่วขณะแต่ละคนก็กระปรี้กระเปร่า ความกระหายสงครามพุ่งสูง 


 


 


ประตูเมืองเปิดออกช้าๆ ทหารซีเหลียงเพิ่งจะโผเข้ามา ก็ถูกจางสงและคนอื่นๆ ที่ออกมาจากข้างในฆ่าฟันจนเกือบหมด พวกเขาฆ่าไปพลางวิ่งออกข้างนอกไปพลาง 


 


 


โจรเ**้ยมอย่างไรเสียก็เป็นโจรเ**้ยม ที่ทำก็เป็นการค้าขายสังหารคน ใจอำมหิต ฝีมือก็ยิ่งอำมหิต ทั้งยังรวดเร็ว พวกเขาพลางวิ่งพลางฆ่าอยู่ท่ามกลางกองทัพใหญ่ซีเหลียง แต่ละคนคิดถึงอิสระ คิดถึงการรับราชการ แต่ละคนราวกับสัตว์ป่าที่คลุ้มคลั่ง ชูอาวุธแสยะยิ้มโผเข้าหาทหารซีเหลียง 


 


 


ประโยชน์ของทหารเดนตายเกือบพันคนยังคงมากอย่างยิ่ง เพียงครึ่งชั่วยาม บนพื้นก็เกลื่อนไปด้วยทหารซีเหลียงจำนวนมาก 


 


 


จางสงกับเฉียนเป้าเห็นกำลังยิงบนยอดกำแพงเมืองเบาลงไม่น้อย จึงหยุดตามสมควร พาค่ายทหารเดนตายรบไปพลางถอยไปพลาง คุณหนูบอกแล้วว่า ทหารเดนตายก็เป็นทรัพย์อันมีค่าเช่นกัน ต้องใช้อย่างทะนุถนอม ทางที่ดีควรใช้ให้ได้หลายครั้ง 


 


 


ทั้งสู้ทั้งถอย เมื่อคนทั้งหมดถอยกลับไปในเมืองแล้ว นับจำนวน ค่ายทหารเดนตายมีคนได้รับบาดเจ็บ แต่กลับไม่ขาดหายแม้แต่คนเดียว กำลังสู้รบครั้งนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ มิน่าเล่านายท่านถึงยอมทุ่มเทกำลังขัดเกลาพวกเขาราวกับฝึกเหยี่ยว มิน่าเล่านายท่านถึงไปนำนักโทษประหารในคุกประหารที่เมืองใกล้เคียงมาด้วยตัวเอง 


 


 


เสิ่นเวยนำคนเร่งเดินทัพตลอดทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดก็มาถึงเมืองหลวงซีเหลียงแล้ว มีทหารลับรายงานข่าวกลับประหยัดเวลาเสิ่นเวยไปได้มากอย่างยิ่ง 


 


 


นางคิดไปคิดมายังคงรู้สึกว่าฟังความคิดเห็นของสวีโย่วดีกว่า ‘ลงมือกับจวนองค์ชายรองก่อน จับองค์ชายรองไว้ในกำมือแล้วค่อยวางแผนต่อราชวัง ราชวังยังมีกองกำลังทหารอยู่หนึ่งหมื่นนาย ด้วยทหารพันคนที่นางนำมาทำได้เพียงใช้สติปัญญาคว้าชัยชนะ’ 


 


 


อ้อจริงสิ เสิ่นเวยพาหญิงงามในดวงใจขององค์ชายรองที่จับเชลยเมื่อครั้งก่อนมาด้วยเช่นกัน หญิงงามคนนี้อาจจะได้รับความโปรดปรานอย่างยิ่งจริงๆ เสิ่นเวยปลอมตัวเป็นสาวใช้ประคองนางเดินซวนเซเข้ามาในจวนองค์ชายรอง หน้าประตูมีคนคิดจะขวางทาง แต่ถูกหญิงงามผู้นั้นตบหน้าออกไป “ข้าไม่อยู่แค่ไม่กี่วัน พวกเจ้าเศษสวะเหล่านี้กล้าก่อกบฏหรือ คิดว่าข้าไม่กล้าบอกองค์ชายรอง โยนพวกเจ้าทั้งหมดออกไปเป็นอาหารหมาหรือ” 


 


 


เหล่าคนใช้นึกได้ว่านี่คือผู้ที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดข้างกายองค์ชายรอง ไหนเลยจะกล้าขัดขวางนาง เป็นโชคดีของเสิ่นเวย องค์ชายรองแพ้พ่ายซ้ำยังเสียสตรี ไหนเลยจะโผล่หน้าออกมา ด้วยเหตุนี้คนทุกระดับชั้นในจวนต่างก็ไม่รู้ว่าหญิงงามผู้นี้ถูกต้ายงจับเป็นเชลยแล้ว 


 


 


มีหญิงงามนำทาง เสิ่นเวยย่อมจับตัวองค์ชายรองได้ง่ายอย่างยิ่ง เห็นท่าทางตกตะลึงพรึงเพริดขององค์ชายรอง เสิ่นเวยก็กระตุกมุมปาก “เอ๋ ขาเจ็บยังไม่หายดีอีกหรือ จุ๊ๆ องค์ชายรองที่เคารพ ท่านไม่เก่งเท่าพี่ชายท่านนี่นา!” เสิ่นเวยกล่าวเสียดสี 


 


 


องค์ชายรองได้ยินเสิ่นเวยเอ่ยถึงองค์ชายใหญ่ ชั่วขณะสีหน้าก็แย่อย่างยิ่ง “เจ้าเป็นใคร ไม่นึกว่าจะกล้าบุกเข้ามาในจวนข้า ไม่กลัวข้า…” 


 


 


คำข่มขู่ยังไม่ทันได้พูดก็ถูกเสิ่นเวยใช้มือบีบคางไว้แล้ว “ตอนนี้ท่านอยู่ในกำมือข้า ข้ามีอะไรให้ต้องกลัว องค์ชายรอง ท่านคงจะไม่ชอบพี่ชายท่านมากใช่หรือไม่ บังเอิญว่าข้าเองก็ไม่ชอบอย่างยิ่ง ไม่สู้พวกเรามาเจรจากันสักหน่อยดีหรือไม่” 


 


 


องค์ชายรองเป็นคนโง่ แต่ก็ไม่ได้โง่จนไม่มีทางรักษา ดวงตาเขากะพริบวาบ แต่กลับไม่ปริปาก 


 


 


ในใจเสิ่นเวยเข้าใจดี ยิ้มกล่าว “องค์ชายรอง ท่านว่าหากครั้งนี้พี่ใหญ่ท่านคว้าชัยชนะกลับมาได้ ซีเหลียงจะยังมีที่ให้ท่านยืนอีกหรือไม่ ตอนนี้ประมุขซีเหลียงคงไม่ได้ชอบท่านเหมือนเมื่อก่อนแล้วกระมัง” 


 


 


สีหน้าขององค์ชายรองแย่ยิ่งกว่าเดิม เขานึกถึงคำตำหนิของเสด็จพ่อ แววตาเหยียดหยามของพี่ใหญ่และเหล่าน้องชายก็กัดฟันกรอดอย่างอดไม่ได้ ส่งสายตาที่ไม่เข้าใจไปหาเสิ่นเวย “เจ้าต้องการอะไร” 


 


 


เสิ่นเวยยิ้มอีกครั้ง นางรู้ว่าองค์ชายรองจะต้องตอบตกลง “ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ต้องการให้องค์ชายรองไปพระราชวังกับข้า ข้อตกลงแลกเปลี่ยนก็คือ องค์ชายใหญ่พี่ชายของท่านจะไม่มีทางคว้าชัยกลับมาได้อย่างราบรื่น” 


 


 


ไม่ต้องสงสัย ข้อตกลงนี้ดึงดูดใจอย่างถึงที่สุด อย่างน้อยองค์ชายรองก็ติดกับ “ได้ ข้ารับปากเจ้า!” เขากัดฟันกล่าว 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)