คัมภีร์วิถีเซียน 1747-1748
ตอนที่ 1747 เขตอาคมอัสนี
แดนรกร้างของแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนกว้างใหญ่อย่างหาที่เปรียบมิได้ สัตว์ประหลาดนิรนามต่างๆ มีอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน ยิ่งเป็นสถานที่ที่อันตรายมาก แม้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงบุ่มบ่ามเข้าไป ก็อาจจะไม่มีชีวิตรอด
คนจากเผ่าต่างๆ ต้องมาเพลี่ยงพล้ำในแดนรกร้างมากมายจนนับไม่ถ้วน
แต่เช่นนั้นเพื่อตามหาวัตถุดิบล้ำค่าและวาสนาต่างๆ ในแดนรกร้างแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรก็ยังคงทยอยเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
เผ่ามนุษย์อยู่ตรงมุมรกร้างของแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน เทียบกับเผ่าใหญ่ๆ ในแผ่นดินใหญ่แล้วก็อ่อนแอกว่าเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งเทียบกับเผ่าต่างๆ ที่อยู่ใกล้กัน ก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าเท่าใดนัก
โชคดีที่พละกำลังไม่ต่างอันใดกับเผ่าปีศาจร่วมมือกันนัก และยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองเผ่าจากทั้งหมดสามเขตเจ็ดแดนก็ยังถูกผู้บำเพ็ญเพียรที่ยิ่งใหญ่ของทั้งสองเผ่าวางเขตอาคมระดับสุดยอดปิดผนึกเอาไว้
นอกจากทางเข้าทางเมืองเทวะสวรรค์แล้ว ก็ไม่มีที่อื่นที่สามารถเข้ามาในสองเผ่าได้อีก นี่จึงทำให้ทั้งสองเผ่าพอจะฝึกบำเพ็ญเพียรได้อย่างปลอดภัยได้ และยืนอยู่ในแดนวิญญาณได้จนมาถึงทุกวันนี้
แน่นอนว่าเมืองเทวะสวรรค์เองก็ถือเป็นสถานที่สำคัญในสายตาของทั้งสองเผ่า ไม่เพียงมีผู้มีความสามารถของทั้งสองเผ่าอาศัยอยู่จำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีสมาคมผู้อาวุโสเทวะสวรรค์ที่คอยดูแลความปลอดภัยโดยเฉพาะ
แม้ว่าสมาคมผู้อาวุโสจะมีสมาชิกไม่มาก แค่สิบคน แต่ทุกคนล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไป หากอาวุโสหนึ่งในสิบคนเพลี่ยงพล้ำไป ก็จะเลือกมนุษย์และปีศาจระดับผสานอินทรีย์ขึ้นใหม่จากทั้งสองเผ่ามาเข้าร่วม
เช่นนั้นถึงได้ทำให้เมืองเทวะสวรรค์มั่นคงเรื่อยมา
เช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรจากทั้งสองเผ่ามนุษย์และปีศาจอยากเข้าไปในแดนรกร้าง ก็ทำได้เพียงต้องผ่านทางเข้าเพียงทางเดียวที่เมืองเทวะสวรรค์
และผู้บำเพ็ญเพียรทั่วๆ ไปล้วนไม่กล้าเข้าไปในส่วนลึกของแดนรกร้าง ส่วนใหญ่แค่เคลื่อนไหวอยู่ห่างจากเมืองเทวะสวรรค์เป็นระยะทางสองสามเดือน หากพบกับอสูรโบราณที่โหดเหี้ยมอันใดหรืออันตรายอันใด ก็จะมีโอกาสได้หนีกลับมาขอความช่วยเหลือจากเมืองเทวะสวรรค์
แน่นอนว่าต้องมีอิทธิฤทธิ์วิเศษ และเก่งกล้าสามารถ จึงจะเข้าไปในส่วนลึกของแดนรกร้างได้
ทว่าเช่นนั้นอัตราการเพลี่ยงพล้ำย่อมเพิ่มขึ้นสองสามเท่าแล้ว
ยามนี้กลางอากาศเหนือทะเลสาบรกร้าง มีผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์สองสามคนกำลังตกอยู่ในอันตรายใกล้จะเพลี่ยงพล้ำ
เผ่ามนุษย์สี่คน เป็นบุรุษสองคนและสตรีสองคน กำลังถูกอสูรโบราณร่างกายใหญ่ยักษ์ล้อมปิดตายอยู่ในทะเลสาบ
ร่างของอสูรยักษ์ดูราวกับเต่าทะเลยักษ์ตัวหนึ่ง แต่แผ่นหลังมีหนวดสิบกว่าเส้นราวกับหนวดปลาหมึก โบกสะบัดไปมาอย่างแรง เงาสีดำทับซ้อนเป็นชั้นๆ กลายเป็นตาข่ายยักษ์ผืนหนึ่ง บีบทั้งสี่คนที่อยู่กลางอากาศเข้าด้วยกัน
แม้ว่าทั้งสี่คนจะมีพลังปราณไม่อ่อนแอ ล้วนมีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลง ควบคุมสมบัติอาคมสองสามชิ้นจนเปล่งแสงนับหมื่นสายที่ไม่ธรรมดา แต่ไม่ว่าจะดาบบิน กระบี่บินหรือว่ากงจักรไม้เท้ายักษ์ โจมตีไปที่หนวด ล้วนถูกดีดออกอย่างไม่เกรงใจ ไม่อาจทะลวงผ่านตาข่ายยักษ์ได้เลยสักนิด
หากไม่ใช่บุรุษวัยกลางคนสวมชุดนักปราชญ์คนหนึ่งควบคุมสมบัติอาคมที่มีรูปร่างเหมือนสมประสงค์สีเงินซึ่งดูมหัศจรรย์มาก ต้านทานพลังแรงกดกว่าครึ่งของหนวดปลาหมึกที่กลายเป็นตาข่ายยักษ์เอาไว้ ทั้งสี่คนก็น่าจะถูกโจมตีจนเกราะป้องกันแตก และเพลี่ยงพล้ำไปตั้งนานแล้ว
แต่เช่นนั้นทั้งสี่คนก็หอบหายใจ เหงื่อแตกท่วมหลัง ท่าทางไม่อาจประคับประคองได้อีกนานนัก
“พี่หั่ว เจ้ารีบปล่อยไข่มุกอัสนีออกมาเร็วเข้า พวกเราสำแดงไม้ตายออกมาแล้ว” นักปราชญ์เห็นสถานการณ์กำลังคับขัน ก็ร้องตะโกนใส่อีกคนที่อยู่ด้านข้างด้วยเสียงอันดัง
“ไม่ได้ แม้ว่าไข่มุกอัสนีจะร้ายกาจ แต่หากปล่อยห้วงเวลาแคบๆ ออกมา แม้แต่พวกเราก็จะถูกดูดไปด้วย” ชายร่างใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์สวมชุดเกราะสีแดงอีกคนหนึ่งตอบกลับพร้อมกับหน้าเปลี่ยนสี
“ข้ารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ยามนี้อย่าไปสนใจอันใดมาก เต่าศิลาปราณตัวนี้มีอิทธิฤทธิ์ระดับหลอมสุญตาขั้นต้น ร้อยวิญญาณสมประสงค์ของข้าไม่อาจต้านทานได้นานนัก และหากไม่ลงมือโจมตี พวกเราอยากจะเอาชีวิตรอดก็ไม่มีโอกาสแล้ว” นักปราชญ์เอ่ยเสียงเหี้ยม เผยท่าทีเด็ดขาดออกมา
ชายร่างใหญ่เกราะสีแดงได้ยินคำนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง แต่ก็ยังคงลังเลเล็กน้อย
หนวดปลาหมึกของอสูรโบราณโบกสะบัดเร็วขึ้นเรื่อยๆ เสียงฟ้าผ่าดังแว่วมา พลังมหาศาลที่ส่งออกมาตาข่ายยักษ์เพิ่มขึ้นไม่น้อย
หยกสมประสงค์ที่กลายเป็นลำแสงสีขาวทั่วท้องฟ้า สัมผัสกับหนวดปลาหมึกอย่างต่อเนื่อง ชั่วขณะนั้นแสงสีดำพลันหม่นแสงลงไม่น้อย จำใจต้องหดเล็กลงกว่าครึ่งอีกครั้ง ทำให้ทั้งสี่คนทำได้เพียงหันหลังชนกันต้านทานการโจมตีจากหนวดปลาหมึก
ทุกอย่างทำให้ความคิดของชายร่างใหญ่เกราะสีแดงที่ว่า ‘โชคดีแล้ว’ หายไป!
ทันใดนั้นเขาพลันกัดฟัน พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ไข่มุกทรงกลมขนาดเท่าไข่ไก่ปรากฏออกมา
ไข่มุกทรงกลมเปล่งแสงสีฟ้าเรืองรอง ผิวของมันมีอักขระสีฟ้าหนาแน่น ดูแล้วลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นชายร่างใหญ่หยิบไข่มุกทรงกลมสีฟ้าออกมา สตรีผู้บำเพ็ญเพียรหน้าตางดงามอีกสองคนก็หน้าถอดสี
ภายใต้อารามร้อนใจ สตรีนางหนึ่งพลันบริกรรมคาถา สะบัดแขนเสื้อทั้งสองข้าง ยันต์วิเศษระดับสูงสิบกว่าสายพุ่งออกมา กลายเป็นม่านลำแสงห่อหุ้มทั้งสี่คนเอาไว้
สตรีอีกนางหนึ่งชูมือขึ้น ระฆังใบเล็กสีดำใบหนึ่งพลันบินออกมา
ระฆังใบนี้ขยายใหญ่ขึ้น เสียง “เคร้ง” ดังขึ้น หมอกลำแสงสีดำอ่อนม้วนวนลงมา ห่อหุ้มทุกคนไว้เช่นกัน
นักปราชญ์ผู้นั้นตัดสินใจพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาสองสามกลุ่ม
ทุกครั้งที่พ่นออกมา สีหน้าจะซีดขาวขึ้นส่วนหนึ่ง จากนั้นก็ใช้นิ้วชี้ไปสองสามครั้งอย่างรวดเร็ว
โลหิตบริสุทธิ์เปล่งแสงสว่างวาบ จมหายเข้าไปในสมประสงค์กลางอากาศ
สมประสงค์เดิมมีสีมัวๆ พลันเปล่งแสงเจิดจ้า กลายเป็นม่านลำแสงสีขาวแข็งตัวขึ้นในพริบตา
ชายร่างใหญ่เกราะสีแดงเห็นสหายร่วมวิถีเตรียมการป้องกันแล้ว ก็สะบัดข้อมืออย่างไม่ลังเลเลยสักนิด สำแดงไข่มุกทรงกลมสีฟ้าออกไป
ไข่มุกทรงกลมออกจากมือ ก็กลายเป็นลำแสงสีฟ้าเจิดจ้าจนแสบตา
ชายร่างใหญ่เกราะสีแดงใช้มือหนึ่งร่ายอาคมกระตุ้น ลำแสงสีฟ้าหมุนคว้าง จนมีขนาดเท่าล้อรถ และพุ่งไปหาหนวดปลาหมึกที่กำลังร่ายระบำ แล้วดีดออก
เสียง “ปัง” ดังสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้น
เมื่อลำแสงสีฟ้าสัมผัสกับหนวดปลาหมึกก็ระเบิดออกทันที ระลอกคลื่นสีฟ้าระเบิดออกมาห่อหุ้มรอบด้านเอาไว้
หนวดปลาหมึกสิบกว่าสายกลายเป็นตาข่ายยักษ์ ชั่วพริบตาก็ถูกลำแสงสีฟ้าห่อหุ้มเอาไว้ ระลอกคลื่นกินอาณาบริเวณสองสามลี้ ลำแสงสีฟ้ามีเสียงกรีดร้อง ดังอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น
สายรุ้งสองสามสายพุ่งออกมาจากระลอกคลื่น หลังจากกะพริบวาบ ก็เชื่อมต่อกัน แล้วบินทางไปขอบฟ้า
บุรุษและสตรีทั้งสี่คนในลำแสงหลีกหนีล้วนมีท่าทีจนตรอก!
นักปราชญ์หนึ่งในนั้น บนเรือนร่างมีโลหิตเปื้อนร่างกาย แขนขาดกระเด็นไปข้างหนึ่ง
ที่เหลือทั้งสามคนเองก็สวมเสื้อผ้าขาดๆ หน้าซีดขาว ล้วนมีท่าทีได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
โชคดีที่ทั้งสี่คนล้วนไม่ได้สูญเสียพลังการบิน ลำแสงหลีกหนีเปล่งแสงสว่างวาบ ยังคงบินหนีไปด้วยความรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ระลอกคลื่นกลางอากาศก็สลายออก ระเบิดลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
เห็นเพียงอสูรโบราณราวกับเต่ายักษ์ตัวนั้น หนวดหายไปกว่าครึ่ง ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งก็ไหม้เกรียมไม่สมประกอบ
เสียงคำรามด้วยความโกรธดังออกมาจากปากของอสูรโบราณ หนวดปลาหมึกเปล่งแสงสีเขียววาววับ คาดไม่ถึงว่าจะทยอยกันงอกออกมาใหม่ จากนั้นผิวน้ำบริเวณรอบก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น น้ำในทะเลสาบหมุนวนคาดไม่ถึงว่าจะห่อหุ้มเต่ายักษ์เอาไว้กลายเป็นเมฆน้ำขนาดสองสามหมู่ พุ่งไล่ตามทั้งสี่คนไป
ทั้งสี่คนที่อยู่ด้านหน้าเห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึง แน่นอนว่าย่อมกระตุ้นลำแสงหลีกหนีอย่างสุดชีวิต คิดจะสลัดเมฆน้ำด้านหลัง
แต่แม้ว่าเมฆน้ำจะใหญ่มโหฬาร ความเร็วกลับไม่ต่างอันใดกับลำแสงหลีกหนีของทั้งสี่คนที่ร่วมพลังกันด้านหน้า
ทั้งสองไล่ตามกันไปชั่วครู่ก็บินออกมาไกลถึงล้านลี้
และเมื่อเวลาผ่านไปลำแสงหลีกหนีและเมฆน้ำก็ค่อยๆ เข้าใกล้กันขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ได้หมายความว่าเมฆน้ำเพิ่มความเร็วขึ้น กลับเป็นชนเผ่ามนุษย์ทั้งสี่คนที่อยู่ด้านหน้าได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว ประกอบกับพยายามหนีสุดชีวิต ในที่สุดก็เริ่มพลังปราณไม่พอ
ทั้งสี่คนย่อมพบว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว แต่พละกำลังไม่อาจต้านทานกับอสูรโบราณด้านหลังได้ แน่นอนว่าจึงทำอันใดไม่ได้
ในที่สุดเมื่อบินไปด้านหน้าได้แสนกว่าลี้ระยะห่างของทั้งสองก็เหลือแค่ร้อยกว่าจั้ง ด้านหลังมีเสียงคำรามของอสูรโบราณส่งมา เมฆน้ำเลือนราง จากนั้นเสียง “ปัง” ดังขึ้น แล้วระเบิดออกโดยทันใด
ไอวิญญาณน้ำสีขาวหมุนวนแล้วสลายหายไป เต่ายักษ์ตัวนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทั้งสี่คนที่บินหนีอยู่ด้านหน้าย่อมมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เมื่อเห็นสถานการณ์นั้นนักปราชญ์แขนขาดก็หน้าเปลี่ยนสี ร้องอุทานว่า “แย่แล้ว” ออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
แต่พวกเขาสี่คนยังไม่ทันได้คิดหาแผนการรับมืออันใด เหนือลำแสงหลีกหนีก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น หนวดปลาหมึกสีดำสองสามสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น พลางทุบลงมาด้านล่างอย่างแรงด้วยความเร็ว
ยังไม่ทันได้ทุบโดนพายุแรงกดขนาดยักษ์ก็กดลำแสงหลีกหนีจนสั่นเทากะพริบวาบไม่หยุด
ทั้งสี่คนร้องอุทานเสียงต่ำๆ ออกมา แทบจะสลายลำแสงหลีกหนีออกตามจิตสำนึก แยกกันพุ่งหนีไปกันคนละทิศละทาง
แม้ว่าพวกเขาจะหลบหลีกการโจมตีเหนือศีรษะได้ แต่ก็ถูกบีบให้สลายตัวออกแยกออกไปคนละทิศละทาง เมื่อมองสบตากันแวบหนึ่งก็เผยสีหน้าดูไม่ได้ออกมา
เมื่อครู่พวกเขาสี่คนรวมพลังปราณเข้าด้วยกันยังไม่อาจสลัดการไล่ตามของอสูรโบราณได้ ยามนี้ถูกบีบให้แยกออกจากกัน หากคิดจะหนีเกรงว่าคงเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน
เงาสีดำขนาดใหญ่เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ ร่างของเต่ายักษ์ปรากฏออกมา ดวงตาสีเขียวมรกตสองข้างกวาดมองทั้งสี่คนด้วยความเย็นชาแวบหนึ่ง
นักปราชญ์และพวกจิตใจหนักอึ้ง สัมผัสได้ว่าตนคงหนีไม่รอดแล้ว
ทว่าในเมื่อทั้งสี่คนฝึกฝนมาจนอยู่ในระดับนี้ได้ และยิ่งไปกว่านั้นยังกล้าเข้ามาในส่วนลึกของแดนรกร้างย่อมต้องเป็นคนที่มีจิตใจไม่ธรรมดา แน่นอนว่าจึงไม่ยอมอยู่นิ่งๆ รอความตาย
พวกเขาพยายามฝืนใบหน้าที่สั่นระริกทยอยกันพ่นสมบัติอาคมออกมาเตรียมพร้อมที่จะสู้ตายอีกครั้ง
อสูรโบราณเต่ายักษ์เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ร้องคำรามเสียงต่ำๆ ออกมา แววตาฉายแววดูแคลนเหมือนมนุษย์ หนวดสิบกว่าเส้นที่แผ่นหลังโบกสะบัดแล้วกลายเป็นเงาสีดำอีกครั้ง
มองเห็นทั้งสองฝ่ายจะสู้รบกันอีกครั้ง ทั้งสี่คนและหนึ่งอสูรต่างก็มีสีหน้าแปลกประหลาด แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นก็มองไปยังเหนือศีรษะ
เห็นเพียงเหนือขึ้นไปร้อยกว่าจั้ง คาดไม่ถึงว่าจะมีดวงแสงอัสนีขนาดเท่าศีรษะลูกหนึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้
ดวงแสงอัสนีเปล่งแสงสีเงินออกมา ประจุไฟฟ้าบางๆ เปล่งประกายสว่างวาบไม่หยุด แต่กลับไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา สถานการณ์ที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
แต่ยังไม่ทันให้ทั้งสี่คนและอสูรโบราณมีปฏิกิริยาตอบสนองหลังจากตกตะลึง ดวงแสงอัสนีก็ส่งเสียงดังสนั่นขยายขนาดใหญ่ขึ้นหลายเท่า
จากนั้นเสียงร้องก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประจุไฟฟ้าบีบตัวออกจากดวงแสงอัสนีหลังจากสายฟ้าเปล่งประกาย คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเขตอาคมทรงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางสองสามจั้งในพริบตา
ในเขตอาคมมีประจุไฟฟ้าสีเงินก่อตัวกัน สายฟ้าเปล่งประกาย อักขระสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นพร้อมกัน
เสียงฟ้าผ่าดังสะเทือนเลื่อนลั่น
ประจุไฟฟ้าขนาดเท่าเสาน้ำเปล่งแสงสว่างวาบ สายฟ้าหม่นแสงลง เงาร่างคนสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างซวนเซตรงใจกลางเขตอาคมอัสนี
เงาร่างคนผู้นี้เพิ่งจะยืนได้อย่างมั่นคงก็ตะโกนก่นด่าขึ้นอย่างเสียกิริยาทันที!
“เหลยอวิ๋นจื่อ ตาเฒ่านี่! ครั้งหน้าอย่ามาให้ข้าได้พบเจ้าอีก มิเช่นนั้นไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปเช่นนี้แน่”
ตอนที่ 1748 เหลยอวิ๋นจื่อกับเขตอาคมอัสนี
เงาร่างคือบุรุษวัยเยาว์สวมชุดคลุมสีเขียว แผ่นหลังมีปีกสีสันแวววาวคู่หนึ่ง หน้าตาธรรมดาๆ แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล
นักปราชญ์แขนขาดพลันใจเต้น กวาดจิตสัมผัสไป
ผลคือหลังจากตกตะลึงแล้ว ก็เผยสีหน้ายินดีออกมาทันที พลางรีบร้องตะโกนว่า “ท่านอาวุโสโปรดระวัง ด้านล่างมีเต่าศิลาปราณที่มีสติปัญญา น่ากลัวมาก”
“เต่าศิลาปราณ!”
ชายหนุ่มได้ยินคำนี้ดูเหมือนจะเพิ่งพบสี่คนและหนึ่งอสูรที่อยู่ด้านล่าง แต่หลังจากกวาดสายตาไปคาดไม่ถึงว่าจะหัวเราะร่าออกมา “พวกเจ้าเป็นเผ่ามนุษย์! เยี่ยม เยี่ยมมาก ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองเทวะสวรรค์ไม่ไกลแล้ว”
คาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะไม่มองเต่ายักษ์เลยสักนิด ท่าทางเหมือนมองข้ามไป
ส่วนเต่ายักษ์ก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ว่าบุรุษกลางอากาศไม่อาจหาเรื่องได้ มันที่มีสติปัญญาไม่ต่ำต้อย กลอกตาทั้งสองข้างไปมาไม่หยุด และไม่ได้บุ่มบ่ามทำการโจมตี
“ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองเทวะสวรรค์อยู่อีกระยะหนึ่ง หากท่านอาวุโสไม่รังเกียจล่ะก็ ชนรุ่นหลังทั้งสี่คนจะนำทางให้ขอรับ” ชายร่างใหญ่เกราะสีดำเองก็พบแล้วเช่นกันว่าบุรุษที่อยู่กลางอากาศมีพลังยุทธ์ลึกล้ำยากจะคาดเดา หลังจากที่จิตสัมผัสไม่อาจคาดเดาพลังยุทธ์ของเขาได้ ก็คว้าฟางเส้นสุดท้ายร้องตะโกนออกมาเช่นกัน
นักปราชญ์และหญิงสาวที่เหลืออีกสองคนเองก็พยักหน้าเป็นพัลวัน
“นำทาง อืม ก็ดี ทว่าช้าก่อน เต่าศิลาปราณตัวนี้มีประโยชน์ รอให้ข้าเอาแก่นดวงจิตของมันมาก่อนแล้วค่อยนำทางก็แล้วกัน!” หลังจากที่ชายหนุ่มหัวเราะน้อยๆ ออกมา ถึงได้มองไปยังอสูรโบราณด้านล่าง
แม้ว่าเต่าศิลาปราณตัวนี้จะไม่เข้าใจบทสนทนาของพวกเขา แต่หลังจากที่เห็นชายหนุ่มมองมา ในใจกลับอดที่จะเย็นเยียบขึ้นไม่ได้ พลางร้องคำรามต่ำๆ อย่างไม่ต้องขบคิด อ้าปากออกพ่นเสาลำแสงหนาๆ สีฟ้าออกมา ในเวลาเดียวกันหนวดสิบกว่าสายที่แผ่นหลังก็เริงระบำ กลายเป็นเงาสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนห่อหุ้มลงมาที่ชายหนุ่ม
อสูรตัวนี้มีลางสังหรณ์เกี่ยวกับชีวิต กลับยิ่งระเบิดความโมโหออกมา
เมื่อเห็นเต่ายักษ์ทำการโจมตีที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ ทั้งสี่คนที่อยู่ด้านล่างก็หน้าเปลี่ยนสี กระตุ้นสมบัติอาคมกลายเป็นหมอกลำแสงห่อหุ้มร่างและถอยออกไปสองสามก้าว
ชายหนุ่มติดปีกกลางอากาศเห็นสถานการณ์เช่นนั้นกลับหัวเราะร่า
เห็นเพียงเขาสะบัดแขนเสื้อไปด้านหน้า ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงหมอกสีเทาพลันปรากฏขึ้น ต้านทานไว้เบื้องหน้า
เสาลำแสงสีฟ้าโจมตีไปที่ม่านลำแสง เห็นเพียงลำแสงสว่างวาบ แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
การโจมตีที่ดูเหมือนน่าตกตะลึงคาดไม่ถึงว่าจะไม่มีผลเลยสักนิด
เงาสีดำทั่วทั้งท้องฟ้ากลายเป็นตาข่ายปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้าเอาไว้ ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะกะพริบตา แต่ปีกที่แผ่นหลังพลันกระพือ เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนปีก และส่งเสียง “เปรี๊ยะ” พลางโจมตีไปกลางอากาศ
ในเวลาเดียวกันชายหนุ่มพลันขยับแขน ฝ่ามือสีดำสนิทข้างหนึ่งพลันยื่นออกมาจากแขนเสื้อ ตะปบไปยังตาข่ายยักษ์
เสียงฟ้าร้องกลางวันแสกๆ พลันดังขึ้น!
ฉากที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น
ชั่วพริบตาที่ฝ่ามือตะปบออกไป ประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวกลางอากาศก็รวมตัวกัน เสียงอึกทึกดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นฝ่ามือสีเขียวขาวขนาดสองสามจั้งในชั่วพริบตา แล้วก่อตัวกันกลายเป็นสายฟ้าหนาๆ
นิ้วทั้งห้ากางออก หนวดปลาหมึกที่กลายเป็นตาข่ายยักษ์ถูกมือยักษ์อัสนีฉีกออกราวกับกระดาษ จากนั้นฝ่ามือก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
ครู่ต่อมาเหนือหัวเต่ายักษ์ที่อยู่ด้านล่างก็มีประจุไฟฟ้าสายหนึ่งปรากฏขึ้น ทันใดนั้นก็พลิ้วไหวแล้วกลายเป็นฝ่ามือยักษ์ พลางตะปบมาอย่างรวดเร็ว
การโจมตีด้วยสายฟ้าเพลิงศิลา!
เต่ายักษ์ไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็ถูกสายฟ้าทะลวงผ่านลำแสงสีเขียวที่คุ้มครองร่างแล้วตะปบไปที่ร่างกายของมันแน่น
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นขึ้น ลำแสงสีเขียวขาวเปล่งแสงเจิดจ้า ประจุไฟฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
ไม่รู้ว่าประจุไฟฟ้าเหล่านี้มีอานุภาพน่ากลัวอันใด ร่างของเต่าศิลาปราณเปล่งแสงวาบๆ แล้วหายวับไป แม้แต่เสียงร้องคร่ำครวญก็ไม่ได้เปล่งออกมา
หลังจากที่สายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปนั้น ก็เหลือเพียงแก่นปีศาจขนาดเท่าไข่ไก่ ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ
ชายหนุ่มแววตาเปล่งประกายวาวโรจน์ ตะปบมือไปด้านล่างโดยไม่ปริปาก
เสียง “สวบ” ดังขึ้น แก่นปีศาจพุ่งไปกลางอากาศ ถูกดูดเข้ามาในมือ
ชายหนุ่มควงแก่นปีศาจเล่นสองสามครั้ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วเก็บเข้าไป จากนั้นก็เอ่ยกับนักปราชญ์สองสามคำ
“เอาละ นำทางได้แล้ว”
นักปราญ์และพวกทั้งสี่กลับตกตะลึงจนตาค้างไปแล้ว
ความร้ายกาจของเต่าศิลาปราณที่มีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาตัวหนึ่ง พวกเขาเพิ่งจะทดสอบมาด้วยตัวเอง และเกือบจะเพลี่ยงพล้ำ แต่ชายหนุ่มแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้า แค่พบกับอสูรตัวนี้ก็ถูกสังหารไปอย่างง่ายดาย
ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ หรือว่าอีกฝ่ายระดับสูงกว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้
“ขอบังอาจเรียนถามแซ่ของท่านอาวุโส หรือว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับศักดิ์สิทธิ์ของระดับผสานอินทรีย์” นักปราชญ์สูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วรีบร้อนคารวะ พลางเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
“ผสานอินทรีย์? ข้าน้อยยังไม่ถึงขั้นนั้น ส่วนแซ่นั้น ข้าน้อยแซ่หาน” ชายหนุ่มกวาดตามองนักปราชญ์แวบหนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างราบเรียบ
แน่นอนว่าชายหนุ่มผู้นี้ย่อมเป็นหานลี่
และในยามนี้ก็เป็นร้อยปีให้หลังหลังจากที่เขาส่งตัวกลับมาแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน
ปีนั้นเขาส่งตัวกลับมาจากแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี กลับเป็นแดนรกร้างแห่งหนึ่งในแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน นอกจากผู้พิทักษ์ที่ถูกส่งมาชาวเมฆาสวรรค์ที่อยู่ใกล้ๆ กับเขตอาคมส่งตัวแล้ว ก็ไม่มีชนต่างเผ่าอื่นๆ อีก
หลังจากที่เขาแสดงคัมภีร์ยืนยันฐานะแล้ว ก็บินไปอย่างปลอดภัย
แต่วันเวลาต่อมาของหานลี่ เขากลับคิดไม่ถึงว่า ระยะทางที่จะกลับไปแดนมนุษย์มันเนิ่นนานเพียงนี้
จากอิทธิฤทธิ์ของเขาในยามนั้น แม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ก็ไม่ได้หวาดกลัวอันใด
แต่แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนกว้างใหญ่เกินไป ประกอบกับระหว่างทางมีอันตรายมากมายจนนับไม่ถ้วน และยังต้องผ่านพื้นที่พักอาศัยของเผ่าประหลาด
แม้ว่าหานลี่จะระมัดระวังตัวเต็มที่กับทุกอย่าง ก็ยังคงพบกับอันตรายที่เกือบจะเพลี่ยงพล้ำไปหลายครั้ง
หนึ่งในนั้นยังถูกอสูรโบราณระดับผสานอินทรีย์เจ็ดแปดตัวไล่สังหารไปหลายเดือน อาศัยการเติมเต็มจากยาลูกกลอนและศิลาวิญญาณ ในที่สุดถึงได้สลัดฝูงอสูรได้ และบังเอิญเข้ามาในแดนตัดขาดหนาวเย็น ถูกระลอกคลื่นเย็นเยียบม้วนเข้ามาข้างใน ครั้งนั้นหากไม่ใช่เพราะในร่างของเขามีเปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีคอยกระตุ้นกระแสลมหนาว จนบังเอิญพัฒนาระดับขั้นได้ และได้ดูดซับพลังเย็นเยียบเข้าไป เกรงว่าคงจะกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งอยู่ที่นั่นไปตลอดกาล
เช่นนั้นจึงทำให้เขาเสียเวลาไปสองสามปี ในที่สุดถึงได้ออกมาจากแดนตัดขาดนั้นได้
และมีครั้งหนึ่งเขาไปพบกับสิ่งมีชีวิตระดับสูงของเผ่าประหลาดกลุ่มหนึ่ง เมื่อเห็นเขาคาดไม่ถึงว่าจะเกิดจิตสังหารคิดจะแย่งชิงสมบัติ
ผลคือหลังจากต่อสู้กันตั้งหนึ่ง แม้ว่าเขาจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาแม้กระทั่งแมลงกลืนทองและใบมีดชำรุดสวรรค์ทมิฬออกมาสังหารสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาเจ็ดแปดคนไปอย่างต่อเนื่อง และยังทำให้สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์สองคนได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ตัวเองก็สูญเสียปราณแท้และหนีออกมาได้พร้อมกับถูกพิษ
การบาดเจ็บหนักครั้งนี้ทำให้เขาต้องซ่อนตัวกักตนอยู่สิบกว่าปีเต็มๆ ถึงได้ฟื้นฟูพลังปราณแท้กลับมา และขจัดพิษได้
หนทางต่อจากนั้นเขาย่อมระมัดระวังตัวยิ่งกว่าเดิม แต่ยังคงมีอันตรายเข้ามาไม่หยุด ทำให้เขากลัดกลุ้มใจไม่น้อย
ยามนี้ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเหตุใดเมื่อเอ่ยถึงประสบการณ์การผจญภัยข้ามดินแดน ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ก็ทยอยกันหน้าเปลี่ยนสี
จากความสามารถของเขาในยามนี้แทบจะเอาชีวิตไม่รอดไปหลายครั้ง สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ธรรมดาๆ เกรงว่าคงมีผู้ที่เพลี่ยงพล้ำไปเพราะประสบการณ์ข้ามดินแดนเช่นนี้ไปไม่น้อย
แต่จะว่าไปแล้วประสบการณ์เช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดของเผ่าต่างๆ ต้องไปลองดูสักครั้ง และมีเพียงต้องผ่านอันตรายมากมาย ถึงจะทำให้สิ่งมีชีวิตอย่างพวกเขากำจัดจิตมารได้อีกครั้ง และอาจจะมีวาสนากับตนเองอีกครั้ง
เช่นกันอันตรายมากมายที่หานลี่พบระหว่างทางที่กลับไปยังเผ่ามนุษย์ก็มากมายเกินกว่าจะจินตนาการได้
ไม่ต้องพูดถึงระหว่างทาง แค่วัตถุดิบหายากจำนวนมากที่พบในส่วนลึกของแดนรกร้าง หรือตอนที่เขาปะปนเข้าไปในแดนของชนนอกเผ่า ขโมยและเรียนรู้เคล็ดวิชาต่างๆ ที่แตกต่างจากเผ่ามนุษย์มาจากชนเผ่าต่างๆ ก็ทำให้เขาได้ประโยชน์มากมายแล้ว
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกชนต่างเผ่าพบเห็น ทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหวอยู่ตามเขตแดนที่พักของชนนอกเผ่า ก็จะแค่เข้าไปในเมืองเล็กๆ ไม่ได้ไปยังที่พำนักของสิ่งมีชีวิตระดับสูงใดๆ
เช่นนั้นอันตรายจึงลดลงมาก
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ปลอดภัยทุกครั้งไป ครั้งหนึ่งที่เขาเข้าไปในเมืองเล็กของชนนอกเผ่าที่มีนามว่า “เผ่าเสียงเพรียก” คาดไม่ถึงว่าจะบังเอิญพบกับชนนอกเผ่าที่เรียกขานตนเองว่า “เหลยอวิ๋นจื่อ”
คนผู้นี้มีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาขั้นกลางแท้ๆ คาดไม่ถึงว่ามองปราดเดียวจะรู้ฐานะของเขา
ระหว่างทั้งสองคนย่อมเกิดการต่อสู้กันฉากหนึ่ง
ผลคือเดิมหานลี่คิดจะฆ่าปิดปาก คาดไม่ถึงว่าจะพบว่าตนทำอันใดสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นกลางคนหนึ่งไม่ได้
ชนต่างเผ่าที่มีนามว่า “เหลยอวิ๋นจื่อ” คาดไม่ถึงว่าจะมี “ร่างของเบญจอัสนี” ในตำนาน ควบคุมพลังอัสนีทั้งห้าได้โดยกำเนิด ประกอบกับเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนก็เกี่ยวข้องกับอิทธิฤทธิ์ของอัสนีที่หายสาบสูญไปนานแล้ว จึงทำให้ร่างกายเคลื่อนตัวไปมาระหว่างอัสนีได้อย่างอิสระ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดด้านพลังยุทธ์ ไม่อาจยืนหยัดได้นาน แต่ก็เพียงพอจะทำให้หานลี่ถลึงตาใส่เขาจนแห้ง และทำอันใดไม่ได้
สิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่า เหลยอวิ๋นจื่อผู้นี้ยังเป็นปรมาจารย์ด้านเขตอาคมของเผ่า พอผสานกับอิทธิฤทธิ์ด้านอัสนีของตน ศึกษาเขตอาคมอัสนีโดยเฉพาะ จนสามารถใช้อัสนีในร่างกลายเป็นเขตอาคมกักศัตรู หรือว่าทั้งโจมตีและป้องกันได้ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
แน่นอนว่าจากอิทธิฤทธิ์ของหานลี่ เหลยอวิ๋นจื่อผู้นี้เองก็ต้องล้มเลิกความคิดจะเอาเปรียบอันใดไป ทั้งสองสู้รบกันมาสองสามเดือน กลับเกิดเป็นความสัมพันธ์กัน
ดังนั้นหานลี่จึงสนใจเขตอาคมอัสนีจากพลังอัสนีของอีกฝ่าย เหลยอวิ๋นจื่อเองก็สนใจอัสนีหลีกหนีภยันอันตรายและเคล็ดวิชาหลอมอักขระอัสนีที่หานลี่เรียนรู้มาจากเทียนเหลยในตอนนั้นมาก
คนผู้นี้พลันเอ่ยพึมพำกับหานลี่ ทั้งสองจึงหาที่พักที่หนึ่งเสียเลย แล้วจึงแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
ทั้งสองจึงได้แยกกันอย่างพึงพอใจ
ทว่าไม่รู้ว่าเขตอาคมอัสนีนี้ฝึกฝนยาก หรือว่าเหลยอวิ๋นจื่อปิดบังจุดสำคัญอันใดกับเขา ทำให้หานลี่ที่ฝึกฝนตอนหลัง ไม่อาจทำได้ตามใจได้ และยิ่งไปกว่านั้นยามที่สำแดง มักจะเกิดปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ขึ้น
ทำให้เขารู้สึกกลัดกลุ้มใจมาก
วันเวลาต่อมาพอศึกษาเขตอาคมนี้อย่างละเอียด ในที่สุดหานลี่ก็มั่นใจแปดเก้าส่วนว่าเป็นอย่างหลัง
นี่จึงทำให้เขารู้สึกโมโหเหลยอวิ๋นจื่อเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเขาจะดัดแปลงเคล็ดวิชาตัวอักษรอัสนีไปเล็กน้อยเช่นกัน ยามที่อีกฝ่ายฝึกฝนไข่มุกอัสนี จะทำสำเร็จหนึ่งในสิบครั้งก็นับว่าไม่เลวแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น