ลำนำบุปผาพิษ 1746-1749
บทที่ 1746 ยามนี้ได้ลิ้มรสความขมขื่นบ้างแล้วกระมัง?!
“ซีจิ่ว พี่เยี่ยนเฉินกับข้าจะแต่งงานกันแล้ว…เขาบอกว่าจัดงานแต่งที่ยิ่งใหญ่อลังจนทำข้าลืมไม่ลงไม่ชั่วชีวิตให้ข้า…เทียบเชิญก็ถูกส่งไปที่จวนทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินของเจ้าแล้ว ไม่รู้เจ้าจะได้เห็นหรือยัง? ข้าอยากให้เจ้ามาเป็นเจ้าภาพให้พวกเรามากเลย…”
หลานไว่หูเอ่ยเจื้อยแจ้ว เยี่ยนเฉินอยู่ด้านข้างแขนข้างหนึ่งโอบเอวนางไว้ อดทนฟังนางพูด
กู้ซีจิ่วมองดูสองคนนั้น ย่อมยินดีกับพวกเขาด้วย เพียงแต่เรื่องเจ้าภาพคงไม่จำเป็นแล้ว…
“ซีจิ่ว พี่เยี่ยนเฉินบอกว่า รอให้พวกเราแต่งงานกันแล้วจะออกท่องไปทั่วหล้า เขาจะพาข้าไปชมขุนเขาสายธาร ชมทิวทัศน์สี่คาบสมุทร เขาจะไม่พาข้ากลับไปที่สกุลเยี่ยนแล้ว บอกว่าจะไม่ให้ข้าได้รับความอยุติธรรมอีกเด็ดขาด…”
กู้ซีจิ่วลอบพยักหน้า เช่นนี้ดีที่สุดแล้ว!
หลานไว่หูใสซื่อ ถูกลิขิตไว้แล้วว่ามิใช่คู่ต่อสู้ของฮูหยินเยี่ยนผู้มากเล่ห์คนนั้น ไม่พบหน้ากันคือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ดูเหมือนในที่สุดเยี่ยนเฉินก็เข้าใจแล้วว่าปมปัญหาอยู่ตรงไหน
ทั้งสองคนที่อยู่ด้านล่างนั้นจับมือกันไว้ตลอด กู้ซีจิ่วปีติยินดียิ่งอีกทั้งค่อนข้างอิจฉาอยู่บ้าง…
เธออดไม่ได้ที่จะมองไปทางตี้ฝูอี ตื่นตระหนกเมื่อเห็นว่าตี้ฝูอีไม่ได้อยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าเขาพาสังขารนั้นจากไปตั้งแต่ตอนไหนแล้ว!
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน!
เมื่อก่อนกู้ซีจิ่วไม่อาจแยกห่างจากตี้ฝูอีได้เกินสิบจั้ง เมื่อเกินไปจากระยะนี้แล้ว จะถูกดึงตัวกลับมาอัตโนมัติ กลับมาอยู่ข้างกายเข้าอีกครั้ง
หลายวันมานี้เธอตัวติดกับตี้ฝูอีอยู่ตลอด ไม่ว่าตี้ฝูอีจะไปที่ไหนเธอล้วนติดตามไปที่นั่นด้วยอย่างไม่อาจควบคุมร่างกายได้ ไม่อยากไปก็ต้องไป แล้วหนนี้เกิดอะไรขึ้นล่ะ?
เธอค้นหาในระยะสิบจั้งอย่างรวดเร็วดูรอบหนึ่ง ไม่พบเงาร่างของเขาเลย เธอจึงตามหารถม้าแก้วผลึกของเขาตามสัญชาตญาณ พบว่ารถม้าแก้วผลึกคันนั้นก็จากไปแล้วเช่นกัน
เธอทึ่มทื่ออยู่ที่เดิมครู่หนึ่งกลับเข้าไปในศาลอีกครั้ง พบว่าพวกหลานไว่หูทั้งสองก็จากไปแล้วเช่นกัน ภายในศาลเหลือเพียงนักพรตกับผู้มาสักการะคนอื่นๆ
เธอถูกทิ้งแล้ว!
กู้ซีจิ่วล่องลอยอยู่แถวขื่อคานอย่างทึ่มทื่อเป็นระยะเวลาหนึ่งก้านธูปเต็มๆ ไม่ทราบว่าควรไปไหนดีชั่วขณะหนึ่ง
เธอรู้ว่าตี้ฝูอีจะต้องเดินทางไปที่ศาลทูตสวรรค์กู้แน่นอน แต่เธอไม่รู้ว่าเขาจะไปที่ศาลทูตสวรรค์กู้แห่งไหน ถึงอย่างไรก็มีอยู่มากมายถึงเพียงนั้น…
เธอนั่งเท้าคางอยู่ตรงนั้นอย่างค่อนข้างเหม่อลอย
ตอนนี้เธอสามารถสัมผัสถึงร่างกายของตนอย่างสมบูรณ์ได้แล้ว ถึงแม้จะยังคงมองไม่เห็น แต่สามารถบังคับควบคุมได้ตามต้องการแล้ว สามารถลุกนั่งเดินเหินเหมือนมนุษย์คนหนึ่งได้แล้ว
เมื่อถึงยามนี้เธอก็ทราบแล้วว่าที่ตี้ฝูอีตัดขาดกับเธอเช่นนั้นจะต้องมีเงื่อนงำแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจทำไปเพราะหวังดีกับเธอ แต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ เนื่องจากบาดแผลที่ได้รับในตอนนั้นล้ำลึกเกินไป เธอไม่สามารถปล่อยวางอย่างสมบูณณ์ได้ในชั่วขณะ ในใจมีความโกรธเคืองเบาบางที่ยังระบายออกมาไม่หมดอยู่
หลายวันมานี้ที่ติดตามเขา มองเห็นเขาทุกข์ระทมถึงเพียงนั้น หัวใจของเธอเจ็บปวดยิ่งนัก ทว่าก็มีความรู้สึกรื่นเริงอยู่น้อยๆ
ใครใช้ให้เขาคิดเองเออเองกันล่ะ! ใครใช้ให้เขามีเรื่องอะไรก็ไม่มาปรึกษากับเธอกันล่ะ! ยามนั้นเธอเคยพูดกับเขาชัดๆ ว่าไม่อนุญาตให้เขาปิดบังอะไรเธออีก พูดไว้ดิบดีแล้วชัดๆ ว่าถึงมีความยากลำบากใดก้จะอยู่กับเขา ผลคือเขากลับเลือกที่จะเก็บงำแบกรับไว้คนเดียวเหมือนเดิม! ซ้ำยังเจตนาทำร้ายเธอด้วย…
ยามนี้ได้ลิ้มรสความขมขื่นบ้างแล้วกระมัง?!
จะว่าไป สรุปแล้วเขาทำร้ายเธอแบบนี้เพื่ออะไรกัน? ทำให้เธอเขาใจผิดว่าในใจเขามีคนอื่นอยู่อย่างไม่เสียดายเลย และต้องการบีบให้เธอถอยมา…
หรือว่าเขามีเคราะห์ใหญ่จริงๆ? จะ…จะสิ้นชีพงั้นหรือ?
ความคิดเพิ่งจะแล่นมาถึงตรงนี้ก็ถูกปัดกลับลงไปยังส่วนลึกของสมองเลย!
เป็นไปไม่ได้!
เธอจำได้ที่หยกนภาเคยบอกกับเธอไว้ได้ เทพศักดิ์สิทธิ์เป็นอมตะ…อีกอย่างต่อให้เขาตายก็สามารถก่อร่างฟื้นคืนชีพได้ตามต้องการ เธอจำได้ว่าตี้ฝูอีเคยบอกเธอไว้ว่า หลังจากเขาทำลายฐานะหนึ่งไป ก็จะทำให้ฐานะนั้นหายไปด้วย ถือโอกาสทิ้งสังขารนั้นไปด้วย อย่างมากพักผ่อนฟื้นฟูสักไม่กี่ปีก็สามารถก่อสังขารขึ้นมาใหม่ได้แล้ว…
ยังมีอีก ประโยคที่โม่เจ้าเอ่ยก่อนตายหมายความว่ายังไง?
‘ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้า’ ที่เขากล่าวสื่อถึงอะไร?
แถมยังถามอีกว่าเธอเข้าใจศาสตร์โหราพยากรณ์ไหม หรือว่าจะมีเส้นสนกลซ่อนในอยู่ในผังดวงดาว?
กู้ซีจิ่วกระโดดผลุงขึ้นมา ไม่ได้การล่ะ เธอต้องไปดูผังดวงดาวเสียหน่อยแล้ว!
——————————————————————–
บทที่ 1747 คนผู้นี้ยังคงเที่ยงตรงไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดเลยจริงๆ!
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็สิ้นหวังแล้ว เธอออกไปจากศาลบูชาแห่งนี้ไม่ได้เลย!
ภายในศาลบูชาแห่งนี้คล้ายมีเขตแดนที่กักขังเธอไว้ เธอไม่สามารถออกห่างศาลบูชาแห่งนี้ได้เกินห้าลี้
และหอชมดาวที่อยู่ใกล้เธอที่สุดก็คือจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายในอาณาจักรเฟยซิง ที่นั่นอยู่ห่างจากที่นี่ไปหลายพันลี้…
เธอถูกขังอยู่ที่นี่มาหกวันเต็มๆ แล้ว หกวันมานี้เธอทุ่มเทคิดหาทางออกสารพัดล้วนไม่เป็นผลทั้งสิ้น
ตี้ฝูอีไม่ได้มาที่ศาลบูชาแห่งนี้อีกเลย เธอทำได้เพียงรับรู้ข่าวคราวของเขาจากปากคำของผู้ที่มาสักการะ อย่างเช่นเขากำลังอยู่ที่อาณาจักรไหนเมืองใดปรากฏตัวในรูปลักษณ์ใด ยามที่ปรากฏตัวก่อให้เกิดเสียงฮือฮาเพียงใด…
คนที่เคยอยู่ด้วยกันทุกเมื่อเชื่อวันกลายเป็นว่าทำได้เพียงรับฟังข่าวสารที่เล่าลือกันจากปากของผู้อื่นเท่านั้น ทั้งยังไม่ทราบด้วยข่าวลือพวกนี้มีน้ำเจือปนหรือไม่
ตัวอย่างเช่นมีคนบอกว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไปเยือนเขาถามสวรรค์ด้วยตนเอง กล่าวกันว่าหลงซือเย่เจ้าสำนักถามสวรรค์กระทำความผิดใหญ่หลวง ต้องเข้าไปรับโทษในแดนอันใดสักอย่างเป็นเวลาครึ่งวัน ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ส่งเข้าไปด้วยตัวเอง ยามที่หลงซือเย่ออกมาจากแดนอันใดนั้นแทบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว…
อีกตัวอย่างคือกล่าวกันว่าความถี่ในการปรากฏตัวขึ้นของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มิได้บ่อยครั้งเช่นก่อนหน้านี้แล้ว ในระยะเวลาหกวันปรากฏตัวขึ้นเพียงสองครั้ง หนึ่งครั้งที่อาณาจักรเฮ่าเยวี่ย หนึ่งครั้งที่สำนักถามสวรรค์
อีกทั้งมิได้โดยสารราชรถแก้วผลึกแล้วด้วย แต่โดยสารราชรถหยกชาดคันหนึ่งที่เจิดจ้าแยงตาดั่งดวงตะวัน ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดทราบเช่นกันว่าทูตสวรรค์กู้อยู่ในรถด้วยหรือไม่…
วาจาฝูงชนแตกต่างกันไป ทำให้หลังจากได้ฟังแล้วกู้ซีจิ่วก็ร้อนใจดังไฟผลาญ
ในที่สุดก็นึกถึงบทลงโทษของหลงซือเย่ได้แล้ว ดูเหมือนว่าจะมีสาเหตุมาจากเธอ…
ถึงแม้เธอจะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่สุดท้ายก็ลบล้างโทษทัณฑ์ของหลงซือเย่อย่างสมบูรณ์ไม่ได้ ยามนั้นตี้ฝูอีรับปากว่าจะลดโทษให้หลงซือเย่เข้าสู่แดนเพลิงหนึ่งชั่วยามครึ่ง…
เพียงแต่ภายหลังเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายเกินไป กู้ซีจิ่วจึงลืมเรื่องนี้ไปเลย
เธอนึกว่าเขาก็ลืมไปแล้วเช่นกัน ถึงอย่างไรเธอก็ ‘ตาย’ ไปแล้ว ภายใต้ความกระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยังจดจำเรื่องนี้ได้อีก…
คนผู้นี้ยังคงเที่ยงตรงไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดเลยจริงๆ!
เธอก็ไม่ทราบเช่นกันว่าในใจรู้สึกอย่างไร ความคิดที่ต้องการจะออกจากที่นี่เร่งร้อนขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ตลอดวันนี้ เธอพบทิศทางหนึ่งแล้ว รู้สึกได้รางๆ ว่าเขตแดนในทิศนี้คล้ายจะอ่อนกำลังลงบ้างแล้ว เธอเป็นมือดีด้านการทำลายเขตแดน แต่ตัวเธอในยามนี้ถึงอย่างไรก็ไม่มีร่างกาย อย่าว่าแต่ไม่อาจใช้วิชาคาถามาทำลายเขตแดนเลย แม้แต่การหยิบผลไม้เช่นไหว้ที่ง่ายดายที่สุดเธอก็ยังสิ้นเปลืองกำลังยิ่งนัก…
ขณะที่ยุ่งสะละวนกับการลองดูอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงแผ่วเบาสายหนึ่งแว่วขึ้นริมหู “ไม่จำเป็นต้องยุ่งวุ่นวายแล้ว เจ้าในยามนี้ฝ่าออกไปไม่ได้หรอก ถ้าอยากออกไปจริงๆก็ตั้งใจบำเพ็ญฝึกฝนเสีย เช่นนี้ผ่านไปสักสี่ห้าสิบปีก็น่าจะทำได้แล้ว”
เสียงนั้นแผ่วหวิวล่องลอย ฟังไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย ถึงขั้นที่ฟังไม่ออกเลยว่าหนุ่มหรือแก่ ทว่ากู้ซีจิ่วกลับรู้สึกว่าร่างกายแข็งทื่อไปทันที!
น้ำเสียงล่องลอยนี้คล้ายกับเสียงที่พูดพล่ามอยู่ข้างหูว่าเธอฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์อันใดสักอย่าง ในตอนที่ดวงวิญญาณเธอเพิ่งแตกสลายแล้วถูกขังไว้ในเมฆ!
ยามนั้นเธอซัดฝ่ามือใส่ทีหนึ่ง จากนั้นเธอก็ถูกปลดปล่อยร่วงหล่นลงมาจากก้อนเมฆ ติดตามอยู่ข้างกายตี้ฝูอีตลอดมา ยามนี้เธอถูกเจ้าของเสียงนี้กักขังไว้อีกแล้วหรือ?!
“เจ้าเป็นผู้ใด?!” กู้ซีจิ่วถามเสียงเข้ม
“ไม่ต้องสนใจว่าข้าคือผู้ใด เจ้าสนใจเพียงการฝึกฝนของเจ้าเถอะ”
กู้ซีจิ่วยิ้มหยัน “ข้าชิงชังสิ่งที่เล่นกลหลอกลวงยิ่งนัก! เจ้าคือวิถีสวรรค์รึ?” เธอจำได้รางๆ ว่าตอนที่ถูกขังไว้ในเมฆ เสียงนั้นบอกว่าเธอฝ่าฝืนวิถีสวรรค์อันใดสักอย่าง
“หาใช่ไม่ ข้าเป็นเพียงผู้ถ่ายทอดบัญชาสวรรค์เท่านั้น และเป็นผู้ควบคุมดูแลด้วย”
กู้ซีจิ่วรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง จากนั้นก็ยิ้มเยาะ “อันที่จริงข้าข้องใจยิ่งนักเสมอมา ข้าฝ่าฝืนวิถีสวรรค์อันใด? ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่แล้วสามารถแถลงไขแก่ข้าได้หรือไม่?”
บทที่ 1748 เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?
ตอนที่เธอถูกขังไว้บนเมฆ ถึงแม้เสียงนั้นจะเอ่ยพล่ามอยู่ข้างหูเธอ แต่ตัวเธอในยามนั้นอยู่ในสภาพสะลึมสะลือ จึงไม่ได้ใส่ใจเลย
ตอนนี้เธอรู้สึกว่าโชคชะตาของตนกำลังมุ่งไปสู่ทิศทางที่น่าเหลือเชื่ออันใดอยู่ อดใจไว้ไม่อยู่จึงเอ่ยถามออกมา
เสียงนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าไม่ควรตาย…”
กู้ซีจิ่วงงนิดหน่อย เธอยิ้มเยียบเย็น “ข้าสู้กับมารสวรรค์จนตัวตายไม่ดีหรือไง? หากว่าข้าไม่ใช้วิธีนี้ ก็ไม่มีทางสังหารเขาได้! ข้าช่วยปวงประชาให้พ้นภัย ต่อไม่มีผลงานก็ไม่น่าจะมีโทษกระมัง…”
เสียงนั้นถอนหายใจ “อันที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือเลย หวงถูจัดการเขาได้”
มุมปากเธอยกเป็นรอยยิ้มเยาะหยันแวบหนึ่ง “ที่แท้ใครจะเป็นผู้สังหารมารสวรรค์พวกเจ้าก็จัดแจงไว้แต่แรกแล้วสินะ? มารสวรรค์มีเพียงเทพศักดิ์สิทธิ์ที่จัดการได้งั้นรึ? ถ้าผู้อื่นจัดการก็นับว่าฝ่าฝืนวิถีสวรรค์สินะ?”
“ก็มิใช่เช่นนี้…เพียงแต่ด้วยฝีมือของมารสวรรค์ ก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถจัดการให้สิ้นซากได้…”
“แต่ข้าก็จัดการเขาให้สิ้นซากแล้วเหมือนกันนี่! หรือว่าเขายังไม่ตาย?”
“ตายแล้ว! เพียงแต่เจ้าก็เอาชีวิตของเจ้าเข้าแลกด้วย…” เสียงนั้นแผ่วหวิว
กู้ซีจิ่วมีน้ำโหแล้ว เธอสละชีวิตตัวเองนี่มันผิดมากหรือไง?
“ใช้ชีวิตน้อยๆ ของข้าแลกกับชีวิตของมารสวรรค์ ข้าคิดว่าคุ้มกันแล้ว!”
“ไม่คุ้มกันเลย…” เสียงนั้นยังคงราบเรียบไร้อารมณ์ “ชีวิตของเจ้ามีค่ากว่าเขามากนัก!”
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
ชีวิตของเธอมีค่ากว่ามารสวรรค์งั้นหรือ? ไม่ใช่กระมัง?! เธอเป็นแค่ทูตสวรรค์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่ใช่แม้แต่สานุศิษย์สวรรค์ด้วยซ้ำ…
หรือว่าเธอจะยังมีฐานะอันใดที่ซ่อนเร้นไว้อยู่?
หัวใจกู้ซีจิ่วพลันเต้นแรงขึ้นมา เธอนึกถึงตอนที่ไปดูดาวกับตี้ฝูอี ได้เห็นดาวใหญ่ที่สุกสว่างที่สุดสองดวงนั้น คล้ายว่ามีอยู่ดวงหนึ่งที่เป็นตัวแทนของเธอ…
ตอนนั้นเธอบอกว่าจะอยู่เคียงข้างเขาทอดมองไปทั่วหล้า จะไม่เป็นลูกไก่ที่ซุกอยู่ใต้ปีกเขาอีก หรือว่าฐานะที่แท้จริงของเธอสามารถเทียบเคียงกับตี้ฝูอีได้?
“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?” เธอต้องการความจริง
ครั้งนี้เสียงนั้นเงียบไปนาน “อีกสี่สิบห้าสิบปีให้หลังพอเจ้าออกมาได้ก็จะรู้เอง”
สี่สิบห้าสิบปี?! เธอรอนานขนาดนั้นไม่ไหวแล้ว!
คล้ายว่าเธอจะนึกอะไรได้แล้ว เอ่ยออกไปอย่างคล้ายว่าไม่มีเจตนา “บนโลกนี้มีถ้อยคำที่กล่าวไว้ว่าหนึ่งนภามิอาจมีได้สองตะวัน ปวงชนมิอาจมีสองราชันได้ใช่หรือไม่?”
เสียงนั้นคล้ายจะอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง “นี่…”
ไม่รอให้เสียงนั้นกล่าววาจาออกมา กู้ซีจิ่วก็เอ่ยต่อไปแล้ว “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ถ่ายทอดบัญชาสวรรค์ ตามหลักแล้วไม่อาจพูดปดได้ ใช่หรือไม่?”
“นี่…”
เสียงนั้นเงียบงันไปเนิ่นนาน และด้วยความเงียบงันของเสียงนั้น หัวใจของกู้ซีจิ่วก็ค่อยๆ จมดิ่งลงไปทีละชุ่นๆ…
ความเงียบในยามนี้แทบจะเป็นการยอมรับโดยปริยายแล้ว…
“ข้าคือว่าที่เทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่ใช่ไหม?” น้ำเสียงเธอแฝงความสั่นพร่าเล็กน้อยเอาไว้ ไม่ยินดีเลยสักนิด!
เสียงนั้นตะลึงไปเล็กน้อย แค่นี้ก็เดาได้แล้วหรือ?! เขาไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!
ความเงียบงันดำเนินต่อไป
“ข้าจะเข้าแทนที่เขาใช่ไหม? เข้าแทนที่เทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูสินะ?” แต่ละคำถามของกู้ซีจิ่วเฉียบคมขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ เข้าใกล้ศูนย์กลางของปัญหาไปที่ละก้าว
ประเด็นสำคัญบางอย่างที่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่กระจ่างเลยราวกับในที่สุดก็พบทางสว่างแล้ว แต่เธอไม่ต้องการทางสว่างเช่นนี้!
ความรู้สึกนั้นราวกับถูกดูดกลืนเข้าไปในวังวนที่มืดมิด ความจริงที่คาดเดาออกมาโหดร้ายเกินไป โหดร้ายจนทำให้เธอไม่อาจยอมรับได้เลย!
ความจริงแล้วเธออยากได้ยินเสียงนั้นเอ่ยปฏิเสธ แม้ว่าจะเป็นการหัวเราะหาว่าเธอคิดเพ้อเจ้อเหลวไหลก็ได้…
ผลลัพธ์คือเสียงนั้นเสมือนเป็นใบ้ไปแล้ว ไม่ยอมพูดสักคำ
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าทั้งร่างอ่อนยวบไปหมด แทบจะลอยอยู่กลางอากาศไม่ไหวแล้ว…
วาจาของมู่เฟิงผุดวาบขึ้นมาในใจอีกครั้ง เวลาของเขาเหลือไม่มากแล้ว…
————————————————————————-
บทที่ 1749 ข้าแค่อยากรู้ว่าเขายังเหลือเวลาอยู่เท่าไหร่?!
“วันที่ข้าคืนชีพจะเป็นวันตายของเขาใช่หรือไม่?” กู้ซีจิ่วเอ่ยำถามที่แทบจะไม่กล้าถามเลยออกมา หลังจากเอ่ยถามประโยคนี้ออกมา เธอก็กลั้นหายใจตามสัญชาตญาณ…
เสียงนั้นยังคงเงียบงันเช่นเดิม
หัวใจดั่งถูกแช่แข็ง สมองพร่าเบลอ ความรู้สึกนั้นเปรียบเสมือนพลัดตกลงไปในโพรงน้ำแข็งในวันเหมายันที่หนาวเหน็บที่สุด โลหิตทั้งร่างแทบจะจับตัวแข็งทื่อแล้ว
เป็นการบรรยายถึงสถานการณ์ของกู้ซีจิ่วในยามนี้
แน่นอนว่าตอนนี้เธอยังไม่มีร่างกาย แต่มีความรู้สึกเช่นนั้น!
เธอก้าวถอยหลังไป แทบจะหดตัวเข้าหากันแล้ว หลอมเข้ากับอากาศธาตุ “เช่นนั้นข้าจะฟื้นคืนชีพไปทำไมกัน?! ข้าไม่อยากคืนชีพแล้ว!”
หากว่าการคืนชีพของเธอต้องแลกด้วยชีวิตของเขา เช่นนั้นเธอยอมไม่ฟื้นคืนชีพ!
“เรื่องนี้…ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า” เสียงนั้นเงียบงันไปเนิ่นนาน ในที่สุดก็เอ่ยขึ้นมาแล้ว ทว่าถ้อยคำที่เอ่ยออกมากลับโหดเหี้ยมไร้ปราณี “ยังมีอีก ชะตาของเขาถูกกำหนดไว้แล้ว เจ้าจะคืนชีพหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวข้องกัน ถ้าเจ้ามุมานะฝึกฝน อาจคืนชีพได้หลังผ่านพ้นไปสี่สิบห้าสิบปี ถ้าเจ้ายืดยาดไม่ฝึกฝน ผ่านพ้นไปสี่ร้อยห้าร้อยปีเจ้าก็จะถูกบังคับให้ฟื้นคืนชีพ เป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ อย่างมากเจ้าก็จะได้รับทัณฑ์สวรรค์อีกครั้ง เนื่องจากฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์ก็เท่านั้น…”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกชิงชังสวรรค์เช่นนี้!
เธอหลับตาลงเล็กน้อย เอ่ยถามอีก “สรุปแล้วลิขิตสวรรค์คือสิ่งใดกันแน่? ใครเป็นผู้บัญญัติ?”
เสียงนั้นหัวเราะเบาๆ “จำได้ว่ามนุษย์อย่างพวกเจ้ามีคำกล่าวอยู่ประโยคหนึ่ง วันนี้ได้ทราบแล้วว่าลิขิตสวรรค์ไร้เมตตา…ลิขิตสวรรค์ก็คือโชคชะตา พวกเจ้าต่างมีโชคชะตาของตัวเอง ไม่มีผู้ใดสามารถฝ่าฝืนได้…ต่อให้เป็นเทพเซียนในดินแดนเบื้องบนก็ไม่อาจทำได้ ดังนั้นเจ้าอย่าได้คิดเคลื่อนไหวอื่นใดเลย”
กู้ซีจิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ถามขึ้น “เช่นนั้นในผังชะตาของสวรรค์ ข้ากับเขาไร้วาสนาต่อกันใช่หรือไม่?”
เสียงนั้นเงียบงันไปอีกครั้ง
น่าจะไร้วาสนาต่อกันจริงๆ กระมัง บุพเพนี้เป็นคนผู้นั้นฝืนช่วงชิงมา ดังนั้นคนผู้นั้นจึงต้องจ่ายค่าตอบแทนที่หนักหนาสาหัสยิ่ง…
เพียงแต่คนผู้นั้นฝืนเบี่ยงเบนลิขิตสวรรค์หลายต่อหลายครั้ง ถึงขั้นที่หลุดออกจากผังชะตาของสวรรค์อยู่หลายครั้ง แทบจะอยู่เหนือการควบคุมแล้ว ในยามนี้ก็นับเป็นการฝืนเบี่ยงกลับมา…
“เขายังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่? ห้าสิบปีหกสิบปี?” กู้ซีจิ่วถามต่อไป ในเมื่อเธอจะฟื้นคืนชีพในอีกสี่สิบห้าสิบปีให้หลัง เช่นนั้นอย่างน้อยเขาก็น่าจะยืนหยัดอยู่จนถึงยามนั้นได้กระมัง?
อาณาจักรไม่อาจขาดประมุขได้แม้เพียงวันเดียว เช่นนั้นแผ่นดินก็คงไม่อาจขาดเทพศักดิ์สิทธิ์ได้แม้เพียงวันเดียวเช่นกันกระมัง?
เสียงนั้นถอนหายใจเบาๆ “เจ้าไม่ต้องคิดแล้วว่าเขาเหลือเวลาอยู่เท่าไหร่ เจ้ากับเขาไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้ว เจ้าคิดไปเถอะว่าหลังจากคืนชีพแล้วจะบริหารจัดการใต้หล้านี้อย่างไร!”
กู้ซีจิ่วรู้สึกเพียงว่าในสมองเกิดเสียงดังตูมขึ้น ไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้วหรือ?!
อายุขัยของเขาแม้กระทั่งสี่สิบห้าสิบปีก็อยู่ไม่ถึงแล้วใช่ไหม?!
“เขายังอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่?! ข้าแค่อยากรู้ว่าเขายังเหลือเวลาอยู่เท่าไหร่?!”
เสียงนั้นเงียบไปแล้ว
หัวใจของกู้ซีจิ่วกระสับกระส่ายยิ่งนัก “เจ้าพูดมาสิ! เขาเหลือเวลาอยู่เท่าไหร่?!” ดวงหน้าที่ซีดเซียวของตี้ฝูอีรวมถึงเรือนผมขาวโพลนของเขาแวบเข้ามาในสมองกู้ซีจิ่ว มือเท้าเริ่มสั่นสะท้าน
คงมิใช่ว่าเขาเข้าสู่ช่วงความเสื่อมถอยทั้งห้า[1]แล้วกระมัง?!
น้ำเสียงเธอแฝงแรงอารมณ์ไว้แล้ว “เจ้าจะไม่พูดใช่ไหม?ถ้าเจ้าไม่พูดข้าจะไม่เพียงแต่ยืดยาดไม่ฝึกฝนเท่านั้น ต่อให้ฟื้นคืนชีพข้าก็จะไม่กระทำเรื่องใดทั้งสิ้น อีกทั้งจะกลายเป็นมารทำลายโลกนี้ให้พินาศไปเสียเลย ข้าเป็นคนพูดจริงทำจริง! บอกมา!”
เสียงนั้นคล้ายจะสำนึกเสียใจแล้วที่คุยกับเธอไปมากมายถึงเพียงนี้ เอ่ยอย่างเยียบเย็นว่า “หากเจ้ากลายเป็นมารจะได้รับโทษทัณฑ์เพิ่มเป็นเท่าตัว!”
ในสมองกู้ซีจิ่วเกิดเสียงดังหึ่งๆ แล้ว ยอมเสี่ยงเสียค่าตอบแทนที่สูงล้ำ “อย่างไรก็ได้! แม้แต่ความตายข้ายังไม่หวั่นเกรงเลย ไหนเลยจะยังกลัวโทษทัณฑ์ของพวกเจ้า?! สรุปแล้วเขาเหลือเวลาอยู่กี่ปี? สามสิบสี่สิบปีหรือ? ”
ในที่สุดเสียงนั้นทอดถอนใจแล้ว “ไม่ได้…มากขนาดนั้น”
หัวใจของกู้ซีจิ่วจมดิ่งอีกครั้ง “เช่นนั้นก็ยี่สิบสามสิบปีกระมัง? ต้องรอเวลาให้ข้าออกไปรับช่วงต่อใช่ไหม?”
——————————————————————-
[1] ความเสื่อมถอยทั้งห้า ตามความเชื่อของชาวจีนแม้ว่าเทพเวียนจะมีอายุขัยยืนยาว แต่ก็มีวันต้องดับสูญเช่นกัน เมื่ออายุขัยของเทพเซียนใกล้หมดลงจะเกิดความเปลี่ยนแปลงห้าประการ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าใกล้จะสิ้นบุญแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น