หมอดูยอดอัจฉริยะ 175-190

 175 ผีหลอก (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

                “เจ้านี่ขี้ขลาดเป็นเต่าหดหัวเลย โลกนี้มีผีที่ไหน?”


                ตาแก่อู๋เห็นท่าทางจางม่อเป็นแบบนี้ เขาเดินเข้าไปดูในเรือนด้านหลัง ตาแก่อู่เคยเป็นทหารอินโดจีนเก่าในยุคปี 60 เคยเห็นศพคนตายมามาก มีหรือจะกลัวเรื่องพวกนี้


                “มีผีที่ไหนเล่า? พี่เหยียน พี่กับจางม่อน่ะตาฝาดไปแล้ว?”


                ตาแก่อู๋เดินเข้าไปถึงเรือนด้านหลัง ส่องไฟทั่วไปทั้งลาน นอกจากเสียงลมที่พัดเข้ามาในซุ้มประตูแล้ว ทั้งเรือนก็ไม่มีอะไรผิดปกติ


                “เปล่านะ….ไม่ได้ตาฝาด มีผี มีผีจริงๆ…”


                เสียงสั่นเครือของจางม่อเกือบจะร้องไห้เต็มที เขามองเห็นเต็มตาว่าผีนางในคนสุดท้ายยังยิ้มให้เขาด้วย ดวงหน้าซีดขาวกับปากแดงดุจเลือดนก ชาตินี้เขาคงลืมไม่ลง


                จางม่อพูดยังไม่ทันขาดคำ พี่เหยียนก็เสริมขึ้น “ไม่ผิดหรอก มีผีจริงๆ เป็นผีผู้หญิงห้าตัว ใส่ชุดนางในโบราณ บนหัวยังใส่หมวกด้วย ไม่ ไม่ใช่สิ ไม่ใช่หมวก เป็นทรงผมหวีทรงสูงต่างหาก!”


                “ไม่ใช่ ที่ฉันเห็นน่ะแค่ผีผู้หญิงสามตัว ให้ตายเถอะ หน้ามันซีดอย่างกับอะไร….” คนอื่นๆต่างรุมล้อมเข้ามาใกล้ขึ้นเพื่อแสวงหาความอบอุ่นจากกันและกัน น้ำเสียงของจางม่อไม่ติดขัดเหมือนเมื่อครู่แล้ว


                คนอื่นที่มุงเข้ามาฟังทั้งสองเล่าต่างขนหัวลุกกันเป็นแถว ถ้าหากมีแค่คนเดียวที่บอกว่าเห็นผีก็ว่าไปอย่าง นี่เห็นกันทั้งสองคน ทั้งลักษณะผีที่เห็นยังคล้ายกัน ผู้ที่ฟังอยู่รอบข้างอดเชื่อไม่ได้


                โดยเฉพาะจางม่อและพี่เหยียนปกติแล้วไม่ใช่คนปลิ้นปล้อนกลับกลอก คนหนึ่งหัวร้อนอารมรุนแรงเคยติดคุกมาแล้ว อีกคนเป็นคุณป้าปากร้าย ด้วยนิสัยของทั้งสองถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเองคงจะไม่ตกใจขนาดนี้


                “เรื่องนี้น่าสยองจริงๆ ฉันยังรู้สึกว่าเรือนหลังเย็นผิดปกติ? หรือว่าอากาศจะเปลี่ยนแล้ว?”


                ตาแก่อู๋ที่เดินไปรอบๆเรือนหลัง พอออกมาแล้วรู้สึกขนหัวลุกแปลกๆ อากาศร้อนขนาดนี้แต่เขากลับรู้สึกถึงไอเย็นประหลาด


                “ลุงอู๋ เหล่าหวังคงไม่ใช่เพราะเจอผีหลอกเลยย้ายหนีไปหรอกนะ?”


                “นั่นน่ะสิ อยู่ดีๆก็ขายบ้านทิ้ง ต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่…”


                “ไว้ต้องหาผู้รู้มาช่วยดูให้แล้ว ทำพิธีหน่อยก็คงดีขึ้น…”


                ฟังคำของตาแก่อู๋จบ ชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา จางม่อกับพี่เหยียนตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ พวกเขาเชื่อว่าทั้งสองเห็นผีเข้าแล้ว


                “พ่อ แล้ว….แล้วเราจะทำยังไงกันดี? พี่จางเขาไม่ใช่คนพูดโกหก…”


                ลูกชายคนรองของตาแก่อู๋รูปร่างบึกบึน แต่ใจเสาะเหมือนปลาซิว พอได้ยินทุกคนวิจารณ์กัน ขาทั้งสองของเขาเริ่มสั่น


                บ้านหลังนี้อยู่ในถิ่นวังเก่า ซึ่งเป็นพระราชวังของทั้งราชวงศ์หมิงและชิง พวกขันทีนางกำนันตายไปไม่รู้ตั้งกี่หมื่นกี่แสนคน ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิญญาณที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมออกมาเรียกร้องบ้าง


                “อะไรทำยังไง? มีผีจริงๆที่ไหน แกมันขี้ขลาด ถ้าไปออกรบอย่าตกใจตายเสียก่อนล่ะ?”


                ตาแก่อู๋เขกหัวบุตรชายเข้าทีหนึ่งด้วยความโมโห พูดต่อว่า “ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งสามสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่เคยเจอผีเลย เอาเถอะ พวกนายช่วยกันขนเตียงของฉันไปหน่อย คืนนี้ฉันจะนอนเฝ้าเรือนหลังเอง!”


                ตาแก่อู๋เป็นคนหัวดื้อ เคยออกรบในสมรภูมิมาก่อน ดูท่าคนพวกนี้ต่างเชื่อว่าในเรือนหลังมีผี เขาจึงต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าในโลกนี้ไม่มีผีอยู่จริง


                ลูกชายของตาแก่อู๋กลัวว่าพ่อจะเกิดเรื่อง จึงออกปากเตือน “พ่อ ผมว่าช่างมันเถอะ รอพรุ่งนี้เช้าค่อยไปเชิญนักพรตมาไล่ผีแล้วกัน…”


                “เชิญนักพรตทำไม ถ้ามีผีจริงฉันจะจับมันให้ดู!”


                ตาแก่อู๋ก่นด่าบุตรชายอย่างหัวร้อน บังคับให้บุตรชายขนเอาเตียงที่เขานอนออกไปตั้งไว้ในเรือนหลัง แล้วพูดกับทุกคนว่า “เอาเถอะ แยกย้ายได้แล้ว กลับบ้านไปนอนกันไป…”


                ทุกคนยืนมองตาแก่อู๋เดินเข้าไปในเรือนหลังเพียงลำพัง ความกลัวของพวกเขาก็ค่อยจางลง ถ้าหากมีผีจริง ผีมันต้องมาเอาเรื่องตาแก่อู๋แน่นอน ตอนนี้พวกเขากลับบ้านไปนอนหลับให้สบายได้เสียที


                แต่เมื่อทุกคนแยกย้ายกันกลับไปนอนแล้ว ไม่มีใครนอนหลับดีเลยสักคน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลทางด้านจิตใจหรืออย่างไร หลายคนได้ยินเสียงร้องไห้ลอยมาจากเรือนด้านหลัง จนฟ้าสว่าง คนทั้งเรือนสี่ประสานไม่มีใครนอนตาหลับเลยสักคน


                “ลุงอู๋ ลุง…ลุงเป็นยังไงบ้าง?” ทำไมสีหน้าดูแย่อย่างนี้? ใช่แล้ว เมื่อคืนฉันเหมือนจะได้ยินเสียงร้องไห้ด้วย ลุงได้ยินไหม?”


                เช้าวันรุ่งขึ้น สมาชิกในเรือนสี่ประสานที่นอนไม่หลับลุกขึ้นแต่เช้า เดินไปรับตาแก่อู๋ออกมาจากเรือนหลัง แล้วก็ต้องตกใจ


                เมื่อวานตอนที่ตาแก่อู๋เดินเข้าไปในเรือนหลังสีหน้ายังดูแจ่มใสมีเลือดฝาด แต่ตอนนี้หน้าซีดจนเกือบเขียว สภาพดูแย่ยิ่งกว่าจางม่อเสียอีก ทำให้พวกคนที่เข้าไปใจเต้นไม่เป็นสุข


                “มีเสียงร้องไห้ที่ไหน? แค่รู้สึกหนาวนิดหน่อยเอง ฉันลุกขึ้นมาเอาผ้าห่มต่างหาก…” ตาแก่อู๋พูดไปเอามือคลึงหน้าไป เขาไม่ได้ยินเสียงผิดปกติอะไร แค่รู้สึกหนาวจนต้องตื่นขึ้นมา


                คนอื่นๆกำลังยืนคุยกันอยู่ตรงลานบ้าน เสียงภรรยาของจางม่อร้องขอความช่วยเหลือดังออกมาจากตัวบ้าน  “ลุงอู๋ รีบมาช่วยหน่อยจางม่อเร็ว จางม่อ จางม่อตัวร้อนจี๋เลย…”


                ตาแก่อู๋จับหน้าผากจางม่อ เขาไข้สูงพูดเพ้อด้วย ตาแก่อู๋รีบบอกว่า  “นี่…นี่ตัวร้อนจี๋เลย ไป รีบไปโรงพยาบาลเถอะ…”


                ตลอดทั้งเช้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรือนสี่ประสานทำเอาผู้อยู่อาศัยวุ่นวายกันไปหมด ไม่มีใครนอนหลับได้อย่างสบายใจ แม้แต่ตอนล้างหน้าแปรงฟันยังคอยเบิ่งตามองไปรอบข้างด้วยความหวาดระแวง


                สิ่งที่เหนือความคาดหมายกำลังจะตามมา ตาแก่อู๋กับภรรยาของจางม่อส่งจางม่อไปถึงโรงพยาบาลแล้วยังไม่ได้กลับบ้าน เพราะตัวเขาก็เริ่มมีไข้เหมือนกัน จึงต้องอยู่โรงพยาบาลให้น้ำเกลือต่อ


                เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้อาศัยในเรือนสี่ประสานทุกคนเกิดความหวาดหวั่นใจ พูดกันไปต่างๆนานา บางคนบอกว่าเมื่อวานเขามองเห็นคนรับใช้สาวในจวนท่านอ๋องที่ถูกใส่ร้ายจนตาย บางคนบอกว่ามีวิญญาณที่ไม่เป็นสุขล่องลอยออกมาจากพระราชวังต้องห้าม


                บางคนบอกอีกว่าเมื่อวานข้าวของที่พวกเขาขนออกไปเป็นของใช้ของเหล่าวิญญาณ พอตอนนี้ของถูกย้ายไปหมด เหล่าวิญญาณจึงออกมาติดตามข้าวของที่เคยเป็นของตน ต้องส่งมอบของพวกนี้ไปให้คนอื่นถึงจะหมดปัญหา


                ยิ่งกว่านั้นมีคนบอกว่าที่นี่เป็นประตูนรก เหล่าหวังเป็นยมบาลกลับชาติมาเกิดเขาถึงควบคุมวิญญาณเอาไว้ได้ เมื่อเขาย้ายออกไป พวกผีทั้งหลายจึงหลุดออกมารบกวนชาวบ้าน


                คำโบราณว่าไว้ เรื่องดีๆไม่ค่อยมีใครรู้ แต่เรื่องเสียหายถูกแพร่สะพัดไปไกล เรื่องผีในเรือนสี่ประสานหลังนี้ถูกลือออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงข่าวลือได้แพร่ไปทั่วถิ่นชาววังเก่าละแวกนี้หมดแล้ว


                ป้าใหญ่ที่ตอนเช้าไปเต้นแอโรบิกที่สวนสาธารณะกลับมาถึงถือเอาอาหารเช้าที่ซื้อมาเข้าไปในตัวบ้าน ดึงตัวเยี่ยเทียนที่กำลังจะออกไปเดินเล่นไว้ ถามว่า “เยี่ยเทียน เมื่อวานแกทำอะไรลงไป?”


                “เมื่อวาน? ไม่มีอะไรนี่ครับ? ก็แค่ไปที่บ้านหลังนั้นมาไม่ใช่เหรอ?” เยี่ยเทียนทำหน้าซื่อตาใส


                “ไม่มีอะไรจริงๆเหรอ?”


                หญิงชราจ้องเยี่ยเทียนอย่างจับผิด เธอรู้ว่าเยี่ยเทียนมีวิชาศาสตร์ฮวงจุ้ย ถ้าภายนอกมีข่าวลือเกี่ยวกับผีอาละวาด เธอต้องนึกเยี่ยเทียนขึ้นมาเป็นคนแรก


                “ไม่มีอะไรจริงๆครับ แค่ย้ายของออกจากเรือนด้านหลังจนหมด ป้าใหญ่ ป้าเป็นอะไรไปครับ?” เยี่ยเทียนแอบยิ้มในใจ แต่ไม่แสดงสีหน้าออกมา เขาได้วางค่ายกลเอาไว้ แน่นอนว่าต้องรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น


                “เฮ้อ เมื่อวานเกิดเรื่องผีออกอาละวาด เช้านี้มีสามคนที่เข้าโรงพยาบาลไปแล้ว เสี่ยวเทียน นี่ไม่ใช่ฝีมือแกหรอกใช่ไหม?” หญิงชรามีลางสังหรณ์บางอย่างที่บอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเยี่ยเทียนแน่นอน


                นอกจากตาแก่อู๋กับจางม่อแล้ว พี่เหยียนจอมปากร้ายนั่นก็ถูกส่งตัวตามไปที่โรงพยาบาลเช่นกัน ภายนอกข่าวลือยิ่งรุนแรงขึ้น เช้านี้ถึงกับมีคนไปแจ้งความที่สถานีตำรวจแล้ว


                เยี่ยเทียนยิ้มแห้ง “ป้าใหญ่ เมื่อวานผมกลับเข้ามาที่บ้านเลย ไม่ได้ไปทำอะไรต่อ? ผมคงไม่ถึงขนาดออกไปดึกๆดื่นๆเพื่อแกล้งหลอกผีให้คนตกใจเล่นหรอกนะครับ?”


                “ก็จริงอย่างที่หลานว่า แต่เสี่ยวเทียน ที่นั่นถ้ามีผีเข้าจริง แล้วเราจะซื้อบ้านผีสิงเหรอ?” หญิงชรากังวลใจในข้อนี้ ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีไปเลย


                “ป้าใหญ่ รอให้คนพวกนั้นย้ายออกไปก่อน ผมค่อยไปที่อารามเมฆขาวเชิญนักพรตมาทำพิธีก็จบแล้ว….” เยี่ยเทียนยิ้มออกมา เขาเดาได้ว่าผู้พักอาศัยจะต้องไปเชิญไม่พระสงฆ์ก็นักพรตมาแน่


                แต่สถานที่แห่งนั้นเป็นแหล่งรวมของพลังอินหยาง นักพรตหรือพระสงฆ์ทั่วไปไม่อาจแก้ไขได้


ส่วนเรื่องกระถางต้นไม้ เยี่ยเทียนยิ่งไม่ต้องกังวล เพราะเขาใช้มันวางค่ายกลตามวิชาที่สืบทอดมาจากอาจารย์ นอกจากลูกศิษย์สำนักเสื้อป่านแล้ว คนนอกไม่มีทางล่วงรู้ได้


                หญิงชราไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่พูดว่า “ไม่ใช่ฝีมือของหลานถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหลานเข้าไปที่บ้านนั้นดูหน่อย อย่าให้คนเข้าตำหนิเอาได้…”


                หญิงชราไม่ได้เอ่ยลอยๆ เธอกลัวว่าคนอื่นจะสงสัยในตัวหลานชายของเธอ ถ้าบอกว่าเรื่องนี้เยี่ยเทียนเป็นคนก่อนั้นฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ เพราะเมื่อวานเยี่ยเทียนปฏิบัติต่อพวกเขาดีมาก


                “ครับ ป้าใหญ่ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”


                เยี่ยเทียนพยักหน้า รับเอาถุงน้ำเต้าหู้กับซาลาเปาจากมือหญิงชรา เดินไปกินไปมุ่งสู่เรือนสี่ประสานหลังใหม่ของตน


                “ค่ายกลพิฆาตเก้าอินนี่รุนแรงไม่น้อย!”


                พอก้าวเข้าปากประตูเรือน เยี่ยเทียนรู้สึกได้ถึงพลังพิฆาตที่พุ่งเข้าใส่ แน่นอนว่าเยี่ยเทียนค่อนข้างรับสัมผัสจากพลังฟ้าดินได้ดี ถ้าเป็นคนธรรมดาคงจะไม่รู้สึก


                “เสี่ยวเยี่ย นายมาแล้วเหรอ?”


                ผู้อยู่อาศัยเห็นเยี่ยเทียนมาถึงสีหน้าดูแปลกประหลาด เมื่อวานเขาเพิ่งจะซื้อบ้านไป วันนี้ก็มีผีออกมาอาละวาดแล้ว ใครได้พบเจอเหตุการณ์แบบเยี่ยเทียนคงจะต้องรู้สึกว่าเขาช่างโชคร้ายเสียจริง


                “ซ้อหลี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน? แล้วตำรวจเขามาทำอะไร?”


                เยี่ยเทียนเห็นว่านอกจากพวกผู้อยู่อาศัยยังมีผู้อำนวยการหม่าที่เขาเคยพบ กำลังพาตำรวจในเครื่องแบบคนหนึ่งเดินสำรวจรอบเรือนด้านหลัง


                “อย่าพูดเลย เมื่อวานโดนผีหลอกน่ะสิ!”


                ซ้อหลี่ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ พลางชี้ไปที่ผู้อำนวยการหม่าพูดว่า “ผู้อำนวยการหม่า คุณไม่ใช่เจ้าของบ้าน? เขานี่แหละเจ้าของบ้าน”


                “เอ๋ หนุ่มน้อย ฉันเหมือนเคยเจอนายที่ไหนมาก่อน?”


                หม่าผิงมองดูเยี่ยเทียนแล้วนิ่งไปชั่วครู่ ความจริงแล้วเขายังจำนักศึกษาชายคนนั้นได้อย่างแม่นยำ แต่ตอนนี้เส้นผมของเยี่ยเทียนเปลี่ยนเป็นสีขาวทั้งหัว ทำให้ผู้อำนวจการหม่าไม่แน่ใจนัก


                “ผู้อำนวยการหม่า ป้าใหญ่ของผมคือเยี่ยตงหลัน เมื่อสองปีก่อนเราเคยพบกันครั้งหนึ่ง….” เยี่ยเทียนเอ่ยออกไปตามตรงอย่างไม่ปิดบัง


176 ผีหลอก (3)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เธอ…เธอชื่อเยี่ยเทียนล่ะสิ?นี่…เส้นผมของเธอทำไมเป็นแบบนี้ไปได้?”


เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนเอ่ยถึงเยี่ยตงหลัน ก็นึกได้ว่าตอนนั้นที่เขาออกจากเรือนสี่ประสานนั้น เขาได้ติดต่อธุระกับพวกเยี่ยตงผิงหลายครั้ง แต่ช่วงนั้นเยี่ยเทียนกลับภูเขาเหมาซานไปแล้ว จึงไม่ได้พบกันอีก


เทียบกับเมื่อสองปีที่แล้ว ความเปลี่ยนแปลงของเยี่ยเทียนก็คือเส้นผมสีดำขลับ แม้จะรู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้หน้าคุ้น  แต่ผู้อำนวยการหม่ายังไม่กล้าทักทาย


“ผู้อำนวยการหม่า ผมคือเยี่ยเทียน ส่วนเส้นผมของผม….เพราะว่ามีผู้ใหญ่ในครอบครัวเสียชีวิตไป จึงเสียใจเกินเหตุทำให้เป็นแบบนี้…”


เยี่ยเทียนจำได้ว่าเมื่อก่อนป้าใหญ่เคยให้กาารสนับสนุนผู้อำนวยการหม่า ความสัมพันธ์กับบ้านเยี่ยจึงถือว่าสนิทชิดเชื้อ และไม่มีอะไรปิดบังต่อกัน ส่วนเรื่องสีผมของเขา ถ้ามองในมุมของคนทั่วไปคงอธิบายได้เพียงเหตุผลนี้อย่างเดียว


คำบอกเล่าของเยี่ยเทียนทำให้ตำรวจที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผู้อำนวยการหม่ามองเยี่ยเทียนด้วยสายตาอ่อนลง ความเสียใจต่อการจากไปของคนในครอบครัวจนทำให้เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีขาวทั้งหัว จิตใจของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่เลวเลย


พอทราบถึงสถานะของเยี่ยเทียน ผู้อำนวยการหม่าชี้ไปที่ตำรวจที่มาด้วยแล้วพูดว่า “เยี่ยเทียน ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จักกับเจ้าหน้าที่อู๋จี๋ เป็นหัวหน้าสถานีตำรวจในเขตของเรา เขามีเรื่องจะถามเธอหน่อย…”


อายุของผู้กำกับอู๋ยังไม่มาก ดูแล้วประมาณยี่สิบแปดยี่สิบเก้าปี เขาเคยเป็นตำรวจสืบสวนประจำเมือง ถึงอายุยังน้อย แต่ก็เคยทำคดีสืบสวนมาแล้วไม่น้อย ท่าทางภูมิฐานมีแววเด็ดขาดน่าเกรงขาม


“เจ้าหน้าที่อู๋ มีธุระอะไรหรือครับ?” เยียเทียนมีแววตื่นตระหนก สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที


ท่าทางของเยี่ยเทียนในสายตาของคนทั่วไปดูออกจะตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ในสายตาของผู้กำกับอู๋ถือเป็นเรื่องปกติ


ตำรวจเป็นตัวแทนของผู้รักษากฎหมาย ชาวบ้านทั่วไปไม่ค่อยได้ติดต่อสัมพันธ์กับตำรวจ จึงรู้สึกหวาดเกรง เปรียบได้กับตอนเรียนหนังสือ เมื่อถูกคุณครูซักถาม ก็รู้สึกเครียดเหมือนกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าไปทำอะไรผิดมา


อู๋จี๋เคยเข้าฝึกอบรมด้านจิตวิทยาในผู้ต้องหาเมื่อเห็นลักษณะท่าทางของเยี่ยเทียนแล้วตัดเยี่ยเทียนออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัยทันที


“เยี่ยเทียน ไม่ต้องตื่นเต้น ผมแค่อยากถามอะไรหน่อย…”


ตอนนี้พระอาทิตย์เลยเส้นขอบฟ้าขึ้นมาแล้ว ยืนอยู่ใต้แสงแดดออกจะร้อนไปสักหน่อย ผู้กำกับอู๋มองไปรอบๆ ชี้ไปที่โต๊ะหินใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงสวนด้านหน้า บอกว่า “ไป เราไปคุยกันตรงนั้น….”


เมื่อทุกคนนั่งลงบนม้าหินแล้ว ผู้กำกับอู๋เปิดสมุดบันทึกในมือ ถามต่อ “เยี่ยเทียน เธอได้ซื้อเรือนสี่ประสานหลังนี้ไว้หรือ?”


เยี่ยเทียนพยักหน้า ตอบว่า “ใช่ครับ ซื้อไปแล้วครับ เมื่อวานเพิ่งเริ่มทำเรื่องโอนย้ายเสร็จ…”


“ถ้างั้นเมื่อคืนวาน เธอได้มาที่บ้านนี้ไหม?” ผู้กำกับอู๋ถามต่อ ดวงตาจ้องเขม็งที่เยี่ยเทียน


“มาครับ ผมให้คนของบริษัทย้ายบ้านมาขนเอาของที่ลานด้านหลังออกไป…”


เยี่ยเทียนเปิดเผยชัดเจนและสบตาตอบผู้กำกับอู๋กลับไป พลางมองไปรอบด้าน ลดเสียงลงพูดว่า “ทางเข้าเรือนด้านหน้า เรือนกลาง และเรือนด้านหลังเดิมทีนั้นเชื่อมต่อกัน แต่บ้านสองหลังด้านหน้ามีคนอาศัยอยู่แล้ว ผมอยากจะทำประตูด้านหลังเพื่อเปิดเป็นโรงแรมเล็กๆ แบบนี้….ไม่ผิดกฎหมายใช่ไหมครับ?”


“ไม่ผิดกฎหมายหรอก ถ้าจะปรับปรุงเป็นโรงแรม เธอก็ไปที่สำนักงานที่เกี่ยวข้องทำเรื่องได้เลย พวกเราไม่ได้รับผิดชอบเรื่องนี้…”


การเป็นผู้กำกับ เขาก็ยังเคยเข้าไปประนีประนอมกับผู้อยู่อาศัยที่ไม่ยอมย้ายออกหลายคราว ซึ่งไม่ค่อยจะได้ผลสักเท่าไหร่ ตอนนี้ถูกเยียเทียนถามขึ้นมา ผู้กำกับอู๋อดกระอักกระอ่วนเป็นไม่ได้


“อย่างนั้นก็ดี….” เยี่ยเทียนรู้สึกหายใจหายคอคล่องขึ้น


“นี่ ผมอยากจะถามอะไรหน่อย?”


เมื่อถูกเยี่ยเทียนขัดจังหวะ เจ้าหน้าที่อู๋เสียสมาธิ หยุดคิดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องจะถามคุณ เยี่ยเทียน พอคุณออกจากบ้านนี้ไปแล้ว ได้กลับมาอีกไหม?”


ความจริงแล้ววันนี้ตั้งแต่เช้าได้มีคนในครอบครัวหนึ่งไปแจ้งความที่สถานี พอดีกับช่วงที่ผู้กำกับอู๋เข้าเวรอยู่จึงรีบรุดมา จากการพิจารณาสถานที่เกิดเหตุแล้ว เขาเชื่อว่าที่นี่จะต้องมีคนแกล้งหลอกผีทำให้คนอื่นตกใจ


เมื่อวิเคราะห์ตามแนวคิดนี้ เจ้าของที่เพิ่งเข้ามาใหม่อย่างเยี่ยเทียนเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด ถึงแม้เยี่ยเทียนไม่ได้มา ผู้กำกับอู๋ก็ต้องไปหาเขาอยู่ดี


แต่เมื่อได้พบกับเยี่ยเทียนแล้ว ผู้กำกับอู๋ลดระดับความน่าสงสัยของเยี่ยเทียนลงไปอยู่ต่ำสุด เด็กหนุ่มที่อายุเพิ่งจะยี่สิบ เกรงว่าไม่น่าจะมีเล่ห์กลอะไรมากมาย?


“เปล่านะครับ?เมื่อวานพอออกไปจากที่นี่ผมก็กลับบ้านไปนอนเลย…”


ท่าทางเยียเทียนร้อนรน พอตอบจบสีหน้าก็ปรากฏความเคร่งเครียดขึ้นทันใด “ผู้..ผู้กำกับอู๋ คุณหมายความว่าอย่างไร?เมื่อวานผมไม่ได้มาที่นี่ เรื่องผีอะไรนั่นไม่เกี่ยวกับผมสักนิด!”


“เธอรู้เรื่องผีด้วยเหรอ”


ผู้กำกับอู๋รู้สึกประหลาดใจ แต่เรื่องผีนี้ได้ลือกันไปทั่วแล้วเกือบทุกคนที่อยู่ในเรือนสี่ประสานต่างรู้กันหมด เยี่ยเทียนไม่รู้สิแปลก


“ป้าใหญ่บอกตอนผมเพิ่งตื่นนอน แกให้ผมมาดู มี….มีผีจริงๆเหรอ?” เยี่ยเทียนละล่ำละลักถาม


ผู้กำกับอู๋โบกมือ กล่าวต่อ “ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องไปเชื่อข่าวลือ เยี่ยเทียน ไม่มีอะไรแล้ว คุณกลับไปเถอะ….”


ถึงจะแน่ใจแล้วว่ามีคนกลั่นแกล้ง จากการถามลองเชิงเมื่อสักครู่ ผู้กำกับอู๋ยังไม่สามารถหาเบาะแสสำคัญอย่างอื่นได้


ตอนนี้สิ่งที่ผู้กำกับอู๋ต้องทำคือทำให้ความหวดกลัวเรื่องผีสางคลายไปจากใจของผู้คน ในเมื่อหมดความสงสัยในตัวเยี่ยเทียนแล้ว เขาจึงไม่อยากเสียเวลาอีก


“ผม…ผมขอเข้าไปดูข้างในได้ไหม?” เยี่ยเทียนถามอย่างระมัดระวัง


ผู้กำกับอู๋ได้ฟังก็หัวเราะออกมา “ได้แน่นอน ที่นี่เป็นบ้านของเธอนะ เยี่ยเทียน ไม่ต้องรู้สึกกดดันขนาดนั้น เรื่องนี้ต้องมีคนกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน เธออยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ…”


“โธ่โว้ย ทำไมเข้าไปแล้วรู้สึกวังเวงน่ากลัวจัง?”


เยี่ยเทียนผงกศีรษะ เดินเข้าไปในเรือนด้านหลัง ยังไม่ถึงห้าวินาทีก็รีบวิ่งออกมา สีหน้าตื่นตระหนก สบถคำหยาบ


“เอาล่ะ อย่าพูดซี้ซั้ว วังเวงที่ไหน รีบกลับบ้านไปซะ เราจะจับหาตัวคนร้ายให้ได้โดยเร็ว…”


ได้ยินเสียงร้องของเยี่ยเทียน ผู้กำกับอู๋หน้าตึงขึ้นมา ที่จริงแล้วเขารู้สึกเหมือนกันกับเยี่ยเทียน ตอนที่ผู้กำกับอู๋เข้ามาในสวน ก็รู้สึกเย็นวาบขนลุกไปทั้งตัว


“ครับ ผู้กำกับอู๋ ผู้อำนวยการหม่า ผมกลับละ หากทั้งสองท่านมีธุระอะไรไปหาผมที่บ้านนะ…”


เยี่ยเทียนผยักหน้าตอบรับ มองไปรอบลานบ้านด้วยแววตาหวาดหวั่น บ่นพึมพำ “เฮี้ยนจริงๆ กลางวันแสกๆ ทำไมข้างในถึงเย็นได้ปานนั้น?”


เสียงบ่นของเยี่ยเทียนถึงจะไม่ดังมาก แต่ทั้งผู้กำกับอู๋และผู้อำนวยการหม่ายังมีชาวบ้านหลายคนรอบข้างต่างได้ยิน อย่างชัดเจน หน้าเปลี่ยนสีไปตามๆกัน


ผู้กำกับอู๋ไม่สามารถตอบคำถามของเยี่ยเทียนได้ ผู้อยู่อาศัยคนอื่นในบ้านต่างก็แน่ใจว่าเป็นผีหลอก ตำรวจมาก็ไม่ช่วยอะไร?


“ผู้กำกับอู๋ เรื่องนี้ คุณต้องรีบสืบให้ชัดเจนโดยด่วน ไม่อย่างนั้น…พวกเราจะกล้าอยู่ต่อเหรอ?”


เยี่ยเทียนยังไม่ทันออกไป ผู้อาศัยหลายคนเข้าไปล้อมผู้กำกับอู๋เอาไว้ เมื่อมีเรื่องเดือดร้อนต้องหาตำรวจ ประโยคนี้สามารถใช้ได้ดีก็ตอนนี้


“ที่นี่ไม่ใช่ที่ของพวกคุณแต่แรกอยู่แล้ว…” ผู้กำกับอู๋แอบไม่พอใจ พูดออกมาว่า “ทุกคนไม่ต้องกลัว ในโลกนี้ไม่มีผี คืนนี้ผมจะมาอยู่ที่นี่ เพื่อดูว่าใครกันแน่ที่ปั้นเรื่องหลอกตาเรา!”


                “คุณจะอยู่ที่นี่? เง็กเซียนฮ่องเต้มาอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์!” เยี่ยเทียนที่เพิ่งเดินออกประตูไป ได้ยินเสียงลอยมาจากในสวน ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา


ฮวงจุ้ยในพระราชวังต้องห้ามนั้นดีเยี่ยม แต่ยังมีสถานที่ที่กระแสพลังพิฆาตไปรวมตัวกันอยู่ เพียงแค่ถูกผู้มีวิชาอาคมควบคุมไว้ให้อยู่ในที่หนึ่ง เหมือนกับตำหนักเย็นตำหนักฉางชุนที่คุมขังสนมนางในเอาไว้ คือตำแหน่งที่ใช้สำหรับกักเก็บพลังพิฆาต


ตอนนี้เยี่ยเทียนได้เปิด “ประตูผี” ระบายเอาพลังพิฆาตที่สะสมไว้สี่ห้าร้อยปีในพระราชวังต้องห้ามออก ถ้าหากเป็นหมอดูฮวงจุ้ยขี้ขลาดคนอื่น คงจะตกใจตายไปแล้ว


วิธีของเยี่ยเทียหากต้องการระบายพลังงานพิฆาตให้หมดไป น่าจะต้องกินเวลาสักเดือนสองเดือน อย่าว่าแต่ตำรวจเลย ต่อให้อาจารย์ฟื้นคืนชีพขึ้นมา อาศัยแค่ช่วงเวลาสั้นๆก็ยังทำอะไรไม่ได้


ส่วนที่เป็นผีหลอกนั้น ความจริงก็คือพลังพิฆาตที่เกิดเป็นรูปร่างขึ้น


คนทั่วไปเมื่อพูดถึงผีสางเทวดา มักจะพูดว่าถ้าเชื่อก็มี ถ้าไม่เชื่อก็ไม่มี คำกล่าวนี้หมายถึงผีสางที่มนุษย์ทั่วไปต่างก็วาดภาพจินตการขึ้นในใจตน


สถานที่ที่พลังงานพิฆาตสะสมอยู่นั้น พลังงานชั่วร้ายจะรบกวนกระแสความคิดของคนปกติ ผู้ที่เชื่อว่ามีผีจริง จะเกิดภาพลวงตาขึ้นในสมอง จึงเชื่อว่า”เห็น”ผีจริงๆ


เหมือนพี่เหยียนเมื่อวาน ก็เป็นเพราะเหตุนี้ ในสมองของเธอจึงสร้างภาพเงาของผีนางใน ทำให้ตัวเองเห็นภาพหลอน


คนที่ตามออกมาคือคนแซ่จาง ก็ได้รับอิทธิพลจากคำพูดของพี่เหยี่ยน ตอนนั้นคงคิดถึงเรื่องของนางในอยู่ ดังนั้นเมื่อได้รับพลังพิฆาต จึงเกิดภาพหลอนเช่นเดียวกันกับพี่เหยียน


แต่จิตของตาเฒ่าอู๋ค่อนข้างเข้มแข็ง ไม่เชื่อเรื่องผีมาก่อน ดังนั้นพลังพิฆาตจึงไม่ทำให้เขาเกิดภาพหลอนได้ ในสถานการณ์เดียวกัน คนแซ่จางก็จะมองเห็นภาพที่ไม่เหมือนกัน


สหายบางคนเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้อาจไม่เข้าใจ คนที่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้จะถูกคุกคามได้ แต่ตาเฒ่าอู๋เคยออกรบฆ่าทหารฝ่ายตรงข้ามมาก่อน เขาจึงไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ทำไมยังมีไข้สูงถึงขั้นนอนโรงพยาบาลเล่า?


ถ้าพูดถึงจุดเด่นข้อที่สองของพลังพิฆาตแล้ว นอกจากจะทำให้คนจิตอ่อนเกิดภาพหลอนแล้ว พลังพิฆาตยังเป็นภัยต่อร่างกายมนุษย์อีกด้วย


ความเย็นยะเยือกของพลังพิฆาตเมื่อเข้าไปในร่างกายแล้ว ทำให้อินหยางเสียสมดุล เกิดอาการหนาวสั่นจากการพร่องของพลังหยาง ไม่ต่างกับคนที่มีอาการไข้หวัดหลังจากโดนความเย็น เป็นหลักการเดียวกัน


ตาเฒ่าอู๋ไม่กลัวผีสางเทวดา ย้ายเข้าไปอยู่ในสวนด้านหลังเพียงคนเดียว แม้แต่ผ้าห่มก็ยังไม่เอาไป พลังพิฆาตมหาศาลจึงเข้าสู่ร่างกาย อย่าว่าแต่ตาเฒ่าอู๋ที่อายุปาเข้าไปห้าหกสิบปีเลย คนหนุ่มสาววัยยี่สิบกว่าซึ่งมีพลังหยางล้นเหลือ ยังทนไม่ไหว


177 ยิ่งลือยิ่งแรง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่ว่าผู้กำกับอู๋จะสืบสวนคดีผีหลอกนี้อย่างไร เขาก็ไม่สามารถลบล้างพลังพิฆาตในเรือนสี่ประสานแห่งนี้ได้ อีกทั้งพลังพิฆาตจะสะสมมากขึ้นเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆตามเวลา


ขอแค่มีพลังพิฆาตอยู่ เรื่องผีสางนั้นยังจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่คนที่ไม่กลัวผีหากอาศัยอยู่ไปนายเข้า ภูมิคุ้มกันก็จะต่ำลง เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา


ไม่ใช่ว่าเยี่ยเทียนจะมีจิตใจโหดร้าย แต่เพื่อจะขับไล่พลังชั่วร้ายที่ถูกปล่อยออกมาจากพระราชวัง จึงต้องใช้ค่ายกลพิฆาตพลังเก้าอิน และค่ายกลที่เขาตั้งขึ้นนี้  เขาคิดว่าเป็นค่ายกลที่นุ่มนวลที่สุดแล้ว


เพราะเหตุนี้ เยี่ยเทียนถือว่าใจดีมากแล้ว หมอดูฮวงจุ้ยแต่โบราณมาไม่ยอมเสียเปรียบให้ใคร ถ้าเป็นหมอดูฮวงจุ้ยคนอื่นอาจจะไม่ได้ใช้แค่ค่ายกลพิฆาตพลังเก้าอิน แต่จะใช้ค่ายกลที่รุนแรงถึงขั้นเอาชีวิตคนได้


ถอนตัวจากเรื่องนี้ได้ เพื่อหลีหนีจากความวุ่นวาย เยี่ยเทียนจึงหลบอยู่แต่ในบ้านทั้งวัน พอตกค่ำ ผู้อำนวยการหม่ามาหาเขาถึงบ้าน


เมื่อมองเห็นอดีตลูกน้องของตนใกล้เข้ามา เยี่ยตงหลันถามออกไปตรงๆ “เสี่ยวหม่า สืบได้เรื่องอะไรไหม?มีผีจริงๆหรือเปล่า?”


เรื่องผีหลอกในเรือนสี่ประสานหญิงชราทั้งรู้สึกเครียดปนเปกับความดีใจ เมื่อหายดีใจก็เริ่มกังวลขึ้นมาครั้ง ความรู้สึกสับสนปนเปไปหมด


ในบ้านจะมีผี ก็ถือว่าให้บทเรียนกับพวกผู้อาศัยที่ไม่ยอมออกเสียบ้าง แต่สุดท้ายบ้านหลังนี้ต้องตกเป็นของเยี่ยเทียน ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป คงไม่มีใครกล้าเข้ามาอยู่ เงินเจ็ดแสนของเยี่ยเทียนเท่ากับสูญเปล่า


“อดีตผู้อำนวยการ ทำไมถึงเชื่อข่าวลือนั่น?” ผู้อำนวยการหม่าพอได้ยินคำทักท่ายของหญิงชราก็ได้แต่ยิ้มแหย  ผ่านไปทั้งวัน ข่าวลือเรื่องผียังไม่สงบลง แต่ยิ่งลือยิ่งร้ายแรงขึ้น


เพื่อลดผลกระทบจากเรื่องนี้ ตำรวจประจำเมืองตลอดถึงนักสืบผู้เชี่ยวชาญ ได้สอบสวนจากพนักงานบริษัทขนย้าย ที่มาเมื่อวาน แต่ยังไม่ได้เบาะแสอะไร


 ผู้อำนวยการหม่าเป็นผู้ดูแลเขตนี้ จึงยุ่งอยู่ทั้งวัน นอกจากจะนำเจ้าหน้าที่ตำรวจไปสัมภาษณ์ผู้อยู่อาศัย บริเวณใกล้เคียง ยังต้องไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมพวกคนแซ่จาง ยังไม่ได้หยุดพักผ่อนแม้แต่น้อย


“เสี่ยวหม่า ข่าวที่คนๆเดียวประกาศออกไป คนร้อยคนเอาไปพูดต่อ เธอต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ รีบค้นหาความจริงออกมาให้เร็วที่สุด ถึงจะทำให้ชาวบ้านวางใจได้…”


เยี่ยตงหลันยืนอยู่ตรงหน้าของหม่าผิง กำลังรู้สึกเหมือนตอนที่ตัวเองเป็นหัวหน้าอย่างไม่รู้ตัว คำพูดท่าทางราวกับกำลังสั่งสอนลูกน้องอยู่


“ผมรู้ แต่อดีตผู้อำนวยการครับ เรื่องนี้ ดูเฮี้ยนหนักมาก…”


พูดถึงตรงนี้ หม่าผิงจึงรู้ตัวว่าพูดผิดไปถอนหายใจออกมา กล่าวต่อว่า “เฮ้อ ทำไมผมถึงพูดออกมาแบบนี้  อดีตผู้อำนวยการครับ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะขอไปสำรวจที่เกิดเหตุเลยอยากจะเชิญเยี่ยเทียนไปด้วย ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นเจ้าของ   บ้าน”


“อะไรนะ?ให้เยี่ยเทียนไป?เสี่ยวหม่า เธอหมายความว่ายังไง?หลานฉันเป็นผู้ต้องสงสัยงั้นหรือ?


หญิงชราขึ้โมโห ได้ฟังเช่นนั้นก็ระเบิดโทสะ “ฉันเอาการเป็นหัวหน้าสี่สิบกว่าปีเป็นประกัน เมื่อคืนเยี่ยเทียนนอนอยู่ที่บ้าน เขาไม่ได้ออกไปก่อเรื่องให้คนพวกนั้นตกใจแน่นอน!”


อดีตผู้อำนวยการ อย่าโมโหสิครับ อย่าโมโหเลยนะครับ”


ผู้อำนวยการหม่าเห็นเหญิงชราโทสะขึ้น รีบโบกมือแล้วพูดว่า”ตำรวจเขาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น พวกเขาแค่อยากเชิญเยี่ยเทียนไปสักครู่ เผื่อตอนจับคนร้ายแล้วทำให้ตัวบ้านเสียหาย เยี่ยเทียนอยู่ด้วยจะได้ทำเรื่องชดใช้…”


ความจริงที่ให้เยี่ยเทียนไปจุดเกิดเหตุด้วยเป็นความต้องการของผู้กำกับอู๋แม้ตอนแรกจะตัดเยี่ยเทียนออกจาก  ผู้ต้องสงสัย แต่เมื่อเป็นเจ้าของบ้าน ผู้มีเหตุผลและแรงจูงใจในการก่อเหตุมากที่สุด


ถ้าวันนี้ยังมีผีออกมาหลอก เยี่ยเทียนอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยก็เป็นการยืนยันว่าเขาไม่เกี่ยวข้อง แต่ถ้าวันนี้เหตุการณ์ปกติ น่าจะต้องลงมือลงแรงที่ตัวเยี่ยเทียนให้มากขึ้น


ปกติผู้อำนวยการหม่าถูกหญิงชราสั่งสอนจนชิน แต่ไม่กล้าพูดตรงๆ ทำได้เพียงหาเหตุผลที่หญิงชราพอรับได้


“ชดใช้อะไร เห็นฉันแก่จนเลอะเลือนหรือ?” หญิงชราชักสีหน้า “ที่นั่นมีผีจะให้เยี่ยเทียนไปทำไม?ตระกูลเยี่ยของฉันมีทายาทเพียงแค่คนเดียวนะ!”


หลายปีมานี้แม้จะได้รับการอบรมแบบพรรคคอมมิวนิสต์แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสืบทอดตระกูลเยี่ยต้องทำให้ชัดเจน เยี่ยตงหลันยังคงยืนกรานที่จะปล่อยวางความเชื่อของตัวเอง เพื่อคุ้มครองปกป้องลูกหลานในครอบครัว


ป้าใหญ่ มันไม่ได้เฮี้ยนขนาดนั้นหรอก?เจ้าหน้าที่ตำรวจก็อยู่ ผมไม่มีต้องกลัว?”


เยี่ยเทียนที่เงียบมาตลอด ตอนนี้ไม่พูดไม่ได้แล้ว ขืนป้าใหญ่ยังยืนยันคำเดิม คนอื่นอาจจะเริ่มสงสัยตัวเขามากขึ้น


อีกอย่างค่ายกลเขาเป็นคนทำขึ้นเอง จะกลัวอะไร ต่อให้พลังพิฆาตรุนแรงกว่านี้ร้อยเท่า ก็ทำอะไรเยี่ยเทียนไม่ได้ เห็นหมอดูฮวงจุ้ยเป็นกระดาษไหม้ๆแผ่นหนึ่งหรือไง?


“ดี ดี เยี่ยเทียน ไปกันเถอะ งั้นพวกเรารีบไปก่อน อดีตผู้อำนวยการ ตอนเที่ยงคืนผมจะพาเยียเทียนมาส่ง…”


เมื่อเยี่ยเทียนเห็นด้วย หม่าผิงก็ยินดี รีบดึงเยี่ยเทียนให้ออกไป ด้วยกลัวว่าอดีตผู้อำนวยการจะเปลี่ยนใจ เพราะเขารู้ว่าหญิงชราอารมณ์ไม่ค่อยดี


ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มสองทุ่มแล้ว ท้องฟ้ามืดลง แต่ในบ้านซื่อเหอย่วนยังติดโคมไฟสว่างไสว นอกจากโคมเดิมที่มีอยู่ ได้มีการวางสายไฟติดตั้งโคมเพิ่มอีกหลายอัน


ในสวนด้านหลังกลับมืดสนิท ไม่มีแสงไฟเลยแม้แต่น้อย ถ้าจะให้เฝ้าจับโจรอยู่ที่นี่ จะต้องแหวกหญ้าให้งูตื่นเป็นแน่


เห็นรูปการณ์แบบนี้ เยี่ยเทียนยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ ค่ายกลที่ตั้งไว้ยังจะหวังให้โจรเข้ามาอีก ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่เยี่ยเทียนที่หลอกตัวเองหรอกหรือ?


ที่จริงเยี่ยเทียนไม่ทราบว่าตำรวจที่มาพยายามเก็บอารมณ์ให้ดูสงบเสงี่ยมไว้ ขอแค่วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เรื่องผีในเรือนสี่ประสานหลังนี้จะหายไปเอง


“เยี่ยเทียนมาแล้วเหรอ นั่งสิ ตำรวจสืบสวนท่านนี้มีอะไรจะถามเธอหน่อย…”เพิ่งเดินเข้าไปในสวนกลาง ผู้กำกับอู๋ก็ยืนขึ้นต้อนรับ


“สวัสดีครับผู้กำกับอู๋ ท่านถามได้เลย ผมจะตอบทุกอย่างที่ผมรู้….” เยี่ยเทียนเดินไปใกล้ตำรวจกลุ่มนั้น ให้ความร่วมมือเต็มที่


เหมือนภาพเดิมฉายซ้ำ คำถามที่ถูกถามล้วนเป็นคำถามที่ผู้กำกับอู๋ถามไปแล้วเมื่อเช้า คำตอบของเยี่ยเทียนเหมือนเดิม ตำรวจคนนั้นจดบันทึกเสร็จ ก็ให้เยี่ยเทียนนั่งลงข้างๆ


เวลาผ่านไปค่อยๆดึกขึ้น วันนี้อากาศไม่ค่อยดี เมฆดำปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า มองไม่เห็นพระจันทร์หรือดาวสักดวง ในสวนแม้จะเปิดไฟสว่าง แต่คนในนั้นกลับยังรู้สึกวังเวง


“ผู้อำนวยการหม่า ที่นี่มีคนเฝ้ากันขนาดนี้ ถ้ามีคนมาหลอกผีจริงแล้วเขาจะปรากฎตัวหรือ?” เยี่ยเทียนเบื่อหน่ายถึงที่สุดจึงหันไปคุยกับหม่าผิง


“เมื่อไม่มีคนแกล้งหลอกผี ข่าวลือเรื่องผีก็เป็นของปลอม เยี่ยเทียน เธอพูดความจริงออกมานะ เมื่อคืนเธอเล่นแกล้งอะไรรึเปล่า?”


ผู้อำนวยการหม่าคือคนที่ป้าใหญ่สนับสนุนขึ้นมา ในใจจึงยังเข้าข้างเยี่ยเทียนอยู่ ถ้าเยี่ยเทียนเป็นคนก่อเรื่องขึ้นจริง เขาก็จะช่วยหาทางไกล่เกลี่ยให้จบไป


เรือนสี่ประสานหลังนี้เป็นสมบัติของเยี่ยเทียน หากเขาอยากจะแต่งตัวเป็นนางในสาวงามอะไรก็ไม่เกี่ยวคนข้างนอก ถ้าไม่ใช่เพราะข่าวลือมันแพร่สะพัดทั้งยังเป็นข่าวลือที่เลวร้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจคงไม่เข้ามายุ่งด้วย


“อย่าปรักปรำผม ผู้อำนวยการหม่า เมื่อวานพวกเขาบอกว่ามีผีสามตัว ผมแค่คนเดียว อยากจะทำแต่ก็ทำไม่ไหว…”


เยี่ยเทียนเรียกร้องความเป็นธรรม  ตำรวจคคนอื่นที่อยู่รอบข้างได้ฟังก็แอบเห็นด้วยอยู่ในใจ


พวกเขาตรวจสอบประวัติของเยี่ยเทียนแล้วทราบว่าเยี่ยเทียนมีเพื่อนอยู่เพียงไม่กี่คนในปักกิ่ง แต่คนเหล่านั้นเป็นคนใหญ่คนโต ไม่มาทำเรื่องเหลวไหลแบบนี้แแน่


“ผู้อำนวยการหม่า ได้ยินว่าผีสาวสามตัวนั้นเป็นนางในทั้งหมดยังสวมชุดชาววังโบราณ ทาลิปสติกด้วย ไม่น่าจะจริงใช่ไหม?”


เสียงของเยี่ยเทียนสั่นเล็กน้อย ค่ำคืนที่เงียบสงัดมีเพียงเสียงลม บรรยากาศออกจะอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ตำรวจหลายคนที่นั่งอยู่รู้สึกเสียวสันหลังวาบเป็นพักๆ


ตำรวจเป็นคนเหมือนกันแม้ไม่กลัวคนชั่ว แต่ไม่แน่ว่าจะไม่กลัวผี คำพูดของเยี่ยเทียนอยู่ๆก็ทำให้พวกเขาขนลุกขึ้นมา


“ทำไมเย็นอย่างนี้ ฉันออกกำลังกายหน่อย!”


ตำรวจที่อายุประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้าลุกขึ้นยืน เดินวนไปรอบๆ “ผมก็รู้สึกหนาวนิดหน่อย…” เยี่ยเทียนลุกตามตำรวจคนนั้น


อีกครึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว คนในสวนทั้งหมดไม่มีใครนั่งติดที่ ที่นี่รู้สึกจะมีความหลอนอยู่ทั่วในอากาศ ลมที่ทะลุผ่านกำแพงเข้ามาฟังเหมือนกับเสียงผีร้องคร่ำครวญ ทุกคนเริ่มกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุข


“เอ๊ะ นั่น…นั่นอะไร?”


เยี่ยเทียนที่เพิ่งเดินไปถึงประตูที่เชื่อมระหว่างเรือนกลางกับเรือนหลัง อยู่ดีก็ค้างนิ่งตัวแข็ง ชี้ไปที่สวนด้านหลัง หน้าซีดเผือด “ผี….ผมเห็นผี ผีผู้หญิง ผีผู้หญิงหกตัว?!!!”


เสียงร้องอย่างหวาดผวาของเยี่ยเทียนทำลายความเงียบในสวน หลายบ้านที่ปิดไฟนอนไปแล้ว ก็เปิดไฟสว่างไปทั่ว


“จริง…จริงๆนะ ห้าตัว ผีผู้หญิงห้าตัว…”


สิ่งที่ทำให้ตำรวจคนอื่นใจเสียก็คือตำรวจอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆเยี่ยเทียนก็มองตาค้างเหมือนกัน เนื้อตัวสั่นยิ่งกว่าเยี่ยเทียนเสียอีก


“บุกเข้าไปเลย!”


สารวัตรตำรวจอีกคนซึ่งไม่เชื่อเรื่องผีตะโกนออกมา คว้าปืนจากสายคาดเอว รีบรุดเข้าไปในเรือนด้านหลัง แต่นอกจากเสียงลมที่พัดอยู่ข้างหูแล้ว เขาก็มองไม่เห็นอะไร


“ลู่ม่อ นายทำบ้าอะไรของนาย?”


เมื่อเปิดไฟในสวนด้านหลังแล้ว สารวัตรคว้าตัวของนายตำรวจที่ตัวสั่นงันงก เรื่องนี้ถ้าใครรู้เข้าจะขายหน้าเอา เป็นตำรวจแท้ๆ ยังจะบอกว่ามองเห็นผีอีก?


นายตำรวจแซ่ลู่ยังไม่หายจากอาการตกตะลึง พูดไม่เป็นคำออกมา “หัว…หัวหน้าหยาง ผม….เมื่อกี้ผมเห็นจริงๆ….”


“เหลวไหล ฉันจะช่วยให้แกตื่นเอง!”


ตำรวจสืบสวนมักจะเป็นคนอารมณ์ร้าย สารวัตรหยางยื่นมือไปหยิบน้ำแร่มาขวดหนึ่ง ราดลงบนหัวของลู่ม่อ นี่ถ้าไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย คงจะตบบ้องหูไปสักฉาดแล้ว


178 เงียบสงบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ราดน้ำแร่ลงบนศีรษะของลู่ม่อแล้ว สารวัตรหยาง ดึงเขาไปที่หน้าประตู พูดเสียงดังว่า “แกพูดให้รู้เรื่อง ผีอยู่ที่ไหน?”


“คือ…คือ สา…สารวัตรหยาง ผม ผมเห็นจริงๆ…”


มองเข้าไปในบ้านแล้วไม่เห็นมีเงาใครสักคน ลู่ม่อตาค้าง แต่เขาแน่ใจว่าเมื่อสักครู่เขาไม่ได้ตาฝาดแน่นอน เห็นผีผู้หญิงใส่ชุดนางในห้าตน ผ่านหน้าประตูไป


ถึงเป็นแค่ชั่วพริบตา แต่ลู่ม่อยังเห็นใบหน้าของผีสาวพวกนั้นอย่างชัดเจน เหมือนกับที่คนแซ่จางเคยบอกไว้ ผีตัวสุดท้ายใบหน้าขาวซีด ปากแดงดุจสีเลือด ถ้าไม่ใช่ผีแล้วจะเป็นอะไรไปได้?


“แกยังจะเถียงอีก?”


สารวัตรหยางโมโหจนอยากลงไม้ลงมือ ตั้งแต่เยี่ยเทียนตะโกนว่าเห็นผี ช่วงเวลาไม่ถึงสามวินาที ในสวนอันว่างเปล่านั้น ไม่มีที่ให้คนซ่อนตัวได้แน่นอน


“สารวัตรหยาง ท่านอย่าเพิ่งโมโห เราออกไปคุยกันข้างนอก…”


ไม่รู้ว่าทำไม ผู้อำนวยการหม่าก็เหมือนจะเห็นเงาคนผ่านไป แต่พอสารวัตรหยางเปิดไฟดวงใหญ่ เงานั้นก็หายไป ทำให้ผู้อำนวยการหม่าชักไม่แน่ใจแล้ว


สารวัตรหยางกลับมาที่เรือนกลาง โบกมือเรียกเยี่ยเทียนที่ยืนตัวสั่นงันงกอยู่ พูดอย่างหงุดหงิดว่า “นาย มานี่ เกิดอะไรขึ้น?เมื่อกี้ร้องโวยวายอะไร?”


“ผม…เมื่อกี้ผมเห็นเงาคนตั้งหลายคน พวกเขาทำผมแบบหวีทรงสูง ปลายสองข้างแหลม สูงตั้งขนาดนี้แหนะ…”


เยี่ยเทียนเล่าพลางทำไม้ทำมือบอกรูปร่าง เขากำลังนึกถึงรูปภาพที่เคยเห็นในพระราชวังต้องห้าม เพราะเยี่ยเทียนรู้ดีว่า ยิ่งเขาอธิบายได้ละเอียดเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น


“ใช่แล้ว ผมก็เห็นเหมือนกัน…”


ลู่ม่อที่”เห็นผี”เหมือนกับเยี่ยเทียน พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนก็ร้องตะโกนขึ้นมา ภาพหลอนในสมองของเขาคือรูปภาพเก่าที่เคยเห็นพระราชวังต้องห้ามเหมือนกัน จึงสอดคล้องก้บสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด โดยที่ไม่ได้เตี๊ยมกันมา


“อะไรนะ?ตำรวจก็เห็นผีด้วย?”


“สวรรค์ มีผีจริงๆด้วย?ไม่ใช่คนปลอมขึ้นมา?”


“ไม่ได้ละ ต้องย้ายบ้าน อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว!”


ตอนนี้ผู้คนมากมายมามุงดูกันอยู่โดยรอบ พวกเขาต่างก็ได้ยินเสียงตะโกนของเยี่ยเทียน ตอนแรกก็ไม่รู้ว่ามีตำรวจที่เห็นผีเหมือนกัน ตอนนี้คำพูดของลู่ม่อทำให้ผู้พักอาศัยต่างกระวนกระวายอยู่ไม่สุข


“แกหุบปากเดี๋ยวนี้!”


สารวัตรหยางอยากจะชักปืนออกมาจัดการลู่ม่อให้รู้แล้วรู้รอด ตำรวจเข้ามาเพื่อจัดการให้เรื่องเงียบลง กลับกลายเป็นว่าลูกน้องของตนดันมาทำให้เรื่องไปกันใหญ่ ทำให้เขาเสียหน้ายิ่งนัก ไม่รู้ว่ากลับไปจะไปรายงานต่อผู้บังคับบัญชาอย่างไรดี


“ทุกคนอย่าตื่นตระหนก กลับเข้าบ้านไปนอนกันได้แล้ว ไม่มีผีอะไรทั้งนั้น ไม่เห็นเหรอว่าพวกเรายังอยู่ดี เมื่อกี้เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเหนื่อยเกินไปจนเห็นภาพหลอน ทุกคนกลับเข้าไปนอนเถอะ…”


“ภาพหลอนอะไร?เมื่อกี้ฉันอยู่ในบ้านยังได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้อยู่เลย…”


“อาซ้อหลี่ ได้ยินจริงเหรอ?ฉันก็ได้ยิน มัน….มันเป็นผีร้ายนะเนี่ย แม้แต่ตำรวจก็ยังไม่กลัว…”


“ไม่ได้ เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว พ่อเอ็ง ไป วันนี้ไปนอนโรงแรม พรุ่งนี้ค่อยหาบ้านแล้วย้ายออก…”


ซ้อหลี่ที่ได้ยินเสียงผีร้องไห้ยังคงมีเสียงผู้หญิงร้องไห้วนเวียนอยู่ในหัว ยิ่งเห็นตำรวจคนนั้นหน้าซีด ในใจยิ่งรับไม่ได้แล้ว ดึงสามีให้รีบเข้าบ้านไปเก็บของ


ที่จริงสารวัตรหยางได้อธิบายสาเหตุของเรื่องผีหลอกอย่างชัดเจนแล้ว แต่ไม่มีใครเชื่อ เวลานี้ความหวดกลัวเกาะกุมหัวใจของผู้อาศัย คำพูดของเขาจึงไร้ประโยขน์


พอมีคนจะย้ายออก คนอื่นๆก็เริ่มจะไม่อยู่นิ่งแล้ว ต่างคนต่างกลับเข้าบ้านเก็บเอาของมีค่าติดตัวไว้ หอบลูกจูงหลานออกไปจากเรือนสี่ประสานไป


เพื่อนบ้านในละแวกนั้นเมื่อรู้ว่าที่นี่เกิดเรื่องขึ้นก็เปิดไฟสว่าง แต่กลับไม่มีใครกล้ายื่นหน้าเข้ามาดู กลัวว่าจะเป็นการชักนำให้ผีมาเข้าบ้านตน เป็นการหาเรื่องใส่ตัวเสียเปล่า?


พอเหตุการณ์เป็นแบบนี้ สารวัตรหยางแทบอยากจะร้องไห้ แต่โบราณมาทุกเรื่องนั้นน่ากลัวที่สุดคือการมีไส้ศึกภายใน ตัวเองอธิบายไปร้อยประโยคยังสู้คำๆเดียวที่ลูกน้องของตนร้องว่า “เห็นผี”ไม่ได้


สารวัตรหยางมาไขคดี แต่ก็ไม่สามารถรั้งชาวบ้านที่จะย้ายออกไปได้ ในเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเรือนทั้งสองหลังด้านหน้าที่เคยมีคนอยู่เต็มก็ว่างลง ผู้อาศัยเจ็ดแแปดครอบครัวออกไปกันหมด


“สารวัตรหยาง ผม…ผม แต่ผมเห็นจริงๆนะ…”


ลู่ม่อรู้ว่าการที่ผู้อาศัยพากันย้ายออกไปหมดเหตุเพราะตัวเอง แต่เขาถูกปรักปรำ ความกลัวที่เกิดขึ้นตอนที่เห็นผีทำให้ประสาทของเขาไม่สามารถควบคุมปากและร่างกายได้ ไม่ได้ฉี่ราดเหมือนคนแซ่จางนั่น ก็ถือว่าประสาทยังแข็งอยู่


สารวัตรหยางเงียบไปนาน ยกมือขึ้นกล่าวว่า “เอาเถอะ แกอย่าพูดเลย ฉันเชื่อแก ตอนนั้นแกต้องเห็นภาพหลอนแน่…”


สารวัตรหยางออกจะเข้าใจลูกน้องคนนี้ดี ปกติตอนไปจับผู้ร้ายก็แสดงความกล้าหาญบุกนำเป็นคนแรกเสมอ ไม่เคยหวาดกลัวเลย ถ้าไม่ได้เห็นเข้าแล้วจริงๆ คงไม่ตกใจขนาดนี้


“สารวัตรหยาง งั้น…เราจะทำยังไงต่อไป?ยังต้องเฝ้าอยู่ที่นี่ไหม?”


ฟังสารวัตรหยางพูดจบ ผู้อำนวยการหม่าก็รุดเข้ามา เขาไม่ได้สังเกตตัวเองเลยว่าตอนที่พูดฟันกระทบกันกึกๆแล้ว


สารวัตรหยางหยุดคิดสักครู่แล้วพูดต่อ “คุณกับเสี่ยวเยี่ยกลับไปก่อนเถอะ อืม ลู่ม่อ แกก็กลับไปด้วย พักผ่อนให้พอ ช่วงนี้แกหักโหมเกินไปแล้ว ฉันกับคนที่เหลือจะอยู่เฝ้าอีกสักหน่อย…”


สารวัตรหยางผู้ไม่เชื่อเรื่องผี ยังคงไม่หวั่นไหว ตอนนี้เขาค่อนข้างแน่ใจว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากฝีมือมนุษย์ เพราะในสวนด้านหลังไม่มีแม้แต่รอยเท้ามนุษย์หรือร่องรอยการจากไปของผู้ใดเลย


ถ้าหากต้องอธิบาย คงจะตอบได้อย่างเดียวว่าผีหลอก สารวัตรหยางเป็นตำรวจสอบสวนมือดี แต่ไม่เคยจับผีนี่ เมื่อเป็นแบบนี้เขาก็จนปัญญา


“งั้น…งั้นผมกลับก่อนนะ”


เยี่ยเทียนรู้ว่าถ้ากลับออกไปอย่างสบายๆ จะต้องเป็นที่สงสัยของคนอื่นแน่ จึงแกล้งพูดติดอ่างว่า “ผู้…ผู้อำนวยการหม่า ท่าน…ท่านช่วยไปส่งผมที่บ้านได้ไหม?”


“ได้ ได้ เรากลับด้วยกัน คนเยอะหน่อยไม่กลัว!”


ไม่ทราบว่าทำไมอยู่ดีๆผู้อำนวยการหม่าก็เอ่ยคำนี้ขึ้นมา พูดจบถึงรู้ตัวว่าไม่ควร แสดงสีหน้ากระอ่วนกระอ่วนใจออกมา


ถ้าให้ผู้อำนวยการหม่าเดินผ่านตรอกมากมายในละแวกนี้คนเดียวเขาเองก็กลัว เมื่อครู่เขาก็เหมือนจะเห็นอะไรเงาอัปมงคลบางอย่างเหมือนกัน


“ไปเถอะ ไปเถอะ เหล่าหม่า วันนี้รบกวนคุณแล้ว…”


ได้ยินคำพูดของผู้อำนวยการหม่าแล้วสารวัตรหยางก็ทำหน้าไม่ถูก แม้แต่ข้าราชการที่ทำงานหลวงยังใจเสาะขนาดนี้ ชาวบ้านธรรมดายิ่งไม่ต้องพูดถึง


“ได้ เยี่ยเทียน ไป ฉันส่งเธอกลับบ้าน…”


หม่าผิงไม่สนใจว่าสารวัตรหยางจะคิดยังไง ดึงเยี่ยเทียนรีบออกไปจากเรือนสี่ประสาน จะว่าไปก็แปลก พอออกมาจากบ้าน ความรู้สึกเย็นเยือกก็หายไปหมดสิ้น


“จบกันที เรื่องพวกนี้ถือว่าจบลงเสียที!”


พอออกมาจากบ้าน  เยี่ยเทียนก็ผ่อนคลายลง พรุ่งนี้รอให้ผู้อาศัยย้ายออกไป ตนค่อยเข้าไปซ่อมแซมปรับปรุงฮวงจุ้ยในบ้าน คงต้องใช้เวลาสักหนึ่งถึงสองเดือน พลังพิฆาตนั้นถึงจะสลายหมด


เยี่ยเทียนทำแบบนี้อาจจะทำให้คนอื่นสงสัย แต่ในเมื่อตำรวจก็ยังเห็นผีคงไม่มีใครมาว่าๆเขาเป็นคนทำอีกแล้ว รอให้ผ่านไปสักพัก เรื่องก็จะเงียบลงเอง


………………………………


เหตุการณ์เป็นไปตามที่เยี่ยเทียนคาดไว้ ในวันรุ่งขึ้นสถานีตำรวจได้จัดให้เจ้าหน้าที่มาทำความเข้าใจกับผู้อาศัยอย่าง ชัดเจนแล้วแต่ในวันเดียวกันนั้นเองก็มีผู้อาศัย สามครอบครัวย้ายออก


ในสามครอบครัวนั้นมีครอบครัวของคนแซ่จางที่ตกใจจนตอนนี้ยังไม่ออกจากโรงพยาบาลได้ให้คนมาขนของในบ้าน ย้ายออกไป


นอกจากนี้ยังอีกเจ็ดแปดครอบครัวที่ไปหาบ้านเช่าอื่นได้แล้วกลับมาขนย้ายของออกไปภายในสองสามวัน ภายในไม่ถึงสัปดาห์เรือนสี่ประสานที่เคยมีผู้อาศัยอยู่เต็มก็กลายเป็นบ้านผีสิงลือชื่อไปโดยปริยาย


“แกบ้าพอหรือยัง?พอแล้วก็รีบจัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อย อย่าให้ใครสาวมาถึงตัวได้…”


เยี่ยตงผิงที่วันนี้ไม่ได้ไปทั้งตลาดของเก่าพานเจียหยวน ไม่ได้ไปทั้งบริษัทเก่าของเยี่ยเทียนที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นร้านชา อยู่ที่บ้าน เขากล่าวพลางดึงเยี่ยเทียนไปในห้องหนึ่งหลังบ้าน


คนอื่นอาจจะแค่สงสัยเยี่ยเทียน แต่เยี่ยตงผิงมั่นใจได้เลยว่าเป็นฝีมือของลูกชายอย่างแน่แท้ ตั้งแต่มีข่าวลือเรื่องผีที่เรือนสี่ประสานหลังนั้น เขาก็รู้ได้ทันที


เขาไม่ไปทำลายแผนการของเยี่ยเทียนหรอก เพราะบ้านนั้นซื้อมาด้วยเงินมากโข  ถ้าสามารถทำให้ผู้อาศัยคนอื่นออกไปได้นั้นก็ดี แต่เรื่องราวใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ เยี่ยตงผิงยังอดหวั่นใจไม่ได้


“พ่อ ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย…” เยี่ยเทียนทำเป็นไม่รู้เรื่อง


“เดี๋ยวเถอะ ถ้ายังกล้าพูดว่าไม่เกี่ยวกับแกอีกนะ พ่อจะเฆี่ยนให้…” เยี่ยตงผิงมีวิธีการรับมือกับลูกไม้ตื้นๆของบุตรชาย


“พ่อ ผมจะหาบริษัทรับเหมาก่อสร้าง แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปทำงานที่นั่นเลย…”


เยี่ยเทียนลังเลเล็กน้อยแล้วเลือกที่จะพูดกับพ่อตรงๆ เมื่อวานเขาติดต่อไปหาบริษัทรับเหมาหลายแห่ง เพราะอยากจะซ่อมแซมปรับปรุงเรือนสี่ประสานหลังใหม่


แต่ละบริษัทต่างก็ยินดี แต่พอให้วิศวกรไปเข้าดูที่บ้านแล้ว กลับไปต่างก็ขอยกเลิกงานทั้งนั้น เพราะว่าได้ยินข่าวลือว่าเป็นบ้านผีสิง!


“เจ้าเด็กโง่ ทุกทีแกออกจะฉลาด ทำไมอยู่ดีๆถึงสมองทึบขึ้นมา?”


เยี่ยตงผิงเขกหัวลูกชายเข้าทีหนึ่ง กล่าวต่อว่า “แกไปอารามเมฆขาวเชิญนักพรตมาทำพิธี แล้วก็ไปหาบริษัทลุงเว่ยของแก ให้เขาพาคนมาทำงาน แก้ฮวงจุ้ยที่นั่นให้เรียบร้อยก่อนค่อยว่ากัน…”


มีลูกชายอย่างเยี่ยเทียน หลายปีมานี้เยี่ยตงผิงได้รู้วิชาฮวงจุ้ยดูดวงได้แบบไม่ต้องเรียนเลย ไม่ต้องให้เยี่ยเทียนบอก เขาเดาได้ว่าบุตรชายได้เคยแก้ฮวงจุ้ยในบ้านหลังนั้นไว้ จึงทำให้เกิดเรื่องผีหลอกขึ้น


179 ตั้งโต๊ะทำพิธี

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นั่นสินะสิ ผมลืมลุงเว่ยไปได้ยังไง?”


ได้ฟังที่ผู้เฒ่าพูด เยี่ยเทียนตาสว่างขึ้นทันที บริษัทก่อสร้างอื่นไม่กล้าเข้ามาทำงานในเรือนสี่ประสาน แต่บริษัทของเว่ยหงจวินนั้นไม่มีปัญหาแน่นอน ถึงตัวเองจะไม่กล้าพูดออกมา แต่น่าจะพอเดาออก


ส่วนการเชิญนักพรตมาจากอารามเมฆขาวนั้นเป็นการหลอกตาอย่างบริสุทธิ์ ถ้าไม่มีเรื่องผีหลอก พวกผู้อาศัยที่ไม่ยอมย้ายกลับย้ายออกไปหมด บ้านก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ มันจะไม่ชัดเจนไปหน่อยหรือ


ตอนนี้ทั้งอารามนักพรตและวัดวาทั้งหลาย พูดให้น่าฟังหน่อยคือให้ลูกศิษย์และผู้มีจิตศรัทธาเข้าไปกราบไหว้ ถ้าพูดไม่น่าฟังก็คือเป็นที่ๆใช้กอบโกยเงินทอง


อย่าดูถูกสถานที่แบบนี้เป็นอันขาด วัดอารามในเขตถิ่นชาววังนั้น ปีๆหนึ่งแค่เงินบริจาคก็ปาเข้าไปเป็นสิบล้านแล้ว บริษัทหลายแห่งรายได้ปีหนึ่งยังเทียบไม่ได้


เยี่ยเทียนอาศัยที่อารามเมฆขาวมา 2ปีจะหาใครที่ไหนในนั้นก็คุ้นเคยไปหมดเขาเล่าเรื่องนี้ให้นักพรตไม่กี่คน ที่ปกติเคยเดินหมากด้วยกัน  เมื่อเห็นดีเห็นงามกันทั้งสองฝ่าย พวกนักพรตเฒ่าเก็บข้าวของตามเยี่ยเทียนมาถึงที่เรือนสี่ประสาน


นักพรตมากันทั้งหมดห้าคน มีสองคนที่ไว้เครายาวสีขาวดูโดดเด่น อีกสามคนมีเคราสั้น สะพายดาบต้นท้อไว้ด้านหลัง การปรากฏตัวของเหล่านักพรตดึงดูดสายตาของเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงที่อยู่รอบข้าง


บ้านผีสิงเฮี้ยนหนัก ผู้ที่อาศัยอยู่โดยรอบเพียงแค่ดูกลุ่มนักพรตตั้งโต๊ะเตรียมพิธีอยู่ไกลๆ ไม่มีใครกล้าเข้าไปดูถึงด้านใน


“ลุงเว่ย อย่าเพิ่งคุยเรื่องอื่น ทำกำแพงหินซ้อนกันปิดประตูซุ้มนี้ให้เสร็จก่อนฟ้ามืดทันไหม?”


ถ้าทำตามต้องการของเยี่ยเทียนต้องใช้เวลาถึงสามวัน เยี่ยเทียรู้ดีว่านักพรตพวกนี้ดูดีอย่างเดียวใช้งานไม่ได้จริง ในร่างกายไม่มีพลังชีวิตสะสมอยู่มากพอ อย่าแต่จับผีเลย กลัวว่าเอาเข้าจริง อาจจะแย่กว่าคนแซ่จางที่ฉี่ราดอีก


เยี่ยเทียนเดินนำเหล่านักพรตเข้ามาในบ้านพร้อมกับที่เว่ยหงจวินพาคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา วันนี้ถ้าไม่ปิด”ประตูผี”บานนี้ เยี่ยเทียนเกรงว่าพรุ่งนี้พวกนักพรตจะตกใจตายเสียก่อน


เมื่อได้ยินว่าที่นี่เป็นบ้านผีสิง คนงานที่เว่ยหงจวินพามาต่างไม่กล้าเข้าไปในบ้านสักคน เยี่ยเทียนจึงได้แต่พาเว่ยหงจวินเข้าไปในสวนด้านหลัง ปรึกษากันเรื่องการปิด”ประตูผี”นี้


“เยี่ยเทียน เรื่องพวกนี้เธอเป็นคนทำมันขึ้นมา?”


เยี่ยเทียนไม่ตอบ ได้แต่จ้องมองเว่ยหงจวินอยู่ครู่ใหญ่ ถิ่นชาววังแม้ว่าจะไม่เล็ก แต่ขอบเขตกลับไม่กว้าง เรื่องผีที่ลือกันมาหลายวันนี้แน่นอนว่าต้องเข้าหูเว่ยหงจวินมาแต่แรกแล้ว


เยี่ยเทียนไม่ยอมรับ ส่ายศีรษะพูดว่า “ลุงเว่ย  วันนี้เรียกลุงมาคุยธุระ ผมไม่ได้ขอทำฟรีสักหน่อย จะทำกำแพงปิดประตูนี่ต้องใช้เวลานานแค่ไหนลุงว่ามาเลย?”


“เด็กบ้า กับลุงเว่ยยังมีอะไรที่ไม่กล้าพูดอีก?”


เว่ยหงจวินแค่นหัวเราะ แสดงถึงการเข้าใจเรื่องราวหมดแล้ว กวาดสายตาไปรอบด้านแล้ว ลดเสียงลงกระซิบว่า “เอ็งนี่สุดยอดไปเลย พอมีเรื่องผีขึ้นมา คนที่อยู่ที่นี่ตกใจกลัวย้ายออกกันไปหมด เยี่ยม…เยี่ยมยอดมาก!”


เว่ยหงจวินเติบโตขึ้นมาในตรอกหูถ่งในปักกิ่ง เรื่องกลลวงที่เกิดขึ้นในเรือนส่ประสานพวกนี้เขารู้มามากเหลือเกิน ตอนนี้บ้านส่วนบุคคลในถิ่นชาววังอย่างน้อยต้องมีสักแปดเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่ประสบปัญหาแบบเดียวกับเยี่ยเทียน


เถ้าแก่เว่ยชื่นชมชมเชยกับวิธีการของเยี่ยเทียน สามารถทำให้ผู้เช่าที่ไม่ยอมย้ายออก ออกไปได้โดยไม่สูญเสียอะไร ในย่านถิ่นชาววังนี้พื้นที่ส่วนหนึ่งจึงเป็นของเยี่ยเทียนคนเดียวแล้ว


“ลุงเว่ย อย่าซี้ซั้วพูด ผมเป็นแค่คนซื่อๆคนหนึ่ง”


ในบางเรื่องคนอื่นพูดได้ แต่ตัวเองห้ามยอมรับเยี่ยเทียนยิ้มบางๆยังไม่หลุดอะไรออกมา และไม่ยอมรับในสิ่งที่เว่ยหงจวินพูดโดยเด็ดขาด


“เอาเถอะ ถ้าเอ็งเป็นคนซื่อ ฉัน…ฉันก็คงเป็นคนใจบุญศุลทานไปแล้วล่ะ…”


คำพูดกวนประสาทของเยี่ยเทียนกระตุ้นเว่ยหงจวินจนสบถคำหยาบออกมาต่อหน้าผู้ที่อายุน้อยกว่า แต่ไหนแต่ไรเถ้าแก่เว่ยก็ไม่ใช่คนชั้นสูงอะไร พูดคำหยาบสองสามคำก็ถือว่าปกติ


“ที่นี่ดูเฮี้ยนจริงๆนะ อยู่แค่ครู่เดียวฉันก็รู้สึกเย็นวาบไปหมดทั้งตัว”


หลายวันมานี้พลังพิฆาตสะสมอยู่ทั่วทุกมุมของเรือนด้านหลัง เว่ยหงจวินแม้จะพกเอาหยกห้อยที่ได้มาจาก เยี่ยเทียนมาด้วยยังรู้สึกขนหัวลุก


“ลุงเว่ย ถ้าลุงไม่อยากทำจริงๆ ผมหาคนอื่นมาทำก็ได้?” เยี่ยเทียนรู้สึกรำคาญแล้ว เขาไม่มีเวลามารอเว่ยหงจวินยึกยักเสียเวลา


ใกล้เที่ยงเข้าไปทุกที เป็นเวลาที่พลังหยางขึ้นสูงที่สุด ถ้าพลาดเวลานี้ไป เยี่ยเทียนเกรงว่าช่างจะทำกำแพงไม่เสร็จ ตัวเขาเองจะทนไม่ไหวเสียก่อน


“ทำ ทำแน่อยู่แล้ว!”


เห็นเเยี่ยเทียนจริงจังขึ้นมา สีหน้าของเว่ยหงจวินก็คร่ำเคร่งขึ้น เดินวนรอบประตูซุ้มรอบหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “พวกซากอิฐหินเก่าๆบนพื้นมันเก็บกวาดยาก ถ้าถอยไปข้างหลังสักห้าสิบเซนติเมตรก็สามชั่วโมง ใช้สามชั่วโมงฉันถึงจะสร้างกำแพงหินซ้อนสูงสองเมตรกว้างสามเมตรขึ้นมาได้…”


“ห้าสิบเซน?”


เยี่ยเทียนเดินไปถึงข้างประตูซุ้ม ใช้เท้าวัดดูแล้วพยักหน้า “ได้ งั้นห้าสิบเซนติเมตร ใช่แล้ว ตอนก่อกำแพงได้ครึ่งหนึ่ง เอายันต์แผ่นนี้ไว้ในกำแพงให้ผมด้วย ลุงเว่ย ลุงต้องหาคนที่เชื่อใจได้มาทำ…”


แค่โบกปูนเป็นกำแพงนั้นไม่สามารถปิด”ประตูผี”ที่ถูกเปิดออกแล้วได้


เยี่ยเทียนจึงใช้อีกวิธีกันเหนียวเมื่อคืนเขาเสียพลังชีวิตไปไม่น้อยเพื่อทำยันต์พลังหยางแผ่นนี้ขึ้นช่วยให้กำแพงที่สร้างดูดซับพลังหยางเข้าไป ปิดกั้นพลังพิฆาตที่ไหลผ่าน”ประตูผี”เข้ามา


“เอ็งยังไม่ยอมรับอีกเหรอว่าที่นี่เอ็งไม่ได้ทำขึ้นมา?”


เว่ยหงจวินยิ้มอย่างอบอุ่นให้เยี่ยเทียนแล้วรับยันต์มาจากเก็บใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง “เสี่ยวเยี่ย เธอว่าฉันดีกับเธอไหม?”


“ลุงเว่ย มีอะไรลุงพูดตรงๆ ถ้าผมพอจะทำได้ผมก็จะทำให้…” เยี่ยเทียนเป็นคนยังไง?แน่นอนว่าเขาไม่ยอมให้เว่ยหงจวินหว่านล้อมด้วยคำพูดแน่นอน


เว่ยหงจวินเห็นเยี่ยเทียนไม่ยอมคล้อยตาม จึงยิ้มแห้งแล้วพูดว่า “เยี่ยเทียน มันเป็นอย่างนี้นะ ช่วงนี้ลุงเว่ยรับงานปรับปรุงบ้านเก่า แต่เธอก็รู้นี่ จะให้ผู้อาศัยที่ยังอยู่ย้ายออกไปมันยุ่งยากมาก บางคนโก่งราคาค่าชดเชยให้สูงลิ่วแล้วก็ยังไม่ยอมย้าย


“อย่า ลุงเว่ย ความคิดแบบนี้ลุงอย่าได้คิดเป็นอันขาด เรื่องบางเรื่องทางการเขายังพอยอมความ ถ้าขืนทำซ้ำอีก เราทั้งสองคนหนีไม่รอดแน่…”


เว่ยหงจวินยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเยี่ยเทียนขัดคอ ล้อเล่นน่า เขาคาดว่าจะต้องมีคนนึกถึงเขาแน่นอน  ถ้าช่วยเว่ยหงจวินสร้างเรื่องผีหลอกอีกที เกรงว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติคงจะต้องมาเชิญเขาไปดื่มชาที่โรงพักแน่


ในฐานะที่เยี่ยเทียนเป็นผู้สืบทอดวิชาหมอดูฮวงจุ้ย ก็ไม่ได้ลึกลับอะไรมาก หากองค์กรระดับชาติให้ความสนใจแล้ว จะสืบสวนสอบสวนก็ไม่ใช่เรื่องยาก


ตามที่เยี่ยตงผิงว่าไว้ ใครๆก็มองว่าบ้านหลังนี้เป็นของเยี่ยเทียน และยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนเอาผิดเยี่ยเทียนได้ ตำรวจจึงได้แต่ปล่อยผ่านไป แต่ถ้าเยี่ยเทียนยังไปก่อเรื่องอีก จะต้องถูกสอบสวนจนถึงที่สุดแน่


เห็นสีหน้าผิดหวังของเว่ยหงจวินแล้ว เยี่ยเทียนปลอบว่า “ลุงเว่ย ลุงทำธุรกิจใหญ่โต ถือว่าทำบุญสร้างบารมีแล้วกันนะ อย่าคิดไปในทางเสียหายเลย!”


ฟังที่เยี่ยเทียนปลอบ หน้าผากของเว่ยหงจวินมีเหงื่อเย็นๆซึมออกมา พลางโบกมือ “ไม่หรอก ไม่หรอก ลุงเว่ยจะทำอย่างนั้นได้ยังไง ไปเถอะ เราไปหาคนงานมาเริ่มงานกัน…”


ความจริงช่วงก่อนเว่ยหงจวินกำลังใคร่ครวญว่าจะหานักเลงมาดีไหม มาก่อกวนขับไล่ผู้อาศัยที่ไม่ยอมย้ายออก พอเยี่ยเทียนพูดว่า”ทำบุญเสริมบารมี” จึงทำให้เขาเลิกคิดเรื่องนี้ไป


“ผู้อำนวยการเว่ย ที่นี่มีผี พวกเราไม่กล้าเข้าไปหรอก!”


คิดไม่ถึงว่าคนงานที่เว่ยหงจวินพามากลับไม่อยากทำงานเมื่อครู่พวกเขาเข้าไปในบ้านแล้วรอบหนึ่งแล้วก็ตกใจ         ในความอึมครึมวังเวงของสถานที่นี้จนรีบหนีออกมา


“ก่อกำแพงปิดประตูภายในสามชั่วโมง ค่าแรงคนๆละห้าร้อย พวกเธอทำไม่ทำ?”


เว่ยหงจวินประกาศค่าแรงสูงลิ่วต่อหน้าเยี่ยเทียน เห็นค่าแรงสูงขนาดนี้ คนงานมีหรือจะไม่ทำ ปกติแล้วค่าแรงคนหนึ่งทำงานทั้งวันยังไม่ถึงห้าหกสิบหยวนเลย เว่ยหงจวินกลับให้ค่าแรงสูงเป็นสิบเท่า


“ประธานเว่ย ท่านพูดจริงหรือ?”


ประกายตาของคนงานสว่างวาบขึ้น คำโบราณว่าไว้มีเงินยังทำให้ผีมาดันครกได้ สาอะไรกับคนหาเช้ากินค่ำ แม้แต่นักพรตที่ตั้งโต๊ะทำพิธีอยู่ยังอิจฉา แต่เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ให้ราคาไว้สูงขนาดนั้น


“แน่นอนอยู่แล้ว!” เว่ยหงจวินพยักหน้า


“ได้เลย พวกเรา กลางวันแสกๆมีผีที่ไหน?ประธานเว่ยพูดแล้ว ทำงานสามชั่วโมงได้คนละห้าร้อย ไป ทำงานกันได้แล้ว!”


หัวหน้าคนงานรีบสั่งงานด้วยความเห็นแก่เงิน คนงานอีกเจ็ดแปดคนขนเอาอิฐหินปูนทรายเข้ามา ทำงานกันด้วยความขมักเขม้น ซึ่งสามารถปกป้องตัวเองจากพลังพิฆาตไม่ให้เข้ามาในร่างกาย


เว่ยหงจวินไม่ได้พูดเกินไปเลยจริงๆ ยังไม่ถึงบ่ายสอง กำแพงกั้นสูงสองเมตรกว้างสามเมตรก็ปรากฎขึ้นหลังประตูซุ้ม คนงานพวกนี้ทำงานเสร็จก่อนเวลาตั้งหนึ่งชั่วโมง


ประตูผีถูกปิดลงแล้ว กระแสพลังพิฆาตถูกตัดขาด ใต้แสงอาทิตย์อันเจิดจ้า ไอพลังพิฆาตก็ค่อยๆจางลงไปมาก


พอถึงเวลาบ่ายสาม ปรัมพิธีของนักพรตก็ตั้งเสร็จ บนโต๊ะพิธีมีเครืองเซ่นหกอย่าง และธูปเทียนต่างๆ นักพรตสี่คนนั่งล้อมปรัมพิธีอยู่ทั้งสี่ทิศ ปากพึมพำคาถา เริ่มทำพิธีอย่างเป็นทางการ


นักพรตเฒ่าที่ทั้งผมและเคราเป็นสีขาวโพลนถือดาบต้นท้อ เท้าเหยียบอยู่บนค่ายกลปากั้ว เดินวนไปรอบๆปรัมพิธี แม้ผลลัพธ์ไม่ได้ดีนัก แต่การขายแรงงานแบบนี้ ยังไงก็คุ้มค่าแรงที่เยี่ยเทียนให้


เพื่อนบ้านรอบข้างเฝ้ามองเข้าไปในบ้านเพื่อดูนักพรตทำพิธี คนที่ใจกล้าบางคนก็ได้เดินเข้ามามุงดูถึงในบ้าน


ฉากตรงหน้าทำให้เยี่ยเทียนอดหงุดหงิดไม่ได้ นักพรตพวกนี้เป็นนักต้มตุ๋นจริงๆ แต่ขอแค่รอให้เสร็จพิธี นักพรตเฒ่าประกาศว่าจับผีได้แล้ว เรื่องผีหลอกนี่จะได้จบลงเสียที


180 หูจวิน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ตรงนี้ต้องตั้งไฟส่องทาง สูงไม่เกินร้อยแปดสิบเซน เอ่อ ทำทั้งแถวนี่เลย ใช่แล้ว หวังกง ตรงนี้สร้างบันไดหกขั้น ใช่ หกขั้น จดไว้นะ ยังมีตรงนี้ต้อง…”


ผ่านไปแล้วสามวันนักพรตทำพิธีเสร็จเรียบร้อยคณะคนงานของเว่ยหงจวินก็เริ่มเข้ามาทำงานในเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนอย่างจริงจัง โดยปรับปรุงตามที่เขาออกแบบไว้


จากที่เคยเป็นบ้านผีสิง หลังจากผ่านพิธีไล่เทียนที่เยี่ยเทียนประกาศออกไป ตอนนี้ทุกคนค่อยๆลืมมันไป อีกทั้งเสียงร้องไห้ที่ดังออกมาจากในตัวบ้านแห่งนี้ก็หายไป ทุกคนต่างก็เชื่อว่าผีร้ายถูกนักพรตขับไล่ไปหมดแล้ว


ผู้อาศัยที่ย้ายออกก็คิดอยากย้ายกลับเข้ามาอยู่ แต่ก็พบว่าบ้านพักที่เคยอาศัยนั้น แม้แต่ผนังห้องยังถูกขูดไปหมดแล้ว ไม่สามารถพักอาศัยได้อีกต่อไป


เยี่ยเทียนก็ไม่ได้เกรงใจนัก กีดกันทั้งคนทั้งข้าวของเครื่องใช้ไว้หน้าบ้าน ไม่ให้เข้ามา พร้อมกับโทรแจ้งตำรวจ


ผู้กำกับอู๋รับเรื่องอย่างรวดเร็ว วิธีจัดการนั้นง่ายดาย ถ้าผู้อาศัยคนไหนบุกรุกสถานที่ส่วนบุคคล เขาจะจับกลับไปทันที การเป็นผู้กำกับการตำรวจในท้องที่นี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถจัดการเรื่องชาวบ้านได้สะดวกง่ายดายที่สุด


แต่ผู้กำกับอู๋ยังยึดถือตามกฎหมาย ตอนนั้นไม่มีคนบังคับให้พวกคุณย้ายบ้าน พอย้ายออกไปแล้วตอนนี้               บ้านหลังนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกคุณอีก การบุกรุกบ้านของคนอื่นถือเป็นความผิดตามกฎหมาย


ด้วยความที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว ผู้อาศัยพวกนั้นได้แต่จากไปด้วยความไม่พอใจเรื่องนี้เกิดจากความไม่มีเหตุผลของพวกเขาเอง เรื่องผีผ่านไปเร็วกว่ากระต่ายวิ่ง คนอื่นเชิญนักพรตมาไล่ผีแล้วก็อยากจะย้ายกลับมาอยู่ฟรี ในโลกนี้มีของราคาถูกอย่างนี้ที่ไหน?


“ประธานเยี่ย ถ้าจะสร้างเรือนใหม่ตามความต้องการของคุณ น่าจะต้องใช้เงินประมาณหกแสนถึงหนึ่งล้านหยวน คุณว่ายังไง?”


หวังกงเป็นหัวหน้าวิศวกรในบริษัทของเว่ยหงจวิน ปกติรับงานซ่อมแซมปรับปรุงบ้านเก่า ตอนนี้ถูกเว่ยหงจวินเรียกตัวมาเพื่อช่วยเยี่ยเทียนปรับปรุงเรือนสี่ประสานหลังใหม่


“ต้องใช้มากขนาดนั้นเลย?”


เยี่ยเทียนได้ฟังจำนวนก็อึ้งไป ตอนนี้เขามีเงินเหลืออยู่เพียงสองแสนกว่าเท่านั้น ตอนแรกตั้งใจแค่ว่าจะซ่อมแซมนิดหน่อยเท่านั้น เงินน่าจะพออยู่ ไม่คิดว่าจำนวนที่หวังกงคำนวณออกมา ทำให้เงินที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอ


“ประธานเยี่ย ดูสิ เสาแท่งนี้สนิมขึ้นจนจะพังอยู่แล้ว แล้วก็ผนังนั่น ถึงจะใช้อิฐอย่างดี แต่ แต่ก็ไม่อาจต้านทานคนที่ฝึกวิชาหมัดมวยทุกวันได้ ยังมีตรงนี้ ถ้าเป็นห้องครัวคงจะก่อไฟเผาหลังคาได้แล้ว ต้องสร้างใหม่ทั้งหมด…”


หวังกงฟังเยี่ยเทียนถามจบ ก็ลากเยี่ยเทียนไปดูรอบบ้าน พอวนดูเสร็จเยี่ยเทียนถึงกับเหงื่อซึม เขาไม่เคยคาดการณ์ถึงความเสียหายที่ผู้อาศัยได้สร้างไว้ มันมากมายจนน่าตกใจ?


มีห้องถึงเจ็ดห้องที่ใช้ทำเป็นห้องเก็บของ ตอนนี้กลายเป็นห้องผุพัง ไหนจะยังห้องครัวที่มีแต่คราบน้ำมัน กรงอิฐที่เคยเลี้ยงเป็ดไก่ อาคารสองหลังด้านหน้าคงต้องสร้างใหม่เกินครึ่ง


การตกแต่งซ่อมแซมกับการสร้างบ้านนั้นไม่เหมือนกัน เรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนถือเป็นบ้านแบบโบราณ ถ้าจะซ่อมแซมต่อเติมต้องเป็นไปตามข้อกำหนด จำนวนเงินที่หวังกงเสนอราคา ถือว่าใจดีมากแล้ว


“เอาเถอะ หวังกง ฉันโอนเงินสามแสนให้คุณก่อน พวกคุณเริ่มงานได้เลย เงินที่เหลือผมจะจ่ายให้ตามใบสัญญา…”


เงินเจ็ดแสนก็จ่ายออกไปแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะหยุดอยู่เพียงแค่นี้ บ้านหลังนี้ต่อไปจะมีความสำคัญต่อการช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บจากการฝืนชะตาขัดลิขิตสวรรค์ และเขาจะไม่ยอมถอดใจแน่


ยังดีที่การชำระค่าก่อสร้างนั้นสามารถแบ่งจ่ายได้หลายครั้ง เงินก้อนแรกเยี่ยเทียนพอมีให้ได้ ส่วนที่เหลือเยี่ยเทียนก็ไม่ได้กังวลมาก ถ้าไม่ได้จริงๆก็คงขายเครื่องรางของขลังสักชิ้น คนเรายังไงก็ต้องหาทางออกจนได้นั่นแหละ


ส่วนเรื่องที่เว่ยหงจวินไม่คิดค่าแรงงานนั้น เยี่ยเทียนไม่เคยนับเลยว่าเขาติดหนี้น้ำใจเว่ยหงจวินไปแล้วเท่าไหร่ เกรงว่าต่อไปถ้าเว่ยหงจวินจะให้เขาช่วยทำอะไรที่ไม่อยากทำ เขาน่าจะปฏิเสธยากแล้ว


“ใช่แล้ว หวังกง ผมได้ทำเครื่องหมายลงบนกระดาษ คุณต้องทำตามที่ผมต้องการอย่างเคร่งครัด ถ้างานไม่ผ่านผมไม่จ่ายเงิน หืม?เสียงอะไร?”


ตอนที่กำลังเจรจาการสร้างศูนย์กลางค่ายกลของเขากับหวังกงอยู่นั้น เยี่ยเทียนอยู่ๆก็ได้ยินเสียงไวโอลินลอยมา จึงนิ่งค้างอยู่


“อะแฮ่ม ผู้อำนวยการเยี่ย มือถือของคุณดัง” หวังกงกลั้นหัวเราะ ชี้ไปที่กระเป๋าชุดฝึกวิชาของเยี่ยเทียน


“เฮ้อ ผมลืมสนิท หวังกง คุณรอสักครู่ ผมรับโทรศัพท์หน่อย…”


เยี่ยเทียนยิ้มแก้เก้อ เขาซื้อโทรศัพท์มือถือมา ทุกทีจะโยนไว้ที่บ้าน ถ้าไม่ใช่ชิงหย่าบังคับให้เขาพกมาด้วย ยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้เสียงโทรศัพท์จะไปดังอยู่มุมไหนของบ้าน


“ฮัลโหล ใครครับ?” เยี่ยเทียนไม่ถึงกับใช้มือถือไม่เป็น แต่เบอร์ที่ขึ้นอยู่นั้นไม่คุ้นเลย


“เยี่ยเทียน?ฉันคือพี่เกา ทำไมรึ ข้าวเที่ยงกินไปรึยัง?”


เสียงของเกาเฉียนจิ้นดังลอดออกมาจากหูโทรศัพท์ พี่ชายคนนี้ถึงจะไปเรียนต่างประเทศหลายปี แต่เนื้อในยังเป็นคนปักกิ่งแท้ อ้าปากถามได้ก็ถามว่ากินข้าวรึยัง?”


เพิ่งกินไปนิดหน่อย พี่เกา พี่กินรึยัง?” เยี่ยเทียนคุ้นชินกับสำนวนคำทักทายของคนปักกิ่ง ตัวเขาเองก็ค่อยๆเหมือนคนปักกิ่งเข้าไปทุกที


ทั้งสองคุยกันอีกสองสามประโยคแล้วอยู่ๆเกาเฉียนจิ้นก็พูดขึ้นมาว่า “เยี่ยเทียน ช่วงก่อนที่คุยกับเธอเรื่องอาจารย์ท่านนั้นน่ะมาแล้ว ฉันเพิ่งจัดการพาท่านไปพักที่โรงแรม เธอ…อยากจะพบหน่อยไหม?”


“พี่หมายถึงอาจารย์หลัวจื้อ?”


เยี่ยเทียนช่วงก่อนหน้านี้มัวแต่ยุ่งเรื่องหลอกผีจนไม่เป็นอันทำอย่างอื่น แล้วก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท


“ใช่ อาจารย์หลัว อีกคนที่มากับอาจารย์ด้วยคือท่านผู้เฒ่าถัง”


เกาเฉียนจิ้นเคยคุยโม้กับถังเหวินหยวนไว้มากมาย พูดว่าสามารถหาคนที่ขายเครื่องรางคนนั้นมาให้ได้ ด้วยความกลัวว่าเยี่ยเทียนจะไม่มา จึงเซ้าซี้ต่อว่า “น้องเยี่ย อาจารย์หลัวอยู่ในประเทศจีนแค่วันนี้วันเดียว ถ้าเธอไม่มาพบท่านวันนี้ ครั้งหน้ายังไม่รู้จะมีโอากาสอีกไหม…”


“เฮ้อ เทพเจ้าแห่งความร่ำรวยมาแล้ว?ถ้างั้นก็ต้องไปสิ!” ได้ฟังว่าถังเหวินหยวนก็มาถึงประเทศจีนแล้ว เยี่ยเทียนยิ่งสนใจมาก ในสายตาของเยี่ยเทียนผู้เฒ่าถังคนนั้นเหมือนกับอ่างเงินอ่างทองสำหรับเขาทีเดียว


หลังจากที่เคยได้ฟังเกาเฉียนจิ้นกล่าวถึงความเก่งกาจเหนือชั้นอาจารย์หลัวแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้สึกแปลกใจ ฝ่ายตรงข้ามยิ่งเซ้าซี้จึงตอบว่า “พี่บอกสถานที่มาเลย เดี๋ยวผมเรียกรถไปเอง…”


“โรงแรมXXXห้อง666 ช่างเถอะ เธอมาถึงกี่โมง ฉันไปรับเธอดีกว่า…”


เกาเฉียนจิ้นบอกเลขห้อง นี่เป็นไปตามความต้องการของอาจารย์หลัวดังนั้นคุณชายเกาจึงจัดการ จองโรงแรมห้าดาวล่วงหน้าไว้ก่อนหลายวัน


“ประมาณครึ่งชั่วโมง…”


เยี่ยเทียนดูเวลาบนมือถือ หลังจากวางสายแล้ว ก็รู้สึกผิดต่อหวังกงจึงพูดว่า “ต้องขอโทษจริงๆ เพื่อนผมมีธุระด่วน ที่นี่ต้องฝากให้คุณช่วยดูแลต่อ…”


สิ่งที่เยี่ยเทียนต้องการก็ได้บอกกล่าวหมดแล้วอย่างชัดเจน เพียงแต่ค่ายกลนั้นยุ่งยากซับซ้อนเกินไป สิ่งก่อสร้างทุกอย่างจะผิดตำแหน่งไปไม่ได้แม้แต่เซนเดียว ถ้าไม่ใช่เกาเฉียนจิ้นโทรศัพท์มา เขาจะต้องอยู่ดูการก่อสร้างเอง


แน่นอนว่างานก่อสร้างไม่ได้เสร็จในวันเดียว ไปหาเกาเฉียนจิ้นหาเงินได้นิดหน่อยก็ไม่เลวเหมือนกัน เงินค่าก่อสร้างที่ยังขาดอยู่พอดี


“เยี่ยเทียน ทางนี้…”


เมื่อรีบมาถึงโรงแรมแล้ว เยี่ยเทียนเพิ่งก้าวออกจากลิฟท์ ก็ถูกเกาเฉียนจิ้นที่มารออยู่แล้วเจอตัวเข้า สิ่งที่ยิ่งน่าสงสัยมากกว่าคือหลงเสี่ยเหลียนที่อยู่ด้านหลังเกาเฉียนจิ้นนอกจากนี้ยังมีชายหนุ่มอายุประมาณ30ปีอีกคน ที่เยี่ยเทียนไม่รู้จัก


รอให้เยี่ยเทียนเข้ามาใกล้แล้ว เกาเฉียนจิ้นก็ประเมินเสื้อผ้าของเยี่ยเทียน สีหน้าแปลกประหลาด ถามว่า “เยี่ยเทียน ทำไมเธอแต่งตัวแบบนี้ก็ออกมาเลย?”


“มันเป็นยังไงเหรอ? ผมก็แต่งตัวแบบนี้ทุกทีแหละ วันนั้นไปงานเลี้ยง ก็ไปเปลี่ยนชุดตรงหน้างาน…” เยี่ยเทียนเหลือบมองชุดฝึกวิชาของตน ไม่เห็นจะสกปรกตรงไหน?


“เอาเถอะ เราเข้าไปแล้วค่อยว่ากัน อย่าให้อาจารย์หลัวรอนาน…” น้ำเสียงของเกาเฉียนจิ้นแสดงถึงความเคารพในตัวอาจารย์ท่านนั้นถึงที่สุด


“เหล่าเกา เพื่อนคนนี้เป็นใครหรือ?ทำไมไม่แนะนำให้พวกเรารู้จักบ้าง?” ชายที่ยืนอยู่ข้างเกาเฉียนจิ้นอยู่ๆก็ถามขึ้นมา เพราะฟังออกว่าผู้ที่เพิ่งมาถึงสนิทสนมคุ้นเคยกับเกาเฉียนจิ้นเป็นอย่างดี


“อ้อ ฉันเกือบลืม เหล่าหู นี่คือเยี่ยเทียน คนที่ฉันพูดถึงเมื่อวาน…”


ได้ยินคำทักท้วงของคนนั้นแล้วเกาเฉียนจิ้นตบศีรษะตัวเองทีหนึ่ง แล้วชี้ไปที่ชายคนนั้นพูดกับเยี่ยเทียนว่า “เขาชื่อหูจวิน อืม เรื่องพนันเรื่องผู้หญิงเขาทำหมด แต่ไม่ทำงานเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง พวกเธอรู้จักกันไว้…”


“นายก็พูดเกินไป?”


หูจวินถลึงตาใส่เกาเฉียนจิ้นอย่างหงุดหงิด พลางยื่นมือออกไปให้เยี่ยเทียนจับ “อย่าฟังที่เขาเหลวไหล น้องเยี่ย ฉันโตกว่าเธอไม่กี่ปี เรียกฉันว่าเหล่าหูก็แล้วกัน”


หูจวินกับเกาเฉียนจิ้นเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่อ้อนแต่ออก นับว่าเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกันมา จึงรู้ถึงนิสัยใจคอกันดีที่สุด


เมื่อวานตอนที่เกาเฉียนจิ้นพูดถึงเยี่ยเทียน หูจวินยังคิดว่าเยี่ยเทียนเป็นชายวัยกลางคนอายุสักสามสี่สิบปี ตอนนี้เมื่อได้พบหน้า จึงรู้สึกคาดไม่ถึง


ในความเข้าใจของเกาเฉียนจิ้น หูจวินไม่ได้ดูถูกเยี่ยเทียนเลยแม้แต่น้อย แม้แต่หัวหน้าคณะกรรมการสถาบันหลักทรัพย์แห่งชาติ ยังไม่ได้อยู่ในสายตาของเกาเฉียนจิ้น แต่กลับยอมยืนรอเยี่ยเทียนอยู่ครึ่งชั่วโมงด้วยความเต็มใจ แสดงให้เห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้ต้องมีอะไรพิเศษแน่นอน


“พี่หูเกรงใจไปแล้ว เรียกผมว่าเสี่ยวเยี่ยก็ได้”


เยี่ยเทียนมองหน้าหูจวิน ยิ้มให้แล้วพูดว่า “พี่หูกับพี่เกานั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ช่วงแรกของชีวิตของพี่นี่ช่างลำบากยากเข็ญจริงๆ…”


ตั้งแต่ขอบไรผมหน้าผากจนถึงจุดอิ้นถางที่หว่างคิ้วของหูจวินนั้นแคบมาก  ความกว้างยังไม่ถึงสามนิ้วเลย ไรผมส่วนที่ตรงกับหว่างคิ้วนั้นยื่นลงมาเล็กน้อย ตามศาสตร์โหงวเฮ้งหมายความว่าคนๆนี้ในวัยเด็ก ได้ผ่านเรื่องราวซับซ้อนและความลำบากมามากมาย


“เอ๋?เหล่าเกา นายเล่าเรื่องของฉันให้น้องเยี่ยฟังเหรอ?”


ฟังคำพูดของเยี่ยเทียนจบ หูจวินหันไปมองหน้าเกาเฉียนจิ้น สายตาเผยแววติเตียน ความสัมพันธ์ของเขากับเกาเฉียนจิ้นนั้นจริงใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยินยอมให้เกาเฉียนจิ้นเอาเรื่องส่วนตัวของเขา ไปพูดให้คนอื่นฟัง


181 อาจารย์หลัว

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฉันไม่เคยพูดนา เฮ้ย จวินจื่อ ฉันบอกแกแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าน้องเยี่ยน่ะเป็นยอดฝีมือเหมือนกัน…”


เกาเฉียนจิ้นถูกหูจวินมองอย่างกล่าวหาจนเลิกลั่กทำอะไรไม่ถูก เดินเข้าโรงแรมไปแล้วนึกได้ว่าการพูดเรื่องส่วนตัว ของคนอื่นถือเป็นข้อห้ามหลักของพวกเขา ถึงแม้ความสัมพันธ์กับหูจวินจะแน่นแฟ้น เกาเฉียนจิ้นยังต้องรีบอธิบายให้ฟัง


“อ้อ น้องเยี่ยต้องเป็นยอดฝีมือจริงๆ เดี๋ยวพอว่างแล้วพวกเราคุยกันหน่อย…” หูจวินเคยอยู่แถวตะวันออกเฉียงเหนือ ของจีนมาพักหนึ่ง เวลาพูดจึงมีสำเนียงของทางนั้นอยู่บ้าง


“ได้สิ พี่หู มีเรื่องบางเรื่องที่พี่ต้องระวัง…”


เยี่ยเทียนพยักหน้า เรื่องค้าขายที่มาถึงหน้าประตู เขาไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธคนที่ชื่อหูจวินคนนี้ถึงแม้วัยเยาว์จะลำ บากยากเข็ญ แต่ตอนนี้กลับมีการเปลี่ยนแปลง มีโชคลาภวาสนาดียิ่งกว่าเกาเฉียนจิ้นเสียอีก


“ดี ดี ครั้งนี้ถ้าไม่ได้พบอาจารย์หลัว แต่ยังได้รู้จักน้องเยี่ย ก็ถือว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว!”


หลังจากฟังคำของเยี่ยเทียนจบ หูจวินจึงหัวเราะเสียงฮ่าๆ ประสบการณ์ชีวิตของเขานั้นโชกโชนกว่าเกาเฉียนจิ้น เพียง การพูดจาไม่กี่ประโยค ก็รับรู้ได้ถึงความไม่ธรรมดาของเยี่ยเทียน


“พี่เกา พี่กับคุณหลง ใกล้จะมีข่าวดีใช่ไหม?”


เมื่อเข้าไปในลิฟท์ เยี่ยเทียนสังเกตุว่าคิ้วที่เคยขมวดกันแน่นของหลงเสวี่ยเหลียนตอนนี้คลายออกแล้ว บวกกับ ความสิเน่หาที่เห็นได้จากหว่างคิ้ว ทำให้รู้ว่าได้เกิดความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดแนบแน่นกับเกาเฉียนจิ้นแล้ว


“ฮ่าๆ น้องเยี่ย นายก็มองออกด้วยเหรอ?”


เรื่องแบบนี้สำหรับผู้ชายไม่ค่อยจะปิดบังกันเท่าไร เกาเฉียนจิ้นโอบหลงเสวี่ยเหลียนแล้วพูดว่า “เดือนหน้าแต่งงาน ถึงเวลาฉันจะส่งบัตรเชิญไปให้ นายต้องมาให้ได้นะ!”


“แน่นอน แน่นอน…” เยี่ยเทียนยิ้มรับปาก ในใจกลับกังวลถึงการสร้างเรือนสี่ประสานมากขึ้น


วิชาสำนักเสื้อป่านที่เยี่ยเทียนฝึกอยู่นั้น เพราะการบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถฝึกไปถึงขั้นสูงสุดได้ ทำให้เขายังต้องรัก ษาพรหมจรรย์เอาไว้อยู่


ช่วงนี้เยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่ายิ่งได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นทุกวัน ต้องมีจับมือโอบกอดกันบ้าง มีหลายครั้งที่อวี๋ชิงหย่าให้ สัญญาณลับให้เขาเดินหน้าได้


แต่ด้วยเพราะเหตุผลนี้ เยี่ยเทียนจึงอดกลั้นไว้ได้ในที่สุด แต่รสชาติของการอดกลั้นนั้นก็ยากจะรับมือได้


ระหว่างที่พูด ลิฟท์ก็มาถึงชั้นหก หลังจากกดกริ่งที่ประตู เกาเฉียนจิ้นก็ยืดหลังยืนตัวตรงขึ้นทันที แม้แต่มือที่กุมมือ หลงเสวี่ยเหลียนอยู่ก็ยังรีบปล่อย


ประตูเปิดออก ชายวังกลางคนอายุประมาณสี่สิบห้าสี่สิบหกปีโผล่ออกมา เมื่อมองดูเยี่ยเทียนและหูจวินพักหนึ่งแล้ว จึงถามเกาเฉียนจิ้นว่า “คุณชายเกา สองท่านนี้คือ?”


“ลุงติง คนนี้เป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกันกับผม มาคารวะอาจารย์หลัว อีกคนคือเยี่ยเทียน คนที่คุณปู่ถังต้องกาารพบ!”


ต่อหน้าชายวัยกลางคน เกาเฉียนจิ้นได้เก็บงำความขี้เล่นเอาไว้จนมิด กิริยาท่าทางมีความระมัดระวังรอบคอบ


“เหรอครับ? งั้นเข้ามาเลย?” หลังจากกวาดตามองเยี่ยเทียนรวดหนึ่งแล้วจึงยอมให้พวกเขาผ่านประตูเข้าไป


“ลุงติงท่านนี้ไม่ธรรมดานะ…”


ตอนที่เดินผ่านชายกลางคนผู้นี้ จมูกของเยี่ยเทียนได้กลิ่นคาวเลือดโชยมา เขารู้ได้ทันทีว่า ลุงติงคนนี้คงเคยฆ่าคนอื่นมาเป็นจำนวนมาก


โลกใบนี้ ผู้ที่มีอำนาจสูงส่ง ในร่างกายจะมีไอมังกร คนที่ร่ำรวยมหาศาล จะมีไอของความสูงส่ง แต่คนที่เป็นฆาตกรใจโฉดฆ่าคนเป็นผักปลา ในร่างกายก็จะมีพลังการฆ่าล้างแฝงอยู่


พลังการฆ่าล้างนี้เรียกอีกอย่างว่าพลังพิฆาต เมื่อได้ฆ่าคนคราวหนึ่งจะได้ซึมซับเอาพลังพิฆาตของคนตายเข้าไป ครั้งหนึ่ง พอสะสมนานวันเข้า จะทำให้พลังพิฆาตของตัวเองไปกระทบกับผู้อื่น


แต่พลังพิฆาตจากคนตายกับพลังพิฆาตจากฟ้าดินนั้นแตกต่างกัน พลังจากคนตายไม่ได้ส่งผลถึงร่างกายมากนัก แต่กลับสร้างความน่ากรงขามให้กับคนที่อยู่ตรงนั้นได้ เช่นเดียวกับแม่ทัพร้อยสมรภูมิในสมัยโบราณที่แค่ถลึงตาทีเดียว ก็ทำให้ เด็กน้อยร้องไห้จ้าได้


แน่นอนว่า วิธีการของเยี่ยเทียนไม่ใช่ความกลัวต่อคนๆนี้ ถึงเทคนิคการฆ่าของเยี่ยเทียนจะสู้คนผู้นี้ไม่ได้ แต่ปรมา จารย์ด้านวิชาอาคมอย่างเขามีหลายวิธีที่จะทำให้ลุงติงคนนี้ไม่อาจต้านทาน


ห้องนี้น่าจะเป็นห้องชุดประธานาธิบดี เมื่อผ่านประตูเข้าไปแล้ว มีห้องรับแขกโอ่โถงอยู่เบื้องหน้า โต๊ะชงชารูปเรือที่พบ เห็นได้แต่ในกวางตุ้งเท่านั้นวางอยู่ตรงกลางห้องรับแขก


ในห้องรับแขกอันกว้างขวางนี้ มีเพียงคนสามคนเท่านั้น นอกจากผู้เฒ่าถังที่เยี่ยเทียนรู้จักแล้ว ยังมีเด็กสาวอายุประ มาณสิบเจ็ดสิบแปดปีอีกคนหนึ่ง


ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังมองไปที่อีกคนหนึ่งอยู่ ก็นิ่งค้างไปชั่วครู่ เขาถึงได้รู้ว่าทำไมเมื่อเกาเฉียนจิ้นเห็นตัวเองใส่ชุดแบบนี้แล้วจึงมีปฏิกิริยามากมายนัก เพราะฝ่ายตรงข้ามก็สวมชุดฝึกวิชาที่พริ้วไหวอยู่เหมือนกัน


“เสี่ยวเยี่ย นาย…ผมของนายไปทำอะไรมา?”


เยี่ยเทียนเพิ่งเข้าประตูห้องรับแขกมา ยังไม่ทันพิจารณาดูอาจารย์หลัวเลย คุณปู่ถึงก็ทักขึ้น มองผมขาวเต็มศีรษะของของเยี่ยด้วยสีหน้าตกตะลึงมาก


“เหอะๆ ผู้ใหญ่ที่บ้านเสียน่ะครับ ผมเสียใจเกินเหตุ ต้องทำให้คุณปู่กังวลแทน…”


เยี่ยเทียนเอ่ยตามตรงอย่างไม่ได้ปิดบัง ไม่ใช่เพราะเขาอยากอวดความดีของตัวเอง แต่ไม่อยากพูดโกหกในที่นี้เท่านั้น


“เป็นฉันที่พูดผิดไปเอง…”


ถังเหวินหย่วนผ่านโลกมามาก กล่าวขออภัยแล้วจึงพูดต่อ “เสี่ยวเยี่ย มา ฉันจะแนะนำให้นายรู้จัก ท่านนี้เป็นผู้มีชื่อ เสียงทั้งในอเมริกาใต้ ยุโรปและเอเชียอาคเนย์ อาจารย์หลัว พวกเธอน่าจะเป็นคนในแวดวงเดียวกัน?”


เนื่องจากครั้งนั้นเยี่ยเทียนปิดบังฐานะได้อย่างแนบเนียน ถังเหวินหย่วนหลังจากซื้อเครื่องรางหยกน้ำเต้า


จากเยี่ยเทียนไปแล้ว ก็ไม่เคยรู้ถึงสถานะที่แท้จริงของเยี่ยเทียน แต่ช่วงก่อนหลังจากที่เยี่ยเทียนรู้จักกับเกาเฉียนจิ้น สถานะ ของเขาจึงไม่สามารถปิดบังได้อีก


“ผู้น้อย คารวะอาจารย์หลัว…”


เยี่ยเทียนฟังถังเหวินหย่วนแนะนำแล้ว จึงรวบมือเป็นหมัดคารวะต่อชายมีอายุประมาณห้าสิบกว่าเบื้องหน้า เพื่อเป็น การแสดงความเคารพตามแบบยุทธภพ


“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่ต้องมากพิธี ตอนแรกผมแซ่หลัวไม่อยากจะพบคนนอก ในเมื่อคุณกับพี่ถังมีวาสนาต่อกัน ก็ถือว่ามีวาสนากับผมด้วยเช่นกัน นั่งลงก่อนเถอะ!”


สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงคือ อาจารย์หลัวท่านนี้มีความเย่อหยิ่งมากอยู่ เมื่อตนได้แสดงความเคารพ เขาไม่มีแม้ แต่จะยืนขึ้นด้วยซ้ำ ทำให้เยี่ยเทียนไม่พอใจเล็กน้อย


ในวงการหมอดูฮวงจุ้ย การสืบทอดวิชาแต่ละสำนักจะเทียบกันด้วยฝีมือ ส่วนสิ่งที่เรียกว่าความอาวุโสกลับไม่ค่อย ให้ความสำคัญ เยี่ยเทียนทำความเคารพก่อน เพราะฝ่ายนั้นเป็นผู้อายุมากกว่าเฉยๆ


อีกอย่าง ถึงเทียบตามอาวุโสแล้วด้วยอายุของหลี่ซั่นหยวนนั้นเป็นผู้อาวุโสกว่าสี่นักทำนายผู้มีชื่อเสียงที่สุด


ในยุคสาธารณรัฐประชาชนจีนเสียอีก ตอนนี้ทั้งในและนอกประเทศจะหาคนที่ระดับอาวุโสสูงเท่าเยี่ยเทียนนั้นยากเต็มที


“อาจารย์หลัว น้องชายของผมคนนี้ที่วันก่อนเคยพูดให้ท่านฟัง ครั้งนี้ผมจึงพาเขามาคารวะท่าน…”


เกาเฉียนจิ้นก้าวออกมาจากหลังเยี่ยเทียน แนะนำหูจวินให้อาจารย์รู้จัก ท่าทางของเขานอบน้อมกว่าเยี่ยเทียนมาก


จนเกือบจะเรียกฝ่ายตรงข้ามว่าท่านเทพหลัวแล้ว


อาจารย์หลัวยังคงไม่ลุกขึ้น แค่พยักหน้าให้หูจวิน พูดว่า “เสี่ยวเกา เธอรู้อยู่ว่าวันหนึ่งฉันทำนายดวงชะตาแค่วันละครั้งเท่านั้น ถ้ามากเกินจะแพร่งพรายลิขิตสวรรค์และโดนกรรมตามสนอง เสี่ยวเกา วันนี้เธอพาคุณหลัวมา เพื่ออะไรหรือ?”


ได้ฟังอาจารย์หลัวพูดอย่างนี้ เกาเฉียนจิ้นรู้สึกลำบากใจ “คือ…คือ อาจารย์หลัว ขอสักครั้งไม่ได้เหรอ?”


อาจารย์หลัวส่ายหน้า “เสี่ยวเกา ถึงแม้ว่าพวกเราจะได้ล่วงรู้ถึงบัญญัติแห่งสวรรค์ แต่ก็มีความเสี่ยงและอันตรายที่สุด เรื่องนี้…ไม่ต้องพูดต่อแล้ว!”


เกาเฉียนจิ้นคิดสักครู่แล้วกล่าวต่อ “งั้น…ถ้างั้นอาจารย์หลัว ท่านว่าอย่างนี้ดีไหม ท่านกลับช้าไปอีกวันหนึ่ง พรุ่งนี้ท่านช่วยทำนายให้เพื่อนผมอีกที ส่วนค่าตอบแทนท่านสบายใจได้ ตามกฎของท่านผมเพิ่มให้อีกเท่านึง เป็นไง?”


“อย่างนี้เหรอ? ใช่ว่าจะไม่ได้!”


ข้อเสนอของเกาเฉียนจิ้น อาจารย์หลัวเงียบไปพักหนึ่งแล้วตอบว่า “ถ้างั้นกลับช้าไปวันหนึ่งแล้วกัน พี่ถัง ท่านต้องรอ อีหนึ่งวันแล้ว”


“ไม่เป็นไร ผมมีเรื่องจะคุยกับเยี่ยเทียนอยู่พอดี อาจารย์หลัวตัดสินใจได้เลย…” ท่าทีของถังเหวินหย่วนต่ออาจารย์หลัว ถึงจะไม่ได้เคารพนบนอบเท่าเกาเฉียนจิ้น แต่ก็ยังรักษามารยาทอยู่เสมอ การพูดจาก็ไว้หน้าอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด


“ขอบคุณพี่ถังที่อะลุ่มอล่วย เรื่องที่คุณขอ ผมจะช่วยอย่างสุดความสามารถ!”


ถังเหวินหยวนพูดจบ อาจารย์หลัวก็ยืนขึ้นมา แล้วกวักมือเรียกเกาเฉียนจิ้น “เสี่ยวเกา ห้องรับแขกคนเยอะ ตั้งสมาธิทำนายไม่ได้ เธอเข้าไปในห้องกับฉันเถอะ…”


ตั้งแต่เยี่ยเทียนได้นั่งลงบนโซฟา เขาก็ถูกทุกคนมองเป็นอากาศ มองตามเกาเฉียนจิ้นกับอาจารย์หลัวเดินเข้าห้องไป จู่ๆ ก็โพล่งออกมาว่า “พี่เกา ผมมีเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะถามดีไหม?”


“หืม? น้องเยี่ย เรื่องอะไรล่ะ? วันนี้ฉันมาหาอาจารย์หลัวเพื่อทำนายดวงชะตา เรื่องของนายถ้าไม่สำคัญ ไว้รอฉันกลับออกมาค่อยคุย?”


เกาเฉียนจิ้นได้ยินเสียงเรียกของเยี่ยเทียนจึงหยุดชะงัก เห็นได้ว่าเขาไม่พอใจที่เยี่ยเทียนตะโกนห้ามเขาไว้


“สำหรับผมมันสำคัญมาก…”


เยี่ยเทียนทำให้ทุกคนในห้องหันมามองเป็นตาเดียว “ผมอยากจะถามว่า อาจารย์หลัวทำนายดวงชะตาวันละครั้งต้องการเงินค่าทำนายเท่าไหร่? ทำนายดวงชะตาชีวิตได้อย่างไร? ทำนายเคราะห์ดีเคราะห์ร้ายเท่าไร? แก้ลิขิตพลิกชะตาคิดเท่าไร?


“นี่…นี่ น้องเยี่ย อันนี้ ฉันเองก็ไม่เข้าใจ…”


เยี่ยเทียนยิงคำถามรัวๆ ใส่เกาเฉียนจิ้น จนเขางุนงงตาค้าง เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าการทำนายดวงชะตาผูกดวงยังแบ่งได้อีกหลายชนิด? เหมือนว่าครั้งก่อนที่ให้อาจารย์หลัวดูดวงให้ แค่โยนเหรียญทองแดงไม่กี่อันเท่านั้น


“เหอะๆ ดูไม่ออกเลยว่า น้องเทียนจะเป็นคนในวงการนี้ด้วย?”


เกาเฉียนจิ้นส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปที่อาจารย์หลัว อาจารย์หัวเราะออกมา กล่าวว่า “ตอนที่ผมอยู่เมืองนอกก็ เคยได้ยินมาว่า ในประเทศมีคนใช้วิชาอาคมหลอกลวงคนมากมาย เสี่ยวเยี่ยอายุแค่นี้มีรู้มากขนาดนี้ หายาก หายาก!”


คำพูดของอาจารย์หลัวทำให้สายตาของคนอื่นในห้องที่มองเยี่ยเทียนแปลกไป ถ้าบอกว่าอาจารย์หลัวกำลังชมเยี่ย เทียน ไม่สู้บอกว่าอาจารย์กำลังตำหนิเยี่ยเทียนว่าเป็นคนหลอกลวง


182 สำนักเจียงเซียง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อาจารย์หลัว เยี่ยเทียนอายุยังน้อย  ไม่เคยเจอคนเก่งกาจจากต่างแดน แต่ว่าเขาเองก็มีความสามารถอยู่จริงเช่นกัน ในเมืองปักกิ่งนี้ ผู้คนมากมายต่างรู้จักเขา…”


เยี่ยเทียนเป็นคนที่เกาเฉียนจิ้นพามา อาจารย์หลัวพูดกับเยี่ยเทียนอย่างนั้น เท่ากับว่าไม่ไว้หน้าคุณชายเกา เมื่อเสียงของอาจารย์หลัวเงียบลง เกาเฉียนจิ้นจึงเอ่ยปากรอมชอม


“นั่นสิ คุณหลัว คุณจะไปโต้เถียงกับเด็กคนหนึ่งทำไมกัน? เยี่ยเทียนเพียงรู้สึกสงสัยเรื่องการคิดเงินของเส้นทางธุรกิจนี้ ในต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย…”


ถังเหวินหย่วนมาปักกิ่งคราวนี้ ความจริงมีเรื่องขอร้องเยี่ยเทียนเช่นกัน จึงไม่อยากให้เขาลำบากใจเกินไป “เยี่ยเทียน อาจารย์หลัวเป็นยอดฝีมือในปัจจุบัน จะเป็นการเสี่ยงทาย นรลักษณ์ศาสตร์ ฮวงจุ้ย ภูมิลักษณ์พยากรณ์ ล้วนเชี่ยวชาญทุกด้าน มาดูดวงชะตากับเขา ก็ต้องราคานี้แหละ!”


ถังเหวินหย่วนยื่นฝ่ามือออกมา พลิกโบกไปมาข้างหน้าเยี่ยเทียน


“ห้าหมื่น?” เยี่ยเทียนเอ่ยถาม ราคานี้ไม่สูงหรือ? ดูท่าตาแก่ลวงโลกคนนี้กลับไม่โลภมากเสียเท่าไหร่


“ฮึ!กบในกะลา……” พอเสียงของเยี่ยเทียนเงียบลง อาจารย์หลัวก็แค่นหัวเราะเสียงเย็นออกมา


“หนึ่งแสน และเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ!”


ถังเหวินหย่วนหัวเราะชมขื่นหนึ่งเสียง ตัวเองอยู่เฉยๆ จะไปหลอกล่อทำไม เป็นแบบนี้ อาจารย์หลัวยิ่งทำให้เยี่ยเทียน ไม่พอใจอีก อีกประเดี๋ยวตัวเขาบอกเรื่องนั้นกับเยี่ยเทียน กลับจะทำให้ยิ่งวุ่นวายขึ้นไปอีกแค่ไหน


“อะไรนะ? หนึ่งแสนดอลลาร์สหรัฐ?”


เยี่ยเทียนถลึงตาเบิกกว้าง ดูท่าพระต่างชาติคนนี้คงจะท่องมนต์เก่ง ตัวเขาเองก่อนหน้านี้กำหนดราคาไว้ ตอนเปิด บริษัท เสี่ยงทายดวงชะตาราคาอยู่ระหว่างห้าพันถึงห้าหมื่นเท่านั้น ตาแก่นี่กลับคิดราคาสูงกว่าเขาถึงสิบกว่าเท่า


“เห็นโลกน้อยก็เลยประหลาดใจ ฉันลอบมองความลับสวรรค์ เดิมถือเป็นการทำผิดกฎสวรรค์ คิดเงินมากหน่อยแล้ว จะเป็นไร?” พอเห็นเยี่ยเทียนตกใจอย่างนั้น อาจารย์หลัวก็แอบรู้สึกพอใจ สมกับเป็นด้วงดินอยู่แต่ในประเทศ ถึงทำเหมือนไม่ เคยเห็นเงินอย่างนั้น


“ทำผิดกฎสวรรค์?”


เมื่อได้ยินอาจารย์หลัวพูดอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็มองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ ตาแก่นี่ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีคลื่นพลังชี่ที่ น่าหวาดหวั่นอะไรเลย เยี่ยเทียนจึงไม่รู้ว่าเขาฝ่าฝืนความลับสวรรค์อย่างไร


ควรทราบว่า ไม่ว่าจะเป็นการเสี่ยงทายดวงชะตาหรือฮวงจุ้ย ภูมิลักษณ์พยากรณ์ ล้วนเป็นการใช้วิชาปั่นป่วนความ ลับสวรรค์ แล้วลอบมองความจริงน้อยนิดภายใน อาจารย์หลัวผู้นี้พูดจาอย่างสวยหรู ทว่าความจริงเยี่ยเทียนไม่แน่ใจจริงๆ ว่า ลำพังอาศัยแค่ปากก็สามารถสร้างปาฏิหารย์ปั่นป่วนความลับสวรรค์ได้แล้วหรือ?


เยี่ยเทียนเริ่มศึกษาวิชาตั้งแต่อายุห้าขวบ จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาครบสิบห้าปีแล้ว ระหว่างนั้นยังได้รับสืบทอดวิชา จากอาจารย์ปู่ ล่วงรู้แตกฉานในวิชาพลิกดวงชะตา


สามารถพูดได้ว่าโลกยุคปัจจุบัน ไม่มีใครศึกษาวิชาพยากรณ์ทะลุปรุโปร่งมากไปกว่าเขาอีกแล้ว กระทั่งหลี่ซั่นหยวน ที่อยู่มาเกือบหนึ่งร้อยสามสิบปียังไม่อาจเทียบ มาตอนนี้อาจารย์หลัวผู้นี้พูดถึงวิชาพยากรณ์ จึงทำให้เยี่ยเทียนอดนึกขำไม่ได้


“เสี่ยวเกา คนไม่รู้จักมารยาทอย่างนี้ คราวหลังอย่าพามาอีกล่ะ…”


ได้เห็นรอยยิ้มเย็นบนใบหน้าเยี่ยเทียน หลัวจื้อไม่รู้ว่าเหตุใดจึงข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ไม่อยู่ หากว่าตามลำดับอาวุโส ของเขากับเยี่ยเทียนแล้ว นั่นออกจะเป็นการหยามเกียรติกัน


น้องเยี่ย นาย เอ่อ ถ้ายังไง นายไปคุยเป็นเพื่อนท่านผู้เฒ่าก่อนไหม?”


เกาเฉียนจิ้นก็ไม่คิดว่าพอเยี่ยเทียนมาถึงที่นี่แล้ว จะไม่ลงรอยกับอาจารย์หลัว ฝ่ายหนึ่งเป็นท่านอาจารย์ที่ตัวเองใช้ เส้นสายเชิญมาจากต่างประเทศอย่างยากลำบาก อีกฝ่ายคือสหายที่เพิ่งรู้จักกัน เกาเฉียนจิ้นเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี


“พี่เกา ไม่เป็นไรหรอก ผมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับท่านอาจารย์หลัวสักหน่อยเท่านั้น”


เยี่ยเทียนยิ้มตอบ แต่กลับไม่ยอมจากไป ตอนแรกเขากำลังยุ่ง ถูกเกาเฉียนจิ้นเรียกให้มาพบท่านอาจารย์สักคน ไม่นึกว่าจะกลายเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ


แต่ละธุรกิจต่างมีกฎเกณฑ์ของตัวเอง ทีแรกเยี่ยเทียนไม่คิดจะเปิดโปงเขา แต่ว่าตาแก่นี่หลอกลวงคนเกินขอบเขต ถึงกับอ้างความเป็นอาวุโสชี้หน้าด่าทอต่อหน้าผู้สืบทอดสำนักเสื้อป่านเทพพยากรณ์ สิ่งนี้ทำให้ “อาจารย์เยี่ย” เองก็ไม่อาจทน ได้


“เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ฉันกับแกมีอะไรให้แลกเปลี่ยนกันได้หรือ? เสี่ยวเกา วันนี้อารมณ์ไม่ดี เรื่องช่วยแกทำนาย ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันเถอะ!”


คำพูดของอาาจารย์หลัวดูหมิ่นเยี่ยเทียน ในสายตาของเขา อายุประมาณเยี่ยเทียน เกรงว่ากระทั่งสัจจคาถาส่วนหนึ่ง ในบทสวดก็คงท่องได้ไม่จบ แต่กลับบังอาจมาท้าทายตัวเอง?


ด้วยภาพลักษณ์อาจารย์ ต้องทำเป็นหงุดหงิดอยู่เสมอและทางที่ดีที่สุดต้องให้คุณชายเกาผู้นั้นกังวล จนรีบจ่ายเงิน


เพิ่มจากความฉุนเฉียวของตน การกระทำแบบนี้จะเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว อาจารย์หลัวใช้เล่ห์กลนี้อย่างง่ายดาย


จนคุ้นชิน


เป็นไปตามคาด เมื่ออาจารย์หลัวพูดออกมาอย่างนั้น เกาเฉียนจิ้นก็ลนลานขึ้นมา กล่าวโทษเยี่ยเทียน “น้องเยี่ย ฉันอุตส่าห์ชวนนายมาพบท่านผู้เฒ่า นายดูสินายทำเรื่องอะไรให้ฉัน?”


ได้ยินเกาเฉียนจิ้นพูดแบบนั้นแล้ว สีหน้ายิ้มแย้มของเยี่ยเทียนก็สลายไปทันใด สายตาจ้องตรงยังเกาเฉียนจิ้น กล่าวว่า “พี่เกา พี่พูดคำพูดเมื่อกี้อีกทีสิ? ผมสร้างปัญหาให้พี่เหรอ?”


“ฉัน…ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เฮ้อ เรื่องนี้จบแค่ตรงนี้ได้ไหม?”


ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาของเยี่ยเทียน เกาเฉียนจิ้นกลับรู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะ สายตานั้น ช่างคล้ายกับบรรพบุรุษของตัวเองที่ผ่านศึกสงครามมานับไม่ถ้วน ชวนให้ผู้คนไม่กล้าสบตา


“ช่างเถอะ น่าเบื่อ อาจารย์หลัว ขึ้นเขาสุดท้ายย่อมต้องเจอเสือ ผู้เฒ่าอย่างท่านลดราวาศอกลงมาเสียบ้างเถอะ เงินน่ะหาเท่าไหร่ก็ไม่หมด อย่าใจดำให้มากนัก…”


เยี่ยเทียนส่ายหน้าลุกขึ้นยืน ก้าวตรงจะออกไปยังด้านนอกโดยไม่กล่าวลาผู้คนที่อยู่ภายในห้อง


“ช้าก่อน!”


“เสี่ยวเยี่ย หยุดก่อน!”


เสียงสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน แบ่งเป็นมาจากปากถังเหวินหย่วนกับอาจารย์หลัวผู้มีสีหน้าโกรธขึ้ง


“เสี่ยวเยี่ย ที่นี่มีอะไรเข้าใจผิดกันหรือเปล่า?” ถังเหวินหย่วนยังคิดจะซื้อของขลังจากเยี่ยเทียนอีกสักชิ้น จึงไม่ยอม ให้เยี่ยเทียนหุนหันจากไป


“เยี่ยเทียนสินะ คำพูดของแกเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร?”


หลัวจื้อถูกคนในวงการพาตัวจากประเทศจีนไปต่างประเทศตั้งแต่แปดขวบ พออายุสิบห้าก็ยืนหยัดได้โดยลำพัง


ทำนายดวงชะตาให้ผู้คนมาสี่สิบกว่าปีไม่มีพลาดวันนี้ชื่อเสียงแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้าถูกเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้หนึ่ง คลางแคลงใจอาจารย์หลัวรู้สึกว่าความภาคภูมิใจของตนถูกทำลายลงอย่างรุนแรง


เยี่ยเทียนหันกลับมา ยิ้มตาหยีมองยังหลัวจื้อ พูดว่า “อาจารย์หลัว ขอถามท่านเปียเฮ่าเอ๋อร์ (ชื่ออะไร) ของท่านคือ


อะไร?!!!”


ขณะที่พูดถึงเปียเฮ่าเอ๋อร์ เยี่ยเทียนเพิ่มน้ำเสียงให้ยิ่งใหญ่ดุดัน คำว่า “คืออะไร” สามคำนี้ ดังกึกก้องราวอัสนีบาต อยู่ข้างหูอาจารย์หลัว


พุทธศาสนามีสิงห์คำราม ศาสนาเต๋ามี มันตราเก้าอักษรว่า “ผู้เผชิญสงคราม เดินทัพตามลำดับ” เมื่อครู่เสียงที่เยี่ย เทียนตวาด ใช้มันตราอักษร “ทัพ” เพื่อสะกดจิตหลัวจื้ออย่างฉับพลัน


“พูดมา เปียเฮ่าเอ๋อร์คืออะไร?!” เยี่ยเทียนตวาดขึ้นอีกครั้ง


“หลัวจื้อปิ่ง!” อาจารย์หลัวตอบกลับอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ เขาไม่สามารถควบคุมปากตัวเองได้อีกต่อไป


“ว่อปิ่ง (รังกิ่งก้าน) อยู่ที่ไหน?!” เยี่ยเทียนไต่สวน


“เล่อซานเสฉวน!”


“พ่อของอาจารย์คือใคร?”


“ปีแรกฉินไป่ฉวนกลางฉวน ปัจจุบันอยู่เหนือน้ำสายลม……”


ระหว่างที่ถามตอบ ดวงตาของอาจารย์หลัวเผยให้เห็นถึงความหวาดหวั่น แต่ว่าคำพูดของเยี่ยเทียนราวกับมีมนต์ สะกด ทำให้เขาต้องพูดต่อไปแม้ใจจะไม่ยินยอม


“คันจ่าย (สืบปี)?” เยี่ยเทียนยังคงสอบสวนต่อ


“เจ๋อจวี๋หลิว (กฎขอบเขตรินไหล)” สีหน้าของหลัวจื้อทรมาน ราวกับกำลังต้านทานความเจ็บปวดใหญ่หลวง


“พีตั่งโฝ่ว(แยกพรรคหรือไม่)?!”


“พรวด!”


ขณะที่เยี่ยเทียนถามประโยคสุดท้ายออกมานั่นเอง อาจารย์หลัวพลันกัดลิ้นตัวเอง เลือดสดๆ พวยพุ่งออกมา หมด สิ้นเรี่ยวแรงทิ้งเนื้อตัวอยู่บนโซฟา


แต่เพราะอย่างนี้ เขาถึงรอดพ้นจากความหวาดหวั่นในมันตราของเยี่ยเทียน ใบหน้าซีดขาวจดจ้องเยี่ยเทียนราวกับ เห็นผี รหัสลับประจำสำนักที่ซุกซ่อนในใจมาหลายสิบปี กลับถูกเยี่ยเทียนเปิดเผยในคำเดียว


ที่เยี่ยเทียนถามถึง “เปียเฮ่าเอ๋อร์” ครั้งแรก คือถามชื่อจริงของปรมาจารย์หลัวว่าคืออะไร “ว่อปิ่ง” นั้นคือถามว่าเขาเป็น คนที่ไหน


ส่วน “พ่อปรมาจารย์” เยี่ยเทียนถามว่าผู้นำของเขาคือใครคำตอบของหลัวจื้อคือช่วงปีแรก


อยู่สำนักของฉินไป่ชวนในมณฑลเสฉวน จากนั้นก็ไม่มีสำนัก ร่อนเร่ก่อคดีตามลำพัง


“คันจ่าย” ช่วงท้าย ถามว่าหลัวจื้อกระทำการเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว หลัวจื้อตอบว่าสี่สิบเอ็ดปี ตัวอักษร “เจ๋อ” หมายถึงเลขสี่ “จวี๋” และ “หลิว” แบ่งความหมายเป็นสิบและเอ็ด ทั้งหมดนี้คือรหัสลับที่ใช้เฉพาะในสำนักของหลัวจื้อ


สุดท้ายที่เยี่ยเทียนถามถึง “พีตั่งโฝ่ว” นั้นถามปรมาจารย์หลัวว่าเคยฆ่าคนหรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่าหลัวจื้อต่อต้าน คำถามนี้อย่างหนัก ยอมกัดลิ้นขาด แต่ไม่ยอมตอบคำถามเยี่ยเทียน


“ออกจากประเทศไม่กี่ปี ก็ลืมรากเหง้าว่าอยู่ที่ไหนแล้วหรือ?”


เยี่ยเทียนยังคงยิ้มหยัน จากบทสนทนาก่อนหน้า ทำให้เขารู้สถานภาพที่มาของคนคนนี้แต่แรก เขาไม่ใช่หมอดูฮวงจุ้ย อะไรหรอก แต่เป็นเศษเดนของสำนักเจียงเซียงในประเทศจีนที่ถูกกดดันและกวาดล้างจนเกือบสิ้นซากในอดีต


“สำนักเจียงเซียง” ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์มาเกือบสามร้อยปี ก่อกำเนิดในยุคสมัยจักรพรรดิ์คังซี จักรพรรดิเฉียน หลงแห่งราชวงศ์ชิง รุ่งเรืองช่วงปลายยุคราชวงศ์ชิงและสาธารณรัฐประชาชนจีน จากนั้นหลังสงครามปลดแอกก็ค่อยๆ ถูก กวาดล้างจนสิ้นเป็นสำนักในยุทธภพที่อาศัยป้ายทำนายดวงชะตา หลอกหลวงเงินทองจากผู้คน


องค์กรนี้เริ่มแรกคือฟางเจ้าอวี๋หนึ่งในห้าบรรพบุรุษสมาคมหงเหมินก่อตั้งขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อ “ล้มชิงฟื้นหมิง” ถือว่าเป็นสาขาหนึ่งของพรรคฟ้าดินในยุคนั้น และเป็นสำนักหนึ่งของสมาคมหงเหมิน


แต่ตามประวัติศาสตร์ พอถึงยุคปลายราชวงศ์ชิงและยุคสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว กลุ่มนี้ก็ค่อย ๆ สูญเสียจุดยืน จุดประสงค์ที่ดำรงอยู่เพื่อ “ล้มชิงฟื้นหมิง” ก็กลับกลายเป็นหลอกลวงผู้คนไปโดยสมบูรณ์


หลังจากก่อตั้งสาธารณรัฐจีนในปี 1950 ขณะที่รัฐบาลมีการรณรงค์ปราบปราม “พวกฮุยเต้าหเมิน (พวกศาสนาที่มอมเมาประชาชน)” ต่างๆ ทำให้ลูก ศิษย์ของสำนักเจียงเซียงนับพันนับหมื่นถูกกำจัดไปจนหมด แต่เนื่องจากสาวกนั้นกระจัดกระ จายอยู่ทั่วประเทศ จึงมีที่หนีไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองจำนวนไม่น้อย โดยอาศัยการสนับสนุนจากสำนักหงเหมินเมื่อในอดีตจึง สามารถดำรงอยู่ต่อไป


ตอนนี้เยี่ยเทียนสามารถตัดสินได้ว่า อาจารย์หลัวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ คือหนึ่งในสมาชิกเจียงเซียง ที่หนีออกไปต่างประ เทศเมื่อตอนนั้น แต่ดูจากวัยของเขาแล้ว ตอนหนีไปน่าจะมีอายุราวเจ็ดแปดขวบ มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นลูกหลานรุ่นหลัง ของอาจารย์สักคน


หลังจากถูกเยี่ยเทียนสะกดจิต สอบสวนอย่างดุเดือดรุนแรง หลัวจื้อก็ไม่กล้ายกตนข่มท่านอีกต่อไป อดกลั้นความเจ็บ ปวดที่ลิ้นในปาก ลุกขึ้นยืนถามเยี่ยเทียนอย่างพินอบพิเทา “น้อง…น้องเยี่ยที่แท้เป็นผู้อยู่ใน “ความมืด” เช่นเดียวกันหรือ?”


“น้องเยี่ย? แกคู่ควรเรียกฉันว่าน้องด้วยเรอะ?!”


เยี่ยเทียนที่เก็บงำถ่อมตน ตอนนี้กลับเปิดเผยความสามารถที่แท้จริง ไม่ไว้หน้าแก่หลัวจื้อเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่รู้ว่า เขาคือหนึ่งในสำนักเจียงเซียง ไฟโทสะของเยี่ยเทียนก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนถึงขีดสูงสุด


183 อักษรรุ่น

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


ที่สำคัญคือ นับแต่ราชวงศ์ซ่งเป็นต้นมา ในราชสำนักหมอดูฮวงจุ้ยมีสถานะสูงส่ง ถึงแม้ไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมือง แต่มีสถานะสันโดษ ได้รับความเคารพจากกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์มาโดยตลอด


จนมาถึงราชวงศ์ชิง จากสาเหตุที่ราชสำนักถูกกดดัน ชีวิตของหมอดูฮวงจุ้ยทั้งหลายจึงไม่สุขสบายเหมือนแต่ก่อน แต่ว่าในกลุ่มชาวบ้าน ยังคงมีผู้คนไม่น้อยเชื่อถือในทฤษฎีฮวงจุ้ย แม้ไม่พูดถึงความหรูหราร่ำรวย ใช้ชีวิตปานกลางก็นับว่า ไม่เป็นปัญหา


แต่พอถึงช่วงปลายราชวงศ์ชิงการปรากฎตัวและเฟื่องฟูของสำนักเจียงเซียงกลับกลายเป็นสำนักหมอดูพยากรณ์ฮวงจุ้ยในสายตาของผู้คน


ด้วยเหตุที่คนในสำนักเจียงเซียงพยายามกอบโกย โดยเล่นเล่ห์เพทุบายทุกรูปแบบ ทำให้หมอดูฮวงจุ้ยที่แท้โดน หางเลข ถูกผู้คนก่นด่าไล่ตีราวหนูสกปรกบนถนนตามไปด้วย


ในฐานะผู้สืบทอดสายเลือดของสำนักเสื้อป่าน นักพรตเต๋าต่างชิงชังพวกเขาเข้ากระดูกดำ แต่ด้วยพลังอันน้อยนิด ของเขาเพียงลำพัง กลับไม่สามารถต้านทานการกวาดล้างสำนักเจียงเซียงทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ได้


หลี่ซั่นหยวนเคยกล่าวกับหยวนซู่ซันหมอดูทำนายดวงชะตาด้วยประโยคนี้ สำนักเจียงเซียงไม่สิ้นศาสตร์ลึกลับ ฮวงจุ้ยจะไม่มีวันได้โงหัว สามารถเห็นได้ว่านักพรตเต๋ารังเกียจพวกเขาอย่างที่สุด


หลี่ซั่นหยวนไม่เพียงพูดปากเปล่า แต่เขายังลงมือกระทำไปไม่น้อย ในอดีตบุกเข้ากลางเสฉวนโดยลำพัง ถอนราก ถอนโคนสำนักเจียงเซียงในเสฉวน ฉินไป่ฉวนที่หลัวจื้อพูดถึง ความจริงเป็นปลาที่เล็ดรอดหลุดจากแหไปได้ในครั้งนั้น แต่ว่า ผู้นำของฉินไป่ฉวนได้เสียชีวิตด้วยน้ำมือของหลี่ซั่นหยวน


ได้ยินเรื่องต่ำทรามของสำนักเจียงเซียงจากปากของนักพรตเต๋ามาตั้งแต่เด็ก หากเยี่ยเทียนสามารถเข้าหน้ากับหลัว จื้อได้สิถึงจะเป็นเรื่องแปลก? ถ้าไม่ใช่เพราะปัจจุบันการฆ่าคนเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เยี่ยเทียนอาจจะทำตามกฎที่นักพรตเต๋า ตั้งขึ้น ใช้เลือดเนื้อทำลายการมีอยู่ของคนในสำนักเจียงเซียง


“มิกล้า มิกล้า ขอถามท่านเยี่ย ในวงการมีรหัสนามว่าอะไร? สหายหงเหมินล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเราก็คือ กคลื่นวารีโถมใส่อารามมังกร ครอบครัวเดียวแต่ไม่รู้จักกัน……”


แม้เยี่ยเทียนจะมีท่าทีรังเกียจ แต่หลัวจื้อกลับโอนอ่อนผ่อนตาม ถึงขั้นใช้คำว่าท่าน เขาในตอนนี้ยังหาภาพลักษณ์ ของอาจารย์จากไหนได้? ท่าทีนอบน้อมราวกับเป็นรุ่นน้องของเยี่ยเทียนก็ไม่ปาน


“หลัว…อาจารย์หลัว นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”


ใช่ว่าคุณชายเกาไม่เข้าใจ ความจริงคือโลกนี้เปลี่ยนไปรวดเร็วเกิน ช่วงเวลาก่อนหน้าหลังไม่กี่นาที ภาพลักษณ์อาจารย์หลัวผู้ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานในความคิดเขากลับพังครืนล่มสลายลงแล้ว


ได้เห็นท่าทีของอาจารย์หลัวที่มีต่อเยี่ยเทียนแล้ว ในใจของเกาเฉียนจิ้นก็กระจ่างขึ้นมา ที่แท้ “อาจารย์เยี่ย” ที่เขาพามา เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าอาจารย์หลัว


คิดถึงท่าทางของตัวเองเมื่อครู่แล้ว ในใจของคุณชายเกาเกิดสับสนขึ้นมาทันที ตัวเองจุดธูปไหว้พระไปทั่วทุกทิศ กลับคาดไม่ถึงว่าพระที่แท้อยู่ตรงหน้าทว่าไม่รู้ตัว


ไม่เพียงแต่คุณชายเกา แต่ละคนที่อยู่ภายในห้องต่างรู้สึกว่าภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ราวกับเรื่องพิสดารพันลึก โดยเฉพาะหญิงสาวที่ถังเหวินหย่วนพามานั้น ถึงกับอ้าปากค้าง เห็นชัดว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย


ควรทราบว่า เธอได้รับรู้จากปากคำของปู่ว่า อาจารย์หลัวท่านนี้เชี่ยวชาญทั้งศาสตร์ปัจจุบันและโบราณ เรียกได้ว่า เป็นเทพเซียนในร่างมนุษย์ แต่เทพเซียนกลับกลายเป็นคนธรรมดาอย่างฉับพลัน ความผิดหวังในใจนั้น จึงใหญ่หลวงไม่น้อย


“ท่านหลัว ยังต้องการให้พวกเราออกไปหรือไม่ครับ?”


ต้องบอกว่าคนพวกนี้ที่อยู่ภายในห้อง อีกทั้งถังเหวินหย่วนพอจะฟังออกเป็นบางส่วน เขามาจากสมาคมโบราณ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจรหัสลับในยุทธภพพวกนี้ แต่กลับเดาความหมายส่วนใหญ่ได้


อีกทั้งถังเหวินหย่วนเองก็เข้าใจกฎเกณฑ์ดี บทสนทนารหัสลับยามพบหน้า ของผู้อยู่เส้นทางเดียวกันในยุทธภพนั้น ไม่อยากให้คนนอกฟังความหมายออก ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายเริ่มต้นเอ่ยถามหลัวจื้อสักประโยค


“คุณถัง เสียมารยาทแล้ว……”


พอได้ยินคำพูดของถังเหวินหย่วน หลัวจื้อจึงแสดงปฏิกิริยา ที่แท้ในห้องนี้ยังมีคนอยู่มาก ดึงหน้าขรึมในฉับพลัน เอ่ยปากกับคุณชายเกาและคนอื่นๆ ” พวกเธอออกไปก่อน ฉันกับท่านเยี่ยเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน มีเรื่องส่วนตัวต้องคุย กันเล็กน้อย…”


ตามกฎของสำนักเจียงเซียงจะแสดงท่าทีอย่างนี้กับผู้ถือเงินไม่ได้เด็ดขาด แต่ว่าหลัวจื้อถูกความสามารถของเยี่ย เทียน และคำพูดเหล่านั้นเมื่อครู่ทำให้จิตใจไม่สงบนิ่ง จึงไม่สามารถใส่ใจได้ถึงขั้นนั้น


“ช่างเถอะ ไม่ต้องออกไปหรอก…”


เยี่ยเทียนรู้สึกเยือกเย็นขึ้นมาอย่างฉับพลัน ต่อให้สังหารคนในสำนักเจียงเซียงพวกนี้จนหมดสิ้นแล้วได้อะไรขึ้นมา? ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดที่ฝังรากลงลึกพวกนั้นในสายตาของผู้คนหลายสิบปีที่ผ่านมาได้อยู่ดี


ถ้าหากอยากให้หมอดูฮวงจุ้ยเป็นที่ยอมรับในสังคมหลักอย่างน้อยในตอนนี้ ก็ดูเหมือนจะเป็นภารกิจอันยากลำบาก ที่ไม่อาจทำให้สำเร็จได้


พอคิดถึงความปรารถนาสุดท้ายของท่านอาจารย์ ใจเยี่ยเทียนก็อดขุ่นเคืองขึ้นมาไม่ได้ มองยังหลัวจื้อปิ่งแล้วกล่าวว่า “ต่างหนทางต่างกฎเกณฑ์ คุณดำเนินชีวิตล้ำขอบเขต พูดออกมาเองเถอะว่าต้องจัดการอย่างไร?”


“ท่านเยี่ย ผม…ผมไม่ได้ตั้งใจ สหายหงเหมินครอบครัวเดียวกัน ท่านจะทำอย่างนั้นไม่ได้!”


เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดถึงกฎในสำนักเจียงเซียง หลัวจื้อปิ่งก็หนาวสั่นขึ้นมาทั้งตัวไม่หยุด ในอดีตเขาเคยได้ยิน ท่านอาจารย์พูด ว่าหากหาเงินเกินขอบเขตไร้เหตุผล เมื่อถูกจับสามารถถูกสังหารได้ในทันที


ในสายตาของหลัวจื้อปิ่ง เยี่ยเทียนนั้นคืออาจารย์ในเขตเมืองปักกิ่งเ ขามาถึงแล้วไม่ให้ความเคารพ อีกทั้งกลับสร้าง ความลำบากให้ เยี่ยเทียนอยากจะกดเขาจมลงในแม่น้ำ หลัวจื้อปิ่งก็ยังไม่อาจตอบโต้ได้


ดังนั้นหลัวจื้อปิ่งจึงยึดกฎสำนักหงเหมินไม่ยอมปล่อย และไม่พูดถึงเรื่องภายในสำนักเจียงเซียง ด้วยอยากให้เยี่ย เทียนเห็นแก่สถานภาพของสำนักหงเหมิน ละเว้นให้เขาสักครั้ง


หากไม่ใช่เพราะเวลานี้ภายในห้องมีคนอื่นอยู่ หลัวจื้อปิ่งคงจะคุกเข่าให้กับเยี่ยเทียนไปนานแล้ว กรีนการ์ดที่เขาถือ อยู่ไม่ใช่ของปลอม แต่ว่านั่นจะมีประโยชน์อะไร? ในสายตาของคนสำนักเดียวกัน เมื่อทำผิดกฎ ก็ต้องถูกแทงหกรูด้วยสามมีด


“คุณเอาสำนักหงเหมินมาอ้างผมเหรอ?”


เยี่ยเทียนแค่นยิ้มเสียงหนึ่ง  กล่าวว่า “บุปผาแดงใบไม้เขียวรากบัวขาว สามลัทธิเดิมคือหนึ่งสำนัก ประโยคนี้คุณเคย  ได้ยินหรือเปล่า?”


พอได้ยินคำพูดนี้ของเยี่ยเทียน หลัวจื้อปิ่งก็ลนลานยิ้มออก กล่าวว่า “ท่านเยี่ย ผมต้องรู้จักอยู่แล้ว ท่านคือบุปผาแดง หรือใบไม้เขียวกันล่ะ? ในอดีตผมคือคนของใบไม้เขียว จากนั้นจึงโยกย้ายมากลุ่มบุปผาแดง…”


บุปผาแดงใบไม้เขียวรากบัวขาวที่เยี่ยเทียนพูดถึงนั้น ความจริงหมายถึงหงเหมิน ชิงปัง และลัทธิบัวขาว สามองค์กร ที่ต้านชิงฟื้นหมิงสมัยราชวงศ์ชิง และคำตอบของหลัวจื้อปิ่งก็คือเดิมเขาเป็นคนของชิงปัง ภายหลังถึงได้เข้าสู่หงเหมิน


ในสมัยราชวงศ์ชิง ชิงปังช่วงแรกสุดกับหงเหมินนั้นค่อนข้างไม่ถูกกัน มีคำโบราณกล่าวว่า “จากชิงไปหงห่มผ้าแดง เฉลิมฉลอง จากหงไปชิงถูกแล่เนื้อเถือหนัง”


หลัวจื้อปิ่งนั้นย้ายจากชิงไปหง หากในทางกลับกัน เกรงว่าเขาจะไม่กล้าพูดอย่างมั่นอกมั่นใจขนาดนี้


“เป็นคนของชิงปังเรอะ? งั้นก็ดี ผมถามคุณหน่อย หยวน หมิง ซิ่ง หลี่ ต้า ทง อู้ เจวี๋ย คุณคือตัวอักษรไหน?”


“ผม…ผมไม่ใช่ตัวไหนทั้งนั้น ผม…ผมคืออักษรเป่าในยี่สิบสี่รุ่นหลัง ปู่เยี่ย ท่าน….ท่านมีตัวอักษรไหนในนั้นหรือ?”


ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ใบหน้าของหลัวจื้อปิ่งเผยให้เห็นสีหน้าอันเหนือความคาดหมาย กระทั่งถังเหวินหย่วน ที่อยู่ด้านข้างยังตกตะลึงพูดไม่ออก เขาเองก็ไม่นึกว่าอักษรรุ่นที่เยี่ยเทียนเอ่ยปากออกมา กลับกลายเป็นอักษรพวกนี้


ตัวอักษรเหล่านั้นที่เยี่ยเทียนพูดถึง คือลำดับรุ่นท้ายสุดจากยี่สิบสี่รุ่นแรกของชิงปัง แต่อย่าได้ดูถูกลำดับรุ่นพวกนี้เชียว ในโลกยุคปัจจุบัน เกรงว่านอกจากเยี่ยเทียน คนในลำดับรุ่นก่อนหน้าล้วนตายจากไปหมดแล้ว


ที่สำคัญคือ ตู้เย่วเซิง หัวหน้าชิงปังในอดีต คืออักษร “อู้” ในลำดับรุ่นเหล่านี้เท่านั้น


ในยุคนั้นของตู้เย่วเซิง คนในอักษร “หลี่” ต่างล้มหายตายกันไปหมดแล้ว อักษร “ต้า” ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือหยวนเค่อติ้ง ลูกชายของหยวนซื่อไข่


อาจพูดได้ว่า ใครก็ตามที่มีอักษรดังที่ว่ามาเหล่านั้น ถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบัน ก็จะต้องเป็นบุคคลระดับ บรรพบุรุษชิงปังอย่างแน่นอน ขั้นที่ว่าหากไปถึงสำนักจื้อกงถังที่อเมริกา จะต้องได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก


ส่วนการใช้อักษรรุ่นในปัจจุบันของชิงปัง จะถูกเรียกว่ายี่สิบสี่รุ่นหลัง หรือยี่สิบสี่รุ่นต่อมา แต่ละรุ่นมียี่สิบห้าตัวอักษร ที่หลัวจื้อปิ่งมีคืออักษร “เป่า” ในยี่สิบสี่รุ่นหลัง นับคำนวณดูแล้วก็ไม่ต่ำเลย


“อาจารย์ของผมอักษรรุ่นหลี่ คุณว่าผมรุ่นอะไรล่ะ?”


น้ำเสียงของเยี่ยเทียนอ่อนลงมาก แม้ว่าเขาจะสืบทอดจีวรและบาตรจากนักพรตเต๋า แต่อักษรรุ่นของตัวเองนั้นไม่ สามารถล่วงรู้ได้


เมื่อเห็นว่าหลัวจื้อปิ่งสนใจในลำดับรุ่นของชิงปังอย่างนั้น เยี่ยเทียนจึงผ่อนผันให้กับเจตนาร้ายของเขาลงมาก


“เป็นไปไม่ได้ อย่าว่าแต่อักษรรุ่นหลี่เลย ตอนนี้กระทั่งคนอักษรรุ่นเจวี๋ยก็ไม่เหลือแล้ว เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด…” พอ เยี่ยเทียนพูดออกมาแล้ว หลัวจื้อปิ่งยังไม่ทันได้ตอบ ถังเหวินหย่วนกลับตะโกนขึ้นมาเสียงดัง


“เหรอครับ? ท่านผู้เฒ่า ท่านเองก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?” เยี่ยเทียนมองยังถังเหวินหย่วนด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย


“ล้วนเป็นพรรคพวกเดียวกันทั้งนั้น ฉันเองก็ไม่กลัวที่จะพูดแล้ว ฉันเองเมื่อในอดีตก็เป็นคนในชิงปังเหมือนกัน เป็น อักษร รุ่นเซี่ยงในยี่สิบสี่รุ่นหลัง ทั้งยังเคยรับหน้าที่ดูแลพงศาวลีชิงปัง เยี่ยเทียน คนอักษรรุ่นหลี่ ตายจากกันไปหมดแล้ว…”


คำพูดของถังเหวินหย่วนทำให้คนที่อยู่ในห้องราวกับฟังคำกล่าวขานจากฟ้า กระทั่งหลานสาวของเขาเองยังไม่เคย นึกว่า ที่แท้ปู่ของตัวเองเมื่อก่อนเคยเป็นคนในสำนักไปด้วย?


ความจริงที่ฮ่องกงก่อนสงครามปลดแอก สาวกชิงปังจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามา ขยับขยายจำนวนสาวกเพิ่มขึ้นไม่ น้อย ซึ่งบรรพบุรุษก็คือองค์กรชิงปัง เหมือนสมาคมซันเหอในปัจจุบัน ถังเหวินหย่วนเคยอยู่ในประวัติศาสตร์เหล่านั้น แต่ก็ไม่มี ความหมายอะไรมาก


“อาจารย์ของผมยังไม่ตาย เพียงแต่พวกคุณไม่รู้เท่านั้น ท่านผู้เฒ่าลองกลับไปตรวจสอบดูว่า ในอักษรรุ่นหลี่มีคนชื่อ หลี่ซั่นหยวนหรือเปล่า เขามีชีวิตอยู่จนกระทั่งหนึ่งร้อยสามสิบปี…”


คำพูดของเยี่ยเทียนนี้สงบนิ่งมาก เขาเองก็ไม่กลัวถังเหวินหย่วนไปตรวจค้น เพราะว่านักพรตเต๋าหลี่ซั่นหยวน รุ่นอัก ษรหลี่นั้นเป็นคนใหญ่คนโตในชิงปังโดยแท้จริง เพียงแต่ภายหลังเขาท่องเที่ยวไปในยุทธภพ ไม่ได้ยินข่าวคราวนาน จึงทำให้คน ภายในชิงปังเข้าใจว่าตายจากไปนานแล้ว


ปัจจุบันเยี่ยเทียนสืบทอดจีวรและบาตรจากหลี่ซั่นหยวน ตามตรรกะแล้วก็คือบรรพบุรุษอักษรรุ่นต้าของชิงปัง เรื่องนี้ใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้


“หลี่ซั่นหยวน? ชื่อนี้เหมือนจะคุ้นๆ นะ นั่น…นั่นคือผู้เฒ่าที่เข้ามายังชิงปังเมื่อก่อนปี1900 ใช่ไหม?”


ถังเหวินหย่วนพึมพำชื่อของหลี่ซั่นหยวนสองสามรอบ ทันใดนั้นดวงตาก็เปล่งประกาย ระลึกถึงชื่อนี้ขึ้นมาได้


ที่สำคัญ บุคคลในชิงปังก่อนอักษรรุ่นต้านั้นมีไม่มาก เหมือนกับว่าทุกคนล้วนเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง รู้จักกว้าง ขวางกันในยุทธภพ แม้หลี่ซั่นหยวนจะปิดบังตัวตนในยุทธภพมานาน แต่ชื่อของเขากลับยังหลงเหลืออยู่ในพงศาวลีของชิงปัง


184 ท่านปู่

โดย

Ink Stone_Fantasy

เป้าหมายของชิงปังในยุคแรกเริ่มคือโค่นชิงฟื้นหมิง ผู้คนทุกรูปแบบจาก ‘สามศาสนาเก้าสำนัก’ ล้วนสามารถเข้า ร่วมได้ เหนือสุดสูงถึงคนในราชสำนัก ต่ำสุดลงยังขั้นพ่อค้าเร่และคนรับใช้ โครงสร้างสมาชิกมีความซับซ้อนหาใดเปรียบ


หลังจากรับสืบทอดจากสำนักเสื้อป่านแล้วนักพรตเต๋าก็ลาจากบ้านเกิด ออกท่องไปในยุทธภพ ขณะพักแรมในเซี่ยงไฮ้ ได้คบหาหัวหน้าชิงปังมากมาย จึงถูกดึงเข้าร่วมสำนักชิงปังด้วยเหตุนี้


ด้วยกระบวนวิชาอันล้ำเลิศของหลี่ซั่นหยวน ในสายตาผู้คนจำนวนมากนั้นเป็นความสามารถ ที่กระทั่งเทพหรือปีศาจ ก็ไม่อาจคาดเดา ดังนั้นหัวหน้าชิงปังผู้มีอักษรรุ่น “หลี่” ผู้หนึ่งจึงรับเขาเป็นสาวก และนี่คือที่มาของอักษรรุ่นอันน่าหวาดหวั่น ของหลี่ซั่นหยวน


แม้ว่าผู้คนในชิงปังจะให้ความเคารพนบนอบต่อหลี่ซั่นหยวน เทิดทูนบูชาราวกับเทพเซียนที่ยังมีชีวิต แต่การสืบทอด วิชานรลักษณ์ของท่านนักพรตยังไม่เสร็จสิ้น ความปรารถนาของเขาคือการขัดเกลาวิชาที่ได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ไม่ใช่ อะไรอย่าง “โค่นชิงฟื้นหมิง”


ดังนั้นหลังจากหลี่ซั่นหยวนรั้งอยู่ภายในชิงปังช่วงเวลาหนึ่ง ก็ออกจากเซี่ยงไฮ้ ขณะนั้นเพื่อเป็นการให้เกียรติต่อท่าน นักพรต หัวหน้าชิงปังจึงส่งหนังสือเชิญไปยังแต่ละสาขาของชิงปังที่มีอยู่ทั่วประเทศ แต่ผู้อาวุโสผู้มีอักษรก่อนรุ่น “หลี่” ล้วนต้อง ได้รับการแสดงความนอบน้อมจากลูกศิษย์


จากนั้นราชวงศ์ชิงถูกโค่นล้ม ชิงปังเองก็ต้องเร่งรีบขยับขยายเครือข่าย เวลานั้นหัวหน้าชิงปังเพียงไม่กี่คนต้องการ เชิญตัวหลี่ซั่นหยวนมาพยากรณ์อนาคตของชิงปัง แต่เสาะหาจนทั่วทุกทิศแล้วก็ยังไม่พบตัว


หลังจากนั้นอีกสิบกว่าปี หัวหน้าชิงปังในยุคนั้นล้วนตายจากไปกันหมด ด้วยความเป็นอาวุโสของหลี่ซั่นหยวน อีกทั้ง ไม่ปรากฏตัวในยุทธภพเป็นเวลานาน จึงถูกเข้าใจว่าไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์แล้ว


ขณะที่หลี่ซันหยวนเข้าร่วมกลุ่มชิงปัง อายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆ เท่านั้น ในชิงปังเองยังนับว่าเป็นตำนานตอนหนึ่ง เกี่ยว กับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา ในพงศาวลีของชิงปังเองล้วนมีบันทึกไว้อย่างละเอียด ไม่อย่างนั้นช่วงเวลาที่ห่างกันนาน เกือบศตวรรษ ถังเหวินหย่วนคงไม่มีทางรู้จักได้


“โอ้โห ที่แท้เมื่อก่อนท่านอาจารย์ก็มีชื่อเสียงเรียงนามถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”


ได้ยินถังเหวินหย่วนอธิบายสถานะของหลี่ซั่นหยวนให้ฟังแล้ว เยี่ยเทียนเองยังแอบตกตะลึงอยู่ในใจ ในอดีตนักพรต เต๋าน้อยนักจะพูดถึงเวลาที่ตัวเองท่องไปในยุทธภพ ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นหลังจากที่เยี่ยเทียนแก้ลิขิตพลิกชะตาให้กับเขา แล้ว จึงค่อยๆ เล่าออกมา


“เยี่ย…เยี่ยเทียน อา…อาจารย์ของท่านคือหลี่ซั่นหยวนจริงๆ หรือ?”


พอรู้ข่าวว่าไม่กี่ปีก่อนหลี่ซั่นหยวนยังคงมีชีวิตอยู่ ถังเหวินหย่วนก็ไม่อาจสงบใจได้ยิ่งไปกว่าเยี่ยเทียน ถ้าหากเรื่องนี้ แพร่กระจายออกไป เกรงว่าทั้งโลกชิงปังและกลุ่มหงเหมินจะต้องตื่นตระหนกขึ้นมา


“แน่นอน ผมเคยส่งสาส์นมงคล   ตามระเบียบการเข้าสำนักเจ็ดปีแล้ว เพียงแต่ท่านอาจารย์ขาดการติดต่อกับสำนัก ไม่ได้ไปรายงานตัวที่ฝ่ายบุคลากรเท่านั้น แต่สาส์นและเอกสารรายงานที่ท่านอาจารย์เขียนยังอยู่ครบ ผมจะโกหกพวกคุณได้ อย่างไร?”


ฝ่ายบุคลากรที่เยี่ยเทียนพูดถึงคือฝ่ายหนึ่งในชิงปังยุคแรกๆ ชิงปังยุคแรกเริ่มนั้นแบ่งเป็นฝ่ายประวัติ ฝ่ายพิธีการ ฝ่ายการบุคลากร ฝ่ายแรงงาน ฝ่ายกองทัพ ฝ่ายอาญาทั้งหกฝ่าย


ฝ่ายประวัติมีหน้าที่รวบรวมภารกิจใหญ่น้อยภายในสำนัก เรียบเรียงประวัติชิงปัง คัดลอกจัดเก็บหนังสือของหลัวจู่ และพงศาวลี โชคร้ายเกิดความวุ่นวายสี่ปีในยุคไท่ผิงเทียนกั๋วของจักรพรรดิ์เสียนเฟิง ศาลบรรพบุรุษที่หังโจว ถูกกองทัพไท่ผิง ทำลาย เอกสารทางประวัติศาสตร์จึงไม่ได้ถูกเก็บรักษา ข้อมูลภายหลังของชิงปังล้วนถูก เขียนขึ้นมาหลังจากยุคสมัยไท่ผิง เทียนกั๋ว


ฝ่ายกองทัพมีไว้สำหรับยามเผชิญศัตรู เป็นฝ่ายที่วางแผนการศึกทุกประเภท อย่างกลุ่มคนประเภทบุปผาคู่ไม้เท้าแดง ที่เห็นในภาพยนตร์ฮ่องกงอะไรพวกนั้น ล้วนเป็นพวกบริหารฝ่ายกองทัพทั้งสิ้น


ฝ่ายแรงงานปกติแล้วรับหน้าที่โครงงานหลากหลายสิ่งอย่างในสำนัก เช่นต่อเรือ จัดหาขนส่งวัตถุดิบ สร้างหอพิธีการ เป็นต้น และฝ่ายอาญาเป็นหน่วยบังคับใช้กฎของชิงปัง สำนวนที่ว่าลงสามดาบหกรูอะไรนั่น ล้วนเผยแพร่ออกไปจากที่นี่


ส่วนฝ่ายบุคลากร รับหน้าที่ดูแลสมาชิก เป็นฝ่ายสำคัญที่ดูแลทรัพยากรมนุษย์ในชิงปัง จัดอันดับเชิญเข้าสำนัก เลื่อนขั้นสมาชิก อาจารย์ของแต่ละฝ่าย ล้วนต้องส่งเอกสารเข้าฝ่ายบุคลากร ลงในบันทึกรายละเอียดสมาชิกของฝ่ายบุคลาการ  ท้ายสุดปลายปีรวบรวมเรียบเรียงเสร็จแล้วจึงส่งต่อให้ฝ่ายประวัติคัดลอกลงพงศาวลี


ฝ่ายพิธีการรับผิดชอบตั้งกฎเกณฑ์แบบแผนและตรวจสอบมารยาทของสมาชิก รับผิดชอบตรวจสอบการรับสมาชิก เข้าสามสำนักเก้ารุ่นว่าเหมาะสมตามกฎระเบียบหรือไม่ อีกทั้งรับตำแหน่งหน้าที่เป็นประธานหอพิธียามมีการก่อตั้งหอพิธีการ


ตอนนี้สิ่งที่เยี่ยเทียนขาดก็คือพิธีการนี้ ขอเพียงผ่านหอพิธีการของฝ่ายพิธีการไปได้ ก็จะนับว่าเป็นสาวกชิงปังโดยสม บูรณ์


ดังนั้นหากพูดแบบเข้มงวด แม้เยี่ยเทียนจะเป็นผู้สืบทอดของหลี่ซั่นหยวน แต่ว่ากันตามขั้นตอนแล้วยังไม่นับว่าเป็น คนภายในชิงปัง


แต่ว่าในตอนนี้หอพิธีการรับเป็นสาวกนั้นแทบจะไม่เปิดใช้การอีกแล้ว เพียงอนุมัติเอาจากคำพูดและการได้รับสาส์น อวยพร พูดอีกอย่างก็คือ เยี่ยเทียนเพียงต้องนำสาส์นอวยพรและเอกสารที่ท่านนักพรตเขียนส่งไปที่หอกลาง แล้วจากนี้ไปชิงปังก็จะมีอาจารย์ปู่เพิ่มขึ้นอีกคน


“ทำไมเล่า? ท่านผู้เฒ่า ไม่เชื่อคำพูดของผมหรือ?”


เยี่ยเทียนเห็นถังเหวินหย่วนเงียบเสียงไม่พูดอะไร ยังคิดว่าเขาเข้าใจว่าตนเองพูดจาส่งเดช จึงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย จะว่าไปเขาเองก็ไม่ได้เร่งเร้าอยากเข้าชิงปัง นี่เป็นเพียงแค่คำพูดล้อเล่นของท่านนักพรตเมื่อในอดีตเท่านั้น


หลังจากที่หลี่ซั่นหยวนแก้ลิขิตพลิกชะตาให้เยี่ยเทียน หลี่ซั่นหยวนเคยเล่าถึงเรื่องยามท่องยุทธภพในอดีต พูดถึงอัก ษรรุ่นของตัวเองในชิงปัง พูดติดตลกว่าหากเยี่ยเทียนเข้าร่วมชิงปัง เกรงว่านีบจากอักษรรุ่นแล้ว จะกลายเป็นบรรพบุรุษของ คนนับแสน


ท่านนักพรตเป็นไม้ใกล้ฝั่ง อุปนิสัยเองก็กลับไปเหมือนตอนเด็ก ถึงขั้นเอาเรื่องล้อเล่นนี้มาทำให้กลายเป็นจริง ไม่ เพียงช่วยเยี่ยเทียนเขียนสาส์นมงคล แต่ยังเขียนเอกสารเข้าร่วมสำนักทั้งยังประทับตราประจำตน อีกทั้งถ่ายทอดชุดอักษรรุ่น หลี่ที่เหล่าหัวหน้าใช้กันเพื่อให้หอพิธีการสามารถตรวจสอบได้ด้วย


“ทะ…ท่านเยี่ย ท่านไม่จำเป็นต้องเรียกผมว่าท่านผู้เฒ่าอีกแล้ว เรียกชื่อผมหรือจะเรียกว่าเหล่าถังก็ได้…”


เห็นเยี่ยเทียนแสดงอารมณ์ไม่พอใจแล้ว ถังเหวินหย่วนที่นิ่งอึ้งจึงแสดงปฏิกิริยาออกมา จากคำเรียกของเยี่ยเทียน ตอนนี้เขารู้สึกไม่อาจเอื้อมจริงๆ การเป็นผู้เฒ่าของผู้อยู่ในรุ่นที่สูงกว่าตัวเองมากๆ นั้น ผิดกฎใหญ่ข้อที่เก้าในสิบข้อของชิงปัง คือไม่เคารพในอาวุโส


“ละ…เหล่าถังเนี่ยนะครับ?”


เยี่ยเทียนโดนคำพูดของถังเหวินหย่วนทำเอากระอักกระอ่วน ให้เขาเรียกชายชราอายุเจ็ดสิบกว่าอย่างนี้ว่าเหล่าถัง เยี่ยเทียนเรียกไม่ออกจริงๆ


ไม่เพียงแต่เยี่ยเทียน กระทั่งหูจวิน เกาเฉียนจิ้นและหลานสาวของถังเหวินหย่วนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินเข้ายังมองตา ค้าง ไม่มีใครสักคนคาดคิดว่า ถังเหวินหย่วนหนึ่งในผู้ร่ำรวยมากอิทธิพลของชาวจีน กลับเร่งเร้าให้คนอื่นเรียกเขาว่าเหล่าถัง?


เรื่องนี้ถ้าหากพูดออกไปล่ะก็ เก้าในสิบคนได้ยินแล้วก็คงไม่เชื่อ ขนาดไม่กี่คนนี้ที่เห็นอยู่ตรงหน้ายังนึกว่าหูกับตาของ ตัวเองมีปัญหาเลย แต่ว่าหลัวจื้อปิ่งที่ยืนอยู่ข้างหน้าถังเหวินหย่วน กลับเห็นดีเห็นงามไปกับคำพูดของท่านผู้เฒ่า สุภาษิตว่า ไร้กฎก็ไร้มาตรฐาน อย่าว่าแต่ถังเหวินหย่วนอายุเพียงเจ็ดสิบกว่าปีเลย ต่อให้เขามีชีวิตถึงเจ็ดร้อยปี หากตัวเองยังยืนยันว่าเป็น สาวกของสำนักได้ ก็ต้องเคารพกฎภายในสำนัก


“คุณปู่คะ วันนี้คุณปู่เป็นอะไรไป?”


ผ่านไปได้สักพัก หลานสาวคนนั้นของถังเหวินหย่วนกลายเป็นคนแรกที่สติกลับมา ฉุดดึงชายเสื้อของปู่ที่ยืนอยู่ตรง นั้นอย่างพินอบพิเทา เธอโตมาจนป่านนี้ ยังไม่เคยเห็นคุณปู่เคารพยำเกรงใครถึงขนาดนี้?


“หืม? พวกเธอออกไปกันก่อนเถอะ เสี่ยวเกา คำพูดที่ได้ยินภายในห้องวันนี้ พวกเธอลืมไปเสียให้หมดซะ…”


ได้ยินคำพูดของหลานสาวแล้ว ถังเหวินหย่วนก็หันซ้ายแลขวา ครุ่นคิดว่าเผลอตัว คำพูดของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ชวน ให้ตกอกตกใจ จนเขาไต่ถามออกมาต่อหน้าสาธารณะชน โดยกลับลืมไปว่ายังมีเรื่องบางอย่างไม่สมควรให้คนนอกรับรู้


“ครับ ผู้เฒ่าถัง วันนี้พวกเราไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น…”


แม้เกาเฉียนจิ้นอยากจะรั้งอยู่ฟังเรื่องเล่าต่ออีกหน่อย แต่ถังเหวินหย่วนออกปากไล่แขกแล้ว จึงได้แต่ดึงตัวหลงเสวี่ย เหลียนที่กำลังเบิ่งสองตาโตถอยออกมาอย่างโกรธๆ แต่ก่อนออกมายังมองยังเยี่ยเทียนด้วยสายตาสับสน


แม้ว่าก่อนหน้านี้อาเขยของหลงเสวี่ยเหลียนจะเคยชื่นชมเยี่ยเทียนต่อหน้าเกาเฉียนจิ้นหลายครั้ง แต่คุณชายเกาคิด มาตลอดว่าเยี่ยเทียนอายุน้อยไร้ประสบการณ์ไม่น่าเชื่อถือ เขาจึงยอมเชื่ออาจารย์หลัวที่ตัวเองเชิญมาจากอเมริกาดีกว่า


แต่จากเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ กลับทำให้สมองของคุณชายเกาหยุดทำงานไปชั่วขณะ ท่านผู้เฒ่าถังที่สามารถ เอ่ยวาจาฉะฉานต่อหน้าผู้นำระดับประเทศมากมาย กลับออกปากเรียกเยี่ยเทียนว่า “ท่าน”!


กระทั่งหลัวต้าจื้อที่วางมาดเสียเต็มที่ ยังราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตามหลังถังเหวินหย่วนราวกับเป็นหลานชาย กระทั่งจะพูดแทรกสักนิดก็ยังไม่มี เมื่อได้ยินคำสนทนาของเยี่ยเทียนกับถังเหวินหย่วนแล้ว อาจารย์หลัวอาจเป็นได้ถึงรุ่นหลาน จริง ๆ


ความจริงอาจารย์หลัวก็ไม่มีสิทธิ์จะแทรกขึ้นมาจริงๆ ที่ถังเหวินหย่วนสามารถพูดคุยกับเยี่ยเทียนได้ นั่นเป็นเพราะ ในอดีตมาจากฝ่ายประวัติของชิงปัง ล่วงรู้ความลับของเมื่อศตวรรษก่อน


และหลัวจื้อปิ่งเพียงรู้ว่าเยี่ยเทียนมีอักษรรุ่นสูงจนน่าสะพรึงเท่านั้น แต่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับหลี่ซั่นหยวนเลยแม้ แต่นิดเดียว ถ้าหากเขารู้ว่าหลี่ซั่นหยวนถือการสังหารสำนักเจียงเซียงเป็นภารกิจแล้วล่ะก็ เกรงว่าคนเหล่านี้คงไม่มีแม้แต่ ความกล้าจะยืนตรงหน้าเยี่ยเทียนด้วยซ้ำ


“ท่านเยี่ย ในเมื่อล้วนเป็นครอบครัวชิงปังด้วยกัน ผมว่าเรื่องที่เสี่ยวหลัวล่วงเกินต่อท่าน ก็อย่าลดตัวไปคิดบัญชี ด้วยเลย…”


หลังรอให้เกาเฉียนจิ้นเดินออกไปแล้ว ถังเหวินหย่วนก็เริ่มพิธีการในสำนักต่อเยี่ยเทียน ด้วยวินิจฉัยของเขา ก็ สามารถแยกแยะได้ว่าคำพูดที่เยี่ยเทียนบอกมาก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงหรือเท็จ


ซึ่งหมายความว่า ขอเพียงเยี่ยเทียนเห็นด้วย เขาจะสามารถกลายเป็นบรรพบุรุษรุ่นอักษร “หลี่” ที่เหลือเพียงหนึ่ง เดียวเมื่อไหร่ก็ได้ แม้ว่านี่อาจไม่สามารถทำให้เยี่ยเทียนกลายเป็นหัวหน้าชิงปัง แต่ความเป็นอาวุโสก็อยู่ตรงนั้น หากมีสาวก ชิงปังพบเจอเยี่ยเทียนในวันหลังล้วนต้องเรียกเขาว่าท่านปู่อย่างเคารพนบนอบ


เมื่อรู้ว่าหลัวจื้อปิ่งเองก็เป็นคนภายในชิงปัง ถังเหวินหย่วนจึงไม่ยอมเรียกเขาว่าอาจารย์หลัวอีกต่อไป ระเบียบภาย ในชิงปังนั้นเข้มงวดนัก ไหนเลยจะมีคนที่รุ่นสูงกว่าเขาถึงสี่ห้ารุ่นเรียกคนรุ่นหลังว่าอาจารย์?


ได้เห็นถังเหวินหย่วนช่วยออกปากให้ตัวเองอย่างนั้น หลัวจื้อปิ่งจึงคุกเข่าลงต่อหน้าเยี่ยเทียนเสียงดัง “ตึง” หลังจากหน้าผากโขกสัมผัสลงพื้นดังสามครั้งแล้ว ก็เอ่ยปากขึ้น “ท่านปู่ ผมจิตใจโสมม ล่วงเกินต่อท่าน ต้องขออภัยในที่นี้…”


ต้องเข้าใจว่า ครั้งนี้ในใจ “อาจารย์หลัว” หวาดหวั่นจนไม่อาจสงบลงอยู่ตลอด เพราะไม่ว่าจะเป็นการกอบโกยเกิน ขอบเขตสำนักเจียงเซียง หรือว่าภายใต้กฎของชิงปังแล้ว ล้วนสามารถทำให้เขาถูกถลกหนังทั้งเป็น


“นี่มันอะไรกันเนี่ย? ถัง…เหล่าถัง…” เมื่อเห็นหลัวจื้อปิ่งทำท่าแบบนั้นแล้ว เยี่ยเทียนถึงกับอดมองมายังถังเหวินหย่วน ไม่ได้


“เอ่อ ท่านเยี่ย ท่านว่า….”


เมื่อพูดประโยคนี้ออกมาแล้ว ในใจเยี่ยเทียนรู้สึกตะขิดตะขวงเหลือเกิน ยิ่งเมื่อเห็นถังเหวินหย่วนยิ้มตาหยีตอบกลับ ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนเข้าไปอีก


185 งานประชุมใหญ่หงเหมิน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ผม…ผมว่านะเหล่าถัง ผมไม่เรียกท่านว่าท่านผู้เฒ่า ท่านเองก็อย่าเรียกผมว่าท่านเยี่ยเลย พวกเรานับว่าเป็นสหาย ต่างรุ่น คุณเรียกผมว่าเยี่ยเทียนเฉยๆ ได้ไหมครับ?”


แม้ว่าเยี่ยเทียนจะรู้กฎนี้ของชิงปัง แต่ว่าถูกผู้เฒ่าอายุเจ็ดสิบกว่าเรียกว่าท่าน ทำยังไงใจเขาก็ไม่สามารถบิดเบือน ให้รับได้ คุยกันส่วนตัวยังพอไหว แต่ถ้าหากไปข้างนอกพูดแบบนี้ เขาจะต้องกลายเป็นจุดสนใจอย่างแน่นอน


“เอาอย่างนั้นเหรอ?”


ถังเหวินหย่วนพึมพำอยู่สักครู่ แล้วเอ่ยปาก “ได้ งั้นเอาตามท่านเยี่ย ไม่ใช่สิ….งั้นก็เอาตามที่ท่านบอกให้ทำแล้วกัน แต่ว่าเยี่ยเทียน ถ้าหากวันหลังท่านนำสาส์นมงคลมาส่งที่หอกลางจริงๆ ฉันก็ยังต้องเรียกท่านว่าท่านเยี่ย…”


“เรื่องในอนาคตไว้ค่อยพูดกันเถอะครับ เอาคำว่า ‘ท่าน’ นี้ ออกไปด้วยเถอะ…”


เยี่ยเทียนส่ายหน้าอย่างปวดหัวเบาๆ เขาไม่ได้อยากเข้าร่วมกลุ่มสมาคม วันนี้ก็แค่หลุดเปิดเผยเรื่องที่ ท่านอาจารย์ เคยเป็นหัวหน้าชิงปังในอดีตออกมาเท่านั้น แต่ว่าเยี่ยเทียนกลับไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเข้าสมาคมชิงปังหรือหงเหมิน


ที่สำคัญ หลังจากสงครามปลดแอกหัวหน้าชิงปังมากมายล้วนไปจากประเทศจีน สมาคมชิงปังที่ฝังรากลงลึกใน เซี่ยง ไฮ้เมื่อในอดีต คล้ายจะถูกถอนรากถอนโคนจนหมด


จนกระทั่งในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นบันทึกข้อมูลต่างๆ หรือว่าในสื่อเผยแพร่โทรทัศน์ ความเห็นที่มีต่อชิงปังล้วนไม่ ค่อยดีนัก ในสายตาคนส่วนใหญ่ ชิงปังนั้นเป็นราวกับแก๊งมาเฟีย


ในฐานะ “อาจารย์เยี่ย” ผู้ที่เกิดมาในยุคประเทศจีนใหม่โตมาภายใต้ธงแดง แน่นอนว่าต้องไม่ยอมลงสู่ที่ต่ำ เข้าร่วมใน กลุ่มองค์กรประเภทนี้ แม้ว่าในอดีตท่านนักพรตเป็นคนเขียนสาส์นมงคลให้เขา แต่นั่นเป็นเพราะเยี่ยเทียนไม่อาจขัดเจตนาดี ของท่านอาจารย์ก็เท่านั้น


ทว่าเยี่ยเทียนกลับไม่รู้ว่า ชิงปังในปัจจุบันนี้ ไม่สามารถเปรียบเทียบกับวันวานในอดีตได้อีกแล้ว


ในอดีตหลังผู้คนมากมายในชิงปังไปจากประเทศจีน คนส่วนใหญ่นั้นไปยังไต้หวัน อีกทั้งยังก่อตั้งบริษัทถูกกฎหมาย “สมาคมจงหัวอันชิน” โดยแทบจะคัดลอกภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของชิงปังในหาดเซี่ยงไฮ้เมื่อในอดีตมา มีคนในแวดวงทหาร ตำรวจ และวงการบันเทิงไม่น้อยที่เป็นส่วนหนึ่งของสาวกชิงปัง


แล้วยังมีคนบางส่วนไปยังฮ่องกง ประเทศอเมริกา อีกทั้งเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหงเหมิน ที่จุดรวมพลของชาวจีน ในหลายเมืองของอเมริกาล้วนได้รับอิทธิพลอย่างใหญ่หลวง รวมถึงคนอย่างพวกหลัวจื้อปิ่งที่อยู่ตรงหน้า


อีกอย่างตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นชิงปังหรือหงเหมิน ล้วนขยับขยายธุรกิจกันอย่างดุเดือด ไม่เหมือนการเก็บค่าคุ้มครอง บนหาดเซี่ยงไฮ้เมื่อในอดีต พื้นฐานเศรษฐฏิจจึงมั่นคงแน่นหนา และถังเหวินหย่วนก็เป็นหนึ่งในผู้มีความสามารถในนั้น


แน่นอนว่า แม้เยี่ยเทียนจะเข้าร่วมชิงปัง ข้อดีที่กล่าวมาข้างต้นก็ไม่มีผลอะไรกับเขา อย่างมากก็แค่อาจได้รับการ ต้อนรับอย่างอบอุ่นยามไปเยือนถึงถิ่นเท่านั้น


“เยี่ยเทียน ท่านว่า เรื่องวันนี้ให้มันแล้วกันไปเถอะนะ…”


หลังจากที่รู้สถานะของเยี่ยเทียน ท่าทีวางมาดของถังเหวินหย่วนก็ไม่มีให้เห็นอีกต่อไป ด้วยความใส่ใจถึงระเบียบกฎ เกณฑ์ภายในสำนัก ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่ยอมให้เขาเรียกว่าท่าน แต่ท่าทีก็ยังคงให้ความเคารพอย่างมาก


“ท่านปู่…”


เยี่ยเทียนไม่ได้ห้ามหลัวจื้อปิ่งเรียกเขาว่าท่าน แถมคนคนนี้ก็ไม่รู้สถานภาพของเขาในสำนักเจียงเซียง เพียงมองเยี่ย เทียนตาละห้อย หลังจากที่ถังเหวินหย่วนขอร้องแทนเขา


เห็นหลัวจื้อปิ่งมองตาละห้อยน่าเวทนาอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็โบกมือ กล่าวว่า “สำนักเจียงเซียงกลายเป็นเพียงประวัติ ศาสตร์นานแล้ว ในเมื่อออกไปแล้ว ก็อย่ากลับมาอีก หลัวจื้อปิ่ง นับจากนี้อย่ากลับเข้ามาในประเทศจีนอีกเลย…”


แม้ว่าสำนักเจียงเซียงในประเทศจีนจะถูกกำจัดถอนรากถอนโคนไปนานแล้ว แต่หลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจใน ประเทศกลับมาดีขึ้น สำนักเจียงเซียงเหล่านั้นที่เหลือรอดแล้วแฝงตัวอยู่ในหมู่ผู้คนก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากเถ้าถ่าน


ปัจจุบันล้วนสามารถเห็นคนตาบอดทำนายดวงชะตาหรือหมอดูฮวงจุ้ยในสถานที่หลายแห่งของแต่ละเมือง ความ จริงจะใหญ่หรือเล็กล้วนมีความเกี่ยวพันต่อสำนักเจียงเซียง หรืออย่างน้อยก็ใช้วิธีการเดียวกันกับคนพวกนั้นในสำนักเจียงเซียง เมื่อในอดีต


แต่ว่าคนพวกนี้ในปัจจุบัน กลับไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของสำนักเจียงเซียงอย่างเคร่งครัดเหมือนแต่ก่อนแล้ว หลักๆ มักกอบโกยผลประโยชน์เข้าส่วนตัน จึงก่อความเสียหายไม่มากมายเท่าในอดีต


อย่างน้อยที่เยี่ยเทียนไม่ยอมให้หลัวจื้อปิ่งกลับเข้ามาในประเทศจีน เพราะกลัวว่าเขาจะนำกฎในสำนักเจียงเซียงกลับ มา นำพาพวกสิบแปดมงกุฏในยุทธภพที่กระจัดกระจายกันให้มารวมเป็นกลุ่ม จนสร้างความเสียหายให้แก่สังคมอย่างใหญ่ หลวง


“ท่าน…ท่านปู่ แค่…แค่นี้ก็พอแล้วหรือ?”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว หลัวจื้อปิ่งแน่นิ่งไปอยู่ชั่วขณะ เขาทำผิดกฎใหญ่หลวงของสำนักติดต่อกันถึง สองข้อ ไม่นึกว่าเยี่ยเทียนจะละเว้นให้ง่ายๆ อย่างนี้


“หืม?”


เยี่ยเทียนสีหน้าเข้ม กล่าวต่อว่า “ทำไม? หรือต้องให้ผมเปิดโถงพิธีการแทงหกรูด้วยสามมีดกับคุณ?”


“มิกล้า มิกล้า ขอบคุณท่านปู่ ขอบคุณท่านปู่…”


หลัวจื้อปิ่งอาศัยป้ายธงหลอกลวงคำนวนดวงชะตามาสี่สิบกว่าปี  ประสบความสำเร็จชื่อเสียงโด่งดังในพื้นที่เขต ชุมชนชาวจีน ย่อมไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักกาละเทศะ


ในทางกลับกัน หลัวจื้อปิ่งไม่เพียงช่างใส่ใจสังเกต แต่ยังประพฤติตนสุขุมรอบคอบ เพียงแต่อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ถูกคนสรรเสริญจนเคยชิน กลับมาประเทศจีนครั้งนี้เพิ่งจะเป็นที่รู้จักเท่านั้น


ที่เยี่ยเทียนกลัวหลัวจื้อปิ่งจะกลับมาแผ่ขยายเครือข่ายในประเทศ ความจริงแล้วเขากลับคิดลึกเกินไป แม้ว่าคนใน ประเทศจะมีมาก สะดวกแก่การเพิ่มพูนสาวกสำนักเจียงเซียง  แต่ว่าพวกหลอกลวงที่หลอกคนในระดับเดียวกันกับหลัวจื้อปิ่ง กลับไม่สนใจกำไรเล็กน้อยเพียงแค่นั้น


ที่สำคัญ ปัจจุบันหลัวจื้อปิ่งอยู่ในแวดวงชาวจีนที่ต่างประเทศ ถึงขั้นมีฉายาว่าทองพันชั่งหนึ่งคำทำนาย ไม่เพียง เท่านั้น อยากจะให้เขาทายดวงชะตาให้ อย่างน้อยต้องนัดล่วงหน้าก่อนสามเดือน อีกทั้งค่านัดหมายดูดวงชะตาก็ต้องจ่าย ท่วงท่าใหญ่โตไม่ธรรมดา


ผู้คนมากมายนึกว่าอาจารย์หลัวจะต้องมีความน่าเชื่อถือ ความจริงแล้วน้อยคนนักจะรู้ ว่านี่เป็นเพียงวิธีการหนึ่งของ สำนักเจียงเซียงเท่านั้น


ช่วงเวลาสามเดือน เพียงพอจะให้ลูกน้องของหลัวจื้อปิ่งไปสืบเสาะข้อมูลของคนที่จะมาทำนายดวงชะตา อีกทั้งคน พวกนั้นล้วนมีประสบการณ์สูง สิ่งที่รวบรวมมาได้ล้วนเป็นข้อมูลลับส่วนตัวของคนที่มาทำนาย ด้วยวิธีนี้อาจารย์หลัวจึง สามารถรุ่งเรืองอยู่ในอันดับต้นๆ ไม่มีสั่นคลอน


หลังจากผ่านเรื่องน่ายินดีไปแล้ว หลัวจื้อปิ่งก็รินน้ำชาให้เยี่ยเทียนแก้วหนึ่งอย่างนอบน้อม กล่าวว่า “ท่านปู่ ถึงแม้     ท่านจะไม่ถือโทษผู้น้อย แต่ว่าในฐานะรุ่นน้อง ย่อมไม่อาจไม่เคารพกฎเกณฑ์ ค่าทำนายดวงชะตาที่ได้รับระหว่างมาปักกิ่งครั้งนี้ ขอเชิญท่านปู่รับไว้…”


พอวางน้ำชาตรงหน้าเยี่ยเทียนแล้ว ยังมีเช็คเงินสดจำนวนหนึ่งแสนดอลลาร์สหรัฐตามมา หลัวจื้อปิ่งคงจะไม่อยู่ใน ประเทศนานนัก ดังนั้นค่าทำนายดวงชะตาที่คุณชายเกาเปิดไว้ จึงกลับกลายเป็นเงินดอลลาร์


ความจริงค่านัดหมายทำนายดวงชะตา คุณชายเกาจ่ายไปนานแล้ว เพื่อเชิญอาจารย์หลัวกลับมายังประเทศจีน สรุป ทำนายดวงชะตาให้เขา ดังนั้นคุณชายเกาจึงจ่ายเพิ่มไปอีกหนึ่งแสนดอลลาร์สหรัฐ


“นี่จะทำอะไรน่ะ?”


เยี่ยเทียนจ้องมอง แม้ว่าจะหวั่นไหวอย่างมากกับเช็คบนโต๊ะ แต่ถูกคนเรียกขานว่า “ท่านปู่” ทำให้เยี่ยเทียนกลับรู้สึก กระอักกระอ่วนใจที่จะ “ยิ้มรับ” เช็คใบนี้


หลัวจื้อปิ่งไม่นึกว่าเยี่ยเทียนจะเปลี่ยนสีหน้ารวดเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้ากระดาษ ใจเกิดหวาดหวั่นขึ้นมาเล็กน้อย ลนลาน กล่าว “ท่านปู่ นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากรุ่นน้อง ท่าน…ท่านอย่าคิดมากเลย…”


ตามกฎของสำนักเจียงเซียงแล้ว เมื่อฝ่าฝืนข้อห้ามภายในสำนักนั้น จะต้องตัดมือตัดขา หากทำไม่ได้จะต้องตระ เตรียมของกำนัลชั้นดีเลี้ยงสุราเพื่อขอขมา


แต่ว่าหลิวจื้อปิ่งเพิ่งกลับมาประเทศจีนได้เพียงวันเดียว ก็พบกับ “ท่านปู่” ผู้มีอักษรรุ่นอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้สถานะ ของตนเองถูกเปิดเผย


แถมเยี่ยเทียนเองก็เพิ่งบอกว่าไม่ยอมให้เขาขยับขยายอิทธิพลภายในจีน แล้วไหนเลยหลัวจื้อปิ่งจะกล้ารั้งอยู่ในจีน ได้นาน? ดังนั้นจึงได้นำเช็คใบนี้ออกมาเพื่อแสดงความเคารพนับถือต่อเยี่ยเทียน


“เยี่ยเทียน เธอก็รับไว้เถอะ หากเธอไม่รับเงินนี้ หลัวจื้อ…หลัวจื้อปิ่งเขาจะไม่สบายใจเอา…”


ความจริงหลังจากได้ยินชื่อสำนักเจียงเซียงแล้ว ถังเหวินหย่วนก็เข้าใจภูมิหลังของหลัวจื้อปิ่งได้ในทันที รู้ว่าเทพผู้ ทำนายดวงชะตาชื่อเสียงกว้างไกลไพศาลในหมู่ชุมชนชาวจีนผู้นี้ ที่แท้ก็เป็นเพียงแค่เทพอุตริเท่านั้น


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลัวจื้อปิ่งก็นับว่าเป็นคนในวงการเดียวกัน แถมยังติดตามตัวเองมาถึงประเทศจีน ถังเหวิน หย่วนจึงได้ออกปากพูดช่วยเหลือเขาสักสองสามประโยค


“งั้น…ก็ได้ครับ วางเงินไว้ตรงนี้แล้วกัน…”


หลังจากได้ยินคำพูดของถังเหวินหย่วนแล้ว เยี่ยเทียนก็พายเรือตามน้ำรับคำไป แม้ในใจจะเบิกบาน แต่ว่าสีหน้ากลับ นิ่งเฉยไม่เผยอารมณ์ หลัวจื้อปิ่งมองแล้วนึกชื่นชมในใจ “สมกับเป็นบุคคลในระดับเดียวกับท่านอาจารย์ เห็นเงินทองราวเป็น แค่ฝุ่นธุลีเชียว?”


แต่ถ้าหากถูกหลัวจื้อปิ่งล่วงรู้ว่า “อาจารย์เยี่ย” ตอนนี้จนกรอบชนิดแทบจะกินแกลบ ไม่รู้ว่าสีหน้านั้นจะเผยให้เห็น อารมณ์เบิกบานถึงขนาดไหน?


ได้เห็นเยี่ยเทียนรับเช็คแล้ว ถังเหวินหย่วนก็ถอนหายใจโล่งอก หากเยี่ยเทียนไม่รับล่ะก็ หมายความว่าเรื่องนี้ยังไม่ ถูกยกออกไป อย่างน้อยหลัวจื้อปิ่งจะต้องทิ้งนิ้วก้อยไว้ถึงจะยอมรับเรื่องนี้ได้


หลังจากสะสางเรื่องของหลัวจื้อปิ่งแล้ว ถังเหวินหย่วนพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา เอ่ยปากขึ้นว่า “จริงสิ เยี่ย…เยี่ยเทียน เสี่ยวหลัวยังต้องไปไต้หวัน เพื่อเชิญคนภายในหงเหมินเข้าร่วมงานชุมนุมกระชับมิตรหงเหมินที่จัดขึ้นในซานฟรานซิสโก เธอจะ ไปร่วมด้วยหรือเปล่า?”


ในปี 1992 ประเทศอเมริกาจัดงานชุมนุมกระชับมิตรหงเหมินระดับโลกครั้งที่สาม ตัวแทนมากกว่าหนึ่งร้อยคนจาก แต่ละแห่งทั่วโลกมาร่วมสนทนากันเป็นเวลาสองวัน ด้วยกฎเกณฑ์ของการชุมนุม จึงประกาศว่าเป็นการจัดตั้งงานประชุมหง เหมินระดับโลก


งานประชุมหงเหมินในเมืองครั้งนี้ นำเอาแต่ละสำนักซึ่งเป็นสาขาของพรรคฟ้าดินอันกระจัดกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ บนโลกล้วนรวมเข้าไปด้วย และหนึ่งในนั้นก็มีชิงปังแห่งไต้หวันและฮ่องกงอยู่


หลัวจื้อปิ่งไม่เพียงเป็น “อาจารย์ทำนายดวงชะตา” ของกลุ่มชาวจีนที่ “โด่งดังไปทั่วโลก” แล้วในขณะเดียวกันก็เป็นผู้มี อำนาจอย่างแท้จริงในงานประชุมหงเหมิน ครั้งนี้ที่ส่งตัวเขาไปยังไต้หวันเพื่อเชื้อเชิญหัวหน้าชิงปัง จึงถือว่าหงเหมินให้ความสำ คัญกับสาขานี้


“งานประชุมใหญ่หงเหมินเหรอครับ?”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็ตกตะลึงเล็กน้อย ในความคิดพลันเกิดภาพของบุคคุลในกลุ่ม มาเฟียสวมแว่นตาดำใส่ชุดสูท สีดำปรากฏขึ้นมา หน้าผากจึงอดมีเหงื่อซึมออกมาไม่ได้ โบกมือไปมากล่าวว่า “เหล่าถัง ผมยังไม่ได้บอกว่าจะเข้าหงเหมินสัก หน่อย เรื่องวันนี้คุณอย่าแพร่งพรายออกไปเชียวนะ ถ้าวันหลังผมได้ยินข่าวลืออะไรมาล่ะก็ ผมจะมาคิดบัญชีกับพวกคุณ…”


“นี่?”


ถังเหวินหย่วนลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อได้เห็นท่าทียืนกรานของเยี่ยเทียนแล้ว จึงได้แต่ส่ายหน้ากล่าว “ตกลง ในเมื่อนาย ไม่ยินยอม ก็ช่างมันเถอะ แต่ว่าเยี่ยเทียน ฉันยังคาดหวังให้นายกลับไปพบทำความรู้จักกับบรรพบุรุษ เข้าร่วมหงเหมินอยู่ดี นะ…”


“ได้ครับ ผมจะพิจารณาดู ถ้าอย่างนั้น เหล่าถัง ที่บ้านยังมีธุระอยู่ ผมขอตัวกลับไปก่อนล่ะ ไว้ครั้งหน้าจะมาเลี้ยงสุรา ต้อนรับอีกที”


มายังไม่ถึงสองชั่วโมง ไม่เพียงได้รู้จักหัวหน้าหงเหมินรุ่นหลาน ยังเกือบจะถูกดึงตัวเข้าไปยังแก๊งมาเฟีย นาทีนี้เยี่ย เทียนไม่อยากรั้งอยู่ที่นี่อีกแล้ว ขืนก้าวพลาดไปเพียงก้าวเดียว ชีวิตนี้ของเขามีหวังจบกัน!


186 ปฏิเสธ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ท่าทีของเยี่ยเทียนทำให้ถังเหวินหย่วนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ เขาก็เป็น บุคคลสำคัญทั้งนั้น ผู้กุมทิศทางของจักรวรรดิแห่งธุรกิจการค้าผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ไม่ว่าจะไปประเทศไหน อยากจะพบกับผู้นำ ของประเทศไหนก็ได้ทั้งนั้น


ในโลกใบนี้ มีผู้คนที่อยากจะแห่เข้ามาเชื่อมสัมพันธ์กับถังเหวินหย่วนอยู่ตั้งมากมายไม่รู้เท่าไร เพราะหวังที่จะได้รับ ผลประโยชน์บ้าง นึกไม่ถึงเลยว่า เยี่ยเทียนกลับทำอย่างกับเขาเป็นตัวเชื้อโรค พยายามจะไปให้พ้นๆ โดยเร็วที่สุด จึงทำให้คุณ ท่านอดรู้สึกหดหู่ขึ้นมาไม่ได้


“เยี่ยเทียน เดี๋ยวก่อน ผมยังมีเรื่องอยากจะขอให้ช่วยอีกหน่อยน่ะ…”


เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนกำลังจะเดินออกไปพ้นห้องรับแขกแล้ว ถังเหวินหย่วนก็รีบตะโกนเรียกเขาไว้ ที่มาประเทศจีน ครั้งนี้ จุดประสงค์หลักก็คือเพื่อมาตามหาเยี่ยเทียนนี่แหละ แล้วเขาจะยอมปล่อยเยี่ยเทียนไปแบบนี้ได้อย่างไรกัน?


เยี่ยเทียนหยุดฝีเท้าลง มองไปทางถังเหวินหย่วน แล้วถามอย่างฉงนใจ “หืม? เหล่าถัง ยังมีเรื่องอะไรอีกรึ? สมาคม หงเหมินนั่นผมไม่เข้าร่วมหรอกนะ คุณก็ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วละ…”


เยี่ยเทียนรู้ว่า ตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน ผู้ที่ตกเป็นจุดสนใจของฝ่ายทางการต่างก็ไม่ได้มีจุดจบที่ดีกันแทบทั้งนั้น ถึงเขาจะเชี่ยวชาญพยากรณ์ศาสตร์ แต่ถ้าจะให้ไปต่อต้านกับองค์กรรัฐละก็ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันเกินกำลังของเขาเกินไป เหมือนกับตั๊กแตนที่พยายามจะขวางรถ


แม้เยี่ยเทียนจะอายุยังน้อย แต่ก็ได้ติดตามพรตเฒ่าออกท่องทัศนาจรตั้งแต่อายุสิบขวบแล้ว จะนับว่าเป็นผู้เจนจัด ในยุทธภพคนหนึ่งก็ว่าได้


แต่ละเรื่องที่เขาทำลงไปนั้น ต่างก็อยู่ในขอบเขตที่บุคคลบางคนหรือหน่วยงานกฎหมายบางแห่งสามารถยอมรับได้ ทั้งนั้น อย่างช่วงก่อนหน้านี้ที่เปิดบริษัทไป พอเยี่ยเทียนเริ่มเห็นท่าไม่ดีเพียงเล็กน้อย ก็รีบปิดบริษัททันที จึงทำให้เขารอดพ้น การติดตามตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปได้


ส่วนสมาคมหงเหมินนั้นถือกำเนิดจากองค์กรต่อต้านรัฐบาลในประเทศ แม้ว่าในสมัยนั้นจะชูอุดมการณ์ ‘โค่นชิงฟื้น หมิง’ แต่ก็ผู้ที่มาร่วมกันก่อตั้งก็มักจะมีแต่พวกเย่อหยิ่งจองหองชอบต่อต้าน ฝ่ายทางการคงจะไม่เห็นดีเห็นงามต่อสมาคมแบบ นี้อย่างแน่นอน


ดังนั้นเมื่อคำนึงถึงชีวิตอันสงบสุขและมั่นคงของตนในภายภาคหน้า ต่อให้ถังเหวินหย่วนพูดแล้วมีดอกบัวร่วงออกมา จากปาก เยี่ยเทียนก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า จะไม่เข้าไปพัวพันกับสมาคมนี้เด็ดขาด


“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก แต่เป็นเรื่องส่วนตัวของผมน่ะ…” พอเห็นเยี่ยเทียนหยุดฝีเท้าลง ถังเหวินหย่วนก็ผ่อนคลายลง


“เหรอครับ? แล้วเรื่องอะไรล่ะเหล่าถัง?”


เยี่ยเทียนเอ่ยถาม และก็เริ่มเรียกเหล่าถังจนชินปากมากขึ้นทุกที ถ้าในห้องนั้นมีคนที่รู้จักตัวตนของถังเหวินหย่วน มาอยู่ด้วยแล้วละก็ คงได้ช็อกจนคางร่วงลงไปอยู่บนพื้นแน่


“คืออย่างนี้นะ หลานสาวของผมสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่เกิด หาหมอมาหลายปีแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไปหาพระ หาเจ้าแล้วก็ไม่ได้ผล ผม…ผมเลยอยากจะขอของขลังอีกสักชิ้นหนึ่ง หวัง…หวังว่าอาจารย์เยี่ยจะกรุณา…”


สุขภาพของหลานสาวย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แถมดวงชะตาก็ดูจะไม่ดีเอาเสียเลย หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุรถยนต์คราวก่อน ตอนอยู่ฮ่องกงก็เกือบจะถูกคนลักพาตัวไปแล้ว ทำให้ถังเหวินหย่วนกลัดกลุ้มใจอยู่ไม่หาย คราวนี้ที่มาหาเยี่ยเทียน ก็เพราะ ถังเหวินหย่วนอยากจะขอของขลังสักชิ้นหนึ่งมาให้หลานสาวพกไว้คุ้มกันตัว


จากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ถังเหวินหย่วนก็พอจะดูออกแล้วว่า หลัวจื้อปิ่งที่ได้รับการขนานนามเป็นโหราจารย์อันดับ หนึ่งของวงการในจีนนั้น ที่จริงก็เป็นเพียงนักต้มตุ๋นมืออาชีพคนหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ชายหนุ่มคนที่อยู่ตรงหน้านี้ กลับคู่ควรที่จะ ได้รับการเรียกขานว่า ‘อาจารย์’ มากกว่า


“อยากได้ของขลัง?”


เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้ว เขายังมีของขลังที่เหมาะสำหรับเด็กผู้หญิงพกพาอยู่อีกหลายชิ้นก็จริง แต่ของพวก นี้จะต้องได้ฤกษ์ประจวบเหมาะถึงจะผลิตขึ้นมาได้ ขนาดคนในครอบครัวของเยี่ยเทียนเองยังมีกันไม่ครบทุกคนเลย เขาจึงไม่ อยากนำไปขายอีกแล้ว


“ใช่ๆ เยี่ยเทียน คุณขายให้ผมสักชิ้นเถอะนะ!”


พอเห็นเยี่ยเทียนขมวดคิ้ว ถังเหวินหย่วนก็เริ่มรู้สึกเครียดขึ้นมา “เด็กผู้หญิงคนเมื้อกี้ก็คือหลานผมเอง ชื่อถังเสวียเสวี่ย ผม…ผมอยากจะหาของขลังสักอย่างหนึ่งมาให้เธอน่ะ!”


จะว่าไปแล้วตระกูลของถังเหวินหย่วนนี่ก็ประหลาดนัก มีลูกหลานผู้ชายดกเหลือกเกิน เขามีลูกชายอยู่ทั้งหมดสี่คน มีหลานชายสิบกว่าคน แต่ว่าไม่มีลูกสาวเลย แม้แต่หลานสาวก็ยังมีแค่คนเดียว


เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณท่านจึงรักเอ็นดูหลานสาวคนเดียวนี้มากอย่างสุดเปรียบปาน หลายปีมานี้ก็เสียเงินไปไม่รู้เท่าไร แต่สุขภาพและดวงชะตาของหลานสาวก็ดูเหมือนจะไม่ได้ดีขึ้นมาเลย


“สุขภาพไม่ดีก็ไปหาหมอสิครับ…”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า เมื่อก่อนเขาไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับของขลังเท่าไรนัก แต่ตอนนี้พอรู้แล้วว่าของขลังนั้นทรงคุณค่า เพียงใด เขาจึงตั้งใจจะเก็บของขลังที่มีอยู่เหล่านั้นไว้ให้คนในครอบครัวอย่างพวกป้าๆ หรือไม่ก็พ่อของเขา


“ถ้าไปหาหมอแล้วได้ผล ผมก็คงไม่ต้องบากหน้าแก่ๆ นี่มาขอร้องคุณแล้วละ…”


ถังเหวินหย่วนส่ายหน้า แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เยี่ยเทียน เอาของขลังแบบที่เหมือนคราวก่อนนั่นก็ได้ ผมยอมจ่ายสิบล้านเลย ไม่สิ…ยี่สิบล้านก็ได้เอ้า!”


เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนก็ดูออกแล้วว่า เขายังมีของอยู่ เพียงแต่ไม่อยากขายให้ตัวเองเท่านั้น


แน่นอน ถังเหวินหย่วนก็ไม่ได้คิดว่าเยี่ยเทียนทำไม่ถูก วัตถุที่สามารถรักษาชีวิตในยามคับขันได้เช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็น ถังเหวินหย่วนเอง เขาก็คงไม่อยากขายให้คนอื่นเหมือนกัน


แต่ถังเหวินหย่วนเป็นนักธุรกิจ ในความคิดของเขานั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ รวมไปถึงคนและความรัก ต่างก็ สามารถเรียกได้ว่าเป็นสินค้าทั้งนั้น ในเมื่อเป็นสินค้า อย่างนั้นก็ต้องมีราคา เขาจึงเอ่ยปากเสนอราคาที่สูงลิ่วถึงยี่สิบล้านไป ก่อนเลย


“เท่าไหร่นะ? ยี่สิบล้าน?!”


เยี่ยเทียนเองก็ตกตะลึงกับราคาที่ถังเหวินหย่วนเสนอมาเหมือนกัน ทรัพย์สินที่เขามีอยู่ตอนนี้สิริรวมแล้วก็ยังมี แค่แปดล้านกว่าหยวน ซึ่งก็คือเงินที่จะได้เมื่อนำตั๋วเงินหนึ่งแสนดอลล่าร์สหรัฐในกระเป๋าไปแลกมานั่นเอง เงินจำนวนยี่สิบล้าน นี้ ทำให้เยี่ยเทียนชักจะเริ่มหวั่นไหวขึ้นมาจริงๆ แล้ว


ราคาที่ถังเหวินหย่วนเสนอมานี้ ทำให้แม้แต่หลัวจื้อปิ่งที่อยู่ข้างๆ ก็ยังต้องมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยความอิจฉา


ควรทราบว่า ‘อาจารย์หลัว’ แม้จะเป็นนักต้มตุ๋นระดับสูง แต่เพื่อที่จะรักษาภาพลักษณ์และสถานะของผู้เป็น ‘อาจารย์’ เอาไว้ ปกติจึงรับเสี่ยงทายอยู่เดือนละสองสามครั้ง เงินยี่สิบล้านสำหรับเขาก็นับว่าเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน


“ก็ยี่สิบล้านนั่นแหละ! เยี่ยเทียน ถ้าคุณรู้สึกว่ายังไม่พอ อยากจะขอเพิ่มเท่าไหร่ก็เสนอมาได้เลยนะ…”


สำหรับถังเหวินหย่วน เมื่อเปรียบเทียบกับหลานสาวคนเดียวของตัวเองแล้ว ในสายตาของเขาเงินยี่สิบล้านก็ไม่ได้มี ความหมายอะไรเลย เขาทั้งเต็มใจและก็มีกำลังทรัพย์ที่จะจ่ายเงินจำนวนนี้เพื่อซื้อความปลอดภัยให้แก่หลานสาว


เมื่อได้ยินถังเหวินหย่วนพูดดังนั้น เยี่ยเทียนก็เริ่มมีแววตาสับสนขึ้นมาเล็กน้อย เงินยี่สิบล้านนี้สำหรับคนหลายๆ คน นับว่าเป็นจำนวนเงินมหาศาลที่ชาตินี้ทั้งชาติอาจจะไม่มีวันหามาได้เลยด้วยซ้ำ


อย่างพ่อของเยี่ยเทียนเอง หลังจากทำธุรกิจมาสิบกว่าปี ก็ยังมีทรัพย์สินอยู่เพียงสามสี่ล้าน และส่วนมากก็ลงไปอยู่ใน ตัวสินค้าซึ่งก็คือวัตถุโบราณเหล่านั้น ส่วนเงินสดที่สามารถนำออกมาใช้จ่ายได้นั้น เยี่ยเทียนกะว่าคงมีอยู่ไม่เกินหนึ่งล้าน


แม้กระนั้น ครอบครัวของเยี่ยเทียนก็ถือว่าร่ำรวยมากพอสมควรแล้ว ดังนั้นจึงอดจินตนาการไม่ได้ว่า ถ้าได้ครอบครอง ทรัพย์สินสักยี่สิบล้าน อย่างนั้นชีวิตของเขาจะดำเนินไปแบบไหนกันนะ?


ผ่านไปเจ็ดแปดนาทีเต็มๆ สีหน้าท่าทางของเยี่ยเทียนก็กลายเป็นดูแน่วแน่ขึ้นมา มองไปที่ถังเหวินหย่วนแล้วตอบว่า “เหล่าถัง คงต้องทำให้คุณผิดหวังแล้วละ ของขลังนี่…ผมก็ไม่มีเหลือแล้วเหมือนกัน!”


“อะไรนะ?! คุณไม่มีแล้ว?”


ตอนแรกถังเหวินหย่วนมั่นใจมากว่าการเจรจาซื้อขายครั้งนี้ต้องประสบความสำเร็จแน่นอน พอได้ยินเยี่ยเทียนตอบ มาอย่างนั้น จึงลุกพรวดพราดขึ้นมาทันที เขาไม่เชื่ออยู่แล้วว่าเยี่ยเทียนจะไม่มีของขลังเหลืออีก และเขาก็ตกตะลึงที่เยี่ยเทียน ถึงกับปฏิเสธราคาที่เขาเสนอออกไป


“เยี่ยเทียน ของขลังนี่มันสำคัญกับผมมากเลยนะ ไม่อย่างนั้นก็…สามสิบล้านเลย พอไหมล่ะ?” ถังเหวินหย่วนยังไม่ ยอมแพ้ เสนอราคาใหม่ให้อีก


“เหล่าถัง เรื่องนี้น่ะอย่าพูดถึงกันอีกเลย ผมไม่มีของขลังแล้วจริงๆ …” คราวนี้เยี่ยเทียนไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยนิด ปัดปฏิเสธไปตรงๆ ด้วยแววตามุ่งมั่นเต็มที่


ถ้าจะพูดว่า เงินมากกว่าสิบล้านนี้ไม่ได้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกหวั่นไหวเลย อย่างนั้นก็คงจะเป็นการพูดโกหก แต่ขณะที่ เยี่ยเทียนกำลังจะตอบตกลงกับถังเหวินหย่วนไป เขาก็พลันคิดได้ถึงหลักการข้อหนึ่ง


คราวนี้ถังเหวินหย่วนเอาเงินยี่สิบล้านมายั่วกิเลสเขา ถ้าเขาไม่สามารถต้านทานต่อความเย้ายวนนี้ได้ อย่างนั้นหาก ครั้งต่อไปมีคนมาหาเขาอีก แล้วเสนอราคาที่สูงยิ่งกว่านี้ เขาจะยังสามารถต่อรองอะไรได้อีกหรือ?


คนเรานั้นไม่ว่าจะทำเรื่องอะไร ขอเพียงเริ่มก้าวแรกไปแล้ว กล่องแพนโดราก็จะถูกเปิดออก กิเลสนั้นไร้ซึ่งขอบเขต หากไม่สามารถควบคุมกิเลสของตัวเองเอาไว้ได้ สุดท้ายก็จะต้องจมดิ่งอยู่ในกิเลสนั้น


เมื่อคิดถึงหลักการข้อนี้ได้ เยี่ยเทียนก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบขึ้นมาทันที ถ้าวันนี้เขายอมขายของขลังไปเพื่อเงินยี่สิบล้าน จริงๆ ละก็ ชั่วชีวิตนี้เขาอาจจะไม่สามารถบรรลุทางจิตใจได้อีกแล้ว


“เฮ้อ อย่างนั้นก็ช่างเถอะ ชะตาของเสวียเสวี่ยก็คงจะต้องเป็นแบบนี้แหละนะ…”


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนตอบปฏิเสธมาอย่างแน่วแน่เหลือเกิน ถังเหวินหย่วนก็ถอนหายใจยาว ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เขาก็ อาจจะยังพยายามใช้วิธีอื่นอีก แต่เมื่ออีกฝ่ายคือเยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนจึงไม่กล้า!


ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่า เยี่ยเทียนมีตำแหน่งที่ไม่ธรรมดาเลยในกลุ่มชิงปัง ลำพังแค่การที่เยี่ยเทียนเป็นซินแสฮวงจุ้ย ก็พอที่ จะทำให้ถังเหวินหย่วนไม่กล้าเหิมเกริมด้วยแล้ว ศิษย์ของหลี่ซั่นหยวน เจ้าพ่อแห่งกลุ่มชิงปังในสมัยก่อน ใช่พวกที่จะไปตอแย ได้ง่ายๆ ที่ไหนกัน?


“เหล่าถัง ชะตานี่…มันก็เปลี่ยนกันได้นะ!”


เมื่อเห็นท่าทางของถังเหวินหย่วน เยี่ยเทียนก็กลับเกิดความรู้สึกเห็นใจขึ้นมา จึงเอ่ยขึ้นว่า “เหล่าถัง เรียกหลานสาว คุณมาสิ ผมจะลองดูให้ว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่…”


ตามที่ถังเหวินหย่วนบอกมาเมื่อก่อนหน้านี้ ถังเสวียเสวี่ยก็ไม่ได้เป็นโรคอะไร เพียงแต่ร่างกายอ่อนแอและขาดการ บำรุงเท่านั้น ซึ่งอาจมีความเกี่ยวข้องกับบางสิ่งบางอย่างในดวงชะตาของเธอ บางทีอาจเป็นเพราะธาตุทั้งห้าบกพร่องก็เป็นได้


จริงหรือ? เยี่ยเทียนคุณมีวิธีจริงๆ น่ะหรือ? รอเดี๋ยวนะ ผมจะไปเรียกเสวียเสวี่ยเดี่ยวนี้แหละ!”


เดิมทีถังเหวินหย่วนสิ้นหวังไปแล้ว พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น ก็ลุกพรวดขึ้นมาจากโซฟาทันที แล้ววิ่งตะบึงออก ไปจากห้องอย่างรวดเร็วชนิดที่ดูไม่สมกับอายุของเขาเลยสักนิด


“เฮ้ เหล่าถัง ผมบอกว่าลองดูเฉยๆ ไม่ได้บอกว่าจะสำเร็จแน่นอนนะ?”


เมื่อเห็นถังเหวินหย่วนวิ่งถลาออกไปจากห้อง เยี่ยเทียนก็อดหัวเราะเจื่อนๆ ไม่ได้ คนบางคนก็ได้รับการกระทบกระ เทือนมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จึงมีร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เกิด ถ้าถังเสวียเสวี่ยเป็นคนประเภทนี้ เยี่ยเทียนเองก็จนปัญญาเหมือน กัน


“ท่านปู่? เชิญนั่งครับ เดี๋ยวผมจะชงชามาให้อีกนะครับ…”


พอเห็นอาการกลัวตัวเชื้อโรคของเยี่ยเทียนผู้เป็นถึง ‘ท่านอาจารย์’ นี้กำเริบขึ้นมาอีก หลัวจื้อปิ่งเองก็ได้แต่ขำในใจ อย่างขมขื่น แต่กลับยังคงต้องรินน้ำชาให้เยี่ยเทียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก็ใครใช้อีกฝ่ายเป็นถึง ‘ท่านอาจารย์’ ล่ะ?


หลัวจื้อปิ่งไม่ได้รู้ว่าในอดีตหลี่ซั่นหยวนเป็นบุคคลสำคัญอย่างไร ที่เยี่ยเทียนพูดมาเมื่อครู่ว่าสามารถเปลี่ยนชะตา ชีวิตได้นั้น ในใจเขาก็ไม่ได้เชื่อเลยสักนิด ในความคิดเห็นของเขา เยี่ยเทียนเพียงแต่ใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ หลอกหาเงิน จากถังเหวินหย่วนให้ได้มากขึ้นเท่านั้นเอง


แต่นี่ก็ทำให้ ‘อาจารย์หลัว’ รู้สึกทั้งอิจฉาทั้งเลื่อมใสมากยิ่งขึ้นไปอีก ตัวเองลำบากตรากตรำมาเป็นปีถึงจะหาเงินมา ได้สักพันหนึ่ง แต่เยี่ยเทียนแค่วาง ‘อุบาย’ นี่ไปครั้งเดียว ก็จะมีรายได้ถึงห้าหกสิบล้านแล้ว


187 ถังเสวียเสวี่ย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ที่จริงแล้วพรรคเจียงเซี่ยงก็คือสมาคมที่นำการดูดวงมาใช้ในการหลอกลวงดีๆ นี่เอง ในฐานะที่เป็นผู้แทนสมัยปัจจุบัน ของพรรคเจียงเซี่ยงในต่างประเทศ ‘อาจารย์หลัว’ ก็เรียกได้ว่ามีประสบการณ์อย่างโชกโชนเลยทีเดียว หลายสิบปีมานี้ อุบายหลอกลวง ที่เขาเคยมีส่วนร่วมนั้น ถ้าไม่ใช่ทุกครั้งก็คงถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว


การ ‘วางอุบาย’ นั้นแบ่งเป็นระดับเล็กใหญ่ ระดับเล็กเรียกว่าดักจับกวาง ซึ่งก็คือการหลอกไปตามสถานการณ์ เฉพาะหน้านั่นเอง


ส่วนพวกระดับใหญ่นั้น มักจะต้องใช้เวลานานหลายเดือนหรืออาจถึงขั้นหลายปี สมัยก่อนสถาปนาประเทศนั้น แม้แต่สมาชิกระดับสูงในพรรคก๊กมินตั๋ง มหาเศรษฐีเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ หรือแม้กระทั่งซ่งเหม่ยหลิง ภรรยาของเจียงไคเช็ก พวกพรรคเจียงเซี่ยงนี่ก็ยังกล้าโจมตี


หลัวจื้อปิ่งแม้จะสู้คนรุ่นก่อนไม่ได้ แต่ก็เคยใช้เวลาถึงสามปีสร้างอุบายระดับใหญ่ยิ่งขึ้นมาครั้งหนึ่ง เพียงครั้งเดียว ก็หาเงินมาได้หลายสิบล้าน เพียงพอที่จะให้เขาและบรรดาลิ่วล้อนำไปจับจ่ายใช้สอยได้หลายปีเลยทีเดียว


แต่เปรียบเทียบกับเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว ‘อาจารย์หลัว’ ก็รู้สึกว่าตัวเองสู้ไม่ได้เลย ตอนที่เขาวางอุบายครั้ง นั้นต้องเปลืองพลังสมองไปมากมายมหาศาล เลือกใช้สารพัดวิธีการ ถึงจะหลอก ‘คนใหญ่คนโต’ คนนั้นมาติดกับได้


แต่เยี่ยเทียนเพียงใช้คำพูดไปไม่กี่ประโยค ก็ทำให้ถังเหวินหย่วนรีบทุ่มเงินให้แล้ว ความแตกต่างของทักษะนั้นนับว่า ต่างชั้นกันราวฟ้ากับดิน ทำให้หลัวจื้อปิ่งรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่ายิ่งนัก


“เยี่ยเทียน หลานสาวผมมาแล้ว คุณดูซิว่าเป็นลักษณะโหงวเฮ้งแบบไหน? ต้องให้พวกผมออกไปรึเปล่า?”


ระหว่างที่หลัวจื้อปิ่งมัวยืนขบคิดอยู่ตรงนั้นไปหลายตลบ ถังเหวินหย่วนก็พาหลานสาวเข้ามาในห้องแล้ว ข้างหลังยัง มีเกาเฉียนจิ้นกับหูจวินและหลงเสวี่ยเหลียนสามคนเดินตามมาด้วย เมื่อการเจรจากระชับมิตรยุติลงแล้ว เรื่องต่อจากนี้ก็ไม่ต้อง กลัวว่าคนอื่นๆ จะได้ยินแล้ว


“คุณปู่ จะให้เขาช่วยดูอาการหนูหรือคะ?”


แม้จะสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่เล็ก แต่เพราะถังเสวียเสวี่ยเกิดในตระกูลเศรษฐีอย่างตระกูลถัง จึงเคยไปร่วมงานใหญ่ๆ มานักต่อนักแล้ว แต่พอได้ยินว่าคุณปู่จะให้ชายหนุ่มที่ผมขาวทั้งศีรษะคนนี้มาวินิจฉัยตตัวเองถังเสวียเสวี่ยก็ยังคงรู้สึกสนอก สนใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้


เมื่อครู่นี้ตอนที่ถังเหวินหย่วนและพวกหลัวจื้อปิ่งสนทนากัน เห็นได้ชัดว่าเยี่ยเทียนเป็นผู้ดำเนินการสนทนาส่วนใหญ่ และฟังจากการพูดจาแล้ว อย่างกับว่าชายสูงวัยทั้งสองอย่างถังเหวินหย่วนและหลัวจื้อปิ่ง ซึ่งมีอายุรวมกันเกินหนึ่งร้อยกว่าปี ไปแล้วนี้ ยังมีระดับอาวุโสต่ำกว่าเยี่ยเทียนเสียอีก


มนุษย์ต่างก็มีความอยากรู้อยากเห็นกันทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อเข้ามาในห้อง ถังเสวียเสวี่ยจึงอดเพ่งพิศพิจารณาดูเยี่ย เทียนไม่ได้ ราวกับว่าจะรอดูดอกไม้บานออกมาจากใบหน้าของเขาก็ไม่ปาน


“เสียมารยาท หลานต้องเรียกเขาว่า…เรียกว่า…”


พอได้ยินคำพูดของหลานสาว ถังเหวินหย่วนก็ทำหน้าดุขึ้นมาทันที แต่คิดอยู่เป็นนานสองนาน ก็ยังไม่รู้ว่าจะให้ เสวียเสวี่ยเรียกเยี่ยเทียนว่าอย่างไรถึงจะเหมาะสม ถ้าจะยึดตามลำดับอาวุโสละก็ เห็นทีคงต้องเรียกว่า ‘ท่านปรมาจาย์’ นี่แหละ


เมื่อเห็นถังเหวินหย่วนสีหน้าท่าทางลำบากใจ เยี่ยเทียนก็อดยิ้มไม่ได้ และเอ่ยขึ้นว่า “เหล่าถัง ผมน่าจะอายุมากกว่า หลานสาวคุณไปไม่กี่ปีหรอก เรียกพี่เยี่ยนี่แหละครับ เราจะได้คุยกันสบายๆ…”


“สวัสดีค่ะพี่เยี่ย!”


ถังเสวียเสวี่ยเป็นคนว่านอนสอนง่าย จึงทักทายเยี่ยเทียนขึ้นมาเสียงใสทันที แต่แล้วก็ต้องอึ้งไป “พี่…พี่เยี่ยคะ พี่…พี่ เรียกคุณปู่หนูว่าอะไรนะคะ?”


จนถึงตอนนี้ นอกจากสหายเก่าแก่ไม่กี่คนที่ถังเหวินหย่วนรู้จักคบหาเป็นการส่วนตัวแล้ว ถังเสวียเสวี่ยก็ยังไม่เคยได้ ยินใครอื่นเรียกคุณปู่ว่า ‘เหล่าถัง’ มาก่อนเลย แม้แต่บุคคลสำคัญที่ได้พบเมื่อหลายวันก่อนนั้น ก็ยังเรียกท่านว่าคุณถัง


ไม่ใช่เฉพาะถังเสวียเสวี่ยเท่านั้น แม้แต่พวกเกาเฉียนจิ้นก็ตะลึงอึ้งไปตามๆ กัน หรือว่าระหว่างที่พวกตัวเองออกไป เดินเล่นกัน เยี่ยเทียนกับคุณปู่ถังจะเชือดไก่เผากระดาษเหลืองสาบาน เป็นพี่น้องกันไปแล้ว? ถึงกับเรียกท่านว่าเหล่าถัง อย่างสนิทสนมปานนี้เลยรึ?


“พอเลย ไอ้ที่ไม่ควรถามน่ะก็ไม่ต้องไปถามหรอก ไปนั่งข้างๆ เยี่ยเทียนโน่น ให้เขาช่วยดูหลานหน่อย…”


เยี่ยเทียนยังไม่ทันตอบ ถังเหวินหย่วนก็ดุหลานสาวไปแล้ว ที่เยี่ยเทียนเรียกเขาว่าเหล่าถังนั้น เขาก็พอใจดีอยู่แล้ว ให้เรียกอย่างอื่นเขาก็คงรับไม่ได้หรอก


“เสี่ยวเกา เรื่องที่พวกเธอได้ยินได้เห็นไปในวันนี้น่ะ ขอให้ลืมเสียให้หมดเลยนะ…”


ถังเหวินหย่วนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เอ่ยกำชับพวกเกาเฉียนจิ้นขึ้นมาอีก เขายังมีเรื่องจะขอร้องเยี่ยเทียนอยู่ เพราะฉะนั้นในเมื่อเยี่ยเทียนไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ตัวตนของเขา ถังเหวินหย่วนก็ควรจะช่วยปกปิดให้เสียหน่อย


“ครับ คุณปู่ถังวางใจได้เลยครับ…”


เกาเฉียนจิ้นตอบรับ แล้วหันไปยิ้มให้เยี่ยเทียน “เยี่ยเทียน นึกไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่านายจะซ่อนคมไว้ขนาดนี้ เดี๋ยวพวก ฉันคงต้องขอคำชี้แนะจากนายบ้างแล้วละ…”


เกาเฉียนจิ้นมีนิสัยตรงไปตรงมา แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่ค่อยเชื่อถือเยี่ยเทียนนัก แต่ก็อย่างที่ภาษิตว่าผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด นั่นแหละ เมื่อพูดออกมาอย่างนั้นแล้ว ก็เท่ากับเป็นการขอไถ่โทษต่อเยี่ยเทียนไปในตัว


“พี่เกา เงินค่าดูพี่ก็จ่ายไปแล้วไม่ใช่หรือครับ? อยู่ที่อาจารย์หลัวนี่แหละ แล้วจะมาขอคำชี้แนะจากผมได้ยังไงล่ะ ครับ?”


เยี่ยเทียนได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้า แล้วหันหน้าไปพูดกับหลัวจื้อปิ่ง “เหล่าหลัว เรื่องการเล่นปาหี่ (หลอกลวงเกินเหตุ) นี่คงไม่ต้องพูดถึงแล้วละนะ แต่ในเมื่อคุณรับเงินมาแล้ว งานนี้ก็ต้องทำให้มันดีๆ ด้วยล่ะ…”


ที่จริงตั้งแต่ตอนที่ได้พบกับเกาเฉียนจิ้นคราวก่อน เยี่ยเทียนก็เคยสังเกตดูลักษณะใบหน้าของเขาแล้ว ตอนกลับไป บ้านอยู่ว่างๆ ก็เคยช่วยเสี่ยงทายชะตาของเขาดูครั้งหนึ่ง ตอนนี้การงานของเกาเฉียนจิ้นกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ดวงชะตาอยู่ใน เกณฑ์ดีมาก โดยพื้นฐานก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว


ดังนั้นไม่ว่าเยี่ยเทียนจะดูดวงให้เขาหรือไม่ ก็มีผลเท่ากันทั้งนั้น อาศัยประสบการณ์ของหลัวจื้อปิ่งแล้วก็น่าจะมั่ว ไปได้พอถูไถอยู่ ในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้มีเคราะห์อะไร แค่พูดๆ ไปให้ฟังดูดีหน่อยก็คงใช้ได้แล้ว


“ครับท่านเยี่ย ผมทราบแล้วครับ…”


หลัวจื้อปิ่งเดิมทีอยากจะขอประจักษ์เสียหน่อยว่า เยี่ยเทียนจะดูโหงวเฮ้งให้ถังเสวียเสวี่ยอย่างไร พอได้ยินเยี่ยเทียนว่า อย่างนั้น ถึงในใจจะรู้สึกไม่ยินยอมนัก แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของเยี่ยเทียน


“อ้อใช่ เฟื่องสักนิดหน่อยก็พอแล้วนะ ไม่ต้องแต่งเรื่องไร้สาระอะไรมากมายหรอก แล้วก็อย่าปล่อยไม้ตายด้วย ดวงชะตาของเขากำลังดีอยู่แล้วนะ…” ขณะที่หลัวจื้อปิ่งกำลังจะพาเกาเฉียนจิ้นไปที่ห้องด้านใน เยี่ยเทียนก็พลันพูดสั่งขึ้นมา


“ครับผม!” พอหลัวจื้อปิ่งได้ยินเยี่ยเทียนว่าอย่างนั้นก็นึกหวาดขึ้นมา และรีบตอบไปทันที


คำว่า ‘เฟื่อง’ ที่เยี่ยเทียนเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้ เป็นหนึ่งในคาถาหกคำของพรรคเจียงเซี่ยง เฟื่อง ก็คือการเชิดชูให้เฟื่องฟู พูดสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามอยากได้ยินออกไป เพื่อเป็นการให้ความหวัง


ปกติคำว่า ‘เฟื่อง’ มักจะใช้ร่วมกับคำว่า ‘ตี’ โดยทำให้ฝ่ายตรงข้ามสิ้นหวังก่อน แล้วค่อยให้ความหวัง เท่านี้โดยทั่วไป ก็จะสามารถทำให้อีกฝ่ายยอมควักเงินจากกระเป๋าออกมาให้แล้ว


ส่วนการ ‘ปล่อยไม้ตาย’ นั้น เป็นส่วนหนึ่งของคำว่า ‘หนึ่งพัน’ ยกตัวอย่างเช่น หลัวจื้อปิ่งดูโหงวเฮ้งให้เกาเฉียนจิ้น แล้วบอกว่า ช่วงนี้เขาจะมีเคราะห์ต้องเลือดตกยางออก แต่เกาเฉียนจิ้นกลับเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงยอมจ่ายมาแค่เงินค่าทำนาย แต่ไม่ยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อสะเดาะเคราะห์


เมื่อถึงตอนนี้ ก็จะได้เวลาใช้วิธี ‘ปล่อยไม้ตาย’ แล้ว โดยปกติหลัวจื้อปิ่งก็จะส่งคนไปสะกดรอยตามเกาเฉียนจิ้น เพื่อสืบให้รู้กิจวัตรประจำวันของเกาเฉียนจิ้น หลังจากนั้นสักสามสี่เดือนก็ส่งคนไปหาเรื่อง ซ้อมเขาจนหน้าตาฟกช้ำยับเยิน


ถึงตอนนั้นต่อให้หลัวจื้อปิ่งไม่ได้อยู่ในประเทศ เกาเฉียนจิ้นก็จะต้องนั่งเครื่องบินถ่อไปถึงอเมริกาเพื่อขอให้อาจารย์ หลัวช่วยสะเดาะเคราะห์ให้แน่นอน นี่แหละคือประสิทธิภาพของวิธี ‘ปล่อยไม้ตาย’


หากนำสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดไปข้างต้นนั้นมาสรุปรวมกัน ก็เท่ากับบอกหลัวจื้อปิ่งว่า ห้ามใช้คำพูดข่มขวัญ หรือกลวิธีต่างๆ มาหลอกหาเงินจากเกาเฉียนจิ้น


แต่นอกจากเยี่ยเทียนกับหลัวจื้อปิ่งแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ทั้งสองสนทนากันนั้นหมายถึงอะไร แต่ละค่ายแต่ละสำนักต่างก็มีศัพท์เฉพาะเป็นรหัสลับที่ใช้กันเองทั้งนั้น แม้แต่ถังเหวินหย่วนเองก็ฟังไม่เข้าใจเหมือนกัน


“นั่งเลยครับ…”


หลังจากหลัวจื้อปิ่งออกไปแล้ว เยี่ยเทียนก็โบกมือเรียกถังเสวียเสวี่ย เยี่ยเทียนรู้จากที่ถังเหวินหย่วนพูดมาว่า เด็กสาวคนนี้ปีนี้อายุสิบเจ็ดปี แต่เมื่อเห็นสภาพผอมซูบของเธอแล้ว ถ้าบอกว่าอายุสิบสี่สิบห้าปีก็คงจะมีคนเชื่อเหมือนกัน


เมื่อเห็นถังเสวียเสวี่ยที่อยู่ตรงหน้าดูจะประหม่าๆ อยู่ เยี่ยเทียนก็ยิ้มแย้มบอกว่า “ไม่ต้องกลัวนะ พี่ไม่กินคนหรอก ว่าแต่เธอรู้ช่วงเวลาตกฟากของวันเดือนปีและเวลาเกิดของตัวเองไหม?”


เยี่ยเทียนมีประสบการณ์ผ่านโลกมาหลายปี ความสามารถในการควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าจึงเรียกได้ว่าไร้ที่ติ เยี่ยเทียนในขณะนั้นจึงดูอย่างกับเป็นพี่ชายข้างบ้านผู้อัธยาศัยดีคนหนึ่ง


ท่าทีของเยี่ยเทียนทำให้ความประหม่าในใจของถังเสวียเสวี่ยสลายไปจนหมด เธอเอ่ยตอบว่า “รู้ค่ะ ตามปฏิทิน จันทรคติหนูเกิดวันกุ่ยไฮ่ เดือนอี่เว่ย ปีซินโหย่ว เคยมีคนบอกหนูมาหลายคนแล้วว่า วันเดือนปีพวกนี้เป็นช่วงเวลาธาตุหยิน ทั้งหมดเลย ซึ่งไม่ดีมากๆ แถมวันนั้นยังตรงกับเทศกาลภูตผีอีกด้วย…”


“หืม? เธอก็รู้มาเยอะเหมือนกันนี่นา”


เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออกมา แล้วเริ่มนับนิ้วจับยาม หลังจากผ่านไปสิบกว่าวินาทีก็พูดขึ้นว่า “ปีซินโหย่ว เดือนอี่เว่ย วันกุ่ยไฮ่ ตามปฏิทินจันทรคติคือวันที่สิบห้า เดือนเจ็ด ปี 1981 ตรงกับเทศกาลจงหยวนพอดี”


เทศกาลจงหยวนที่เยี่ยเทียนพูดถึงนั้น ก็คือเทศกาลเดียวกับเทศกาลภูตผีที่ถังเสวียเสวี่ยบอกมานั่นเอง และในหมู่ชาวบ้านยังเรียกกันว่า ‘วันกลางเดือนเจ็ด’ อีกด้วย กล่าวกันว่า บรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปจะถูกพญายมราช ปล่อยออกมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเจ็ดไปจนถึงกลางเดือน ดังนั้นจึงมีธรรมเนียมการรับบรรพบุรุษในวันแรกของเดือนเจ็ด และส่งบรรพบุรุษกลับในวันกลางเดือนเจ็ด


ในระหว่างพิธีส่งบรรพบุรุษนั้น จะมีการเผากระดาษเงินกระดาษทองเป็นจำนวนมาก เพื่อ ‘ให้บรรพบุรุษได้ใช้สอย’ โดยจะใส่กระดาษเงินไว้ในซองกระดาษที่เขียนชื่อสกุลของผู้รับเอาไว้ และเผาในพิธีเซ่นไหว้ เรียกว่าการ ‘เผาซอง’


หลังจากรู้ช่วงเวลาตกฟากของวันเดือนปีเกิดของถังเสวียเสวี่ยแล้ว เยี่ยเทียนก็หลับตาลง นิ้วมือขวาทั้งห้านิ้วนับ จับยามอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะนั้นบรรยากาศภายในห้องก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมา แต่ละคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนต่อการพยากรณ์ของเยี่ยเทียน


ผ่านไปเจ็ดแปดนาที เยี่ยเทียนลืมตาขึ้นช้าๆ แต่สีหน้ากลับดูคร่ำเคร่งไปหมด จนถังเหวินหย่วนเห็นแล้วตกใจ รีบ เอ่ยปากถามว่า“เยี่ยเทียน เรื่องสุขภาพของเสวียเสวี่ยนี่ ตกลงมันเป็นยังไงกันแน่? คุณคำนวณแล้วเห็นอะไรบ้าง?”


เยี่ยเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นว่า “เหล่าถัง ขอถามหน่อย เสวียเสวี่ยปกติริมฝีปากชอบกลายเป็นสีม่วง ผิวหนังขาวซีดบ่อยๆ เวลาออกกำลังกายอะไรหนักๆ ก็จะวูบเป็นลมได้ง่ายใช่รึเปล่า?”


“ใช่ๆ ตอนที่เสวียเสวี่ยอายุเจ็ดแปดขวบน่ะก็ยังดีๆ อยู่ แต่พออายุถึงเก้าขวบ มีครั้งหนึ่งพาเธอไปปีนเขา พอถึงยอด เขาก็เกิดอาการอย่างที่คุณบอกมานั่นแหละ…”


พอได้ยินเยี่ยเทียนถาม ถังเหวินหย่วนก็พยักหน้ารัวๆ ดวงตาเปี่ยมด้วยความหวัง ในเมื่อเยี่ยเทียนสามารถบอกอา การได้อย่างถูกต้อง เขาก็น่าจะมีวิธีแก้ไขอยู่แน่ๆ


เยี่ยเทียนพยักหน้า โบกมือให้ถังเหวินหย่วนทีหนึ่ง มองไปที่ถังเสวียเสวี่ย แล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสวียเสวี่ย ตั้งแต่เธออายุสิบห้าเป็นต้นมา ช่วงเช้ามืดทุกๆ วันก็จะรู้สึกหนาวเหน็บไปหมด เจ็บปวดไปทั้งตัวเหมือนกับถูกความหนาวเย็น ทิ่มแทงใช่รึเปล่า?”


“ใช่ค่ะพี่เยี่ย หนาวมากเลยค่ะ แล้วก็ปวดในทรวงอกด้วย หนู…หนูไม่กล้าบอกคุณปู่…”


พอได้ยินเยี่ยเทียนถามอย่างนั้น ถังเสวียเสวี่ยก็น้ำตาคลอขึ้นมาทันที เธอเป็นเด็กที่รู้ความ เพื่อไม่ให้คุณปู่ต้อง เป็นห่วง หนึ่งกว่าปีที่ผ่านมานี้จึงฝืนทนอาการเจ็บป่วยมาตลอด ไม่ได้บอกให้ถังเหวินหย่วนรู้เลย


แต่ตอนนี้พอได้ยินเยี่ยเทียนเอ่ยขึ้นมา แม่สาวน้อยจึงทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เพราะความเจ็บปวดเช่นนั้นถึงขนาดทำ ให้รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่ยังทรมานยิ่งกว่าตายเสียอีก แต่ก็เคราะห์ดีที่แม่หนูคนนี้มีจิตใจเด็ดเดี่ยว จึงทนมีชีวิตอยู่ต่อมาได้


188 เส้นลมปราณเก้าหยินขาด

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เด็กคนนี้นี่นะ เรื่องนี้ทำไมไม่บอกปู่ล่ะ?”


พอได้ยินคำตอบของหลานสาว ถังเหวินหย่วนก็มีสีหน้าทั้งเจ็บปวดและรู้สึกผิด ยื่นมือออกไปลูบผมของหลานสาว เบาๆ แล้วหันไปถามเยี่ยเทียน “แล้วยังไงต่อ นี่มันเป็นโรคอะไรรึเปล่าล่ะ?”


เยี่ยเทียนไม่ได้ตอบคำถามของถังเหวินหย่วน แต่ก้มหน้าลงไปสักพัก แล้วถึงจะเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า “พี่เสวี่ยเหลียน พี่พาเสวียเสวี่ยออกไปซื้อบุหรี่มาให้ผมสักกล่องนึงสิครับ วันนี้รีบออกมา ก็เลยลืมพกมาด้วย…”


เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น ถังเหวินหย่วนและถังเสวียเสวี่ยต่างก็หน้าถอดสีไปพร้อมกัน ใครๆ ก็ฟังออกว่า เยี่ยเทียนจงใจเปลี่ยนเรื่อง และส่งถังเสวียเสวี่ยออกไป


“พี่เยี่ยพูดมาเถอะค่ะ เสวียเสวี่ยไม่กลัวหรอก…” ถังเสวียเสวี่ยขบริมฝีปากอย่างแรง สำหรับเธอแล้ว แทนที่จะต้องทน ทรมานต่อไปวันแล้ววันเล่า มิสู้หลุดพ้นจากอาการนี้ให้เร็วขึ้นสักหนึ่งวันก็ยังดี


เยี่ยเทียนไม่พูดอะไร แต่กลับมองไปที่ถังเหวินหย่วน ถังเหวินหย่วนผู้มีผมเคราหงอกขาวในยามนั้นไม่เหลือความโอ่ อ่าสง่างามของเจ้าพ่อแห่งโลกธุรกิจแล้ว แม้แต่แผ่นหลังก็ดูเหมือนจะโค้งงอลงไปด้วย หลังจากผ่านไปเนิ่นนานจึงจะพยักหน้า “เสี่ยวเสวี่ยโตแล้ว เธอก็มีสิทธิ์ที่จะรู้เหมือนกัน เยี่ยเทียน คุณ…คุณบอกมาเถอะ!”


เมื่อเห็นถังเหวินหย่วนพยักหน้า เยี่ยเทียนก็พูดขึ้นว่า “เหล่าถัง ในโลกนี้มีโรคอยู่ชนิดหนึ่งเรียกว่า โรคเส้นลมปราณ ขาดโดยกำเนิด ไม่ทราบว่าคุณเคยได้ยินมาก่อนไหม?”


“อาการป่วยของเสี่ยวเสวี่ยคือโรคเส้นลมปราณขาดโดยกำเนิดจริงๆ หรือนี่?” ถังเหวินหย่วนที่กำลังนั่งพิงพนักโซฟา อยู่ขยับลุกขึ้นมานั่งตัวตรงทันที และมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยสีหน้าตกตะลึง


“อ้อ? คุณเคยได้ยินมาแล้ว? ใครเป็นคนบอกคุณครับ? แล้วทำไมเขาไม่รักษาให้เสวียเสวี่ยล่ะ?”


เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็ออกจะรู้สึกประหลาดใจ เพราะคนที่จะรู้จักโรคที่รักษาไม่หายชนิดนี้ได้ ถ้าไม่ใช่แพทย์แผน จีนอันดับต้นๆ ของประเทศในสมัยนั้น ก็ต้องเป็นอาจารย์ซินแสที่ล่วงรู้เกี่ยวกับศาสตร์หยินหยาง โรงพยาบาลทั่วๆ ไปไม่มีทาง วินิจฉัยออกมาได้แน่


โรคเส้นลมปราณขาดแม้จะเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้วิธีเยียวยาไปเสียทีเดียว โดยปกติถ้าวินิจฉัยพบ แล้ว ต่อให้ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ก็น่าจะทำให้อาการของโรคทุเลาลงได้บ้าง แต่เยี่ยเทียนดูจากอาการของถังเสวียเสวี่ย แล้ว คงจะยังไม่เคยได้รับการเยียวยาที่ตรงจุดเลย


ถังเหวินหย่วนส่ายหน้า “หมอแผนจีนชื่อดังจากฮ่องกงท่านหนึ่งเป็นคนบอกน่ะ ท่านเป็นลูกศิษย์ของเหอกงตั้นสมัย ปลายราชวงศ์ชิง แต่ท่านก็แค่สงสัยเฉยๆ เพราะสาเหตุหลายอย่าง ตอนนั้นก็เลยไม่ได้ช่วยรักษาเสี่ยวเสวี่ย ว่าแต่เยี่ยเทียน โรคเส้นลมปราณขาดนี่ตกลงมันเป็นยังไงกันแน่น่ะ?”


ความเป็นจริงก็เป็นไปตรงตามที่เยี่ยเทียนคิดไว้ ที่จริงตอนนั้นศิษย์ของเหอกงตั้นคนนี้ก็เสนอไปแล้วว่า จะใช้การฝัง เข็มรมยาช่วยเปิดเส้นลมปราณ ทำให้อาการของถังเสวียเสวี่ยทุเลาลง แต่พ่อแม่ของถังเสวียเสวี่ยเชื่อถือแพทย์แผนตะวันตก มากกว่า จึงพาถังเสวียเสวี่ยเดินทางไกลไปรักษาที่สหรัฐอเมริกา


ใครเลยจะรู้ว่า นอกจากที่อเมริกาจะรักษาไม่หายแล้ว ยังกลับทำให้อาการทรุดหนักยิ่งกว่าเดิม ด้วยความจนปัญญา จึงกลับไปหาอาจารย์หมอแผนจีนท่านนั้นที่ฮ่องกงอีกครั้ง แต่ศิษย์ของเหอกงตั้นคนนั้นกลับล้มป่วยเสียชีวิตไปแล้ว ดังนั้นแม้ถัง เหวินหย่วนจะเคยได้ยินชื่อโรคเส้นลมปราณขาดมาก่อน แต่กลับไม่รู้เลยว่าเป็นโรคแบบไหน


“ที่แท้ก็เป็นลูกศิษย์ของเหอกงตั้นนี่เอง มิน่าล่ะถึงรู้ว่าเป็นโรคเส้นลมปราณขาด…”


เมื่อได้ยินคำตอบของถังเหวินหย่วน เยี่ยเทียนก็พยักหน้า เหอกงตั้นเป็นแพทย์ชื่อดังที่เมืองหางโจวในยุคสาธารณรัฐ จีนช่วงปลายสมัยราชวงศ์ชิง เกิดในช่วงต้นรัชสมัยฮ่องเต้กวงซวี่แห่งราชวงศ์ชิง เริ่มศึกษาเพื่อสอบเข้ารับราชการตั้งแต่เยาว์วัย มีความรู้ตั้งแต่ปรัชญาของขงจื่อไปจนถึงวิชาการแพทย์ หลังจากตั้งโรงเรียนแพทย์เฉพาะทางของตนเองขึ้นที่มณฑลเจ้อเจียง เหอกงตั้นก็รับถ่ายทอดวิชามาตลอด ศิษย์จากสำนักของท่านจึงมีกระจายอยู่ทั่วทุกส่วนของประเทศ


ตอนที่หลี่ซั่นหยวนออกท่องยุทธภพในสมัยหนุ่ม ก็เคยได้พบปะกับเหอกงตั้นอยู่บ้าง และชื่นชมยกย่องต่อทักษะทาง การแพทย์ของเขาเป็นอย่างสูง เวลาที่ท่านเล่าเกี่ยวกับบุคคลต่างๆ ที่ท่านได้รู้จักมาในสมัยหนุ่มให้เยี่ยเทียนฟัง ก็เคยกล่าวถึง บุคคลผู้นี้อยู่หลายต่อหลายครั้ง


“เหล่าถัง โรคของเสี่ยวเสวี่ยนี่น่ะ ก็ไม่ใช่ว่าจะหมดทางช่วยไปเสียทีเดียวหรอก ผมจะอธิบายเกี่ยวกับโรคเส้นลม ปราณขาดให้คุณฟังก่อนก็แล้วกัน…”


เมื่อเห็นถังเหวินหย่วนท่าทางร้อนรน เยี่ยเทียนก็พูดขึ้นว่า “โรคเส้นลมปราณขาดเป็นโรคที่รักษาไม่หายและเป็นโดย กำเนิดชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการที่เส้นลมปราณในร่างกายอุดตัน โรคนี้แบ่งตามระดับความรุนแรงได้เป็นสามชนิด ได้แก่ ชนิด สาม ชนิดหก และชนิดเก้า ผู้หญิงเป็นธาตุหยิน เส้นลมปราณสายหลักทั้งสิบสองในร่างกายก็เป็นธาตุหยินทั้งหมด จึงเรียกอา การนี้ว่า เส้นลมปราณสามหยินขาด เส้นลมปราณหกหยินขาด และเส้นลมปราณเก้าหยินขาด


ส่วนผู้ชายก็ตรงกันข้าม เส้นลมปราณสายหลักทั้งสิบสองในร่างกายเป็นธาตุหยางทั้งหมด จึงเรียกว่าอาการเส้นลม ปราณสามหยางขาด เส้นลมปราณหกหยางขาด และเส้นลมปราณเก้าหยางขาด


โดยปกติแล้ว เส้นลมปราณสามหยินขาดจะออกอาการเมื่ออายุประมาณยี่สิบเจ็ดปี เส้นลมปราณหกหยินขาด ก็จะออกอาการเมื่ออายุประมาณสิบแปดปี ส่วนเส้นลมปราณเก้าหยินขาดนั้น จะออกอาการเมื่ออายุประมาณเก้าปี และปกติ ก็จะมีชีวิตอยู่ได้จนถึงอายุไม่เกินสิบแปดปี ดูจากอาการของเสี่ยวเสวี่ย เห็นทีคงจะเป็นเส้นลมปราณขาดชนิดเก้าหยิน แน่ แล้ว…”


ระหว่างคำนวณชะตาชีวิตของถังเสวียเสวี่ยเมื่อครู่นี้ เยี่ยเทียนก็พบแล้วว่า ภายในระยะเวลาก่อนที่เธอจะเกิดมานั้น เคยประสบกับเคราะห์ร้ายครั้งหนึ่งคือ ระหว่างที่มารดากำลังจะให้กำเนิดเธอ เคยถูกพลังหยินพิฆาตเข้าแทรก ถึงจะแคล้ว คลาดไปได้ แต่ก็ยังคงทิ้งรากเหง้าของความเจ็บป่วยไว้ให้ถังเสวียเสวี่ยที่ยังไม่ได้เกิดมา


ถังเสวียเสวี่ยเกิดตรงกับวันอู้จื่อ เดือนอู้เซิน ซึ่งตรงกับวันที่ชาวบ้านเรียกกันว่าวันเปิดประตูผีพอดี และก็เป็นวันที่ฟ้า ดินจะมีกระแสพลังหยินพิฆาตรุนแรงที่สุดของปี ปกติก็มีแต่ผู้ที่เกิดในวันเวลานี้เท่านั้น ที่จะป่วยด้วยโรคโดยกำเนิดชนิดนี้ได้


“เยี่ย…เยี่ยเทียน อย่างนั้นแล้ว…แล้วโรคของเสี่ยวเสวี่ยนี่ยังพอมีทางรักษาอยู่รึเปล่าล่ะ? ขอแค่รักษาให้หายได้ ไม่สิ…ขอแค่ทำให้เสวียเสวี่ยทรมานน้อยลงไปบ้าง ต้องจ่ายเงินอีกเท่าไหร่ก็ยอมทั้งนั้นแหละ!”


พอฟังเยี่ยเทียนพูดจบ ถังเหวินหย่วนก็ยกมือขึ้นมาขยี้ตา น้ำตาเปรอะเปื้อนทั่วใบหน้า ในขณะนั้น ชายชราผู้แกร่ง กร้าวมาตลอดชีวิตคนนี้ กลับกลายเป็นเพียงคุณปู่ผู้รักเวทนาหลานสาวคนหนึ่ง ไม่ใช่เจ้าสัวมหาเศรษฐีอะไรอีกแล้ว


“เหล่าถัง อย่ามาทำท่าทางแบบนี้เลย ใช้กับผมไม่ได้ผลหรอก เรื่องนี้น่ะให้ผมคิดดูก่อน…”


เยี่ยเทียนมองถังเหวินหย่วนแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อครู่นี้ตอนที่ตาแก่นี่เอาน้ำชาป้ายลงไปที่ดวงตา ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาดั่งเนตรเพลิงสีทองของเยี่ยเทียนไปได้อยู่แล้ว เขาไม่ใช่จะหลอกได้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรอกนะ


“อะแฮ่ม…แค่กๆ คุณค่อยๆ คิดนะ ค่อยๆ คิด” พอถูกเยี่ยเทียนเปิดโปงลูกไม้ตลบแตลงของตัวเอง ถังเหวินหย่วน ก็กระแอมอย่างกระอักกระอ่วนสองสามที แล้วก็ไม่กล้ารบกวนเยี่ยเทียนอีกเลย


“ข้อห้ามที่อาจารย์เคยบอกมาตอนนั้น ตอนนี้ก็ดันมาเจอเข้าจนได้…”


เยี่ยเทียนเอนหลังพิงโซฟา ในสมองปรากฏภาพเหตุการณ์ในอดีตที่พรตเฒ่าได้สั่งสอนเขาไว้ขึ้นมา


“พ่อหนูเยี่ยจื่อ เจ้าตอบถูกมาข้อหนึ่งแล้ว แต่ยังมีสาเหตุอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ คนที่เกิดในวันเดือนปีและช่วงเวลา ‘แปดอักษรหยางล้วน’ หรือ ‘แปดอักษรหยินล้วน’ นั้น ปกติแล้วเราจะไม่ดูดวงให้เขาหรอกนะ…”


“ทำไมล่ะครับอาจารย์?”


“คนที่เกิดในสองช่วงยามนี้มีดวงชะตาอ่อนมาก ระหว่างที่เจ้าทำนาย จึงอาจจะทำให้ดวงชะตาของคนผู้นั้นเกิดการ เปลี่ยนแปลงได้ กลายเป็นว่าเจ้าไปฝ่าฝืนข้อห้ามเรื่องแก้ลิขิตพลิกชะตาโดยไม่ได้เจตนา ดังนั้นจงจำไว้ให้มั่น ต่อให้คนผู้นั้นเป็น มิตรสหายที่สำคัญต่อเจ้าเพียงใด ก็อย่าไปประมาทพยากรณ์ดวงชะตาให้คนสองประเภทนี้…”


บทสนทนากับหลี่ซั่นหยวนเมื่อครั้งกระโน้นปรากฏขึ้นในห้วงสมองอย่างแจ่มชัด วันเกิดของสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าคน นี้ก็คือเวลาแปดอักษรหยินล้วนนั่นเอง ซึ่งผิดกับข้อห้ามในสายอาชีพของเขาพอดี ตอนนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหลับตาลง และขมวดคิ้วขึ้นมาเป็นครั้งคราว ถังเสวียเสวี่ยก็พูดขึ้นมาอย่างรู้ความ “พี่เยี่ยเทียน เสี่ยวเสวี่ยไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่อย่าเครียดไปเลย…”


พอได้ยินถังเสวียเสวี่ยพูดแบบนั้น เยี่ยเทียนก็ลืมตาโพลงขึ้นมาทันที เมื่อเห็นร่างกายอันผอมซูบของเด็กสาวคนนี้ คำกล่าวหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมองของเยี่ยเทียน ‘ชายชาตรียามทำกิจใด คำนึงแต่ว่าถูกหรือผิด ไม่คำนึงว่าเป็นโชคหรือ เคราะห์!’


เมื่อนึกถึงข้อความที่คนโบราณได้กล่าวไว้นี้ขึ้นมา ในใจเยี่ยเทียนก็อดรู้สึกละอายขึ้นมาไม่ได้ จึงพูดขึ้นมาเสียงดังว่า “เหล่าถัง โรคของเสี่ยวเสวี่ยน่ะ ผมจะดูแลให้เอง!”


ตอนที่ช่วยพยากรณ์ดวงชะตาของถังเสวียเสวี่ยไปเมื่อครู่ แม้จะยังไม่ถึงขั้นเป็นการฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตา แต่ก็ถือว่าได้ แพร่งพรายความลับสวรรค์ออกไปแล้ว แทนที่จะมัวหลบๆ เลี่ยงๆ มิสู้ขอเห็นดีกับสวรรค์ดูสักตั้งไปเลยดีกว่า


“มีวิธีจริงๆ หรือ? สามารถรักษาโรคของเสี่ยวเสวี่ยได้แน่นะ?” ถังเหวินหย่วนจับแขนของเยี่ยเทียนไว้ จนเส้นเลือดบน หลังมือปูดขึ้นมา


“มีโอกาสสำเร็จอยู่แปดสิบเปอร์เซ็นต์ เหล่าถัง อย่าโกรธเลยนะถ้าผมจะบอกว่า ณ ตอนนี้ในโลกนี้ นอกจากผมแล้ว ก็ไม่มีใครรักษาโรคของเธอได้อีกแล้วล่ะ!”


เยี่ยเทียนพูดอย่างมั่นใจเต็มที่ เนื่องจากโรคเส้นลมปราณเก้าหยินขาดเป็นโรคโดยกำเนิด จึงต้องใช้พยากรณ์ ศาสตร์ในการฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตา ซึ่งผู้ทำพิธีจะต้องสามารถผสานกับพลังชี่ในธรรมชาติได้ เงื่อนไขข้อนี้ นอกจากเยี่ยเทียน ก็คงจะไม่มีใครทำได้อีกแล้ว


แต่การรักษาโรคเส้นลมปราณเก้าหยินขาดนั้นก็มีข้อแตกต่างจากการใช้วิชาเจ็ดประทีปต่อชีวิตอยู่


วิชาเจ็ดประทีปต่อชีวิตนั้นเป็นวิชาที่ฝืนต่อลิขิตสวรรค์อย่างแข็งกร้าว ผลสะท้อนกลับจึงรุนแรงอย่างยิ่ง แต่ชุดอาคม ที่ใช้สำหรับรักษาเส้นลมปราณเก้าหยินขาดนั้นมีลักษณะโอนอ่อนกว่ามาก ผลกระทบที่จะเกิดต่อเยี่ยเทียนจึงไม่น่าจะร้ายแรง เท่าครั้งก่อน


“เยี่ยเทียน นาย…นายว่า จะต้อง…จะต้องใช้เงินสักเท่าไหร่กันนะ?!”


เมื่อครู่นี้ตอนจะซื้อของขลังก็เพิ่งถูกเยี่ยเทียนปฏิเสธไป ตอนนี้ถังเหวินหย่วนจึงกลัวว่าเยี่ยเทียนจะเปลี่ยนใจ เลยรีบ เอ่ยถึงค่าตอบแทนขึ้นมาทันที เขารู้ว่าคนอย่างเยี่ยเทียนนี้ หากลั่นวาจารับปากไปแล้ว ก็จะไม่มีทางกลับคำพูดเป็นเด็ดขาด


เยี่ยเทียนโบกมือ “เรื่องใช้เงินเท่าไหร่นี่ไว้รักษาให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ แต่ว่านะเหล่าถัง ผมรับปากว่าจะรักษา เสี่ยวเสวี่ย แต่รักษาให้ตอนนี้เลยยังไม่ได้นะ น่าจะต้องรอไปอีกประมาณหนึ่งปี…”


“ประมาณหนึ่งปี? เสี่ยวเสวี่ยกำลังจะครบสิบเจ็ดอยู่แล้ว ไหนบอกว่าคนเป็นโรคเส้นลมปราณเก้าหยินขาดนี่จะอยู่ได้ ไม่เกินอายุสิบแปดไม่ใช่รึ? แล้วจะไปรอยังไงไหวล่ะ?”


พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น ถังเหวินหย่วนก็ฉุนกึกขึ้นมาทันที นี่ล้อกันเล่นรึเปล่าเนี่ย? เมื่อกี้เพิ่งจะบอกอยู่ว่า เสี่ยวเสวี่ยจะอยู่ไม่ถึงสิบแปด ตอนนี้กลับจะให้รอไปอีกหนึ่งปี ถ้าไม่ใช่เพราะอายุมากสังขารแก่ชรา คุณปู่แกก็คงจะลุกขึ้นมา สู้ตายกับเยี่ยเทียนไปแล้ว


“นั่นน่ะสิ เยี่ยเทียน ถ้าเธอมีหนทาง ก็รีบรักษาให้น้องเสี่ยวเสวี่ยเร็วๆ เถอะนะ…” หลงเสวี่ยเหลียนที่อยู่ข้างๆ พูดเสริม ขึ้นมาบ้าง สภาพผอมซูบอิดโรยของถังเสวียเสวี่ยนั้น ใครเห็นต่างก็ต้องรู้สึกเวทนา


“ผมก็อยากจะทำอย่างนั้นอยู่หรอกครับ แต่…เฮ้อ…”


เยี่ยเทียนถอนหายใจแล้วพูดต่อ “การรักษาโรคให้เสี่ยวเสวี่ย เท่ากับเป็นการฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตา ถ้าหากเปลี่ยนเป็น ผมเมื่อสองปีก่อน ก็อาจจะยังพอพยายามทำให้สำเร็จได้อยู่…


แต่เมื่อสองปีก่อนผมเคยฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาให้อาจารย์มาครั้งหนึ่ง จนได้รับโทษสวรรค์ ถึงได้ส่งผลให้ผมกลาย เป็นสีขาวในชั่วข้ามคืน จนถึงตอนนี้พลังก็ยังไม่ฟื้นฟูกลับมาเลย ผมน่ะมีใจจะช่วย แต่สังขารมันไม่อำนวยน่ะสิครับ!”


“เคยฝืนลิขิตเปลี่ยนชะตาให้คนอื่นไปแล้ว?!”


เมื่อเยี่ยเทียนตอบเช่นนั้น สายตาของทุกคนที่มองไปที่เขาก็เปี่ยมศรัทธาแรงกล้าขึ้นมาทันที พวกเขาต่างก็ฟังออกว่า สิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมานั้นต้องไม่ใช่ความเท็จแน่นอน


“แล้ว…แล้วเสวียเสวี่ยจะทำยังไงล่ะ?”


พอได้ยินว่าเยี่ยเทียนสามารถเยียวยาหลานสาวได้ แต่แล้วก็กลับได้ยินอีกว่า เยี่ยเทียนมีใจแต่สังขารไม่อำนวย คราวนี้ถังเหวินหย่วนเลยรู้สึกอย่างกับไปนั่งรถไฟเหาะมาก็ไม่ปาน ตลอดทั้งร่างรู้สึกเหมือนลอยขึ้นไปเหนือเมฆแล้วก็ตก วูบลงมา


“อย่างเร็วก็หนึ่งปี อย่างช้าก็หนึ่งปีครึ่ง พลังของผมก็น่าจะฟื้นฟูกลับมาได้แล้ว นี่ผมมียันต์รวมหยางอยู่ใบหนึ่ง ให้เสี่ยวเสวี่ยพกไว้กับตัวเป็นประจำ แล้วจะปกป้องเธอไม่ให้ธาตุหยินเย็นกำเริบขึ้นมาภายในหนึ่งปีได้!”


หลังจากเยี่ยเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หยิบยันต์ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ยันต์นี้เขาวาดขึ้นมาเมื่อวันที่เขาจะปิดผนึก ‘ประตูผี’ ของเรือนสี่ประสาน ตอนนั้นวาดสำเร็จไปสองใบ ใบหนึ่งนำไปใช้กับ ‘ประตูผี’ ที่เหลืออีกใบหนึ่งนั้นจึงได้นำมาใช้ ประโยชน์ในกรณีนี้


189 ฤทธิ์ของยันต์รวมหยาง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ยันต์รวมหยาง? มันคืออะไรน่ะ? จะใช้ได้ผลรึ?”


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหยิบกระดาษสีเหลืองออกมาหนึ่งแผ่น บนกระดาษเขียนอักขระหน้าตาพิลึกยึกๆ ยือๆ ไว้ แล้วบอกว่าสามารถคุ้มครองหลานสาวไม่ให้อาการป่วยกำเริบได้ สีหน้าของถังเหวินหย่วนก็บอกเยี่ยเทียนอยู่ชัดๆ เลยว่า เขาไม่เชื่อ!


“เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณนะเหล่าถัง ยันต์นี่น่ะใช้กับโรคของเสี่ยวเสวี่ยได้ผลยิ่งกว่าของขลังนั่นเสียอีก…”


เยี่ยเทียนค้อนใส่ถังเหวินหย่วนอย่างไม่สบอารมณ์ การผลิตของขลังนั้นขอเพียงพบจุดรวมพลังวิเศษ แค่เยี่ยเทียนตั้งค่ายกลชุมนุมพลังขึ้น เมื่อค่ายกลเริ่มทำงานก็จะสามารถสร้างของขลังขึ้นมาได้แล้ว เหมือนกับปล่อยให้เครื่องจักรในโรงงานประกอบชิ้นส่วนขึ้นมาเอง


แต่ในการผลิตยันต์นั้น เยี่ยเทียนจะต้องสูญเสียพลังชี่ดั้งเดิมของตัวเอง ลำพังเฉพาะประเด็นนี้ ในความคิดของเยี่ยเทียนก็ถือว่ายันต์ไม่ได้มีคุณค่าด้อยไปกว่าของขลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว


และยันต์รวมหยางนี้ก็มีคุณสมบัติในการรวบรวมพลังหยางจากธรรมชาติโดยเฉพาะ จึงมีฤทธิ์ข่มโรคเส้นลมปราณเก้าหยินขาดของถังเสวียเสวี่ยได้พอดี หากพกยันต์ติดตัวไว้ตลอดเวลา ยังจะสามารถขจัดความทรมานจากอาการหยินเย็นกำเริบในแต่ละวันของถังเสวียเสวี่ยได้อีกด้วย


“จริงรึเปล่าเนี่ย?”


ถังเหวินหย่วนรับยันต์รวมหยางไปด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ แล้วจับดูพลิกไปพลิกมา เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่า แค่กระดาษแผ่นเดียวนี่ จะมีอานุภาพสูงยิ่งกว่าของขลังที่ช่วยให้คนรอดชีวิตได้เสียอีก?


แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยรักษาโรคของหลานสาวได้แล้ว แม้ในใจถังเหวินหย่วนจะไม่เชื่อถือในประสิทธิภาพของยันต์ใบนี้เท่าไรนัก แต่ก็ไม่กล้าไปซักไซ้เยี่ยเทียนอีก


ขณะที่ถังเหวินหย่วนกำลังรู้สึกสับสน หลัวจื้อปิ่งและเกาเฉียนจิ้นก็เดินออกมาจากห้องด้านใน


ดูท่าทางเกาเฉียนจิ้นจะพึงพอใจกับการให้บริการด้วยคาถา ‘เฟื่อง’ ของหลัวจื้อปิ่งไม่น้อยเลย จึงมีสีหน้าเปล่งปลั่งอารมณ์เบิกบานอย่างยิ่ง เมื่อเห็นถังเหวินหย่วนกำลังพินิจพิจารณาดูกระดาษแผ่นหนึ่งในมืออย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาก็อดถามด้วยความแปลกใจไม่ได้ “คุณปู่ถัง ที่ถืออยู่คืออะไรหรือครับ?”


ถังเหวินหย่วนตอบอย่างครุ่นคิด “เยี่ยเทียนบอกว่าเป็นยันต์น่ะ ช่วยให้อาการป่วยของเสี่ยวเสวี่ยไม่กำเริบได้…”


“ยันต์?”


เกาเฉียนจิ้นตาเป็นประกาย แล้วหันหน้าไปพูดกับหลงเสวี่ยเหลียน “เสวี่ยเหลียน เมื่อไม่นานมานี้อาเขยของเธอก็ไปได้ยันต์อะไรสักอย่างมาใบหนึ่งเหมือนกันนี่ เห็นเก็บไว้อย่างกับเป็นสมบัติ ไม่ยอมให้ใครดูเลยไม่ใช่หรือ?”


เนื่องจากเขาสนิทสนมกับหลงเสวี่ยเหลียนมากขึ้น เกาเฉียนจิ้นจึงพลอยได้พบปะกับเหลยอู้มากขึ้นตามไปด้วย และรู้ว่าเหลยอู้มีกระดาษเหลืองอยู่แผ่นหนึ่ง ปกติไม่ยอมปล่อยให้ห่างตัวเลยแม้แต่ชั่วขณะ เกาเฉียนจิ้นเคยเห็นมาครั้งหนึ่ง แต่เหลย อู้กลับไม่ยอมให้เขาแตะต้องเลยแม้แต่นิดเดียว


“จริงด้วย ยันต์นั่นอาเขยให้ เหมือนจะให้…ให้เยี่ยเทียนเป็นคนวาดนี่แหละมั้ง?”


เมื่อเกาเฉียนจิ้นเอ่ยถึงเรื่องนี้ หลงเสวี่ยเหลียนก็นึกขึ้นมาได้ แต่เธอไม่ค่อยสนใจพวกเครื่องรางของขลังเท่าไรนัก จึงไม่ได้จำแม่นเหมือนกับเกาเฉียนจิ้น


“อ้อ มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ? แล้วมันเป็นยันต์อะไรล่ะ?” พอได้ยินเกาเฉียนจิ้นกับหลงเสวี่ยเหลียนคุยกัน ถังเหวินหย่วนก็ตาลุกวาว


“ได้ยิน…ได้ยินอาเขยหนูบอกมาว่า เหมือนจะ เหมือนจะเรียกว่า…เรียกว่ายันต์วิเศษอะไรนี่ละมั้งคะ?”


เคราะห์ของเหลยอู้นั้นคือเสนียดดอกท้อ ไม่ค่อยเหมาะที่จะนำมาพูดกับหญิงสาว ก่อนหน้านี้จึงเอ่ยถึงไปแค่ครั้งเดียว ดังนั้นหลงเสวี่ยเหลียนเองก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน


“ยันต์วิเศษปลิดดอกท้อ ดวงของอาเขยพี่น่ะโดนเสนียดดอกท้อ เลยต้องพกยันต์นั่นไว้ต้านพลังพิฆาต…”


เยี่ยเทียนรู้ว่า ต่อให้ตัวเองไม่พูด ตาแก่ถังเหวินหย่วนนี่ก็คงจะไปขอยืนยันดูกับเหลยอู้อยู่ดี และคนที่รู้เกี่ยวกับเรื่องของเหลยอู้ก็มีอยู่หลายคน จึงไม่ถือว่าเขานำความลับของคนอื่นมาเผยแพร่


“ใช่ๆ ไอ้ที่เรียกว่ายันต์วิเศษปลิดดอกท้ออะไรเนี่ยแหละ ใช้แล้วเห็นผลชะงัดทีเดียวละ…”


หลงเสวี่ยเหลียนเห็นถังเหวินหย่วนยังท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงอดพูดไม่ได้ว่า “คุณปู่ถังคะ คุณปู่ยังไม่รู้อะไร เมื่อก่อนอาเขยหนูน่ะเจ้าชู้อย่างกับอะไรดี มีผู้หญิงห้อมล้อมตั้งเป็นโขยง แต่หลังจากที่เริ่มพกยันต์ดอกท้ออะไรเนี่ยแหละ เขากับอาหญิงของหนูก็ดีกันมากขึ้นเยอะเลย ยันต์นี่มันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ นะคะ…”


ที่จริงแล้วการขจัดเสนียดดอกท้อของเหลยอู้นั้น ปัจจัยหลักคือการแก้ไขฮวงจุ้ยบ้านพักของเขา ยันต์วิเศษปลิดดอกท้อเพียงแต่ช่วยเกื้อหนุนอีกทางหนึ่งเท่านั้นเอง แต่แน่นอนว่า เยี่ยเทียนคงไม่มาอธิบายให้คนพวกนี้ฟังหรอก


“เสวี่ยเหลียน นี่เธอพูดจริงหรือ?”


ถังเหวินหย่วนแม้ปากจะถามหลงเสวี่ยเหลียนอยู่ แต่สายตากลับจับจ้องไปที่เยี่ยเทียนตลอดเวลา เพราะเขาอยากจะได้ยินคำยืนยันจากปากของเยี่ยเทียน


“ก็ต้องจริงน่ะสิคะ ถ้าไม่เชื่อคุณปู่ก็ไปถามอาเขยหนูเอาเองเถอะ…” เมื่อเจตนาอันดีของตัวเองถูกสงสัย หลงเสวี่ยเหลียนจึงเริ่มจะไม่พอใจขึ้นมา เพียงแต่เธอไม่รู้ว่า คุณปู่ไม่ได้สนใจฟังคำตอบของเธอเลยสักนิด


“ที่ควรบอกผมก็บอกไปหมดแล้ว เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณนะ จริงสิ หนึ่งปีหลังจากนี้พาเสี่ยวเสวี่ยมาปักกิ่งอีกนะครับ ถ้าถึงตอนนั้นร่างกายผมยังไม่ฟื้นฟูดี ก็จะให้เธออยู่ประคับประคองอาการที่ปักกิ่งไปอีกสักครึ่งปี…”


เยี่ยเทียนคร้านจะคุยกับตาจิ้งจอกเฒ่าแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าเขาอายุมากแล้ว และยังเป็นแหล่งรายได้ของเขาอยู่ด้วย เยี่ยเทียนก็คงไม่มาสนใจเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเองแบบนี้หรอก นึกว่าการฝืนลิขิตพลิกชะตานี่มันง่ายนักรึไง? คราวก่อนเยี่ยเทียนเกือบจะเผลอเอาชีวิตน้อยๆ ของตัวเองไปทิ้งแล้วด้วยซ้ำ!


“เอ้อ เยี่ยเทียน หรือว่า…หรือให้เสี่ยวเสวี่ยอยู่ที่นี่ต่อไปเลยดีกว่านะ ถึงยังไงเธอก็ไปเรียนหนังสือไม่ได้อยู่แล้ว ตามฉันกลับไปฮ่องกงก็ไม่มีอะไรทำหรอก…”


แม้เขาจะเชื่อมั่นในคำพูดของเยี่ยเทียนอยู่มาก แต่การพาหลานสาวกลับไปด้วยนั้น ก็ดูไม่น่าจะปลอดภัยเท่ากับให้อยู่ใกล้ๆ เยี่ยเทียนหรอกจริงไหม? ถังเหวินหย่วนจึงเกิดความคิดนี้ขึ้นมาในฉับพลัน


ตามความคิดของถังเหวินหย่วน การที่เขาฝากหลานสาวสุดที่รักไว้กับเยี่ยเทียนนี้ ก็แปลว่าเขากำลังแสดงความเชื่อมั่นต่อเยี่ยเทียน และจะว่าไป ถ้าถังเสวียเสวี่ยจะมาอยู่กับเยี่ยเทียน คนเป็นปู่ก็ต้องออกค่าใช้จ่ายให้อยู่แล้ว ไม่ปล่อยให้หลานสาวต้องอยู่อย่างลำบากหรอกจริงไหม?


“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว ตอนนี้ผมต้องฟื้นฟูร่างกาย ไม่มีเวลาจะมาปรนนิบัติหลานสาวคุณหรอกนะ เหล่าถัง คุณน่ะอย่าได้คืบจะเอาศอกสิ”


ใครเลยจะรู้ว่า เยี่ยเทียนกลับไม่ไว้หน้าถังเหวินหย่วนเลยสักนิด ชักสีหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ ขาดก็แต่ไม่ได้ยกมือขึ้นมาชี้หน้าด่าถังเหวินหย่วนเท่านั้นเอง การเปลี่ยนสีหน้าอย่างกะทันหันนี้ ทำเอาคนทั้งห้องเห็นแล้วตกตะลึงจนอ้าปากค้างไปตามๆ กัน


คงไม่มีใครคาดคิดกันเลยว่า เยี่ยเทียนจงใจที่จะทำแบบนั้น ในหนึ่งปีต่อจากนี้ไป เขาไม่มีเวลาจะไปยุ่งกับเรื่องอื่นแล้วจริงๆ หลังจากดัดแปลงเรือนสี่ประสานเสร็จสมบูรณ์แล้ว เยี่ยเทียนก็จะต้องเก็บตัวอยู่ในนั้นเป็นเวลานาน อาจจะไม่ได้ก้าวออกจากประตูไปแม้แต่ก้าวเดียวเลยด้วยซ้ำ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาจัดการกับชีวิตของถังเสวียเสวี่ยล่ะ?


เยี่ยเทียนรู้ว่า ตาแก่คนนี้นิสัยชอบเซ้าซี้ เกาะติดหนึบอย่างกับขนมเยลลี่ ถ้าไม่ชักสีหน้าใส่เขาเสียบ้าง เดี๋ยวก็คงจะยกเรื่องมิตรไมตรีระหว่างผู้ร่วมอุดมการณ์กลุ่มชิงปังซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเยี่ยเทียนเลยมาพูดอีกแน่ๆ


ดังนั้นเยี่ยเทียนถึงได้จงใจชักสีหน้าไปแบบนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ถังเหวินหย่วนปล่อยลูกตื๊ออะไรออกมาอีก


“ได้ๆ ผม…ผมจะทำตามที่คุณบอกนะ!”


พอถังเหวินหย่วนโดนเยี่ยเทียนด่าก็ตื่นตระหนกขึ้นมา จนชะงักงันไม่ตอบสนองไปชั่วขณะ เพราะไม่มีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้มาอย่างน้อยๆ ก็ยี่สิบสามสิบปีแล้ว


แต่ไม่ว่าเหล่าถังจะขัดข้องใจสักแค่ไหน ก็คงต้องทนต่อไป ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เยี่ยเทียนสามารถช่วยชีวิตหลานสาวได้ ลำพังแค่สถานะของเยี่ยเทียน ถ้าเขานำบัตรรับรองจากหลี่ซั่นหยวนไปยื่นที่สมาคมหงเหมินละก็ อย่าว่าแต่แค่ด่าเลย ต่อให้ตบเขาสักหนึ่งผัวะ เขาก็คงได้แต่จำใจยอมรับ


‘ยอดคน ยอดคนแท้ๆ เลยนะเนี่ย!’


ผู้ที่ได้เปิดหูเปิดตามากที่สุดในวันนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นพวกเกาเฉียนจิ้นนี่เอง โดยเฉพาะหูจวิน ซึ่งกำลังโห่ร้องชื่นชมอยู่ในใจเป็นการใหญ่ ได้เห็นเจ้าพ่อระดับสูงสุดในแวดวงคนเชื้อสายจีนยอมโดนดุด่าอย่างพินอบพิเทาต่อหน้าต่อตาแบบนี้ สงสัยเอาไปพูดที่ไหนก็คงไม่มีใครเชื่อ


“เยี่ยเทียน แล้ว…แล้วยังมีอะไรที่ต้องระวังอีกไหม?” ในเมื่อเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของหลานสาว ถังเหวิน หย่วนจึงต้องถามละเอียดหน่อย


“ไม่มีอะไรแล้วละครับ ยันต์ใบนั้นเดี๋ยวคุณก็ไปหาคนทำซองใส่ให้แล้วกันนะ เอาที่กันน้ำกันไฟได้…”


เยี่ยเทียนพูดไป ทันใดนั้นก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ และมองไปที่ถังเหวินหย่วนด้วยสีหน้าแปลกๆ  “เหล่าถัง คงไม่ใช่ว่าคุณจะเอายันต์รวมหยางไปเสียเฉยๆ แบบนี้หรอกนะ?”


“แล้ว…แล้วยังต้องทำอะไรอีกล่ะ?” ถังเหวินหย่วนได้ยินเยี่ยเทียนถามก็อึ้งไป


“ตอนที่ผมวาดยันต์นี่น่ะต้องเสียพลังชี่ไปตั้งมากมาย คุณเห็นเป็นผักกาดขาวแจกฟรีในตลาดรึไงฮึ?”


พอนึกถึงเมื่อครู่นี้ที่ตัวเองปฏิเสธเงินจากถังเหวินหย่วนไปหลายสิบล้าน คราวนี้เยี่ยเทียนก็ชักจะนึกเจ็บใจขึ้นมาแล้ว ถ้ายังพูดจาไพเราะอยู่ได้ก็แปลกแล้วล่ะ “ผมก็ไม่ใช่พวกทำการกุศล แล้วทำไมจะต้องมาแจกยันต์คุณฟรีๆ ด้วยล่ะ? เราสนิทกันมากรึไง?”


“อ้าว คุณ…คุณจะคิดเท่าไหร่ก็บอกมาก็ได้นี่”


พอได้ยินคำพูดตอนท้ายของเยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนถึงเพิ่งจะโต้ตอบออกมาได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้มารยาทสังคม แต่ประเด็นคือ เมื่อกี้เห็นเยี่ยเทียนเพิ่งจะวางท่าอย่างผู้ทรงคุณธรรม เห็นเงินทองเป็นดั่งธุลีดินอยู่เลยนี่นา แล้วใครจะไปนึกล่ะว่าเขาจะมาคิดเงินค่ากระดาษแผ่นเดียวแบบนี้?


“ท่านถัง คิดเงินค่าอะไรหรือครับ?” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น เป็นเสียงของชายวัยกลางคนที่เปิดประตูให้พวกเยี่ยเทียนแล้วเดินจากไปคนนั้นนั่นเอง ไม่รู้ว่ากลับเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไร


“หนูรู้มาว่า ยันต์ของอาเขยหนูใบนั้นน่ะซื้อมาสามแสนนะคะ…” ประสาทส่วนไหนของหลงเสวี่ยเหลียนเกิดขัดข้องขึ้นมาก็ไม่ทราบ จู่ๆ ก็พูดแทรกขึ้นมาแบบนั้น จนเยี่ยเทียนแทบจะกระอักเลือด


“ได้เลย งั้นก็สามแสนแล้วกัน นี่ครับ…”


เยี่ยเทียนขึงตาใส่หลงเสวี่ยเหลียนอย่างดุร้ายแวบหนึ่ง แล้วแบมือให้ถังเหวินหย่วน ส่วนในใจนั้นเลือดไหลซิบๆ ‘ปัดโธ่เว้ย อาเขยหล่อนน่ะเอามาเทียบกับถังเหวินหย่วนได้ที่ไหนเล่า? นี่มันมหาเศรษฐีพันล้านเลยนะโว้ย!’


“ได้ๆ อาติง หยิบเช็คมาให้เยี่ยเทียนหน่อยซิ เขียนไปห้าแสนเลยนะ!”


ถังเหวินหย่วนสั่งให้ชายวัยกลางคนที่เมื่อครู่นี้หายไปไหนมาไม่ทราบนั้นเขียนเช็คให้เยี่ยเทียนด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน เพราะตอนนี้สีหน้าท่าทางของเยี่ยเทียนดูแปลกเหลือเกิน แต่เขาก็ไม่กล้าจ่ายให้เยอะเกินไป กลัวว่าเดี๋ยวจะไปยั่วโทสะอีกฝ่ายขึ้นมาอีก


‘ขี้งกจริง…’


เยี่ยเทียนลอบด่าในใจ รับเช็คมาจากลุงติง แล้วเขียนเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงบนกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน “เหล่าถัง งั้นผมไปก่อนละนะ ในหนึ่งปีนี้ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็อย่ามารบกวนผมล่ะ ไม่สิ ถึงจะมีเรื่องก็ไม่ต้องมาหาผมหรอก!”


“พูดยังไงของเอ็งวะ?!”


“อาติง กลับมา!”


ลุงติงที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกพอได้ยินเยี่ยเทียนถึงกับกล้าเรียกถังเหวินหย่วนว่าเหล่าถัง ลูกตาก็เหลือกถลนออกมาทันที สาวเท้าหมายจะตามเยี่ยเทียนไป แต่กลับถูกถังเหวินหย่วนเรียกไว้ก่อน


“ลุงติง จิตสังหารบนตัวลุงนี่แรงไปหน่อยนะ ถ้าไม่ขจัดไปเสียบ้าง เดี๋ยวบั้นปลายชีวิตจะอาภัพเอานา…” เสียงของเยี่ยเทียนดังแว่วเข้ามาจากนอกประตู


“แหะๆ เหล่าเกา คุณถังครับ ผมจะไปส่งเยี่ยเทียนสักหน่อยนะครับ ผมขอตัวก่อนละ…” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนออกไปจากห้องแล้ว หูจวินก็รีบพูดชี้แจงขึ้น แล้วเดินตามหลังไปทันที


หูจวินมีประสบการณ์ในสังคมมากมากกว่าเกาเฉียนจิ้น จึงดูออกแต่แรกแล้วว่า ‘อาจารย์หลัว’ คนนั้นออกจะดูไม่ชอบมาพากลอยู่ แทนที่จะไปขอเสี่ยงทายดูดวงกับเขา ไม่สู้ไปขอดูกับเยี่ยเทียนยังจะดีกว่าอีก


“ท่านถังครับ เจ้า…เจ้าหมอนั่นมันก็เกินไปแล้วนะครับ”


พอได้ยินเยี่ยเทียนแช่งตัวเองว่าบั้นปลายชีวิตจะอาภัพ ชายวัยกลางคนก็โมโหจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ถ้าไม่ใช่เพราะความเคารพที่มีต่อถังเหวินหย่วน เขาก็คงจะตามออกไปจัดการเยี่ยเทียนจริงๆ แล้ว


190 แนะนำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อาติง เธออยู่กับฉันมายี่สิบกว่าปีแล้ว ฉันก็ทนดูไม่ได้หรอกถ้าในภายภาคหน้าเธอเป็นอะไรไป เชื่อใจฉันเถอะ เธอกับฉันมาหาเยี่ยเทียนด้วยกันปีหน้าให้เยี่ยเทียนช่วยแก้ให้หน่อย”


สิ่งที่ทำให้พวกวัยกลางคนคิดไม่ถึงก็คือถังเหวินหย่วนเชื่อคำพูดของเยี่ยเทียน และทำให้อาติงทำอะไรไม่ถูกไม่รู้จะไปต่อยังไง เพราะเขาไม่รู้ว่าตอนที่เขาออกไปทำธุระข้างนอกมันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?


“ผู้เฒ่า…เฒ่าถัง นี่…ท่านเป็นอะไรรึป่าว?”


คนวัยกลางคนรู้สึกสงสัยว่าหูของตัวเองน่าจะมีปัญหารึเปล่า เขาอยู่กับถังเหวินหยวนมายี่สิบปีกว่าปี ยังไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้เลย คนที่ปฎิบัติตัวกับคนอื่นอย่างแข็งกร้าวมาตลอดแต่กลับเชื่อและทำตามไอ้เด็กหนุ่มคนนี้


ถังเหวินหยวนถอนหายใจและพูดว่า “ถูกเขาเรียกขานว่าเหล่าถังมันไม่น่าขายหน้าเลย ขอแค่เขาต้องการ เขาสามารถเป็นบรรพบุรุษของสมาคมลับหงเหมินที่มีลูกศิษย์เป็นแสนคนได้ทุกเมื่อ อาติง เธออย่าไปแหย่เขานะ ไม่อย่างนั้นเธอจะทำลายกฎที่ตั้งไว้ แม้แต่ฉันก็ไม่สามารถช่วยเธอไว้นะ……”


“รุ่น”ต้า”ของแก๊งค์ชิงปัง”


หลังจากฟังถังเหวินหยวนพูดจบ อาติงอึ้งไปเลยทีเดียว เพราะเขาเคยอยู่แก๊งค์ชิงปัง อายุแค่สิบสี่สิบห้าก็ถือมีดไล่ฟันคนตามถนน ต่อมาภายหลังพวกเขาก็มีชื่อเสียงว่าขุนพลคู่ดอกไม้ และไม่รู้ว่าพวกลูกน้องมือเปื้อนเลือดไปเท่าไรแล้ว


แต่ว่าตอนอาติงอายุยี่สิบกว่าๆ เนื่องจากเกิดเรื่องเรื่องนึงทำให้เขาจำใจต้องออกจากฮ่องกง ถังเหวินหยวนชอบในความจงรักภักดีของเขาก็เลยรับมาอยู่ด้วย คนที่มาจากแก๊งค์ชิงปังเหมือนกัน ยังไงก็เข้าใจความหมายของรุ่น”ต้า”อยู่แล้ว


“เรื่องนี้ ไม่ว่าใครก็ห้ามพูด!”


ถังเหวินหยวนหันไปมองอาติงหนึ่งครั้ง ที่จริงแล้วเขาพูดให้เกาเฉียนจิ้นกับหลงเสี่ยเหลียนต่างหาก เขาไม่อยากให้เยี่ยเทียนรู้ว่าเรื่องนั้นหลุดจากเขาจากนั้นก็มองเขาเปลี่ยนไป


“ครับ คุณปู่ถัง พวกเราทราบดีครับ…”


เกาเฉียนจิ้นกับหลงเสี่ยเหลียนต่างก็ไม่ใช่คนในแก๊งค์ พวกเขาก็เลยไม่รู้สึกประหลาดใจเหมือนกับอาติงเท่าไหร่ และอีกไม่นานเขาทั้งสองก็จะไปอเมริกาแล้ว ส่วนใหญ่ก็พบเจอแต่คนตะวันตก อยากพูดก็พูดไม่ได้หรอก


ส่วนหลัวจื้อปิงไม่มีทางพูดเรื่องนี้ออกไปแน่นอน ทำเรื่องน่าอายไว้ในประเทศขนาดนี้แถมยังแหกกฎของแก๊งค์อีก ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่เอาเรื่องแต่ถ้าคนในแก๊งค์รู้เรื่องละก็เขาก็จะมีจุดจบที่ไม่ดีเหมือนกัน


……


“อาจารย์พูดไว้ไม่มีผิด ถึงแม้พวกเราจะเป็นอาจารย์ฮวงจุ้ยที่ถูกต้องก็ตาม แต่แกะอ้วนที่ควรฆ่าทิ้งยังไงก็ต้องฆ่าอยู่ดี…”


หลังออกจาที่โรงแรม สีหน้าของเยี่ยเทียนไม่ได้โกรธหรือเอื่อยเฉื่อยเหมือนตอนที่อยู่ในห้อง สำหรับเรื่องวันนี้นั้นถึงแม้จะไม่ได้ดั่งใจ แต่ในอ้อมอกที่อุ้มเอกสารที่มีมูลค่ารวมแล้วกว่าหนึ่งล้านหยวนแล้วนั้น ก็ทำให้เยี่ยเทียนพึงพอใจอย่างมาก


ไม่ว่าจะเป็นพวกต้มตุ๋นอย่างนิกายเจียงเซียง หรือหมอดูฮวงจุ้ยแบบเยี่ยเทียน สิ่งที่เป็นข้อห้ามที่เหมือนกันเลยคือคำว่า “โลภ” ตอนที่พูดกับหลงเสวี่ยเหลียนเรื่องราคาแก้ยันต์ เยี่ยเทียนรู้สึกโมโหเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้เก็บมาคิดตั้งนานแล้ว


นึกถึงตัวเองที่กล้าปฎิเสธเงินทองสิบล้านที่ล่อตาล่อใจเมื่อกี้ ในใจกลับคิดถึงแต่เงินแสนกว่าๆ อันน้อยนิดนี้ เยี่ยเทียนก็อดขำไม่ได้เหมือนกัน แต่ถ้าย้อนกลับมาคิดอีกที ตัวเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสหาเงินหลักสิบล้านอีกแล้วซะหน่อย


หมอดูฮวงจุ้ยหากินกับอะไรล่ะ? ก็หากินกับการดูดวงภูมิลักษณ์พยากรณ์ให้กับผู้คนนะสิ การแก้ไขโชคชะตาของคนก็เป็นหนึ่งในรายการบริการ การช่วยถังเสวียเสวี่ยแก้โรคเส้นลมปราณเก้าหยินขาดก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เยี่ยเทียนพูด


การฝืนลิขิตพลิกชะตาให้กับหลี่ซั่นหยวนจนถูกฟ้าดินลงโทษ นั่นก็เป็นเพราะว่าอายุขัยของหลี่ซั่นหยวนถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เท่ากับว่าไปขโมยชะตาชีวิตจากสวรรค์มาสองปี ซึ่งวิธีแบบนี้ไม่ใช่แค่ทำให้ลิขิตฟ้ายุ่งเหยิง แต่มันคือการหมุนเวียนของสวรรค์ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไป ผลที่ตามมาก็ต้องรุนแรงถึงที่สุดอยู่แล้ว


แต่เรื่องของถังเสวียเสวี่ยไม่เหมือนกัน ตอนที่เยี่ยเทียนทำนายโชคชะตาให้กับเธอพบว่าอายุขัยของเธอยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด ชะตากำหนดไว้แล้วจะมีคนมีคุณธรรมสูงมาช่วยแก้โรคเส้นลมปราณเก้าหยินขาด และไม่ต้องถูกพลังชี่ดั้งเดิมตีกลับมาเหมือนกับครั้งที่แล้ว


เพราะเป็นแบบนั้นเยี่ยเทียนถึงได้ยอมตกลง ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่เขาไม่มีมิตรภาพต่อถังเหวินหยวนเลย แม้แต่เว่ยหงจวินที่มาหาเขาให้ช่วยเหลือหลายครั้ง เยี่ยเทียนก็ไม่มีทางออกมือช่วย การช่วยเหลือคนปัดป้าเคราะห์ร้ายเสริมมงคลอยู่ทั้งวัน มีหรือที่เยี่ยเทียนจะไม่เข้าใจหลักการนี้?


หลังจากที่เยี่ยเทียนได้รับการสืบทอดของบรรพบุรุษแล้ว ความเข้าใจในวิชาของเขาไปไกลกว่าอาจารย์ซะอีก ขอแค่เขาสามารถทำให้วิชาที่มีอยู่แล้วทะลุอีกขั้น มีหลายสิ่งที่นักพรตเฒ่ามองว่าเป็นอุบายของการฝืนลิขิต สำหรับเยี่ยเทียนแล้วกลับเป็นเรื่องที่สามารถทำได้อย่างง่ายดาย


“ถึงเวลานั้นเก็บซักห้าสิบล้าน หรือจะเก็บซักหนึ่งร้อยล้านดี?”


เมื่อนึกถึงถังเหวินหย่วนที่เป็นคนใจกว้างในเรื่องเงินทอง ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกคันๆ ขึ้นมาไม่หยุด ผู้เฒ่าถังในสายตาของเขาก็เปรียบเสมือแกะที่อ้วนๆ ตัวหนึ่ง ของขลังหนึ่งอันยอมเสียเงินเป็นสิบๆ ล้าน แต่นี่เป็นการรักษาโรคให้หลานสาวของเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าตาเฒ่าจะยอมจ่ายแค่ไหน


“แท็กซี่ เหอะ ต้องนิ่งไว้ก่อน…” ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังคิดจู่ๆ ก็ลืมไปว่ามีรถคันหนึ่งจอดอยู่ตรงหน้าตัวเอง และถูกคนอื่นแย่งไปแล้วด้วย เขาจึงอดขำขึ้นมาไม่ได้


“นี่ เยี่ยเทียน รอฉันก่อน…”


เยี่ยเทียนที่กำลังจะยื่นมือไปโบกรถคันที่สอง หันหลังไปตามเสียงเรียก “เยี่ยเทียน นายจะไปไหน? ฉันจะขับรถไปส่งนาย…”


เยี่ยเทียนหันกลับไปมอง ที่แท้ก็คือหูจวิน  “พี่หู ผมจะแวะไปที่ธนาคารแล้วก็กลับบ้านเลย ไม่รบกวนพี่ดีกว่า…”


หูจวินยื่นมือไปคว้าเยี่ยเทียนเอาไว้แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ฉันมีเรื่องจะคุยกับนายพอดี ช่วงนี้มีเรื่องไม่สบายใจเท่าไรอยากจะขอให้อาจารย์เยี่ยช่วยชี้แนะให้หน่อย…”


“อาจารย์อะไรเล่า เรียกชื่อผมก็พอแล้ว พี่หู ถ้างั้นพี่ช่วยพาผมไปที่ธนาคารนะ” ตาก็มองรถของหูจวินที่ถูกพนักงานในโรงแรมขับมาถึงตรงหน้า เยี่ยเทียนจึงไม่ปฎิเสธเปิดประตูรถและขึ้นรถไปด้วยตัวเอง


จากนั้นยื่นทิปให้กับพนักงานเปิดประตู หูจวินนั่งตำแหน่งคนขับ เขาโตมาจากปักกิ่งถิ่นชาววังมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะห่างหายไปหลายปีแต่ก็ยังคุ้นเคยกับเส้นทางถนนมาก


หลังจากที่รถแล่นออกจากโรงแรม เยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับ อ้าปากถามไปว่า “พี่หูมีเรื่องที่ตัดสินใจไม่ได้ใช่มั้ย?”


ดูจากใบหน้าของหูจวินแล้ว เยี่ยเทียนสามารถดูออกได้เลยว่าคนๆ นี้มีความลำบากในวัยเด็ก แต่พอถึงอายุยี่กว่าๆเมื่อโอกาสมาถึงชะตาชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป พอถึงวัยกลางคนก็ถูกกดดันจนร่ำรวย


แต่หูจวินในตอนนี้กำลังประสบอุปสรรคในชีวิตอย่างหนึ่ง ถ้าเลือกถูกก็เสมือนได้บินขึ้นฟ้า แต่ถ้าเลือกผิด ก็ยังต้องอยู่เฉยๆ อีกหลายปี


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว สีหน้าของหูจวินก็อึ้งไปแป๊ปนึง แต่มือที่ขับรถอยู่นั้นถือว่ายังนิ่ง คิดไปคิดมามันก็ถูกนะ ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่รู้วิชาจริง กริยาของถังเหวินหยวนที่แสดงออกมาก็คงไม่ชัดเจนขนาดนั้น


ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ใช่เวลาคุยเรื่องนี้กัน ในเมื่อเยี่ยเทียนเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมา หูจวินก็พูดต่อทันที “เยี่ยเทียน รากฐานของฉันอยู่ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ตอนนี้ธุรกิจก็อยู่ที่นั่นทั้งหมด แต่ว่าช่วงนี้ผู้ใหญ่ในบ้านมาเติบโตอยู่ที่ปักกิ่ง นายคิดว่า…ฉันควรจะมาพร้อมกับพวกเขาไหม?”


คุณปู่ของหูจวินเป็นท่านแม่ทัพที่มีผลงานและมีชื่อเสียงในช่วงสร้างชาติ เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้เขาได้รับผลกระทบที่หนักมาก และเขาจากโลกไปตั้งแต่ยุค 70


และพ่อของหูจวินก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องของคุณปู่ด้วย ช่วงกลางยุค 70 พ่อถูกส่งไปควบคุมตัวอยู่ที่ค่ายทหารภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน คนที่ใช้ชีวิตในเมืองปักกิ่งตั้งแต่เด็กอย่างหูจวินก็ต้องลำบากตามพ่อไปไม่น้อย


แต่ว่าพ่อของหูจวินคนนี้โดยธรรมชาติเขาเป็นคนที่มีนิสัยหัวรั้น เขาใช้ความสามารถของตัวเองบวกกับความช่วยเหลือจากผู้อาวุโส ตอนอยู่ที่ค่ายเขาค่อยๆ ขยับไปทีละก้าว ยศของเขาก็ไต่ขึ้นอยู่ระดับเดียวกับพ่อที่เสียไปในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สามสิบปี


เรื่องความขัดแย้งทางการเมือง หูจวินเห็นจนชินตั้งแต่เด็ก แต่เขากลับไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก เพราะมีพ่อเป็นเสาหลักใหญ่แล้วธุรกิจของที่แถมตะวันออกเฉียงเหนือของจีนก็ไปได้ดี เพียงแต่ว่าไม่นานมานี้ได้รับใบสั่งย้าย ให้พ่อย้ายกลับมาที่ปักกิ่ง


ถ้าเป็นแบบนี้หูจวินก็ต้องเลือกว่า จะตามพ่อมาปักกิ่ง หรือทำธุรกิจให้เติบโตที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนต่อ?


หลายๆ ธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนอยู่ในช่วงกำลังเติบโต ถ้าหูจวินทิ้งธุรกิจที่นี่ยังไงก็ได้รับผลกระทบแน่นอน แต่ถ้าหากเข้าไปเติบโตที่เมืองปักกิ่ง ก็จะมีโอกาสมากกว่าแน่นอน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น สภาพแวดล้อมที่นั่นก็ซับซ้อนกว่า ตัวเลือกทั้งสองอันนี้ต่างก็มีข้อดีและข้อเสีย หูจวินจึงไม่สามารถตัดสินใจได้ทันที


บังเอิญเกาเฉียนจิ้นที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก พูดว่าจะไปพบอาจารย์เก่งๆ คนหนึ่ง หูจวินว่างก็เลยตามมาด้วย ทำให้เขาได้เปิดโลกกว้างและได้รู้จักกับเยี่ยเทียน


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหูจวิน เยี่ยเทียนเงียบไปสักพักและพูดว่า “พี่หู มีคำโบราณคำนึงไม่รู้พี่เคยได้ยินมั้ย ที่เขาเรียกกันว่า การเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตของคน จะทำให้คนมีโอกาสชีวิตที่ดีขึ้น ต่างกับการเติบโตของต้นไม้ถ้าย้ายไปตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมต้นไม้ก็จะตาย!”


“เคยได้ยินอยู่แล้ว เยี่ยเทียน ถ้าอย่างนั้นนายแนะนำให้ฉันย้ายใช่ไหม?” หูจวินได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้นก็เข้าใจในความหมายทันที


“เหอะเหอะ พี่หู ความหมายของคำๆ นี้อันที่จริงมันลึกซึ้งมากกว่านั้น และมันอาจจะไม่ได้หมายถึงการเคลื่อนย้ายของคนกับต้นไม้ด้วยซ้ำ มันพูดถึงว่าคนเราจะต้องอาศัยอยู่ในที่ๆ ไม่ทำให้เราพ่ายแพ้ จะต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ อย่าเป็นคนที่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย


เยี่ยเทียนได้ยินก็หัวเราะขึ้นมา ที่จริงแล้วไม่ว่าหูจวินจะตัดสินใจยังไง ถึงแม้เขาจะยังไม่มาตอนนี้ แต่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเขาก็ต้องมาแน่นอน เยี่ยเทียนเพียงแค่แต้มตาให้มังกรเท่านั้น


“นายพูดถูก ฉันจะลองคิดดีดี…”


หูจวินพยักหน้าเหมือนว่ากับเข้าใจแล้ว จึงไม่ได้พูดต่ออีก และตั้งใจขับรถขึ้นมา ผ่านไปไม่นานก็ขับมาถึงหน้าประตูธนาคารที่อยู่ข้างนอกเรือนสี่ประสานที่เยี่ยเทียนอาศัยอยู่


เยี่ยเทียนเปิดประตูออกและพูดว่า “พี่หู ผมถึงแล้ว บ้านของผมก็อยู่ข้างในนี้ไม่ต้องส่งแล้วนะ แล้วก็เรื่องบางเรื่องทำก่อนดีกว่าทำทีหลังนะ…”


“ฉันเข้าใจแล้ว เยี่ยเทียนนี่คือนามบัตรของฉัน นายเก็บเอาไว้ ถ้าวันหลังมีเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ ก็โทรมาหาพี่หูคนนี้ได้เลยนะ…”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน หูจวินรู้สึกกระจ่างขึ้นมาทันที หยิบนามบัตรออกมายื่นให้เยี่ยเทียน เขาก็ไม่ต่างกับเกาเฉียนจิ้นที่ไม่มีเพื่อนที่ปักกิ่ง สิ่งที่จะให้เยี่ยเทียนได้ก็คือการยอมรับอย่างนึงเท่านั้น


เยี่ยเทียนไม่มีนามบัตร หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกไปที่เบอร์โทรของหูจวิน จากนั้นทั้งสองคนถึงแยกกัน


สำหรับดูดวงให้ฟรีในวันนี้เยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้เก็บใส่ใจเท่าไร ความสัมพันธ์ทางสังคงก็เสมือนกับความร่ำรวย มูลค่าของนามบัตรใบนี้บางทีบางเรื่องก็ไม่อาจะใช้เงินทองมาวัดได้


“หนึ่งล้านสามแสนกว่า การก่อสร้างเรือนสี่ประสานน่าจะเร่งความเร็วได้แล้ว…”


หลังเดินออกมาจากธนาคาร เยี่ยเทียนก็อารมณ์ดีมาก ตอนเช้ายังรู้สึกคิดไม่ตกเรื่องเงิน ใช้เวลาไปแค่ครึ่งวันปัญหาทุกอย่างก็ถูกแก้ไขหมดแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)