คัมภีร์วิถีเซียน 1749-1753

 ตอนที่ 1749 กลับสู่เทวะสวรรค์

 

เช่นนั้นหานลี่ก็ทำได้เพียงพึ่งความรู้ด้านเขตอาคมของตัวเอง เสียแรงไปมากระหว่างการเดินทางจนค่อยๆ จับจุดเขตอาคมลำแสงอัสนีเหล่านี้ได้


เขตอาคมส่งตัวสายฟ้าที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นเมื่อครู่ เป็นเขตอาคมอัสนีที่เขาให้ความสำคัญมาก


เขตอาคมนี้สามารถใช้พลังอัสนีมาสร้างเขตอาคมส่งตัวระยะสั้นได้ ส่งตัวได้ในระยะหมื่นลี้


หากเหลยอวิ๋นจื่อใช้เขตอาคมนี้ก็แทบจะทำให้จุดที่ส่งตัว แม่นยำได้ในรัศมีร้อยจั้ง และยิ่งไปกว่านั้นยังสร้างเขตอาคมที่สมบูรณ์แบบได้ภายในชั่วอึดใจ


หว่าหานลี่กลับเป็นเพราะว่าได้คาถามาไม่ครบ แม้ว่าจะพยายามฝึกฝน ก็ทำได้เพียงส่งตัวไปในรัศมีหมื่นลี้เท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ยังต้องใช้เวลามากกว่าเหลยอวิ๋นจื่อสิบเท่า


การส่งตัวเมื่อครู่ย่อมเป็นการทดสอบหลังจากที่หานลี่ได้ปรับปรุงแก้ไขอีกครั้ง


ผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม


นี่จึงทำให้เขารู้สึกโกรธแค้นเหลยอวิ๋นจื่อเป็นอย่างมาก จนทนไม่ไหวก่นด่าออกมาสองสามประโยค


และเขาในยามนี้ ก็กลับมาอยู่ที่อีกด้านของแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน คาดไม่ถึงว่าจะเสียเวลาไปเกือบร้อยปี


ดังนั้นหลังจากที่มองเห็นนักปราชญ์และพวก หานลี่ก็รู้สึกดีอกดีใจมาก


แม้ว่าอาศัยแผนภาพแผ่นดินใหญ่คร่าวๆ เขาเองก็รู้ว่าตนน่าจะอยู่ใกล้กับแดนเผ่ามนุษย์


แต่ถึงอย่างไรเสียก็ไม่อาจมั่นใจได้


ประกอบกับคนเหล่านี้เป็นเผ่ามนุษย์กลุ่มแรกที่เขาได้พบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อมั่นใจว่าตนอยู่ไม่ไกลจากเมืองเทวะสวรรค์นัก จะตื่นเต้นดีใจแค่ไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว


ร่อนเร่พเนจรอยู่ภายนอกหลายปี ไม่ได้คบค้ากับชนต่างเผ่าหรืออสูรมานานทำให้หานลี่รู้สึกคิดถึงบ้านเป็นอย่างมาก


สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือในใจของหานลี่คิดถึงเรื่องการบรรลุของ “หนานกงหวั่น” ไม่ทราบว่าภรรยาที่รักของเขาจะบรรลุขึ้นมาอยู่ในแดนวิญญาณได้สำเร็จและมาถึงเมืองเทวะสวรรค์ได้หรือไม่


หานลี่ขบคิดซ้ำไปซ้ำมาราวกับคลื่นน้ำ แต่ใบหน้ายังคงไร้ความรู้สึกชูมือขึ้นปล่อยรถเหาะสีเขียวออกมา


ความยาวเจ็ดแปดจั้ง ผิวมีอักขระยันต์ลึกลับสลักอยู่จำนวนมาก คาดไม่ถึงว่าด้านหน้าจะมีหุ่นเชิดอสูรรูปทรงหมาป่ายักษ์ติดปีกสองตัวลอยอยู่กลางอากาศ


“ดูจากท่าทางพวกเจ้าคงได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ในเมื่อไม่อาจเร่งเดินทางในระยะยาวได้ก็พักรักษาตัวอยู่บนรถ แค่นำทางให้ข้าก็พอ” หานลี่ออกคำสั่งอย่างราบเรียบ


“ขอบพระคุณบุญคุณของท่านอาวุโส!”


“ชนรุ่นหลังน้อมรับคำสั่ง!”


นักปราชญ์และพวกทั้งสี่คนพลันเอ่ยขอบคุณด้วยความดีใจ


แม้ว่าพวกเขาจะได้ยินว่าหานลี่ไม่ได้ยอมรับว่าตนเองคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายย่อมไม่ใช่สิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาธรรมดาๆ มิเช่นนั้นไหนเลยจะสังหารเต่าศิลาปราณที่อยู่ในระดับหลอมสุญตาเช่นเดียวกันได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร แน่นอนว่าย่อมมิกล้าขัดขืนคำสั่งของอีกฝ่าย


และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาแทบจะสูญเสียปราณแท้ไป เดิมคำสั่งเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่ร้องขอก็ไม่อาจได้มาอยู่แล้ว


ระยะทางที่เดิมต้องกลับอย่างยากลำบากยามนี้มีผู้ที่ร้ายกาจผู้หนึ่งร่วมเดินทางไปด้วยนับว่าปลอดภัยไร้กังวล


ดังนั้นทั้งสี่คนจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนีทยอยกันบินเข้าไปในรถเหาะ


หานลี่ยกมือขึ้น อาคมสีเขียวสองสามสายพุ่งออกมาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างของหุ่นเชิดอสูรสีเขียวสองตัว


หุ่นเชิดอสูรที่เดิมดูเหมือนตายไปแล้วพลางร้องคำรามเสียงต่ำๆ ออกมา กระพือปีกทั้งสองราวกับฟื้นคืนชีพอย่างไรอย่างนั้นแล้วบินตรงไปข้างหน้า


รถเหาะสีเขียวมีอักขระยันต์หมุนโคจรไปมา ม่านลำแสงสีเขียวปรากฏขึ้นห่อหุ้มร่างของทั้งห้าคนเอาไว้ จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบกลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งไปที่ขอบฟ้า


“พวกเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรจากแดนใด? ออกจากเมืองเทวะสวรรค์มานานเท่าไหร่แล้ว” หานลี่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงใจกลางของรถเหาะแล้วเอ่ยถามพวกเขา


“รายงานท่านอาวุโส ชนรุ่นหลังทั้งสี่คนมาจากพรรคของแดนเสวียนอู่ ออกจากเมืองเทวะสวรรค์มาไม่ถึงครึ่งปี!” เห็นได้ชัดว่านักปราชญ์เป็นหัวหน้าของทั้งสี่คน พลางเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม


“ครึ่งปี! เช่นนั้นพวกเจ้าก็น่าจะทราบสถานการณ์ของเมืองเทวะสวรรค์ในช่วงนี้สิ” หานลี่ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม


“ชนรุ่นหลังเคยอยู่ในเมืองเทวะสวรรค์แค่สองสามปี จึงพอรู้เรื่องราวในเมืองมาเล็กน้อย แต่ท่านอาวุโสเองก็รู้ว่าชนรุ่นหลังพลังยุทธ์ไม่สูง จึงไม่ค่อยทราบเรื่องลึกลับบางอย่าง” นักปราชญ์เดาเจตนาของหานลี่ได้รางๆ จึงตอบกลับอย่างจริงจัง


“หึๆ ไม่ต้องกังวลอันใด ผู้แซ่หานเองก็มาจากเมืองเทวะสวรรค์แต่แค่บังเอิญต้องจากไปหลายปี จึงอยากเข้าใจสถานการณ์ในเผ่าและเมืองเทวะสวรรค์เท่านั้น ทว่าในเมื่อเมืองเทวะสวรรค์ยังคงปลอดภัย ดูแล้วการที่ชนนอกเผ่าเข้าโจมตีในวันนั้นคงทำไม่สำเร็จ” หานลี่หัวเราะอย่างแผ่วเบาออกมา


“ชนนอกเผ่าเข้าโจมตี? ที่แท้ท่านอาวุโสก็ออกจากเมืองเทวะสวรรค์ไปตอนนั้น! ตอนนั้นเผ่าต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียงร่วมมือกันเข้าโจมตีเมืองของเรา แต่ภายใต้การร่วมมือกันของเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ ทั้งสองฝ่ายก็ได้รับบาดเจ็บหนัก ว่ากันว่ากองทัพชนนอกเผ่ากลับสลายทัพไปอย่างไม่มีสาเหตุ นี่จึงทำให้เมืองเทวะสวรรค์ปลอดภัย” นักปราชญ์พลันตกตะลึงแต่ทันใดนั้นก็ตอบกลับอย่างซื่อๆ


“ถอนทัพ!” หานลี่ลูบใต้คางเผยแววตาครุ่นคิดออกมา


“ใช่แล้ว แต่เหตุผลที่เป็นรูปธรรมกลับพูดกันมากมาย บ้างก็ว่าเผ่ามนุษย์และปีศาจของพวกเราส่งสิ่งมีชีวิตที่มีอิทธิฤทธิ์ล้ำเลิศออกไปลอบโจมตีที่ตั้งของเผ่าต่างๆ บีบให้พวกมันถอนทัพไปบ้างก็ว่าสมบัติสวรรค์ทมิฬชิ้นใหม่ถือกำเนิดแล้ว ชนนอกเผ่าล้วนไปแย่งชิงสมบัติชิ้นนั้น” ชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีแดงเอ่ยต่อ


“สมบัติสวรรค์ทมิฬมีข่าวลืออันใด?” หานลี่พลันใจหายวาบ แต่ก็มีสีหน้าราบเรียบ


“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลึกลับมากในปีนั้น! บ้างก็ว่าถือกำเนิดขึ้นในชนนอกเผ่าแห่งหนึ่ง บ้างก็ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินใหญ่อื่น พกสมบัติวิญญาณชิ้นนี้มาที่แผ่นดินใหญ่ของพวกเราและยิ่งมีข่าวลือที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ คนที่บรรลุขึ้นมาจากแดนล่างพกสมบัติชิ้นนี้มาปรากฏตัวขึ้นในเผ่าของพวกเรา” นักปราชญ์เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น


“หึๆ คนจากแดนล่างบรรลุขึ้นมา!” หานลี่ได้ยินคาดไม่ถึงว่าไม่ตกตะลึงแต่กลับหัวเราะออกมา


“ท่านอาวุโสก็คิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลสินะ สมบัติสวรรค์ทมิฬเป็นสมบัติระดับไหน คนจากแดนล่างคนหนึ่งจะพกสมบัติชิ้นนี้มาได้อย่างไร และไม่รู้ว่าข่าวลือเช่นนี้แพร่งพรายมาจากไหน” หนึ่งในสตรีผู้บำเพ็ญเพียรสองคนฉีกยิ้มเริงร่าขณะเอ่ย


“ยากจะเชื่อจริงๆ เอาละ บอกข้าอีกอย่าง ภายในหนึ่งถึงสองร้อยปีมานี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น” หานลี่พยักหน้าอย่างไม่เห็นด้วยแล้วเอ่ยถาม


“เกือบหนึ่งถึงสองร้อยปีที่ผ่านมา สามเขตเจ็ดดินแดนเกิดเรื่องราวระหว่างสองเผ่าไม่น้อยจริงๆ ทว่าหากจะเล่า เกรงว่าคงต้องใช้เวลาเล่าอีกนาน” นักปราชญ์ตอบกลับด้วยรอยยิ้มแหยๆ


“ไม่เป็นไรหนทางยังอีกยาวไกล มีเวลาให้สหายเล่าให้ข้าฟังอยู่แล้ว” หานลี่เผยรอยยิ้มจนตาหยีออกมา


“ในเมื่อท่านอาวุโสกล่าวเช่นนี้ ชนรุ่นหลังย่อมต้องอธิบายให้ละเอียด” นักปราชญ์เอ่ยอย่างนอบน้อม


ยามนี้เขากินยาลูกกลอนไปเล็กน้อย และหยิบศิลาวิญญาณออกมาก้อนหนึ่งพลางค่อยๆ ฟื้นฟูพลังปราณแท้อย่างช้าๆ


“หากจะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมา สิ่งที่สำคัญที่สุดย่อมเป็นการที่จักรพรรดิเทียนเมี่ยวในสามเขตฟาดเคราะห์สวรรค์ไม่สำเร็จเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อนและเพลี่ยงพล้ำไป จนต้องคัดเลือกจักรพรรดิองค์ใหม่ของเผ่ามนุษย์ เรื่องที่สองก็คือบุตรสาวทารกของเจ็ดราชาปีศาจมังกรวารีหนานหลี่ หายตัวไปจากรัง ด้วยเหตุนี้มังกรหนานหลี่จึงแทบพลิกแผ่นดินตามหา…” นักปราชญ์มีสีหน้าเคร่งขรึมเริ่มอธิบายเรื่องราวอย่างละเอียด


ชายร่างใหญ่เกราะสีแดงและสตรีผู้บำเพ็ญเพียรอีกสองคนก็คอยเสริมคำพูดให้โดยไม่ให้มีช่องโหว่อยู่ด้านข้าง


หานลี่ได้ยินคนเหล่านี้อธิบายยามแรกก็มีสีหน้าราบเรียบแล้วค่อยๆ หน้าเปลี่ยนสีแต่ไม่นานก็กลับมามีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส


ดูเหมือนว่าในช่วงที่เขาจากไปทั้งเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจจะเกิดเรื่องราวมากมาย


ผ่านไปครึ่งวันเต็มๆ ในที่สุดหานลี่ก็ฟังคนเหล่านี้อธิบายเสร็จ


เมื่อสิ้นเสียงร่างทั้งร่างของเขาก็ตกอยู่ในภวังค์ของความครุ่นคิดอย่างอดไม่ได้


นักปราชญ์และพวกทั้งสี่เองก็ไม่ได้เอ่ยปากอันใดอย่างรู้จักวางตัวแค่รอคอยปฏิกิริยาตอบสนองของหานลี่อย่างนอบน้อม


“ช่วงปีที่ผ่านมาไม่มีสตรีผู้บำเพ็ญเพียรจากแดงล่างที่ชื่อ ‘หนานกงหวั่น’ มาปรากฏตัวในเมืองเทวะสวรรค์สินะ” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเสร็จแล้วก็เอ่ยถามขึ้น


“หนานกงหวั่น! ชื่อนี้ไม่เคยได้ยิน หากพูดถึงผู้พิทักษ์คนอื่นๆ ในเมืองเทวะสวรรค์พวกเราสี่คนก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากแดนล่างกลับมีอยู่น้อยมากข้าสองคนไม่ถึงกับไม่รู้จัก” นักปราชญ์ครุ่นคิดแล้วตอบอย่างมั่นใจ


“อืม บางที่นางอาจจะเปลี่ยนชื่อ สตรีผู้บำเพ็ญเพียรที่บินขึ้นมาในเมืองเทวะสวรรค์ช่วงนี้มีมากหรือไม่?” หานลี่แววตาเปล่งประกายแล้วนึกอันใดได้พลางเอ่ยถาม


“หากเป็นสตรีผู้บำเพ็ญเพียรที่บรรลุขึ้นมาแม้ว่าจะมีอยู่น้อยมากแต่ก็พอมีอยู่สองสามคน” นักปราชญ์ลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น


“เอาล่ะขอบคุณสหายที่เล่าเรื่องราวให้ข้าฟัง จากนี้ทุกท่านก็ฝึกบำเพ็ญเพียรรักษาตัวอยู่บนรถเถิด” หานลี่เผยสีหน้าพึงพอใจออกมาแล้วพยักหน้า หลับตาทั้งสองข้างลงไม่พูดอันใดอีก


หลังจากที่นักปราชญ์และพวกเอ่ยขอบคุณแล้วก็หลับตานั่งสมาธิอย่างรู้จักวางตัวเช่นกัน


ยามนี้ใบหน้าของหานลี่ดูเหมือนจะราบเรียบ แต่ในใจกลับรู้สึกร้อนรนอย่างอดไม่ได้ ในหัวเต็มไปด้วยเสียงอ่อนโยนและรอยยิ้มสดใสของหนานกงหวั่น


ความเจ็บปวดจากความคิดถึงมาหลายปี หลังจากที่รู้ว่าหนานกงหวั่นอาจจะบรรลุขั้นระดับไม่สำเร็จ ความรู้สึกก็ดูเหมือนจะระเบิดออกมา


เขารู้สึกเพียงว่าเจ็บปวดหัวใจอยู่ลึกๆ…


รถเหาะสีเขียวมีความเร็วเหนือลำแสงหลีกหนีของนักปราชญ์ทั้งสี่คนสามส่วนโดยมีหานลี่เป็นผู้กระตุ้น


เดิมน่าจะใช้เวลาสองเดือนกว่าคาดไม่ถึงว่าแค่ครึ่งเดือนก็มาถึงเมืองเทวะสวรรค์แล้ว


เมื่อรถเหาะหยุดอยู่กลางอากาศ หานลี่ที่ยืนอยู่บนรถเหาะก็มองเห็นกำแพงเมืองเทวะสวรรค์ที่สูงใหญ่ราวกับภูเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน


ร่อนเร่พเนจรอยู่นอกเขามาหลายปี ในที่สุดเขาก็กลับมาถึงเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจอีกครั้ง


ด้านหน้ารถเหาะ บนพื้นดินอยู่ห่างจากกำแพงเมืองไม่ไกลนัก มีเขตอาคมส่งตัวขนาดสองสามจั้งตั้งตระหง่านอยู่


สองฝั่งของเขตอาคมมีผู้พิทักษ์ยมโลกนิลสวมเกราะสีเขียวยืนอยู่สิบกว่าคน


เขตอาคมเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนสองสามคนส่งตัวออกมา หลังจากพูดคุยกับผู้พิทักษ์ยมโลกนิลด้านข้างสองสามประโยค ก็กลายเป็นสายรุ้งสองสามสายพุ่งแหวกอากาศจากไป


นั่นคือเขตอาคมส่งตัวเข้าเมืองเทวะสวรรค์


เพราะว่าเมืองด้านนี้เป็นแดนรกร้าง ไม่มีประตูเมือง คนปกติอยากเข้าไปในแดนรกร้าง ก็มีเพียงต้องใช้เขตอาคมส่งตัวถึงจะเข้าออกไป


ส่วนผู้พิทักษ์ที่รักษาการณ์ของเมืองเทวะสวรรค์ก็รับหน้าที่แค่ชั่วคราว จึงมีเขตอาคมส่งตัวลับอีกแห่งหนึ่ง

 

 

 


ตอนที่ 1750 เข้าเมือง

 

หลังจากที่หานลี่ชักสายตากลับมา เท้าข้างหนึ่งก็แตะลงไปเบาๆ รถเหาะร่อนลงด้านล่างทันที


จากความใหญ่ยักษ์ของรถเหาะสีเขียว ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลด้านล่างย่อมพบเงาร่างของพวกเรา ทันใดนั้นก็กวาดจิตสัมผัสมาทันที


หานลี่สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ รถเหาะหายวับไปในพริบตา


ทันใดนั้นร่างของทั้งห้าก็เคลื่อนไหว ทยอยกันร่อนลงใกล้ๆ กับเขตอาคมส่งตัว


“เอ๋ หัวหน้า!” เสียงร้องอุทานด้วยความตกตะลึง พลันดังขึ้นจากปากของผู้พิทักษ์ยมโลกนิลคนหนึ่ง


หานลี่ได้ยินคำนี้ก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย หลังจากกวาดสายตาไป ระหว่างผู้พิทักษ์ยมโลกนิลก็พบชายร่างใหญ่ดวงตาสีเขียวมรกตคนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะมีใบหน้าที่คุ้นเคยมาก


ชายร่างใหญ่ ‘จั๋วชง’ หนึ่งในสมาชิกผู้พิทักษ์ทมิฬสิบคนที่เขาเป็นหัวหน้าเมืองเทวะสวรรค์


ในยามนี้เขาพัฒนาจากระดับก่อกำเนิดขั้นปลายมาอยู่ในระดับเทพแปลงขั้นต้นแล้ว และกำลังมองมาทางหานลี่ด้วยสีหน้าตกตะลึง


“ที่แท้ก็สหายจั๋ว! ยินดีกับสหายที่กลายเป็นผู้พิทักษ์ยมโลกนิลแล้ว” ใบหน้าของหานลี่ประดับไปด้วยรอยยิ้มและเอ่ยอย่างแช่มช้า


“เป็นท่านหัวหน้าจริงๆ ด้วย! เอ๋ หรือว่าท่านหัวหน้าบรรลุระดับไปถึงขั้นระดับหลอมสุญตาแล้ว!” จั๋วชงเห็นว่าเป็นหานลี่จริงๆ ก็พลันดีใจจากนั้นก็เอ่ยด้วยความตกตะลึง


เขากวาดจิตสัมผัสไป คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจมองพลังยุทธ์ของหานลี่ออก แน่นอนว่าต้องคิดเช่นนี้


“ที่ร่อนเร่อยู่ภายนอกที่ผ่านมาก็บรรลุระดับหลอมสุญตาจริงๆ แต่กลับคิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้เข้าเมืองก็จะได้พบกับสหายจั๋วก่อน สหายคนอื่นในกลุ่มยังสบายดีสินะ” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมาขณะเอ่ยถาม


“จะว่าอย่างไรดีล่ะ ตอนนั้นหลังจากที่ท่านหัวหน้าจากไปได้ไม่นาน ชนนอกเผ่าก็มาโจมตีเมืองเทวะสวรรค์ พวกเราเพลี่ยงพล้ำไปกว่าครึ่งในสงครามนั้น คนที่เหลือก็เลือกที่จะออกจากเมืองเทวะสวรรค์ ยามนี้ในเมืองเทวะสวรรค์เหลือข้าและเซียนสวี่สองคน” จั๋วชงกล่าวเช่นนี้ออกมา


“เซียนสวี่ยังอยู่ในเมือง?” หานลี่ได้ยินคำนี้แววตาพลันฉายแววแปลกประหลาดใจ


สตรีผู้นี้คือชนรุ่นหลังของเซียนวิญญาณน้ำแข็ง คือเบาะแสของเรื่องที่ชายหนุ่มแซ่เวิงจากเผ่าเมฆาสวรรค์มอบหมายให้เขาทำ แน่นอนว่าย่อมเป็นกังวล


“เซียนสวี่พัฒนามาอยู่ในระดับเทพแปลงแล้วเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้นยังพัฒนามาอยู่ในระดับขั้นกลาง ยามนี้เป็นหัวหน้าผู้พิทักษ์ทมิฬ ใช่แล้วเซียนสวี่เคยเอ่ยถึงท่านหัวหน้าหลายครั้ง มักจะบอกว่าตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะท่านหัวหน้าชี้แนะ นางก็คงไม่อยู่ในระดับนี้” จั๋วชงหัวเราะคิกคักออกมา


ดูเหมือนว่าเขาจะคิดว่าหานลี่และสตรีผู้นี้มีความสัมพันธ์ที่มิอาจให้คนนอกล่วงรู้ได้อย่างไรอย่างนั้น


“หึๆ ตอนนั้นข้าแค่ทำไปส่งๆ ไหนเลยจะเรียกว่าชี้แนะ เซียนสวี่ประสบความสำเร็จได้ในยามนี้แน่นอนว่าย่อมเป็นคุณสมบัติที่เหนือชั้นของนาง” หานลี่สั่นศีรษะและเอ่ยอย่างราบเรียบ


จั๋วชงฉีกยิ้มไม่ได้เอ่ยปากอันใด


ส่วนนักปราชญ์และพวกทั้งสี่คน เห็นหานลี่รู้จักกับผู้พิทักษ์ยมโลกนิลนามว่าจั๋วชงผู้นี้ ความกังวลสุดท้ายในใจก็หายไป


ดูแล้วที่ท่านผู้นี้กล่าวว่ามีต้นกำเนิดมาจากเมืองเทวะสวรรค์คงจะเป็นความจริง พวกเขาเองก็ไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะเป็นชนนอกเผ่าจำแลงกายมาเพื่อปะปนเข้าไปในเมืองเทวะสวรรค์


เรื่องเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต


นักปราชญ์เองก็รู้จักจั๋วชง เมื่อกลอกตาไปมาเล็กน้อยก็คารวะจั๋วชงแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้ท่านอาวุโสหานก็รู้จักกับพี่จั๋ว เยี่ยมจริงๆ พวกเราเองก็ถูกท่านอาวุโสหานช่วยมา ครั้งนี้ถึงได้กลับมาที่นี่ได้”


“อันใดสหายทั้งสี่พบกับอันตรายหรือ” จั๋วชงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


“ไม่ใช่แค่อันตรายพวกเราสี่คนเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งในปากของเต่าศิลาปราณระดับหลอมสุญตาตนหนึ่ง” นักปราชญ์หัวเราะอย่างขมขื่น


“หึๆ หัวหน้าของพวกเราสามารถสังหารชนนอกเผ่าระดับหลอมสุญตาได้ ด้วยพลังยุทธ์ระดับเทพแปลง ยามนี้จะสังหารเต่าศิลาปราณตัวหนึ่งย่อมไม่ใช่ปัญหา” จั๋วชงหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย


ได้ยินจั๋วชงเอ่ยเช่นนี้ นักปราชญ์สองสามคนก็พยักหน้าอย่างต่อเนื่องแสดงความเห็นด้วย


“วันข้างหน้ามีโอกาสค่อยคุยกับสหายจั๋วก็แล้วกัน ข้ายังมีธุระอื่นต้องเข้าเมืองก่อน” หานลี่กลับเอ่ยพร้อมกับอมยิ้ม


“ขอรับ ผู้แซ่จั๋วประมาทเอง ท่านหัวหน้ามาจากแดนไกลจะต้องเหนื่อยล้าแน่” จั๋วชงถึงได้เข้าใจ แล้วรีบร้อนเบี่ยงกายไปทางเขตอาคมส่งตัวด้านหลัง


หานลี่พยักหน้าให้จั๋วชงแล้วเดินเข้าไปข้างในอย่างไม่เกรงใจ


ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ คนหายวับไปจากเขตอาคมส่งตัว


นักปราชญ์และพวกย่อมตามไปและหายไปจากเขตอาคมเช่นกัน


จั๋วชงมองเขตอาคมที่ว่างเปล่าสีหน้าห่อเหี่ยว


“พี่จั๋ว เจ้ารู้จักท่านอาวุโสหานจริงๆ หรือ?”


“เขาคือท่านหัวหน้าในตอนนั้นของเจ้าจริงๆ หรือ ผู้ที่สามารถสังหารสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาได้ด้วยพลังยุทธ์ระดับเทพแปลง?”


“เหตุใดพวกเราถึงมองพลังยุทธ์ของเขาไม่ออก! หรือว่าฝึกฝนอิทธิฤทธิ์พิเศษอันใด?”


ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลที่เหลือที่ยืนอยู่เงียบๆ ด้านข้างเมื่อครู่ทนไม่ไหวทยอยกันเอ่ยปากถามขึ้น


“จริงอยู่แล้ว ตอนนั้นหัวหน้าหานผู้นี้เป็นผู้พิทักษ์ยมโลกนิลที่ไม่ธรรมดาเลย อิทธิฤทธิ์ของเขาแม้แต่ผู้พิทักษ์สวรรค์ธรรมดาก็ยังไม่ใช่คู่มือ ตอนนั้นผู้แซ่จั๋วเป็นลูกน้องของเขาก็ยังได้รับประโยชน์มาไม่น้อย มิเช่นนั้นคงไม่พัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับเทพแปลงหรอก ไม่ได้พบหน้ากันนานเช่นนี้เขาพัฒนาขึ้นไปอยู่ระดับหลอมสุญตาแล้วดังคาด ยามนี้พลังยุทธ์ลึกล้ำยากจะคาดเดาพวกเจ้าไม่อาจมองทะลุผ่านพลังยุทธ์ของเขาได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด” จั๋วชงตอบในเวลาเดียวกันในใจก็อดที่จะคาดเดาร่องรอยของหานลี่ในช่วงปีที่ผ่านมาไม่ได้


แต่แน่นอนว่าเขาย่อมคิดไม่ถึงว่าสาเหตุที่หานลี่หายไปจากเมืองเทวะสวรรค์หลายปีมานี้จะเป็นเพราะร่อนเร่พเนจรอยู่ข้างนอก แม้กระทั่งไปถึงแผ่นดินใหญ่แผ่นดินอื่น


ในเวลาเดียวกันหานลี่เปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาปรากฏตัวในวิหารที่ดูธรรมดาๆ แห่งหนึ่งพลางเดินออกมาจากเขตอาคมส่งตัวอย่างช้าๆ แล้วมองพิจารณาไปรอบด้าน


หลังจากที่นักปราชญ์และพวกเองก็ถูกส่งตัวออกมาหลังจากนั้น


“มาถึงเมืองเทวะสวรรค์แล้ว ข้าและเหล่าสหายก็คงจะต้องแยกจากกันแล้ว” หานลี่หันกายมาเอ่ยกับทั้งสี่คน


“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่มีบุญคุณต่อพวกเราทั้งสี่คน ยามนี้พวกเราจะไปพักที่หอคอยวสันต์นิทราชั่วคราว หากท่านอาวุโสอยากส่งคนไปทำงานนอกสถานที่ พวกเราก็ไม่ปฏิเสธ” นักปราชญ์พลันคารวะแล้วเอ่ยอย่างจริงใจ


หากไม่มีหานลี่ครั้งนี้คงเอาชีวิตรอดออกมาได้ยาก คำนี้เป็นคำที่พูดออกมาจากใจจริงๆ


“หอคอยวสันต์นิทรา! ข้ารู้แล้ววันหน้าไม่แน่ว่าอาจจะต้องรบกวนสหายจริงๆ” หานลี่มองลึกเข้าไปในแววตาของนักปราชญ์แล้วพยักหน้าจากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินไปที่ประตูวิหาร


หลังจากนักปราชญ์ตกตะลึงไปเล็กน้อยก็ทำท่าน้อมส่งหานลี่พร้อมกันกับคนที่เหลืออีกสามคน


เมื่อเดินออกจากตำหนักด้านนอกเป็นห้องโถงยักษ์ขนาดร้อยจั้ง มีผู้คนเดินเข้าๆ ออกๆ ในวิหารทั่วทั้งสี่ด้านแต่จำนวนคนกลับไม่มากนัก


ทว่าตรงทางเข้าออกของห้องโถงยักษ์กลับยังคงมีผู้พิทักษ์จากยมโลกนิลถือ ‘จานวิญญาณวิเศษ’ เรียงแถวกันอยู่สองแถว พลางพิจารณาผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าออกทุกคนอย่างละเอียด


และด้านหลังของผู้พิทักษ์ยมโลกนิลก็ยังมีผู้พิทักษ์สวรรค์สวมชุดเกราะสีทองอยู่คนหนึ่ง สองมือไพล่หลังกำลังมองทุกคนที่อยู่ในห้องโถงยักษ์ด้วยแววตาเย็นชา


“ระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง!” หานลี่มองปราดเดียวก็มองพลังยุทธ์ของผู้พิทักษ์สวรรค์ผู้นั้นออก ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด


ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลที่อยู่ตรงเขตอาคมด้านนอกเมือง แค่รับหน้าที่ดูแลเขตอาคมส่งตัวไม่ให้ถูกชนนอกเผ่าหรืออสูรทำลาย ผู้พิทักษ์ที่นี่ถึงจะเป็นผู้ที่ตรวจสอบฐานะของผู้ที่เข้าออกอย่างแท้จริง


เดิมผู้ที่เข้าไปในแดนรกร้างทุกคนต้องมีแผ่นป้ายคำสั่งชั่วคราวของเมืองเทวะสวรรค์ หานลี่ไม่ได้กลับเมืองเทวะมาหลายปีขณะนี้ แน่นอนว่าไม่มีสิ่งนั้น จึงยุ่งยากเล็กน้อย


เดิมในห้องโถงยักษ์ก็มีอยู่ไม่กี่คน ระดับหลอมสุญตาก็มีแค่หานลี่คนเดียวเท่านั้น


สายตาของผู้พิทักษ์สวรรค์ผู้นั้นมองมาทางนี้ด้วยแววตาเปล่งประกายทันที


ใบหน้าของหานลี่ไร้ซึ่งความประหลาดใจ แต่เดิมที่ใช้เคล็ดวิชาลับกลบกลิ่นอายยามนี้กลับไม่ได้ปิดบังใดๆ


ผู้พิทักษ์สวรรค์ร่างกายผ่ายผอมผู้นั้นพลันหน้าเปลี่ยนสีเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา


“ข้าน้อยอวี่หลิงจื่อ สหายมีพลังยุทธ์น่าตกตะลึง บังอาจขอเรียนถามแซ่มีต้นกำเนิดจากที่ใดหรือ?” ผู้พิทักษ์สวรรค์ผู้นั้นรอให้หานลี่เดินเข้ามาใกล้ ร่างกายก็พลิ้วไหวมาอยู่ด้านหน้าผู้พิทักษ์ยมโลกนิลคนอื่นๆ แล้วประสานมือคารวะหานลี่พลางเอ่ยถามอย่างมีมารยาท


“ข้าน้อยหานลี่! ส่วนต้นกำเนิด หึๆ สามร้อยปีก่อนข้าน้อยเป็นหนึ่งในสมาชิกของผู้พิทักษ์เทวะสวรรค์!” หานลี่หยักมุมปากขณะเอ่ย


“ผู้พิทักษ์เทวะสวรรค์! หรือว่าสหายจะพูดเล่น ผู้แซ่หยางรับตำแหน่งผู้พิทักษ์สวรรค์ในเมืองนี้มาสองสามร้อยปีแล้ว รู้จักผู้พิทักษ์สวรรค์ทุกคน ได้พบข้าน้อยตอนไหนหรือ” ผู้พิทักษ์สวรรค์ผู้นี้พลันตกตะลึงทันใดนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม


หานลี่ได้ฟังคำนี้แค่หัวเราะหึๆ ฉับพลันนั้นพลันยกมือขึ้นลำแสงสีเขียวบินไปบินมา


รูม่านตาของผู้พิทักษ์สวรรค์ร่างกายผ่ายผอมหดเล็กลง มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศดูดลำแสงสีเขียวเข้ามาในมือ


นั่นคือแผ่นป้ายหยกสีเขียวเข้มแผ่นหนึ่ง


บนแผ่นป้ายหยกสลักตัวอักษรลูกอ๊อดสีเงินเอาไว้ อีกด้านหนึ่งสลักตัวอักษรสีทองคำว่า “หยางที่ห้าสิบหก”


นั่นคือแผ่นป้ายผู้พิทักษ์ยมโลกนิลในตอนนั้นของหานลี่!


“ผู้พิทักษ์ยมโลกนิล?” ผู้พิทักษ์สวรรค์ผู้นี้มีท่าทีไม่อยากจะเชื่อ


“ใช่แล้ว สหายคิดว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือ?” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ


“ก็ไม่อันใดผิดปกติ ทว่าข้าน้อยต้องตรวจสอบแผ่นป้ายนี้ก่อน” ผู้พิทักษ์สวรรค์แซ่หยางหัวเราะแห้งๆ ออกมาและตอบกลับมาอย่างจริงจัง


“ไม่เป็นไร ตามสะดวกเถิด” หานลี่ตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ


ผู้พิทักษ์สวรรค์ร่างกายผ่ายผอมพยักหน้า สองมือถูไปมา แผ่นป้ายหยกเปล่งแสงสีเขียวอ่อนทันที


“ไม่ผิด เป็นแผ่นป้ายของผู้พิทักษ์ยมโลกนิลจริงๆ ทว่าหมายเลขผู้พิทักษ์ยมโลกนิลของสหายถูกยกเลิกไปตั้งร้อยปีก่อนแล้ว สหายเป็นอิสระแล้ว” ลำแสงในมือของผู้พิทักษ์สวรรค์ร่างกายผ่ายผอมหม่นแสงลง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจขณะเอ่ย


“ข้าน้อยทำภารกิจเสี่ยงภัยสำเร็จ ยามที่ทำภารกิจสำเร็จก็นับว่าเป็นอิสระแล้ว” หานลี่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแค่ตอบกลับอย่างราบเรียบ


“ภารกิจเสี่ยงภัยเมื่อสามร้อยปีก่อน?” ผู้พิทักษ์สวรรค์ร่างกายผ่ายผอมดวงตาเปล่งประกาย ดูเหมือนว่าจะนึกอะไรออกแล้วตกตะลึงไปเล็กน้อย


“ดูแล้วสหายคงจำเรื่องในปีนั้นได้!” หานลี่หัวเราะหึๆ


“ที่แท้สหายก็เป็นหนึ่งในผู้คุมกฎที่รับภารกิจนั้น ช่างเสียมารยาทจริงๆ สหายไม่มีปัญหา ไปได้แล้วขอรับ ทว่าแผ่นป้ายผู้พิทักษ์ยมโลกนิลข้าจะต้องเก็บไว้” ผู้พิทักษ์สวรรค์แซ่หยางเผยสีหน้านอบน้อมออกมาหลายส่วน ประสานมือคารวะขณะเอ่ย


“นั่นเป็นสิ่งที่ควรทำ ข้าน้อยเองก็ไม่ได้กลับมาที่เมืองหลายปีจึงไม่มีเครื่องยืนยันฐานะอื่นถึงได้เอาเจ้าสิ่งนี้ออกมา” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ


ผู้พิทักษ์สวรรค์ร่างกายผ่ายผอมพยักหน้ามือหนึ่งโบกสะบัด ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลสองสามคนจึงเปิดทางให้ทันที


หานลี่กลายเป็นลำแสงหลีกหนีอย่างไม่เกรงใจ สายรุ้งสีเขียวพุ่งออกไปจากห้องโถงยักษ์

 

 

 


ตอนที่ 1751 ขับไล่

 

ในห้องโถงบนชั้นสูงของเจดีย์ศิลา หลังจากที่สายรุ้งสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบก็หายวับไป


“จานวิญญาณวิเศษมีปฏิกิริยาอันใดหรือ?” ชายชราร่างกายผ่ายผอมเห็นลำแสงหลีกหนีของหานลี่ออกไปไกล ก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“รายงานใต้เท้า ไม่มี ท่านอาวุโสหานผู้นี้คือเผ่ามนุษย์จริงแท้แน่นอนขอรับ!” ผู้พิทักษ์ยมโลกนิลคนหนึ่งตอบ


“ไม่มีแผ่นป้ายผ่านทาง แผ่นป้ายผู้พิทักษ์ยมโลกนิลถูกยกเลิกก็ไม่ถูกเก็บกลับคืน หรือว่าหลายปีมานี้คนผู้นี้อยู่ในแดนรกร้าง ดูแล้วคงได้รับวาสนาไม่น้อย มิเช่นนั้นสามร้อยปีคงไม่อาจบรรลุระดับหลอมสุญตาขั้นปลายจากระดับเทพแปลงได้แน่ ทว่าในเมื่อเป็นเผ่ามนุษย์ คิดดูแล้วคงไม่มีปัญหา ข้าก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากอันใด” ผู้พิทักษ์สวรรค์ร่างกายผ่ายผอมแววตาเปล่งประกายชั่วครู่ สุดท้ายก็สั่นศีรษะ


เรื่องพัฒนาระดับขั้นอย่างต่อเนื่องภายในสองสามร้อยปีมานี้ แม้ว่าจะหาได้ยากมาก แต่ในแดนรกร้างๆ ต่างก็มีวาสนาอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน และไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หากอีกฝ่ายไม่เคยเข้าร่วมผู้พิทักษ์สวรรค์มาก่อน เขาก็ลองทดสอบได้ ดูว่ามาตีสนิทกับผู้พิทักษ์สวรรค์หรือไม่ ยามนี้อีกฝ่ายเป็นอิสระจากเมืองเทวะสวรรค์แล้ว เขาย่อมไม่มีทางไปหาเรื่องอีก


ดังนั้นผู้พิทักษ์สวรรค์ร่างกายผ่ายผอมผู้นี้จึงลืมเรื่องนี้ไปอย่างรวดเร็ว กลอกตาไปมาแล้วมองไปยังนักปราชญ์ทั้งสี่คนที่เดินออกมาจากวิหารจากจุดเดียวกัน


……


หานลี่ที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีพิจารณาด้านล่างไม่หยุด


สามร้อยปีผ่านไป สิ่งปลูกสร้างทุกอย่างในเมืองเทวะสวรรค์แทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด


ในเมืองยังคงมีนักรบชุดเกราะสีดำขาวจำนวนมากลาดตระเวนอยู่กลางอากาศต่ำๆ และมีผู้บำเพ็ญเพียรจากภายนอกจำนวนมากกำลังเข้าๆ ออกๆ สิ่งปลูกสร้างอย่างรีบร้อน


ทั้งเมืองมีท่าทีคึกคักเป็นอย่างยิ่ง มองร่องรอยการถูกชนต่างเผ่าเข้าโจมตีไม่ออกเลยสักนิด


ทว่าเช่นนั้นหานลี่กลับไม่ได้สนใจอันใด ลำแสงหลีกหนีพุ่งตรงไปยังย่านร้านค้าของเมืองเทวะสวรรค์


การมาของเขาครั้งนี้ไม่ได้คิดจะรั้งรออยู่ที่เมืองเทวะสวรรค์นานนัก


หลังจากทำให้พลังปราณมาร้อยกว่าปี ประกอบกับเกิดมารเข้าแทรกระดับจิตใจไปหลายครั้ง เขาก็มีเงื่อนไขที่จะบรรลุระดับคอขวดของระดับผสานอินทรีย์แล้ว หากฝึกฝนอีกสักหน่อย ก็จะเริ่มทะลวงจุดคอขวดแล้ว


จากอิทธิฤทธิ์มากมายในตัวเขา แม้ว่าจะอยู่แค่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น ก็น่าจะต้านทานระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายได้แล้ว แทบจะไร้เทียมทานระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ


ดังนั้นสิ่งที่เขาจะทำต่อจากนี้ ขอแค่เลือกสถานที่ลับใกล้ๆ กับเมืองเทวะสวรรค์แห่งหนึ่ง เตรียมกักตนสักระยะ เพื่อเริ่มทะลวงจุดคอขวดเท่านั้น


ก่อนหน้านั้นเขาย่อมลืมเรื่องอื่นๆ ไป เก็บเอาไว้ยังไม่สนใจชั่วคราว


ทว่าเมื่อสูญเสียพลังไปร้อยกว่าปี เขาจำต้องหาวัตถุดิบช่วยเสริมจำนวนมากในเมืองเทวะสวรรค์ก่อน


แม้ว่าที่ผ่านมาจะฟื้นฟูกลับมาได้บ้างในเขตของชนต่างเผ่า แต่เป็นเพราะสถานที่ที่ไปล้วนเป็นเขตแดนของชนต่างเผ่า แน่นอนว่าจึงไม่อาจฟื้นฟูอันใดได้มากนัก


หากไม่ใช่เพราะตอนแรกเขาออกจากแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีนั้นได้เตรียมของมาไม่น้อย เกรงว่าคงจำใจต้องหยุดเรียนรู้และศึกษาสิ่งต่างๆ ระหว่างทางแล้ว


จากขนาดของเมืองเทวะสวรรค์ น่าจะจะรวบรวมได้อย่างครบครัน


และหากมีวัตถุดิบเหล่านี้ เขาก็สามารถหลอมยุทธภัณฑ์และยาลูกกลอนมาใช้ช่วยทะลวงจุดคอขวดแล้ว


ย่านร้านค้าของเมืองเทวะสวรรค์ หานลี่ไปมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว


ดังนั้นครึ่งชั่วยามต่อมา เขาก็ถูกม่านลำแสงยักษ์แบ่งครึ่งสิ่งปลูกสร้างบนถนนออก


อีกด้านของม่านลำแสง เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนของเผ่าปีศาจในเมืองเทวะสวรรค์


และวิหารหลังหนึ่งตรงใจกลางม่านลำแสงก็เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนสินค้าหายากระหว่างทั้งสองเผ่า


หานลี่กวาดสายตาไปยังวิหารยักษ์ที่อยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี เงาร่างหญิงสาวเผ่าปีศาจฉายวาบขึ้นในสมองรางๆ แล้วเลือนหายไป


ตอนนั้นที่เขาอยู่ในวิหารแห่งนี้ เคยแลกเปลี่ยนกับหญิงสาวเผ่าปีศาจนิรนามคนหนึ่งไปหลายครั้ง ใช้แลกเปลี่ยนกับสมุนไพรและเมล็ดพันธุ์หายากในมือของเผ่าปีศาจ


หากไม่มีช่องทางนี้ แล้วให้เขารวบรวมเองในตอนนั้น ก็ไม่รู้ว่าต้องเสียเวลาอีกเท่าไหร่


ทว่าหญิงสาวผู้นี้ดูเหมือนจะมีที่มาที่ไป ตอนนั้นคาดไม่ถึงว่าจะรู้ล่วงหน้าว่าเมืองเทวะสวรรค์จะถูกชนต่างเผ่าโจมตี ดังนั้นจึงรีบออกจากเมืองเทวะสวรรค์ไปก่อน


หานลี่ชักสายตากลับมา หลังจากมองไปทางซ้ายทีขวาที ก็เข้าไปในร้านค้าวัตถุดิบที่ค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่งด้วยสีหน้าเฉยเมย


“ร้านเล็กๆ ขายวัตถุดิบในการหลอมอาวุธทุกอย่าง ท่านอาวุโสอยากได้อันใด ก็รับสั่งมาเถิด”


คาดไม่ถึงว่าในร้านจะมีคนอยู่ห้าหกคน ชายหนุ่มหน้าตาหมดจดคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


“เจ้าออกไปก่อน ท่านอาวุโสผู้นี้ข้าจะเป็นผู้ต้อนรับเอง”


หานลี่ไม่ทันได้เอ่ยอันใด เถ้าแก่ที่เดิมนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ พบว่าของที่อยู่ในมือเปล่งแสงระยิบระยับ ก็กระโดดขึ้นมาจากเก้าอี้ แล้วเอ่ยด้วยเสียงอันดัง


จากนั้นชายชราระดับจิตวิญญาณสีทองก็วิ่งเหยาะๆ มาอยู่ตรงหน้าของหานลี่ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้านอบน้อม


“ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสมาเยี่ยมเยียนร้านของเรา ชนรุ่นหลังไม่ได้ออกไปรับแต่ไกล หวังว่าท่านอาวุโสจะไม่ถือสา”


หานลี่ได้ฟังก็รู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย


แม้ว่าจะบรรลุระดับแล้ว เขากลับไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาลับจงใจปิดบังพลังยุทธ์ของตนเอง แต่สิ่งมีชีวิตระดับจิตวิญญาณสีทองคนหนึ่งย่อมไม่มีทางมองพลังยุทธ์ของเขาออกแน่


แต่เมื่อสายตาของชายชรากวาดไปที่อาวุธทรงจานอาคมในมือแวบหนึ่ง หานลี่พลันเข้าใจขึ้นมา แล้วพยักหน้าขณะเอ่ย


“ที่แท้เจ้าก็มีจานกดวิญญาณ มิน่าล่ะถึงรู้พลังยุทธ์ของข้า เอาละ ไม่พูดพล่ามไร้สาระแล้ว ข้าต้องการวัตถุดิบจำนวนมาก เจ้าไปรวบรวมมาให้ข้าเถิด”


หานลี่พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ในมือมีคัมภีร์สีขาวปรากฏขึ้น แล้วโยนไปทางชายชรา


ชายชราใช้สองมือรับคัมภีร์เอาไว้ ปากก็เอ่ยตอบรับเป็นพัลวัน แต่หลังจากกวาดจิตสัมผัสไปในคัมภีร์ ก็เผยสีหน้าทั้งตกตะลึงระคนดีใจออกมา


“คาดไม่ถึงว่าท่านอาวุโสจะต้องการวัตถุดิบจำนวนมากเพียงนี้ ร้านเล็กๆ ของเราหาให้ได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น แต่วัตถุดิบอื่นต้องไปยืมจากร้านอื่น ท่านอาวุโสรอสักประเดี๋ยวได้หรือไม่ขอรับ”


“ได้ ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งเค่อ” หานลี่ออกคำสั่งอย่างราบเรียบ


ชายชราได้ยินพลันดีใจ รีบร้อนเชิญให้หานลี่นั่งลงบนเก้าอี้อีกด้าน จากนั้นก็ให้เด็กรับใช้คนหนึ่งน้ำชาวิญญาณมาเสิร์ฟ แล้วออกคำสั่งให้คนอื่นๆ ไปหยิบวัตถุดิบในคลัง


และจากนั้นเขาก็ออกจากประตูร้าน ตรงไปยังร้านที่ค่อนข้างสนิทสนม รวบรวมวัตถุดิบอื่นๆ ให้หานลี่


เมื่อเห็นเถ้าแก่ทำเช่นนี้ เด็กรับใช้เหล่านั้นจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหานลี่ผู้ซึ่งเป็น “ท่านอาวุโส” จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่เก่งกาจมาก จึงอดที่จะมองมาด้วยสายตาหวั่นเกรงไม่ได้


หานลี่จิบชาวิญญาณในมืออย่างสบายอารมณ์ แล้วหลับตาทำสมาธิไม่ได้ปริปากใดๆ


ผลคือผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ชายชราก็กลับมาพร้อมสีหน้ายินดี ในมือมีกำไลเก็บของปรากฏขึ้น


และในยามนี้เด็กรับใช้คนอื่นๆ ในร้านก็หยิบกล่องหยกขวดหยกขนาดน้อยใหญ่ออกมากองใหญ่


สำหรับหานลี่ในตอนนี้บางทีวัตถุดิบเหล่านี้ก็เป็นเพียงวัตถุดิบช่วยเสริมธรรมดาๆ เท่านั้น แต่สำหรับเจ้าของร้านแล้ว ยังคงเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก


จิตสัมผัสกวาดไปที่กล่องและขวดในกำไลเก็บของสองสามรอบ หานลี่เอ่ยถามราคาอย่างราบเรียบ


ชายชราเอ่ยราคาที่มหาศาลสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ออกมาด้วยรอยยิ้ม


หานลี่กลับไม่กระตุกแม้แต่เปลือกตา มือหนึ่งปัดไปบนข้อมือ ชั่วขณะนั้นถุงหนังขนาดไม่ใหญ่นักก็ถูกโยนออกไป


ชายชรารับถุงหนังไป กวาดจิตสัมผัสเข้าไป คาดไม่ถึงว่าจะมากกว่าที่เขากล่าวไว้ ทันใดนั้นก็เอ่ยขอบคุณด้วยความดีใจ


หานลี่เก็บของทั้งหมดมาด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วเดินตัวปลิวออกไปจากประตู


ลำแสงหลีกหนีปรากฏขึ้น หานลี่ออกจากย่านร้านค้า ตรงไปยังอีกด้านของเมืองเทวะสวรรค์


หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม เขาก็เดินอย่างทระนงองอาจออกจากเมืองเทวะสวรรค์ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งไปยังเทือกเขาที่เรียงตัวกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน หานลี่ก็เดินออกจากสถานที่ที่อยู่ในการดูแลของเมืองเทวะสวรรค์ แต่ยังคงไม่มีเจตนาจะหยุดพัก พลางเดินไปยังที่ที่ไกลแสนไกลต่อ


สองเดือนต่อมาในที่สุดสายรุ้งสีเขียวก็ร่อนลงมาบนยอดเขาสีเขียวขจี


ลำแสงหลีกหนีหม่นแสงลง เงาร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นบนก้อนหินยักษ์บนยอดเขา หลังจากพิจารณาชั่วครู่ ก็หลับตาลงแผ่จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งออกไป


ชั่วครู่ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ


ที่นี่มีชีพจรวิญญาณที่ไม่เลว แม้จะไม่ใหญ่นัก แต่ไอวิญญาณหนาแน่นในรัศมีสองสามร้อยลี้ ก็เหมาะสมจะให้เขาใช้พอดี


ทว่าเทือกเขาวิญญาณนี้ย่อมไม่อาจไร้เจ้าของ หลังจากที่กวาดจิตสัมผัสไปเมื่อครู่ ก็พบถ้ำพำนักของผู้บำเพ็ญเพียรขนาดน้อยใหญ่อยู่ใกล้ๆ คาดไม่ถึงว่าจะมีอยู่สิบกว่าหลัง


ในถ้ำพำนักเหล่านี้มากหน่อยก็มีผู้คนรวมตัวกันอยู่สิบกว่าคน น้อยหน่อยก็มีคนอาศัยอยู่แค่คนเดียว


ทว่าพลังยุทธ์สูงที่สุดก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิตระดับก่อกำเนิดสองคนเท่านั้น ที่เหลือล้วนอยู่ในระดับหลอมรวมและสร้างปราณ


คิดดูแล้วก็ปกติ ผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงหน่อย ไหนเลยจะมาสร้างถ้ำพำนักในที่รกร้างเช่นนี้


ระดับเทพแปลงขึ้นไปสามารถเขย่าทุกสิ่งในรัศมีสองสามหมื่นลี้ แม้ว่าไอวิญญาณที่นี่จะไม่เลว แต่กลับไม่สามารถทนต่อสิ่งมีชีวิตระดับสูงได้


ทว่าหานลี่กลับไม่คิดจะฝึกฝนนาน แน่นอนว่าย่อมไม่ได้สนใจเรื่องนี้


ทันใดนั้นเขาพลันใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ขยับริมฝีปากสองสามครั้ง กลับเอ่ยคำพูดที่ไร้สุ้มเสียงออกมา ราวกับว่ากำลังถ่ายทอดเสียง


ตรงสันเขาของยอดเขาอีกลูกหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปร้อยลี้ ชายชราสวมชุดคลุมสีดำผมขาวโพลนคนหนึ่งกำลังอยู่ในห้องลับที่มีเขตอาคมแน่นหนา ตรงข้ามมีเตาสูงสองสามจั้ง มือหนึ่งร่ายอาคม สีหน้าเคร่งเครียด


ด้านล่างเตาหลอม เปลวเพลิงสีฟ้าเริงระบำอยู่รอบเตา ในเวลาเดียวกันกลิ่นหอมของสมุนไพรก็โชยออกมาจากตรงนั้น


ฉับพลันนั้นพลังจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อก็มองข้ามเขตอาคมแน่นหนาของห้องลับไป เข้าไปในห้องลับราวกับจิตสัมผัสมาร


ชายชราชุดคลุมสีดำไม่มีโอกาสได้ต่อต้าน เสียงปังดังขึ้น ถูกจิตสัมผัสกลุ่มนี้พาพลังมหาศาลกดลงกับพื้น ร่างกายไม่อาจกระดุกกระดิกได้เลยสักนิด


“เอ๋”


ชายชราร้องอุทานออกมา แน่นอนว่าย่อมตกตะลึง


แต่ไม่รอให้เขาได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอันใด เสียงบุรุษอันเย็นชาก็ดังสะท้อนไปมาในห้องลับ “ข้ามีธุระ ต้องยืมใช้ที่นี่สักหน่อย หวังว่าจะไม่ถูกรบกวน ทุกคนที่ได้ยินการถ่ายทอดเสียง รีบย้ายออกไปจากที่นี่ทันที ภายในหนึ่งวันหากยังมีคนกล้าอยู่แถวๆ นี้ จักได้อยู่ตลอดกาล”


ประโยคสั้นๆ จบลง พลังจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งก็สลายออกไป


ชายชราสวมชุดคลุมสีดำรู้สึกเพียงว่าตัวเบาลง แล้วกลับมาเคลื่อนไหวได้ดังเดิม


หลังจากที่เขายืนขึ้นด้วยกายที่สั่นเทาแล้ว แววตาก็เต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนหวาดกลัว


หลังจากที่ชายชราขบคิดชั่วครู่ ฉับพลันนั้นขยับปลายเท้า ร่างกายพุ่งออกจากห้องลับในพริบตา ไม่หันมองเตาหลอมที่เดิมให้ความสำคัญมากเลยสักแวบ


หนึ่งชั่วยามต่อมาลำแสงสีขาวสายหนึ่งก็หมุนวนอยู่เหนือยอดเขา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็พุ่งไปยังขอบฟ้า


ฉากที่เหมือนกันพลันเกิดขึ้นตามจุดต่างๆ ในรัศมีสองสามร้อยลี้


ลำแสงหลีกทยอยกันบินไปตามจุดต่างๆ สายแล้วสายเล่า ออกจากชีพจรวิญญาณไปอย่างรีบร้อน


ครึ่งวันต่อมาบนเทือกเขาก็ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ใดๆ อีก เหลือเพียงถ้ำพำนักที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน

 

 

 


ตอนที่ 1752 หลอมจิตสัมผัสขั้นที่หนึ่ง

 

หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปในรัศมีสองสามร้อยลี้ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนใดซ่อนตัวอยู่ ก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีไปยังสันเขา


ลำแสงสีเขียวหม่นแสงลง หานลี่ปรากฏตัวขึ้นด้านหน้ากำแพงหินสีเขียว


แววตาของเขาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบพลางพิจารณากำแพงหินสองแวบ กำไลเก็บของบนข้อมือสั่นเทา ลำแสงสีเขียวสองสามกลุ่มบินออกมา เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วกลายเป็นหุ่นเชิดร่างวานรสูงใหญ่สองสามตัว


ไม่ต้องให้หานลี่ออกคำสั่งอันใด หุ่นเชิดเหล่านี้ก็ยกมือขึ้น นิ้วทั้งสิบพ่นลำแสงสีเขียวความยาวสองสามฉื่อออกมาแล้วทยอยกันกระโจนเข้าหากำแพงหิน


ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ กำแพงหินค่อยๆ ถูกสับออกราวกับเต้าหู้ ชั่วพริบตาประตูบานใหญ่สูงประมาณ สิบจั้งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า


หุ่นเชิดสองสามตัวพลันเคลื่อนไหว เอามือจมหายเข้าไปในประตู


ยามนี้หานลี่กลับไม่ได้สนใจหุ่นเชิดเหล่านี้อีก กลับขยับแขนเสื้อ ลำแสงสีทองกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง อสูรน้อยความยาวสองสามฉื่อก็ปรากฏขึ้นบนพื้นตรงหน้า


อสูรน้อยตัวนี้มีขนปกคลุมสีทองเรืองรอง เมื่อมองผ่านๆ ก็ดูเหมือนลูกมิคาทนตัวหนึ่ง


นั่นก็คืออสูรเกล็ดมิคาทนตัวนั้น!


ผิวของอสูรตัวนี้เปล่งแสงสีทองสว่างวาบ ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็มีขนาดยักษ์สองสามจั้ง เผยเขี้ยวแหลมคมออกมา บนเรือนร่างปรากฏลวดลายสีดำแปลกประหลาดเป็นสายๆ เหนือหัวมีเขาสั้นๆ สีเงินยาวสองสามชุ่นงอกออกมาคู่หนึ่ง


มันแผ่กลิ่นอายน่ากลัวที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกออกมา


“ตรวจสอบรอบๆ อย่าให้ผู้ใดเข้าใกล้ยอดเขานี้” หานลี่ออกคำสั่ง


อสูรเกล็ดมิคาทนยักษ์ร้องคำราม เท้าทั้งสี่มีไอสีดำแผ่ออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในพื้นดิน จนมองไม่เห็นร่องรอย


หานลี่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม รอให้ถ้ำพำนักตรงหน้าสร้างเสร็จอย่างเงียบๆ


ยามนี้อสูรเกล็ดมิคาทนเปลี่ยนเป็นมีรูปร่างเช่นนี้ อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาเล็กน้อย


หากจะหาเหตุผล กลับเป็นเพราะอสูรตัวนี้กินแก่นดวงจิตอสูรลับระดับราชาดวงหนึ่งเข้าไปในแดนกว้างเย็น


หลังจากที่อสูรตัวนี้กินแก่นดวงจิตเข้าไปตอนแรก คาดไม่ถึงว่าจะหลับใหลไม่ได้สติไปถึงสิบปีเศษ


และเมื่ออสูรตัวนี้ตื่นขึ้นมา พลังยุทธ์ก็เพิ่มขึ้นทันที คาดไม่ถึงว่าจะบรรลุระดับหลอมสุญตาได้อย่างง่ายดาย รูปลักษณ์ภายนอกก็เปลี่ยนเป็นน่ากลัวทันที


หานลี่ย่อมส่งเสียงจุ๊ๆ ชมว่าสุดยอดไม่หยุด


ทว่าเดิมอสูรตัวนี้ก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขของจิตวิญญาณเที่ยงแท้กิเลนอยู่แล้ว ประกอบกับกินแก่นปีศาจของอสูรลับระดับราชาเข้าไป พอโตเต็มวัยก็เปลี่ยนไปอย่างน่าตกตะลึง ดูเหมือนจะไม่ใช่ว่าจะรับไม่ได้


ส่วนพลังของอสูรมิคาทนก็ดูเหมือนว่าจะมีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


ยี่สิบกว่าปีต่อมาอสูรตัวนี้ก็กินยาลูกกลอนของหานลี่ไปจำนวนมาก สองสามปีก่อนจึงพัฒนาระดับขั้นอีกครั้ง เข้าสู่ระดับหลอมสุญตาขั้นกลาง มีอิทธิฤทธิ์ที่ร้ายกาจเพิ่มมากขึ้นหลายชนิด


จากที่หานลี่คาดเดา ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขั้นปลายธรรมดาๆ คนหนึ่งก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอสูรตัวนี้


ส่วนรูปร่างของอสูรเกล็ดมิคาทน ก็เพิ่งจะเป็นการก้าวเข้าสู่การโตเต็มวัยเท่านั้น


นี่จึงทำให้เขาอดที่จะเฝ้ารอคอยให้อสูรตัวนี้เติบโตขึ้นไม่ได้


และการปล่อยอสูรตัวนี้ออกมาในยามนี้ ย่อมทำให้เขาวางใจเป็นอย่างมาก


ขอแค่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ระดับศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่อาจเข้าใกล้ยอดเขาแห่งนี้ได้


เมื่อขบคิดเช่นนั้น หานลี่ก็ค่อยๆ หลับตาทั้งสองข้างลง


หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม ในที่สุดหุ่นเชิดวานรยักษ์สองสามตัวก็สร้างถ้ำพำนักสำเร็จ แล้วเดินออกมาจากประตูอย่างต่อเนื่อง


หานลี่เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น สะบัดแขนเสื้อ หุ่นเชิดสองสามตัวกลายเป็นลำแสงสีเขียวจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขา


จากนั้นก็หยัดกายลุกขึ้นยืนอีกครั้ง พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ธงอาคมปรากฏขึ้นในมือเป็นตั้งๆ


ชูมือขึ้น ลำแสงวิญญาณหลากสีสันยี่สิบกว่าสายพุ่งออกไปทั่วทั้งสี่ทิศ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


ม่านหมอกสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นแล้วคลี่ขยายออก


ชั่วครู่ทั้งยอดเขารวมทั้งทุกอย่างในบริเวณร้อยกว่าลี้ก็กลายเป็นทะเลหมอก มองไม่เห็นอันใดอีก


หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น พลันใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ตะปบมือไปกลางอากาศ ลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ ในมือมีจานอาคมทรงกลมขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้น


“ห้าม”


หานลี่ใช้นิ้วชี้ไปที่จานอาคม ปากก็ร้องตะโกนต่ำๆ ออกมา


ชั่วขณะนั้นก็มีอักขระยันต์สีเงินนับพันตัวปรากฏขึ้นกลางเมฆหมอก แต่หลังจากหมุนคว้างแล้วก็เปล่งแสงสว่างวาบพลางหายวับไป


หานลี่ถึงได้เก็บจานอาคม แล้วเดินเข้าไปยังทางเข้าของกำแพงหิน


ร่างของเขาเพิ่งจะจมเข้าไป แขนเสื้อก็สั่นเทา ประตูหินสีเขียวร่อนลงมาจากเหนือศีรษะ ปิดผนึกเอาไว้


ผิวของประตูหินเปล่งแสงระยิบระยับ หลอมรวมเข้ากับกำแพงหินใกล้เคียง แม้ว่าอยู่ใกล้แค่คืบก็ไม่อาจมองเห็นอันใดได้


เพราะว่าเดิมทีถ้ำพำนักก็เป็นสิ่งที่หานลี่ควบคุมหุ่นเชิดให้สร้างขึ้น แน่นอนว่าย่อมรู้จักทุกอย่างในถ้ำพำนักเป็นอย่างดี


เขาเดินไปที่สวนสมุนไพรก่อนโดยไม่ปริปาก ปลูกสมุนไพรวิญญาณลงไป จากนั้นก็วางเขตอาคมเล็กๆ สองสามแห่งลงไปในถ้ำพำนัก แล้วจึงเดินเข้าไปที่ห้องลับ


แต่เมื่อเขาหักเลี้ยวสองสามครั้ง มองเห็นประตูหินของห้องลับ ฉับพลันนั้นก็ตบไปที่บั้นเอว


หลังจากที่เงาสีขาวอ่อนสายหนึ่งบินออกมา ตรงหน้าก็มีหญิงสาวสวมชุดสีขาวหน้าตางดงามปรากฏขึ้น ท่าทางองอาจห้าวหาญ เรือนกายแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบจางๆ ออกมา


นั่นก็คือหุ่นเชิดสะท้านฟ้า “หวาหวา”


ยามนี้ “หวาหวา” ไม่เหมือนกับในอดีต ไม่เพียงหว่างคิ้วจะมีไข่มุกสีฟ้าขนาดเท่าหัวแม่มือปรากฏขึ้น ราวกับฝังไว้ข้างใน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อกลอกตาไปมา สายตากลับดูมีชีวิตมากกว่าเดิมหลายส่วน


นี้ย่อมเป็นผลจาก “ไข่มุกวารีใส” ที่พกมาด้วย


หลังจากทำให้ชุ่มชื้นด้วยสมบัติวิเศษมาเกือบร้อยปี ร่างของหุ่นเชิด “หวาหวา” ก็มีความมหัศจรรย์ขึ้น ราวกับค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างของวารีใส


แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ค่อยชัดเจนนัก เกือบร้อยปีถึงจะดูออก แต่ก็ทำให้หานลี่พึงพอใจมาก


และยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่สติปัญญาของ “หวาหวา” คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทางเหมือนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย


นี่ย่อมเป็นผลประโยชน์อีกอย่างที่ได้มาด้วยความบังเอิญ


ยามนี้ความคิดของหานลี่กำลังเคลื่อนไหว หลังจากออกคำสั่งง่ายๆ ให้กับสตรีนางนี้ ก็เปล่งแสงสว่างวาบเข้าไปในห้องลับ


ชูมือขึ้น ฟูกสีเหลืองอ่อนบินออกมา


เขานั่งลงบนฟูกหลับตาทั้งสองข้างลงแล้วนิ่งงันไม่ไหวติง ทำได้เพียงมองเห็นลำแสงสีเขียวแวววาวที่ไหลเวียนอยู่บนใบหน้าของเขาเป็นบางครั้งคราว


หานลี่ตกอยู่ในภวังค์แห่งสมาธิสามวันสามคืน ช่วงเวลานี้ไม่เคยลืมตาขึ้นมาเลยสักครา


ส่วนด้านนอกเทือกเขาขนาดเล็กที่เขาอยู่ ก็เกิดความวุ่นวายขึ้น


ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากขนาดนี้ถูกเขาขับไล่ออกไป บ้างก็จากไปไกลเสียเลย บ้างก็ขอพึ่งพาสหายสนิทที่อยู่ในเทือกเขาใกล้เคียง


ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงย่อมรู้เรื่องนี้ และรู้ว่าบริเวณนี้มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงนิรนามปรากฏตัวขึ้นหนึ่งคน พลังยุทธ์ลึกล้ำยากจะคาดเดา แค่พลังจิตสัมผัสก็สามารถทะลวงผ่านเขตอาคมต้องห้ามของสิ่งมีชีวิตระดับก่อกำเนิดได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงอย่างระดับหลอมสุญตาคนหนึ่ง


เช่นนั้นแน่นอนว่าผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ย่อมอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่า “ท่านอาวุโส” ผู้นี้จะมาหาเรื่อง


หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ทราบว่าสถานที่ที่หานลี่อยู่ถูกหมอกสีขาวปกคลุมปิดผนึกเอาไว้ ถึงได้ผ่อนคลายลง


เมื่อรู้ว่าสิ่งมีชีวิตระดับสูงผู้นี้ไม่ได้คิดจะแย่งดินแดนใดๆ อีก ดูเหมือนจะต้องการแค่ที่นั่นก็พอแล้ว


แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่สุดท้ายก็ไม่ต้องย้ายถ้ำพำนักแล้ว


เช้าตรู่วันที่สี่ ร่างของหานลี่ขยับเล็กน้อย ใบหน้ามีลำแสงสีเขียวผนึกรวมตัวขึ้น แล้วลืมตาทั้งสองข้างขึ้น


เห็นเพียงในดวงตาทั้งสองมีลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ แล้วหม่นแสงลงพลางหายวับไปทันที


หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง


หลังจากพักผ่อนมาสามวัน ในที่สุดเขาก็ทำให้จิตสัมผัสและพลังปราณกลับมาเต็มเปี่ยม ความเหนื่อยล้าก่อนหน้านี้ที่มาจากการเดินทางมาเป็นเวลานาน พลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง


ยามนี้ในที่สุดก็ทำธุระแล้ว


หลังจากที่ใบหน้าของเขามีสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย มือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ในมือมีคัมภีร์ประณีตปรากฏขึ้นม้วนหนึ่ง


คัมภีร์นี้มีลักษณะพิเศษ ไม่เพียงแผ่ลำแสงสีทองอ่อนๆ ออกมา และยังหดตัวกะพริบวาบๆ ในมือราวกับมีจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ราวกับถือไว้ไม่มั่นคง และมีท่าทีจะดีดตัวหนีไป


หานลี่ใช้นิ้วทั้งห้าบีบเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด แตะคัมภีร์ลงบนหน้าผาก และหลับตาทั้งสองข้างลงอีกครั้ง


เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป หลังจากผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ หานลี่ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเลื่อนคัมภีร์ออก


จากนั้นพลันลืมตาขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด!


ในคัมภีร์ย่อมมี “เคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัส”  ที่เต็มไปด้วยอักขระจ้วนทอง


เคล็ดวิชานี้มีทั้งหมดสามชั้น ต่อให้ฝึกฝนสำเร็จแค่ชั้นแรก ก็ทำให้จิตสัมผัสของเขาเพิ่มขึ้นสองเท่าแล้ว


การเพิ่มขึ้นที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ ประกอบเดิมหานลี่ก็มีจิตสัมผัสแข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกัน หากฝึกฝนสำเร็จ การขัดขวางจากจุดคอขวดของระดับผสานอินทรีย์ ก็แทบจะลดลงไปกว่าครึ่ง ดีกว่ากินยาลูกกลอนใดๆ หลายเท่า


ดังนั้นเมื่อหานลี่ได้คัมภีร์นี้มาก็เริ่มเรียนรู้ทันที หลังจากที่ส่งตัวออกจากแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีแล้ว ก็เริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชานี้อย่างไม่ลังเลเลยสักนิด


ระยะทางการกลับมาร้อยปี นอกจากจะศึกษาเคล็ดวิชาลับอื่นๆ แล้ว ก็ยังจดจ่ออยู่กับเคล็ดวิชานี้กว่าครึ่ง


เคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสขั้นที่หนึ่ง จะบอกว่ายากก็ไม่ยาก จะบอกว่าง่ายก็ไม่ง่าย


สาเหตุที่กล่าวเช่นนั้นย่อมเป็นเพราะผู้ที่เหมาะสมกับเงื่อนไขมีอยู่น้อยมากในแดนวิญญาณ ผู้ที่ไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขล้วนไม่มีโอกาสฝึกฝนเคล็ดวิชานี้สำเร็จได้ ต่อให้ฝืนฝึกฝน สุดท้ายก็จะถูกพลังแว้งกัดระเบิดร่างออก


จากพลังจิตสัมผัสและกายเนื้อที่แข็งแกร่งของหานลี่หากจะฝึกฝนขั้นที่หนึ่งย่อมเพียงพอ


ดังนั้นหลังจากฝึกฝนไปร้อยปี หานลี่ก็เรียนรู้เคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสขั้นที่หนึ่งได้ และฝึกฝนจนมาถึงขั้นตอนสุดท้าย


เพราะอักขระจ้วนทองในเคล็ดวิชานี้เป็นเคล็ดวิชาลับของแดนเทพเซียน ตามคัมภีร์แล้วยามที่ผู้ฝึกฝนทุกคนฝึกฝนสำเร็จ จะเกิดปรากฏการณ์ที่มหัศจรรย์ไม่น้อยออกมา


ดังนั้นหลังจากที่เดินมาถึงขั้นสุดท้าย จึงเลือกดินแดนลับที่ดีที่สุด และยิ่งไปกว่านั้นรอบๆ ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งใดๆ อยู่


แม้ว่าหานลี่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสขั้นที่หนึ่งสำเร็จแล้วเมื่อสองสามปีก่อน แต่ยามนั้นอยู่ในดินแดนรกร้าง หากพบกับอสูรโบราณที่แข็งแกร่งอันใด เขาก็จะมีอันตรายถึงชีวิต


ยามนี้อยู่ในเผ่ามนุษย์ และอยู่ในแดนรกร้างเพียงนี้ แน่นอนว่าย่อมสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสขั้นที่หนึ่งให้สำเร็จได้


ส่วนที่เขาถอนหายใจเมื่อครู่ กลับเป็นเพราะขั้นตอนของเคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสขั้นที่สองลึกลับกว่าขั้นที่หนึ่ง หากอยากเรียนรู้ก็ยุ่งยากมาก หากไม่ตั้งใจฝึกฝนสักสองสามร้อยปีก็อย่าคิดถึงเรื่องนี้เลย


และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเงื่อนไขในการฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสขั้นที่สอง


มือข้างหนึ่งพลิ้วไหว คัมภีร์ที่หว่างนิ้วเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป


จากนั้นเขาพลันหยิบขวดหยกขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันออกมาสองสามขวด แล้วเทยาลูกกลอนออกมากิน สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง จานทรงกลมเก้าใบเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ล้อมรอบร่างกายของเขาเอาไว้ แล้วลอยนิ่งอยู่รอบๆ


หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม สองมือร่ายอาคมประหลาดๆ เรือนร่างเปล่งแสงสีทองออกมา


เงาลวงตาสีทองสามเศียรหกกรเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นที่แผ่นหลังของเขา

 

 

 


ตอนที่ 1753 ตระกูลกู่

 

เทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หลอมร่างออกมาแต่กรทั้งหกพลันร่ายอาคม ใบหน้าสองเศียรที่ชัดเจนขยับมุมปากเล็กน้อย กำลังบริกรรมคาถาอันใดสักอย่างอยู่


หลังจากผ่านไปชั่วครู่เสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตก็ดังสะท้อนก้องไปมาภายในห้องลับ


ในเวลาเดียวกันใบหน้าของหานลี่พลันมีลำแสงสีทองไหลวนโคจรไปมา ผิวหนังขยุกขยิก เกล็ดสีทองปรากฏขึ้น


เห็นได้ชัดว่าโคจรเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้จนถึงขีดสุดแล้ว


จานทรงกลมสีเงินเก้าใบลอยอยู่รอบๆ สั่นเทาเล็กน้อย เริ่มเปล่งแสงเจิดจ้าจนแสบตา และส่งเสียงหึ่งๆ ออกมา


เสียงนี้ดูเหมือนจะตอบรับกับเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตที่ดังสะท้อนต้องไปมาภายในห้องลับ คาดไม่ถึงว่าจะหลอมรวมร่างกันอย่างลงตัว ไม่มีจุดไหนที่เสียดแก้วหูเลยสักนิด ราวกับออกมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น


เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ที่แผ่นหลังของหานลี่และเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มีรัศมีลำแสงสีทองปรากฏขึ้น


รัศมีลำแสงที่แผ่นหลังของเทวรูปใหญ่กว่าด้านล่างเท่าหนึ่ง ทั้งระดับความหนาก็ไม่สู้รัศมีลำแสงด้านล่าง


หานลี่แค่นเสียงต่ำๆ อาคมในมือเปลี่ยนแปลงไป


รัศมีลำแสงสีทองทั้งสองหมุนคว้าง อักขระสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากใจกลางของรัศมีลำแสง ทุกตัวล้วนเปล่งแสงสีทองเรืองรองเจิดจ้าเป็นอย่างมาก


เมื่อเพ่งมองอย่างละเอียดก็จะพบว่าอักขระเหล่านี้ล้วนเป็นอักขระจ้วนทอง


ราวกับได้รับการเรียกหาจากอักจระจ้วนทอง จานทรงกลมสีเงินทั้งเก้าเริ่มเปลี่ยนรูปร่าง


ท่ามกลางเสียงหึ่งๆ อักขระสีเงินขนาดเท่ากำปั้นบินออกมาจากจานทรงกลมอย่างรวดเร็ว และพุ่งเข้าไปในรัศมีลำแสงสีทอง


อักขระสีเงินเหล่านี้เป็นตัวอักษรลูกอ๊อดสีเงินอย่างชัดเจน


ชั่วพริบตาอักขระสีทองและสีเงินทั้งสองสีก็ปรากฏขึ้นในรัศมีลำแสงพร้อมกัน และยิ่งไปกว่านั้นยังมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็เรียงตัวเต็มรัศมีลำแสง


แต่ยังคงมีอักขระจำนวนมากทะลักออกมาไม่หยุด แล้วจมหายเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง


ร่างของหานลี่นิ่งงัน แต่ใบหน้าที่เดิมมีสีหน้าไร้ความรู้สึกกลับเผยสีหน้าเหนื่อยล้าออกมา และยิ่งไปกว่านั้นยิ่งอักขระในรัศมีลำแสงเพิ่มขึ้น ก็ค่อยๆ เผยสีหน้าเหนื่อยล้ามากขึ้นเรื่อยๆ


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ดวงตาทั้งสองข้างของหานลี่ก็เบิกโพลงราวกับระฆัง ในเวลาเดียวกันก็ร้องตะโกนราวกับเสียงฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ออกมา


ชั่วขณะนั้นจานทรงกลมสีเงินทั้งเก้าก็เปล่งเสียงร้องแหลมสูงออกมาพร้อมกันแล้วระเบิดออก กลายเป็นลำแสงสีเงินแล้วสลายหายไป


ส่วนรัศมีลำแสงสีทองที่แผ่นหลังของหานลี่ก็หมุนวนอย่างรวดเร็ว และหดเล็กลงไม่หยุด อักขระสีทองและเงินในนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหดเล็กลงเช่นกัน


ผลคือผ่านไปแค่ชั่วอึดใจ อักขระจำนวนนับไม่ถ้วนหดเล็กลงจนมีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร


รัศมีลำแสงสีทองก็กลายเป็นดวงแสงสีทองเรืองรองขนาดเท่ากำปั้น


รัศมีลำแสงสีทองที่อยู่กลางอากาศอีกด้าน ถูกเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์กระตุ้น กลายเป็นดวงแสงสีทองอีกลูกร่อนลงมาจากกลางอากาศ


จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เทวรูปยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไป


เช่นนั้นข้างกายของหานลี่จึงเหลือเพียงดวงแสงสองลูกลอยพลิ้วอยู่ตรงนั้น


หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม ชี้ไปที่ทั้งสองที่แยกออกจากกันเบาๆ


หลังจากเสียง “สวบๆ” ดังขึ้น ดวงแสงสีทองสองลูกเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วจมหายเข้าไปในหว่างคิ้วอย่างไร้ร่องรอย


ครู่ต่อมาหน้าผากของหานลี่เริ่มมีหยาดเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองปรากฏขึ้น ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น แขนขาทั้งสี่เริ่มสั่นเทา พลังบิดเบี้ยวปูดโปนออกมาจากใต้เกล็ด


ราวกับมีอันใดสักอย่างกำลังทำร้ายร่างกายภายในของหานลี่ ทำให้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งศีรษะของหานลี่ก็เปล่งแสงสว่างวาบ ถูกลำแสงสีม่วงทองชั้นหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ และกะพริบวาบๆ อยู่ด้านในไปมา


ส่วนใบหน้าของเขาก็มีอักขระสีทองและสีเงินที่บัดเดี๋ยวปรากฏขึ้นบัดเดี๋ยวก็สลายหายไป ราวกับว่ามีอันใดสักอย่างหมายจะหนีออกมา แต่ก็ถูกบีบให้กลับไป


ดูแล้วแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง


หานลี่กลับหลับตาอยู่ในยามนี้ สองมือร่ายอาคมไปมาไม่หยุด ราวกับกำลังกระตุ้นอันใดสักอย่างสุดชีวิต ทำให้ลำแสงสีทองบนผิวหนังเปล่งแสงเรืองๆ เดี๋ยวมืดมนเดี๋ยวสดใสไปมาไม่หยุด…


ในเวลาเดียวกันเหนือยอดเขาของถ้ำพำนัก ก็มีปรากฏการณ์น่าตกตะลึงปรากฏขึ้น


เดิมท้องฟ้าเป็นสีเขียวมรกตมีก้อนเมฆดำทะมึนไปหมื่นลี้ พลันเกิดพายุขึ้น


จากนั้นทั่วทั้งท้องฟ้าพลันมืดมน เมฆสีดำปรากฏขึ้น ทำให้ท้องฟ้าในรัศมีร้อยลี้กลายเป็นสีดำสนิทราวกับก้นหม้อ


พายุหมุนที่แต่เดิมกำลังหมุนวนอย่างแรงกลับอ่อนกำลังลง จากนั้นไอเย็นเยียบก็ทะลักมาจากที่ใดก็สุดจะรู้ได้ และเริ่มทำลายก้อนเมฆ


หลังจากลูกเห็บสีฟ้าขนาดเท่ากำปั้นทุบลงมา หิมะก็ร่วงโรยลงมาจากท้องฟ้า


ผ่านไปชั่วครู่ที่นี่ก็กลายเป็นดินแดนหิมะ ทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ราวกับเป็นดินแดนหนาวเหน็บแห่งธารน้ำแข็ง


หิมะใหญ่ยังไม่หยุดตก พายุหมุนร้อนระอุก็ม้วนวนออกมาจากหมู่เมฆ


เมฆทมิฬที่เดิมหนาแน่นถูกเป่าจนสลายออก ชั่วพริบตาแสงอาทิตย์ก็สาดส่องลงมา


ยามนี้ไม่ว่าผู้ใดอยู่ในยอดเขา เห็นท้องฟ้าในยามนี้ก็อดที่จะหน้าเปลี่ยนสีและเผลอสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่งไม่ได้


ยามนี้เป็นยามเที่ยงเดิมควรจะมีพระอาทิตย์ปรากฏขึ้นพร้อมกันสองสามตัว ครานี้กลับเหลือเพียงดวงเดียวที่ยังคงเปล่งแสงระยิบระยับ ดวงอาทิตย์ที่เหลือล้วนหายวับไป


และดวงอาทิตย์ที่เหลือก็เผยสีเหลืองทองออกมารางๆ ท้องฟ้าสีครามเข้มกลายเป็นสีเงินอ่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้


ภายใต้แสงสีทองและเงินที่สาดส่องลงมา ทำให้พื้นที่ทั้งหมดราวกับอยู่ในแดนลึกลับก็ไม่ปาน


ทว่าหากบินออกจากยอดเขาที่หานลี่อยู่ไปในระยะสองสามร้อยลี้ จะพบกับปรากฏการณ์น่าตกตะลึงบนท้องฟ้าที่ค่อยๆ จางลง


เมื่อบินออกมาจากม่านหมอกสีขาวได้สามร้อยลี้ ท้องฟ้าก็ยังคงมีดวงอาทิตย์สองสามดวงเรียงรายอยู่ ส่วนท้องฟ้าก็เป็นสีฟ้าครามดังเก่า แค่ทะเลหมอกกลางอากาศเปล่งแสงสีทองอ่อนระยิบระยับไม่หยุด


กลับเป็นมีเสียงประหลาด “โครมคราม” ดังมาจากอีกด้าน ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยที่เดิมก็รู้สึกระมัดระวังตัวอยู่แล้ว ทยอยกันบินออกมาจากถ้ำพำนักด้วยความตกตะลึง


พวกเขาบางคนก็ยืนอยู่บนยอดเขา บางคนก็ควบคุมสมบัติอาคมบินอยู่กลางอากาศ ล้วนมองไปที่ทะเลหมอก สีหน้าตกตะลึงระคนสงสัย


กลางอากาศเหนือยอดเขาห่างจากทะเลหมอกไปสิบกว่าลี้ มีคนสิบกว่าคนลอยอยู่สูงขึ้นไปพันจั้งเศษ และต่างมองไปที่ทะเลหมอกที่อยู่ไกลออกไปเช่นกัน


ชายสวมชุดคลุมสีขาวหน้าตาหมดจด อายุประมาณสามสิบปีเศษ แต่เห็นได้ชัดว่าฐานะเหนือกว่าผู้อื่น ยืนอยู่บนกระบี่ยักษ์สีขาว


บุรุษและสตรีคนชราเด็กน้อยที่เหลือสิบกว่าคนล้วนขยับเข้ามาใกล้ สายตาที่มองชายสวมชุดคลุมสีขาวเต็มไปด้วยสีหน้าน่านับถือ


“คนผู้นี้เพิ่งมาถึงยอดเขาพระอาทิตย์ขึ้นเมื่อสามวันก่อนจริงๆ หรือ?” ผู้สวมชุดคลุมสีขาวเก็บสีหน้าประหลาดใจกลับมา แล้วเอ่ยถามโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา


“รายงานท่านปู่น้อย คนผู้นี้เพิ่งมาถึงยอดเขาพระอาทิตย์ขึ้นเมื่อสามวันก่อนจริงๆ และใช้จิตสัมผัสที่แข็งแกร่งขับไล่ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมดไปจนเกลี้ยง หลานมีสหายสนิทอยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นปลายคนหนึ่งที่อยู่ที่นั่นในตอนแรก ว่ากันว่าพลังจิตสัมผัสนั้นไม่อาจยืนขึ้นได้ พลังปราณในร่างถูกกดจนโคจรไม่ได้เลยสักกระผีก จึงออกมาอย่างไม่กล้าขัดขืนเลยสักนิด” ชายชราหนวดขาวสะอาดคนหนึ่ง ค้อมตัวลงต่ำ แล้วตอบกลับอย่างนอบน้อม


“อ๋อ พลังจิตสัมผัสที่บริสุทธิ์จนกดผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนหนึ่งได้ แม้ว่าจะยุ่งยากหน่อย ข้าก็พอทำได้ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นหากจะกดผู้บำเพ็ญเพียรในถ้ำพำนักสิบกว่าแห่งพร้อมกัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาจะทำได้ แม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้” ผู้สวมชุดคลุมสีขาวมีสีหน้าแปลกประหลาด พลางเอ่ยอย่างแช่มช้า


“ความหมายของท่านปู่น้อยคือท่านอาวุโสผู้นี้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์!” ชายชราผมขาวหน้าเปลี่ยนสี แล้วร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง


คนอื่นๆ ได้ยินก็ตกใจจนสะดุ้งโหยงเช่นกัน ทยอยกันสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง


“หากบอกว่าพลังจิตสัมผัสแข็งแกร่งก็น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็ละเลยคนผู้นี้ไม่ได้ อาจจะอาศัยอานุภาพของสมบัติวิเศษอันใด หรือฝึกฝนเคล็ดวิชาลับจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งอันใด” ผู้สวมชุดคลุมสีขาวครุ่นคิดเล็กน้อย และเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนักออกมา


“ที่แท้เป็นเช่นนี้!” ชายชราผมขาวมีสีหน้าผ่อนคลายลง ดูเหมือนจะรู้สึกว่าวิธีการนี้ยังพอจะรับได้


“หึ นี่เป็นแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้น ต่อให้คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ ก็น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตา และยิ่งไปกว่านั้นน่าจะฝึกฝนจนประสบความสำเร็จแล้ว พวกเจ้าอย่าไปล่วงเกินคนผู้นี้เด็ดขาด สิ่งมีชีวิตระดับสูงเช่นนี้ ตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้อย่างพวกเราต้องคบค้าเอาไว้ ห้ามสร้างศัตรูเด็ดขาด” ผู้สวมชุดคลุมสีขาวมีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วออกคำสั่งอย่างเย็นชา


“หลานจะกล้ายั่วโมโหท่านอาวุโสผู้นี้ได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะท่านปู่น้อยผ่านทางมาพอดี หลานคงย้ายออกจากที่นี่ทันทีเพื่อหาที่พักของตระกูลใหม่” ชายชราผมขาวกลับหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา


“ย้ายออก! ไม่ต้องหรอก ในเมื่อคนผู้นี้แค่ใช้จิตสัมผัสไล่ผู้อื่น ดูแล้วคงแค่ใช้อำนาจบาตรใหญ่เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายผู้อื่น และยิ่งไปกว่านั้นดูจากปรากฏการณ์บนท้องฟ้าตรงหน้า คนผู้นี้แค่ใช้ที่นี่ฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น ไม่ได้มีแผนการชั่วร้ายอันใด ในเมื่อเลือกสถานที่รกร้างเปล่าเปลี่ยว ก็น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษไร้สังกัด หากดึงเขาเข้าตระกูลรับตำแหน่งอาวุโสแขกผู้มีเกียรติได้ ก็ทำให้กำลังของตระกูลกู่อย่างพวกเราเพิ่มขึ้นแล้ว หากเป็นเช่นนี้ ข้ากลับต้องอยู่ที่นี่อีกระยะหนึ่ง ดูว่าจะคบค้ากับคนผู้นี้ได้หรือไม่” หลังจากที่ผู้สวมชุดคลุมสีขาวแววตาเปล่งประกายก็เอ่ยเช่นนี้ออกมา


“ท่านปู่น้อยยอมพักอยู่ที่พักชั่วคราวของหลาน เป็นความโชคดีของพวกเราแล้ว” ชายชราผมขาวได้ยิน ก็อดที่จะดีอกดีใจไม่ได้


ท่านปู่น้อยผู้นี้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาคนหนึ่ง พักอยู่ในถ้ำพำนักของพวกเขาชั่วคราวคอยชี้แนะให้พวกเขา ก็เพียงพอจะทำให้ลูกหลานของพวกเขาได้รับประโยชน์แล้ว


ถึงอย่างไรเสียเขาเป็นอาวุโสสาขาย่อยของตระกูลกู่  ก็เป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายเท่านั้น


ผู้สวมชุดคลุมสีขาวมีท่าทีพึงพอใจชายชราเป็นอย่างมาก หลังจากพยักหน้าเล็กน้อย สายตาก็มองไปยังทะเลหมอกที่อยู่ไกลออกไป ในใจอดที่จะขบคิดว่าเผ่ามนุษย์ผู้นี้ฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ใด ถึงได้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ขึ้น


แต่เคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสเป็นเคล็ดวิชาลับของแดนเทพเซียน แม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสูงของตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้ หลังจากดูอยู่นานก็ยังคงงุนงง


โชคดีที่ปรากฏการณ์ที่เห็นไม่ได้น่าตกตะลึงอันใด มิเช่นนั้นหากอยู่ตรงใจกลางของทะเลหมอก ผู้สวมชุดคลุมสีขาวคงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ไหนเลยจะเยือกเย็นได้


ถึงอย่างไรเสียการฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ของแดนวิญญาณ แม้ว่าจะสัมผัสถึงฟ้าดินได้ แต่ก็ทำให้พลังปราณฟ้าดินรอบๆ ปั่นป่วนเท่านั้น ไม่มีทางทำให้เกิดปรากฏการณ์อันน่าตกตะลึงเหมือนกับเคล็ดวิชาหลอมจิตสัมผัสได้


แต่ต่อให้เป็นปรากฏการณ์ตรงหน้า ก็ทำให้ผู้สวมชุดคลุมสีขาวไม่กล้ามองว่าหานลี่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ในใจจึงคิดจะดึงมาเป็นพวก


หลังจากมองอีกแวบหนึ่ง มองเห็นท้องฟ้าไกลออกไปไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใดอีก ชายหนุ่มชุดขาวรั้งอยู่ที่ยอดเขาคนเดียว ในที่สุดก็พาคนอื่นๆ กลับไปยังถ้ำพำนักตรงตีนเขา


คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เห็นปรากฏการณ์บนท้องฟ้า หลังจากตกตะลึงอยู่นาน ไม่อาจมองสบตาตรงๆ ได้เช่นกัน ส่วนใหญ่ล้วนกลับไปยังถ้ำพำนักด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)