อัจฉริยะสมองเพชร 1746-1751

 ตอนที่ 1746 การจัดลำดับ

ชายหนุ่มผู้มาใหม่ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจางเซวียน


เขางุนงงมากกับการกระทำของปรมาจารย์กลุ่มนี้


เหล่าปรมาจารย์จะไม่เชื่อถือในสิ่งเหนือธรรมชาติ และไม่ยึดมั่นในกฎแห่งกรรมด้วย แต่ปรมาจารย์กลุ่มนี้กลับทำการยื่นข้อเสนอที่คล้ายกับการบูชายัญของเผ่าพันธุ์ปีศาจ อีกอย่าง หากพิจารณาจากน้ำเสียงของพวกเขา ก็ดูเหมือนว่าทางออกน่าจะเชื่อมโยงกับสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ เมื่อทนความอยากรู้ไม่ไหว จางเซวียนจึงต้องบินไปหาเพื่อตั้งคำถาม


กระบี่เปลวเพลิงสีดำยกระดับวรยุทธขึ้นเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณแล้ว เขาสามารถปกป้องตัวเองได้ต่อให้ต้องเผชิญกับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ ดังนั้นจึงไม่ต้องปกปิดตัวตนของตัวเองอีกต่อไป คราวนี้เขาเผชิญหน้ากับปรมาจารย์กลุ่มนั้นด้วยรูปลักษณ์เดิม


แต่ก็ดูเหมือนว่าปรมาจารย์ทั้งกลุ่มจะไม่รู้จักเขา พวกนั้นจ้องหน้าเขาอย่างระแวง ราวกับพยายามจะหยั่งเชิงว่าเขาเป็นศัตรูหรือไม่


จางเซวียนงงงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกได้


ปรมาจารย์ส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อมักเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของกลุ่มอำนาจหลักต่างๆที่เข้าสู่การปลีกวิเวกเพื่อรอคอยโอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ


เมื่อละทิ้งทางโลกมาเนิ่นนาน พวกเขาจึงไม่รู้วีรกรรมต่างๆนานาที่จางเซวียนก่อขึ้นในทวีปแห่งปรมาจารย์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เมื่อใช้เหตุผลนี้ ก็ไม่น่าแปลกที่คนเหล่านั้นจะไม่เคยได้ยินหรือรู้จักเขา


เมื่อเผชิญหน้ากับเหล่าปรมาจารย์ที่มีทีท่าหวาดระแวง จางเซวียนนำตราสัญลักษณ์ปรมาจารย์มาติดบนเสื้อคลุม ก่อนจะประสานมือและยิ้มให้ “ผมก็เป็นปรมาจารย์คนหนึ่งเหมือนกัน”


เมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ปรมาจารย์ ทั้งกลุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก


“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คือพันธมิตรคนหนึ่งของเรา แล้วทำไมถึงมาที่นี่ตามลำพังล่ะ?” ปรมาจารย์คนที่ได้ชัยชนะตั้งคำถาม


“ผมดื่มด่ำกับวรยุทธมากเกินไปและหลงลืมกาลเวลา กว่าจะรู้ตัว ทั้งกลุ่มที่ผมมาด้วยก็จากไปแล้ว” จางเซวียนตอบ


“เข้าใจแล้วล่ะ…มิติแห่งนี้มีศาสตร์ลับอันทรงพลังอยู่มากมาย พอเข้าใจได้ที่คุณหลงลืมกาลเวลาขณะพยายามฝึกฝนมัน แต่ผมก็ต้องขอบอกว่าช่างเป็นปาฏิหาริย์ที่วรยุทธของคุณไม่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกเสียก่อนขณะที่พยายามฝึกฝนเทคนิคเหล่านี้ตามลำพัง” ปรมาจารย์ที่ได้ชัยชนะตั้งข้อสังเกต


หลังจากพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง จางเซวียนก็ได้รู้ว่าชื่อของอีกฝ่ายคือมู่ชู่ มาจาก 5 ธาตุแห่งตระกูลมู่


มู่ชู่คนนี้ปลีกวิเวกอยู่กว่า 300 ปี และออกจากการปลีกวิเวกมาเพราะการเปิดออกของวิหารแห่งขงจื๊อ ดังนั้นจึงไม่รู้ข่าวคราวและความเป็นไปต่างๆของโลก


ด้วยเหตุนี้ เมื่อจางเซวียนแนะนำตัวไปโดยใช้ชื่อจริง ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากนักจากอีกฝ่าย


“ผมต้องขออภัยด้วยที่แอบดูก่อนหน้านี้ แต่ผมสังเกตเห็นว่าพวกคุณฝึกฝนกระบวนท่าต่างๆเพื่อยื่นข้อเสนอให้โขดหิน จากนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นบนโขดหินนั้น ไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”


หลังจากพูดคุยกันสักพักหนึ่งจนเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว จางเซวียนก็เปิดเผยข้อสงสัยที่เกาะกุมหัวใจของเขาอยู่


“โขดหินในพงไพรโขดหินนี้คือของล้ำค่าที่เป็นมรดกตกทอดอันน่าทึ่ง มีศาสตร์ลับไร้เทียมทานอยู่มากมายบนโขดหินเหล่านั้น ผมเชื่อว่าตอนนี้คุณก็คงสังเกตเห็นแล้ว” มู่ชู่อธิบาย “ศาสตร์ลับเหล่านี้จะกระจายตัวกันไปตามโขดหินต่างๆในรูปแบบของการสุ่ม หากใครสักคนพยายามจะทำความเข้าใจศาสตร์ลับ ผู้นั้นจะต้องจัดเรียงลำดับและความทรงจำของเหล่าบรรพบุรุษที่ถูกปิดกั้นไว้ภายในโขดหินให้ได้ ทันทีที่เขาสร้างรูปแบบที่มีความสัมพันธ์กันกับเทคนิคการหายใจ ก็จะสามารถออกจากมิติแห่งนี้และเข้าสู่หอบริวารที่เชื่อมโยงกัน”


“เข้าสู่หอบริวารที่เชื่อมโยงกัน?” จางเซวียนถึงกับประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดของมู่ชู่


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินปรมาจารย์ที่ถูกกักขังไว้ในมิติทั้ง 6 พูดอะไรแบบนี้


“ใช่ มีใครบางคนผ่านมิตินี้ไปได้สำเร็จแล้ว พวกเราน่ะถือว่าล้าหลัง จนป่านนี้ก็ยังทำไม่สำเร็จ” มู่ชู่พูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


“คุณหมายความว่า…มีใครบางคนเข้าสู่หอบริวารแล้วหรือ? แล้วคุณรู้ชื่อของหอบริวารที่เชื่อมโยงกับมิติแห่งนี้หรือเปล่า?” จางเซวียนตั้งคำถาม


“ดูเหมือนมันจะมีชื่อว่าหอสงครามศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เก็บรายละเอียดของสงครามที่ปรมาจารย์ขงกับ 72 นักปราชญ์สู้รบกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ อันที่จริง พงไพรโขดหินคือสถานที่เก็บงำศาสตร์ลับต่างๆที่คนเหล่านั้นทิ้งไว้ ผู้ที่เข้าสู่หอบริวารจะได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดที่แท้จริงของพวกเขา ดังนั้น…พวกเราจึงทุ่มสุดตัวที่จะค้นหารูปแบบของโขดหินเหล่านี้ออกมาให้ได้ ในเมื่อคุณก็อยู่ที่นี่แล้ว ทำไมไม่มารวมกลุ่มกับเราล่ะ? ถ้าเราค้นหาการจัดลำดับของกระบวนท่าต่างๆจากโขดหินเหล่านี้ได้ ก็จะได้เข้าสู่หอบริวารเหมือนกับคนอื่นๆ” มู่ชู่พูด


คำพูดเหล่านั้นทำให้จางเซวียนพอเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


ดูเหมือนกรรมวิธีในการเข้าสู่หอบริวารของมิติพงไพรโขดหินจะแตกต่างจากมิติอื่นๆมาก


ในมิติอื่นๆ หอบริวารจะอยู่บริเวณทางออก ทันทีที่จัดการเปิดรอยแยกของมิติและออกไปได้ ก็จะเข้าสู่อาณาบริเวณรอบนอกของหอบริวารที่เชื่อมโยงกันได้ทันที แต่สำหรับมิติพงไพรโขดหินนั้น นักรบจำเป็นจะต้องจัดลำดับของศาสตร์ลับที่ซุกซ่อนอยู่ระหว่างโขดหินเหล่านี้ให้ได้เสียก่อน


“ที่นี่มีโขดหินอยู่มากมาย คุณรู้ได้อย่างไรว่าควรจะสำรวจตรงไหน?” จางเซวียนตั้งคำถามต่อ


มีโขดหินอยู่อย่างน้อยก็เป็นหมื่นก้อนในพื้นที่บริเวณนี้ ไม่เหนื่อยตายเสียก่อนหรือกว่าจะจัดลำดับของกระบวนท่าต่างๆในโขดหินพวกนี้ได้?


“โขดหินเหล่านี้แบ่งออกเป็นหลายอาณาบริเวณ ศาสตร์ลับแต่ละศาสตร์จะอยู่ในแต่ละพื้นที่ โดยในแต่ละพื้นที่จะมีโขดหินกลุ่มหนึ่งที่มีผิวหน้าเรียบลื่น ราวกับมีใครสักคนนอนอยู่ในวงกลม โขดหินพวกนี้จะบรรจุเอาร่างของเหล่าบรรพบุรุษไว้ ทั้งหมดมีเป็นหมื่นก้อน แต่ราว 1,000 ก้อนเท่านั้นที่มีร่องรอยของศาสตร์ลับ สิ่งที่เราต้องทำก็คือตรวจสอบว่าการจัดลำดับของโขดหิน 1,000 ก้อนนี้มีรูปแบบอย่างไร” มู่ชู่อธิบาย


จางเซวียนพยักหน้ารับ


ระหว่างทางที่มาที่นี่ เขาสังเกตเห็นเช่นกันว่าไม่ใช่โขดหินทุกก้อนในมิติแห่งนี้ที่จะมีศาสตร์ลับซุกซ่อนอยู่ แต่เขามัวสนใจกับการค้นหาทางออกและไม่ได้ใส่ใจพวกมันมากนัก


ด้วยเหตุนี้ พื้นที่ที่เขาทำการตรวจสอบจึงมีอาณาบริเวณเล็กลง ภารกิจของเขาก็ลดปริมาณลงมาก


“ตอนนี้ไม่มีเวลาจะเสียแล้ว เริ่มศึกษาโขดหินกันเถอะ”


หลังจากหารือกันอีกครู่หนึ่ง มู่ชู่ก็เร่งทุกคนให้เริ่มทำงาน เขาชักดาบออกมาและสลักลงบนพื้นดิน ดูเหมือนกำลังพยายามทำความเข้าใจกระบวนท่าที่ได้เห็นจากโขดหิน


เห็นทั้งกลุ่มลงมือทำงานทันทีหลังจากเสร็จสิ้นการหารือ จางเซวียนกระโจนขึ้นไปบนโขดหินก้อนที่สูงที่สุดในบริเวณนั้นและสำรวจพื้นที่โดยรอบ


เป็นอย่างที่มู่ชู่บอกไว้ จางเซวียนพบหินที่มีผิวหน้าเรียบลื่นซึ่งกระจายตัวกันอย่างเป็นระเบียบอยู่รอบบริเวณนั้น เขากระโจนจากโขดหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่งอย่างรวดเร็ว และพบว่ามีอยู่ราว 1,000 ก้อนที่บรรจุร่างของบรรพบุรุษเอาไว้


ข้อบกพร่อง!


แค่ใช้ความคิด โขดหินเหล่านั้นก็ถูกประมวลขึ้นเป็นหนังสือเล่มหนึ่งในหอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนชำเลืองมองการจัดลำดับหลายร้อยรูปแบบที่เหล่าปรมาจารย์คิดค้นขึ้นและจารึกไว้บนพื้นดิน


ฟึ่บ!


เขาประมวลข้อมูลเหล่านั้นเข้าด้วยกัน จากนั้นก็เปิดหนังสือดู


“ยังมีข้อบกพร่องตั้ง 47 ข้อ…”


จางเซวียนรีบศึกษาข้อบกพร่องทั้ง 47 ข้ออย่างรวดเร็วก่อนจะจัดลำดับของกระบวนท่าเสียใหม่เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านั้น เมื่อตรวจสอบอีกครั้ง ข้อบกพร่องก็ลดลงเหลือ 45 ข้อ เขาต้องดำเนินกระบวนการเดิมซ้ำอีกกว่า 12 ครั้ง จนในที่สุดก็ปราศจากข้อบกพร่องอย่างสิ้นเชิง


“ผมคิดว่าการจัดลำดับแบบนี้เป็นแบบที่ถูกต้อง” จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันกลับไปมองปรมาจารย์ทั้งกลุ่ม


ตอนนี้ มู่ชู่กับคนอื่นๆดูเหมือนจะสันนิษฐานการจัดลำดับที่ ‘ถูกต้อง’ ไว้อีกคนละรูปแบบ แล้วการโต้เถียงเผ็ดร้อนก็เกิดขึ้นในหมู่พวกเขาอีกครั้ง


“เลิกพูดจาเหลวไหลเลอะเทอะแล้วดวลกันดีกว่า ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเราก็คือผู้ที่จัดลำดับได้ถูกต้องที่สุด!” มู่ชู่พูดพร้อมกับโบกมือ


“ได้สิ”


ทุกคนพยักหน้ารับ


พวกเขากำลังจะเริ่มการดวล ก็พอดีกับที่จางเซวียนซึ่งเฝ้ามองสถานการณ์มาตลอดบินเข้าขวางแล้วพูดว่า “นี่…ผมพบการจัดลำดับที่ดูสมเหตุสมผลแล้วนะ ขอผมเข้าร่วมการดวลด้วยได้ไหม?”


“คุณไม่เห็นหรือไงว่าพวกเรากำลังหารือกันอย่างเคร่งเครียด? หยุดสร้างปัญหาและออกไปเสีย คุณเพิ่งมาถึงเมื่อครู่นี้เอง จะค้นพบอะไรได้? พวกเราอยู่ที่นี่มากว่า 18 ชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังไม่พบการจัดลำดับที่ถูกต้องเลย!” มู่ชู่ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด


“เจ้าหนุ่ม รู้จักถ่อมเนื้อถ่อมตัวเสียบ้าง อย่าประเมินตัวเองสูงส่งเกินไปนัก ในเมื่อคุณเพิ่งมาถึง ก็ใช้เวลาเฝ้าดูและเรียนรู้ดีกว่าจะมัวโอ้อวดตัวเอง”


“พวกเราดวลกันเพื่อตัดสินว่าการจัดลำดับของใครถูกต้องที่สุด คุณควรหลบไปอยู่ข้างๆและพักผ่อนเสีย เราจะคุยกันเมื่อคุณเข้าใจแล้วว่าโขดหินเหล่านี้หมายถึงอะไร!”


“คุณก็รู้นี่ว่าโขดหินแต่ละก้อนแสดงถึงกระบวนท่าที่แตกต่างกัน ใช่ไหม? คุณแยกแยะมันออกมาได้กี่กระบวนท่าแล้วล่ะ? ถ้ายังทำแบบนั้นไม่ได้ การพยายามจัดลำดับมันก็ไม่มีประโยชน์หรอก”


…..


ปรมาจารย์คนอื่นๆโบกมือไล่จางเซวียนอย่างไม่แยแส


พวกเขาศึกษาโขดหินเหล่านี้มาเนิ่นนานแล้ว แต่ก็ยังไม่พบการจัดลำดับที่ถูกต้อง แล้วเจ้าหนุ่มที่เพิ่งมาถึงจะรู้ได้อย่างไร?


ความคิดที่ว่าอีกฝ่ายจะสามารถเรียนรู้การจัดลำดับที่ถูกต้องได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเท่านี้ถือเป็นข้อสรุปที่เหลวไหลสิ้นดี!


“ผม…”


นึกไม่ถึงว่าจะถูกขับไล่ จางเซวียนส่ายหัวและถอนหายใจเฮือก


พูดก็พูดเถอะ ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจปฏิกิริยาของคนอื่นๆ เพราะเขาเพิ่งมาถึงที่นี่ได้เพียง 5-6 นาทีเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่ปรมาจารย์ธรรมดาสามัญคนหนึ่งจะจดจำรูปแบบของโขดหินกว่าพันก้อนในพื้นที่นี้ได้ทั้งหมด นับประสาอะไรกับการจัดลำดับที่ถูกต้อง ไม่มีทางที่ใครสักคนจะเชื่อมโยงมันเข้ากับเทคนิคการต่อสู้ได้เลย!


“เลิกสนใจเขาเถอะ หารือกันต่อดีกว่า…”


เพราะไม่อยากเสียเวลากับคนที่ชอบเรียกร้องความสนใจ มู่ชู่รวบรวมฝูงชนอีกครั้งและเปิดการดวลโดยใช้การจัดลำดับที่พวกเขาสันนิษฐานไว้ แต่ยังไม่ทันจะเสร็จสิ้นการดวล ก็พลันรู้สึกว่ามีกระแสพลังงานระเบิดอยู่ไม่ห่างออกไปนัก


ยังไม่ทันที่พวกเขาจะรู้เนื้อรู้ตัว ชายหนุ่มได้ทำให้โขดหินที่มีผิวเรียบลื่นถูกเปิดใช้งาน ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นบนโขดหินนั้น


ตอนที่ 1747 หอสงครามศักดิ์สิทธิ์

“เขากำลังใช้ของล้ำค่าไปโดยเปล่าประโยชน์…”


นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะทำการยื่นข้อเสนอต่อเหล่าบรรพบุรุษทันทีที่พวกเขาไม่แยแส มู่ชู่ขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย


ความพยายามในการปลุกเหล่าบรรพบุรุษแต่ละครั้งจะต้องใช้การมอบเครื่องบรรณาการที่เป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่าจำนวนหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าทำอะไรหุนหันพลันแล่น แม้จะมีความมั่งคั่งในระดับของปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวก็ตาม


แต่ชายหนุ่มกลับปลุกเหล่าบรรพบุรุษขึ้นมาภายในระยะเวลาเพียง 10 นาทีหลังจากที่เขามาถึง ยังไม่ทันที่จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ


นี่พวกเขาพบพันธมิตรชนิดไหนกัน?


“ดูเหมือนเขาจะหลงตัวเองมากนะ แต่เอาเถอะ พลาดพลั้งเมื่อไหร่ก็จะเข้าใจเองว่าการจัดลำดับกระบวนท่านั้นยากเย็นแค่ไหน มันไม่ใช่สิ่งที่ใครสักคนจะเข้าใจได้ภายในระยะเวลาอันสั้น”


“น่าเสียดายของล้ำค่าจริงๆ!”


…..


ร่างที่ปรากฏบนโขดหินเริ่มเคลื่อนไหวไปพร้อมกับเสียงออกความเห็นของเหล่าปรมาจารย์ จางเซวียนรีบทำตามขณะสำแดงกระบวนท่าที่เขาประมวลได้จากหอสมุดเทียบฟ้า


กระบวนการหายใจกับท่วงท่าของเขากลมกลืนสัมพันธ์กันอย่างไร้ที่ติ


“เอ่อ…”


คนอื่นๆถึงกับผงะ


พวกเขาศึกษาโขดหินเหล่านี้มากว่า 18 ชั่วโมงแล้ว แต่ก็ไม่พบการจัดลำดับกระบวนท่าที่ถูกต้อง ส่วนชายหนุ่มคนนี้เพิ่งมาถึงได้เพียง 6 นาที แต่สามารถสำแดงกระบวนท่าที่กลมกลืนกับเทคนิคการหายใจได้ นัยน์ตาของพวกเขาเบิกโพลงขณะมองภาพที่เห็นอย่างไม่อยากเชื่อ


“ไม่ใช่หรอก กระบวนท่าของเขาดูเหมือนจะแยกตัวจากเทคนิคการหายใจของร่างนั้น” มู่ชู่ตั้งข้อสังเกต


ทุกคนหันขวับไปมองขณะที่มู่ชู่พูด ก็เป็นอย่างที่เขาออกความเห็น ความไม่สัมพันธ์กันบางอย่างดูเหมือนจะเริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างกระบวนท่าของชายหนุ่มกับเทคนิคการหายใจของร่างที่อยู่บนโขดหิน ความไม่กลมกลืนเริ่มปรากฏให้เห็น


“นั่นไง เป็นอย่างที่ผมคิดไว้เลย ความพยายามครั้งแรกน่ะไม่มีทางสำเร็จหรอก”


เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรเฉลิมฉลอง ในเมื่อพวกเขาก็กำลังทำแบบเดียวกัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทุกคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก


พวกเขาอยากออกจากมิติแห่งนี้และเข้าสู่หอบริวารที่เชื่อมโยงกัน แต่หากชายหนุ่มประสบความสำเร็จในการค้นหาลำดับที่ถูกต้องภายในเวลาเพียง 5 นาที ทั้งความภาคภูมิใจ ศักดิ์ศรี และความหยิ่งผยองของพวกเขาคงป่นปี้ไม่มีเหลือ หัวใจของพวกเขาไม่แข็งแกร่งพอจะยอมรับอะไรแบบนั้น


ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดีกับความล้มเหลวของชายหนุ่ม


แต่ความยินดีของพวกเขาก็อยู่ได้ไม่นาน ชายหนุ่มหยุดการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันและจ้องร่างที่อยู่บนโขดหินพร้อมกับขมวดคิ้ว ราวกับผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของศิษย์น้อง เขาเริ่มสั่งสอนอย่างเคร่งเครียด “ลำดับที่คุณกำลังฝึกฝนอยู่น่ะเป็นเทคนิคการหายใจที่ผิดนะ!”


พลั่ก!


ร่างที่อยู่บนโขดหินกระอักเลือดออกมา


“….” มู่ชู่กับพรรคพวก


“ทำตามกระบวนท่าของผม!” จางเซวียนสั่งการอย่างเคร่งเครียดก่อนจะสำแดงกระบวนท่าของเขาต่อไป ร่างที่อยู่บนโขดหินดูลังเลอย่างเห็นได้ชัดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มสำแดงกระบวนท่าตามอย่างจางเซวียน


“….”


มู่ชู่กับคนอื่นๆตกตะลึงจนพูดไม่ออก นี่เป็นภาพพิสดารพันลึกที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน!


ทุกคนใช้เวลาถึง 18 ชั่วโมงพยายามค้นหาการจัดลำดับที่ถูกต้องอย่างสิ้นหวัง ซึ่งมันก็สูญเปล่า แต่ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่ชายหนุ่มมาถึง หมอนั่นไม่เพียงแต่จะพบการจัดลำดับที่ถูกต้อง ยังถึงกับสั่งสอนร่างที่อยู่บนโขดหินได้ด้วย เขาตำหนิอีกฝ่ายที่ทำผิด!


ผู้ที่ทิ้งศาสตร์ลับนี้ไว้คือปรมาจารย์ขงหรือไม่ก็หนึ่งใน 72 นักปราชญ์ แต่ชายหนุ่มอาจหาญบอกอีกฝ่ายว่าเขาทำผิด…


ราวกับมีระเบิดลูกย่อมๆระเบิดขึ้นในสมองของพวกเขา ทุกคนรู้สึกแย่ขึ้นมาทันที


“ต้องอย่างนั้นสิ! หลังจากทดลองตามแบบของผมแล้ว รู้สึกไหมว่าเทคนิคนี้แข็งแกร่งขึ้นมาก? การเคลื่อนไหวก็กลมกลืนกับเทคนิคการหายใจมากขึ้นใช่ไหม?”


ไม่ช้าการสาธิตก็สิ้นสุดลง จางเซวียนมองร่างที่อยู่บนโขดหินพร้อมกับยิ้มน้อยๆ


ยังไม่ทันที่ร่างนั้นจะตอบโต้ มันก็สั่นสะท้านก่อนจะหายวับไป


ครืดดดด!


จากนั้นโขดหินก็แยกออก เผยให้เห็นประตูหินบางใหญ่


ถัดจากบานประตูไป พระราชวังโอ่อ่าปรากฏให้เห็นอย่างเลือนราง น่าจะเป็นหอสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่มู่ชู่เคยพูดถึงก่อนหน้านี้


“ไปกันเถอะ” จางเซวียนร้องเรียกคนอื่นๆให้ตามมาก่อนจะนำทางเข้าสู่ประตูบานนั้น


“เอ่อ…”


ทุกคนมองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจ แต่ลงท้ายก็พากันเดินเข้าประตู จนถึงตอนนั้น พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป


เมื่อผ่านประตูหินไปแล้ว ก็พบว่าตัวเองได้ทะลุมิติเข้ามายังโลกอีกใบหนึ่ง หอสงครามศักดิ์สิทธิ์ตั้งตระหง่านอยู่กลางอากาศ อยู่ไม่ห่างออกไปนัก


มู่ชู่เก็บความอยากรู้ไว้ไม่ไหว เขาเดินเข้ามาถามจางเซวียน “การจัดลำดับที่คุณคิดค้นขึ้นน่ะ เห็นได้ชัดว่าไม่เข้ากันเลยกับเทคนิคการหายใจของร่างบนโขดหิน แล้วทำไมคุณถึงเปิดประตูหินบานนี้ได้?”


ไม่ใช่มู่ชู่คนเดียวที่อยากรู้ คนอื่นๆก็แทบไม่อยากเชื่อเช่นกัน


พวกเขาเห็นชัดเจนว่าการจัดลำดับกระบวนท่าของชายหนุ่มไม่สัมพันธ์กันกับเทคนิคการหายใจของร่างบนโขดหิน แล้วทำไมร่างนั้นถึงยอมทำตามกระบวนท่าของเขา แถมยังเปิดประตูหินให้ด้วย?


ที่ผ่านมา หากการจัดลำดับขาดความสัมพันธ์กัน ผู้ที่จะต้องกระอักเลือดก็คือพวกเขา!


“ผมตรวจสอบกระบวนท่าแล้ว และค้นพบข้อบกพร่องพื้นฐานบางอย่างในศาสตร์ลับที่ร่างนั้นทิ้งไว้ ผมจึงปรับเปลี่ยนมันเล็กน้อยเพื่อให้แข็งแกร่งและสมเหตุสมผลมากขึ้น เมื่อเห็นว่าศาสตร์ลับที่ผมปรับปรุงใหม่ถูกต้องแม่นยำกว่า เขาก็เรียนรู้การจัดลำดับตามแบบของผมแทน” จางเซวียนตอบตามตรง


เทคนิควรยุทธใดๆที่ผ่านการกลั่นกรองจากหอสมุดเทียบฟ้าจะออกมาในรูปแบบที่สมบูรณ์ที่สุด


ในเมื่อศาสตร์ลับที่ร่างนั้นฝึกฝนมีข้อบกพร่อง ก็แน่นอนว่าอีกฝ่ายย่อมยินดีปรีดาที่จางเซวียนเข้ามาแก้ไขข้อบกพร่องให้


“ไม่เพียงแต่เขาจะพบการจัดลำดับที่ถูกต้อง ยังแก้ไขข้อบกพร่องของเหล่าบรรพบุรุษได้ด้วย…”


ในตอนนั้น มู่ชู่กับคนอื่นๆตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก


นี่พวกเขามาเจอกับปีศาจชนิดไหน?


เมื่อเดินหน้าเข้าสู่หอบริวาร ไม่ช้าทุกคนก็มาถึงจัตุรัสขนาดมหึมา มีฝูงชนมากมายออกันอยู่ในพื้นที่นั้น ดูเหมือนพวกเขาจะเข้ามาที่นี่ผ่านทางมิติพงไพรโขดหินเช่นกัน เหมือนกับมู่ชู่


แต่ในเมื่อคนเหล่านี้ไม่มีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน จึงไม่อาจเข้าสู่หอบริวารได้ และไม่มีทางเลือกนอกจากต้องรออยู่ข้างนอก


มีอักษรจารึกจำนวนหนึ่งถูกจารึกไว้บนผนังของหอบริวาร บอกรายละเอียดของเทคนิคอันน่าทึ่งมากมายนับไม่ถ้วน ฝูงชนพากันศึกษามันอย่างตั้งใจและดื่มด่ำกับเทคนิคเหล่านั้น


เมื่อตอนที่อยู่ในมิติพงไพรโขดหิน พวกเขาได้แต่สันนิษฐานการจัดลำดับและหวังว่าสิ่งที่ตัวเองสันนิษฐานไว้จะถูกต้อง แต่ตอนนี้ รูปแบบการจัดลำดับที่ถูกต้องได้ปรากฏให้เห็นผ่านทางอักษรจารึกบนผนัง


เรื่องนี้ก็เหมือนกับการที่นักเรียนผู้ขยันหมั่นเพียรสักคนหนึ่งได้เห็นเฉลยข้อสอบหลังจากผ่านการทดสอบอันยากลำบากมา แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องซึมซับคำตอบเหล่านั้นจนขึ้นใจ เพื่อที่ครั้งต่อไปจะได้ทำข้อสอบได้ดีขึ้น


จางเซวียนรีบถ่ายโอนอักษรจารึกเหล่านั้นเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าก่อนจะหันไปมองทางเข้าหอบริวาร


ป้ายที่อยู่เหนือหอบริวารจารึกคำว่า ‘หอสงครามศักดิ์สิทธิ์’ ถ้อยคำเหล่านี้มีความสง่างาม สร้างความหนักอึ้งในหัวใจของผู้พบเห็น


ประตูบานใหญ่ที่อยู่บริเวณทางเข้าถูกเปิดไว้ แต่การจะเข้าไปได้ก็จะต้องผ่านฉนวนที่มองไม่เห็นซึ่งอยู่รอบหอบริวาร ดูเหมือนจะมีใครบางคนผ่านเข้าไปได้แล้ว


“ขอเข้าไปดูหน่อย!”


จางเซวียนโบกมือ จากนั้นก็นำเครื่องรางน้อยออกมาและเดินเข้าไป


เขาผ่านปราการที่มองไม่เห็นนั้นเข้าไปได้อย่างง่ายดายและเข้าสู่หอบริวารได้สำเร็จโดยปราศจากปัญหาใดๆ ไม่เหมือนฝูงชนที่ออกันอยู่ด้านนอก


ฟิ้วววว! ฟิ้วววว!


ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะได้เหยียบย่างเข้าสู่หอสงครามศักดิ์สิทธิ์ ก็พลันรู้สึกได้ถึงกระแสดาบฉี 2 สายที่พุ่งตรงเข้าสู่หัวใจของเขา


จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันทีก่อนจะชะงักฝีเท้า เขาหลบไปด้านข้างอย่างว่องไว หลบกระแสดาบฉีสองสายนั้นได้อย่างหวุดหวิด


เมื่อมองไป ก็เห็นชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมดาบในมือ เจตนาสังหารเข้มข้นแผ่ซ่านออกจากส่วนลึกในดวงตาของทั้งคู่ ทำให้เลือดในกายของผู้พบเห็นเย็นเยียบ


ชายหนุ่มทั้งสองสวมเสื้อคลุมปรมาจารย์ เมื่อมองจากภายนอก พวกเขาก็ดูไม่ต่างจากปรมาจารย์คนอื่นๆ แต่ความเข้มข้นรุนแรงของเจตนาสังหารของพวกเขานั้นทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเหมือนตัวเองถูกฉุดลงไปยังโลกบาดาล


“เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น?” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตกใจ


เขาไม่คิดว่าจะต้องมาปะทะกับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่นี่


แต่ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็หมายความว่าพวกมันได้ครอบครองเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานที่เชื่อมโยงกับหอสงครามศักดิ์สิทธิ์แล้ว!


ในโลกนี้มีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานอยู่ 6 ชิ้น ชิ้นหนึ่งอยู่กับสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ ชิ้นหนึ่งอยู่กับตระกูลจาง และอีกชิ้นอยู่กับตระกูลหลัว ส่วนที่เหลือ ตำแหน่งที่อยู่ของพวกมันยังคงเป็นปริศนา


เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ตรงหน้า เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานของตระกูลจางน่าจะเชื่อมโยงกับหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ส่วนเครื่องรางของตระกูลหลัวน่าจะเชื่อมโยงกับหอสงบใจ ไม่อย่างนั้น หลัวฉีฉีคงไม่อาจเข้าสู่หอบริวารได้


และในเมื่อมีเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ที่นี่ ก็เป็นไปได้ว่าเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานชิ้นหนึ่งน่าจะตกอยู่ในมือของพวกมัน


แต่ดูเหมือนเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 2 ตัวจะไม่ให้เวลาเขาคิดมากกว่านี้ พวกมันสะบัดข้อมือและปล่อยกระแสดาบฉีออกมาโดยแทบไม่หยุดหายใจ


ราวกับมีแม่น้ำไหลเชี่ยวกำลังคำรามกึกก้องอยู่ตรงหน้า พร้อมที่จะกวาดเขาให้ลอยไปด้วยพละกำลังของมัน


เผ่าพันธุ์ปีศาจ 2 ตัวนี้เป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก!


จางเซวียนเลิกคิ้ว


เขาสะบัดข้อมือและชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมา จากนั้นก็จ้วงแทงเผ่าพันธุ์ปีศาจ 2 ตัวนั้น ในเวลาเดียวกัน ก็นำหม้อต้นกำเนิดทองคำพร้อมกับของล้ำค่าชิ้นอื่นๆออกมาและโยนเข้าใส่ทั้งคู่


ตอนที่ 1748 ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์

สองสามอึดใจต่อมา เผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกทั้ง 2 ตัวก็ถูกสังหาร


แม้จะไม่ใช้ 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่ รากไม้ และปลาคาร์พ จางเซวียนก็ยังเล่นงานทั้งคู่ได้อย่างง่ายดาย เขาโยนศพของพวกมันไว้ในแหวนเก็บสมบัติก่อนจะเดินลึกเข้าไป


สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือห้องโถงขนาดใหญ่ ที่ผนังเต็มไปด้วยภาพวาดซึ่งแผ่แสงเรืองอบอุ่นออกมา ทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่ห้องโถง ก็พบแรงกดดันมหาศาลที่ถาโถมเข้าใส่ ถ้าพลังจิตวิญญาณของจางเซวียนอ่อนด้อย คงก้าวขาไม่ออกอีกแม้แต่ก้าวเดียว


นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสมต่อการบ่มเพาะจิตวิญญาณ! จางเซวียนครุ่นคิดขณะเดินดูรอบห้องโถงอย่างสบายใจ


หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่มีนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ เป็นพลังงานที่นักรบต้องใช้เพื่อการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ หอสงบใจมีทรัพย์สมบัติที่ช่วยยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดว่าหอสงครามศักดิ์สิทธิ์ก็จะต้องเป็นสถานที่สำหรับการบ่มเพาะจิตวิญญาณของนักรบ ทำให้พลังจิตวิญญาณและการแผ่อาณาเขตจิตวิญญาณของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น


จางเซวียนเดินดูรอบๆห้องและไม่พบใคร เขาขมวดคิ้ว


เห็นได้ชัดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 2 ตัวทำหน้าที่กำจัดผู้บุกรุกหน้าไหนก็ตามที่จะเข้ามาขัดขวางภารกิจของพวกมัน ดังนั้น ก็ย่อมแน่นอนว่าจะต้องมีเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกหลายตัวที่กำลังปฏิบัติการบางอย่างอยู่ภายในหอบริวาร บางทีอาจจะกำลังตามหาทรัพย์สมบัติล้ำค่าอยู่


ว่าแต่…ทำไมถึงไม่มีใครให้เห็นเลย?


“มีอะไรอยู่ในหอนี้?” จางเซวียนส่งโทรจิตถามเครื่องรางน้อย


เครื่องรางน้อยถูกสกัดกั้นความทรงจำไว้ ซึ่งความทรงจำจะกลับมาก็ต่อเมื่อมันเข้าสู่พื้นที่ที่เชื่อมโยงกับความทรงจำเหล่านั้น มีความเป็นไปได้ที่ตอนนี้มันจะรู้ว่ามีอะไรอยู่ในหอสงครามศักดิ์สิทธิ์


“ทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่สุดในหอสงครามศักดิ์สิทธิ์คือก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ มันมีเจตจำนงของปรมาจารย์ขงฝังอยู่ และมีอานุภาพเป็นเลิศในการบ่มเพาะจิตวิญญาณ” เครื่องรางน้อยอธิบายจากความทรงจำของมันที่ถูกปลุกขึ้นมา


“ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์?” จางเซวียนตาโตเมื่อได้ยินคำนั้น “แล้วมันอยู่ไหน?”


ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาหยุดชะงักหลังจากที่สำเร็จวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติโลกจารึก หากเขาได้ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์มา ก็น่าจะผลักดันระดับวรยุทธของจิตวิญญาณให้ก้าวไปได้อีกขั้น บางทีอาจจะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณได้สำเร็จ!


“มันอยู่ด้านหลังหอบริวาร คุณจะเห็นมันหลังจากที่ผ่านประตูบานนั้นไป” เครื่องรางน้อยตอบขณะชี้ไปยังทิศทางนั้น


“ได้สิ” เมื่อรู้ตำแหน่งคร่าวๆของก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ จางเซวียนรีบก้าวยาวๆไปหามัน


เมื่อออกจากห้องโถงขนาดใหญ่ ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงหน้าสวนที่กว้างใหญ่ไม่น้อย


มีโขดหินอยู่รายรอบสวนแห่งนั้น เกิดเป็นพงไพรโขดหินขนาดย่อม


เผ่าพันธุ์ปีศาจ 2-3 ตัวกำลังนั่งอยู่ไม่ห่างจากจางเซวียนนัก พวกมันขมวดคิ้ว บางตัวก็กำลังเกาหัวอย่างหงุดหงิด ดูเหมือนกำลังพยายามหาคำตอบจากอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งมาก


ที่บริเวณใจกลางพงไพรโขดหินนั้นคือแท่นหินอันหนึ่ง โขดหินรูปทรงกลมถูกวางอยู่บนแผ่นหิน มันเรืองแสงอบอุ่นออกมา ร่างหนึ่งดูเหมือนจะกำลังร่ายรำอยู่บนโขดหิน ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ร่างนั้นดูจะคุ้นตาเขาเล็กน้อย


แทนที่จะพุ่งตรงเข้าใส่เพื่อเผชิญหน้ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจ จางเซวียนซ่อนตัวและถามเครื่องรางน้อย “พวกมันทำอะไรอยู่?”


เป็นไปได้ว่าโขดหินรูปทรงกลมที่อยู่บริเวณใจกลางน่าจะเป็นก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่เครื่องรางน้อยพูดถึง แล้วทำไมเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้ถึงเลือกที่จะวนเวียนอยู่รอบๆแทนที่จะเข้ายึดครองมัน


“ไม่ใช่ว่าพวกมันไม่อยากเข้าสู่พงไพรโขดหินนะ แต่เพราะมันทำไม่ได้ อาจดูเหมือนง่ายที่จะเดินเข้าไปในพงไพรโขดหินและยึดครองก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์มา แต่เรื่องจริงก็คือมีเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้นที่จะนำไปสู่พงไพรโขดหิน ผู้ที่เลือกเส้นทางผิดจะถูกกระแสดาบฉีเล่นงาน” เครื่องรางน้อยพึมพำ


“กระแสดาบฉี?” จางเซวียนชะงัก


เขาจ้องมองอีกครั้ง และพบเผ่าพันธุ์ปีศาจ 2 ตัวนอนแน่นิ่งอยู่ข้างๆด้วยนัยน์ตาปิดสนิท พวกมันกำลังใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้าย


“คุณรู้เส้นทางที่ถูกต้องที่นำไปสู่พงไพรโขดหินหรือเปล่า?” จางเซวียนถาม


“ผมไม่รู้!” เครื่องรางน้อยตอบพร้อมกับส่ายหน้า “นี่เป็นบททดสอบที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้เพื่อทดสอบคนรุ่นหลัง ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เขาจะอนุญาตให้ผมรู้คำตอบ แต่มันน่าจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณได้พบในมิติก่อนหน้านี้ ลองมองดูให้ดี โขดหินแต่ละก้อนมีกระบวนท่าและเทคนิคของตัวเอง ขอแค่คุณจัดลำดับกระบวนท่าเหล่านี้ได้ถูกต้อง ก็จะเข้าสู่พงไพรโขดหินได้โดยปราศจากปัญหาใดๆ”


“ผมเข้าใจแล้ว” จางเซวียนตอบหนักแน่น


เขาจ้องมองโขดหินที่อยู่โดยรอบพงไพรโขดหินอีกครั้ง และพบว่าพวกมันเป็นแบบเดียวกันกับโขดหินอื่นๆที่อยู่ในมิติรอบนอก ดูเหมือนจะมีกระบวนท่าบางอย่างถูกถ่ายทอดไว้ในนั้น


ข้อบกพร่อง!


เพราะมีประสบการณ์ในการไขปริศนามาก่อน จางเซวียนจึงรวบรวมกระบวนท่าที่อยู่ในโขดหินเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ประมวลขึ้นเป็นหนังสือเล่มหนึ่งในหอสมุดเทียบฟ้า


แต่เพราะไม่มีอะไรให้เขาใช้อ้างอิง จึงเกิดความผิดพลาดขึ้นมากมาย


จางเซวียนปรับเปลี่ยนหนังสือที่ประมวลขึ้นโดยยึดเอากระบวนท่าของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่ในพงไพรโขดหิน ซึ่งจำนวนข้อบกพร่องก็ลดลงทันที


เขาดำเนินการปรับเปลี่ยนแบบเดิมอีกกว่าร้อยครั้ง ลงท้าย การจัดลำดับของเขาก็อยู่ในรูปแบบที่ไร้ที่ติ


“เอาล่ะ ผมเสร็จสิ้นการสันนิษฐานการจัดลำดับแล้ว แล้วผมจะผ่านพงไพรโขดหินนี้ไปได้หรือเปล่าด้วยการใช้ลำดับของผม?” จางเซวียนถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ


“ขอแค่ลำดับนั้นถูกต้อง คุณก็จะผ่านเข้าไปได้โดยไม่มีปัญหา แต่ห้ามมีข้อผิดพลาดเลยนะ เพราะไม่อย่างนั้น คุณจะต้องเผชิญหน้ากับกระแสดาบฉีของปรมาจารย์ขง” เครื่องรางน้อยตั้งข้อสังเกตอย่างกังวล


จางเซวียนพยักหน้ารับ


เขาตรวจสอบลำดับนั้นอีกครั้งและกำลังจะเข้าสู่พงไพรโขดหิน ก็พอดีกับที่ต้องหยุดชะงัก


กระบวนท่าต่างๆที่อยู่ในโขดหินนั้นรวมตัวกันกลายเป็นเทคนิคที่ซับซ้อน…แต่ถ้าเทคนิคที่อยู่ในพงไพรโขดหินแห่งนี้มีข้อบกพร่องล่ะ?


เขาแน่ใจในความสามารถของหอสมุดเทียบฟ้า เทคนิคใดๆก็ตามที่ผ่านการตรวจสอบจากหอสมุดเทียบฟ้าแล้วจะอยู่ในรูปแบบที่สมบูรณ์ที่สุด แต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าบุคคลที่สร้างพงไพรโขดหินขึ้นมาจะทำทุกอย่างได้ถูกต้อง


สถานการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนในมิติพงไพรโขดหิน ข้อบกพร่องของร่างบนโขดหินนั้นยังพอแก้ไขได้ แต่ข้อบกพร่องที่นี่อาจส่งผลให้เขาถึงแก่ความตาย!


“กระบี่เปลวเพลิงสีดำ!”


หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็ชักกระบี่เปลวเพลิงสีดำออกมา


แม้จะอยู่ภายใต้ปราการกระแสดาบฉี แต่กระบี่เปลวเพลิงสีดำที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณก็สามารถต้านทานมันได้


จากนั้น จางเซวียนเรียกหม้อต้นกำเนิดทองคำและ 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่ออกมา “ผมจะเข้าไปละนะ พวกคุณที่เหลือตามผมมา ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวไหนวุ่นวายล่ะก็ ฆ่ามันโดยไม่ต้องลังเล อย่าปล่อยให้มันหลุดรอดไปได้แม้แต่ตัวเดียว”


จากนั้น เขาก็ทำตามลำดับที่ได้คิดค้นไว้โดยใช้หอสมุดเทียบฟ้าอีกครั้ง ก่อนจะมุ่งหน้าไป


ผ่านไปอีกระยะหนึ่ง จางเซวียนก็ยังไม่พบทางออกของมิติพงไพรโขดหิน แต่ตามกฎเกณฑ์ของมิติอื่นๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าทางออกจะอยู่ท่ามกลางโขดหินที่บรรจุเอาเทคนิคที่เขาเพิ่งประมวลได้เอาไว้


หัวใจของแต่ละมิติคือกุญแจที่กุมความลับของทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่อยู่ในหอบริวาร หากเขาได้หัวใจของมิติมา ก็จะได้รู้ลำดับที่ถูกต้องสำหรับการฝ่ามิติพงไพรโขดหินและยึดครองก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์


ซึ่งในเมื่อเขาอยู่ที่นี่แล้ว ก็สายเกินกว่าที่จะย้อนกลับไปยังมิติพงไพรโขดหินและทำการทดลอง ดังนั้น จางเซวียนจึงได้แต่รุดหน้าและภาวนาให้เทคนิคที่ปรมาจารย์ขงคิดค้นขึ้นนั้นปราศจากข้อบกพร่อง


จางเซวียนเดินเข้าหาโขดหินก้อนแรกและสัมผัสมัน แต่ก็ไม่ได้กระตุ้นให้เกิดการโจมตีจากพงไพรโขดหิน เขาจึงรีบเดินหน้าลึกเข้าไป


“คุณ…”


หลังจากเดินไปได้อีก 2-3 ก้าว ก็สะดุดเข้ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังเกาหัวแกรกๆเพื่อหาทางแก้ไขอะไรบางอย่าง จางเซวียนเกียจคร้านเกินกว่าจะโจมตีพวกมัน จึงเดินผ่านไปและรุดหน้าต่อ


“ดูนั่น! ไอ้งั่งตัวหนึ่งกำลังรีบไปตาย…”


เห็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งโผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้มุ่งหน้าเข้าไปโดยปราศจากความลังเล เผ่าพันธุ์ปีศาจพากันคำรามเยาะ


มิตรสหายของพวกมันต้องตายไปมากมายกว่าจะทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ของพงไพรโขดหินได้ เผ่าพันธุ์ปีศาจรู้ดีว่าไม่อาจก่อเรื่องในสถานที่แห่งนี้ เพราะไม่อย่างนั้น อาจต้องตายอย่างน่าสมเพชก่อนที่จะทันรู้ตัว


แต่หมอนั่นเดินดุ่มเข้าไปทันทีที่มาถึง เรื่องนี้เป็นประโยชน์กับพวกมัน เพราะมันสามารถใช้เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นเหยื่อทดลองเพื่อช่วยพวกมันสำรวจเส้นทาง


เมื่อเกิดความคิดนั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจก็จับจ้องที่ชายหนุ่มพร้อมกับผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่กลับตรงกันข้ามกับที่พวกมันคาดไว้ ชายหนุ่มเดินหน้าเข้าไปในพงไพรโขดหินลึกขึ้นเรื่อยๆ และไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ไม่ช้ารอยยิ้มบนใบหน้าของพวกมันก็จางหายไป


“แบบนี้ไม่ถูกแล้ว…ดูเหมือนเขาจะรู้เส้นทางที่ถูกต้อง เร็วเข้า! รีบตามไป”


ถึงพวกมันจะโง่เง่าแค่ไหน แต่เรื่องจริงก็เห็นๆกันอยู่หลังจากที่เห็นภาพนี้ เห็นได้ชัดว่าหมอนี่รู้เส้นทางที่ถูกต้อง ดังนั้นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นผู้นำจึงสั่งการให้พรรคพวกที่เหลือรีบแกะรอยตามเส้นทางของจางเซวียนไป


แต่หลังจากออกเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว พวกมันก็พลันรู้สึกถึงเจตนาสังหารเข้มข้นที่ถาโถมเข้าใส่ เมื่อหันกลับไป ก็เห็นทั้งอสูรและของล้ำค่าจำนวนหนึ่งพุ่งเข้าใส่พวกมัน


“เล่นงานมันเลย!” ติงติงคำรามก้อง จากนั้นฝูงอสูรและของล้ำค่าก็พากันรุมสกรัม


2-3 นาทีต่อมา เผ่าพันธุ์ปีศาจเหล่านั้นก็นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น นัยน์ตาของพวกมันถลนด้วยความไม่อยากเชื่อแม้จะสูญเสียลมหายใจเฮือกสุดท้ายไปแล้ว


ตอนที่ 1749 การยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ

จางเซวียนเดินผ่านโขดหินก้อนแล้วก้อนเล่า ไม่ช้าก็มาถึงแท่นหินที่อยู่บริเวณใจกลาง เขาอดขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจไม่ได้


เรายังไม่ถูกโจมตีเลย…หรือว่าเทคนิคนี้เข้าถึงระดับของเทคนิคเทียบฟ้า? ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ใครกันที่จะฝึกฝนมันได้?


การจัดลำดับที่เขาใช้มีพื้นฐานมาจากหนังสือสมบูรณ์แบบที่ได้ประมวลขึ้นโดยใช้หอสมุดเทียบฟ้า และนั่นคือคำตอบที่ถูกต้องสำหรับการผ่านด่านพงไพรโขดหิน!


สิ่งนี้จะไม่หมายความว่าศาสตร์ลับที่อยู่ในพงไพรโขดหินเข้าถึงระดับของเทคนิคเทียบฟ้าหรือ?


หรือว่าปรมาจารย์ขงมีหอสมุดเทียบฟ้าเหมือนเรา? จางเซวียนครุ่นคิดขณะตั้งข้อสันนิษฐาน


ในเมื่อบททดสอบนี้อยู่ในหนึ่งในหอบริวาร ก็เป็นไปได้ว่าศาสตร์ลับนั้นจะเป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ จางเซวียนแน่ใจว่าไม่มีทางที่นักรบคนไหนที่ไม่ได้ครอบครองหอสมุดเทียบฟ้าจะฝึกฝนเทคนิคเทียบฟ้าใดๆได้สำเร็จ


ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่ต้องถ่ายทอดเทคนิคเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายให้กับคนอื่นๆครั้งแล้วครั้งเล่า


ข้อเท็จจริงที่ว่าปรมาจารย์ขงคิดค้นศาสตร์ลับขึ้น ก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงที่อีกฝ่ายจะมีพลังปราณเทียบฟ้าและสามารถฝึกฝนเทคนิคเทียบฟ้าได้เช่นกัน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือปรมาจารย์ขงน่าจะมีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ในครอบครองเหมือนกับเขา


จางเซวียนครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง แต่รู้ดีว่าจะได้รับคำตอบก็ต่อเมื่อพบปรมาจารย์ขงอีกครั้งเท่านั้น จึงตัดสินใจโยนมันทิ้งไปและพยายามสงบจิตใจ จากนั้นก็เดินช้าๆไปยังหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่บนแท่นหินและสัมผัสมัน


วิ้งงง!


เมื่อรู้สึกได้ถึงฝ่ามือของจางเซวียน ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์เรืองแสงเจิดจ้าออกมา ในชั่วพริบตานั้น จางเซวียนรู้สึกราวกับมีใครสักคนโยนจิตวิญญาณของเขาลงไปในลาวาที่กำลังเดือดปุดๆ ทำให้ความร้อนมหาศาลซึมซาบเข้าสู่ร่างของเขา


ในเมื่อจางเซวียนสามารถเอาชีวิตรอดได้แม้จากเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด ความร้อนเพียงเท่านี้จะทำอันตรายเขาได้อย่างไร? เขารีบระงับความรู้สึกร้อนรุ่มภายในเอาไว้ก่อนจะกัดนิ้วและหยดเลือดหยดหนึ่งลงไปบนก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์


ไม่นาน ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ก็ละทิ้งความพยายามที่จะตอบโต้และยอมรับเขาเป็นเจ้านาย


ทันทีที่จางเซวียนได้การยอมรับจากก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ ความร้อนแผดเผาก็หายวับไปทันที แทนที่ด้วยความรู้สึกอบอุ่น ขณะที่ร่างบนก้อนหินศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนไหว กระแสพลังจิตวิญญาณเข้มข้นก็พวยพุ่งเข้าสู่ร่างของเขา ตรงเข้าบ่มเพาะจิตวิญญาณต้นกำเนิด


จางเซวียนรู้ทันทีว่านี่เป็นโอกาสดีสำหรับเขาในการฝ่าด่านวรยุทธ จึงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ เขาถอดจิตวิญญาณต้นกำเนิดออกจากกายเนื้อและสัมผัสก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง


ฟิ้ววววว!


ขณะที่พลังจิตวิญญาณเข้มข้นไหลออกจากก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา จางเซวียนรู้สึกได้ว่าตัวเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าด่านคอขวดก็ถูกทำลาย และระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาก็พุ่งสูงขึ้น


2 ชั่วโมงต่อมา…


เขาสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3-แรงผลักดันสัญชาตญาณ โลกจารึก


หลังจากสำเร็จวรยุทธขั้นนี้ ความเร็วในการยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาก็เชื่องช้าลงมาก จางเซวียนลดสายตาลงมอง และเห็นร่างที่กำลังร่ายรำอยู่บนก้อนหินศักดิ์สิทธิ์หยุดพัก ราวกับเหน็ดเหนื่อยจากการร่ายรำที่ผ่านมา


“ดูเหมือนก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์จะต้องการการเติมพลัง…” จางเซวียนหัวเราะหึๆ


ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้นที่สามารถยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของนักรบได้ แต่ก็เหมือนกับหินวิเศษ ปริมาณพลังจิตวิญญาณที่อยู่ในนั้นมีจำกัด ไม่สามารถส่งกระแสพลังจิตวิญญาณออกมาเรื่อยๆอย่างไร้จุดจบได้


แต่หลังจากทำให้ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ยอมจำนนได้แล้ว จางเซวียนก็รู้ว่ามันไม่เหมือนหินวิเศษ ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ของล้ำค่าที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง มันสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้หลังจากที่ได้รับการเติมพลังงานสักระยะหนึ่ง


ไม่อย่างนั้น มันคงไม่ถูกนำมาวางที่บริเวณใจกลางหนึ่งในหอบริวาร ซึ่งนักรบคนหนึ่งจะต้องผ่านบททดสอบมากมายกว่าจะได้ครอบครองมัน


“ในเมื่อตอนนี้ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเราเข้าถึงขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณแล้ว เราก็สงสัยว่าจะเป็นไปได้ไหมที่…”


สำหรับวรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ นักรบผู้นั้นจะสามารถสัมผัสเจตจำนงของสวรรค์ได้อย่างเลือนราง ทำให้เขาหลีกเลี่ยงอันตรายได้ ในฐานะผู้ครอบครองหอสมุดเทียบฟ้า จางเซวียนรู้ดีว่าเขามีแต่จะต้องทุกข์ทรมานกับแรงตีกลับจากสวรรค์หากยกระดับวรยุทธไปถึงขั้นนั้น จึงยังสงสัยว่ามันจะเป็นแบบเดียวกันนี้กับระดับวรยุทธของจิตวิญญาณหรือเปล่า


จางเซวียนดึงจิตวิญญาณต้นกำเนิดกลับเข้าสู่กายเนื้อและพยายามไขว่คว้าเจตจำนงของสวรรค์ที่จับต้องไม่ได้


เปรี้ยงงงงง!


ครู่ต่อมา สายฟ้าอันทรงพลังก็ฟาดลงมาจากสวรรค์ ร่างของเขาสั่นสะท้านเพราะพละกำลังนั้น


“จริงด้วย…” จางเซวียนอ้าปากค้างขณะพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


เขาเคยคิดว่าจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาจะได้รับการยกเว้น แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่


เท่าที่เห็น ไม่มีทางที่เขาจะเข้าไปก้าวก่ายกับความลับของสวรรค์ได้เลย การลงทัณฑ์จากสวรรค์จะเข้ามาหาเขาในทันทีที่เขาพยายามทำอย่างนั้น


ความสามารถที่ทรงพลังที่สุดของนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณก็คือความสามารถในการทำนายอนาคตล่วงหน้า ซึ่งหากเขาไม่สามารถใช้ความสามารถนี้ ประสิทธิภาพการต่อสู้จะถูกลดทอนลงอย่างมาก


แต่ในเมื่อเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ จางเซวียนก็คงต้องถือเอาสิ่งนี้เป็นการยกระดับพลังปราณและพละกำลังของเขา


ก่อนหน้านี้ เขายังต้องลำบากลำบนอยู่บ้างหากเผชิญหน้ากับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก แม้จะใช้หอกสวรรค์กระดูกมังกร ถ้าเขาต้องการสังหารอีกฝ่าย ก็จะต้องเปิดการโจมตีอย่างกะทันหันหรือไม่ก็ใช้วิธีการอื่นเข้าช่วย แต่เมื่อเขายกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณแล้ว ก็สามารถเล่นงานอีกฝ่ายได้โดยใช้เพียงพละกำลังเท่านั้น


รู้ดีว่าการยกระดับวรยุทธขึ้นอีกในช่วงระยะเวลาอันสั้นคงเป็นไปได้ยาก จางเซวียนกำลังจะเก็บก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่แหวนเก็บสมบัติของเขา ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงตั้งคำถามอย่างร้อนรน “นายท่าน ผมขอยืมก้อนหินในมือของคุณได้ไหม?”


จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงนั้น


“ไอ้โหด แกตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” เขารีบถาม


เสียงนั้นมาจากไอ้โหดซึ่งเข้าสู่การจำศีลขณะที่พยายามซึมซับร่างกายท่อนบนของมัน


จางเซวียนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาแบบนี้


“ผมรู้สึกตัวตื่นเมื่อรับรู้ได้ถึงพลังจิตวิญญาณที่ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมา นายท่าน, ผมขอยืมใช้มันได้ไหม? ตอนนี้จิตวิญญาณของผมอ่อนแออยู่เล็กน้อย หินก้อนนั้นจะช่วยฟื้นฟูพละกำลังของผมได้อย่างรวดเร็ว!” ไอ้โหดร้องขอ


จางเซวียนประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าไอ้โหดรู้จักก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเคยต่อสู้แบบสมน้ำสมเนื้อกับปรมาจารย์ขงมาก่อน ก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะรู้จักคุ้นเคยกับทรัพย์สมบัติต่างๆของปรมาจารย์ขง


“แต่ผมซึมซับพลังจิตวิญญาณทั้งหมดในก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วนะ” จางเซวียนตอบพร้อมกับขมวดคิ้ว


ก็เหมือนกับหินวิเศษที่ปราศจากพลังจิตวิญญาณแล้ว เขาไม่เห็นว่าก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่ว่างเปล่าจะเป็นประโยชน์กับไอ้โหดได้


“นายท่าน, ถ้าทั้งหมดที่ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ทำได้คือการเป็นแหล่งเก็บพลังจิตวิญญาณล่ะก็ มันก็ไม่คู่ควรที่จะได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในทรัพย์สมบัติล้ำค่าของปรมาจารย์ขงหรอก นายท่านกรุณานำตัวผมออกมาและมอบหินก้อนนั้นให้ผมด้วย” ไอ้โหดร้องขออีกครั้ง


“ก็ได้!” จางเซวียนพยักหน้า


เขาสะบัดข้อมือ จากนั้นก็นำหนังสือเทียบฟ้าออกมาและวางก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ไว้บนนั้น


ฟึ่บ!


หนังสือเทียบฟ้าเปิดออก เผยให้เห็นร่างกายครึ่งหนึ่งของไอ้โหด ด้วยการเคาะเบาๆ ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ก็ลอยขึ้นมาแล้วหยุดนิ่งอยู่ระหว่างร่างของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นที่ถูกสังหารในพงไพรโขดหินเมื่อครู่ก่อน


วิ้งงงง!


หลังจากนั้นไม่นาน ร่างที่อยู่บนก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งขณะมีประกายแสงเจิดจ้าฉายออกมา


“นี่…ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์กำลังซึมซับจิตวิญญาณของคนอื่นหรือ?” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ


จากการใช้ดวงตาหยั่งรู้ เขามองเห็นว่าก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ทำการชำระจิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ตายไปแล้วให้บริสุทธิ์และแปรสภาพมันให้กลายเป็นพลังจิตวิญญาณเข้มข้น


“ใช่ ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์มีอานุภาพในการชำระและกลืนกินจิตวิญญาณ สำหรับนักรบผู้ฝึกฝนวรยุทธของจิตวิญญาณ มันถือเป็นของล้ำค่าที่เทียบชั้นได้กับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณเลยทีเดียว อันที่จริง ฉนวนของจิตวิญญาณที่อยู่ในสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณก็ทำจากวัสดุเดียวกันกับก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์นี้” ไอ้โหดอธิบาย


“ฉนวนแห่งจิตวิญญาณทำจากวัสดุแบบเดียวกัน?” จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตาโตเมื่อนึกได้


ไม่แปลกใจแล้วที่เขารู้สึกว่าก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ดูคุ้นตา เหตุผลเป็นอย่างนี้นี่เอง


จางเซวียนมีฉนวนแห่งจิตวิญญาณนอนนิ่งอยู่ในแหวนเก็บสมบัติของเขา เพียงแค่เขายังไม่ได้ใช้มันอย่างจริงจัง


“สามารถซึมซับจิตวิญญาณและแปรเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังจิตวิญญาณเข้มข้น…อานุภาพของก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ช่างน่าสะพรึงจริงๆ!” จางเซวียนพยักหน้ารับ


ถ้าทั้งหมดที่ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ทำได้คือการมอบพลังจิตวิญญาณเข้มข้นให้กับนักรบ มันก็คงไม่คู่ควรกับการถูกเรียกว่าเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่า เพราะถึงอย่างไร ก็ยังมีทรัพยากรอีกมากมายที่สามารถทดแทนกันได้ แต่หากมันสามารถชาร์จพลังให้ตัวเองได้อย่างรวดเร็วด้วยการซึมซับและชำระจิตวิญญาณ ก็ถือเป็นของล้ำค่าไร้เทียมทานที่คู่ควรกับการเป็นมรดกตกทอดของกลุ่มอำนาจหลัก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนก็ตาม


“แกนำมันไปใช้สิ”


อานุภาพของก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์นั้นอาจเรียกได้ว่าโหดร้าย แต่จางเซวียนเชื่อว่าเป็นเรื่องไม่ฉลาดนักที่จะแยกแยะของล้ำค่าว่า ‘โหดร้าย’ หรือ ‘เมตตาปรานี’ เพราะถึงอย่างไรมันก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ หากตกไปอยู่ในมือของคนดี ต่อให้อาวุธที่โหดร้ายที่สุดก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ ในทางตรงกันข้าม ด้วยน้ำมือของคนชั่ว แม้แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะปราศจากอันตรายที่สุดก็อาจใช้กระทำสิ่งชั่วร้ายได้


เมื่อหวนคิดดู บททดสอบของการจะได้มาซึ่งก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์นั้นถือว่ายากเย็นอย่างเหลือเชื่อ เงื่อนไขเดียวที่จะผ่านด่านพงไพรโขดหินไปได้ก็คือต้องฝึกฝนศาสตร์ลับที่เข้าถึงระดับของเทคนิคเทียบฟ้า…และนั่นไม่ใช่ภารกิจที่นักรบคนไหนก็ตามที่ไม่ได้ครอบครองหอสมุดเทียบฟ้าจะทำได้!


ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง จางเซวียนรู้สึกได้ว่าปรมาจารย์ขงรับรู้ถึงการปรากฏตัวของเขา ราวกับก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์นี้ถูกทิ้งไว้ให้เขาโดยเฉพาะ


เพราะถึงอย่างไร นอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีใครที่สามารถเข้าถึงก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์!


“ขอบคุณมาก นายท่าน!” ไอ้โหดกล่าวคำขอบคุณอย่างตื่นเต้น


จากนั้น มันก็เริ่มซึมซับพลังจิตวิญญาณจากก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์และฟื้นฟูพลังให้จิตวิญญาณของตัวเองอีกครั้ง


ตอนที่ 1750 โดมแอปริคอต

“คุณฟื้นฟูพละกำลังได้มากแค่ไหนหลังจากที่ได้ร่างกายท่อนบนกลับคืนมา?” จางเซวียนตั้งคำถามขณะเฝ้ามองไอ้โหดค่อยๆฟื้นตัวพร้อมๆกับการซึมซับพลังงานจากก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์


ไอ้โหดได้พละกำลังกลับคืนมาไม่น้อยจากการรวมร่างเข้ากับนิ้วมือ ศีรษะ และดวงตา ในเมื่อร่างกายท่อนบนของมันใหญ่โตมาก จึงน่าจะยกระดับวรยุทธเพิ่มสูงขึ้นได้อีกจากการรวมร่างครั้งนี้


“นายท่าน ตอนนี้พละกำลังของผมเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณแล้ว” ไอ้โหดตอบ


“นักปราชญ์โบราณ?” จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น


เขาเคยคิดว่าไอ้โหดน่าจะฟื้นฟูประสิทธิภาพการต่อสู้จนยกระดับวรยุทธถึงขั้นนักปราชญ์โบราณได้หลังจากได้รวมร่างเข้ากับร่างกายท่อนบน ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ!


ตอนนี้ไอ้โหดมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณแล้ว และเมื่อพิจารณาจากประสบการณ์การต่อสู้ที่ผ่านมาของมัน ก็มีโอกาสที่ไอ้โหดจะแข็งแกร่งกว่าศพของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณที่จางเซวียนเคยต่อกรด้วย


เมื่อประกอบกับกระบี่เปลวเพลิงสีดำ ก็เท่ากับว่าจางเซวียนจะมีนักปราชญ์โบราณคอยคุ้มกันเขาตลอดเวลา ตอนนี้เขาคงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเองอีกต่อไป


“ใช่ ร่างกายท่อนบนของผมถูกปูชนียสถานนักปราชญ์กดข่มพละกำลังไว้ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา และเจตนาสังหารทั้งหมดที่อยู่ภายในนั้นก็ถูกรีดออกไปไม่น้อย ทำให้เหลือแต่พละกำลังล้วนๆ สำหรับตัวผมในตอนนี้ ผมสามารถเล่นงานปรมาจารย์คนหนึ่งให้สลบได้โดยไม่มีใครมองเห็น!” ไอ้โหดเสริม


“เยี่ยมเลย” จางเซวียนกำหมัดแน่น


แม้เขาจะมีสถานภาพสูงส่งระดับหนึ่งในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ก็ยังคงไม่ปลอดภัยหากเขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ และเมื่อพิจารณาจากความตึงเครียดระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมันก็มีแต่จะทำให้เขาเจอปัญหายุ่งยาก ดังนั้นจางเซวียนจึงต้องรักษาระยะห่างและการติดต่อกับศัตรูให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้


นักปราชญ์ขุยเป็นศิษย์ปรมาจารย์ขง ทั้งยังใช้ประโยชน์จากรูปปั้นของตัวเขาและรังสีวิชาการในปูชนียสถานนักปราชญ์เพื่อกดข่มพละกำลังของร่างกายท่อนบนของไอ้โหดไว้ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจตนาสังหารที่อยู่ภายในร่างกายท่อนบนจะถูกชำระออกไปจนหมด


ด้วยสิ่งนี้ เขาจะสามารถใช้งานไอ้โหดได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกใครเข้าใจผิด


“เอาล่ะ ผมจะปล่อยให้คุณฟื้นฟูจิตวิญญาณ พยายามยกระดับตัวเองให้เข้าสู่สภาวะแข็งแกร่งสูงสุดโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ” รู้ดีว่าตอนนี้ตัวเขามีไม้ตายอันทรงพลังอยู่ในครอบครองแล้ว จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเดินออกจากพงไพรโขดหิน


การเปิดออกของวิหารแห่งขงจื๊อดึงดูดนักปราชญ์โบราณมากมาย และเป็นไปได้ว่าบางส่วนจะมีเจตนาร้ายต่อเขา ยิ่งไอ้โหดแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ ก็รับประกันความปลอดภัยได้มากขึ้นเท่านั้น


ถึงอย่างไร ระมัดระวังไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย


จางเซวียนเก็บของล้ำค่าและเหล่าอสูร เขามุ่งหน้ากลับไปยังห้องโถงและเก็บภาพวาดที่อยู่บนผนังเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติทีละภาพ จากนั้นก็หันหลังกลับและตรงไปยังทางเข้า


เมื่อออกจากหอสงครามศักดิ์สิทธิ์ เขาเห็นปรมาจารย์กลุ่มใหญ่นั่งอยู่บริเวณรอบนอกของหอบริวาร ยังคงดื่มด่ำกับการศึกษาศาสตร์ลับที่จารึกไว้บนผนัง


“หยวนเทาจะอยู่ที่ไหนได้ถ้าไม่ใช่ที่นี่?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


ข้อเท็จจริงที่ว่ามีเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ที่นี่ ก็ย่อมหมายความว่ากลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ยังมาไม่ถึง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น หยวนเทาอยู่ไหน?


จางเซวียนตั้งใจจะกลับไปยังพงไพรโขดหินอีกครั้งเพื่อตามหาหยวนเทา ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาสะบัดข้อมือและนำตราหยกสื่อสารออกมา


ข้อความแถวหนึ่งปรากฎบนตราหยก


“จางเซวียน, มาที่โดมแอปริคอตโดยเร็วที่สุดเลยนะ!”


“ข้อความจากหลัวลั่วชิง? โดมแอปริคอต…โดมแอปริคอตอยู่ที่ไหน? เดี๋ยวก่อน, ส่งข้อความข้ามมิติก็ได้หรือ?” จางเซวียนงุนงง


เขาเคยลองส่งข้อความตั้งแต่ครั้งแรกที่มาถึง และสิ่งที่เขารับรู้ก็คือตราหยกสื่อสารจะทำงานก็ต่อเมื่อคู่สื่อสารอยู่ในมิติเดียวกันทั้งนั้นเท่านั้น แต่เขาได้รับข้อความจากหลัวลั่วชิง…


จางเซวียนแน่ใจว่าโดมแอปริคอตไม่ได้อยู่ในมิตินี้ เพราะไม่อย่างนั้น เขาคงเห็นมันแล้ว


การส่งข้อความข้ามมิติเป็นไปได้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หากทำได้จริง ทำไมก่อนหน้านี้เขาจึงไม่พบหลัวลั่วชิงกับท่านพ่อท่านแม่?


ราวกับจะรับรู้ได้ถึงความสงสัยของจางเซวียน หลัวลั่วชิงส่งข้อความมาอีก “โดมแอปริคอตเชื่อมโยงกับมิติผืนทราย ฉันจะรอคุณที่มิติผืนทรายนะ”


“มิติผืนทราย?” จางเซวียนทวนคำพร้อมกับขมวดคิ้ว เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับสู่มิติพงไพรโขดหิน


เพราะรู้แล้วว่าทางออกอยู่ที่ไหน จางเซวียนจึงใช้เวลาไม่นานในการกลับสู่มิติผืนทราย


ตอนนี้ไม่มีความร้อนแผดเผาอยู่ในมิติผืนทรายแล้ว พลังจิตวิญญาณอบอวลไปทั่ว ถ้าไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าที่นี่ปราศจากความเขียวชอุ่มหรืออสูรตัวไหนๆ สภาพแวดล้อมของมันก็ดูคล้ายคลึงกับมิติผืนป่าที่เขาเคยไปอยู่มาก


นักรบส่วนใหญ่ที่เข้าสู่มิติผืนทรายเลือกที่จะทรุดตัวลงนั่งเพื่อฝึกฝนวรยุทธทันที และความขยันหมั่นเพียรของพวกเขาก็ส่งผลตอบแทนอย่างดี


นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณที่จางเซวียนเคยพบก่อนหน้านี้สามารถฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นชั่วกัลปาวสานได้หลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง พร้อมกันนั้น หน้าตาของเขาก็ดูอ่อนวัยขึ้นมาก


รู้ดีว่านี่คืออานุภาพลึกลับของวิหารแห่งขงจื๊อ จางเซวียนจึงไม่ครุ่นคิดถึงมันมากนัก เขารีบค้นหาทิศทางที่นำไปสู่โอเอซิสและมุ่งหน้าไป ไม่ช้าก็พบหลัวลั่วชิงกับหวู่เฉิน


“คุณมาแล้วหรือ” หลัวลั่วชิงทักทายพร้อมกับยิ้มให้ ราวกับจะล่วงรู้ถึงความสงสัยของจางเซวียน เธออธิบาย “มิติในวิหารแห่งขงจื๊อเปิดออกแล้ว จึงไม่น่าแปลกอะไรที่เราส่งข้อความถึงกันได้ เพราะตอนนี้มิติต่างๆเชื่อมโยงถึงกันแล้วเรียบร้อย”


“มิติต่างๆถูกเชื่อมโยงถึงกันแล้ว?” จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตาโตเมื่อนึกได้


ดูเหมือนว่าตอนที่เขาเปิดทางออก เขาได้เชื่อมโยง 2 มิติเข้าหากัน และเมื่อพิจารณาจากการที่เหล่าปรมาจารย์สามารถเดินทางจากมิติหนึ่งทะลุไปยังอีกมิติหนึ่งได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ ก็ไม่น่าแปลกใจที่การส่งข้อความจะทำได้สะดวกเช่นกัน


“คุณรู้ได้อย่างไรว่ามิตินี้เชื่อมโยงกับโดมแอปริคอต?” จางเซวียนถาม


เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ชื่อของหอบริวารก่อนจะได้เข้าไปในนั้น และถ้าหลัวลั่วชิงรู้รายละเอียดเกี่ยวกับวิหารแห่งขงจื๊อมากขนาดนี้ ทำไมเธอถึงไม่บอกเขาก่อน?


“ผู้คนมากมายเข้าถึงอาณาบริเวณรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ฉันจะรู้ ไม่เพียงเท่านั้นนะ ฉันยังได้รายละเอียดของหอบริวารแห่งอื่นๆด้วย” หลัวลั่วชิงพูด


“รวมแล้ว หอบริวารทั้ง 6 มีชื่อว่า หอวรรณคดีของนักปราชญ์ขุย โดมแอปริคอต หอแฝดสำรอง หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ หอสงบใจ และหอสงครามศักดิ์สิทธิ์, กลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานที่ทำให้สามารถเข้าสู่หอวรรณคดีของนักปราชญ์ขุยได้ และพวกเขาก็นำหนังสือของปรมาจารย์ขงออกไปจนหมดแล้ว ส่วนสภาปรมาจารย์มีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานที่นำไปสู่หอแฝดสำรอง”


“สำหรับเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานของตระกูลหลัว ตระกูลจาง และเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นนั้นเชื่อมโยงกับหอสงบใจ หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ และหอสงครามศักดิ์สิทธิ์ตามลำดับ สถานที่เหล่านั้นเปิดออกและถูกสำรวจแล้ว เหลือแต่โดมแอปริคอตที่ยังไม่มีใครเข้าไป ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด คุณคือผู้ที่นำหัวใจของมิติผืนทรายออกไปใช่ไหม? เราเข้าสู่โดมแอปริคอตด้วยกันเถอะ ดูซิว่าจะนำทรัพย์สมบัติของหอบริวารแห่งนั้นออกมาได้อย่างไร?”


“คุณหมายถึงรากไม้นี้หรือ?” จางเซวียนถาม


“ใช่” หลัวลั่วชิงพยักหน้า “พวกเราต้องรีบหน่อย มีคนจำนวนหนึ่งอยู่ที่นั่นแล้ว และพวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็ตั้งใจจะใช้สายเลือดฮ่องเต้ของหยวนเทาเพื่อเข้าสู่โดมแอปริคอต ฉันไม่แน่ใจว่าพวกนั้นมีเจตนาที่แท้จริงอย่างไร”


“ผมเข้าใจแล้ว” เมื่อได้ยินว่าหยวนเทาอยู่ในพื้นที่นั้นเช่นกัน จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


“เข้าไปข้างในกันเถอะ!” หลัวลั่วชิงหันกลับไปพูดกับหวู่เฉิน


“ได้” หวู่เฉินพยักหน้าก่อนจะกระดิกนิ้ว


ครืดดดด!


เกิดรอยแยกของมิติขึ้นเหนือโอเอซิส แล้วทางเดินแห่งมิติก็ก่อตัวขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคน พวกเขาเห็นพระราชวังขนาดใหญ่ปรากฎอย่างเลือนรางที่บริเวณปลายสุดของทางเดิน


“ฉีกกระชากมิติได้ด้วยการใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียว?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เพราะผ่านมิติผืนทรายมาแล้ว เขาจึงรู้ดีว่ามิตินั้นแข็งแกร่งทนทานแค่ไหน อย่างน้อยที่สุด นักรบผู้นั้นจะต้องสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณจึงจะสามารถฉีกกระชากมิติได้ แต่หวู่เฉินทำลายมิติด้วยการใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียว ง่ายดายกว่าที่กระบี่เปลวเพลิงสีดำดำเนินการเสียอีก เป็นไปได้หรือไม่ว่าหวู่เฉินพบกับความโชคดีบางอย่างและสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณแล้ว?


“ไปกันเถอะ”


หลัวลั่วชิงเห็นความสับสนในดวงตาของจางเซวียน แต่เพราะทุกคนกำลังรีบ เธอจึงไม่อธิบายหลัวลั่วชิงนำหน้า แล้วบินตรงไปยังทางเดินแห่งมิติ


จางเซวียนตามเธอไปติดๆ


ก็เหมือนกับหลายครั้งก่อนที่เขาได้เข้าสู่อาณาบริเวณรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อ จางเซวียนพบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงหน้าอาคารสูงตระหง่าน ตัวอักษรขนาดใหญ่จารึกไว้บนป้ายบริเวณทางเข้าซึ่งเรืองแสงนวลออกมา-โดมแอปริคอต!


เหมือนอย่างที่หลัวลั่วชิงบอก คนจำนวนมากออกันอยู่บริเวณรอบนอกโดมแอปริคอต ส่วนหนึ่งมาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ บางส่วนเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ แถมยังมีเผ่าพันธุ์อสูรด้วย แรงกดดันหนักหน่วงกระจายตัวอยู่ทั่วไปแม้แต่ละเผ่าพันธุ์จะไม่ได้สู้รบกัน พวกเขาดูจะกำลังรอคอยอย่างอดทนให้หอบริวารแห่งสุดท้ายของวิหารแห่งขงจื๊อเปิดออก


ทุกคนรู้สึกได้ถึงรังสีเจิดจ้าที่อยู่เบื้องหลัง ดูเหมือนว่าเหตุผลเดียวที่พวกเขาอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบก็เพราะมีเหล่านักปราชญ์โบราณคอยควบคุมอยู่


ตอนที่ 1751 ต้นแอปริคอต

“ปรมาจารย์จาง!”


ทันทีที่จางเซวียนไปถึง ปรมาจารย์เหรินจากสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ตรงเข้ามาทักทาย


จากนั้น หลัวกั้นเจินจากตระกูลหลัว, เจียงฟังโหย่วจากตระกูลเจียง และกลุ่มคนจากอีก 2-3 กลุ่มอำนาจในทวีปแห่งปรมาจารย์ก็เข้ารุมล้อมเขา


ดูเหมือนคนเหล่านี้จะได้พบกับความโชคดีบางอย่างเช่นกัน พวกเขาสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกเหมือนกับเซียนดาบชิงเหมิง


หลังจากพูดคุยสัพเพเหระกันครู่หนึ่ง จางเซวียนก็ได้รู้ว่านอกจาก 6 มิติรอบนอกและ 6 หอบริวารแล้ว ก็ยังมีอาณาเขตของมิติและเวลาอีก 2-3 แห่งในวิหารแห่งขงจื๊อ ซึ่งผู้ที่บังเอิญได้เข้าไปในนั้นจะพบว่าเวลาผ่านไปรวดเร็วกว่าเดิมและสามารถข้ามผ่านด่านคอขวดที่ต้องเผชิญในการฝึกฝนวรยุทธได้ง่ายดายขึ้น


เท่าที่เห็น ก็ชัดเจนว่าคนเหล่านี้ได้รับประโยชน์อย่างมากจากวิหารแห่งขงจื๊อ และการเดินทางของพวกเขาก็ไม่สูญเปล่า


ในทางกลับกัน ดูเหมือนจะมีแต่จางเซวียนที่ต้องระเหเร่ร่อนไปทั่วและไม่มีเวลาฝึกฝนวรยุทธมากนัก เหลือแต่ตัวเขาที่ยังล้าหลังคนอื่น


“อย่างแรกและสำคัญที่สุด เราต้องช่วยหยวนเทา…”


ขณะที่กำลังพูดคุยกัน จางเซวียนก็เห็นร่างของหยวนเทาอยู่ท่ามกลางฝูงชน มีเหล่าทายาทของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ห้อมล้อม


หยวนเทาก็ไม่ต่างจากจ้าวหย่าและเว่ยหรูเหยียน การรับรู้ของเขาดูเหมือนจะถูกปิดกั้นไว้ จึงไม่เห็นว่าจางเซวียนอยู่ในบริเวณนั้น


เมื่อเห็นจางเซวียนกำลังจะเดินหน้า ปรมาจารย์เหรินพยายามหว่านล้อม “ปรมาจารย์จาง เหล่านักปราชญ์โบราณได้ประกาศแล้วว่ากลุ่มอำนาจต่างๆจะต้องไม่โจมตีซึ่งกันและกัน ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนกฎจะถูกสังหารในทันที!”


“นั่นคือกฎที่เหล่านักปราชญ์โบราณตั้งขึ้นเพื่อรักษาความปลอดภัยของคนรุ่นหลัง ไม่อย่างนั้น หากเกิดการต่อสู้ และเหล่าอัจฉริยะที่มีโอกาสฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณถูกสังหาร การเดินทางครั้งนี้ก็จะสูญเปล่า” หลัวกั้นเจินเสริม


“ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ คงจะดีที่สุดหากไม่เกิดข้อพิพาทกับพวกเขา อีกอย่าง เหล่านักปราชญ์โบราณของเราก็อยู่แถวนี้ ผมไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะกล้าทำร้ายหยวนเทาหรอก”


“เอ่อ…” รู้ดีว่าหลัวกั้นเจินพูดถูก แต่จางเซวียนก็อดลังเลไม่ได้


“พวกเขาพูดถูกนะ” หลัวลั่วชิงออกความเห็นพร้อมกับยิ้มให้ “พวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ไม่ทำร้ายหยวนเทาหรอก หากเราทำอะไรหุนหันพลันแล่นไป สถานการณ์อาจเลวร้ายกว่าเดิม น่าจะดีกว่าถ้าเราจะเข้าไปช่วยเขาหลังจากที่เข้าสู่โดมแอปริคอตแล้ว เพราะตอนนั้น เหล่านักปราชญ์โบราณจะเข้ามาขัดขวางไม่ได้อีก อีกอย่าง นี่น่าจะเป็นโอกาสดีสำหรับหยวนเทาด้วย”


“โอกาสดี?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“ใช่ โดมแอปริคอตคือสถานที่ที่ปรมาจารย์ขงใช้ถ่ายทอดคำสอนของเขาให้กับคนอื่นๆ คำพูดของเขาจึงยังคงก้องอยู่ภายในอาคารนั้น ในเมื่อพวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ลักพาตัวหยวนเทา ก็แน่นอนว่าพวกเขาคงต้องเตรียมการบางอย่างกับสายเลือดฮ่องเต้ของหยวนเทาแล้ว เรื่องนี้อาจเป็นโอกาสดีสำหรับเขาก็ได้ ซึ่งจะเกิดความเสียหายครั้งใหญ่หากเราเข้าไปช่วยหยวนเทาตอนนี้ ลองถอยออกมาก้าวหนึ่งนะ หากหยวนเทาตกอยู่ในอันตราย เราก็เข้าไปขัดขวางและช่วยเขาได้ทุกขณะอยู่แล้ว” หลัวลั่วชิงพูด


จางเซวียนพยักหน้ารับ


เขาไม่รู้ว่าโดมแอปริคอตคือสถานที่ที่ปรมาจารย์ขงใช้ถ่ายทอดคำสอนให้บรรดาลูกศิษย์


เมื่อครั้งที่จางเซวียนยังอยู่ในจักรวรรดิหงหย่วน เขาได้สร้างชื่อเสียงจากการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ที่นำไปสู่การฝ่าด่านวรยุทธของเหล่านักรบ สิงสาราสัตว์ และแม้กระทั่งพืชจำนวนมากมาย ในเมื่อปรมาจารย์ขงแข็งแกร่งกว่าเขามาก คำสอนของอีกฝ่ายก็น่าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าเขาหลายเท่า


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่รากไม้อันหนึ่งสามารถเล่นงานนักรบผู้ทรงพลังได้มากมาย เป็นไปได้ว่ารากไม้นั้นได้ฟังคำสอนของปรมาจารย์ขงเช่นกัน ชีวิตจิตใจของมันจึงจึงเติบโตและมีความเก่งกาจผิดธรรมดา


“มันกำลังจะเปิดเร็วๆนี้แหละ!”


ขณะที่พวกเขายังพูดคุยกันอยู่ เสียงดังสนั่นราวกับสายฟ้าฟาดก็ดังมาจากใต้พื้นดิน จากนั้น ฉนวนที่โอบล้อมโดมแอปริคอตไว้ก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา


ด้วยประสบการณ์ที่ได้จากหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ จางเซวียนรู้ว่านี่คือสัญญาณว่าหอบริวารกำลังจะเปิดออก สองมือของเขาสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น


แอ๊ดดด!


ไม่ช้า ประตูบานใหญ่ก็ส่งเสียงลั่น


“เข้าไปกันเถอะ!” ใครคนหนึ่งในหมู่ฝูงชนตะโกนก้อง


จากนั้น หยวนเทาก็บีบเลือดหยดหนึ่งออกจากปลายนิ้วของเขา พลังงานภายในหยดเลือดนั้นเข้าโอบล้อมกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์อย่างรวดเร็ว ทั้งกลุ่มรีบเดินตรงเข้าสู่ฉนวนและผ่านมันเข้าไปได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ


เผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากมุ่งหน้าไปยังฉนวนเช่นกัน ไม่รู้ว่าพวกมันใช้ศาสตร์ลับชนิดไหน แต่ก็น่าตกใจที่พวกมันสามารถผ่านฉนวนเข้าสู่โดมแอปริคอตได้


เห็นสีหน้าฉงนสนเท่ห์ของจางเซวียน หลัวลั่วชิงส่งโทรจิตอธิบาย “มีเผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนหนึ่งที่มีสภาวะพิเศษแบบเดียวกันกับหยวนเทา”


จางเซวียนพยักหน้าเมื่อได้ยินคำนั้น


สภาวะพิเศษไม่ใช่สิ่งที่จำกัดอยู่เฉพาะกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ จึงไม่แปลกอะไรที่เผ่าพันธุ์ปีศาจบางส่วนจะมีสภาวะพิเศษแบบเดียวกันกับที่มนุษย์มี


หลังจากที่เผ่าพันธุ์ปีศาจเดินเข้าไป เผ่าพันธุ์อสูรก็มุ่งหน้าตามไปเช่นกัน


ไม่เหมือนกับ 2 กลุ่มก่อนหน้า พวกมันโยนเครื่องรางชิ้นหนึ่งขึ้นสู่กลางอากาศ จากนั้นเครื่องรางก็แผ่ชั้นพลังงานเข้าโอบล้อมพวกมันไว้ มันคือเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานชิ้นสุดท้าย!


เป็นอย่างที่หลายคนคาดเดา เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานชิ้นสุดท้ายอยู่ในมือของเผ่าพันธุ์อสูรจริงๆ


“เข้าไปกันเถอะ” เห็นคนส่วนใหญ่เข้าสู่หอบริวารแล้ว จางเซวียนสะบัดข้อมือและนำเครื่องรางน้อยออกมา เขากำลังจะใช้รังสีของมันโอบล้อมทุกคนไว้ ก็พอดีกับที่หวู่เฉินประสานมือและพูดว่า “นายหญิงกับปรมาจารย์จาง ผมจะรอคุณทั้งสองอยู่ข้างนอกนะ”


เมื่อพูดจบ เขาก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งและออกจากรัศมีของเครื่องรางน้อยไป


ราวกับรู้อยู่แล้วว่าหวู่เฉินจะตัดสินใจแบบนี้ หลัวลั่วชิงพยักหน้ารับอย่างสุขุม “ได้ เราไปกันเถอะ”


“เขา…” จางเซวียนงุนงง


“หวู่เฉินเป็นนักปราชญ์โบราณแล้ว ต่อให้มีอำนาจของเครื่องรางน้อย เขาก็เข้าสู่หอบริวารไม่ได้หรอก” หลัวลั่วชิงอธิบาย


“เป็นอย่างที่คิดไว้เลย…” เมื่อหลัวลั่วชิงยอมรับ จางเซวียนพยักหน้า


ก่อนหน้านี้เขาคาดเดาไว้แล้ว แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นความจริง!


ดูเหมือนนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณที่อยู่ในหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่จะไม่ใช่หนทางเดียวของวิหารแห่งขงจื๊อในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ เป็นไปได้ว่าหวู่เฉินน่าจะพบกับความโชคดีบางอย่างเช่นกัน


ฟึ่บ!


จางเซวียนปล่อยอสูรบางส่วนออกจากรังนางพญามด และพาหลัวกั้นเจิน เจียงฟังโหย่ว กับคนอื่นๆเข้าสู่พระราชวังยิ่งใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า


ไม่เหมือนกับหอบริวารอื่นๆ ที่อยู่ถัดจากทางเข้าไม่ใช่ห้องโถงขนาดใหญ่ แต่เป็นสวนที่กินอาณาบริเวณหลายร้อยตารางเมตร ที่ใจกลางสวนมีแท่นสูงตระหง่านซึ่งมีฉนวนบางอย่างล็อกไว้ แต่รังสีคุกคามก็ยังแผ่ออกมาจากแท่นนั้น ทำให้ทุกคนชะงักงัน


บริเวณสองข้างของแท่นสูงตระหง่านคือต้นแอปริคอตหลายต้นที่ถูกปลูกไว้อย่างเป็นระเบียบสองแถว พวกมันอยู่ในช่วงฤดูหนาวของโดมแอปริคอต ดังนั้นจึงพากันผลัดใบ เหลือไว้แต่กิ่งก้านโกร๋นๆ


พื้นที่ที่อยู่ตรงหน้าแท่นสูงตระหง่านเต็มไปด้วยเบาะรองนั่งมากมาย แค่มองแวบเดียว จางเซวียนก็เห็นว่ามีอยู่อย่างน้อยสามพันอัน น่าจะเกี่ยวข้องกับลูกศิษย์ทั้งสามพันคนของปรมาจารย์ขง


“นี่คือโดมแอปริคอต” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เขาเคยคิดว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะมหัศจรรย์และศักดิ์สิทธิ์กว่าที่เห็น แต่กลับตรงกันข้าม มันดูธรรมดาสามัญมาก


“เวลาปรมาจารย์ขงถ่ายทอดคำสอนของเขา บรรดาลูกศิษย์จะนั่งฟังอยู่ด้านล่าง” หลัวลั่วชิงอธิบายพร้อมกับพยักหน้า “อย่าประเมินที่นี่ต่ำไปนะ ถึงจะดูไม่งดงามนัก แต่ก็เป็นสถานที่สำคัญที่สุดในวิหารแห่งขงจื๊อรองจากหอลำดับแรก”


“เป็นสถานที่สำคัญที่สุดรองจากหอลำดับแรก?” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย


นอกจากแท่นสูงตระหง่านและต้นไม้อีกจำนวนหนึ่ง ก็ไม่มีอะไรที่ดูสลักสำคัญอยู่ภายในสวนนั้น มันดูไม่เหมือนสถานที่ที่จะมีทรัพย์สมบัติถูกเก็บรักษาไว้ เขาไม่รู้สึกจริงๆว่าที่นี่มีความสำคัญ


“การถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ของปรมาจารย์ขงอยู่ในระดับที่ลึกซึ้งมาก ทั้งเบาะและต้นแอปริคอตเหล่านี้มีชีวิตจิตใจของตัวเอง ไม่อย่างนั้น กลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์คงพุ่งตรงมาที่แท่นนี้แล้ว พวกเขาคงไม่ยืนนิ่งแบบนั้นหรอก เห็นชัดว่าพยายามถ่วงเวลา” หลัวลั่วชิงส่งโทรจิตบอกจางเซวียน


จางเซวียนเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


เมื่อครั้งที่เขาใช้การถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ที่สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน เขาได้ปลุกจิตวิญญาณให้มีขึ้นแม้แต่กับอาวุธทั่วไป ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ปรมาจารย์ขงจะมอบชีวิตจิตใจให้กับเบาะรองนั่งและต้นไม้ได้


เห็นกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงหน้า ไม่ยอมออกเดินไปไหน อสูรตัวหนึ่งคำรามอย่างหมดความอดทน “พวกคุณจะเดินหน้าหรือเปล่า? ไม่อย่างนั้นพวกเราจะไปก่อนนะ…”


“ถ้าคุณไม่เข้าไป พวกเราก็จะเข้าไปก่อน อย่าได้ฝันเลยว่าจะฉกฉวยทรัพย์สมบัติที่พวกเราครอบครองได้ หรือไม่อย่างนั้น พวกคุณก็จะต้องชดใช้อย่างสาสม!” อสูรอีกตัวหนึ่งคำราม


ชายหนุ่มคนหนึ่งจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มหัวเราะหึๆและพูดว่า “ถ้าพวกคุณอยากเข้าไปก็ตามสบายเลย พวกเราจะรออีกหน่อย”


เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดที่จางเซวียนเคยพบที่ภูเขาห้วยขาว, ทายาทของนักปราชญ์จื่อหยวน, เหยียนเฉว่


“ก็แค่นั้นแหละ!” เห็นพวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ไม่คิดจะออกเดิน เหล่าอสูรคำราม “พวกคุณก็แค่ไอ้ขี้ขลาดไร้ค่ากลุ่มหนึ่ง ถึงได้ไม่กล้าเข้าไป พวกเราไปกันเถอะ!”


จากนั้น เผ่าพันธุ์อสูรก็พุ่งเข้าใส่เบาะที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า


จากประสบการณ์ที่ผ่านมา พวกมันรู้ดีว่าต่อให้สิ่งที่ดูธรรมดาสามัญที่สุดในวิหารแห่งขงจื๊อก็อาจเป็นทรัพย์สมบัติที่ประเมินค่ามิได้ ในเมื่อเบาะรองนั่งเหล่านี้ดูจะยังมีสภาพดีอยู่แม้จะผ่านมาเนิ่นนานหลายหมื่นปีแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องมีความพิเศษบางอย่างแน่


แต่ยังไม่ทันที่เหล่าอสูรจะเข้าถึงเบาะที่เรียงรายอยู่ เสียงหนึ่งก็กรีดก้องขึ้นกลางอากาศ เหล่าอสูรหันขวับและเห็นกิ่งไม้กิ่งหนึ่งพุ่งฉิวเข้ามา การเคลื่อนไหวของกิ่งไม้นั้นทรงพลังจนทำให้เกิดรอยแยกสีดำขึ้นกลางอากาศ


ฟึ่บ!


ในเวลาเดียวกัน ต้นแอปริคอตจำนวนหนึ่งก็เดินแถวเข้ามาตีวงล้อมเหล่าอสูร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)