คัมภีร์วิถีเซียน 1740-1741

 ตอนที่ 1740 ความวุ่นวายของเมืองเมฆา

 

หานลี่มองเห็นฉากนี้ใบหน้าก็อดที่จะเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาไม่ได้


แม้จะรู้ว่าอัตราการทะลวงจุดคอขวดอย่างฉับพลันในแดนกว้างเย็นจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่คนทั้งสองกลุ่มต่างก็มีระดับผสานอินทรีย์ปรากฏตัวคนหนึ่ง อัตราส่วนนี้มันเทียบกับแดนวิญญาณแล้วมันน่าตกตะลึงมาก


โชคดีที่แดนกว้างเย็นหมื่นปีจะเปิดสักครั้ง มิเช่นนั้นเกรงว่าแผ่นดินใหญ่ที่เหลือทั้งสองคนไม่อาจเทียบเทียมจำนวนของระดับผสานอินทรีย์ในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีได้


ทว่าการที่หานลี่ถูกส่งตัวมาก่อนคนที่เหลือก้าวหนึ่ง ก็ยังรู้สึกสงสัยไม่แน่ใจ


หรือว่าจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ?


เขาอดที่จะรู้สึกกังขาในใจไม่ได้


แน่นอนว่าหานลี่นั้นไม่รู้ว่าทุกอย่างนี้เกี่ยวข้องกับผลสวรรค์ทมิฬที่ผนึกอยู่ในแขนของเขา


ในฐานะที่เป็นสมบัติสวรรค์ทมิฬของพลังกฎเกณฑ์อีกโลก แม้ว่าจะถูกผนึกอยู่ เมื่อได้รับการขับไล่จากพลังหลักเกณฑ์ของแดนกว้างเย็น ก็ทำให้เขาที่เป็นเจ้านาย แข็งแกร่งกว่าชนต่างเผ่าธรรมดาๆ คนอื่นๆ เป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงถูกส่งตัวออกจากแดนกว้างเย็นเป็นคนแรก


และยามนี้สถานการณ์วุ่นวายตรงหน้า ก็ทำให้ชาวเผ่าเมฆาสวรรค์ที่เพิ่งกลับมาจากแดนกว้างเย็นเหล่านี้ ตกตะลึงจนตาค้าง แทบจะไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเอง


พวกเขาเพิ่งจะจากมาแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น เหตุใดสงครามถึงถูกจุดชนวนมาถึงเมืองเมฆาซึ่งเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง


ทว่าคนเหล่านี้รอดชีวิตกลับมาจากแดนกว้างเย็นได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ล้วนรู้ว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาซักถามหาสาเหตุ ทันใดนั้นผู้ที่ค่อนข้างใจร้อนก็เปล่งแสงสว่างวาบ ทยอยกันสำแดงสมบัติออกมา เตรียมเข้าร่วมการต่อสู้กลางอากาศ


แต่ในยามนี้เองฉับพลันนั้นกลางอากาศก็มีลำแสงสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วร่อนลงมา หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้งก็ปรากฏตัวกลางอากาศต่ำๆ ตรงใจกลางของเขตอาคมทั้งสอง ปรากฏเป็นชายชราที่ดูแล้วไม่เป็นมิตรคนหนึ่ง


เขาสวมเกราะสงครามสีฟ้าอ่อน ดวงตาทั้งสองมีสีเหลืองแกมนิดๆ


“ในที่สุดสหายทุกท่านก็กลับมาแล้ว เพื่อต่อต้านสิ่งมีชีวิตระดับสูงของเผ่าแมลงมีเขาเหล่าอาวุโสจึงไปต้านทานอยู่ ไม่ได้อยู่ที่นี่ ทว่ายามที่อาวุโสเวิงจากไปได้รับสั่งว่า หากเหล่าสหายถูกส่งตัวกลับมาแล้ว ให้ไปที่ป้อมปราการสะท้านฟ้าของเผ่าหมื่นโบราณ” ชายชราจากเผ่าใดก็สุดจะรู้ได้ ร้องเรียกหานลี่และพวกอย่างร้อนใจ แล้วโยนสิ่งของที่มีรูปร่างเหมือนแผ่นป้ายมาให้แผ่นหนึ่ง จากนั้นลำแสงหลีกหนีก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลับไปกลางอากาศ


ชายชราชูมือสองข้างขึ้น ปล่อยเพลิงอัสนีสีแดงสดออกมา ทะลักไปหานักรบชุดเกราะเผ่าแมลงมีเขาที่ถือโอกาสนี้พุ่งเข้ามาหาเขา


ส่วนชาวเผ่าแมลงมีเขาก็ร้องตะโกน เปลวเพลิงสีขาวทะลักออกมาจากร่าง


ท่ามกลางเสียงอึกทึก ทั้งสองพลันต่อสู้กัน


หานลี่และพวกที่อยู่ด้านล่างได้ยิน ก็อดที่จะมองสบตากันไม่ได้


แผ่นป้ายถูกชายวัยกลางคนที่เพิ่งพัฒนามาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ผู้นั้น ยกมือขึ้นดูดเข้ามาอยู่ในมือ และใช้จิตสัมผัสตรวจสอบอย่างละเอียดรอบหนึ่ง แล้วพลันหน้าเปลี่ยนสี พลางโยนไปที่เซียนเย่ว์ที่อยู่กลางเขตอาคมตรงข้าม


“ไม่ผิด เป็นความจริง สหายผู้ที่ถ่ายทอดคำสั่งมา ข้าเองก็รู้จัก เป็นสหายอวี๋ของเผ่ามรกต เขาเป็นอาวุโสผู้คุมกฎ” เซียนเย่ว์มองแผ่นป้ายในมือแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยกับคนอื่นอย่างมั่นใจ


“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ทำตามคำสั่งเถิด คิดดูแล้วท่านอาวุโสเหวิงรับสั่งเช่นนี้ น่าจะมีแผนการอันใด” ชายวัยกลางคนลังเลเล็กน้อย แล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา


ในคำพูดแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายออกคำสั่งอยู่สามส่วน


ถึงอย่างไรเสียเขาในตอนนี้ก็พัฒนามาอยู่ในระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์แล้ว สือคุนและพวกที่เดิมอยู่ในระดับเดียวกัน ย่อมไม่อาจเอามาเปรียบเทียบได้


คนที่เหลือได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาอื่น ส่วนใหญ่ล้วนพยักหน้าอย่างเงียบๆ


ทันใดนั้นคนที่อยู่ในเขตอาคมก็พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ แล้วบินไปยังเมืองเมฆาจากอีกด้าน


  ระหว่างทางแม้ว่าบางครั้งจะพบกับชาวแมลงมีเขามาขวางไว้ แต่ในสถานการณ์นี้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นคู่ต่อสู้กับระดับผสานอินทรีย์ชั้นต้นสองคนรวมทั้งระดับหลอมสุญตามากมายได้ จึงทยอยกันถูกโจมตีจนจบชีวิตลงไปอย่างง่ายดาย


หลังจากที่ออกห่างจากเขตอาคมมาได้ระยะหนึ่ง แม้ว่าในเมืองเมฆาจะยังคงวุ่นวาย แต่ชาวเผ่าแมลงมีเขาก็มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


สำเภารบเผ่าแมลงมีเขาขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน อสูรรบ นักรบชุดเกราะ แทบจะกระจายตัวอยู่ตามจุดๆ ต่างทั่วเมือง


หานลี่มองเห็นแม้กระทั่งหุ่นเชิดระดับสุดยอดเกือบหมื่นจั้งนอนนิ่งอยู่บนพื้นด้านล่างตัวหนึ่งระหว่างทาง


เดิมที่ควรจะมีร่างกายขาวบริสุทธิ์ดุจหยก ตรงหน้าราวกับยอดเขาชำรุดก็ไม่ปาน หาจุดที่สมบูรณ์แบบไม่ครบแล้ว


เมื่อเห็นหุ่นเชิดขนาดใหญ่ หานลี่พลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็นึกถึงดวงแสงทรงกลมยักษ์สิบสองลูกที่อยู่รอบๆ เมืองเมฆา


ไม่ต้องสงสัยเลย นี่คือหนึ่งในหุ่นเชิดผู้พิทักษ์ทั้งสิบสองตัวของเมืองเมฆา


สิ่งมีชีวิตที่ว่ากันว่ามีพละกำลังเหนือกว่าระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น คาดไม่ถึงว่าจะถูกทำลายจนร่อนลงสู่พื้น เห็นได้ชัดถึงความร้ายกาจของกองทัพเผ่าแมลงมีเขา เดาว่าครั้งนี้คงไม่อาจปกป้องเมืองเมฆาได้แปดเก้าส่วนแล้ว


สิ่งที่ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยก็คือ ระหว่างทางกลุ่มของเขายังไม่เคยพบกับสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ใดๆ


ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตระดับนี้ของอีกฝ่าย ล้วนหายตัวไปจากเมืองจนเกลี้ยง


หรือว่าสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดของทั้งสองฝ่ายล้วนวิ่งออกไปนอกเมืองแล้ว


หานลี่บินไปเงียบๆ ไปพลาง ขบคิดในใจไปพลาง


ระหว่างทางไม่ว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์หรือสือคุนล้วนไม่ได้พูดอันใดกับเขา ทำท่าเหมือนเป็นคนแปลกหน้ากับหานลี่อย่างไรอย่างนั้น


ส่วนเซียนเย่ว์นอกจากตอนแรกที่รับประกันแผ่นป้ายแล้ว ก็ไม่พูดอันใดอีก ระหว่างนั้นเคยบังเอิญมองหานลี่สองแวบ แต่ก็แค่ฉีกยิ้ม ไม่ได้ถ่ายทอดใดๆ เป็นพิเศษเช่นกัน


หานลี่ทำเป็นไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ กลับเป็นเพราะความวุ่นวายในเมืองเมฆาในยามนี้ ในใจจึงรู้สึกหนักอึ้ง


กองทัพเผ่าแมลงมีเขาโจมตีเข้ามาในเมืองเมฆา ไม่รู้ว่าจะทำให้เรื่องยืมเขตอาคมส่งตัวระดับสุดยอดนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดที่คาดไม่ถึงหรือไม่


เช่นนั้นขณะที่คนทั้งกลุ่มไม่ได้พบการขัดขวางจากสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไป ก็ออกจากภูเขาแปดเมฆาในรวดเดียว แม้กระทั่งระหว่างทางยังร่วมมือกันโจมตีสำเภารบสองสามลำและรถศึกร้อยกว่าคันจนพังทลาย


หลังจากมาถึงที่นี่ร่องรอยของชาวเผ่าแมลงมีเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย กลับมองเห็นนักรบชุดเกราะเผ่าเมฆาสวรรค์เป็นกลุ่มๆ อยู่ทั่วทุกหนแห่ง


ท่ามกลางภูเขาวิญญาณแปดลูก ยิ่งมีไอสมบัติพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เขตอาคมแผ่ระลอกคลื่นออกมาเป็นชั้นๆ


ท่ามกลางม่านหมอกในบริเวณรอบ ยังมองเห็นรถศึกสีทองสัมฤทธิ์และหุ่นเชิดขนาดยักษ์หลากสีสันเรียงรายอยู่ในนั้น


คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีการป้องกันที่เข้มงวดมาก


หานลี่และพวกรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่รอให้พวกเขาได้เอ่ยถามอันใด นักรบชุดเกราะร้อยกว่าคนก็พุ่งเข้ามาต้อนรับพวกเขา


ผู้นำคือชายร่างใหญ่หน้าดำคนหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนรู้จักพวกเขาสองสามคน ทันใดนั้นก็เบะปากหัวเราะร่าแล้วเอ่ยว่า “ในที่สุดสหายทุกท่านก็กลับมาจากแดนกว้างเย็นแล้ว ท่านอาวุโสเวิงกำลังรอฟังข่าวทุกท่านอยู่ที่ป้อมปราการสะท้านฟ้า สหายทุกท่านตามข้ามาเถิด!” ชายร่างใหญ่หน้าดำผู้นี้มีกลิ่นอายที่พิเศษมาก แม้กระทั่งหานลี่ยังไม่อาจแยกแยะระดับพลังยุทธ์ของเขาได้ ทำได้เพียงสัมผัสได้รางๆ ว่ามีอิทธิฤทธิ์พิเศษ อานุภาพน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง


“ที่แท้เป็นท่านอาวุโสปิ่ง พวกเราจะกล้ารบกวนท่านอาวุโสให้รออีกครั้งได้อย่างไร” เซียนเย่ว์และชายวัยกลางคนที่เพิ่งพัฒนาขึ้นไปอยู่ระดับผสานอินทรีย์เห็นชายร่างใหญ่หน้าดำ กลับร้องอุทานออกมา รีบร้อนเข้ามาทำความเคารพทันที


หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกคนอื่นๆ อาศัยอยู่ในเมืองเมฆาอย่างถาวร ต่างก็เข้ามาคารวะพร้อมกับหน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน


หานลี่ขมวดคิ้วตามความรู้สึก แต่ก็คารวะอีกฝ่ายด้วยสีหน้าราบเรียบ


“สหายเย่ว์และสหายหนิงพัฒนาระดับขั้นแล้ว วันข้างหน้าก็มีศักดิ์เท่าเทียมกันกับข้าน้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเพียงนั้น ทุกท่านตามข้าไปคารวะท่านอาวุโสเวิงเถิด!” ชายร่างใหญ่กลับโบกมือให้เซียนเย่ว์และพวกทั้งสองที่พัฒนาระดับขั้นแล้วพลางหัวเราะคิกคัก


“อาวุโสเวิงอยู่ในป้อมปราการหรือ!” ชายวัยกลางคนแซ่อี๋พลันตกตะลึง จากนั้นก็รู้สึกดีใจ


คนอื่นๆ ก็ทยอยกันผ่อนคลายลง


ในเมื่ออาวุโสเผ่าเมฆาสวรรค์ระดับมหายานผู้ยิ่งใหญ่อยู่ที่นี่ คิดดูแล้วถึงสถานการณ์จะเลวร้าย แต่ก็ไม่มีทางเลวร้ายมาก


ชายร่างใหญ่หน้าดำพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้พูดอันใดอีก พลางบินนำทางไปยังยอดเขาแห่งหนึ่ง


หลังจากที่หานลี่และพวกไล่ตามหลังไปติดๆ นักรบชุดเกราะร้อยกว่าคนก็แบ่งออกเป็นสองแถว คอยคุ้มกันทั้งซ้ายและขวา


หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หลังจากที่ทุกคนผ่านยอดเขาสูงใหญ่มา ป้อมปราการขนาดสองสามลี้ก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตา


ป้อมปราการเมืองแห่งนี้ถูกกำแพงสูงล้อมเอาไว้ บนกำแพงเมืองมีรูปปั้นสีเงินขาวนั่งยองๆ อยู่ รูปลักษณ์แตกต่างกันไป มีทั้งอสูร ทั้งมีมนุษย์ หนึ่งในนั้นที่ใหญ่หน่อยก็มีขนาดร้อยกว่าจั้ง เล็กหน่อยก็มีขนาดเจ็ดแปดจั้ง ทุกตัวล้วนแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน แต่กลับมีจิตสังหารประหลาดแผ่ออกมาจากเรือนร่างของพวกมัน


เหนือหัวเมืองมีนักรบชุดเกราะสีเขียวถือขวานยาวเรียงแถวอยู่ กำลังลาดตระเวนอย่างเป็นระเบียบ แต่บนเรือนร่างกลับไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตเลยสักนิด คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหุ่นเชิดร่างมนุษย์


และบริเวณใกล้เคียงกับป้อมปราการเมืองยังมีหุ่นเชิดธาตุทองสูงเกือบสองสามร้อยจั้งสิบกว่าตัว ถือดาบและกระบี่ยืนสูงตระหง่านอยู่ตรงนั้น


กลางอากาศต่ำๆ ของป้อมปราการเมืองมีเขตอาคมลำแสงประหลาดกว้างห้าสิบหกสิบจั้ง เปล่งแสงระยิบระยับ ไม่รู้ว่ามีประโยชน์ลึกลับอันใด


นี่คือป้อมปราการเมืองหมื่นโบราณที่หานลี่เคยมาครั้งหนึ่ง


ที่นี่เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของเผ่าหมื่นโบราณของเมืองเมฆา แต่ยามนี้ลำแสงหลีกหนีจำนวนมากต่างบินเข้าออกจากป้อมปราการเมือง แบ่งออกเป็นเผ่าต่างๆ ได้กลายเป็นศูนย์กลางการรับและออกคำสั่งชั่วคราว


มีชายร่างใหญ่หน้าดำเป็นผู้นำ หานลี่และพวกจึงร่อนลงตรงหน้าวิหารสะท้านฟ้า จากนั้นผู้พิทักษ์สวมชุดสีขาวสองคนตรงหน้าประตูก็กวาดตามา แล้วทยอยกันเข้าไปในวิหาร


ผู้คนในวิหารมีไม่มากนัก มีแค่สามคนเท่านั้น หนึ่งในนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าราบเรียบ นั่นก็คือสิ่งมีชีวิตระดับมหายานของเผ่าเมฆาสวรรค์ผู้นั้น ชายหนุ่มแซ่เวิง


สองคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง กลับมีพลังยุทธ์แค่ระดับหลอมสุญตา ใบหน้าล้วนเผยสีหน้าเคารพนบน้อมออกมาขณะรับฟังคำสั่งจากชายหนุ่ม


“คารวะท่านอาวุโสสูงสุด!”


เซียนเย่ว์และชายวัยกลางคนเข้ามาในวิหาร ก็พาคนอื่นๆ เข้ามาทำความเคารพทันที


“อ๋อ พวกเจ้ากลับมาแล้ว ไม่เลวๆ คาดไม่ถึงว่าจะมีสองคนที่พัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ลุกขึ้นเถิด” ชายหนุ่มเห็นเซียนเย่ว์และชายวัยกลางแซ่อี๋ แววตาก็เปล่งประกายเล็กน้อย มุมปากเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย


เซียนเย่ว์และพวกย่อมยืนขึ้นตามคำสั่ง


ส่วนสายตาของชายหนุ่มแซ่เวิงเพิ่งจะกวาดมาบนเรือนร่างของคนอื่นๆ


หานลี่รู้สึกว่าไม่รู้ตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า หลังจากที่อีกฝ่ายมองตนแล้ว รอยยิ้มตรงหางตาดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นมากกว่ายามที่มองเซียนเย่ว์และชายหนุ่มแซ่อี๋หนึ่งส่วน


เมื่อขบคิดว่าตอนแรกอีกฝ่ายมอบ “ตราประทับเทียนกัง” ให้อย่างไม่มีเหตุมีผล ก็ทำให้หานลี่รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย


โชคดีหลังจากที่ชายหนุ่มมองหานลี่แวบหนึ่งแล้ว ก็เลื่อนสายตาออก จากนั้นก็โบกมือให้คนข้างๆ ทั้งสองคน


ชั่วขณะนั้นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาสองคนก็กล่าวลาอย่างรู้จักวางตัวทันที

 

 

 


ตอนที่ 1741 หม้อวิญญาณสูญ

 

“ยามนี้สถานการณ์ค่อนข้างพิเศษ จะพูดสั้นๆ ก็แล้วกัน พวกเจ้าเองก็เห็นสภาพของเมืองเมฆาในยามนี้แล้ว เรื่องมันง่ายดายมาก แค่เผ่าของเราตกหลุมพรางเผ่าแมลงมีเขา ถูกอีกฝ่ายย้ายกองกำลังหลักเข้าไปในเขตอัตรา และวางแผนล้อมเอาไว้ชั่วคราว ส่วนกองทัพใหญ่ของเผ่าแมลงมีเขาก็ถือโอกาสลงผ่านทั้งสิบสามเมืองมาโจมตีเมืองเมฆา ส่วนแผนภาพเขตอาคมป้องกันของเมืองเราก็ถูกอีกฝ่ายขโมยไป จึงไม่อาจอาศัยเขตอาคมป้องกันต้านทานกองทัพของอีกฝ่ายได้ ดังนั้นเมืองของเราจะทำการยอมแพ้ในอีกไม่ช้า พวกเจ้าเองก็อย่าอยู่ที่นี่นานนัก ให้อพยพไปยังเมืองมังกรวารีที่อยู่ใกล้ที่สุด” ชายหนุ่มแซ่เวิงเอ่ยอย่างราบเรียบ


“คาดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะย่ำแย่เพียงนี้! แต่มีท่านอาวุโสอยู่ คงไม่ถึงกับต้องละทิ้งเมืองเมฆากระมัง” เซียนเย่ว์ได้ยินคำนี้ก็หน้าถอดสี


คนที่เหลือต่างทยอยกันเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา


“หึๆ หรือว่าพวกเจ้าคิดว่าชาวเผ่าแมลงมีเขาไม่มีสิ่งมีชีวิตระดับมหายานหรือ? ในกองทัพเผ่าแมลงมีเขาที่เข้ามารุกรานในครั้งนี้ ก็มีอาวุโสระดับสูงสุดของเผ่าแมลงมีเขาสองคน พวกเขาได้ส่งข่าวมาให้ข้าก่อนแล้ว การศึกของสองเผ่าในครั้งนี้ หากพวกเราไม่ลงมือ พวกเขาสองคนก็ไม่ลงมือ มิเช่นนั้นผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว ข้าไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันสองคนได้ แต่หากพวกเขาสองคนร่วมมือกันก็ไม่มั่นใจว่าสังหารข้าได้ นี่ถึงจะเป็นการลูบหน้าปะจมูกที่แท้จริง” ชายหนุ่มแซ่เวิงอธิบาย


“ทว่าเมืองของเรารวบรวมสิ่งมีชีวิตระดับมหายานก็มีประมาณยี่สิบกว่าคน หากสหายเหล่านี้ลงมือ ก็เพียงพอจะช่วยพลิกสถานการณ์ได้ แต่ทางที่ชนรุ่นหลังและพวกผ่านมา คาดไม่ถึงว่าจะไม่พบกับสิ่งมีชีวิตระดับมหายานของเผ่าเราเลยสักคน หรือว่าพวกเขา…” บุรุษวัยกลางคนแซ่อี๋กลับสูดลมหายใจเย็นยะเยือก แล้วอดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น


“วางใจ พวกเขาไม่เป็นไร มีภารกิจอื่นจึงไม่อยู่ในเมือง พวกเจ้าเองคงรู้แล้วว่า ในบรรดาชาวเผ่าแมลงมีเขาที่เข้ามาโจมตีเมืองไม่มีสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน นี่เป็นคุณงามความดีของพวกเขา ทว่าสถานการณ์นี้ไม่อาจยื้อได้นานนัก เดาว่าเผ่าแมลงมีเขาคงใกล้จะรู้ตัวแล้วส่งสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์เข้าร่วมการต่อสู้แล้ว ในสถานการณ์ที่ข้าไม่อาจลงมือได้ เมืองนี้ต้องแตกอย่างไม่ต้องสงสัย นี่คือสาเหตุที่ข้าออกคำสั่งให้ละทิ้งเมืองนี้ พวกเจ้าออกไปโดยให้สหายปิ่งนำทางเถิด” ชายหนุ่มโบกมือแล้วออกคำสั่งโดยตรง


เซียนเย่ว์และชายวัยกลางคนมองสบตากันแวบหนึ่ง รีบร้อนตอบรับคำสั่งอย่างไม่กล้าขัดขืน


คนที่เหลือเองก็ประสานมือรับคำสั่งเช่นกัน


มีเพียงหานลี่ที่ขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าเผยสีหน้าลังเลออกมา


“ใช่แล้ว สหายหานอยู่ที่นี่ก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าตามลำพัง” ชายหนุ่มแซ่เวิงมองหานลี่แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น


หานลี่ใจหายวาบ แต่ก็ไม่กล้าขัดขืนจึงตอบรับทันที


คนอื่นเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็รู้สึกฉงนในใจ แต่ใบหน้ายังคงไร้ความรู้สึกขณะตามชายร่างใหญ่หน้าดำออกไปจากวิหาร


ชายหนุ่มแซ่เวิงถึงได้ใช้สายตาเปื้อนยิ้มมองมาทางหานลี่


“ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสมีรับสั่งอันใด กับแดนที่ต้องการชนรุ่นหลัง ก็รับสั่งเถิด” เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตระดับมหายานที่ดูเหมือนว่าจะมีความคิดอื่น หานลี่พลันขนลุกซู่ แต่ปากก็เอ่ยถามอย่างนอบน้อม


“อืม ตาเฒ่ารั้งเจ้าไว้ที่นี่ เพราะมีเรื่องจะไหว้วานเจ้า สหายหานมีต้นกำเนิดมาจากเผ่ามนุษย์แห่งแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนสินะ!” ชายหนุ่มแซ่เวิงเอ่ยปาก แล้วเอ่ยถามปัญหาที่ทำให้หานลี่ตกใจจนสะดุ้งโหยง


“ท่านอาวุโสทราบต้นกำเนิดของชนรุ่นหลังได้อย่างไรขอรับ หรือว่าท่านอาวุโสเองก็เคยไปที่แผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน?” หลังจากที่หานลี่ใจเต้นระรัวแล้ว ก็ไม่อาจรักษาสีหน้าราบเรียบได้อีกขณะเอ่ยถาม


“เหอๆ มากกว่าเคยไปที่แผ่นดินเฟิงหยวนเสียอีก ตอนแรกตาเฒ่ามีสหายสองสามท่านเป็นคนของเผ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้า เคยสู้รบและแลกเปลี่ยนกัน นับว่ามีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง แม้ว่าพละกำลังของเผ่ามนุษย์จะไม่นับว่าแข็งแกร่ง แต่ในเผ่าก็มีอิทธิฤทธิ์ที่สืบทอดกันมาซึ่งไม่อาจดูถูกได้ อานุภาพไม่น้อย แต่แค่เคล็ดวิชาเหล่านี้ฝึกฝนยากเย็น เผ่ามนุษย์ปกติไม่อาจฝึกฝนได้” ชายหนุ่มแซ่เวิงเอ่ยเช่นนี้ออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างแผ่วเบา


“กล่าวไว้ก่อนนะขอรับ ชนรุ่นหลังไม่จำเป็นต้องปิดบังอันใด ชนรุ่นหลังคือชนเผ่ามนุษย์ที่มาจากแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนจริงๆ” หานลี่เองก็ทำได้เพียงยอมรับอย่างซื่อๆ


“หึๆ สหายยอมรับก็ดี! เจ้ากับเซียนวิญญาณน้ำแข็งมีความสัมพันธ์อันใดกัน คาดไม่ถึงว่าในร่างจะมีสมบัติวิญญาณสูญของสหายวิญญาณน้ำแข็ง” ชายหนุ่มแซ่เวิงพลันฉีกยิ้มแล้วเอ่ยถามประโยคที่ทำให้หานลี่ตกตะลึง


“สมบัติวิญญาณสูญ! หรือว่าท่านอาวุโสหมายถึงสมบัติชิ้นนี้?” หานลี่กะพริบตา รู้สึกตกตะลึงจริงๆ แต่ก็อ้าปาก พ่นลำแสงสีเขียวออกมากลุ่มหนึ่ง


ด้านในมีหม้อใบเล็กปรากฏอยู่รางๆ


นั่นคือหม้อนภาสูญ!


“เป็นสิ่งนี้จริงๆ แม้ว่าจะไม่เคยเห็นสมบัติชิ้นนี้มาหลายปี แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้นไม่เปลี่ยนแปลงจากในอดีตเลย” ชายหนุ่มแซ่เวิงหรี่ตาลง จ้องเขม็งไปที่หม้อแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้าออกมา


“เซียนวิญญาณน้ำแข็ง ชนรุ่นหลังรู้จักจริงๆ แต่หม้อใบนี้ไม่ใช่หม้อวิญญาณสูญอันใด แต่เป็นหม้อนภาสูญ!” หานลี่กลับตอบกลับพร้อมหัวเราะอย่างขมขื่น


“หม้อนภาสูญ!” ชายหนุ่มตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็นึกอันใดขึ้นมาได้ มือหนึ่งจึงตะปบไปทางหม้อใบเล็ก


หม้อใบเล็กที่แต่เดิมถูกควบคุม พลันส่งเสียง “สวบ” ออกมา ชั่วพริบตาก็ตัดขาดการเชื่อมโยง เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วมาอยู่ในมือของชายหนุ่มอย่างแปลกประหลาด


หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็ฟื้นฟูกลับมามีสีหน้าปกติ


ชายหนุ่มแซ่เวิงใช้มือหนึ่งถือหม้อใบเล็กเอาไว้ แล้วจ้องเขม็งไปที่สมบัติชิ้นนั้น


“พอดูให้ละเอียด ก็ไม่เหมือนกับหม้อวิญญาณสูญจริงๆ วิธีการหลอมไม่ละเอียดเท่า แต่ก็ไม่ใช่ของลอกเลียนแบบ กลับเหมือนของทดสอบก่อนที่หลอมหม้อวิญญาณสูญ” ชายหนุ่มแซ่เวิงแววตาเปล่งประกายวาวโรจน์ แล้วเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้ว


“ของทดสอบ!” หานลี่ได้ยิน กลับอดที่จะคิดไม่ได้


“ช่างเถิด แม้ว่าจะจำผิด แต่หม้อใบนี้มาจากสหายวิญญาณน้ำแข็งจริงๆ คิดดูแล้วเจ้าคงมีความเป็นมาเดียวกันกับนางอยู่บ้าง สาเหตุที่เรียกให้เจ้าอยู่ที่นี่ ก็เพราะอยากให้เจ้าช่วยข้าตามหาเซียนวิญญาณน้ำแข็งแล้วนำสิ่งนี้และจดหมายฉบับนี้ไปให้นางหลังจากที่กลับไปเผ่ามนุษย์เท่านั้น” ชายหนุ่มแซ่เวิงคลายนิ้วทั้งห้าออกจากหม้อ แล้วหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจขณะเอ่ย


“ไม่ปิดท่านอาวุโส ชนรุ่นหลังแค่ได้สมบัติชิ้นนี้มาด้วยความบังเอิญ ความจริงแล้วไม่ได้รู้จักกับเซียนวิญญาณน้ำแข็งหรอก และไม่ทราบว่าท่านอาวุโสผู้นี้จะยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่” หานลี่รีบเก็บหม้อนภาสูญเข้าไปในร่าง แล้วรีบร้อนเอ่ยปากอธิบาย


แม้ว่าเขาที่อยู่ในแดนมนุษย์จะเพิ่งรู้จักสิ่งมีชีวิตอย่างเซียนวิญญาณน้ำแข็งแต่หากสตรีผู้นี้บรรลุไปสู่แดนวิญญาณแล้ว ก็เป็นปีศาจที่ไม่ต่างอันใดกับชายหนุ่มแซ่เวิง


เขาไม่อยากดึงดูดปัญหาใหญ่เข้ามาอย่างไม่มีสาเหตุ


“ไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร จากชื่อเสียงของเซียนวิญญาณน้ำแข็ง เจ้ากลับไปถึงเผ่ามนุษย์คงหาร่องรอยของนางได้ หากสหายวิญญาณน้ำแข็งไม่ได้อยู่ในแดนมนุษย์จริงๆ ก็เอาของไปมอบให้ชนรุ่นหลังของนาง” ชายหนุ่มแซ่เวิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด จากนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ในมือมีกล่องหยกและคัมภีร์สีฟ้าอ่อนปรากฏขึ้น


สะบัดข้อมือ โยนทั้งสองชิ้นออกไป


หานลี่เห็นว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วคว้าทั้งสองชิ้นเข้ามาในมือ และกวาดตามองแวบหนึ่ง


เห็นเพียงสีหน้าของพวกมันมียันต์เปล่งแสงสีทองระยิบระยับแปะอยู่ และผนึกทั้งสองสิ่งเอาไว้แน่น


“ยันต์สองแผ่นนี้ข้าตั้งใจหลอมขึ้นโดยเฉพาะ นอกจากเซียนวิญญาณน้ำแข็งหรือชนรุ่นหลังที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขที่สามารถเปิดออกได้แล้ว หากคนที่อื่นฝืนฉีกมันออก จะระเบิดออกในทันที สหายจงจำเอาไว้ ผู้แซ่เวิงจะไม่ให้เจ้าทำธุระให้โดยไม่ตอบแทนแน่ ข้ามีวัตถุดิบหายากของแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีอยู่ จะมอบให้เจ้าเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน นอกจากนี้แม้ว่าเชียนจีจื่อและพวกตอบรับว่าจะให้เจ้าใช้เขตอาคมส่งตัวระดับสูง แต่เป็นเพราะสงครามเร่งเร้า เขตอาคมส่งตัวทั้งหมดในบริเวณนี้จึงถูกปิดตายไปแล้ว ส่วนเขตอาคมส่งตัวระดับสูงก็อยู่ในวิหารหลักในเมืองมังกรพอดี และถูกปิดผนึกอยู่เช่นกัน ข้าจะออกคำสั่งให้เจ้าใช้เขตอาคมส่งตัวครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ต้องให้เจ้าสาบานกับมารแว้งกัดก่อน หลังจากที่สาบานแล้ว ข้าถึงจะออกคำสั่ง” ชายหนุ่มแซ่เวิงเอ่ยอย่างราบเรียบ


“ท่านอาวุโสกล่าวเช่นนี้ ชนรุ่นหลังยังมีที่ให้ปฏิเสธอีกหรือ!” หลังจากที่หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส ก็ทำได้เพียงตอบรับพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น และใช้มือหนึ่งร่ายอาคม หลังจากสาบานให้มารแว้งกัดกับตัวเองแล้ว ถึงได้เก็บทั้งสองสิ่งเข้าไปในกำไลเก็บของ


คำสาบานนี้เมื่ออยู่ในแดนมนุษย์ ก็ไม่นับว่ามีผลอันใด แต่ตั้งแต่ที่เข้ามาในแดนวิญญาณ หลังจากพัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับหลอมสุญตา พลังของคำสาบานก็เพียงพอที่จะทำให้มารแว้งกัดยามที่ทุกคนทะลวงจุดคอขวดได้ นี่จึงเป็นหนึ่งในอุปสรรคที่น่ากลัวที่สุด


ดังนั้นคำสาบานสำหรับสิ่งมีชีวิตระดับสูงนี้ก็นับว่าเป็นการควบคุมที่สุดยอดแล้ว


หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว แล้วสาบานกับมารแว้งกัดของตนเองอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด รับปากว่าตนจะนำของสองสิ่งไปมอบให้เซียนวิญญาณน้ำแข็งหรือไม่ก็ชนรุ่นหลังของนาง


ชายหนุ่มแซ่เวิงเห็นเช่นนั้น ทันใดนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ควักกล่องหยกสามใบออกมา ด้านในมีวัตถุดิบที่เขาพูดถึงบรรจุอยู่แล้วโยนมา


ครั้งนี้หานลี่พลันสะบัดแขนเสื้อ หลังจากหมอกสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะเก็บกล่องหยกเข้าไปโดยไม่แต่จะมองสักแวบ


“เอาล่ะ ยามนี้เจ้าไปได้แล้ว” ชายหนุ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม ออกคำสั่งด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก


หานลี่รู้สึกผ่อนคลายลง พลางตอบรับด้วยใบหน้านอบน้อม แล้วหันกายเดินออกจากตำหนักไป


ชายหนุ่มแซ่เวิงเห็นเงาแผ่นหลังของหานลี่หายลับไปจากประตู แววตาพลันเปล่งประกายเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา


……


ยามที่หานลี่เดินออกมาจากวิหารสะท้านฟ้าอีกครั้ง กลับมองเห็นรถเหาะขนาดยักษ์สีเงินอ่อนคันหนึ่ง กำลังหยุดอยู่ที่ประตูวิหาร


รถมีความยาวยี่สิบจั้งเศษ เป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวรถมีลวดลายวิจิตรงดงาม ด้านหน้ามีอสูรประหลาดราวกับตั๊กแตนตำข้าวขนาดยักษ์หกตัว ไว้เป็นอสูรวิญญาณลากรถ


เซียนเย่ว์และยังมีหลิวสุ่ยเอ๋อร์พร้อมพวกล้วนยืนอยู่บนรถ ชายร่างใหญ่หน้าดำผู้นั้นยืนนิ่งอยู่ตรงหัวรถ


เมื่อคนเหล่านี้เห็นหานลี่ออกมา ก็กวาดสายตาไป สีหน้าแปลกประหลาด คาดไม่ถึงว่ามีท่าทางรอคอย


“สหายหาน ขึ้นมาเถิด พวกเราจะออกเดินทางทันที” ชายร่างใหญ่หน้าดำฉีกยิ้มให้หานลี่ แล้วร้องเรียกคำหนึ่ง


“ขอบพระคุณท่านอาวุโส!” หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ หลังจากประสานมือเอ่ยขอบคุณ ร่างกายก็พลิ้วไหว ครู่ต่อมาก็บินมาอยู่เหนือรถเหาะ แล้วเดินไปที่มุมหนึ่งพลางนั่งขัดสมาธิลงโดยไม่ได้ปริปากอันใด


หลังจากที่ชายร่างใหญ่หน้าดำหัวเราะหึๆ แล้ว ก็ผิวปากเบาๆ อสูรประหลาดหกตัวด้านหน้ารถมีปีกคู่หนึ่งปรากฏขึ้นทันที และพารถเหาะขนาดยักษ์พวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้า


ชั่วพริบตาที่บินขึ้นไป ผิวของรถเหาะก็มีเกราะลำแสงสีเขียวมรกตปรากฏขึ้น กลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)