ลำนำบุปผาพิษ 1750-1759

 บทที่ 1750 มีวิธีฟื้นฟูมันหรือไม่?


“จะมีตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวขึ้น ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าไปรับช่วงต่อจากเขา”


กู้ซีจิ่วมึนงง “ตัว…ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์?!” ตำแหน่งนี้ก็มีตัวแทนได้หรือ?


เสียงนั้นไม่พูดไม่จา


กู้ซีจิ่วฝืนสูดหายใจเฮือกหนึ่ง “เช่นนั้นเรื่องที่เขาต้องถ่ายทอดให้แก่ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมีอยู่มากมายก่ายกอง คงใช้เวลาหลายปีกระมัง? ข้าคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะสิบกว่าปีขึ้นไป…สิบปีกระมัง?”


เสียงนั้นทอดถอนใจ คล้ายว่าหักใจบอกความจริงไม่ได้ยิ่งนัก


กู้ซีจิ่วร้อนรนแล้ว “เช่นใดเจ้าจึงอมพะนำถึงเพียงนี้? ใจกว้างสู้มนุษย์ธรรมดาไม่ได้ด้วยซ้ำ! ในเมื่อข้าเป็นว่าที่เทพศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้เป็นลิขิตสวรรค์ก็มีสิทธิ์ได้รู้!”


เสียงนั้นเงียบงัน


ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ยามนี้บอกนางไปก็ไม่นับว่าเป็นแพร่งพรายลิขิตสวรรค์แล้ว…


เสียงนั้นเยียบเย็นลง เอ่ยอย่างราบเรียบไร้อารมณ์ “ไม่ถึงครึ่งปี…เจ้าลืมเขาไปวะเถอะ! จะดีกว่าสำหรับเจ้า”


เบื้องหน้ากู้ซีจิ่วพลันมืดมิด ราวกับร่วงหล่นจากผาสูงหมื่นจั้ง…


เธอแทบบ้าแล้ว!


….


หลงซือเย่มองซากศพตรงหน้าที่เห็นได้ชัดว่าแข็งทื่อไปแล้ว เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง!


ศพนี้คือร่างของกู้ซีจิ่ว เป็นตี้ฝูอีที่นำมา คนผู้นี้พาซากศพตะลอนแสดงความรักอย่างประเจิดประเจ้ออยู่ทุกวันก็แล้วไปเถิด ยามนี้สุดท้ายก็เล่นซากศพนี้จนพังแล้ว จึงคิดจะมาหาเขาสินะ?


ตัวเขาหลงซือเย่สามารถเยียวยารักษาช่วยชีวิตได้ก็จริง แต่สำหรับซากศพที่ตายจนแข็งกระด้างไปเช่นนี้แล้ว เขาจะสามารถทำอะไรได้เล่า?


เขาเงยหน้ามองตี้ฝูอี ตี้ฝูอีสวมหน้ากากไว้มองไม่เห็นสีหน้า เพียงดวงตาที่มืดมิดลึกล้ำดั่งมหาสมุทร ในนั้นแฝงระลอกความหวังอันน้อยนิดเอาไว้ ราวกับหลงซือเย่เป็นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายแล้ว “มีวิธีฟื้นฟูมันหรือไม่?”


น้ำเสียงหลงซือเย่เยียบเย็น “หากว่าร่างนี้ถูกใส่ไว้ในโลงแก้วผลึกตั้งแต่แรก ใช้วิชาลับเก็บรักษาไว้ บางทีอาจดุจมีชีวิตอยู่ไปได้ตลอด แต่ตอนนี้…หากว่าไม่ผิดไปจากการคาดคะเนของข้า มันจะเน่าเปื่อยสลายไปภายในสามวัน!”


ตี้ฝูอีได้รับความกระทบกระเทือนอย่างเห็นได้ชัด ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองซากศพนั้นอย่างทึ่มทื่อเหม่อลอย


อันที่จริงเขาใช้วิชาลับเก็บรักษาร่างเดิมนี้ไว้มาโดยตลอด ทำให้ร่างเดิมนี้รักษาความมีชีวิตชีวาไว้ได้เสมือนเจ้าหญิงนิทรา เขายังรอคอยให้กู้ซีจิ่วฟื้นคืนชีพขึ้นมาในร่างเดิมนี้ในภายภาคหน้าอยู่…


กลับนึกไม่ถึงเลยว่าร่างเดิมนี้จู่ๆ ก็เริ่มเสื่อมถอย เขาใช้วิชาคาถาสารพัดอย่างแล้วล้วนไม่สามารถยับยั้งการเสื่อมสลายของมันได้เลย ความมีชีวิตชีวาของร่างนี้เริ่มถดถอยลง ค่อยๆ กลายเป็นซากศพที่แท้จริงร่างหนึ่ง…


ที่สำคัญกว่านั้นคือ เดิมทีหลายวันก่อนเขายังสัมผัสถึงการคงอยู่ของกู้ซีจิ่วอย่างรางๆ ได้อยู่เลย แต่หลายวันมานี้จู่ๆ ก็สัมผัสถึงไม่ได้เลยสักนิดแล้ว!


หากมิใช่เพราะหยกนภาบอกว่ากู้ซีจิ่วจะคืนชีพขึ้นมาภายในสี่สิบห้าสิบปีให้หลัง ตี้ฝูอีก็แทบจะหมดหวังอย่างแท้จริงไปแล้ว!


ที่แท้แม้แต่ร่างเดิมของนางเขาก็รักษาเอาไว้ไม่ได้…


หลงซือเย่ก็อึดอัดใจยิ่งนักเช่นกัน ช่วงที่ผ่านมานี้ใช้ชีวิตอย่างอยู่มิสู้ตาย แทบจะไม่มีความหมายในการใช้ชีวิตต่อแล้ว ยามนี้เมื่อได้เห็นตี้ฝูอีหอบซากศพนี้มาเยือนถึงประตู อารมณ์จึงร่วงดิ่งลงไปสุดขีดแล้ว!


และไม่สนใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะเป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สูงส่งเหนือปวงชนหรือไม่ เยาะเย้ยถากถางไปยกหนึ่ง ระบายเพลิงโทสะและความคับข้องในใจออกมาจนหมด


ตี้ฝูอีฟังอยู่เงียบๆ ไม่ส่งเสียง นั่งอยู่ตรงนั้นไม่โต้กลับเลยสักประโยคเดียว


หลงซือเย่ด่าไปด่ามาก็รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์แล้ว ต่อให้เขาด่าอีกฝ่ายจนตายแล้วอย่างไรเล่า? ยังไงซีจิ่วก็ไม่กลับมาแล้วอยู่ดี!


เขามองซากศพร่างนั้น สูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่งแล้วกล่าวว่า “กลบฝังให้นางได้อยู่อย่างสงบเถอะ! ที่โลกนั้นของพวกเราให้ความสำคัญกับการกลบฝังคนตายให้อยู่อย่างสงบ”


อันที่จริงหยกนภาก็ฉงนใจยิ่งนักเช่นกัน เพียงแต่ยามนี้มันไม่กล้าพูดเหลวอันใดเลยสักประโยค การสร้างราชรถแก้วผลึกและศาลบูชาล้วนเป็นความคิดของมัน ไม่นึกเลยว่ายุ่งวุ่นวายอยู่นานสองนาน ไม่เพียงแต่จะคืนชีพให้เจ้านายไม่ได้เท่านั้น แม้แต่ซากศพก็รักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว…


—————————————————————–


บทที่ 1751 คงมิใช่ว่าตี้ฝูอีโป้ปดเขากระมัง?!


ตี้ฝูอีนั่งใจลอยอยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง ถึงได้เอ่ยตอบอย่างเรียบๆ “ได้! ข้าจะฝังมันอย่างดี เพียงแต่ หลงซือเย่ โทษทัณฑ์ของเจ้าก็สมควรรับโทษได้แล้ว ตอนนี้เข้าสู่แดนเพลิงลับแลเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามครึ่งเสียเถอะ เจ้าต้องยืดหยัดไว้ให้ข้า! หลังจากออกมาแล้วข้ายังมีข่าวที่เกี่ยวกับซีจิ่วจะบอกเจ้าอยู่ เจ้าต้องอยากฟังแน่!”


เขาขายได้ถูกจุดยิ่งนัก เดิมทีหลงซือเย่หมดอาลัยตายอยากในชีวิตไปแล้ว มีความคิดว่าจะเข้าไปสิ้นชีพในแดนเพลิงลับแลอยู่จริงๆ เมื่อเขาได้ฟังเช่นนี้ หัวใจพลันถูกปลุกเร้าขึ้นมา ปรารถนาจะทราบในทันที!


แต่เขารู้ว่าคนอย่างตี้ฝูอีถ้าเขาไม่อยากพูด ต่อให้เจ้าถือค้อนมาง้างก็ง้างปากให้พูดไม่ได้อยู่ดี จึงไม่ถามเสียเลย กัดฟันเข้าไปรับโทษในแดนเพลิงลับแล


การรับโทษที่นั่นเสมือนถูกบังคับเลาะเอากระดูกออกมา เพลิงนั้นลุกไหม้ขึ้นภายในร่างกาย เผาผลาญชีพจรทุกสายของเขาไปทีละชุ่นๆ


ตัวคนดั่งถูกโยนเข้าไปในเตาหลอมเหล็กแล้วหลอมใหม่อีกครั้ง ทุกอณูเซลล์ล้วนผ่านการหลอมกลั่นอย่างหนักหนาทั้งสิ้น…


ถูกเคี่ยวกรำอย่างแสนสาหัสยามที่ออกมาได้ เขาก็ถูกเผาผลาญไปกว่าครึ่งชีวิตแล้ว แทบจะยืนไม่อยู่แล้ว


ที่เขาคาดไม่ถึงคือ ตี้ฝูอีรอคอยอยู่ด้านนอกตลอด เมื่อเห็นเขาออกมา ยังเพิ่งพิศเขาตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่งด้วย จากนั้นก็จับชีพจรให้เขาด้วยตัวเอง


เป็นครั้งแรกที่หลงซือเย่ได้รับการปฏิบัติด้วยเช่นนี้ เขาประหลาดใจอยู่บ้าง ขมวดคิ้วเอ่ยถาม “สรุปแล้วเจ้า…”


ตี้ฝูอีปล่อยมือจากเขา กล่าวอย่างเฉยเมย “ในที่สุดก็ไม่มีเสี้ยววิญญาณของหลงฟั่นหลงเหลืออยู่ในร่างเจ้าแล้ว!”


หลงซือเย่ตกตะลึง ในร่างเขามีเสี้ยววิญญาณของหลงฟั่นอยู่มาโดยตลอดหรือ? ทำไมเขาถึงไม่รู้เลย?!


“ดวงวิญญาณของเขาแข็งแกร่งกว่าเจ้า หากมิใช่เพราะข้าใช้พลังวิญญาณผนึกเขาไว้ให้เจ้ามาโดยตลอด เจ้านึกว่าจะรอดจากการถูกเขากลืนกินได้รึ? เปลวไฟในแดนเพลิงลับแลเป็นเพลิงแท้กสิณ เป็นสถานที่ยอดเยี่ยมในการเผาผลาญเสี้ยววิญญาณ ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้เอ่ยเตือนเจ้าด้วยเกรงว่าจะถูกเสี้ยววิญญาณของหลงฟั่นในร่างเจ้าจะทราบเอาได้ เขาไม่ทราบถึงสรรพคุณของแดนเพลิงลับแล”


เมื่อตี้ฝูอีกล่าวจบก็โยนขวดโอสถสองสามใบให้หลงซือเย่ “ยาลูกกลอนในขวดสีฟ้าจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บจากแดนเพลิงลับแลของเจ้าได้ ยาลูกกลอนในขวดสีแดงกับสีเขียวจะช่วยเจ้าฟื้นฟูสู่สภาพเดิม ขอเพียงเจ้าพักฟื้นอย่างเหมาะสม อีกหนึ่งปีให้หลังก็จะกลับสู่ขั้นเก้าเหมือนเดิม…”


หลงซือเย่ถือขวดโอสถสองสามใบนั้นไว้ตกตะลึงอยู่บ้าง เพียงแต่เขายังไม่ลืมเรื่องที่อยากจะทราบมาโดยตลอด “เจ้ากล่าวไว้ว่าจะบอกข่าวของซีจิ่วแก่ข้า…ข่าวอะไร?”


“นางฟื้นคืนชีพได้ ดังนั้นเจ้าก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นด้วย!” เมื่อตี้ฝูอีกล่าวประโยคนี้จบก็พาสังขารนั้นจากไปทันที


หัวใจของหลงซือเย่แทบจะกระดอนออกมาแล้ว!


ซีจิ่วฟื้นคืนชีพได้งั้นหรือ? จริงหรือเท็จ? เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าดวงวิญญาณเธอแตกสลายไปแล้ว…


คงมิใช่ว่าตี้ฝูอีโป้ปดเขากระมัง?!


ไม่ถูกสิ ถึงแม้ตี้ฝูอีผู้นี้จะกระทำการไร้ขีดจำกัดล่าง แต่ไม่เคยนำเรื่องใหญ่มาหลอกลวงผู้อื่นเลย เช่นนั้นก็น่าจะเป็นความจริง


อา ซีจิ่วฟื้นคืนชีพได้!


เช่นนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้! ต้องแข็งแกร่งขึ้นถึงจะสามารถช่วยเหลือเธอในยามที่เธอลำบากได้!


เช่นนั้นเขาจะต้องมุมานะแล้ว!


หลงซือเย่รู้สึกเหมือนถูกฉีดด้วยเลือดไก่ เลือดลมเดือดพล่านขึ้นมาทันที!


เขาเดินวนรอบห้องอย่างไม่คำนึงถึงความเจ็บปวดเลย แล้วชะงักไปครู่หนึ่ง เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีคำถามสำคัญอีกข้อที่ยังไม่ได้ถาม กู้ซีจิ่วฟื้นคืนชีพได้ แต่ว่าตอนไหนกันล่ะ?!


ตี้ฝูอีจากไปแล้ว ยามนี้ต่อให้เขาอยากตามหาตัวเขาเพื่อสอบถามก็ทำไม่ได้แล้ว


เขาเดินอยู่ในห้อง วนไปวนมาจนศิษย์คนโตของเขาหวั่นวิตกขึ้นมา เอ่ยขึ้นอย่างอดไว้ไม่อยู่ “อาจารย์ ท่านบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ พักฟื้นให้ดีก่อนดีไหมขอรับ?”


ก่อนหน้านี้ตี้ฝูอีป่าวประกาศว่าหลงซือเย่ต้องไปรับโทษในแดนเพลิงลับแลต่อหน้าเหล่าศิษย์ของสำนักถามสวรรค์ และถูกส่งเข้าสู่แดนเพลิงลับแลท่ามกลางสายตาของบรรดาศิษย์ ดังนั้นศิษย์ของเขาจึงกังวลยิ่งนักเป็นธรรมดาว่าร่างกายของเขาจะรับไม่ไหวเอา…


ตอนนี้ตี้ฝูอีจากไปแล้ว ศิษย์คนโตของเขาจึงเข้ามาปรนนิบัติดูแล


บทที่ 1752 ได้มองนางอยู่ไกลๆ สักแวบก็ยังดี…


หลงซือเย่สูดหายใจลึกๆ คราหนึ่ง ใช่แล้ว ต้องพักฟื้น! เขาต้องพักฟื้นให้ดี! ไม่ว่าซีจิ่วจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาตอนไหน เขาก็รอได้ทั้งนั้น! รอวันที่เธอจะหวนกลับมา…


….


ดินเหลืองค่อยๆ กลบคลุมลงบนโลงแก้วผลึกทีละกอบๆ และในโลงแก้วผลึกที่ถูกกลบฝังก็มีดรุณีที่เคยงดงามเฉิดฉันอยู่…


ตี้ฝูอีลงมือกอบดินด้วยตัวเอง ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนช่วยทั้งนั้น


หยกนภาวนเวียนอยู่รอบโลงแก้วผลึกใบนั้น หักใจไม่ลงยิ่งนัก ฉายอักษรขึ้นในสมองของตี้ฝูอี ‘เจ้านายของข้าไม่ชอบความมืดที่สุดเลย ทว่ายามนี้กลับทำได้เพียงกลบฝังนางไว้ใต้ปฐพีที่มืดมิด…’


สีหน้าของตี้ฝูอีซีดเผือดยิ่งนัก เขาไม่พูดอะไรเลยสักประโยค


ยามนี้เขาพูดน้อยจนน่าเวทนาแล้ว นอกเสียจากจำเป็นต้องสั่งการให้ผู้อื่นไปกระทำเรื่องราวอันใดถึงได้พูดออกมาบ้าง มิเช่นนั้นเกรงว่าในหนึ่งวันเขาอาจไม่เปิดปากเอ่ยเลยสักครั้งก็เป็นได้


‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านว่า อีกหลายสิบปีให้หลังเจ้านายข้าจะปีนขึ้นมาจากหลุมไหม?’


หยกนภาวิตกยิ่งนัก มันเคยดูหนังซอมบี้มาค่อนข้างมาก ยามนี้พบนึกถึงฉากที่ซอมบี้มุดออกมาจากดินขึ้นมา มันก็รู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง


ถึงแม้มันจะได้รับโองการจากสวรรค์แล้วว่าเจ้านายของมันจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาในอีกสามสิบแปดปีให้หลัง แต่ไม่ได้บอกเอาไว้ว่าจะคืนชีพขึ้นมาในสภาพใด


มันสงสัยยิ่งนักว่าด้วยความแปรปรวนของวิถีสวรรค์ เพื่อลงโทษกู้ซีจิ่ว อาจให้นางคลานออกมาในสภาพซอมบี้ก็เป็นได้ จากนั้นก็ค่อยๆ ฝึกฝนจนกลายเป็นยอดผีดิบ ฝึกไปจนได้สภาพเหมือนมนุษย์ปกติ…


ตี้ฝูอีไม่ได้ตอบคำถามไร้สาระของมัน ค่อยๆ ก่อเนินหลุมศพของกู้ซีจิ่วขึ้นมา…


สถานที่แห่งนี้ขุนเขาหนุนธาราพาดผ่าน ฮวงจุ้ยเป็นมงคลที่สุด เป็นชีพจรมังกรในตำนาน


ต่อให้เขาทราบดีว่าในหลุมนี้เป็นเพียงสังขารร่าหนึ่งที่ไร้ซึ่งดวงวิญญาณ แต่ขอเพียงเกี่ยวข้องกับนาง เขาล้วนไม่สะเพร่าเลินเล่อเลยแม้แต่น้อย


สถานที่แห่งนี้มีคนคอยเฝ้าดูโดยเฉพาะ ไม่มีใครหน้าไหนเข้ามาขุดสุสานได้ และไม่มีผู้ใดกล้าขุดด้วย! เขาหวังเพียงว่าในไม่กี่สิบปีนี้นางจะได้รับความสงบสุข…


หลังจากกลบหลุมเสร็จ ตี้ฝูอีหยิบขลุ่ยออกมาแล้วยืนเป่าอยู่ตรงนั้น เพลงขลุ่ยล่องลอยอยู่อากาศ ราวกับบรรเลงขับกล่อม


เมื่อบรรเลงจบ เขาก็ทำลายขลุ่ยทิ้งหน้าหลุมศพนาง


ขลุ่ยหยกขาวกระจ่างแตกกระจายเกลื่อนพื้น ทำให้หยกนภาสั่นสะท้านตามไปด้วย มันมองไปที่ตี้ฝูอี ย่อมทราบถึงเจตนาของเขา เพลงขลุ่ยของเขาเคยเป็นสิ่งที่กู้ซีจิ่วชมชอบที่สุด ยามนี้กู้ซีจิ่วไม่อยู่แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องบรรเลงเพลงขลุ่ยอีกแล้ว…


ป๋อหยาสะบั้นสายพิณด้วยขาดคนรู้ใจ[1] นี่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทำลายขลุ่ยด้วยขาดนางในดวงใจกระมัง?


ตี้ฝูอีเงยหน้ามองฟ้า ยามนี้ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปครึ่งดวงแล้ว เมฆาถูกแสงอาทิตย์อัสดงอาบย้อมจนกลายเป็นสีแดงทอง งดงามน่ามองอย่างยิ่ง


แต่ก่อนเมื่อเขาเห็นการขึ้นลงของดวงตะวันเป็นเรื่องทั่วไป ต่อให้ทิวทัศน์งดงามน่ามองเพียงใดทว่าเห็นมาเป็นหมื่นปีก็นับว่าได้เห็นจนพอแล้ว ทิวทัศน์ธรรมดาไม่มีทางสั่นคลอนเขาได้


แต่ยามนี้ เมื่อเขาได้เห็นตะวันลาลับขอบฟ้ากลับค่อนข้างอาวรณ์อยู่บ้าง…


เขาปรารถนาจะมีชีวิตยืนยาวมากขึ้นอีกสักระยะจริงๆ ได้มีชีวิตอยู่จนถึงวันที่นางฟื้นคืนชีพ ได้มองนางอยู่ไกลๆ สักแวบก็ยังดี…


สุดท้ายก็เป็นความเพ้อฝันที่เกินตัวไปแล้ว


ขณะที่เขากำลังหันหลังจากไป ทันใดนั้นก็มองเห็นว่ามีแสงหลากสีพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าทางทิศนั้นอย่างกะทันหัน กระเพื่อมไหวอยู่กลางนภาอยู่หนึ่งดั่งแสงเหนือ ทำให้เมฆาที่อาบย้อมด้วยแสงอัสดงทรงเสน่ห์ยิ่งขึ้น เป็นความงามที่น่าตื่นตะลึงประการหนึ่ง


เนื่องจากลำแสงนั้นผสมผสานเข้ากับแสงตะวัน ตี้ฝูอีจึงมองเห็นไม่ชัดไปชั่วขณะว่าลำแสงนั้นมีกี่สีกันแน่ แต่เห็นแค่ห้าสีก็เพียงพอแล้ว


หรือว่าในที่สุดตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว?


นิ้วมือของเขากำแน่น!


อันที่จริงเขาไม่อยากถ่ายทอดศาสตร์ทั้งหมดให้ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์เลย ถึงอย่างไรอำนาจก็สั่นคลอนใจคนได้ เมื่อตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ครองตำแหน่งนานไป อาจจะไม่อยากสละตำแหน่งก็ได้


เมื่อถึงเวลาที่กู้ซีจิ่วต้องรับช่วงต่อเกรงว่าคงจะมีอุปสรรคยากเข็ญยิ่งนัก…


ที่แท้เป็นผู้ใดกันแน่ที่ปลดปล่อยแสงหลากสีที่เจิดจ้าปานนี้ออกมา?


—————————————————————-


บทที่ 1753 คู่สวรรค์สรรสร้าง


หยกนภาก็ยืดตัวขึ้นมาแล้วเช่นกัน ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ นั่นน่าจะเป็นแสงที่แผ่ออกมาจากปรากฏกายของตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์! พวกเราไปดูกันเถอะ!’


เพื่อให้การส่งมอบเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ตี้ฝูอีจำเป็นต้องนำตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นมาไว้ข้างกาย อบรมสั่งสอนด้วยตัวเองเป็นเวลาสามเดือน…


และอายุขัยในปัจจุบันของตี้ฝูอีก็ยังเหลืออยู่สามเดือน จะล่าช้าไม่ได้แล้วจริงๆ!


ตี้ฝูอีสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง เขาเองก็ทราบว่าไม่อาจโอ้เอ้ได้อีกแล้ว


เมื่อก่อนเขาไม่เก็บวิถีสวรรค์มาใส่ใจเลย และไม่ได้ฝ่าฝืนไปเพียงครั้งสองครั้งด้วย


แต่เรื่องราวในครั้งนี้เกี่ยวพันกับอนาคตของกู้ซีจิ่วว่าจะราบรื่นหรือไม่ เขาไม่อาจกระทำตามอำเภอใจได้…


“ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นบุรุษหรือว่าสตรี?” ตี้ฝูอีโพล่งถามออกมา


หยกนภาอึกอักเล็กน้อย ‘น่าจะเป็น…บุรุษ’


ตี้ฝูอีขมวดคิ้วนิดๆ “บุรุษ?”


ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คงมิได้นึกหึงหวงกระมัง?!


ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านเหลืออายุขัยอยู่เพียงสามเดือน ไม่จำเป็นต้องหึงหวงแล้วกระมัง?!


หยกนภากล่าวอย่างระมัดระวังว่า ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้น่าจะเป็นที่ดินแดนเบื้องบนส่งมา วรยุทธ์ดั้งเดิมไม่อ่อนด้อย ท่านแค่ถ่ายทอดศาสตร์วิชาที่จำเป็นบางส่วนให้เขาก็พอแล้ว อย่างเช่นวิชาโหราศาสตร์ การอย่างเช่นควบคุมแดนลับแลต่างๆ อย่างเช่น…’


มันเอ่ยพูดพล่ามออกมาเป็นกระบุง ตี้ฝูอีปรายตามองมันอย่างเยียบเย็นแวบหนึ่ง “คนผู้นี้คือหลงโม่เหยียนกระมัง?”


หยกนภาตกตะลึงยิ่งนัก หลุดปากโพล่งออกไป ‘ท่านรู้ได้ยังไง?!’


ตี้ฝูอีหันหลังออกเดิน บนโลกใบนี้เรื่องราวที่สามารถปิดบังเขาได้มีอยู่เพียงน้อยนิด


เขาเคยสังเกตหลงโม่เหยียนผู้นี้มานานแล้ว ปกติแล้วคนผู้นี้ถ่อมตนไม่โอ้อวด ไม่เข้าร่วมสงครามการเมืองใดๆ เลย วรยุทธ์ไม่สูงส่งทว่าไม่ต่ำต้อย ไม่สันทัดแก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด ทว่าไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนเลย…ระยะนี้คนผู้นี้เสมือนคลายผนึกออกแล้ว บนร่างมีไอเซียนแผ่ออกมาจางๆ คาดว่าคงตื่นรู้ขึ้นมาแล้วเป็นแน่


ตั้งแต่ยามนั้นตี้ฝูอีก็เดาได้แล้วว่าเขาคือคนของดินแดนเบื้องบน เพียงแต่เขามิได้กระทำเรื่องร้ายอันใด ตี้ฝูอีจึงคร้านจะใส่ใจเขา นอกเหนือจากยามที่จำเป็น ตี้ฝูอียังคงค่อนข้างอ่อนโยนต่อผู้มาเยือนประเภทนี้อยู่บ้าง ขอเพียงอย่ากระทำเรื่องเลวร้ายแก่แผ่นดินนี้ก็พอ


แน่นอนว่าผู้มาเยือนประเภทนี้เขาย่อมมีการจับตามองเป็นพิเศษ…


ยกตัวอย่างเช่นยามนี้หลงโม่เหยียนผู้นี้ก็แยกตัวมาอยู่อย่างสันโดษในละแวกเมืองเยวี่ยหมิงของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ย


และบนภูเขาจรัสแสงของเมืองเยวี่ยหมิงก็มีศาลระลึกคุณความดีของกู้ซีจิ่วตั้งอยู่ด้วย…


มองจากทิศทางนั้นที่แสงหลากสีนั้นปรากฏขึ้น เป็นทิศทางของเมืองเยวี่ยหมิงที่หลงโม่เหยียนพำนักอยู่


ไม่นึกเลยว่าเจ้าเด็กนี่จะเป็นตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ!


ดูเหมือนเขาจะสนใจในตัวกู้ซีจิ่วมากด้วย…


ตี้ฝูอีหลุบตาลงนิดๆ เริ่มคิดหามาตรการรับมืออยู่ในใจ


เขาสามารถถ่ายทอดทักษะทั้งหมดให้หลงโม่เหยียนได้ แต่ก็ต้องลงอาคมไว้บนร่างของเขาด้วย ทำให้เมื่อถึงเวลาเขาจะต้องส่งมอบอำนาจคืน และไม่อาจประสงค์ร้ายต่อกู้ซีจิ่วได้…


แน่นอนว่าที่เขาทำเช่นนี้มิใช่เพราะหึงหวง ยามนี้เขาหมดคุณสมบัติที่จะหึงหวงแล้ว


จู่ๆ เขาก็รู้สึกริษยาหลงโม่เหยียนอยู่บ้าง สามารถอยู่ร่วมกับกู้ซีจิ่วที่ฟื้นคืนชีพได้ชั่วระยะหนึ่ง…


หยกนภาที่อยู่ข้างกายเขาลังเลที่เอ่ยอีกครั้ง ส่องแสงกะพริบไม่หยุด ตี้ฝูอีจึงเอ่ยถามมัน “เจ้าอยากพูดอะไร?”


หยกนภาละล้าละลัง ‘ท่านต้องรับปากก่อนว่าไม่ซัดข้า ข้าถึงจะพูด’


ตี้ฝูอีมีลางสังหรณ์ว่าเจ้าตัวนี้กำลังจะโรยเกลือลงบนบาดแผลของเขา แต่เขาก็ยังคงอยากฟังอยู่ “พูดมา!”


‘อันที่จริง…ข้าขอบอกไว้ก่อนเล็กน้อย ว่าข้าก็ได้ยินมาอีกทีเหมือนกัน รับประกันไม่ได้ว่าเป็นความจริง ข้าได้ยินว่ามาว่าหากมิใช่เพราะท่านสอดมือเข้ายุ่ง เจ้านายของบ้านข้ากับหลงโม่เหยียนสมควรจะได้ครองคู่กันไปแล้ว หลงโม่เหยียนจะติดตามอยู่ข้างกายของเจ้านายข้าช่วยแบ่งเบาภาระนางไปหลายพันปี กลายเป็นคู่สวรรค์สรรสร้างที่ปวงชนต่างริษยา…’


สีหน้าของตี้ฝูอีซีดเผือดกว่าเดิมแล้ว


นี่หยกนภามิใช่แค่โรยเกลือลงบนบาดแผลของเขาแล้ว…


————————————————————-


[1]  เป็นเรื่องเล่าโบราณของชาวจีน ป๋อหยาคือยอดนักพิณคนหนึ่ง เขามีสหายผู้เข้าใจในท่วงทำนองพิณของเขา หนึ่งบรรเลง หนึ่งรับฟังเข้าขากันยิ่งนัก จนวันหนึ่งสหายเขาสิ้นชีพไป ป๋อหยารู้สึกว่าในเมื่อผู้ที่เข้าใจในเสียงพิณของเขาไม่อยู่แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะเล่นพิณต่อไปเพื่ออะไรอีก จึงสะบั้นสายพิณทิ้ง ไม่บรรเลงพิณอีกชั่วชีวิต


บทที่ 1754 คู่สวรรค์สรรสร้าง 2


นี่หยกนภามิใช่แค่โรยเกลือลงบนบาดแผลของเขาแล้ว เป็นการเสียบมีดลงบนหัวใจเขาก่อน จากนั้นก็โรยเกลือใส่อีกครั้ง!


กู้ซีจิ่วจะคืนชีพขึ้นมาในอีกสามสิบสี่สิบปีให้หลัง เมื่อถึงยามนั้นหลงโม่เหยียนเป็นตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์จะได้ติดต่อสนิทชิดเชื้อกับนาง หากว่านางไม่มีความทรงจำของชาตินี้อยู่ บางทีอาจจะกลายเป็นคู่สวรรค์สรรสร้างกับหลงโม่เหยียนเหมือนเดิมก็ได้…


ตี้ฝูอีรู้สึกเสียดหน้าอกยิ่งนัก! และเจ็บปวดยิ่งนักด้วย!


โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงว่าตนยังต้องถ่ายทอดทักษะทั้งหมดให้หลงโม่เหยียนแล้ว ความเจ็บปวดในทรวงก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น…


เขาเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ แต่มิใช่พ่อพระ! วิถีสวรรค์ที่น่าตายนี่คิดจะเล่นงานเขาให้ถึงตายเลยสินะ?


ไอสังหารอันเฉียบคมวาบผ่านนัยน์ตาเขาแวบหนึ่ง!


ไอสังหารของดั่งมีรูปลักษณ์จับต้องได้ ทำให้หยกนภาที่คอยจับสังเกตอารมณ์ของเขาอยู่ด้านข้างตื่นตระหนกปานลูกนกขวัญผวาหดตัวถอยหลังไปในทันใด เว้นระยะห่างที่ปลอดภัย ด้วยเกรงว่าจะถูกพายุอารมณ์ของเขาพัดถล่ม…


….


กู้ซีจิ่วยืนหอบหายใจอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง นัยน์ตาเจิดจ้าเฉียบคมยิ่งว่าดวงตะวัน ณ ปลายขอบฟ้า!


ในที่สุดเธอก็ฝ่าออกมาได้แล้ว!


ซ้ำยังก่อสังขารแล้วฝ่าทะลวงออกมาด้วย!


คนโบราณกล่าวเอาไว้ ขอเพียงบากบั่นมานะ ทั่งเหล็กก็ฝนให้กลายเป็นเข็มได้!


ส่วนเส้นทางในการก่อร่างสร้างสังขารของเธอนั่นยากเย็นยิ่งกว่าการฝนทั่งให้เป็นเข็มเสียอีก พยายามอยู่กว่าหนึ่งเดือน เธอฝึกฝนอย่างลืมวันลืมคืนกว่าหนึ่งเดือน และทดลองใช้ทุกวิถีทางเท่าที่เธอทราบอย่างลืมวันลืมคืนด้วย…


ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ของเธอไม่เคยกล้าแกร่งถึงเพียงนี้มาก่อนเลย! ความปรารถนาจะฟื้นคืนชีพโดยเร็วพลุ่งพล่านอยู่ในใจของเธอทุกวัน เพื่อที่จะสามารถฟื้นคืนชีพได้อย่างรวดเร็วเธอจึงยอมทุ่มเททุกอย่างออกมา!


ขั้นตอนการฝึกฝนทุกข์ทรมานยิ่งนัก ความรู้สึกนั้นเหมือนถูกเคี่ยวกรำอยู่ในขุมนรกตลอดเวลา แต่ความคิดที่ต้องการจะมีชีวิตอยู่เพื่อไปพบหน้าเขากลายเป็นแหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจของเธอ ต่อให้ความทรมานในการฝึกฝนจะเหมือนถูกถลกหนัง เธอก็อดทนข้ามผ่านไปได้!


บางทีความคิดเช่นนี้ของเธออาจกลายเป็นความยึดมั่นถือมั่น และบางทีความมุ่งมั่นสุดชีวิตของเธออาจทำให้สวรรค์ซาบซึ้ง หลังจากเธอถูกกักขังอยู่ที่นี่หนึ่งเดือนก็ก่อร่างได้สำเร็จ ฝ่าทะลวงเขตแดนออกมาได้!


เป็นไปได้ว่ายามที่เธอที่เธอทำลายเขตแดนได้ออกแรงมากเกินไป วินาทีที่เขตแดนแตกสลายไป พลันเกิดแสงเจ็ดสีสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า ทะยานดั้นเมฆาปานภูเขาไฟระเบิด! ทำให้เธอตกใจยิ่งนัก


การก่อสังขารนี้แทบจะผลาญกำลังทั้งหมดของเธอไป หลังจากทำลายเขตแดนได้ เธอจึงเอนพิงอยู่บนต้นไม้ใหญ่ คิดว่าจะพักผ่อนสักครู่หนึ่ง แล้วไปตามหาตี้ฝูอี!


เธอคิดถึงเขา คิดถึงจนแทบบ้าแล้ว!


เธอพริ้มตาลงเล็กน้อยพักผ่อนครู่หนึ่ง ในใจใคร่ครวญกำหนดแผนการหนึ่งขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ลืมตาขึ้นขณะที่กำลังจะเคลื่อนไหวดำเนินการ คล้ายว่าจะสัมผัสถึงอะไรได้ มองไปทางใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกล


บุรุษชุดเขียวผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น รูปโฉมหล่อเหลาสง่างามดังคุณชายแปลกหน้า[1]ที่ผ่านทางมา


เธอรู้จักคนผู้นี้


…หลงโม่เหยียน


เขากำลังมองเธอด้วยสีหน้าดั่งถูกสายฟ้าฟาด ดวงตายฉายแววประหลาดใจ


สีหน้านั้นราวกับได้เห็นดางหางพุ่งชนโลกก็มิปาน ตกตะลึงอย่างเหนือธรรมดา!


เขาเห็นตอนที่เธอทำลายเขตแดนออกมาหรือไง? ทำไมถึงตกใจขนาดนี้?


กู้ซีจิ่วกระโจนลงมาจากต้นไม้ใหญ่ “หลงซือจื่อ ไม่นึกเลยว่าท่านจะอยู่ที่นี่ด้วย”


กู้ซีจิ่วทราบว่าอาณาจักรที่เธออยู่ในขณะนี้คืออาณาจักรเฮ่าเยวี่ย เป็นถิ่นของเชียนหลิงอวี่ ส่วนหลงโม่เหยียนเป็นท่านโหวของอาณาจักรเฟยซิง ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ที่นี่ด้วย ผ่านทางมางั้นหรือ?


เธอกวาดตามองหลงโม่เหยียนอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง หลงโม่เหยียนตกตะลึงมากจริงๆ มองเธออย่างสติยังไม่กลับเข้าร่าง


การแต่งกายของเขาก็ค่อยข้างพิเศษ ในมือถือถือกรรไกรแต่งกิ่งไว้อันหนึ่ง เหน็บเสื้อคลุมพับขากางเกง ให้อารมณ์ดั่งนักพรตเถาหยวนหมิง ‘เก็บเบญจมาศริมรั้วตะวันออกทอดมองหนานซานอย่างสำราญ’[2]


กู้ซีจิ่วใจเต้นเล็กน้อย!


เธอทราบจากปากคำของผู้ที่มาสักการะเหล่านั้นว่าตี้ฝูอีไม่ได้ประกาศเรื่องสิ้นชีพของเธอต่อสาธารณชน ผู้คนส่วนใหญ่จึงยังไม่ทราบว่าเธอจากโลกไปแล้ว


——————————————————————–


บทที่ 1755 คู่สวรรค์สรรสร้าง 3


หลงโม่เหยียนผู้นี้มิมีใจฝักใฝ่การเมือง เป็นท่านโหวที่เอ้อระเหยลอยชายผู้หนึ่ง เขาไม่น่าจะรู้สิ….


เช่นนั้นยามนี้เขาตกใจถึงเพียงนี้เพราะอะไร?


ถึงแม้ในใจของกู้ซีจิ่วจะมีข้อสงสัย แต่ตอนนี้เธอร้อนใจอยากไปหาตี้ฝูอี ดังนั้นเมื่อข้อสงสัยนี้ผุดขึ้นมา ก็ถูกเธอปัดไปไว้อีกด้านหนึ่ง หลังจากเอ่ยทักทายหลงโม่เหยียนแล้ว ก็หันหลังหมายจะจากไป


ในที่สุดสติของหลงโม่เหยียนก็กลับเข้าร่างแล้ว ก้าวเข้ามา ขวางทางเธอไว้อย่างเจตนาและมิเจตนา “ซีจิ่ว ยากนักที่จะได้พบพานกันที่นี่ พวกเราไปดื่มกันสักหน่อยไหม?”


วิถีคนโบราณเมื่อพบหน้ากันยังต่างเมืองก็สมควรไปดื่มสังสรรค์พูดคุยกันสักหน่อยจริงๆ แต่ยามนี้กู้ซีจิ่วไม่มีอารมณ์ ดังนั้นเธอจึงโบกมือปฏิเสธ “ขออภัยด้วย ข้ามีธุระด่วน วันหน้าถ้ามีเวลาพวกเราค่อยนัดกันอีกครั้งเถิด”


“ซีจิ่ว ช้าก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า เป็นเรื่องเกี่ยวกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย” หลงโม่เหยียนเอ่ยประโยคเดียวก็สกัดฝีเท้าของกู้ซีจิ่วได้แล้ว


กู้ซีจิ่วพลันใจเต้นแรง หันกลับมา “เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”


หลงโม่เหยียนถอนหายใจ “ที่นี่ไม่เหมาะจะสนทนากัน พวกเราไปหาสถานที่พูดคุยกันดีหรือไม่?”


แววตากู้ซีจิ่ววูบไหวเล็กน้อย ยังไม่ได้เปิดปากเอ่ยหลงโม่เหยียนก็กล่าวต่อว่า “วางใจเถอะ ไม่รบกวนเวลาเจ้านานเกินไปหรอก หนึ่งชั่วยามก็เพียงพอแล้ว”


ถึงอย่างไรกู้ซีจิ่วก็ถูกขังอยู่ที่นั่นมาเนิ่นนานปานนี้ ช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ยินข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับตี้ฝูอีเลย ดังนั้นจึงไม่รู้จะไปตามหาเขาที่ไหนดีชั่วขณะ ต่อให้ออกไปก็ต้องไปหาสอบถามจากผู้อื่นอยู่ดี ยามนี้ในเมื่อหลงโม่เหยียนมีข้อมูล เธอลองฟังดูก็ไม่เสียหายอะไร


ชั่วยามเดียวเท่านั้น เธอสละเวลาได้อยู่แล้ว!


ด้วยเหตุนี้เธอจึงพยักหน้าทันที “ตกลง!”


หลงโม่เหยียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เดินนำอยู่ด้านหน้า “ไปเถอะ” พลางหันหลังมุ่งไปทางหุบเขา


กู้ซีจิ่วประหลาดใจ “ท่านต้องการจะพาข้าไปไหน?”


“บ้านของข้า”


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “ท่านจะตั้งรกรากที่นี่หรือ?”


หลงโม่เหยียนยิ้มน้อยๆ “เพียงเห็นว่าทิวทัศน์ของที่นี่ไม่เลว จึงรั้งอยู่ไม่กี่วันเท่านั้น”


ท่านโหวผู้นี้มีนิสัยดั่งกระเรียนอพยพเสมอมา ชมชอบท่องเที่ยวพเนจร ชมชอบที่ใดก็รั้งอยู่ระยะหนึ่ง ในอดีตกู้ซีจิ่วก็ได้ยินว่าเขามีนิสัยเช่นนี้ ดังนั้นยามนี้จึงไม่แปลกใจอะไร


….


ที่พักของหลงโม่เหยียนคือกระท่อมไผ่หลังหนึ่ง


ตั้งอยู่กลางหุบเขา ช่างบังเอิญยิ่งนัก อยู่ห่างจากศาลบูชาของกู้ซีจิ่วเพียงสามสี่ลี้เท่านั้น


รอบข้างโอบล้อมด้วยดงไผ่ เมื่อสายลมพัดโชยมา ใบไผ่จะส่งเสียงดังซ่าๆ รื่นรมย์เสนาะหู


ป่าไผ่ กระท่อมไผ่ รั้วไผ่ ภายในรั้วปลูกพืชสมุนไพรไว้หลายชนิด เพาะต้นกล้าไว้ใต้หน้าต่าง ยังมีเครื่องมือการเกษตรอีกสองสามชนิดวางพิงอยู่ตรงเชิงกำแพง


ประกอบกับเส้นทางหุบเขาสายน้อยที่แสนคดเคี้ยว มีกลิ่นอายของชนบทอันสันโดษยิ่งนัก


หลงโม่เหยียนในชุดเขียวยืนอยู่หน้ากระท่อมไผ่ ดั่งภาพวาดน้ำหมึก เข้ากันดียิ่งนัก


“ซีจิ่ว ที่นี่เป็นที่อยู่ของข้า ชอบหรือไม่?”


กู้ซีจิ่งมองเขา จากนั้นก็มองทิวทัศน์รอบข้าง แล้วพยักหน้า “ดูเข้ากันอย่างยิ่ง”


ประหลาด เมื่อก่อนตอนที่เธอเป็นนักฆ่า ก็นึกอยากอาศัยอยู่ในสถานที่อันเงียบสงบทำนองนี้เช่นกัน ตอนนั้นยามที่เธอมีเวลาว่างยังออกแบบรูปแบบบ้านเรือนในสถานที่อันเงียบสงบอยู่เลย ลักษณะคล้ายคลึงกับที่นี่ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เธอสมควรจะชอบที่นี่สิ


แต่ตอนนี้พอได้มายืนอยู่ที่นี่จริงๆ เธอกลับไร้ความรู้สึก บอกไม่ได้ว่าชอบและบอกไม่ได้ว่าไม่ชอบ ดังนั้นจึงเอ่ยวิจารณ์อย่างส่งๆ ไปประโยคหนึ่ง


สายตาของหลงโม่เหยียนนิ่งอยู่ที่ร่างเธอ “เป็นแบบที่เจ้าชอบหรือเปล่า?”


กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว เอ่ยอย่างทีเล่นทีจริง “หลงซื่อจื่อ นี่เป็นที่พักอาศัยของท่านะ ไม่ใช่ของข้าเสียหน่อย ข้าจะชอบหรือไม่ก็ไม่สำคัญกระมัง?” บ้านของเขาเกี่ยวอะไรกับเอด้วยล่ะ?


หลงโม่เหยียนหลุบตาลงเล็กน้อย “ข้าคาดหวังให้เจ้าชอบ…”


——————————————————————–


[1]  ประโยคเต็มคือ คุณชายแปลกหน้าผู้สง่างามปานหยก เป็นท่อนหนึ่งจากบทกวีโบราณ ถูกนำมาบรรยายถึงชายหนุ่มที่หล่อเหลางดงาม


[2]  เถาหยวนหมิง เป็นกวีในยุคราชวงศ์ตงจิ้นเป็นที่ยกย่องกันว่าเป็นกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคหลังราชวงศ์ฮั่นแลก่อนราชวงศ์ถัง เป็นชาวมณฑลเจียงซี อยู่เมืองจิวเจียง เคยรับราชการแล้วออกมาใช้ชีวิตชาวนาอย่างสันโดษที่ตีนเขาหลูซาน ได้รับสมญานามว่า กวีเต๋าเถาหยวนหมิง


บทที่ 1756 คู่สวรรค์สรรสร้าง 4


กู้ซีจิ่วไม่ใส่ใจ “ท่านน่าจะคาดหวังให้ว่าที่ภรรยาของท่านชอบสิ ไม่ใช่คนผ่านทางมาอย่างข้า”


สายตาของหลงโม่เหยียนมองตรงมาที่เธอ “ซีจิ่ว ข้าหาจ้งเซิงพบแล้ว!”


กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง “หือ?”


หลงโม่เหยียนมองดูเธอ “ซีจิ่ว จนถึงยามนี้แล้วเจ้ายังคิดจะปิดบังอีกหรือ?”


ไม่นึกเลยว่าเขาจะมองออกแล้ว!


กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว ทว่าไม่ได้ปฏิเสธอีก “หลงซื่อจื่อ ขออภัยด้วย เมื่อก่อนข้าปกปิดฐานะจริงๆ จ้งเซิงเป็นตัวตนปลอมของข้า เพียงแต่ยามนั้นข้าบังเอิญรู้จักท่านอย่างผิวเผินเท่านั้น มิได้มีไมตรีลึกซึ้ง…”


ช่วยไม่ได้ที่เขามาชอบเธอ ทว่าเธอจำเป็นต้องตอบสนองด้วยหรือ?


ตัวเธอในยามนั้นทุกข์ตรมด้วยความรัก ย่อมไม่คิดจะให้ดอกท้อเน่าเสียดอกใดได้แตะต้องร่างอีก


วาจานี้ของกู้ซีจิ่วชัดเจนยิ่งนัก เธอเห็นเขาเป็นเพียงคนรู้จักทั่วไป ไม่ได้มีความรู้สึกในเชิงนั้นต่อเขาเลย


ดวงตาหลงโม่เหยียนมีแววหม่นหมองพาดผ่านแวบหนึ่ง เขาโบกมือคราหนึ่ง บนพื้นปรากฏเตาดินเผาเล็กๆ ใบหนึ่งขึ้นมา บนเตาใบน้อยมีกาต้มน้ำใบหนึ่ง ในกามีน้ำเดือดปุดๆ และบนโต๊ะไม้ไผ่ก็มีชุดกาน้ำชาวางอยู่…


จากท่าทางนี้ของเขาคงกำลังจะชงชากระมัง ท่วงท่าดั่งเมฆาเคลื่อนคล้อยสายธารรินไหล มีความคล้ายคลึงกับตี้ฝูอีอยู่สองสามส่วน


กู้ซีจิ่วค่อนข้างไม่มีความอดทน “หลงซื่อจื่อ ท่านบอกว่ามีเรื่องที่เกี่ยวกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะบอกข้าใช่ไหม?”


นิ้วมือของหลงโม่เหยียนชะงักไปเล็กน้อย เขาย่อมมองออกว่าเธอร้อนใจ เพียงแต่ไม่พูดอะไร รินชาให้เธอถ้วยหนึ่ง ถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “ซีจิ่ว เจ้าใจร้อนเกินไปแล้ว มาเถอะ ดื่มชาถ้วยนี้ให้ชุ่มคอก่อน”


นี่มันผู้ป่วยวิกฤตพบเจอหมอที่เฉื่อยชาโดยแท้!


กู้ซีจิ่วเหลือบมองถ้วยชาแวบหนึ่ง หยิบขึ้นมา ไอชาลอยกรุ่น ผสมผสานเข้ากับกลิ่นไผ่รอบข้าง ทำให้จิตใจของคนสงบลงได้


น่าเสียดายที่ตอนนี้เธอสงบไม่ลง…


“ซีจิ่ว เจ้าเชื่อในลิขิตสวรรค์หรือไม่?” จู่ๆ หลงโม่เหยียนก็เอ่ยถามขึ้นมา


“เชื่อแล้วอย่างไรไม่เชื่อแล้วอย่างไร?” กู้ซีจิ่วถามกลับ คล้ายว่าเธอจะคอแห้งอยู่บ้าง จึงจิบชาอึกหนึ่ง


หลงโม่เหยียนมองเธอ “ซีจิ่ว เจ้ารู้ไหม ครั้งแรกที่ได้พบเจ้าหัวใจข้าเต้นถี่รัว หลายปีมานี้สืบเสาะหาตัวเจ้ามาโดยตลอด เพื่อตามหาเจ้าแล้ว ข้าถึงขั้นปฏิเสธลิขิตที่สวรรค์จัดเตรียมไว้…”


นี่เขาสารภาพรักอยู่หรือ?


กู้ซีจิ่วดื่มชาเข้าไปอีกอึก “บางทีท่านควรจะยอมรับลิขิตที่สวรรค์จัดเตรียมเสีย…” ถึงอย่างไรนางในโชคชะตาของเขาก็ไม่ใช่เธอ…


หลงโม่เหยียนยิ้มแวบหนึ่ง “ใช่แล้ว ข้าสมควรยอมรับลิขิตที่สวรรค์จัดเตรียมเสีย เกือบจะทำให้บุพเพสันนิวาสอันดีงามหลุดลอยไปเสียแล้ว ภายหลังในที่สุดข้าก็รู้แจ้งแล้ว ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่ เฝ้ารออยู่ที่นี่ตลอด รอให้นางในโชคชะตาของข้าปรากฏตัวขึ้น…”


กู้ซีจิ่วกลับลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ยิ้มน้อยๆ “นางในโชคชะตาของท่านอยู่ในหุบเขาแห่งนี้หรือ?”


แววตาของหลงโม่เหยียนเหม่อมองออกไปไกล “ใช่แล้ว อยุ่ในหุบเขาแห่งนี้ นางถูกขังไว้ที่นี่ เนื่องจากฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์ ถูกกักขังให้รับโทษทัณฑ์อยู่ที่นี่ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว นางควรจะเป็นอิสระจากการจองจำได้ในอีกสามสิบแปดปีให้หลัง แต่แม่นางผู้นี้กลับเป็นกรณีพิเศษในกรณีพิเศษอีกที หลุดพ้นจากการจองจำได้ก่อนกำหนด…”


สีหน้ากู้ซีจิ่วแปรเปลี่ยนเล็กน้อย นิ้วมือบีบถ้วยชาแน่น เธอย่อมฟังความนัยจากวาจาของหลงโม่เหยียนออก หัวใจพลันจมดิ่ง!


ตอนที่เธอถูกขังไว้ เสียงจอมจู้จี้นั่นก็บอกว่าเธอจะถูกขังไว้สามสิบแปดเหมือนกัน…


ซ้ำยังบอกว่าเป็นลิขิตสวรรค์อันใดนั่นด้วย!


ยามนี้ไม่น่าเชื่อว่าหลงโม่เหยียนก็จะเอ่ยเช่นนี้เหมือนกัน…


เธอหยักมุมปากนิดๆ แววเฉียบคมวาบผ่านดวงตา “หลงซื่อจื่อ ท่านเป็นใครกันแน่?”


“เนื้อคู่ตามโชคชะตาของเจ้า” หลงโม่เหยียนยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มอ่อนโยน แฝงกำลังกล้าแกร่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ง่ายๆ “ซีจิ่ว พวกเราเป็นคู่ครองที่สวรรค์ลิขิต ตามคำกล่าวของแดนมนุษย์คือ ข้าถูกลิขิตให้เป็นคู่ครองของเจ้า จะอยู่ร่วมกับเจ้าไปชั่วนิรันดร์”


——————————————————————-


บทที่ 1757 วาสนารักสวรรค์ลิขิต


กู้ซีจิ่วตกตะลึง!


สวรรค์ไม่เพียงแต่กักขังเธอไว้ที่นี่เท่านั้น ยังจัดสรรว่าที่สามีไว้ให้เธอด้วยหรือ?


ล้อเล่นแบบนี้ไม่ขำเลยนะ!


เธอยิ้ม เพ่งพิศเขาเขาหัวจรดเท้าแวบหนึ่ง แววตาคมกริบ “เจ้ามีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับคนที่ขังข้าไว้?!”


หรือว่าจะเป็นเขาที่เล่นเล่ห์กับเธอมาโดยตลอด?!


แต่ว่าเขตแดนที่กักขังเธออย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้ที่มีพลังวิญญาณขั้นสิบขึ้นไปถึงจะสำแดงออกมาได้ แต่หลงโม่เหยียนที่ตรงหน้าผู้นี้พลังยุทธ์สูงสุดคือขั้นเก้า…


หลงโม่เหยียนถอนหายใจเบาๆ “ซีจิ่ว เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนที่ขังเจ้าไว้เลย ข้าแค่มารออยู่ที่นี่ตามบัญชาของสวรรค์…ข้านึกว่าจะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสามสิบแปดปี ไม่นึกเลยว่า…”


“ข้าไม่เชื่อในลิขิตสวรรค์!” กู้ซีจิ่วตัดบทเขา บิดมุมปากเล็กน้อย “ดังนั้นข้ากับเจ้าไร้วาสนาต่อกัน และเจ้าก็ไม่ใช่เนื้อคู่ที่ชะตาลิขิตของข้า หลงซื่อจื่อ ข้ายังมีธุระต่อ คุยเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว ขออำลา!”


เธอไม่เชื่อลิขิตสวรรค์อะไรทั้งนั้น!


ลิขิตสวรรค์บ้านเจ้าสิ!


หัวใจของเธอเล็กยิ่งนัก บรรจุคนได้เพียงคนเดียว และยอมรับได้เพียงคนผู้นั้น!


และตอนนี้คนเดียวที่เธออยากเจอก็มีเพียงคนผู้นั้น อยากพบหน้าเขาจนแทบคลั่งแล้ว…


ส่วนคนอื่น ล้วนเป็นเมฆาเลื่อนลอยทั้งสิ้น


เธอไม่อยากจะพูดจุกจิกกับเขาให้มากความ จึงลุกขึ้นหมายจะใช้วิชาเคลื่อนย้าย ถูกหลงโม่เหยียนยุดแขนเสื้อเขาไว้ “ซีจิ่ว เจ้าไม่สนใจประวัติความเป็นมาของข้าหรือ?”


นัยน์ตากู้ซีจิ่วโชนแสงแวบหนึ่ง สะบัดข้อมือทันที หลงโม่เหยียนรู้สึกเพียงว่าฝ่ามือพลันชาหนึบ แขนเสื้อในมือถูกดึงออกไป


ยามที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง มองเห็นว่ากู้ซีจิ่วกำลังมองเขาอย่างยิ้มมิเชิงยิ้มอยู่ เม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มนิดๆ ทว่าแววตากลับคมกริบอย่างยิ่ง “ไม่สนใจ!”


หลงโม่เหยียนถูกตอกหน้าจนนิ่งไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้าฟังข้าให้จบก่อนได้ไหม?”


“ข้าพูดไปแล้ว ข้าไม่สนใจลิขิตสวรรค์วิถีสวรรค์อันใดทั้งนั้น” กู้ซีจิ่วคร้านจะพูดจาไร้สาระกับเขาแล้ว พลันหมุนกายใช้วิชาเคลื่อนย้าย


‘ตุบ!’ เธอชนเข้ากับต้นไผ่ต้นหนึ่ง ต้นไผ่ต้นนั้นถูกเธอชนจนสั่นสะเทือน แทบจะหักโค่นแล้ว


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว วิชาเคลื่อนย้ายของเธอขัดข้องเหรอ?!


ไม่สิ ดงไผ่นี้มีปัญหาแล้ว!


กู้ซีจิ่วค่อยๆ หันกลับมา มองไปที่หลงโม่เหยียน “เจ้าเล่นเล่ห์ใช่ไหม?!”


ดูไม่ออกเลยว่าหลงโม่เหยียนจะสร้างเขตแดนที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้!


หลงโม่เหยียนยืนมองเธออยู่ที่เดิม “ซีจิ่ว เจ้าฟังข้าให้จบก่อนได้ไหม?”


กู้ซีจิ่วยกมุมปากขึ้นนิด “ได้ เจ้าพูดมาสิ!”


เธอก็ไม่ได้เดินกลับไปเช่นกัน เพียงเอนหลังพิงลงบนลำไผ่ต้นหนึ่ง พลางเด็ดใบไผ่สองสามใบมาเล่น


หลงโม่เหยียนมองดูนิ้วมือเรียวงามของนางพลิกหมุนใบไม้เหล่านั้น ตาพร่าอยู่บ้าง ถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง “ซีจิ่ว ข้ามาจากดินแดนเบื้องบน”


ดวงหน้าเฉิดฉันของกู้ซีจิ่วราบเรียบไม่เปลี่ยนแปลง “มาจากที่เดียวกับเซียนหญิงลี่หวางงั้นหรือ?”


หลงโม่เหยียนชะงักไปเล็กน้อย ตามธรรมดาแล้วเมื่อมนุษย์ได้ยินว่าเป็นคนจากดินแดนเบื้องบนก็จะกราบไหว้ทำความเคารพตามสัญชาตญาณ รู้สึกว่าอีกฝ่ายสูงส่งเกินเอื้อม แต่หลังจากลี่หวางลงมาก่อเรื่องวุ่นวายครั้งหนึ่ง ชื่อเสียงของคนจากดินแดนเบื้องบนก็เลวร้ายเสียหายอย่างยิ่ง ผู้คนในแผ่นดินนี้ไม่ถูกชะตากับคนจากดินแดนเบื้องบนแล้ว…


“ซีจิ่ว ข้าต่างจากนาง ความจริงแล้วนางทำผิดพลาด ถูกดินแดนเบื้องบนเนรเทศลงมา ทว่าข้าเป็นคนที่ลงมาตามบัญชา น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ข้าถูกผนึกพลังวิญญาณเอาไว้ และถูกผนึกความทรงจำไว้ด้วย คิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นเพียงท่านโหวลอยชายธรรมดาๆ ตราบจนเก้าปีก่อนถึงได้ตื่นรู้ขึ้นมา ทราบถึงภารกิจของตน ซีจิ่ว เมื่อก่อนข้าไม่รู้ความจึงคลาดจากเจ้าไป โชคดีที่ข้าไม่นับว่ารู้ตัวสายเกินไป ที่แท้แม่นางที่ข้าเฝ้าคะนึงหาก็เป็นภรรยาที่ชะตาลิขิตไว้ของข้า…”


เขาค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้กู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว ข้ารู้ว่าเจ้ามีผู้อื่นอยู่ในใจ แต่ถึงอย่างไรคนผู้นั้นก็มิใช่เนื้อคู่ตามชะตาลิขิตของเจ้า ช่วงเวลาที่อยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้มีจำกัด เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นงมงายอยู่อีกเล่า?”


บทที่ 1758 เขาไม่ใคร่ใส่ใจสวรรค์สักเท่าไหร่นะ


กู้ซีจิ่วหรี่ตาเล็กน้อยมองดูเขา หลงโม่เหยียนในยามนี้แผ่อำนาจทั้งหมดออกมาแล้ว รอบกายมีประกายแสงอ่อนจางไหลวนอยู่ เดินเข้ามาหาเธอดั่งทวยเทพเยือนแดนธุลีแดง


จากรูปการณ์เช่นนี้…พลังวิญญาณของเขาสูงส่งยิ่งนัก


ดูท่าเมื่อก่อนเขาคงจะเก็บงำกำลังที่แท้จริงเอาไว้ไม่น้อย…


อ่อ ใช่ เขาบอกว่าเขาตื่นรู้แล้ว หลังจากตื่นรู้แล้วก็คงเก็บงำพลังเอาไว้ต่อ


ฟังจากคำพูดเขาแล้ว เซียนหญิงลี่หวางผู้นั้นไม่อยู่ในสายตาเลย เห็นทีว่าอำนาจของเขาจะเหนือกว่าเซียนหญิงลี่หวางมาก พลังวิญญาณอย่างน้อยก็ขั้นสิบขึ้น!


กู้ซีจิ่วตรวจสอบร่างกายตนเล็กน้อย ยามนี้พลังวิญญาณของเธอยังคงเป็นขั้นสิบ ไม่ได้ถดถอยลง น่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับหลงโม่เหยียนผู้นี้ จุดด้อยเพียงข้อเดียวของเธอคือเธอสูญเสียพลังวิญญาณเพื่อทำลายเขตแดนนั้นมากเกินไป ยามนี้พละกำลังจึงไม่เพียงพออยู่บ้าง


และเห็นได้ชัดว่าหลงโม่เหยียนเตรียมการมาแล้ว สถานที่แห่งนี้ของเขาติดตั้งเขตแดนไว้หมดแล้ว มีผลในการลดทอนพลังยุทธ์ของผู้อื่น


อีกทั้งชานั้นที่เขาให้เธอดื่มก็น่าจะมีปัญหาเหมือนกัน…


พลังลดฮวบลงไปเช่นนี้ ถ้าต้องประมือกันขึ้นมาจริงๆ เธอยึดครองความได้เปรียบใดไม่ได้เลย


กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วมองเขา “เจ้าคิดจะทำอะไร?”


หลงโม่เหยียนเอ่ยตอบ “ซีจิ่ว ข้ารู้ว่าเจ้ายากจะยอมรับข้าได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ไม่เป็นไรหรอก พวกเรายังมีเวลาอยู่ด้วยหัน วันหน้าใต้หล้านี้ก็จะเป็นของข้ากับเจ้า ข้าจะร่วมมือกับเจ้าบริหารจัดการแผ่นดินนี้ อันที่จริงข้ายังมีอีกหนึ่งฐานะ เจ้าคงจะยังไม่ทราบ…”


“ฐานะอันใด?”


“ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์!” ในน้ำเสียงของหลงโม่เหยียนแฝงความภาคภูมิใจไว้รางๆ


เป็นเขาจริงๆ ด้วย!


กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้ม เสียงจอมจู้จี้นั่นเคยเอ่ยถึงตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์กับเธอ…


เธอจ้องมองเขา เงียบงันไร้วาจา


ในเมื่อหลงโม่เหยียนเปิดหัวข้อแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องหลบเลี่ยงอีก “ซีจิ่ว เป็นเพราะพวกเจ้าฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์ ดังนั้นจึงได้รับโทษ เดิมทีเจ้าต้องผ่านไปอีกหลายร้อยปีเจ้าถึงจะคืนชีพได้ เคราะห์ดีที่เทพศักดิ์สิทธิ์องค์ปัจจุบันหวงถูสร้างศาลบูชาให้เจ้า”


“ซ้ำยังปราบปรามความโกลาหลทั่วแผ่นดิน เพื่อภาวนาให้…ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงสามารถฟื้นคืนชีพก่อนกำหนดได้ เพียงแต่ก็ต้องรอไปอีกสามสิบแปดปี ส่วนเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูเหลืออายุขัยอยู่เพียงสามเดือน เขาไม่อาจรอจนเจ้าฟื้นคืนชีพมารับช่วงต่อได้ ดังนั้นเบื้องบนจึงแต่งตั้งให้ข้าเป็นตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ รับช่วงต่อจากหวงถูก่อน ดูแลควบคุมโลกนี้แทนเขา เมื่อเจ้าคืนชีพขึ้นมา ค่อยส่งมอบตำแหน่งเทพศักดิ์สิทธิ์แก่เจ้าอีกครั้ง…”


กู้ซีจิ่วยังคงเงียบงัน ดวงหน้าเฉิดฉายราบเรียบไร้อารมณ์


หลงโม่เหยียนกล่าวต่อไป “และเมื่อไม่นานมานี้ข้าเพิ่งได้รับบัญชาสวรรค์ในความฝัน ทราบถึงเรื่องนี้ ดังนั้นจึงปลีกวิเวกมาอยู่ที่นี่ หนึ่งคือมารอคอยเจ้า สองคือมารอคอยให้เทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูมาหาข้า…ยามนี้เขาน่าจะทราบเรื่องตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วเช่นกัน จะต้องมาหาข้าในไม่กี่วันนี้เป็นแน่…”


ที่แท้เขาก็ทำตัวเป็นเจียงไท่กงอยู่ที่นี่รอให้มัจฉาใหญ่มาติดเบ็ดตน!


กู้ซีจิ่วยิ้มเย็นๆ “เจ้าทราบได้อย่างไรว่าเขาจะมาหาเจ้า? เท่าที่ข้าทราบมา เขาไม่ใคร่ใส่ใจสวรรค์สักเท่าไหร่นะ…”


หลงโม่เหยียนยิ้มน้อยๆมองดูเธอ “ใช่หรือ?”


หัวใจกู้ซีจิ่วพลันบีบรัดแน่น!


ปกติแล้วตี้ฝูอีมักจะฝ่าฝืนวิถีสวรรค์จริงๆ แต่หากว่าสวรรค์นำเธอมาข่มขู่ล่ะ?!


เบื้องหน้าคล้ายจะปรากฏสภาพของตี้ฝูอีที่ได้เห็นในครั้งสุดท้ายขึ้นมา อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว สามารถเป่าขลุ่ยเพื่อสังขารซากหนึ่งทั้งคืนได้…


หัวใจปวดร้าวขึ้นมาในทันใด! กระบอกตาร้อนผ่าว


คนโง่งมผู้นั้น! เพื่อเธอแล้วไม่ว่าเรื่องใดเขาล้วนทำได้ทั้งหมดจริงๆ!


หลงโม่เหยียนเห็นนางไม่พูดอะไร ทว่าเบ้าตากับแดงก่ำน้อยๆ ไม่ทราบว่านางคิดสิ่งใดอยู่ แต่สิ่งที่สามารถทำให้นางอารมณ์ปรวนแปรได้ถึงเพียงนี้ บนโลกนี้คล้ายว่าจะมิมีผู้อื่นแล้ว…


แววตาเขาหม่นหมองแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็ชี้ไปที่ขอบฟ้า “ซีจิ่ว เจ้าดูสิ”


——————————————————————–


บทที่ 1759 สิ่งที่เรียกว่าคู่สวรรค์สรรสร้าง


กู้ซีจิ่วเหลือบมองแวบหนึ่ง เห็นเพียงดวงตะวันสีแดงกำลังลาลับขอบฟ้าเหลือให้เห็นเพียงครึ่งดวงเท่านั้น แสงอัสดงดั่งซี่กรง รอบข้างเหลืองเพียงแสงตะวันรอนพราวระยับ


หลงโม่เหยียนถอนหายใจเบาๆ “ดวงตะวันลับขอบฟ้างดงามไร้ใดเทียม แต่จมลับไปในชั่วพริบตาเดียว เฉกเช่นเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถู เหตุใดเจ้าต้องอาวรณ์ด้วยเล่า? ส่วนข้ากับเจ้ากลับเป็นอาทิตย์รุ่งอรุณ อยู่ในช่วงที่ค่อยๆ ทะยานขึ้นมา เจิดจรัสกว่าตะวันลับขอบฟ้ามากนัก…”


ในมือกู้ซีจิ่วหมุนกิ่งไผ่อ่อนก้านหนึ่งอยู่ ไม่เอ่ยวาจา ฟังเขารำพึงรำพันอยู่ที่นี่ดั่งนักกวี


กิ่งไผ่ก้านนั้นอ่อนจริงๆ อ่อนจนสามารถคั้นน้ำออกมาได้ หยาดน้ำสีเขียวอ่อนหยดจากกิ่งไผ่อ่อนของเธอ…


“ซีจิ่ว วิหคที่ดีจะรู้จักเลือกกิ่งไม้พำนักนอน การเลือกคู่ครองก็เช่นกัน หากเจ้าติดตามข้า วันหน้าพวกเราสามีร้องภรรยารับ บริหารจัดการใต้หล้าร่วมกัน กลายเป็นยอดคนอันดับหนึ่งของโลกนี้ อยู่ร่วมกับทุกเมื่อเชื่อวัน ครองคู่โบยบิน นั่นสิถึงจะใช่คู่สวรรค์สรรสร้าง…” หลงโม่เหยียนเริ่มวาดฝันอนาคตอันงดงามแก่นาง


กู้ซีจิ่วผินหน้ามองเขา “เจ้าบอกว่าสามีร้องภรรยารับงั้นรึ? บริหารจัดการร่วมกันงั้นรึ? ดูเหมือนเทพศักดิ์สิทธิ์ตัวจริงจะเป็นข้านะ ส่วนเจ้าเป็นเพียงตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งนภาไร้สองตะวัน ปวงประชาไร้สองราชัน ถ้าข้ารับช่วงต่อ เจ้ายังจะติดตามไปมีส่วนร่วมได้อีกหรือ?”


หลงโม่เหยียนชะงักไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ซีจิ่ว หากเจ้ากับข้าวิวาห์กัน ก็จะเป็นหนึ่งเดียวไม่แบ่งแยก ใต้หล้านี้เจ้าและข้าก็ดูแลจัดการร่วมกันได้เช่นกัน อีกทั้งเจ้าเป็นเด็กสาว ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยยากถึงเพียงนี้ ต้องให้สามีอย่างข้าช่วยแบ่งเบาภาระของเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าไร้ใจใฝ่อำนาจ ข้าจะช่วยเจ้าจัดการทุกอย่างให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เจ้าเพียงรับเสียงสักการะแซ่ซ้องจากปวงชนก็พอ เรื่องเปลืองแรงเปลืองกำลังก็ให้ข้าทำไป”


ในวาจาของเขาแฝงความประคบประหงมประเภทที่ว่า ‘เจ้ารับผิดชอบเรื่องรูปโฉมงดงามดั่งบุปผา ส่วนข้าจะรับผิดชอบหาเลี้ยงครอบครัว’ เอาไว้ ทว่ากู้ซีจิ่วกระตุกยิ้มมุมปาก


จิตใจมนุษย์มีความละโมบอยู่ ในราชวงศ์เพื่อแย่งชิงอำนาจราชบัลลังก์แล้วสามารถทำให้พ่อลูกตัดขาด พี่น้องแตกแยกได้ สายสัมพันธ์ทั้งหมดเมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจแล้วก็เสมือนเรื่องน่าขันประการหนึ่ง นับประสาอะไรกับตำแหน่งเทพศักดิ์สิทธิ์เล่า!


หลงโม่เหยียนผู้นี้ยังไม่ทันได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการ ก็เริ่มไม่อยากละวางจากอำนาจแล้ว หากว่าตนฟื้นคืนชีพในอีกสามสิบแปดปีให้หลังจริงๆ เกรงว่าตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้จะรุ่งโรจน์เรืองอำนาจแล้ว เมื่อถึงยามนั้นเกรงว่าจะไม่ยอมส่งมอบตำแหน่งให้แล้ว…ไม่ทราบว่าจะเล่นลวดลายออกมามากน้อยเพียงใด! ไม่แน่ว่าเรื่องราวจำพวกสังหารภรรยาเพื่อความรุ่งโรจน์เขาก็อาจทำออกมาได้!


หลงซื่อจื่อผู้นี้คล้ายชนชั้นสูงในโลกภายนอก ที่พอได้กุมอำนาจแล้ว ก็ไม่อาจปล่อยวางได้…


กู้ซีจิ่วตรวจสอบร่างกายดูเล็กน้อย เล่ห์กลในน้ำชาถูกเธอขับออกมาโดยอาศัยการเล่นใบไผ่บังหน้าแล้ว


หลงโม่เหยียนยังคงกล่าววาจาอย่างฉะฉานอยู่ “ซีจิ่ว เจ้าและข้าเป็นคู่ครองที่โชคชะตากำหนดไว้ สวรรค์ประทานวาสนาวิวาห์ให้…”


กู้ซีจิ่วเอ่ยขัดเขาทันที “ชะตาข้าขึ้นอยู่กับข้ามิใช่สวรรค์! ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตากำหนดไว้อันใด! ถ้าข้าชมชอบผู้ใด คนผู้นั้นแหละที่เป็นคู่ครองที่โชคชะตากำหนดไว้ของข้า! แม้ว่าจะได้อยู่ร่วมกับเขาเพียงวันเดียว ข้าก็ขอเพียงแค่ได้อยู่กับเขา! ต่อให้เจ้ามีอายุขัยเทียมฟ้า ข้าไม่ชอบก็คือไม่ชอบ!”


หลงโม่เหยียนคาดไม่ถึงว่าตนพูดอยู่นานสองนาน ไม่น่าเชื่อว่านางจะยังคงยืนกรานดึงดันอยู่ จึงขมวดคิ้วนิดๆ “จนป่านนี้แล้วเจ้ายังไม่เชื่อในลิขิตสวรรค์อีกหรือ?”


“ไม่เชื่อ!” น้ำเสียงกู้ซีจิ่วเด็ดขาดและเยือกเย็น “ข้าเชื่อเพียงว่าขอเพียงอุตสาหะมากพอ มนุษย์ก็สามารถพิชิตสวรรค์ได้! วิถีสวรรค์บอกว่าข้าจะขึ้นชีพในอีกสามสิบแปดปีให้หลัง นี่ข้าก็คืนชีพได้ก่อนกำหนดมิใช่หรือ?”


หลงโม่เหยี่ยนเถียงไม่ออกแล้ว


ประโยคนี้ของกู้ซีจิ่วเป็นการตบหน้ากันยิ่งนัก หลงโม่เหยียนอับจนวาจาไปชั่วขระ


อันที่จริงเขาก็ฉงนยิ่งนักเช่นกัน สรุปแล้วแม่นางผู้นี้ถือกำเนิดมาเช่นใดกันแน่? ไม่น่าเชื่อว่าจะฝืนลิขิตสวรรค์ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นวิถีสวรรค์ไร้ตัวตน…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)