คัมภีร์วิถีเซียน 1742-1743

 ตอนที่ 1742 พบกันโดยบังเอิญ

 

แม้ว่าเผ่าแมลงมีเขาจะดันสงครามเข้ามาประชิดเมืองเมฆาแล้ว แต่ขอแค่เมืองเมฆาไม่ได้ถูกยึดจุดยุทธศาสตร์ในวันนี้ แดนหลังย่อมยังอยู่ในการควบคุมของชาวเผ่าเมฆาสวรรค์


ดังนั้นหลังจากรถเหาะบินไปทางด้านหลัง ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ ระหว่างทางอีก


ครึ่งเดือนต่อมาหานลี่มองเห็น “เมืองมังกร” เมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่งของชาวเผ่าเมฆาสวรรค์อยู่ไกลๆ


เมืองแห่งนี้แตกต่างกับเมืองเมฆาที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ มันตั้งอยู่ในยอดเขาที่กว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตา


กำแพงเมืองกว่าครึ่งสร้างขึ้นจากสิ่งปลูกสร้างที่เชื่อมโยงกันระหว่างยอดเขา และในเมืองยังมียอดเขาขนาดน้อยใหญ่อยู่อีกนับไม่ถ้วน


ไม่ว่าบนยอดเขาหรือว่าระหว่างภูเขา ล้วนสร้างเป็นห้องขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน


รอบๆ ยอดเขาเหล่านี้มีถนนรูปครึ่งวงกลมล้อมรอบอยู่ และแตกกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง ดูพิเศษมาก


เห็นได้ชัดว่าเมืองมังกรในยามนี้ก็ได้รับผลกระทบจากกองทัพเผ่าแมลงมีเขาทางเมืองเมฆาเช่นกัน ห่างจากเมืองยี่สิบสามสิบลี้ ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ตึงแน่น


ไม่เพียงจะมีระลอกคลื่นต้องห้ามส่งมาจากบ่อน้ำในเมือง นักรบชุดเกราะลาดตระเวนอยู่เป็นกลุ่มสิบกว่าคนบ้างก็ร้อยกว่าคน และกำลังตรวจตราไปมาในบริเวณรอบไม่หยุด


แม้ว่ารถเหาะยักษ์ของหานลี่และพวกจะมีสัญลักษณ์ของเมฆาสวรรค์ แต่ก็ถูกนักรบชุดเกราะสองสามกลุ่มเข้ามาขวางอย่างต่อเนื่อง และตรวจสอบสองสามครั้ง


แน่นอนว่าหลังจากพิจารณาแผ่นป้ายแสดงฐานะของชายร่างใหญ่หน้าดำอย่างละเอียดแล้ว พวกเขาก็ทยอยกันขอตัวลา


ดังนั้นรถเหาะจึงบินมาถึงประตูเมืองได้อย่างไร้การขัดขวาง แล้วร่อนลงมา


“ที่แท้ก็เป็นท่านอาวุโสอี๋ ทุกท่านคือสหายที่กลับมาจากแดนกว้างเย็นสินะ อาวุโสทุกท่านของเผ่าเมฆาได้ออกคำสั่งไว้นานแล้ว ให้สหายทุกท่านกลับมาแล้วไปเข้าพบพวกเขาที่หอคอยดาราเมฆาทันที”


ผู้พูดคือนักรบชุดเกราะระดับหลอมสุญตาที่รับหน้าที่ตรวจสอบตรงหน้าประตูเมืองคนหนึ่ง เขามองปราดเดียวก็จำชายร่างใหญ่หน้าดำได้ จึงเอ่ยอย่างนอบน้อม


“อืม ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกท่านก็เข้าเมืองเถิด ข้ายังมีธุระ ต้องกลับไปที่เมืองเมฆาก่อน” ชายร่างใหญ่หน้าดำไม่ได้ตกใจกับสิ่งเหล่านี้เลยสักนิด พลางพยักหน้าให้กับนักรบชุดเกราะที่เอ่ยถาม แล้วหันหน้าไปเอ่ยกับเซียนเย่ว์และพวก


คนที่เหลือย่อมไม่มีความเห็น หลังจากขอบคุณชายร่างใหญ่หน้าดำอย่างนอบน้อมแล้ว ก็ทยอยกันลงจากรถเหาะ


ชายร่างใหญ่หน้าดำร้องตะโกนต่ำๆ ออกมา อสูรวิญญาณหกตัวพวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้าทันที รถเหาะพุ่งตามขึ้นไปอีกครั้ง ชั่วพริบตาก็หายไปที่ขอบฟ้า


หลังจากที่หานลี่และพวกเข้ามาในประตูเมือง ก็พบว่าบนท้องถนนนั้นครึกครื้นคึกคักมาก แต่ใบหน้าของคนส่วนใหญ่ล้วนร้อนใจและเป็นกังวล


คิดดูแล้วก็ใช่!


เมืองมังกรอยู่ใกล้กับเมืองเมฆามากที่สุด ชาวเผ่าต่างๆ ของเมฆาสวรรค์ละทิ้งเมืองเมฆา แน่นอนว่ากว่าครึ่งต้องมารวมตัวที่นี่ ทำให้ประชากรหนาแน่น


พวกเขาหยุดรถอสูรสีขาวหิมะสองคันบนถนน แล้วเอ่ยกับพลขับว่า “หอคอยดาราเมฆา”


รถอสูรจึงพุ่งไปยังยอดเขาวิญญาณแห่งหนึ่งในเมือง


หานลี่นั่งอยู่ด้านข้างหน้าต่างบานหนึ่งของรถอสูร สายตามองไปยังกลุ่มคนและสิ่งปลูกสร้างตามข้างทาง แต่ใบหน้ากลับไร้ซึ่งความรู้สึก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่


ฉับพลันนั้นเขาพลันหน้าเปลี่ยนสี สายตาจ้องเขม็งผู้คนข้างถนน


คนผู้นี้สวมชุดคลุมสีเทา ผมสีขาวโพลน สีหน้าดูป่วยกระเสาะกระแสะ กำลังยืนอยู่ตรงประตูร้านค้าขายวัตถุดิบแห่งหนึ่ง และกำลังพูดคุยอันใดสักอย่างกับอีกคนหนึ่ง


คนผู้นั้นสวมชุดคลุมสีเหลือง สีหน้าเขียวคล้ำ หน้าตาดุดันมาก


หานลี่พลันขมวดคิ้ว หลังจากที่สีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสก็เอ่ยปากว่า “หยุดรถ ข้ามีเรื่องต้องทำสักหน่อย เหล่าสหายไปที่หอคอยดาราเมฆาก่อนเถิด ข้าจะรีบตามไป”


คนอื่นๆ ที่นั่งรถคันเดียวกันกับเขาได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนั้น แม้ว่าจะรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ไม่มีเหตุผลอันใดจะขัดขวาง


ดังนั้นพลขับจึงหยุดรถอสูรตามคำสั่ง


หานลี่บินลงมาอย่างเชื่องช้าแล้วเดินไปบนถนน


เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนที่อยู่ข้างทางกำลังโต้เถียงอันใดกันสักอย่างหนึ่ง น้ำเสียงดังขึ้นหลายส่วน


“ศิลาวิญญาณที่ติดอยู่ต้องคืนให้หมดภายในสามวัน มิเช่นนั้นอย่าโทษว่าข้าไม่ไว้หน้า” ผู้ที่หน้าเขียวคล้ำผู้นั้นมีสีหน้าเคร่งขรึมพลันเอ่ยอย่างเย็นชา


“สถานการณ์ของตาเฒ่า สหายหวงน่าจะรู้ดี ภายในสามวันไม่มีทางรวบรวมศิลาวิญญาณจำนวนมากขนาดนั้นได้ครบแน่” ชายชราหน้าตาป่วยกระเสาะกระแสะสั่นศีรษะอย่างต่อเนื่อง สีหน้าดูไม่ได้เล็กน้อย


“ข้าน้อยไม่สนใจว่าสถานการณ์ของเจ้าจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่คืนศิลาวิญญาณเจ้ารู้ผลที่จะตามมาดี สามวันจากนี้หากไม่มีศิลาวิญญาณ หึๆ…” ผู้ที่หน้าเขียวคล้ำหัวเราะอย่างเย็นชา


ชายชราหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ยามที่คิดจะเอ่ยอะไรอีกนั้น ฉับพลันนั้นผู้ที่หน้าเขียวคล้ำซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็มีสีหน้าตกตะลึง แววตาเผยความฉงนออกมา จากนั้นเสียงบุรุษราบเรียบก็ดังขึ้นก็ดังขึ้นที่แผ่นหลังของชายชรา


“ศิษย์พี่เซี่ยงติดศิลาวิญญาณนายท่านเท่าไหร่ ข้าจะใช้คืนให้”


ชายชราพลันตกตะลึง เสียงที่อยู่ด้านหลังเหมือนจะอยู่ใกล้แค่คืบ แต่ระยะใกล้เพียงนี้เหตุใดถึงไม่รู้ตัวเลย


เขาพลันตกตะลึงค้าง รีบร้อนหันกายไป เห็นเพียงห่างออกไปสองสามจั้ง มีชายหนุ่มอายุน้อย หน้าตาธรรมดาสามัญ สวมชุดคลุมสีเขียวกำลังยืนมองด้วยสีหน้าอมยิ้มอยู่คนหนึ่ง


มิใช่หานลี่แล้วจะเป็นผู้ใดได้?


“ศิษย์น้องหาน?” ชายชราเห็นหานลี่ชั่วขณะนั้นก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมา


“ศิษย์พี่เซี่ยง ไม่ได้พบกันนานสบายดีหรือ!” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา


ชายชราผู้นี้ก็คือผู้ที่เคยพบหน้ากับหานลี่ในเมืองเมฆาตอนแรก แต่ก็ต้องแยกกันไปหลายปี เซี่ยงจือหลี่!


“ศิษย์น้อง เจ้าก็มาที่เมืองมังกรเช่นกันหรือ ก่อนที่ข้าจะออกมาจากเมืองเมฆาได้เคยออกไปตามหาศิษย์น้อง แต่เบาะแสของศิษย์น้องดูเหมือนจะลึกลับมาก จึงไม่อาจสืบหาได้” เซี่ยงจือหลี่เอ่ยด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม


“เบาะแสของข้าตอนนี้สืบได้ยากจริงๆ กลับต้องลำบากศิษย์พี่แล้ว ใช่แล้ว ศิษย์พี่เซี่ยงติดศิลาวิญญาณเจ้าอยู่เท่าไหร่?” หานลี่พยักหน้าให้เซี่ยงจือหลี่แล้วเอ่ยถามผู้ที่หน้าเขียวคล้ำอีกครั้ง


ผู้ที่มีหน้าเขียวคล้ำเองก็มีระดับพลังไม่ต่างอะไรจากเซี่ยงจื่อหลี่อะไรในยามนี้ เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพลังยุทธ์แค่ระดับหลอมรวมคนหนึ่ง จิตสัมผัสของเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังยุทธ์ที่ลึกล้ำของหานลี่ได้ จึงหน้าซีดขาวไปตั้งนานแล้ว ยามนี้ได้ยินคำพูดของหานลี่ก็รีบร้อนคารวะหานลี่ด้วยตัวที่สั่นเทาพลางเอ่ยอย่างนอบน้อม


“มิกล้า! ชนรุ่นหลังไม่ทราบว่าสหายเซี่ยงมีที่มาเดียวกับท่านอาวุโส ศิลาวิญญาณพวกนี้ไม่ได้มีค่าอันใดคิดว่าเป็นสิ่งที่ชนรุ่นหลังคารวะท่านอาวุโสก็แล้วกัน”


“หึๆ เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่ชอบติดหนี้บุญคุณคนอื่นงั้นหรือ? เท่าไหร่บอกมาเถิด!” หานลี่ตีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงเย็นชาขึ้นหลายส่วน


“ไม่มาก แค่…” ชายหน้าเขียวคล้ำใจเต้น รีบร้อนเอ่ยจำนวนที่ไม่พอให้หานลี่ต้องพูดถึงออกมา


หานลี่พลิกฝ่ามือ ถุงหนังปรากฏขึ้นใบหนึ่ง โยนออกไปอย่างส่งเดชและใช้น้ำเสียงแกมออกคำสั่งเอ่ยว่า


“เก็บศิลาวิญญาณไป เจ้าไปได้แล้ว”


ชายหน้าเขียวคล้ำพยักหน้าค้อมเอวตรวจสอบถุงหนังแล้วก็จากไปโดยไม่กล้าพูดอันใดอีก


“ช่างน่าละอายเสียจริง ทำให้ศิษย์น้องหานสิ้นเปลืองแล้ว แล้วยังเห็นท่าทีจนตรอกของพี่อีก” เซี่ยงจือหลี่รอจนชายหน้าเขียวคล้ำหายไปก็ประสานมือคารวะหานลี่แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น


“ไม่เป็นไร ศิลาวิญญาณแค่นี้เล็กน้อย กลับเป็นข้าที่ได้พบกับศิษย์พี่เซี่ยงที่นี่ ช่างบังเอิญเสียจริง ทว่าข้าจำได้ว่าศิษย์พี่เคยกล่าวกับข้าเอาไว้หากข้าใกล้จะกลับไปที่แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนควรจะมาพบท่านอีกสักครั้งหนึ่ง เพราะมีเรื่องจะสั่งเสียกับข้า ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องใด ศิษย์พี่สะดวกบอกตอนนี้หรือไม่” หานลี่ยกมือขึ้นม่านลำแสงสีเทาชั้นหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ถึงได้เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม


ภายใต้เขตอาคมลำแสงเทวะดูดปราณชั่วคราว หานลี่กลับไม่กลัวว่าบทสนทนาของทั้งสองจะถูกคนอื่นแอบฟังเข้า


แม้ว่าเซี่ยงจือหลี่จะไม่รู้ว่าหานลี่ใช้อิทธิฤทธิ์ใด แต่เห็นท่าทางเอ่ยถามอย่างจริงใจของหานลี่ย่อมรู้ว่ามีความลึกลับอยู่หลายส่วน ทันใดนั้นแววตาจึงเปล่งประกายพลางเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น “ศิษย์น้องถามเช่นนี้ หรือว่าจะกลับแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนแล้ว”


“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าได้ทำธุระให้กับชาวเผ่าเมฆาสวรรค์ จึงยืมใช้เขตอาคมส่งตัวระดับสูงของพวกเขาได้ครั้งหนึ่ง อีกไม่นานก็จะออกจากแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีแล้ว” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ


“เยี่ยมจริงๆ ทว่าข้ามีของจะมอบให้ศิษย์น้องแต่ยามนี้ไม่ได้พกติดตัวมาด้วย และยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ก็ไม่เหมาะที่จะพูดคุยกัน เอาอย่างนี้ก็แล้วกันสามวันหลังจากนี้ศิษย์น้องมาที่ยอดเขามังกรวารีสีเขียวที่อยู่ห่างจากเมืองไปร้อยกว่าลี้ พวกเราไปพบกันที่นั่นจะได้พูดคุยกันสะดวก” เซี่ยงจือหลี่เอ่ยด้วยความยินดี


“ยอดเขามังกรวารีสีเขียว? ในเมื่อศิษย์พี่เซี่ยงกล่าวเช่นนี้ก็ทำตามนั้นเถิด” หานลี่ได้ยินแววตาก็ฉายแววประหลาดใจอย่างสัมผัสได้ยากแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าส่งๆ


“ตกลงตามนี้ ใช่แล้ว ศิษย์น้องหานมิใช่พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นอีกแล้วหรือ แม้ว่ายามนี้จะมองพลังยุทธ์ของศิษย์น้องไม่ออก แต่พลังแรงกดที่มีต่อข้ากลับไม่เหมือนกับคราวที่แล้ว!” เซี่ยงจือหลี่พิจารณาหานลี่อีกสักสองสามแวบแล้วเอ่ยถามด้วยความตกตะลึง


“พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นอะไรกัน แค่ฝึกฝนเพิ่มขึ้นนิดหน่อยแค่นั้น” หานลี่ฉีกยิ้มแล้วตอบกลับอย่างคร่าวๆ


เช่นนั้นหานลี่พูดคุยกับเซี่ยงจือหลี่อีกชั่วครู่ก็เก็บลำแสงเทวะดูดปราณ หยุดรถอสูรคันหนึ่งไว้แล้วขอตัวลา


ชายชรายืนอยู่ที่เดิม มองเงาแผ่นหลังของรถอสูรที่จากไปบนถนน หางตากระตุกเล็กน้อยคาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นรอยยิ้มแปลกประหลาดที่ไม่เป็นธรรมชาติ…


แม้ว่าเมืองมังกรจะกว้างใหญ่เช่นกันแต่เทียบกับเมืองเมฆาแล้วก็ยังเล็กกว่าเล็กน้อย


หานลี่นั่งอยู่บนรถอสูรหลังจากผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยามก็มาถึงยอดเขาแห่งหนึ่ง


ที่นี่มีหอคอยและวิหารเชื่อมติดกันหลายหลัง ล้อมยอดเขาทั้งลูกเอาไว้ข้างใน


หานลี่เดินขึ้นภูเขาไปตามทางที่พลขับชี้บอก แต่ตรงสันเขาพลันมีนักรบชุดเกราะจำนวนมากปรากฏขึ้น ท่าทางระมัดระวังตัวมาก


โชคดีที่หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกเพิ่งผ่านไป ดังนั้นหลังจากที่หานลี่แสดงฐานะก็ผ่านการตรวจสอบได้อย่างง่ายดาย


หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ก็มาปรากฏตัวหน้าหอคอยขนาดใหญ่บนยอดเขา


ตรงประตูหอคอยมีแผ่นป้ายสีเหลืองทองแขวนอยู่คู่หนึ่ง ด้านบนใช้ตัวอักษรโบราณเขียนคำว่า “หอคอยดาราเมฆา” เอาไว้มันเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับดูสะดุดตามาก


ทั้งสองฝั่งของประตูมีผู้สวมชุดสีเงินแปดคนสะพายกระบี่ยาวไว้ที่หลังยืนที่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ


ทว่าสิ่งที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงก็คือด้านหน้าหอคอยยังมีชายชราตัวอ้วนกลมสวมชุดคลุมสีเหลืองยืนเอามือไพล่หลังอยู่


ทว่าเมื่อเห็นหานลี่ชายชราสวมชุดคลุมสีเหลืองก็เผยรอยยิ้มออกมาขณะเดินเข้ามา


คาดไม่ถึงว่าชายชราผู้นี้จะเป็น “เชียนจีจื่อ” จากเผ่าหมื่นโบราณ

 

 

 


ตอนที่ 1743 ยาลูกกลอนกับการแลกเปลี่ยน

 

“ชนรุ่นหลังคารวะท่านอาวุโส!” เห็นเชียนจีจื่อมีท่าทีรอคอย หานลี่พลันตกตะลึง ปากกลับเอ่ยทักทายอย่างนอบน้อม


“ฮ่าๆ สหายหานไม่ต้องเกรงใจ เอ๋ สหายพลังยุทธ์อยู่ในขั้นที่เก้าแล้ว!” เชียนจีจื่อพลันโบกมือให้หานลี่พร้อมกับหัวเราะคิกคัก แต่หลังจากที่กวาดจิตสัมผัสไปเล็กน้อย ก็เอ่ยถามด้วยหน้าที่เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


“ชนรุ่นหลังได้พบวาสนาเล็กน้อยในแดนกว้างเย็น ถึงได้โชคดีบรรลุระดับขั้นได้” หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งในใจ แต่ยังคงเอ่ยตอบด้วยใบหน้าราบเรียบ


แม้ว่าเขาจะบรรลุมาถึงระดับหลอมสุญตาขั้นสุดยอดของระดับขั้นปลาย แต่เป็นเพราะเคล็ดวิชาอำพราง หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกที่อยู่ในระดับเดียวกันจึงไม่อาจมองเห็นความเปลี่ยนแปลงพลังยุทธ์ของเขาได้


หลังจากที่ออกมาแม้ว่าเซียนเย่ว์และพวกจะบรรลุระดับผสานอินทรีย์ แต่เป็นเพราะเพิ่งบรรลุระดับขั้น พลังจิตสัมผัสจึงไม่ได้เหนือกว่าหานลี่นัก แน่นอนว่าย่อมไม่อาจมองอันใดออกเช่นกัน


ส่วนชายหนุ่มแซ่เวิง แม้ว่ามองปราดเดียวก็รู้ว่าพลังยุทธ์ของเขาพัฒนาขึ้น แต่จากพลังยุทธ์ระดับมหายานย่อมไม่มีทางสนใจเรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้


ยามนี้ได้พบเชียนจีจื่อที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย กลับถูกเขามองออก


“พัฒนาได้ทีเดียวสองขั้น จะบอกว่าเป็นวาสนาเล็กๆ ได้อย่างไร หึๆ ทว่าตาเฒ่าอยู่ที่นี่ก็เพราะสหายหาน สหายตามข้ามาเถิด มีอีกสองท่านที่อยากพบสหาย” สีหน้าตกตะลึงของเชียนจีจื่อหายวับไป แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มดังเดิม


“อีกสองคน?” หานลี่ได้ฟังย่อมรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาหลายส่วนไม่ได้


“ใช่แล้ว ไม่ต้องกังวลอันใด สองคนนี้ล้วนเป็นผู้ที่สหายหานรู้จัก!” เชียนจีจื่อเอ่ยอย่างมีเลศนัย


หานลี่พลันขบคิดอย่างรวดเร็ว แต่กลับตอบรับด้วยสีหน้าราบเรียบ


“ในเมื่อท่านอาวุโสมีรับสั่ง ชนรุ่นหลังย่อมต้องทำตามคำสั่งอยู่แล้วขอรับ”


“เยี่ยม เช่นนั้นก็ตามตาเฒ่ามาเถิด” หลังจากที่เชียนจีจื่อพยักหน้าด้วยความพึงพอใจแล้ว ก็หันกายเดินเข้าไปในหอคอย


หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเดินตามไป


เขากลับไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะมีเจตนาไม่ดีอันใด


ถึงอย่างไรเสียที่นี่ก็มีหูตามากมาย อีกฝ่ายเป็นอาวุโสของเผ่า ไม่มีทางทำเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงของตนเองในหอคอยดาราเมฆาแน่


และการมีอาวุโสเผ่าหมื่นโบราณผู้นี้นำทาง ผู้พิทักษ์ชุดสีเงินทั้งสองข้างทางย่อมไม่อาจเข้ามาขัดขวางอันใด


ผลคือในหอคอยมีฟ้าดินอีกแห่ง


ในห้องโถงนอกจากเขตอาคมส่งตัวขนาดเล็กสองสามแห่งแล้ว ทุกแห่งล้วนว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอีก


เชียนจีจื่อพาหานลี่ตรงเข้าไปในเขตอาคมเขตหนึ่ง


ลำแสงเปล่งแสงเจิดจ้า หลังจากที่หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ก็มาปรากฏตัวในห้องโถงอีกแห่งหนึ่ง


ห้องโถงนี้ไม่นับว่าใหญ่นัก มีขนาดยี่สิบสามสิบจั้งเศษ เขตอาคมส่งตัวใต้ฝ่าเท้าอยู่ตรงใจกลางของห้องโถง


รอบด้านของห้องโถงกลับมีโต๊ะเก้าอี้ตั้งเรียงอยู่ เพดานมีผลึกศิลาขนาดยักษ์เท่าศีรษะฝังอยู่ แผ่แสงสีขาวเรืองๆออกมาส่องสว่างทำให้ทั้งห้องโถงเหมือนอยู่ในยามกลางวันก็ไม่ปาน


ทว่าทุกอย่างย่อมไม่สำคัญ หานลี่กวาดสายตาไป ตกอยู่บนเรือนร่างของทั้งสี่คนในห้องโถง


บุรุษสองสตรีสอง สองคนนั่งอยู่ อีกสองคนยืนเอามือประสานกันอยู่


สี่คนนี้ล้วนเป็นคนที่เขารู้จัก


นั่นก็คือไฉ่หลิวอิง หลิวสุ่ยเอ๋อร์ รวมทั้งต้วนเทียนเริ่นและสือคุน ศิษย์และอาจารย์สองคู่


หานลี่เห็นทั้งสี่คน ก็พึมพำในใจ แต่ยังคงคารวะสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์สองคนด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นท่านอาวุโสต้วนและท่านอาวุโสไฉ่ คารวะท่านอาวุโสทั้งสอง”


“หึๆ สหายหานไม่ต้องมากพิธี ครั้งนี้ข้าและสหายหลิวได้สิ่งที่ต้องการมา ก็ต้องขอบคุณสหายที่ช่วยเหลือ” ต้วนเทียนเริ่นหัวเราะร่าขณะเอ่ย แต่หลังจากพิจารณาหานลี่ขึ้นลงสองแวบ แววตาก็ฉายแววประหลาดใจ


เห็นได้ชัดว่าอาวุโสของเผ่าศิลารังไหมผู้นี้มองออกว่าพลังยุทธ์ของหานลี่เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตกตะลึงเช่นกัน


แม้ว่าไฉ่หลิวอิงที่อยู่ด้านข้างจะไม่ได้เอ่ยปาก แต่แววตาก็เปล่งประกายวาวโรจน์เช่นกัน


“ชนรุ่นหลังแค่ทำตามสัญญาเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าขอความดีความชอบอันใด” ใบหน้าของหานลี่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม แล้วเอ่ยอย่างถ่อมตัว


ทว่าเขาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เชียนจีจื่ออยู่ด้านข้าง แต่กลับไม่เผยสีหน้าประหลาดใจต่อคำพูดของต้วนเทียนเริ่นเลยสักนิด ดูเหมือนจะรู้ว่าเขาและทั้งสองมีสัญญาต่อกันอยู่แล้ว


“เหตุใดสหายหานจะต้องถ่อมตนด้วย ฟังจากคำพูดของศิษย์ อิทธิฤทธิ์ของสหายเหนือกว่าที่พวกเราคาดการณ์ไว้ หากไม่ใช่เพราะสหายลงแรงเป็นอย่างมากในแดนกว้างเย็น จะได้ของมาอย่างราบรื่นได้อย่างไร ยามนี้พลังยุทธ์ของสหายพัฒนาขึ้นมากแล้ว เกรงว่าอิทธิฤทธิ์คงไม่ด้อยไปกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้น เทียบได้กับพวกเราแล้ว” ไฉ่หลิวอิงเอ่ยปากด้วยรอยยิ้มเบิกบาน


เมื่อได้ยินไฉ่หลิวอิงกล่าวเช่นนั้น หานลี่พลันตกตะลึง สายตาอดที่จะกวาดไปทางใบหน้าของเชียนจีจื่อและต้วนเทียนเริ่นไม่ได้


พวกเขามีสีหน้าราบเรียบ ไม่ได้แย้งคำพูดของไฉ่หลิวอิง


หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม และกลับเอ่ยถามอย่างไม่ได้โต้แย้ง “ท่านอาวุโสทั้งสามต้องการพบข้าน้อย น่าจะมีเหตุผลสินะ หรือว่าเป็นเรื่องเขตอาคมส่งตัวข้ามแผ่นดินใหญ่ มีอุปสรรคใดหรือ?”


“ในเมื่อตาเฒ่าและอาวุโสเผ่าอื่นๆ ตอบรับเรื่องนี้ไว้แล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางกลับคำ ยิ่งไปกว่านั้นท่านอาวุโสเวิงยังออกคำสั่งเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ยิ่งไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธ” เชียนจีจื่อลูบเคราขณะตอบกลับ


“ท่านอาวุโสสองสามท่านหมายความว่า…” หานลี่เดาอันใดได้รางๆ แต่ยังคงเอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ


“สหายอย่าเข้าใจผิด ผู้แซ่ต้วนได้ยินศิษย์กล่าวว่า สหายดูเหมือนจะทำลายเขตอาคมสวนสมุนไพรในซากปรักหักพังได้ และยังกวาดเอาสมุนไพรไปจนเกลี้ยง คิดดูแล้วหากเป็นสมุนไพรแห่งแดนเทพเซียน จะต้องเป็นสิ่งที่ล้ำค่าหายากแน่ กว่าครึ่งคงมีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปอย่างพวกเรา แม้ว่าสหายจะมีอิทธิฤทธิ์มาก แต่ถึงอย่างไรเสียก็ยังไม่ได้บรรลุระดับศักดิ์สิทธิ์ สมุนไพรเหล่านี้คงไม่มีประโยชน์มากนัก หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ เราสามคนอยากแลกเปลี่ยนที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายกับสหายหานสักหน่อย!” ไฉ่หลิวอิงเอ่ยพร้อมกับอมยิ้ม


“ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย! ท่านอาวุโสทั้งสามคิดจะแลกเปลี่ยนอย่างไร?” หานลี่ได้ยินก็มีสีหน้าราบเรียบ และตอบกลับอย่างไม่คิดเช่นนั้น


หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ ทำให้เชียนจีจื่อและพวกรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


แต่ทั้งสามคนล้วนไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเช่นกัน หลังจากมองสบตากันแวบหนึ่ง ต้วนเทียนเริ่นก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “จากฐานะของเราทั้งสาม แน่นอนว่าย่อมไม่ให้สหายเสียเปรียบแน่ พวกเราสามคนมียาลูกกลอนจำนวนหนึ่งอยากแลกเปลี่ยนกับสหายเป็นอย่างไร? แม้ว่าสมุนไพรแดนเซียนเหล่านั้นจะหายากมาก แต่เทียบกับการพัฒนาระดับขึ้นไปอยู่ระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว สิ่งไหนสำคัญกว่า คิดดูแล้วสหายหานก็น่าจะรู้ดีสินะ?” เชียนจีจื่อครุ่นคิดแล้วเอ่ยตรงๆ


“มียาลูกกลอนที่ช่วยทะลวงจุดคอขวดระดับศักดิ์สิทธิ์!” หานลี่ได้ฟังก็หน้าเปลี่ยนสี แล้วมีท่าทีสนใจเล็กน้อย


“ทว่า ตอนนั้นที่พวกเราสามคนพัฒนาระดับศักดิ์สิทธิ์ ย่อมเตรียมยาลูกกลอนเอาไว้จำนวนมาก แม้ว่ากว่าครึ่งจะถูกใช้ไปจนเกลี้ยง แต่ในมือของเราสามคนก็ยังเหลืออยู่บ้าง เมื่อนำมารวมกันจำนวนก็ยังคงไม่น้อย สหายมียาลูกกลอนนี้คงเพิ่มอัตราการทะลวงจุดคอขวดระดับศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างน้อยสองสามส่วน” ต้วนเทียนเริ่นเอ่ยอย่างมั่นใจ


“แน่นอน พวกเราหยิบยาลูกกลอนและสมบัติมาได้เท่าไหร่ ก็ต้องดูว่าสหายได้สมุนไพรแดนเทพเซียนมาจากสวนสมุนไพรนั้นเท่าไหร่ รวมทั้งชนิดของสมุนไพร” ไฉ่หลิวอิงเอ่ยเสริม


แม้ว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนที่อยู่ด้านข้างจะรู้ว่าต้วนเทียนเริ่นและพวกตามหาหานลี่เพราะเหตุใด ยามนี้สายตาที่มองหานลี่ก็อดที่จะเผยสีหน้าอิจฉาขึ้นมาไม่ได้


แม้ว่าครั้งนี้หลังจากที่พวกเขากลับมาจากแดนกว้างเย็นจะได้ประโยชน์มากมายจากต้วนเทียนเริ่นและไฉ่หลิวอิง แต่เทียบกับคำสัญญาในยามนี้ แน่นอนว่าย่อมเทียบกันไม่ได้


หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส แววตาเปล่งประกายไม่แน่นอน ท่าทางครุ่นคิด


เชียนจีจื่อและพวกทั้งสามเองก็ไม่ได้เอ่ยปาก ให้หานลี่ได้ชั่งน้ำหนักข้อได้เปรียบเสียเปรียบ


หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่จึงพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจ เอ่ยกับเชียนจีจื่อและพวก “ชนรุ่นหลังได้สมุนไพรวิญญาณมาจากสวนสมุนไพรในเขตต้องห้ามจริงๆ จำนวนก็นับว่าไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ล้วนไม่อาจแยกแยะความเป็นมาได้ สามารถแลกเปลี่ยนยาลูกกลอนกับท่านอาวุโสทั้งสามได้ย่อมเป็นเรื่องดี แต่แค่ไม่รู้ว่าท่านอาวุโสทั้งสามจะสนใจสมุนไพรเหล่านี้หรือไม่”


“สหายหานโปรดวางใจ เราสามคนนับว่ามีประสบการณ์ คิดดูแล้วคงแยกแยะได้กว่าครึ่ง ต่อให้ไม่อาจแยกแยะได้ ก็จะให้ราคาที่สมเหตุสมผลกับสหายแน่” เมื่อได้ยินหานลี่ยินดีจะแลกเปลี่ยน เชียนจีจื่อก็เอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ


ต้วนเทียนเริ่นและไฉ่หลิวอิงเองก็ดีใจ แล้วเอ่ยรับประกันเช่นกัน


“ท่านอาวุโสทั้งสามกล่าวเช่นนี้ ชนรุ่นหลังจะนำสมุนไพรออกมาให้ท่านอาวุโสทั้งสามวินิจฉัยก็แล้วกัน”


หานลี่พยักหน้า แล้วสะบัดข้อมือ


กำไลเก็บของเปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเขียวก็พ่นออกมากลางอากาศ


หลังจากลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ กลางอากาศก็มีกล่องหยกหลากหลายรูปแบบจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ทุกกล่องล้วนเปล่งแสงเรืองๆ


ต้วนเทียนเริ่นแววตาเปล่งประกาย มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศ กล่องหยกที่อยู่ใกล้เขาที่สุดถูกดูดเข้ามาในมือ


ปัดนิ้วผ่านไป กล่องหยกเปิดออกโดยอัตโนมัติ ด้านในมีสมุนไพรวิญญาณสีแดงสดราวกับปะการังปรากฏขึ้น


ยามสองสามฉื่อเปล่งแสงเรืองๆ


“หญ้าปะการังเพลิง! คาดไม่ถึงว่าจะใหญ่ขนาดนี้!” ต้วนเทียนเริ่นร้องอุทานด้วยเสียงแหบแห้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึง


หานลี่เห็นเช่นนั้น รูม่านตากลับหดเล็กลง จากนั้นก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ


สมุนไพรวิญญาณต้นนี้เป็นหนึ่งในชนิดที่เขาเก็บมาแต่ไม่รู้จักชื่อ


หากจำไม่ผิดละก็ น่าจะเก็บสมุนไพรวิญญาณชนิดนี้มาห้าหกต้น


และยามนี้แน่นอนว่าย่อมเอาออกมาแค่ต้นเดียว


ไฉ่หลิวอิงและเชียนจีจื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็มองสบตากันแวบหนึ่ง แววตาอดที่จะเต็มไปด้วยความเร่าร้อนไม่ได้


ทันใดนั้นก็ยกมือขึ้นดูดกล่องหยกเข้ามาในมือเช่นกัน และเริ่มแยกแยะอย่างละเอียด


พวกเขาสามคนคู่ควรกับสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปที่อยู่มามากกว่าหมื่นปีจริงๆ สมุนไพรที่หานลี่รู้จักนั้นไม่ต้องพูดถึง อันอื่นที่เดิมไม่อาจรู้ความเป็นมา คาดไม่ถึงว่าจะถูกพวกเขาสามคนรู้จักไปห้าหกส่วน


และเห็นได้ชัดว่าสมุนไพรเหล่านี้ล้วนมีที่มาที่ไปทุกต้น ทำให้ทั้งสามคนดีใจอย่างต่อเนื่อง


แม้ว่ากล่องหยกกลางอากาศจะมีมากกว่าร้อยต้น แต่หลังจากผ่านไปเป็นเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งมื้ออาหาร ก็ถูกทั้งสามคนวินิจฉัยไปแล้วเกือบหมด


“ไม่เลวสมุนไพรเหล่านี้เป็นสมุนไพรที่หายากจริงๆ ทว่าตามกฎของสวนสมุนไพร น่าจะไม่ได้มีแค่ต้นเดียวกระมัง สหายหานยังมีสมุนไพรอีกเท่าไหร่ เอาออกมาเถิด” เชียนจีจื่อวินิจฉัยสมุนไพรในกล่องหยกกล่องสุดท้ายเสร็จ ก็เก็บสมุนไพรเข้าไปในกล่องหยกอย่างเสียดาย ฉับพลันนั้นก็เอ่ยกับหานลี่ด้วยรอยยิ้มจางๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)