ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 174-181
ตอนที่ 174 ไทเฮาน้อยผู้ทรงยืนอยู่เคีย...
” เช่นนั้นก็คือจะให้ข้ากลายเป็นตัวแทนของซูเม่ยหรือ? ” อันหว่านจือไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก ” หากว่าจบเรื่องแล้วพระองค์ไม่ยอมรับเล่า จะทำเช่นไรเจ้าคะ? “
” อีกไม่เท่าไหร่ก็จะสิ้นปีแล้วมิใช่หรือ? หากว่าทุกคนล้วนได้เห็นว่าฝ่าบาททรงได้ตัวเจ้าไปแล้ว พระองค์จะทรงปฏิเสธได้หรือ? “
…………………..
ว่ากันตามโบราณราชประเพณีของต้าโจว ยามสิ้นปี ในวังย่อมต้องมีงานเลี้ยงพระราชทานใหญ่โต
นี่เป็นปีใหม่แรกนับตั้งแต่ที่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่ต้องไว้ทุกข์ถวายอดีตฮ่องเต้ ไม่อาจจัดงานอย่างใหญ่โตโอ่อ่า แต่ว่าพิธีการที่ควรจะมีล้วนไม่อาจงดเว้นไปได้
เชื้อพระองค์ ขุนนางใหญ่ ยังมีเหล่าอ๋องจากเขตแดนต่างๆ ย่อมต้องทยอยกันมาร่วมถวายพระพร
ในพระตำหนักจิ่นซิ่วอบอวลไปด้วยไอมงคล ดอกไม้ประดิษฐ์สีแดงดอกใหญ่ถูกประดับเอาไว้เต็มไปหมด เปลวเทียนในโคมมังกรก็ลุกโชนส่องประกาย
เหล่านักดนตรีในวังถูกแบ่งเป็นสองสาย ผลัดกันบรรเลงดนตรีไพเราะตั้งแต่เช้า
ตู๋กูซิงหลันพักผ่อนอยู่แต่ในตำหนักเฟิ่งหมิงมานานหลายวัน ร่ายกายก็ฟื้นฟูไปมากแล้ว ยาของหมอหลวงซุนทำเอานางง่วงงุนอยู่ตลอด นอนอย่างไรก็ยังรู้สึกว่ายังไม่เต็มอิ่ม
ยากนักที่นางจะตื่นแต่เช้าขึ้นมาได้
พอลุกขึ้นมาก็เห็นหลี่กงกงพาคนเข้ามากลุ่มหนึ่ง
หลี่กงกงน้อมคำนับนางด้วยหน้าตาที่สดชื่น ” ไทเฮาพะย่ะค่ะ วันนี้จะมีงานเลี้ยงพระราชทานสิ้นปี พระองค์ต้องทรงเสด็จไปยังพระตำหนักจิ่นซิ่วเพื่อร่วมงาน”
พูดแล้ว ก็ให้คนนำเอาฉลองพระองค์ชุดใหม่ของไทเฮาเข้ามา เป็นชุดสีทองที่งดงาม อีกทั้งยังมีมงกุฎหงส์ของไทเฮา ที่ประดับด้วยพู่ทองถึงสิบสองสาย สวยงามอย่างที่สุด
นับตั้งแต่ที่จีเฉวียนทรงกักบริเวณนางเอาไว้ในตำหนักเฟิ่งหมิง มีคนในวังไม่น้อยที่มองเห็นนางเป็นเพียงตัวตลก
ล้วนเป็นเพียงพวกหญ้าบนสันกำแพง ตู๋กูซิงหลันเองก็เคยเห็นมามากแล้ว จึงมิได้ใส่ใจ
กลับเป็นหลี่กงกง ที่ยังคงมองนางด้วยรอยยิ้มดุจเดิม
หลี่กงกงเกรงว่านางจะโกรธเกลียดฝ่าบาทเพราะเรื่องที่ถูกกักขัง จึงกล่าวว่า ” วันนี้ท่านแม่ทัพผู้พิชิตก็เข้าวังมาด้วยพะย่ะค่ะ หลังผ่านปีใหม่แล้วก็คงจะต้องกลับไปออกรบที่เป่ยเจียงอีกแล้ว พวกท่านพี่ชายน้องสาวก็คงจะไม่ได้พบกันอีกนาน ขอไทเฮาทรงแต่งพระองค์ให้งดงามเป็นพิเศษ มิให้ท่านแม่ทัพต้องเป็นกังวลในตัวท่าน”
เรื่องอาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่ ทุกวันเสี่ยวหยวนเฟยเป็นต้องหาหนทางมาแจ้งข่าวแก่นาง
ไม่รู้ว่าเป็นคนที่หล่อขึ้นจากเหล็กหรือไร เพียงเวลาไม่นานก็ฟื้นฟูได้เร็วยิ่งนัก
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็สบายใจขึ้นได้มาก
…………………..
พระตำหนักจิ่นซิ่ว หยวนเฟยกับตู๋กูจุนมาถึงในเวลาเกือบจะพร้อมๆ กัน หยวนเฟยยังคงสวมใส่เสื้อผ้าของสตรีชาวหนานเจียง ระหว่างนางกับตู๋กูจุนมีผู้คนหลายคนกั้นขวางอยู่ จึงไม่อาจมองเห็นเขาได้บ่อยครั้ง
หลายวันมานี้ นางเป็นต้องออกนอกวังไปเยี่ยมเยียนเขาทุกวัน ยิ่งได้ใกล้ชิดก็ยิ่งรู้สึกว่าขนหน้าอกของท่านแม่ทัพผู้นี้ยิ่งน่าเย้ายวน
หงิงๆๆๆ ………
พอตู๋กูจุนมาถึง สีหน้าของผู้คนมากมายก็ไม่สู้ดี
เมื่อหลายวันก่อน ไทเฮาทรงถูกกักบริเวณ ตู๋กูจุนเองก็ได้รับบาดเจ็บ ฟังว่าหนักหนาจนเกือบตาย ดังนั้นบารมีของตระกูลตู๋กูในช่วงนี้จึงตกต่ำลงไปไม่น้อย
ดูเอาสิ เกิดเป็นคนก็อย่าได้ลอยจนสูงส่งเกินไปนัก มิเช่นนั้นแม้แต่สวรรค์ก็อาจจะเขม่นเข้าได้
องค์หญิงใหญ่ทรงเสด็จมาถึงก่อนพวกเขามากนัก นางประทับนั่งอยู่ก่อนแล้ว พอนางหันไปทอดพระเนตรมองตู๋กูจุน ตู๋กูจุนก็มองมาที่นางอยู่เช่นกัน ดวงตาของคนทั้งสองต่างก็สบตากัน
คนหนึ่งแฝงความเกลียดชัง คนหนึ่งแฝงความห่วงใย
หยวนเฟยล้วนมองเห็นทั้งหมด ในใจของนางก็รู้สึกว่าตู๋กูจุนช่างน่าสงสาร
ยามที่เขาได้รับบาดเจ็บนั้น ยังคงคอยห่วงใยองค์หญิงใหญ่อยู่ทุกเวลานาที อีกทั้งยังสั่งให้เหล่าลูกน้องที่มีฝีมือดีที่สุดไปคอยคุ้มครององค์หญิง
แต่ว่าองค์หญิงใหญ่กลับไม่ทรงรับน้ำใจ
วันนี้หย่งเฉิงอ๋องสองสามีภรรยาก็เข้าวังมาเช่นกัน หย่งเฉิงอ๋องยังคงจดจำรับสั่งของฝ่าบาทได้ จึงได้นำดอกซิ่วชิวฮวาสองต้นที่ใหญ่เป็นพิเศษมาด้วย ต้นไม้ถูกห่อมาอย่างดีอยู่ในกระถาง รอจนจบงานเลี้ยงพระราชทานแล้วจึงจะส่งเข้าไปถวายตำหนักเฟิ่งหมิง
พระยาชาประทับนั่งอยู่ข้างกายท่านอ๋อง นางกวาดเนตรมองไปทั่ว ในที่สุดก็เห็นเจ้าลูกตัวร้ายของตนในชุดแดงเพลิง แต่งหน้าอย่างประณีตงดงาม เข้ามาในงานภายใต้สายตานับพันของผู้คนโดยมีนางกำนัลคอยประคับประคอง
พระชายาอดที่จะนวดคลึงขมับของตนเองไม่ได้ ท่วงท่าการย่างกรายของเจ้าลูกตัวร้าย แม้แต่สตรีจริงๆ ก็ยังเย้ายวนสู้เขาไม่ได้เลย
หย่งเฉิงอ๋องเองก็มีสีหน้าที่ยากจะบรรยายได้
พอซูเม่ยเข้ามาในตำหนักจิ่นซิ่วก็คลี่ยิ่มให้ผู้คนทั้งหมดรอบหนึ่ง ทำเอาคนทั้งหลายวิญญาณหลุดลอย ทั้งยังลอบก่นด่าว่าเขาเป็นนางมารตัวจริง
แต่ก็มีไม่น้อยที่พุ่งเข้ามาประจบประแจงเขา สรรเสริญที่เขาได้รับความโปรดปรานแต่เพียงลำพัง ทั้งยังสนับสนุนให้มีองค์ชายน้อยโดยเร็ว เพื่อจะได้ขึ้นเป็นฮองเฮา
อีกทั้งยังไม่ลืมที่จะทับถมตู๋กูซิงหลัน โฉมงามอันดับหนึ่งที่ไหนกัน ได้เข้าไปอยู่ตำหนักเฟิ่งหมิงแล้วอย่างไร ได้แต่เป็นหญิงม่ายที่ไม่มีผู้ใดรัก แก่เฒ่าไปแต่เพียงลำพัง
ซูเม่ยชักจะอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาแล้ว ใครบอกว่าอาหลันไม่มีผู้ใดรักใครกัน? เขาไม่ใช่คนหรืออย่างไร?
พวกนี้คิดว่าที่เขาแต่งหน้าแต่งตามาอย่างงดงามก็เพื่อให้ใครชมดูกัน? ยังไม่ใช่เพราะว่าอาหลันชมชอบสิ่งสวยงามที่สุดหรอกหรือ ดังนั้นของเพียงเขาได้ปรากฎตัวที่เบื้องหน้าอาหลันเมื่อใด ย่อมต้องงดงามอย่างที่สุดอยู่เสมอ
พวกที่คอยมาประจบประแจงเขายังคงเข้าใจไปว่าเขาหงุดหงิดใจที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับตู๋กูซิงหลัน
จึงยิ่งพากันเหยียบย่ำซ้ำเติมตู๋กูซิงหลันเข้าไปอีก
” หวงกุ้ยเฟยพะย่ะค่ะ ถึงวันนี้ไทเเฮาก็ทรงถูกกักบริเวณไปแล้ว เกรงว่างานเลี้ยงพระราชทานในวันนี้คงไม่อาจมาร่วมได้แล้ว”
” ใช่เพคะ ในสายพระเนตรของฝ่าบาทมีแต่ท่านเพียงผู้เดียว นี่ไม่ใช่เท่ากับว่า วังหลังที่มีพระสนมสามพันนั้นพระองค์มิไม่ทรงเหลียวแลผู้ใดเลยดอกหรือเพคะ”
” ต่อให้ไทเฮาเสด็จมาจริง ไหนเลยจะยังมาแข่งขันกับท่านได้อีก? ฉายาโฉมงามอันดับหนึ่งของต้าโจว ก็เป็นเพียงเพราะในยามนั้นตระกูลตู๋กูมีกำลังแข็งแกร่งหรอก ถึงได้ยกนางขึ้นมาอวดโอ้ก็เท่านั้นเอง”
” ใช่แล้วๆ พระสนมต่างหากจึงจะเป็นโฉมงามอันดับหนึ่ง! “
พวกเขาย่อมไม่กล้ากล่าวเสียดังจนเกินไป เพราะอย่างไรตู๋กูจุนที่คอยปกป้องคนในครอบครัวอยู่เสมอก็อยู่ในที่นี้ด้วย หากว่าถูกเขาได้ยินขึ้นมาคงจะเป็นเรื่องอีกมิใช่น้อย
ซูเม่ยสาดสายตาเย็นชาใส่พวกเขารอบหนึ่ง จดจำรูปร่างหน้าตาของพวกเขาแต่ละคนเอาไว้เป็นแม่นมั่น ต่อไปทุกๆ วันยามอยู่ใกล้จีจวนจะคอยรายงานเรื่องชั่วช้าของคนกลุ่มนี้
จากนั้นก็มิได้ใส่ใจคนพวกนี้อีก เพียงนั่งลงในที่ของตนเอง
ฐานะของหวงกุ้ยเฟยย่อมสูงส่ง ที่ประทับย่อมอยู่ด้านข้างของฝ่าบาท
อันหร่วนมีฐานะเป็นแม่นมของฉางซุนฮองเฮา อีกทั้งยังเป็นพระพี่เลี้ยงในยามเยาว์วัยของฝ่าบาท ที่นั่งของนางย่อมไม่อาจต่ำต้อยไปได้ ย่อมอยู่ที่ด้านข้างของหวงกุ้ยเฟยนั่นเอง
นับตั้งแต่ที่ซูเม่ยก้าวเข้ามา นางก็คอยจับตาดูอยู่แล้ว
ซูเม่ยหันมาสบตากับนางครั้งหนึ่ง ” บนใบหน้าของข้ามีขนมเปี๊ยะชิ้นโตหรืออย่างไร หมัวมัวถึงได้จับจ้องมองไม่เลิก? “
” วันนี้หวงกุ้ยเฟยงดงามเหนือธรรมดา ข้าผู้เฒ่ามองเพลินไปสักหน่อย กุ้ยเฟยไยจะต้องถือสา ” อันหร่วนกล่าวแล้ว ก็กวาดสายตามองไปทางอื่น
พึ่งจะละสายตาจากมา นางก็ได้ยินเสียงผู้คนสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว
เห็นที่หน้าประตูพระตำหนักจิ่นซิ่ว มีเงาร่างสีทองสองเงากำลังผ่านเข้ามา
ฝ่าบาททรงฉลองพระองค์มังกรทองตลอดทั้งพระองค์ บนพระเศียรทรงพระมาลา ทั้งสายพระเนตรและพระขนงเปล่งประกายด้วยพระบารมีของกษัตริย์
เดิมที่พระองค์ก็ทรงมีพระสิริโฉมงดงามอยู่แล้ว ยามนี้ตลอดทั้งร่างยิ่งกำจายรัศมีของฮ่องเต้ออกมา จึงยิ่งนับว่าสูงส่งหาที่ใดเปรียบ ไม่ว่าผู้ใดที่คิดจะไปยืนอยู่ใกล้ก็มีแต่ต้องหมองราศีไปจนหมด
แต่ว่าสตรีที่ยืนอยู่เคียงข้างพระองค์ในยามนี้กลับสง่างามแช่มช้อย
นางสวมชุดหงส์สีทองเช่นเดียวกันกับฮ่องเต้ บนศีรษะมีมงกุฎหงส์ที่ประดับด้วยพู่ทองทั้งสิบสองสาย ใบหน้างดงามอ่อนหวานอย่างหาใดเปรียบ ริมฝีปางเล็กบาง คิ้วดั่งคันศร มงกุฎหงส์ที่งดงามประณีตก็ยิ่งส่งเสริมความความงามสง่าของนางจนไร้ผู้ใดจะเปรียบได้
สตรีผู้นี้ เมื่อยืนอยู่เคียงข้างฝ่าบาทแล้ว ก็มิได้ถูกเปรียบเทียบว่าดูด้อยไปกว่า กลับยิ่งส่งเสริมพระบารมีให้ยิ่งใหญ่เรืองรองกว่าเดิม
นอกจากคำว่างดงามหาใดเปรียบ สูงส่งเหนือธรรมดาแล้ว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใดมาบรรยายได้อีก
กลุ่มคนที่พึ่งจะเหยียบย่ำตู๋กูซิงหลันอยู่เมื่อครู่เป็นต้องปากอ้าตาค้าง
นี่คือ…….ตู๋กูซิงหลันหรือ? ไทเฮาน้อยที่ถูกกักบริเวณเอาไว้ผู้นั้น?
ทำไมนางถึงได้เสด็จมาพร้อมกับฝ่าบาทได้กัน? อีกทั้งยังแต่งกายเข้ากันอีกด้วย!
ตอนที่ 175 ที่สุดแห่งความโปรดปราน
มีบางคนเกิดมา ไม่ต้องเติมเสริม เพียงแต่งหน้าอย่างเบาบางก็งดงามอยู่แล้ว
ตู๋กูซิงหลันก็เป็นเช่นนี้
ยามปกตินางมิได้แต่งหน้า ก็งดงามดุจนางฟ้านางสวรรค์ ยามนี้เมื่อแต่งตัวมาอย่างเพียบพร้อม ต่อให้ซูเม่ยดูงดงามเย้ายวนเพียงไร ก็ยังไม่อาจเปรียบเทียบกับนางได้
เมื่อฮ่องเต้กับไทเฮาประทับยืนเคียงข้างกัน ผู้อื่นก็ได้แต่ต้องถอยไปอยู่ด้านข้างกลายเป็นเพียงไม้ประดับเท่านั้น
หวงกุ้ยเฟยซูเม่ยที่กลายเป็นไม้ประดับ ยามนี้ดูไปแล้วก็เป็นเพียงแค่ภรรยาน้อยเท่านั้น
เขาจดจ้องมองดูตู๋กูซิงหลัน นับตั้งแต่ที่เขากลับเข้าวังมา ก็แทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นตู๋กูซิงหลันแต่งกายเช่นนี้ แต่ไม่ว่าจะแต่งกายเช่นไร นางก็ดูงดงามที่สุดอยู่เสมอ
เพียงแต่…….ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ข้างกายนั้น ดูไปแล้วช่างบาดลูกนัยตานัก
ผู้อื่นต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน ตู๋กูซิงหลันนั้นเป็นไทเฮาแท้ๆ ทำไมพวกเขาดูอย่างไรก็รู้สึกว่านางคือฮองเฮาที่แท้จริงต่างหาก
ฉลองพระองค์ของทั้งสองพระองค์เป็นสีเดียวกัน ราวกับว่าผ่านการนัดแนะกันมาอย่างดี ดูเหมาะสมกันเป็นอย่างยิ่ง
ผู้คนทั้งหมดล้วนจดจ้องไปที่ทั้งสองพระองค์ ด้วยเกรงว่า หากไม่ระมัดระวัง ภาพที่งดงามเบื้องหน้านี้ก็อาจจะมลายหายไป
ตู๋กูซิงหลันนั้น’บังเอิญ’ได้พบจีเฉวียนเสด็จมาถึงที่ด้านนอกของตำหนักจิ่นซิ่วพอดี
ยามที่มองเห็นเขานั้นนางเองก็ตะตกลึงไปเช่นกัน พวกเขาแต่งกายเช่นนี้ดูแล้วคล้ายกับคู่รักที่ใจตรงกันเกินไปแล้ว
เดิมทีตู๋กูซิงหลันคิดจะกลับไปเปลี่ยนชุด แต่กลับถูกเขาคว้าข้อมือเอาไว้จูงไปที่ตำหนักจิ่นซิ่วในทันที ” ไทเฮา วันนี้งามสง่านัก”
พระพักตร์ที่เย็นชาเป็นภูเขาน้ำแข็งอยู่เสมอแย้มสรวลออกมา รูปลักษณะภายนอกของเจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี่ มีแต่ทำให้ผู้คนต้องหลงใหลจนคนตายไป! “
” นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นเจ้าแต่งกายอย่างเต็มพิธีการ ” ตลอดทางที่เสด็จมา จีเฉวียนทรงกุมข้อมือของนางเอาไว้ไม่ยอมปล่อย คนทั้งสองเดินผ่านทางเดินยาวที่ประดับประดาด้วยดอกไม้งดงาม ดูราวกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่กำลังจะเข้าไปกราบไหว้ฟ้าดินด้วยกัน
” หลายวันมานี้อยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิงได้พักผ่อนอย่างดี น้ำแกงไก่ตุ๋นนั้นถูกปากดีหรือไม่? “
ตู๋กูซิงหลัน ” ติ๊งต๊องถูกท่านจับตุ๋นไปแล้วหรือ? “
จีเฉวียน ” เจ้ามิใช่ว่าดื่มกินอย่างเอร็ดอร่อยหรอกหรือ? “
ตู๋กูซิงหลัน “……..”
ภายใต้สายตาที่ของผู้คนที่คุกเข่าลงถวายความเคารพ จีเฉวียนยังคงเกาะกุมข้อมือของนางเอาไว้ นำเสด็จนางไปยังเบาะนั่งข้างที่ประทับของฮ่องเต้
วันนี้ยามที่ทุกคนเข้ามาในงานนั้น ต่างก็มองเห็นที่นั่งอันนั้นอยู่แล้ว หากจะบอกว่าเป็นที่นั่งที่ใกล้ฮ่องเต้มากที่สุด มิสู้บอกว่าประทับนั่งลงด้วยกันจะดีกว่า
ก่อนหน้านี้ พระตำหนักจิ่นซิวไม่เคยมีที่ประทับเช่นนี้มาก่อน!
เดิมทีตอนแรกยังไม่มีผู้ใดเข้าใจว่าที่ประทับเช่นนั้นมีไว้เพื่อการใด ยามนี้พอเห็นไทเฮาน้อยประทับนั่งลงไป อีกทั้งยังเกิดจากการที่ฝ่าบาททรงนำเสด็จมาด้วยพระองค์เอง พวกเขาต่างก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่แล้ว
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
ถึงกับเลือกที่จะแสดงออกในงานเลี้ยงพระราชทานที่สำคัญเช่นนี้!
ตู๋กูจุนเองก็มองดูอยู่ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ว่าทำไมจีเฉวียนถึงได้ทรงทำเช่นนี้
ท่านปู่อยู่ที่แดนเป่ยเจียงได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง จีเฉวียนนั้นแต่ไหนแต่ไหนก็ชำนาญเรื่องการรักษาหน้าตาอยู่แล้ว ก็เหมือนกับตอนที่เขาพึ่งจะกลับตอนนั้น อย่างน้อยๆ เขาจะต้องไม่ปล่อยให้พวกตนรู้สึกว่าเขาละเลยน้องเล็ก
อันหร่วนมองดูตู๋กูซิงหลัน หลังจากที่กลับเข้าวังมานี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เจอตู๋กูซิงหลัน
นางได้ยินชื่อเสียงความงามนี่มาตั้งนานแล้ว ยามนี้เมื่อได้มาพบตัวจริงก็ยังอดที่จะประหลาดใจจนชะงักไปไม่ได้
ความงามที่เย้ายวนของซูเม่ยเดิมทีก็เพียงพอให้ผู้คนตื่นตะลึงอยู่แล้ว แต่ความงามของสตรีผู้นี้ราวกับนางเซียนที่มีอยู่แต่ในสรวงสวรรค์เท่านั้น
นางหรี่ดวงตาลง จิบน้ำชาในมืออย่างช้าๆ หลังกลับเข้าวังมา เรื่องราวที่สมควรจะสอบถามนางล้วนสืบความมาจนกระจ่างชัดแล้ว
ทั้งเต๋อเฟยและ เสียนไท่เฟยก็ล้วนพ่ายแพ้ล้มลงด้วยฝีมือของสตรีผู้นี้
ทั้งที่เป็นเพียวสาวน้อยอายุสิบกว่าปีเท่านั้น แต่กลับมีจิตใจลึกซึ้งร้ายลึกจนสุดหยั่ง
ว่าแต่น่าเสียดายตัวหมากอย่างเสียนไท่เฟยยิ่งนัก เดิมทีทุกอย่างล้วนเป็นไปตามที่นายท่านได้วางอุบายเอาไว้ แต่เพราะไทเฮาน้อยผู้นี้ ทุกสิ่งจึงวุ่นวายไปหมด
นางมองดูเหตุการณ์โดยมิได้ส่งเสียง ทั้งมองไปยังตู๋กูซิงหลัน ทั้งเหลือบดูจีเฉวียน
สิ่งที่ผู้อื่นล้วนมองไม่ออก แต่ว่านางกลับสังเกตเห็นแววตาที่ประหลาดไปของฝ่าบาทได้
แม้ว่าพระองค์จะยังทรงเย็นชาเหมือนดั่งยามปกติ แต่ว่ายามที่ทอดพระเนตรไปยังตู๋กูซิงหลัน สายพระเนตรนั้นแฝงความอบอุ่นอยู่เสมอ
สายพระเนตรเช่นนั้น เทียบกับยามที่พระองค์ทอดพระเนตรไปยังซูเม่ยแล้วช่างแตกต่างกันอย่างยิ่ง
ที่จริงแล้ว…..นับตั้งแต่ที่พระองค์เสด็จเข้ามาในตำหนักจิ่นซิ่วนั้น ก็มิได้ทรงทอดพระเนตรมายังซูเม่ยเลยด้วยซ้ำ
นี่นะหรือสิ่งที่พระสนมผู้เป็นที่โปรดปรานได้รับ?
ทันใดนั้นอันหร่วนก็เกิดความรู้สึกขึ้นมา…….พระสนมผู้เดียวที่ทรงโปรด หรือว่า เป็นเพียงหุ่นเชิด?
ฮ่องเต้ทรงเป็นผู้ที่มีพระทัยลึกซึ้ง มิว่าจะทรงทำสิ่งใดผู้อื่นก็ไม่อาจจะคาดเดาได้โดยง่าย บางทีพวกเขาอาจจะถูกฝ่าบาทหลอกเข้าแล้ว
ตู๋กูซิงหลันย่อมรู้สึกถึงสายตาที่มองมายังตนเองของอันหร่วน ฮูหยินเฒ่าที่นั่งอยู่เสียใกล้ที่ประทับของฮ่องเต้ มีแต่นางเพียงผู้เดียว ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเจอตัวอันหร่วนมาก่อน แต่ว่าตนเองก็สามารถคาดเดาฐานะของนางได้
อันหร่วนมีรูปโฉมที่ดูเคร่งขรึมอยู่เสมอ มีราศีของผู้อาวุโส นางนั่งอย่างสง่า กิริยาการวางมือและเท้าล้วนไม่มีทีท่าของฮูหยินผู้เฒ่าเลยสักนิด เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นผู้ที่ฉลาดล้ำ
ตู๋กูซิงหลันเพียงแต่กวาดสายตามองผ่านนาง
เป็นฮูหยินเฒ่าที่ดูสุขุมลุ่มลึกจนไม่อาจคาดเดา นางรู้จักปรุงยา อีกทั้งยังเกี่ยวพันกับผู้ที่ลงมือกับองค์หญิงใหญ่
พวกนางอยู่ห่างกันพอสมควร ตู๋กูซิงหลันจึงไม่มีหนทางจะสัมผัสได้ว่าบนร่างขอนางมีไอหยินหรือว่ากลิ่นไออื่นใดอยู่อีกหรือไม่
ครั้งก่อนที่พยายามแยกร่างเนื้อและด้วยจิต เรื่องที่นางหยิบยืมพลังของหยกสรรพชีวิต เกรงว่าคงจะถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ยามนี้จึงไม่อาจวู่วามได้อย่างเด็จขาด
อันหร่วนผู้นี้ อาจจะรับมือได้ยากยิ่งกว่าเสียนไท่เฟยเสียอีก
เสียงดนตรีดังขึ้น สร้างบรรยากาศรื่นเริงอยู่มิได้ขาด ไม่ช้าก็ชักจูงความสนใจของผู้คนจากองค์ฮ่องเต้และไทเฮาไป
บนโต๊ะของตู๋กูซิงหลันล้วนเต็มไปด้วยอาหารรสเลิศมากมาย นางดื่มน้ำแกงไก่ติดต่อกันมาหลายวัน พอมองเห็นอาหารโอชามากมายตรงหน้า ก็คว้าตะเกียบคีบขาหมูขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
แต่ยังไม่ทันได้ส่งเข้าปากก็ถูกพระหัตถ์ของจีเฉวียนมาฉกไปเสียก่อน ” อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี ดื่มน้ำแกง กินโจ๊กไป “
ว่าแล้ว พระองค์ก็เสวยขาหมูชิ้นนั้นลงไปต่อหน้าต่อตาของตู๋กูซิงหลัน อีกทั้งยังไม่ลืมรับสั่งกับนางกำนัลไม่ให้ถวายอาหารเลี่ยนมันแก่ไทเฮา
ยามนี้ ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าเขาก็คือราชามารดีๆ นี่เอง!
เพียงแค่ครู่เดียว เหล่านางกำนัลก็ยกน้ำแกงไก่และโจ๊กมาถวาย อีกทั้งยังมีผลไม้สด
ตู๋กูซิงหลันชมดูจนอยากจะอาเจียนออกมา
นางมองไปยังจีเฉวียน เห็นบนริมฝีปากบางๆ ของเขายังคงมีคราบน้ำขาหมูอยู่ ก็นึกอยากจะชิมขึ้นมาคำหนึ่ง
คิดแล้วนางก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง
จีเฉวียนเห็นนางกลืนน้ำลายอยู่เช่นนั้น ก็ไม่รู้ว่าทำไม อดจะพระทัยอ่อนขึ้นมาไม่ได้
ที่เบื้องหน้าของเขามีจานอยู่ใบหนึ่ง เขาสั่งให้คนยกน้ำสะอาดมา คีบเนื้อชิ้นเล็กๆ ลงไปล้างในจากใบนั้น พอเห็นว่าล้างน้ำมันๆ ออกไปจนหมดแล้ว จึงส่งให้นาง
” กินเถอะ “
นี่เป็นเพียงเศษเนื้อชิ้นเล็กๆ เท่านั้น สำหรับตู๋กูซิงหลันที่เป็นตัวกินเนื้อแล้ว ไม่พอยาขี้ฟันเสียด้วยซ้ำ
ตู๋กูซิงหลัน “………” ขอถามหน่อยเถอะที่เอาไปล้างอยู่หลายสิบครั้งนั้นนะ เอาจริงใช่ไหม?
ฮ่องเต้ทรงรับสั่งว่า ” ซุนต้มยาบอกเอาไว้แล้ว เจ้าต้องงดเว้นของเลี่ยนมัน”
” ไม่กินหรือ? หากไม่กิน เราจะกินละนะ”
” เราจะกินจริงๆ แล้วนะ”
ตรัสแล้ว พระองค์ก็ทำท่าจะเอาเนื้อชิ้นนั้นกลับมา
พอพึ่งจะขยับตะเกียบคีบขึ้นมาได้ ตู๋กูซิงหลันก็พุ่งเข้ามาฉกกัดในทันที ท่าทางของนางประหนึ่งลูกสุนัขน้อยที่ไม่ได้กินเนื้อมาแล้วแปดชาติ
ตะเกียบของจีเฉวียนกลายเป็นว่างเปล่า เห็นนางเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่ในแก้ม พระองค์เองก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่า ดูแล้วก็น่ารักดี
อีกด้านหนึ่ง ซูเม่ยเอาแต่จดจ้องไปทางพวกเขา ฮ่องเต้ทรงให้ความสนิทสนมกับอาหลันถึงเพียงนี้ เพราะตั้งใจจะแสดงให้เขาเห็นหรือ?
ตอนที่ 176 โรคหัวใจของเราซึมลึกถึงกระดูกแล้ว
เขาฉวยเอาจานกระดูกเล้งตุ๋นซอสเปรี้ยวที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา ลากชุดกระโปรงยาวเดินไปจนถึงเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน ” อา….”
คำว่าหลันยังไม่ทันได้เรียกออกมา เขาก็เปลี่ยนใหม่เป็นว่า ” ไทเฮาเพคะ กระดูกเล้งนี้เป็นเนื้อล้วน ท่านสามารถชิมได้สักเล็กน้อย “
กลิ่นหอมโชยเตะจมูก ปลุกจิตวิญญาณให้ตื่นขึ้นมา
ท้องของตู๋กูซิงหลันส่งเสียงร้องโครกคราก นางยังไม่ทันได้ขยับตะเกียบ ก็ได้ยินจีเฉวียนกล่าวเสียงเย็นชาที่ริมหูว่า ” กุ้ยเฟย หากว่าเจ้าไม่อยากกินเนื้อละก็ นับตั้งแต่วันนี้ไปตำหนักชุ่ยเวยก็งดเว้นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์แล้วกัน “
สีหน้าซูเม่ยเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู พลางมองดูอาหลันอย่างสงสาร ขนาดจะกินอะไรยังต้องถูกฮ่องเต้คุมเข้มอย่างเคร่งครัด
อยู่ในวังหลวง นางไม่มีอิสระใดๆ เลยแม้แต่น้อย
” ถอยไปเสีย” จีเฉวียนทอดพระเนตรจดจ้องมายังซูเม่ย ” อย่าให้เราต้องกล่าวซ้ำ “
ภายใต้การจับจ้องของผู้คนมากมาย ซูเม่ยก็ไม่กล้าโต้แย้งกับเขาต่อไป
” เสี่ยวซูเฟย ความหวังดีของเจ้า เรารับรู้ด้วยใจแล้ว ” ตู๋กูซิงหลันยิ่งเกิดความสงสารเห็นใจซูเม่ยมาอีก
พอคิดถึงว่าตนเองหยิบยืมชื่อของนางเข้าไปพักผ่อนในพระตำหนักตี้หัวมาคืนหนึ่ง ทำให้ซูเม่ยตกอยู่ภายใต้ความเกลียดชัง ในใจของนางก็ยิ่งรู้สึกสำนึกผิด
ซูเม่ยมองดูสายตาของนาง ก็คิดแต่อยากจะโอบกอดนางเข้ามาปลอบประโลมในอ้อมอก ตอนนี้ฮ่องเต่ทรงหมายตาอาหลันเอาไว้แล้ว ดูท่าพระองค์คงจะต้องคิดหาหนทางให้ได้ตัวอาหลันไปแน่ เขาจะต้องไม่ปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้เป็นอันขาด!
หย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยามองขึ้นมาจากด้านล่าง ด้วยระยะที่ห่างไกลกัน จึงไม่มีโอกาสได้ยินว่าเจ้าลูกทรพีกล่าวอะไรกับไทเฮา เพียงรู้สึกว่าเจ้าลูกทรพียามอยู่ต่อหน้าไทเฮาช่างรู้จักประจบสอพลอนัก
คนภายนอกต่างลือกันว่าเขาเข้ากับไทเฮาไม่ได้ อยู่ในวังต่างก็แก่งแย่งช่วงชิงหึงหวงกันอยู่มิได้ขาด ทำไมพวกเขาดูแล้วกลับรู้สึกว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย?
ในงานเลี้ยงนอกจากจะมีเสียงดนตรีแล้ว ยังมีการแสดงอื่นๆ อีกด้วย
กุลธิดาไม่น้อยต่างก็แย่งชิงกันออกมาแสดงพรสวรรค์ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะพวกที่ก่อนหน้านี้ตระเตรียมจะส่งบุตรสาวเข้ามาคัดเลือกนางสนม แต่เพราะฝ่าบาททรงยกเลิกไปอย่างกระทันหัน พวกเขาจึงได้แต่คิดอ่านหาหนทางเอาในงานเลี้ยงพระราชทานสิ้นปีนี้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นดีด สี ตี เป่า ร่ายกลอนหรือร้องเพลงใดๆ ล้วนมีหมด ตู๋กูซิงหลันชมดูอย่างสำราญใจ
พออารมณ์ดีขึ้นมาก็ดื่มสุราติดต่อกันไปสองถ้วย ดื่มสุราจีเฉวียนกลับมิได้หวงห้ามนาง เพียงตรัสว่าสุราดีต่อร่างกายของนาง
ฮ่องเต้มิได้ทรงสนพระทัยในระบำรำฟ้อน สายพระเนตรของพระองค์มักจะทอดลงไปยังร่างของสาวน้อยข้างพระองค์อย่างไม่อาจจะบังคับได้อยู่ตลอดเวลา
สุราผ่านไปสามรอบ หยวนเฟยก็ลุกขึ้นมา
นางถวายคำนับจีเฉวียน ค่อยกล่าวด้วยเสียงเล็กๆ ว่า ” ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันหาพ่อหมอเจอแล้วและได้นำเข้าวังมา จะทรงโปรดให้เขาเข้าเฝ้าและถวายการรักษาไหมเพคะ? “
ถึงแม้ว่าช่วงนี้นางจะยุ่งกับการดูแลตู๋กูจุน แต่ว่ารเรื่องที่ฝ่าบาททรงมอบหมายเอาไว้ นางก็มิกล้าลืมเลือน ในที่สุดก็เจออยู่คนหนึ่ง
จีเฉวียนหันไปทอดพระเนตรมองนางแวบหนึ่ง ก็ตรัสตอบว่า ” โรคหัวใจของเราซึมลึกถึงกระดูก เกรงว่าไม่อาจรักษาหายแล้ว “
มิว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากจะยอมรับ ทั้งยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงว่าตอนนี้เขาห่วงใยตู๋กูซิงหลันเป็นอย่างมาก
หยวนเฟยมีสีหน้าตระหนกไป ” ฝ่าบาท พระองค์อย่าได้สวรรคตนะเพคะ! “
ก็เขาเคยสัญญาแล้ว ว่ารอให้เขาได้เป็นฮ่องเต้ เขาจะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำตลอดกาลของนาง หากว่าเขาอยู่ๆ ก็มาสิ้นไป แล้วนางจะไปหาข้าวสารอาหารแห้งมาจากไหน?
ตู๋กูซิงหลันได้ฟังที่ทรงตรัส ในใจก็ตระหนกขึ้นมาบ้าง ถึงแม้ในร่างของจีเฉวียนจะมีไอหยินที่แปลกประหลาดแทรกอยู่ แต่ว่าจะอย่างไรก็ไม่สมควรจะถึงขั้นทำให้สวรรคตไปได้นี่น่า
” ปีใหม่ทั้งทีเจ้าแช่งเราเพื่ออะไร? ” จีเฉวียนทรงเสวยสุราลงไป พระพักตร์ที่เคยเย็นชาอยู่เสมอก็ปรากฎสีแดงระเรื่อขึ้นมาบ้าง เดิมที่พระองค์ก็ทรงงดงามเกินผู้อื่นอยู่แล้ว ยามนี้จึงยิ่งเพิ่มพูนเสน่ห์ขึ้นมาอีก
ตู๋กูซิงหลัน หันหน้าไปมอง นางดื่มไปหลายถ้วยติดๆ กัน ยามนี้ใบหน้าจึงแดงก่ำขึ้นมา นางจดจ้องไปยังจีเฉวียนและหยวนเฟย ” โรคหัวใจอะไรกัน? “
จีเฉวียนหันกลับมาทอดพระเนตรมองนาง แต่มิได้ตรัสสิ่งใดออกมาจากพระโอษฐ์
หยวนเฟยนวดคลึงขมับขึ้นมาบ้าง นางรู้สึกว่า ฝ่าบาทเป็นผู้ที่ซับซ้อนเหลือเกิน นางซึ่งมีมันสมองอยู่อย่างจำกัด ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
หมอผีผู้นั้น…….. ตกลงแล้วยังจะต้องการหรือไม่?
เพื่อตามหาหมอผี คิดว่านางทำได้ง่ายๆ นักหรือ? ถูกคนซ้อมเสียน่วมไปรอบนึง ชีวิตนี้นางก็พึ่งจะเคยโดนเป็นครั้งแรก
แต่พอเห็นท่าทางของฝ่าบาทก้มพระเศียรลงยกถ้วยสุราขึ้นมา โดยมิได้สนใจนางเลยสักนิด นางก็ได้แต่ยอมรับ และถอยกลับไป ไม่กล้ารบกวนอีก
……………………….
งานเลี้ยงผ่านไปได้ครึ่งหนึ่งท้องฟ้าก็มืดสนิทลง เมื่อมืดค่ำเช่นนี้ในวังก็จะจุดพลุ นับตั้งแต่สมัยของปฐมกษัตริย์เป็นต้นมามา การจุดพลุในยามขึ้นปีใหม่นับเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาในทุกรัชสมัย ทุกปีในยามนี้ ชาวบ้านในเมืองหลวงล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นอกวัง ร่วมฉลองปีใหม่กับโอรสสวรรค์
บนท้องฟ้าที่ใสกระจ่าง ดูงดงามดุจภาพวาด
ผู้คนต่างออกมารวมตัวกันอยู่นอกพระตำหนักจิ่นซิ่ว ที่ด้านหน้าของตำหนักมีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง ยามที่พลุถูกจุดขึ้นไปกระจายอยู่บนท้องฟ้า เงาในน้ำก็สะท้อนภาพเดียวกันออกมา กลายเป็นความงดงามที่ยากจะบรรยาย
ตู๋กูซิงหลันเองก็ถูกหยวนเฟยลากออกไปชมดูพลุด้วยกัน
ฮ่องเต้ยังคงประทับนั่งอยู่บนที่ประทับด้านบน เขาเองก็ดื่มสุราลงไปไม่น้อย หากว่าจู่ๆ ก็ออกไป รับลมเย็น เกรงว่า ฤทธิ์สุราจะกำเริบขึ้นมาทำให้เมาได้ง่าย
” ฝ่าบาทเพคะ พระองค์เมาแล้ว” ในยามนั้นเองได้ยินเสียงนุ่มนวลของสตรีผู้หนึ่งดังแว่วมา
จีเฉวียนลืมพระเนตรขึ้นมามองนาง
อันหว่านจือก็ก้มศรีษะลงไป ” ฝ่าบาทเพคะ บ่าวต้มนำแกงสร่างเมาเอาไว้แล้ว ทรงเสวยสักหน่อยเถอะเพคะ”
ทูลแล้ว นางก็วางถ้วยน้ำแกงสร่างเมาลงตรงเบื้องพระพักตร์
น้ำแกงสร่างเมายังมีความร้อนฉุยๆ มันร้อนเสียจนทำเอาพระพักตร์ที่แดงอยู่แล้วของจีเฉวียนยิ่งแดงขึ้นไปอีก เขายกถ้วยน้ำแกงนั้นขึ้นมา สูดดมอยู่ใต้จมูกคู่นึง ได้กลิ่นเปรี้ยวๆ หวานๆ อ่อนๆ ดมแล้วยิ่งรู้สึกสบายตัวนะ
” ฝ่าบาทเพคะ น้ำแกงสร่างเมาต้องดื่มยามร้อนๆ จึงจะดี”
อันหว่านจือทูลต่อไปอีก นางพยายามระงับความตื่นเต้นในใจของตนเอง นางเลือกช่วเวลาได้เหมาะสมอย่างที่สุด ผู้คนทั้งตำหนักจิ่นซิ่วต่างก็ออกไปกันจนหมด ท่านย่าเฝ้าอยู่ที่ปากประตู ก่อนที่เรื่องจะสำเร็จลงย่อมไม่ปล่อยให้ผู้ใดเข้ามาโดยง่าย
จีเฉวียนทอดพระเนตรมองพระพักตร์ที่แดงก่ำของตนเองสะท้อนอยู่ในน้ำแกง ก็พลันฉุดคิดถึงตู๋กูซิงหลันขึ้นมา
เมื่อครู่นางเองก็ดื่มไปไม่น้อย ตอนนี้ออกไปรับลมเย็นๆ เกรงว่าจะรู้สึกไม่สบาย
” เจ้ามีน้ำใจมากแล้ว” พอพระองค์ตรัสประโยคนี้ หัวใจของอันหว่านจือก็ลิงโลดด้วยความยินดีขึ้นมา
” ได้ทำเพื่อฝ่าบาท เป็นสิ่งที่บ่าวสมควรอยู่แล้วเพคะ ” อันหว่านจือทูลตอบด้วยใบหน้าแดงน้อยๆ พอคิดถึงเรื่องที่อีกเดี๋ยวก็จะเกิดขึ้นแล้ว ใบหน้าของนางก็ยิ่งร้อนผะผ่าวขึ้นไปอีก
ยังไม่ทันได้รอให้นางได้เขินอายไปสักเท่าไร จีเฉวียนก็ประคองถ้วยน้ำแกงขึ้นมา เสด็จออกจากพระตำหนักจิ่นซิ่วไปในทันที
” ฝ่าบาทเพคะ? ” สีหน้าของอันหว่านจือตกตะลึงไป นางรีบไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
ที่ปากประตูตำหนัก อันหร่วนประหลาดใจอยู่ไม่น้อย นางถวายคำนับครั้งหนึ่ง ” ฝ่าบาท พระองค์เสด็จออกมาทำไมเพคะ? “
” เราออกมาบ้าง หมัวมัวประหลาดใจมากหรือ? ” จีเฉวียนทอดพระเนตรดูนางครั้งหนึ่ง แม้จะเมามายอยู่บ้าง แต่รัศมีความกดดันที่อยู่ในพระองค์ของฮ่องเต้ไม่ได้จางหายไปไหน
อันหร่วนถวายคำนับ ” บ่าวเพียงแต่กังวลว่าฝ่าบาททรงเมาแล้ว พอถูกลมโชยจะไม่สบายพระองค์ มิสู้ฝ่าบาททรงเสวยน้ำแกงสร่างเมาเสียก่อน ค่อยเสด็จออกไปก็ยังไม่สายนะเพคะ? “
” ใช่เพคะ ฝ่าบาท น้ำแกงนี้เย็นแล้วจะไม่อร่อย ” อันหว่านจือรีบว่าตาม
ด้านนอกอากาศเย็น น้ำแกงร้อนๆ ชามเดียว ประเดี๋ยวก็จะกลายเป็นเย็นเฉียบแล้ว
จีเฉวียนตรัสว่า ” ใช่ เย็นแล้วก็ไม่ดีแล้ว “
อันหว่านจือพึ่งวางใจลงได้อีกครั้ง ยังไม่ทันที่นางจะได้ถอนหายใจ ก็เห็นฝ่าบาททรงทรงนำน้ำแกงสร่างเมาของนางออกไป ตามหาตู๋กูซิงหลันท่ามกลางฝูงชนได้อย่างแม่นยำ
จีเฉวียนพอเห็นนาง ก็คว้ามือของนางขึ้นมา วางชามน้ำแกงสร่างเหล้าลงไปในมือ ” นี่ ให้เจ้าดื่ม “
ตอนที่ 177 ไยคืนนี้ท่านจึงงดงามขนาดนี้?
ตู๋กูซิงหลัน “? “
” เกรงว่าเจ้าเมาแล้วจะทำตัวเละเทะเหลวไหล จึงได้นำน้ำแกง
สร่างเมามาให้เจ้าโดยเฉพาะ ” จีเฉวียนตรัสพลาง
ก็ล้วงเอาเข็มเงินขึ้นจากที่ใดก็ไม่รู้ แกว่งลงไปในน้ำแกงรอบหนึ่ง เข็มเงินไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ก็ทรงตรัสซ้ำว่า ” ตรวจสอบดูแล้ว ไม่มีพิษ เจ้าสามารถดื่มได้อย่างวางใจแล้ว “
ตู๋กูซิงหลัน “??? ” ทำไมนางถึงรู็สึกว่า เป็นเขาที่ดื่มมากเกินไปแล้วต่างหาก? “
ยามนี้พลุยังถูกจุดมิได้หยุด ผู้คนทั้งหลายต่างยังคงจดจ่อกับการชมพลุ จึงแทบไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเลยว่าฝ่าบาททรงนำน้ำแกงสร่างเมามาให้ไทเฮาด้วยพระองค์เอง
” ดื่มตอนร้อนๆ หืม? ” จีเฉวียนจับจ้องนาง ทั้งยังสำทับอีกว่า ” เย็นแล้วจะไม่ดีกับกระเพาะ”
หยวนเฟยก็เสด็จเข้ามาชมความครึกครื้น นางมองไปยังจีเฉวียน ” ฝ่าบาท หม่อมฉันเองก็ดื่มเยอะเกินไป ทรงแบ่งให้หม่อมฉันบ้างได้ไหมเพคะ? “
นางคิดจะเอาไปให้ตู๋กูจุนบ้าง ตลอดงานเลี้ยงเขาเอาแต่จ้องมององค์หญิงใหญ่ ดื่มไปก็ไม่น้อย ฟังมาว่าในกองทัพตระกูลตู๋กูมีข้อห้ามดื่มสุรา เขาเองก็เป็นคนที่เคารพกฎระเบียบมาโดยตลอด
นี่น่าจะเป็นเพราะองค์หญิงใหญ่……
จีเฉวียนกลับปฎิเสธนางไปตรงๆ ” ไม่ได้”
หยวนเฟย “…….” ดุจริง! ช่างเถอะ อีกสักครู่นางไปต้มเองชามหนึ่งก็ได้ ใครเขาอยากได้กัน
ภายใต้แสงพลุบนท้องฟ้า จีเฉวียนคล้ายกับมีรัศมีระยิบระยับรายล้อมอยู่ชั้นหนึ่ง เมื่อตกอยู่ใต้บรรยายกาศเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าเขายิ่งงดงามน่าดูกว่าเดิม
แต่ไหนแต่ไรมานางก็ดื่มสุราไม่เก่ง ตอนนี้พอโดนลมเย็นเข้าไปหน่อย ในกระเพาะก็ชักจะปั่นป่วนราวท้องทะเลพลิกกลับขึ้นมา
จีเฉวียนส่งน้ำแกงสร่างเมาให้นางต่อหน้าผู้คนมากมาย คิดๆ ดูแล้วคงจะไม่ได้มีลูกไม้อะไรหรอกกระมั้ง
ตู๋กูซิงหลันฝืนใจรับมา ริมฝีปากแดงแตะลงไปบนชามหยกใบนั้น จิบเบาๆ อึกหนึ่ง
อันหร่วนและอันหว่านจือต่างหน้าเปลี่ยนสีไปตามๆ กัน
อันหว่านจือยังคิดจะออกไปขวางไว้ แต่กลับถูกอันหร่วนลากกลับมา อันหร่วนส่ายหน้าให้กับนาง ทำกิริยาให้นางอย่าได้ส่งเสียง
เรื่องที่ผิดที่ผิดทางเช่นนี้ หากว่าอันหว่านจือออกไปละก็อาจจะเป็นการเปิดเผยการกระทำของตนเองเข้าได้
สีหน้าของอันหว่านจือเต็มไปด้วยความร้อนรุ่มใจ แต่กลับถูกอันหร่วนจับเอาไว้อย่างเหนียวแน่น นางจึงไม่กล้าเคลื่อนไหว
น่าตายนัก แผนการดีๆ กลับถูกตู๋กูซิงหลันทำเสียเรื่องจนวุ่นวายไปหมด
วันนี้ในตำหนักจิ่นซิ่วนังคนนั้นโดดเด่นจนเงยหน้าขึ้นได้ พอตอนนี้แม้แต่เรื่องดีๆ ของนางก็ยังจะมาช่วงชิงไปอีก!
ดวงตาของอันหว่านจือเปี่ยมไปด้วยเพลิงโทสะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้นางตายๆ ไปเสียเถอะ
ยาเสน่ห์ไร้สีไร้กลิ่น แม้แต่พวกหมอก็ยังตรวจสอบไม่ออก เสี่ยวไทเฮาผู้นี้อีกประเดี๋ยวเดียวก็จะได้ทำเรื่องขายขี้หน้าต่อผู้คนทั้งหมดแน่!
…………………………………….
อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันที่ดื่มไปคำเล็กๆ แต่จีเฉวียนกลับยังไม่พอพระทัย ต้องให้นางดื่มไปถึงครึ่งชามถึงได้ยอมเลิกรา
น้ำแกงสร่างเมานั้นรสเปรี้ยวๆ หวานๆ ดื่มแล้วก็เหมือนกับดื่มน้ำผลไม้
ตู๋กูซิงหลันดื่มไปกว่าครึ่งชาม เขาจึงยอมปล่อยนาง
จีเฉวียนพอถูกลมโชยหนักเข้า ก็ชัดจะออกพระอาการเมาขึ้นมาบ้าง พอเห็นสองแก้มที่แดงซ่านของตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่านางสดใสน่าประทับใจเสียยิ่งกว่าพลุในคืนนี้อีก ดวงพักตร์ที่ไม่เคยสบอารมณ์กับผู้ใดเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา ” ดอกไม้ไฟใกล้จะหมด นี่ก็ดึกมากแล้ว เราส่งเจ้ากลับตำหนักเฟิ่งหมิงดีกว่า “
ริมฝีปากของนางยังมีน้ำแกงแวววาวเกาะอยู่สองหยด จีเฉวียนอยากจะช่วยปาดเช็ดให้นาง
พอพระหัตถ์ยื่นออกไป ก็ทรงชะงักอยู่กับที่
นี่มันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่แม้แต่ร่างกายของพระองค์ก็ควบคุมไม่อยู่แล้ว?
ตู๋กูซิงหลันพึ่งดื่มน้ำแกงสร่างเมาลงไป รู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นสบายนัก นางเงยหน้าขึ้นมองดูจีเฉวียน
เมื่อมีดอกไม้ไฟที่แสนงดงามเป็นฉากหลังให้กับเขา เขาก็ยิ่งดูโดดเด่นขึ้นมาราวกับศูนย์กลางภาพวาดและโดดเด่นอยู่ในสายตาของนาง ราวกับว่ามีแสงทองส่องประกายฉาบล้อม
ยามปกติเขาก็น่าดูอย่างยิ่งอยู่แล้ว แต่ว่ายามนี้เขาในสายตาของตู๋กูซิงหลัน ยิ่งงดงามเหนือโลกขึ้นไปอีก
ราวกับว่ามีพลังทางอารมณ์บางอย่างทำให้นางอยากเข้าใกล้เขาโดยไม่รู้ตัว อยากจะบีบรัดและนวดเฟ้นสักรอบ
นางพยายามฝืนความรู้สึกนี้เอาไว้ แต่ว่ายิ่งพยายามกดมันไว้ก็ยิ่งรู้สึกว่าจีเฉวียนช่างน่าหลงใหลแทบตาย ทั่วทั้งร่ายกายของนางถูกความคิดนี้ควบคุมเอาไว้จนหมดสิ้น
นางยิ้มบางๆ ก็คว้าหัตถ์ของเขาขึ้นมากลางอากาศ ” ลูกชาย….ไยคืนนี้เจ้าจึงงดงามขนาดนี้? “
จีเฉวียนถูกนางจับเอาไว้ ก็ทรงรู้สึกถึงความอบอุ่นจากใจกลางมือของนางที่ถ่ายทอดมายังหลังพระหัตถ์ ท่ามกลางอากาศในฤดูหนาว กระแสอบอุ่นระลอกแล้วระลอกเล่าซึมเข้าสู่หัวใจของเขา
” เจ้าเมามายไม่น้อยเลย ” พระองค์ตรัส แต่ก็มิได้ทรงผลักไสนางออกไป ทำไมพอดื่มน้ำแกงสร่างเมาแล้ว นางถึงได้ดูเมามายกว่าเดิมเสียอีก?
” ข้าไม่มาววว ข้าไม่เมาซักหน่อย ” ตู๋กูซิงหลันทำแก้มพองพลางส่ายศีรษะ
ว่าแล้ว นางก็พุ่งเข้าใส่เขาทั้งตัว เขย่งเท้าขึ้นเงยหน้ามองลึกเข้าไปในดวงตาทั้งสองของเขา ” เอ๋ ในดวงตาของท่านมีดวงดาวอยู่ด้วยหรือ?
พูดจบ นางก็ยื่นปลายนิ้วออกไปอย่างกล้าตาย ลูบไล้ขนตาของเขาเบาๆ ขนตาของเขายาวมากเวลาลูบแล้วยิ่งเป็นแพหนา ให้ความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน
ครู่ต่อมาตู๋กูซิงหลันก็หัวเราะฮิฮะออกมา ” ว้าว ข้าก็อยู่ในดวงตาของท่านด้วย “
พุ่งเข้ามาใกล้จนถึงเพียงนี้ นางย่อมสามารถมองเห็นตนเองในดวงเนตรของจีเฉวียนได้อย่างชัดเจน
‘วิ้งงงง’ จีเฉวียนทรงรู้สึกว่าบางสิ่งในสมองของพระองค์ระเบิดวูบ
ตู๋กูซิงหลันแทบจะยืนอยู่ในอ้อมพระกรของเขา นางทั้งหอมและนุ่มเหลือเกิน มงกุฎหงส์ของนางและสายไข่มุกบนพระมาลาของเขาพันกันอยู่ จนเกิดเสียงกระทบกันเบาๆ อยู่ใต้เสียงสนั่นที่ปิดทับของดอกไม้ไฟ
ตู๋กูซิงหลันไม่ยินยอม นางกระเง้ากระงอดกับอกเสื้อของเขา ” จีเฉวียน ท่านยิ้มสิ ท่านยิ้มแล้วน่าดูที่สุดเลย “
จีเฉวียนรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ทรงถูกยั่วเย้า
เขาพยายามฝืนเอาไว้ทั้งตัว เพราะตอนนี้เริ่มมีผู้คนไม่น้อยสังเกตเห็นพวกเขาบ้างแล้ว แม้ว่าจะยังมีพลุอยู่ แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าไทเฮากำลังเมามาย ยิ่งทีหลายคนก็ยิ่งมองมามากขึ้น
” ไทเฮาทรงเป็นอะไรไป? “
” เมาอาละวาดละมั้ง? “
” เมาอาละวาดที่ไหน จะต้องเป็นเพราะว่าช่วงนี้ฝ่าบาททรงโปรดปรานแต่ซูกุ้ยเฟยเพียงผู้เดียว ในใจของนางจึงริษยาอย่างหนัก พอคราวนี้เลยออกลายขึ้นมา”
” นี้มันจะกล้ามากเกินไปแล้ว คนมากมายมองดูอยู่แท้ๆ! “
” นางก็กล้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มีหรือครั้งนี้จะยอมพลาดกัน? “
ผู้คนทั้งหลายตอนแรกก็ตื่นตระหนกไป แต่ครู่ต่อมาก็เริ่มส่งเสียงนินทา
ซูเม่ยเองก็มองไปเช่นกัน แต่เขาเห็นเพียงว่าตู๋กูซิงหลันสองแก้มแดงระเรื่อ แย้มยิ้มอย่างโง่งม
ท่าทางเช่นนี้ดูก็รู้ว่าไม่ปกติแล้ว
เขาเดินเข้าไปหา ส่งเสียงเรียกนางคำหนึ่ง ” อาหลัน เจ้าดื่มมากไปหรือเปล่า? “
แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับคล้ายไม่ได้ยินเสียงของเขาเลยแม้แต่น้อย นางยังคงเอาแต่จับจ้องจีเฉวียน เขย่าฉลองพระองค์ของเขาอย่างแง่งอน ” จีเฉวียน ท่านรีบยิ้มเร็วๆ เข้าสิ อย่าได้เอาแต่ทำหน้านิ่ง ข้ากลัวนะ “
เป็นเพราะฤทธิ์ของยาเสน่ห์ สายตาของตู๋กูซิงหลันในยามนี้จึงมีแต่จีเฉวียนเพียงผู้เดียว ผู้คนหรือเสียงอื่นใดล้วนไม่อยู่ในความสนใจของนาง
ในดวงตาของนางเห็นแต่จีเฉวียนที่งดงามน่าหลงใหล ยิ่งน่าหลงใหลกว่าเดิม น่าหลงใหลที่สุด น่าหลงใหลจนแทบตายแล้ว
ประหลาดจริงๆ ทำไมก่อนหน้านี้นางถึงได้ไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าเขาถูกตาต้องใจนางขนาดนี้?
น้ำเสียงของนางอ่อนหวาน น้ำเสียงที่เว้าวอนของสาวน้อยอ่อนไปไปจนถึงกระดูก สองมือที่เรียวงามคอยดึงรั้งพระหัตถ์ของเขาอยู่ตลอด นางแทบจะซุกไซร้ฉลองพระองค์ของเขาอย่างสุดชีวิต
ต่อให้จีเฉวียนทรงเป็นดั่งต้นสาคูโบราณอายุพันปีหมื่นปี ยามนี้ก็ยังต้องทรงรู้สึกอ่อนไปทั้งพระองค์จนจะผลิดอกได้แล้ว
” อย่าได้วุ่นวาย ” เขาจับมือเล็กของนางเอาไว้ ” เจ้าเมามากแล้ว เราจะส่งเจ้ากลับไปเดี๋ยวนี้ “
” ไม่อาวง่ะ หากท่านไม่ยิ้มข้าก็จะไม่ไป ” ตู๋กูซิงหลันทำแก้มพองกระทืบเท้าราวกับเป็นเด็กๆ
ตอนที่ 178 จีเฉวียน กอด กอด~
จีเฉวียน ที่เย็นยะเยือกอยู่เสมอ แต่ว่าเมื่อได้พิงกับตัวเขา นางรู้สึกว่าสบายไปทั้งร่าง ความร้อนรุ่มที่ผุดขึ้นมาจากภายใน ก็เหมือนกับว่าได้รับการผ่อนคลาย
จีเฉวียน ห้ามนางไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้คิดจะผลักไสนางออกไป ใบหน้าที่เฉยชานั้นปรากฎรอยยิ้มขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันจ้องมองดู ก็ส่ายศีรษะ ” ไม่พอ ยังไม่พอ “
พูดแล้วตู๋กูซิงหลันก็ปล่อยเขา นางยกสองนิ้วขึ้นมา สัมผัสเบาๆ ลากจากมุมปากไปที่ข้างแก้มทั้งสองข้าง จนเกินเส้นโค้งตามมา ทำให้นางพอใจได้ในที่สุด นางก็ค่อยยิ้มออกมาบ้าง
” เช่นนี้จึงจะถูกต้อง “
ว่าแล้วก็ไม่ลืมที่จะชมเขาประโยคหนึ่ง ” จีเฉวียน ท่านน่าดูมากๆ เลย “
จีเฉวียนมองดูนางยิ้มแย้ม พระทัยก็หลุดลอยไป จนทรงลืมเลือนว่ามีผู้คนมากมายอยู่รอบข้าง ตรัสถามออกไป ” เจ้าชอบหรือไม่? “
” ชอบสิ ชอบมากๆ เลย” ตู๋กูซิงหลันพูดพลาง ก็ปล่อยมือจากเขา ทำท่าหัวใจดวงโตๆ ให้เขาดู
ทำเสร็จแล้วนางก็ยื่นสองมือออกมา กอดเอวเขาเอาไว้แน่นๆ อีก ดวงตาเล็กๆ คลอเคลียอยู่บนอกของเขา ถูกไถไปมา ” จีเฉวียน ข้ารู้สึกแย่มากเลย ขอกอดท่านอย่างนี้ตลอดไปได้หรือไม่? “
ถึงยามนี้จีเฉวียนค่อยรู้สึกขึ้นมาว่าร่างกายนางร้อนระอุประหนึ่งเตาไฟ คนแทบจะร้อนลวกไปทั้งตัว
เหล่าขุนนางใหญ่ เชื้อพระวงค์สูงศักดิ์ทั้งหลายคืนนี้ต่างก็ได้เห็นจนประจักษ์ชัดแล้ว
ไทเฮาน้อยทรงสำแดงวิชายั่วยวนฝ่าบาทให้ดู ฉากที่ได้เห็นนี้ยังดึงดูดสายตาได้มากกว่าการแสดงคืนนี้มากมายนัก
เหล่าพระสนมในวังหลังต่างก็มองดูกันจนปากอ้าตาค้าง ขอโทษทีเถอะ พวกนางคงจะต้องกราบกรานยอมแพ้เสียแล้ว!
ฝีมือยั่วยวนที่ไร้ยางอายขนาดนี้ พวกนางคงจะไม่อาจร่ำเรียนได้
ตู๋กูจุนเองก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง น้องสาวกำลังเล่นละครใดอยู่? หรือว่าจะถูกตาต้องใจจีเฉวียนขึ้นมาจริงๆ?
เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นมีดีในที่ใดกัน? รู้หรือไม่ แม้แต่ปลายเท้าของนางเขาก็ยังไม่คู่ควรด้วยซ้ำ
ซูเม่ยเองก็ร้อนใจขึ้นมาแล้ว เห็นตำตาว่าตู๋กูซิงหลันโอบกอดจีเฉวียนอย่างแนบแน่น เขาก็หึงหวงจนอยากจะทำลายพระตำหนักจิ่นซิ่วให้ราบแล้ว
เขาก้าวเข้าไปดึงตู๋กูซิงหลันออกมา ” อาหลัน เจ้าตั้งสติหน่อย “
” อย่ามาดึงข้า ข้าจะกอดเขา จีเฉวียน กอด กอด~” ตู๋กูซิงหลันราวกับเป็นปลาหมึกไปแล้ว เกาะติดกับจีเฉวียน จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมปล่อย
นางมีเรี่ยวแรงมาก แค่โบกมือยังเกือบจะผลักซูเม่ยจนกระเด็น
ผู้คนทั้งหมดต่างเห็นกับตา จุ จุ …….ไทเฮากับหวงกุ้ยเฟยแย่งชิงฝ่าบาทกัน ละครฉากนี้ยิ่งทีก็ยิ่งสนุกไปกันใหญ่แล้ว!
จีเฉวียนมองดูสาวน้อยที่ร่ำร้องขอให้อุ้มในอ้อมอก ทั้งๆ ที่ทรงรู้ดีว่าสมควรจะผลักไสนางไปให้ไกล แต่ว่าพระหัตถ์คู่นั้นกลับกอดนางกลับไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ ดวงเนตรหงส์กวาดขึ้นมามองดูผู้คนที่กำลังจดจ้องมา
” ไทเฮาทรงเมาสุรา ไม่รู้องค์ งานเลี้ยงในคืนนี้สิ้นสุดลงแล้ว ออกจากวังแล้วกลับบ้านไปเสีย “
ผู้คนทั้งหลายยังคิดจะชมดูความสนุกสนานต่อไป แต่ว่าสายพระเนตรของฝ่าบาทกลับเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร แต่ละคนแม้มีใจอยากหากก็ปราศจากความกล้า ได้แต่ทยอยกันออกจากพระตำหนักจิ่นซิ่วไป
เหล่าพระสนมทั้งหลายต่างก็ยังยืนอยู่ที่เดิม พูดกันตามจริงตอนนี้พวกนางต่างโกรธเกรี้ยวจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้นมาบ้างแล้ว แม่ยายถึงขนาดแย่งชิงสามีของนางต่อหน้า โทสะเช่นนี้จะให้กล้ำกลืนลงไปได้อย่างไร?
ซูเม่ยที่เป็นถึงหวงกุ้ยเฟยก็ใช้การไม่ได้เสียเลย ยามปกติมิใช่ว่านางเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทที่สุดหรอกหรือ? ทำไมพอตอนนี้แม้แต่จะมองฝ่าบาทก็ยังไม่ทรงชายพระเนตรให้นางเลย?
ตู๋กูจุนยังคงไม่ได้จากไป ท่าทางเช่นนี้ของน้องสาวทำเอาเขากังวลมากจริงๆ
เขาเดินเข้าไปใกล้ คิดจะดึงเอาตัวนางออกมาจากจีเฉวียน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ลงมือ ก็เห็นจีเฉวียนโอบอุ้มนางขึ้นมาทั้งตัว ” เราจะส่งนางกลับตำหนักเฟิ่งหมิงด้วยตนเอง ท่านแม่ทัพอย่าได้เป็นกังวล “
หยวนเฟยเกรงว่าเขาจะขัดแย้งกับฝ่าบาท ก็รีบกล่าวขึ้นมาว่า ” ท่านแม่ทัพผู้พิชิต ข้าจะคอยดูแลไทเฮาด้วยตัวเอง ท่านก็กลับจวนไปอย่างวางใจเถอะ “
ว่ากันตามนิสัยของตู๋กูจุน เกรงว่าเรื่องที่ต่อให้ต้องแย่งชิงคนกับฝ่าบาทก็คงจะกล้าทำ
หยวนเฟยกังวลในอาการบาดเจ็บของเขาที่ยังคงไม่หายดี หากว่าเกิดใช้กำลังกันขึ้นมา จนได้รับบาดเจ็บซ้ำอีกก็คงจะแย่แน่ๆ
นางทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งก็ดึงแขนเสื้อของตู๋กูจุน ให้เขาถอยไปด้านหลัง
องค์หญิงใหญ่ก็ทอดเนตรมองมาจากจุดที่ไม่ไกลนัก
” ฝ่าบาทย่อมไม่ทรงทำร้ายไทเฮา เจ้าไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดไป “
นางคือคนที่รู้จักความรัก รักจนถึงขั้นแม้ตายจากกัน ย่อมเข้าใจความรู้สึกของหนุ่มสาวมากกว่าผู้ใด ฮ่องเต้ผู้ทรงเป็นอนุชาของนาง ไม่เคยมีความอ่อนโยนให้กับผู้ใดมาก่อน
พอได้ฟังคำขององค์หญิงใหญ่ ตู๋กูจุนก็ค่อยเย็นลงได้บ้าง ไม่เข้าไปแย่งชิงคนอีก
จากนั้นก็ได้ยินองค์หญิงใหญ่ตรัสเพิ่มอีกว่า ” เราเองก็จะกลับแล้ว รบกวนท่านแม่ทัพ คุ้มครองส่งพวกเราแม่ลูกด้วย “
นี่เป็นครั้งแรกที่นางขอร้องออกมาด้วยตนเอง ตู๋กูจุนตะลึงไปเล้กน้อย ค่อยผงกศีรษะ ” ได้ “
เขารับคำแล้วก็หันมาเหลือบมองตู๋กูซิงหลันแวบหนึ่ง เห็นนางกอดแขนจีเฉวียนเอาไว้อย่างแนบแน่น ซุกศีรษะเข้าไปในอ้อมอกของเขา แย้มยิ้มอย่างโง่งม
ก็คิดว่านางดื่มสุรามากไปจึงได้เอาแต่ใจเหมือนดั่งเด็กน้อย
ตู๋กูจุนออกจากตำหนักจิ่นซิ่ว ถือดาบใหญ่ประจำตัวของเขาคุ้มครององค์หญิงใหญ่แม่ลูกกลับไป
ในตำหนักจิ่นซิ่ว เหล่าสนมยังคงไม่ยอมแยกย้าย จีเฉวียนก็ทรงอุ้มตุ๋กูซิงหลันเอาไว้เตรียมจะเสด็จไปตำหนักเฟิ่งหมิงกง
แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวพระบาทออกจากตำหนัก ก็เห็นอันหร่วนขวางอยู่ที่เบื้องหน้าพระพักตร์ คุกเข่าลงไปอย่างแรง ” ฝ่าบาท พระองค์ไม่อาจจะทรงกระทำเรื่องเหลวใหลนะเพคะ “
อันหว่านจือที่อยู่ข้างๆ นาง ก็คุกเข่าลงไปเช่นกัน
น่าตายนัก นางคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะยอมอ่อนให้กับตู๋กูซิงหลันจนถึงเพียงนี้
เป็นถึงไทเฮาของบ้านเมือง กล้ายั่วยวนฝ่าบาทต่อหน้าฝูงชน กลับไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไร? ทำไมถึงได้ผิดท่าไปได้ถึงเพียงนี้?
ฝ่าบาทเองก็เช่นกัน มิได้ทรงกริ้วเลยแม้แต่น้อย กลับจะส่งนางกลับตำหนักด้วยพระองค์เอง
หากปล่อยให้ส่งกลับตำหนักเฟิ่งหมิงทั้งๆ อย่างนี้ยังจะเหลือหรือ? เกรงว่าพอกลับถึงตำหนักเฟิ่งหมิง เขาก็คงจะจับตู๋กูซิงหลันกลืนกินลงไปทั้งเป็นแน่แล้ว
ยาเสน่ห์นี้มีฤทธิ์รุนแรงนัก ต่อให้เป็นถึงเทพเซียนก็ดิ้นไม่พ้น
เกรงว่านางวางแผนวุ่นวายขึ้นมารอบหนึ่ง กลับกลายเป็นตัดชุดแต่งงานให้กับผู้อื่นหรือไม่?
จีเฉวียนเพียงแต่ทอดพระเนตรมองแวบหนึ่ง ก็สาวพระบาทก้าวออกไป
อันหร่วนรีบหมอบลงไปกับพื้น ” ฝ่าบาท ยามฮองเฮายังทรงพระชนม์อยู่ ก็ทรงให้ความสำคัญต่อกฎระเบียบและจารีตประเพณีอย่างที่สุด พระองค์ทรงเป็นพระโอรสเพียงผู้เดียวในโลกนี้ของพระนาง ไม่อาจจะทรงทอดทิ้งกฎได้นะเพคะ”
อันหร่วนทูล แล้วก็จดจ้องมองสตรีในอ้อมพระกร ” จะอย่างไรก็เป็นถึงไทเฮาของแว่นแคว้น กลับยั่วยวนพระองค์ต่อหน้าผู้คน ไม่รู้จักระวังรักษากิริยา บ่าวเฝ้าดูฝ่าบาทมาตั้งแต่พระเยาว์จนเติบใหญ่ ไม่อาจปล่อยให้พระองค์ทรงถูกเล่ห์อุบายยั่วยวนเช่นนี้นะเพคะ “
” ยั่วยวน งั้นหรือ? ” จีชวนทรงตรัสพระสุรเสียงเย็นยะเยือก ” เช่นนั้นเราก็คงจะต้องสั่งให้คนสืบสวนดูให้ดีแล้วว่าน้ำแกงสร่างเมาชามนั้นตกลงแล้วเป็นอะไรกันแน่ “
ตู๋กูซิงหลันแต่ไหนแต่ไรก็เป็นสาวน้อยที่เจ้าเล่ห์และรู้จักรักชีวิตตนเอง ต่อให้นางเมามายจนไม่เป็นผู้เป็นคน ก็ไม่มีทางจะก่อเรื่องจนถึงขั้นยั่วยวนเขาต่อหน้าฝูงชนขึ้นมาได้
แค่เรื่องอุปนิสัยของนาง เขาย่อมรู้ดีอยู่แล้ว
หากว่าเป็นเขาที่ดื่มน้ำแกงสร่างเมานั่นลงไป เกรงว่าผลลัพธ์คงจะกลับกลายเป็นอีกแบบหนึ่ง
อันหร่วนตกตะลึงไป นางยังไม่ทันกล่าวสิ่งใด ก็เห็นอันหร่วนจรืออดรนทนไม่ไหว รีบร้อนกล่าวขึ้นมาบ้างว่า ” ฝ่าบาท พระองค์ก็ทรงใช้เข็มเงินทดสอบดูแล้วมิใช่หรือเพคะ? นั่นเป็นความหวังดีของบ่าว ไยจึงทรงหันมาระแวงบ่าวได้กัน? “
” ฝ่าบาท เพื่อปกป้อง สตรีที่กล้ายั่วยวนเจ้าแผ่นดิน จึงทรงสาดความผิดนี้ใส่บ่าว บ่าวเสียใจเหลือเกิน “
พูดแล้ว อันหว่านจือก็น้ำตาไหล ” บ่าวรับใช้ฝ่าบาทมาตั้งนาน ไม่เคยคิดอาจเอื้อมเลยแม้แต่น้อย ถึงตอนนี้คนที่มีจุดประสงค์ไม่ดีก็คือไทเฮาต่างหากเพคะ “
ตอนที่ 179 ปักนางเข็มหนึ่ง ก็เฉือนเจ้...
เหล่าพระสนมถึงแม้ไม่ได้ชื่นชอบนาง แต่ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันก็คือศัตรูร่วมกันของทั้งหมด ดังนั้นต่างก็พากันเข้าข้างนาง
” ขอฝ่าบาททรงเห็นแก่ประเทศชาติ อย่าได้ถูกเสน่ห์ล่อลวง “
เหล่าพระสนมกล่าวแล้ว ก็พากันคุกเข่าลงไป
ซูเม่ยก็คิดจะยื่นมือเข้าไปจัดการเรื่องนี้ด้วย แต่กลับถูกหย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยารั้งตัวเอาไว้ ลากเขาออกไปจากสถานที่ในทันที
พวกเขาเกรงว่าเจ้าลูกทรพีจะสบโอกาสตบตีกับไทเฮาขึ้นมา ดังนั้นรีบเอาเจ้าตัวปัญหานี้ออกไปให้ไกลๆ เป็นดีที่สุด
ก่อนหน้านี้เจ้าลูกตัวร้ายก็สวมหมวกเขียวใบโตให้ฝ่าบาทไปแล้ว หากว่าวันนี้ฝ่าบาทจะกระทำบ้าง ก็ถือว่าเสมอกันไป
…………………………
พระตำหนักจิ่นซิ่ว
จีเฉวียนกวาดพระเนตรมองดูเหล่าสนมอย่างเย็นชา สุดท้ายก็ทอดพระเนตรไปยังอันหว่านจือ ” ดูท่าเจ้าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา “
ขณะที่ทรงตรัสเรื่องนี้ ตู๋กูซิงหลันยังคงซุกไซร้อยู่ในอ้อมพระอุระอย่างไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ อ๋ายย่าห์ ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยรู้สึกว่าจีเฉวียนนั้นงดงามและน่าหลงใหลถึงเพียงนี้?
นี่เขากำลังพูดคุยกับใครกัน?
ไม่สนใจแล้ว เอาเป็นว่าอย่ามาร้ายกาจกับนางก็พอ
วิญญาณทมิฬเกาะอยู่บนบ่าของนาง มันเรียกนางให้ ‘ตื่น’ อยู่หลายรอบแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จ
สตรีผู้นี้ ยามปกติรู้ดีไปหมดทุกเรื่อง มาคราวนี้โดนน้ำพลิกเรือคว่ำ ถูกเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นยัดเยียดสิ่งของให้นางกินเข้าไป!
คราวนี้ถึงคราวต้องซวยแน่!
รอจนนาง’ตื่น’ขึ้นมา พอได้รู้ว่าเมื่อคืนตนเองทำอะไรลงไป เกรงว่าคงต้องสำนึกเสียใจจนอยากเอาหัวโขกกำแพง
อันหว่านจือคุกเข่าอยู่บนพื้น ในใจของนางมีแต่ความพลุ่งพล่าน ไยฝ่าบาทจึงไม่ทรงเชื่อนางกัน?
ยาเสน่ห์นี้ท่านย่าปรุงขึ้นด้วยตนเอง ใครก็ไม่มีทางตรวจรู้ได้ เรื่องอะไรนางจะต้องไปกลัว?
อันหร่วนถึงแม้จะหงุดหงิดที่อันหว่านจือพูดมากเกินไป แต่อย่างไรยังคงต้องช่วยหลาน นางกล่าวอย่างสำรวมว่า ” ฝ่าบาท พระองค์ทรงใส่ความหว่านจรือแล้ว “
” นางถวายการดูแลฝ่าบาทด้วยความใส่ใจ มิว่าเรื่องใดๆ ล้วนแล้วแต่คำนึงถึงพระองค์ก่อน ทุกสิ่งที่นางนำมาถวายพระองค์ไหนเลยจะมีข้อผิดพลาดได้ “
” ฝ่าบาท หากพระองค์มิทรงเชื่อ ก็สามารถเรียกหมอหลวงมาตรวจสอบดูได้เพคะ “
พูดแล้ว อันหร่วนก็จดจ้องไปยังตู๋กูซิงหลันที่อยู่ในอ้อมพระกร กราบทูลต่อไปว่า ” ไทเฮาน้อยผู้นี้ นับตั้งแต่ที่ได้รับการแต่งตั้งมาก็เป็นเหตุให้อดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ตอนที่ฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองราชย์นางก็บังอาจปีนเตียงมังกร นี่แสดงว่านางมีใจใฝ่ฝันในพระองค์มากเพียงไร คราวนี้พอดื่มสุราลงไปถึงได้สำแดงออกมาจนหมด “
” อันกูกู ที่ก่อนหน้านี้เรื่องที่ไทเฮาทรงปีนเตียงบรรทมได้รับการพิสูจน์จนชัดแจ้งแล้ว นั่นเป็นแผนการให้ร้ายของเสียนไท่เฟยและเต๋อเฟย ” มีสนมบางคนเตือนนาง
นี่มันคนละเรื่องกัน หากคิดจะคุ้ยคดีเก่าขึ้นมาละก็ ควรต้องเอาที่มีประโยชน์หน่อยจึงจะใช้ได้
ข่าวสารของอันกูกูนับว่าล้าหลังไปแล้ว
อันหร่วนก็มิได้เร่งร้อน นางเพียงกราบทูลจีเฉวียนว่า ” บ่าวมีวิธีการอยู่อย่างหนึ่ง ขอเพียงฝ่าบาททรงทดลองดู ก็จะทราบได้ว่าเสี่ยวไทเฮาทรงแกล้งเมาสุราเพื่อล่อลวงฝ่าบาทหรือไม่ “
พูดแล้ว ก็เห็นนางล้วงเอาเข็มเล่มดำๆ ทื่อๆ ออกมาจากในอกเสื้อ
เหล่าสนมต่างก็เข้าใจในความหมายของนางขึ้นมา ใครบ้างจะไม่กลัวเจ็บกัน? หากว่าโดนเข็มเช่นนี้แทงเข้าไปครั้งหนึ่ง ต่อให้แกล้งเป็นเมาอยู่ก็ต้องรีบสร่างขึ้นมาแน่
” ขอฝ่าบาททรงประทานอนุญาตให้บ่าวได้ทดลองดูสักครั้ง จะได้ทำให้พระองค์ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง ” อันหร่วนกราบทูลอย่างชี้แนะ
ผู้ที่โดนยานี้เข้าไป หากไม่ได้กระทำเรื่องดังว่าแล้ว ก็มีแต่การฝังเข็มของนางเท่านั้นจึงจะแก้ไขได้
ต่อให้พวกหมอหลวงมีฝีมือสูงส่งเพียงไร ก็มิอาจตรวจเจอปัญหาในน้ำแกงสร่างเมาได้ ขอเพียงตอนนี้นางใช้เข็มแทงจนตู๋กูซิงหลัน’ตื่น’ขึ้นมาได้ ความเสี่ยงของหว่านจรือก็จะคลี่คลายไปเอง
อีกทั้งยังสามารถทำให้ฝ่าบาททรง ‘ได้เห็น’ โฉมหน้าที่แท้จริงของตู๋กูซิงหลัน นับว่ากระสุนนัดเดียวยิงนกได้สองตัว
พอถึงตอนนั้นค่อยให้อันหว่านจือทำท่าน่าสงสาร ฝ่าบาทย่อมบังเกิดความเสียใจสำนึกผิดต่ออันหว่านจือ เช่นนี้ต่อไปในภายหน้าเรื่องที่อันหว่านจือวาดหวังเอาไว้ก็ย่อมจะสำเร็จได้อย่างแน่นอน
” ขอฝ่าบาททรงประทานอนุญาตให้อันกูกูได้ทดลองด้วยเถอะเพคะ ” เหล่าพระสนมต่างพากันขอร้อง
จีเฉวียนทรงสดับฟังแล้ว ก็พระสรวลเสียงเย็น ดวงเนตรหงส์คู่นั้นบังเกิดรังสีอำมหิตขึ้นมา
สายพระเนตรนั้นทอดลงบนร่างของอันหร่วน ชั่วขณะนั้นเองอันหร่วนก็พลันรู้สึกเหมือนตกอยู่ในความเหน็บหนาวขึ้นมา ” หมัวมัว เจ้าคิดว่ารับผิดชอบเรื่องนี้ไหวหรือ? “
อันหร่วนสงบจิตใจลง ” เพื่อฝ่าบาท เพื่ออดีตฮองเฮา แม้บ่าวเฒ่าผู้นี้จะต้องสละชีวิตก็ขอรับผิดชอบอย่างสุดกำลังเพคะ “
จีเฉวียนทรงหรี่พระเนตรลง พลุไฟหยุดลงไปแล้ว ท้องฟ้าเหลือเพียงแสงดาวกระจ่างเท่านั่น สองพระหัตถ์ของพระองค์โอบอุ้มตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ตรัสด้วยพระสุรเสียงเย็นยะเยือกอย่างที่สุดว่า ” ไทเฮาทรงศักดิ์ล้ำค่ากว่าทองคำ หากจะให้นางหลั่งโลหิตพบกับความเจ็บปวด ก็จงหาสิ่งที่ทัดเทียมมาแลกเปลี่ยน “
” อย่าเช่น เจ้าแทงนางเข็มหนึ่ง เราก็จะเฉือนอันหว่านจือดาบหนึ่ง ทางที่ดีเจ้าจงภาวนาให้สามารถแทง ‘ปลุก’ ไทเฮาสำเร็จในครั้งเดียว มิเช่นนั้นเราจะให้ร่างของอันหว่านจือต้องเผชิญกี่ดาบ ก็ยังไม่รู้ “
ใบหน้าชราของอันหร่วนถึงกับระงับอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ นางยังคงถือเข็มดำเอาไว้ในมือ แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ทูลตอบฮ่องเต้ อันหว่านจือก็ระเบิดคำพูดออกมาก่อนแล้ว
” ฝ่าบาท เพราะอะไรพระองค์จะทรงทำเช่นนี้กับหม่อมฉันได้กัน? “
อันหว่านอยากจะตบปากของนางนัก นี่เป็นเพราะว่าตั้งแต่ยังเล็ก ตนตามใจนางมากไปแท้ๆ …..
จีเฉวียนพระสรวลเสียงเย็น ” เพราะว่าเจ้าเป็นบ่าวคนหนึ่ง หมัวมัว อายุมากแล้ว คงจะทนได้ไม่กี่ดาบ ในเมื่อนางมีบุญคุณเลี้ยงดูเจ้ามา เจ้าก็สมควรจะรับดาบแทนนาง ถือเป็นความกตัญญู “
อันหว่านจือพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
บ่าว……บ่าว……ในสายพระเนตร นางก็เป็นเพียงแค่บ่าวเท่านั้นหรือ?
แม้แต่เส้นผมสักเส้นของตู๋กูซิงหลันก็ยังคงเทียบไม่ได้อย่างนั้นรึ!
เพียงแค่จะแทงนางสักเข็มหนึ่ง ถึงกับจะเฉือนนางดาบหนึ่ง?
คราวนี้ในใจของนางถึงกับเกิดความรู้สึกเหน็บหนาวเข้าไปถึงแก่นกระดูก สายตาสาดประกายเคียดแค้นออกมา
ความอับอายที่ถูกดูถูกว่าเป็นเพียงบ่าวไพร่อยู่ตลอดหลายวันมานี้ก็ปะทุออกมา ” นังตู๋กูซิงหลันเป็นนังมาร ดูสิว่ามันยั่วยวนฝ่าบาทจนหลงใหลหัวปักหัวปำถึงเพียงไหนแล้ว? “
” พวกคนตระกูลตู๋กูก็ล้วนแต่มิใช่ตัวดี ฝ่าบาท หม่อมฉันทูลพระองค์ตามตรงเลยก็แล้วกัน ปีนั้นแม้แต่อดีตฮองเฮาก็ทรงสิ้นประชนม์ด้วยน้ำมือของพวกตระกูลตู๋กู แต่ว่าวันนี้พระองค์กลับทรงปกป้องหลานสาวของผู้ที่ฆ่าพระมารดาหรือ? ช่างน่าขำนัก! “
” อ๋อ พระองค์มิทรงทราบละมั้งว่า ยามที่อดีตฮองเฮาเริ่มทรงพระครรภ์ ทุกๆ วันต่างถูกคนวางยาพิษ เป็นยาพิษกำเริบช้า ที่ซึมซาบเข้าไปในร่างของพระนางอยู่ทุกๆ วัน ดังนั้นยามที่พระองค์ทรงประสูติออกมา พระนางถึงได้ตกพระโลหิตอย่างรุนแรง เพียงไม่กี่ปีก็ต้องสิ้นไป “
อันหว่านจือกล่าวออกมาจนหมดในลมหายใจเดียว ทั้งยังยืนขึ้นมาอย่างไม่กลัวตาย ” อดีตฮองเฮาทรงทราบพระองค์ดี แต่เพราะยามนั้นตระกูลตู๋กูมีอำนาจเทียมฟ้า จึงได้แต่ฝืนพระทัยกล้ำกลืนความทุกข์นี้ลงไป พอพระนางสิ้นไปแล้ว ท่านย่าของหม่อมฉันก็นำความลับนี้หนีไปอยู่เขาจงหลิง ตลอดหลายปีมานี้เพียงเล่าให้หม่อมฉันฟังแต่ผู้เดียว! “
นางหอบหายใจจนอกกระเพื่อม ท่าทางราวกับสูญเสียความมีเหตุผลไปหมดแล้ว ” ก็นังเสียนไท่เฟยอะไรนั่น มิใช่ว่ายังไม่ตายหรอกหรือ? หากว่าฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อ ก็เรียกนางมาสอบความดูสิเพคะ ยาพิษที่ถวายให้กับฮองเฮา ล้วนเป็นนางส่งมาด้วยตนเองทั้งนั้น! พระองค์สมควรจะทราบว่า เสียนไท่เฟยนั่นกลายมาเป็นนางกำนัลประจำพระองค์ของอดีตไทเฮาได้อย่างไรกระมัง? “
” แม้ทุกวันนี้ท่านย่ากับหม่อมฉันมีใจจะปกป้องพระองค์ แต่ฝ่าบาทกลับทรงถูกนังมารนี้ปิดพระเนตร ช่างทำร้ายจิตใจของพวกเราเหลือเกิน! “
คำพูดของอันหว่านจือ พระสนมที่อยู่ในที่นั่นล้วนได้ยินอย่างชัดเจน แต่ละคนต่างเบิกตาโตขึ้นมา ตระหนกตกใจไปตามๆ กัน
ฉางซุนฮองเฮาทรงถูกพวกตระกูลตู๋กูทำร้ายจนสิ้นพระชนม์?
มิน่าเล่า…. นับตั้งแต่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์มาก็ทรงเป็นปรปักษ์กับตระกูลตู๋กู เดิมทียังเข้าใจว่าเป็นเพราะพระองค์ทรงโกรธแค้นที่ตระกูลตู๋กูเคยสนับสนุนอี้อ๋อง ที่แท้ก็เป็นเพราะมีเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้น่ะเอง
เรื่องเช่นนี้มัน…….เป็นปัญหาใหญ่เกินไปแล้ว
อันหว่านจือรู้สึกสะใจยิ่งนัก นางคิดว่าในเมื่อเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาแล้ว ต่อให้ฮ่องเต้จะทรงลำเอียงอย่างไร ก็ย่อมไม่อาจจะเข้าข้างอีกฝ่ายที่มีความแค้นฆ่าพระมารดาได้เป็นแน่
ตอนที่ 180 เสี่ยวเฉวียนเฉวียน
จีเฉวียนทรงได้ฟังแล้ว สายพระเนตรก็ มืดครึ้มลง ร่างของตู๋กูซิงหลันที่อยู่ในอ้อมพระกรยิ่งทีก็ยิ่งร้อนระอุขึ้นมา
สองมือโอบกอดไปรอบพระศอ ส่งเสียงครางหงิงๆ ออกมา ” จีเฉวียน ข้าทรมานมากเลย “
หากว่าเป็นในยามปกติ พอนางได้ฟังอันหว่านจือกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ตู๋กูซิงหลันย่อมต้องพุ่งเข้าไปกระโดดถีบและตบหน้านางเป็นแน่
แต่ว่านางในตอนนี้ได้แต่ซุกอยู่ในอ้อมพระอุระอย่างเชื่อฟัง สองแก้มแดงเปล่งปลั่งราวกับอาทิตย์อัสดงที่งดงาม ในดวงตาดอกท้อคู่นั้นมองเห็นแต่พระองค์อยู่เพียงผู้เดียว
ทั้งผู้อื่นและเรื่องใดๆ ล้วนถูกปฏิเสธไปจนหมดสิ้น
เมื่อได้รับสายตาเช่นนี้ ทันใดนั้นจีเฉวียนทรงรู้สึกคล้ายดั่งเป็นทรราชย์ผู้ทรงอำนาจขึ้นมาในทันที
” ฝ่าบาท พระองค์ทรงดูนางสิเพคะ นี่ยังจะไม่เรียกว่าล่อลวงอีกหรือ? ” อันหว่านจืออากจะพุ่งเข้าไปแทงตู๋กูซิงหลันสักสองดาบ
เดิมที……เดิมทีคนที่ฝ่าบาทสมควรจะอุ้มเอาไว้ก็คือนางต่างหาก
ยิ่งกว่านั้นนางเปิดเผยความลับที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ออกมา ไยฝ่าบาทจึงไม่ทรงโยนมันทิ้งไป กลับยังโอบอุ้มมันไว้ในอ้อมพระกรอีก
อันหร่วนที่อยู่ด้านข้าง แทบจะทำเข็มดำเล่มนั้นตกลงพื้น นางไม่รู้เลยว่าสมควรจะด่าอันหว่านจืออย่างไรดี
ใจร้อนเกินไปแล้ว!
เรื่องเช่นนี้สมควรจะค่อยๆ เกลี้ยกล่อมฝ่าบาทถึงจะถูก!
เดิมทีคิดจะรอให้นางได้กลายเป็นพระสนมเสียก่อน จากนั้นทุกๆ วันยามอยู่เคียงข้างฝ่าบาทก็ค่อยๆ คอยเป่าหูไปเรื่อยๆ พอถึงวันหนึ่งฝ่าบาทย่อมจะทรงหลงเชื่อโดนสนิทใจขึ้นมาเอง
ตอนนี้กลับดีนัก แผนกลับกลายเป็นเช่นนี้ ไม่แน่ว่าผลลัพธ์ที่ตั้งใจไว้อาจจะกลายเป็นตรงกันข้าม
แต่ว่าเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ตนก็ได้แต่ฝืนผลักดันต่อไปเท่านั้น ” ฝ่าบาท อดีตฮองเฮาทรงมีรับสั่งกับบ่าว เพื่อความสงบสุขของต้าโจว ให้เก็บความลับนี้ลงหลุมไปกับตัว หว่านจรือเด็กคนนี้ไม่รู้จักเรื่องหนักเบา …..ถึงได้พูดโพล่งออกมา ขอฝ่าบาททรงโปรดวินิจฉัยด้วยเพคะ “
” ฝ่าบาทเพคะ นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่เลยนะเพคะ ที่ตระกูลตู๋กูกล้ากระทำการวางแผนปลงพระชนม์อดีตฮองเฮา เช่นนี้ต่อให้ประหารพวกเขาทั้งตระกูลก็ไม่ถือว่าเกินไปนะเพคะ ” ในหมู่พระสนมย่อมมีผู้ที่กล้าพอจะออกมาสนับสนุน
แต่ว่ายามนี้ ตู๋กูซิงหลันไม่เหลือสติใดๆ อยู่กับตัวแล้ว เพียงรู้แต่ว่าตนเองใกล้จะจะถูกแผดเผาตาย นางยิ่งกอดคอของจีเฉวียนให้แนบแน่นเข้าไปอีก คิดแต่จะทาบตัวเข้าหาความเย็นดุจน้ำแข็งบนร่างกายของเขาจะได้เอามาชโลมความร้อนที่แผดเผาในร่างกายและจิตใจของนาง
น่าเสียดายที่นางปวดศีรษะเหลือเกิน ทั้งยังรู้สึกมึนงงอย่างทรมาน
ยิ่งอยากออดอ้อนเขามากว่าเดิม ” จีเฉวียน ให้ข้ากอดท่านนอนสักครู่ได้หรือไม่? “
จีเฉวียนทรงทอดพระเนตรมองดูท่าทีที่ทุกข์ทรมานอย่างรุนแรงของนาง พระทัยก็อ่อนลง
สองพระหัตถ์ที่แข็งแกร่งและเย็นยะเยือกของพระองค์กอดนางแน่นเข้า หันพระพักตร์กลับไปเหลือบมองอันหร่วนและอันหว่านจือคราหนึ่ง ” หวังว่าพวกเจ้าจะมีดีพอที่จะรับผิดชอบต่อคำพูดของตนเองเมื่อครู่ “
” บ่าวเฒ่าของสาบานต่อฟ้าดิน ไม่มีโป้ปดเลยสักคำ! ” อันหร่วนยกนิ้วขึ้นสาบาน
แต่จีเฉวียนกลับมิได้ทรงทอดพระเนตรมองนางเลยสักนิด เพียงกวาดพระเนตรไปมองดูเหล่าสนมที่กำลังชมดูอย่างสนอกสนใจ ” เรื่องในวันนี้ หากว่าเราได้ยินคำเล่าลือไร้สาระอันใดแม้เพียงครึ่งคำ ย่อมมีวิธีให้พวกเจ้าแต่ละคนอยู่มิสู้ตาย ก่อนจะพ่นน้ำลายออกมา ก็จงคิดดูให้ดีเสียก่อน “
ทันทีที่ตรัสจบ ทันใดนั้นก็ปรากฎคนชุดดำนับร้อยขึ้นมา
คนชุดดำเหล่านี้ย่อมเป็นราชองครักษ์เงาของพระองค์ แต่ละคนลึกลับดุจภูติผี ล้วนคุกเข่าอยู่บนพื้นแทบพระบาท
ฉับพลันท้องฟ้ายามค่ำคืนก็มีเมฆหมอกพัดผ่านมา กลบแสงดาวทั้งหลายจนมืดมิดไป
สายลมพัดมาวูบหนึ่ง โบกจนฉลองพระองค์มังกรไหววูบ
สายพระเนตรเย็นชาดุจน้ำแข็ง ในชั่วขณะนั้นดูราวดั่งเป็นจอมมารในรัตติกาล ที่แฝงความน่าหวาดหวั่นยิ่งเสียกว่าพวกองครักษ์เหล่านั้นนับร้อยนับพันเท่า
ทันใดนั้นก็ทรงตรัสออกมาว่า ” อันหร่วนหมัวมัวเหน็ดเหนื่อยแล้ว จำเป็นต้องพักผ่อน ส่งนางกลับไปเสีย ไม่มีคำสั่งจากเรา ไม่อาจก้าวออกจากตำหนักชางอู๋แม้แต่ครึ่งก้าว “
” อันหว่านจือ กล่าววาจามากเรื่อง ส่งเข้าคุก ให้นางไปสงบอารมณ์ลงเสีย “
ผู้คนทั้งหลายต่างตกตะลึงแล้ว
ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน? ถึงแม้ผู้คนจะเคยได้ยินได้ฟังมาว่าพระองค์กับตู๋กูซิงหลันมีสัมพันธ์ไม่ชัดเจน แต่ก็เป็นเพียงข่าวลือลมๆ แล้งๆ เท่านั้น
แต่ว่าตอนนี้ ทั้งที่ได้ทรงฟังว่าการสิ้นพระชนม์ของอดีตฮองเฮา เกี่ยวเนื่องกับตระกูลตู๋กู พระองค์ไม่เพียงรีบจัดการตู๋กูซิงหลัน แต่กลับให้จับอันหร่วนและอันหว่านจือไปขังหรือ?
เหล่าพระสนมชาววังทั้งหลายต่างก็เกิดหวาดผวาจนตัวสั่นขึ้นมา ไม่กล้ากล่าววาจาแม้แต่ครึ่งคำ
ราชองครักษ์เงาเหล่านั้นแต่ละคนล้วนเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร พวกนางล้วนรู้สึกได้อย่างชัดเจน หากว่าผู้ใดกล่าวผิดไปครึ่งคำ เกรงว่าศีรษะคงต้องถูกย้ายลงมาในทันที
ฟังว่าก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงขึ้นครองราชย์นั้น องครักษ์เงาเหล่านี้สังหารผู้ที่มิได้เห็นด้วยไปมากมายจนเลือดนองดังท้องธาร แม้กระทั่งกองทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดของอี้อ๋อง ก็ยังถูกลบออกไปจนหมดสิ้น
เดิมทีพวกนางคิดว่าราชองครักษ์เหล่านี้ล้วนห่างไกลจากพวกนาง คิดไม่ถึงว่า ที่จริงแล้วพวกนางล้วนมีชีวิตอยู่ภายใต้การจับตาของพวกเขามาตลอด
อันหร่วนตกตะลึงไปชั่วครู่ ปฎิกริยาของฮ่องเต้ทำให้การลงมือของนางผิดพลาดไปเสียหมด
นางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ถูกจับกลับไปตำหนักชางอู๋เสียแล้ว
อันหว่านจือยิ่งกลายเป็นลิ้นจุกปากไป แม้แต่เสียอู้อี้ยังไม่ทันได้เล็ดลอดออกมา ก็ถูกลากออกไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าสนมอื่นจะยังมีผู้ใดกล้ารั้งอยู่อีก ต่างก็รีบย้ายก้นออกจากพระตำหนักจิ่นซิ่วไปตามๆ กัน
เพียงครู่เดียว ทั่วทั้งตำหนักจิ่นซิ่วก็เงียบลง
จีเฉวียนทรงประคองตู๋กูซิงหลันไว้ในอ้อมพระกร ภายใต้ค่ำคืนที่ไร้แสงดาว ดวงเนตรของพระองค์ยิ่งดำมืดลงกว่าเดิม
จากนั้นก็ทรงตรัสกับองครักษ์เงาผู้หนึ่งว่า ” ตรวจสอบดูให้ละเอียด ว่าในน้ำแกงสร่างเมามีสิ่งใด “
” พะยะค่ะ ฝ่าบาท ” ราชองครักษ์เงาที่คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่บนพื้นพลันหายลับไปในความมืดมิด
……………………………….
พระตำหนัก เฟิ่งหมิง ในห้องของตู๋กูซิงหลัน
ฮ่องเต้ทรงพานางกลับมาผ่านหน้าต่างอีกครั้ง
ผ้าห่มนั้นเพิ่งถูกเปลี่ยนใหม่ เป็นสีแดงสดใสราวกับว่าถูกฉาบไล้ด้วยไอมงคล จีเฉวียนทรงวางนางลงบนฟูก
พระหัตถ์เพิ่งจะคลายออกจากเอวของนาง ก็เห็นตู๋กูซิงหลันผุดลุกขึ้นมานั่ง ผลักพระองค์ลงไปนอนอยู่ใต้ร่างแทน
ปลายคางของนางวางอยู่บนพระอุระ ดวงตาดอกท้อฉ่ำไปด้วยน้ำ จดจ้องพระองค์อย่างไม่ยอมวางตา ” จีเฉวียน กอดนอนหน่อย~ “
ท่าทางของนางเช่นนี้เป็นดั่งนางมารที่ล่อลวงวิญญาณผู้คนอยู่ชัดๆ
จีเฉวียนทอดพระเนตรมองนาง ก็สูดลมหายพระทัยเข้าไปลึกๆ จับปลายคาของนางเอาไว้ ” ตู๋กูซิงหลัน เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่? “
” รู้สิ กอดท่านไง ” ตู๋กูซิงหลันกำลังหลงใหลเขาจนวิญญาณหลุดลอย พูดแล้วก็กอดเขาเอาไว้อย่างแนบแน่น ” ตัวของท่านเย็นดีจัง อืม สบายมากๆ เลย “
ที่ผ่านมาจีเฉวียนทรงวางท่าดังต้นไม้เหล็กมาโดยตลอด
แต่พอถูกตู๋กูซิงหลันหยอกเย้าเอาเช่นนี้ เส้นแบ่งนั้นก็เกือบจะขาดผึงอยู่รอมร่อ เขาจดจ้องตู๋กูซิงหลัน กล่าวเสียงต่ำว่า ” เจ้าคิดจะให้เรากลายเป็นทรราชย์หรือยังไง? “
แต่ว่าท่าทางของพระองค์ในยามนี้ต่างกับทรราชย์ในที่ใดกัน
หากว่าเป็นแต่ก่อน ขอแค่ตระกูลตู๋กูมีท่าทีไม่ภักดีออกมาเพียงน้อยนิด เขาจะต้องคิดหาวิธีการมาจัดการให้จบสิ้นไปแล้ว
แต่ว่าตอนนี้ โอกาสยิ่งใหญ่อยู่ตรงหน้าแท้ๆ กลับถูกเขาปัดทิ้งไปเสีย
ถึงแม้จะรู้ว่าเรื่องนี้มีลับลมคมนัย แต่หากว่าเป็นตัวเขาในยามก่อน ต่อให้รู้ว่ามีอะไรซ่อนเร้น ก็คงจะไม่สนใจอยู่ดี
ตอนนี้…..ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปแล้ว?
พอทอดพระเนตรมองดูนางมารน้อยที่ยั่วยวน จีเฉวียนก็คล้ายกับจะหาคำตอบให้กับพระองค์เองได้อยู่
ตู๋กูซิงหลัน ก็จดจ้องมองดูเขา ” ท่านไม่ใช่ทรราชย์ ท่านคือจีเฉวียนที่หล่อเหลา งดงาม น่าหลงใหล อย่างไม่มีสิ่งใดจะเทียบได้ “
วิญญาณทมิฬ ” อ้วก ” ตู๋กูซิงหลันน้ำเน่าจนมันคิดอยากจะอ้วกอยู่แล้ว!
มันควรจะลอง ‘ปลุก’ นางดูอีกสักครั้งดีหรือไม่?
ตู๋กูซิงหลันพูดพลาง ก็เลื้อยอยู่บนร่างของพระองค์ไปด้วย นางลูบคลำวุ่นวายไปบนเสื้อผ้า ทำเอาจีเฉวียนทรงร้อนรุ่มวุ่นวายขึ้นมา
” ตู๋กูซิงหลัน! พระองค์ตรัสเรียกนางเสียงต่ำ ” ความอดทนของเรามีจำกัดนะรู้ไหม “
” ถ้าเช่นนั้นท่านก็อย่าได้อดทนไปเลย จะทำชีวิตให้ลำบากถึงเพียงนั้นเพื่ออะไร หืม? เสี่ยวเฉวียนเฉวียน ” ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มงดงาม
นางอ้าปากงับลงที่ปลายคางของเขา ” อืม ท่านก็หวานนิดๆ อยู่เหมือนกันนะ “
คราวนี้ จิตใจของจีเฉวียนก็พุ่งพล่านขึ้นมา สติสัมปชัญญะและเหตุผลทั้งหมดพลันเลือนหายไป
ตอนที่ 181 เรารักเจ้า
นางอ้าปากงับลงที่ปลายคางของเขา ” อืม ท่านก็หวานนิดๆ อยู่เหมือนกันนะ “
คราวนี้ จิตใจของจีเฉวียนก็พุ่งพล่านขึ้นมา สติสัมปชัญญะและเหตุผลทั้งหมดพลันเลือนหายไป
แต่ตู๋กูซิงหลันกลับยังคงกระทำอย่างไม่รู้ตัวต่อไป นางกดเขาเอาไว้ เมื่อครู่งับคางเข้าไปแล้ว คราวนี้ก็ขบปลายจมูกเขาคำหนึ่งอย่างกล้าตาย
จีเฉวียนทรงดื่มไปไม่น้อย ทำให้ทั่วทั้งร่างมีกลิ่นหอมของสุราอบอวล
” เสี่ยวฉวนฉวน ท่านน่ากินจริงๆ ” ตู๋กูซิงหลันโถมอยู่บนตัวเขา นางคลี่ยิ้มงดงามดุจบุปผา
ลมหายใจอุ่นร้อนของนางเป่าลงบนพระพักตร์ จนร้อนวูบ วูบเข้าไปถึงในพระทัยของพระองค์
จีเฉวียนทรงพยายามฝืนดึงเอาพระสติกลับมา ตอนนี้พระองค์ทรงถูกรังแกอย่างถึงที่สุด ทั้งๆ ที่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ถูกจุดไฟจนลุกโชนขึ้นมา กลับต้องพยายามฝืนอดทนเอาไว้
แต่ว่าสตรีที่ไม่รู้สึกตัวผู้นี้กลับยังจะไปต่อ
นางลูบไล้พระเกศากลุ่มหนึ่ง ปลายนิ้วไหลผ่านเส้นพระเกศาที่เรียบลื่นช้าๆ ใบหน้ารูปไข่ที่ผุดผาดงดงามนั้นสัมผัสเข้ากับพระพักตร์ของพระองค์ ทั้งยังถูไถเบาๆ
” ตู๋กูซิงหลัน เจ้าอย่าได้สำนึกเสียใจภายหลัง ” จีเฉวียนไม่อาจจะทรงปล่อยให้นางได้วุ่นวายอีก ทั้งๆ ที่ทราบดีว่าที่นางเป็นเช่นนี้ก็เพราะน้ำแกงสร่างเมาชามนั้น แต่ก็กลับปฎิเสธไม่ได้
พระองค์ไม่เพียงแต่ทรงห่วงใยนางเท่านั้น แต่ยัง….ชอบนาง
ชอบ? ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เริ่มหลงรักนางเข้าแล้ว?
พอจะครุ่นคิดดูให้ละเอียด กลับคิดอะไรไม่ออก ราวกับว่าไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่านางกับจีเย่ยังมีเยื่อใยต่อกัน หัวใจของเขาก็พลันไม่มีความสุขหรือ?
หรือว่าตั้งแต่ตอนที่นางเลือกไข่มุกได้อย่างถูกต้องในพระตำหนักจิ่นซิ่ว?
ใช่สิ คล้ายกับว่านับตั้งแต่นั้นมา เขาก็อดที่จะคอยสังเกตมองดูนางอยู่ตลอดไม่ได้
ยิ่งเฝ้าดู ก็ยิ่งค้นพบ นางเดินใกล้เข้ามาในจิตใจของเขาเรื่อยๆ
ทีละนิด ทีละนิด ราวกับยาพิษที่ผสมอยู่ในอาหารได้แทรกซึมเข้าสู่หัวใจของเขา
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แต่เขากลับสูญเสียการความคุมจนหมด สถานการณ์เช่นคืนนี้ เขาควรที่จะระเบิดโทสะปานฟ้าผ่าใส่นาง จับนางไปคุมขังเอาไว้ในตำหนักเย็นถึงจะถูก
แต่ว่าเขากลับเรียกใช้กระทั่งราชองครักษ์เงา เพื่อปิดปากคนเหล่านั้น นำนางกลับมายังตำหนักเฟิ่งหมิง
สติและเหตุผลของจีเฉวียนกำลังตีกันอย่างวุ่นวาย เขาไม่อาจสัมผัสนาง
เพียงแต่สัมผัส ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคงไม่อาจเรียกย้อนกลับมา
เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่จีเฉวียน แต่ว่ายังเป็นถึงฮ่องเต้ของต้าโจว เขาสาบานเอาไว้แล้วตั้งแต่แรก ว่าชีวิตนี้จะทุ่มเทพลังอำนาจที่มีไปครองครองแผ่นดินทั้งหมดให้จงได้ ดังนั้นชีวิตนี้จึงถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าไม่อาจมีสัมพันธ์รักชายหญิงที่ยั่งยืน
ไม่อาจหยุดอยู่เพื่อใครคนหนึ่งได้ตลอดไป
จีเฉวียนสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ หลายๆ รอบ พยายามเอาความคิดความมุ่งมั่นที่จะต้องได้ครองแผ่นดินทั้งหมด มากดทับความรู้สึกพุ่งพล่านในยามนี้เอาไว้
พอพึ่งจะสงบลงได้ ริมพระโอษฐ์ก็ถูกประทับด้วยรอยจูบเบาๆ ” เสี่ยวฉวนๆ ชอบท่านที่สุดเลย ~”
อะไรคือความทะเยอทะยานของผู้ครองแผ่นดิน อะไรคือความกังวลต่อผลที่จะตามมา พระทัยที่เคยแต่หยิ่งทนงของจีเฉวียนยามนี้ถึงกับทลายลงมาแล้ว
นางบอกว่าชอบเขา!
ครั้งนี้ นางเป็นฝ่ายบอกออกมาเอง!
คำพูดนี้เขารอมานานเพียงไรแล้วก็ไม่รู้ ไม่ว่ามันจะเป็นเพราะน้ำแกงสร่างเมาถ้วยนั้นหรือไม่ แต่ในเมื่อนางพูดออกมาเอง เขาก็จะถือว่ามันเป็นจริง
ที่แล้วมา หัวใจที่มอบให้ไปเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองก็กลายเป็นความทุกข์ระทม
แต่เมื่อได้รับมา ก็รู้สึกราวกับหัวใจได้ทะยานขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นเก้าเช่นนี้น่ะเองหรือ?
ร่างกายที่เย็นยะเยือกของจีเฉวียนราวกับได้รับการหลอมละลาย หัตถ์ของเขาแรกเข้าไปในมุ่นผมของนาง ตรึงท้ายทอยของนางเอาไว้ จากนั้นก็ประทับจูบลงไปอย่างดูดดื่ม
คนทั้งสองที่แตกต่างกันราวกับอยู่คนละขั้ว เหมือนดั่งการปะทะกันของน้ำแข็งและกองไฟ จูบนี้จึงงดงามตราตรึงอย่างที่สุด
” เรารักเจ้าเพียงผู้เดียว “
ใบหน้าดำๆ ของวิญญาณทมิฬที่เอาแต่หมอบอยู่ด้านข้างมาตลอด คราวนี้กลายเป็นแดงจนดำกว่าเดิม
โว้ย! เจ้าพวกหน้าไม่อาย!
เจ้าฮ่องเต้สุนัขที่ไร้ยางอาย เจ้าคนฉวยโอกาสตีตามไฟ!
นังหนูตู๋กูซิงหลันผู้นั้นเป็นคนไม่มีหัวจิตหัวใจต่างหาก นางไม่มีทางชอบผู้ใดได้หรอก!
ตอนนี้มัน……..ก็แค่อุบัติเหตเท่านั้น
ใช่ เป็นแค่เหตุบังเอิญ
มันรีบพุ่งเข้าไปที่ตะโกนใส่ริมหูของนาง
” หากว่ายังไม่ตื่นขึ้นมาอีกละก็ เจ้าจะได้เปลี่ยนจากสาวน้อยกลายเป็นสตรีเต็มตัวแล้วนะ! “
” รบกวนช่วยตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยได้ไหม ขอบคุณ! “
” +++++++ เจ้าฮ่องเต้สุนัขมันจะลงมือแล้วนะ! “
น่าเสียดายที่ตู๋กูซิงหลันยังคงไม่สนใจสิ่งอื่นใดอยู่อีกเช่นเดิม วิญญาณทมิฬพยายามแล้วพยายามอีกอยู่หลายรอบก็ยังคงไม่ได้ผล
ทำยังไงดี ดูท่าจะหมดหวังเสียแล้ว
มันร้อนใจเสียจนเหงื่อออกท่วมหัว ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าที่ด้านนอกหน้าต่างมีไอหยินที่เข้มข้นกลุ่มหนึ่ง ทำให้มันต้องหันไปมองในทันที
พอมองไปก็เห็นว่าที่นอกหน้าต่างมีเงาสายหนึ่งไหววูบ เงาดำนั้นโฉบลงมาในทันที
จีเฉวียนเองก็ทรงรู้สึกพระองค์เช่นกัน
ทันทีที่เขากวาดตาออกไปมองดูนอกหน้าต่าง ฝ่ามือก็แปรเป็นสันดาบสับลงบนหลังท้ายทอยของตู๋กูซิงหลัน ทำเอานางถึงกับสลบหมดสติไปในทันที
จากนั้นพอสบัดพระหัตถ์ออกไป ม่านมุ้งบนเตียงก็ร่วงลงมา คลุมตัวตู๋กูซิงหลันเอาไว้ทั้งหมด
พระองค์ก็เสด็จลงจากเตียงในทันที ประทับนั่งลงบนโต๊ะไม้ภายในห้อง ทอดพระเนตรมองออกไปที่นอกหน้าต่าง “ออกมาเถอะ “
ครู่หนึ่ง ก็ปรากฎเงาร่างของคนผู้หนึ่งพลิกข้ามหน้าต่างเข้ามา พลางถวายบังคมลง ” ฝ่าบาท “
คนผู้นั้นก็คือ ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์
” งานเลี้ยงพระราชทานคืนนี้ กลับไม่เห็นเจ้าปรากฎตัว เราก็นึกสงสัยอยู่ ว่าเจ้าไปที่ใดแล้ว? ” จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูเขาเล็กน้อย ก็ทรงริมน้ำชาเย็นให้กับพระองค์เองถ้วยหนึ่ง
น้ำชานั้นเย็นมาก พอสัมผัสความเย็นก็แล่นเข้าสู่หัวใจ กดทับความพุ่งพล่านเมื่อครู่ของพระองค์ลงไป
” ฝ่าบาทก็ทรงทราบว่ากระหม่อมไม่ชมชอบความครึกครื้นมาโดยตลอด ” ฉางซุนซิ่วทูลพลาง ก็เหลือบตาไปทางตู๋กูซิงหลันที่ถูกม่านมุ้งคลุมเอาไว้
” กระหม่อมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ฝ่าบาทก็ทรงมีวันที่พระทัยหวั่นไหวขึ้นมาเหมือนกัน “
สายพระเนตรของจีเฉวียนเย็นยะเยือกขึ้นมา ” หากว่าเจ้ามาเพื่อพูดเรื่องนี้ ก็สามารถถอยออกไปได้ “
” ฝ่าบาท พระองค์จะทรงโปรดสตรีคนไหนก็ย่อมได้ แต่ว่าทำไมถึงจะต้องเป็นนางด้วย? นางเป็นคนตระกูลตู๋กู ” สายตาของฉางซุนซิ่วทอประกายลึกล้ำขึ้นมา ” พี่ชายของกระหม่อมตายใต้น้ำมือของตู๋กูจุน ท่านป้าก็….”
เขายังไม่ทันได้พูดจบ ก็ถูกจีเฉวียนขัดขึ้นมา “อย่าได้พูดแล้ว “
” ฝ่าบาท ความจริงอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ว่าพระองค์กลับไม่ทรงยอมเชื่อหรือ? “
” พอแล้ว เราไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาสอนว่าต้องทำอะไร ” จีเฉวียนประทับยื่นขึ้นมา วางพระหัตถ์ลงบนบ่าของเขา ” อาซิ่ว เรามิใช่คนโง่ “
วิญญาณทมิฬหมอบอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน ดวงตากลมๆ ราวเมล็ดถั่วสองเมล็ดจับจ้องมองดูฉางซุนซิ่ว ก็สังเกตเห็นว่าที่ด้านหลังของเขามีหมอกดำเคลื่อนไหวอยู่ ไอหยินที่เข้มข้นเมื่อครู่ ตอนนี้ก็เกาะกุมอยู่บนร่างของเขา
ทำไมก่อนหน้านี้ถึงได้ไม่เลยพบเห็นมาก่อนนะ?
ขณะที่ไม่มีใครสังเกตอยู่นั้นเอง บนหลังคาก็มีเงาร่างสีแดงเงาหนึ่ง ซูเม่ยย่อมมิได้กลับไปสงบเสงี่ยมอยู่ในตำหนักชุยเว่ยของเขา เพียงแค่กลับไปเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษรอบหนึ่งก็มายังที่นี่แล้ว
จากนั้นก็ได้เห็นจีเฉวียนกับตู๋กูซิงหลันที่กำลังใกล้ชิดกันอย่างตำตา เขารู็สึกทนไม่ได้ขึ้นมาในทันที
เขายังไม่เคยจูบอาหลันมาก่อนเลย จีเฉวียนมีสิทธ์ใดกัน?
ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นพลันเกิดประกายสีแดงขึ้นมา วิญญาณทมิฬก็สัมผัสได้ถึงไอมารได้ในทันที
เอาละโว้ย น่าดูละทีนี้!
ฉางซุนซิ่วคล้ายมิได้รู้สึกถึงสิ่งใด เขาเพียงถวายคำนับจีเฉวียนเพื่ออำลา แล้วจากไปทางหน้าต่างเช่นเดิม ร่างที่เปี่ยมไปด้วยไขมันนั้นกลับคล่องแคล่วอย่างที่สุด เพียงแค่พลิกสองสามตลบเขาก็ขึ้นไปอยู่บนหลังคาแล้ว
ซูเม่ยเจอกับเขาก็ไม่ได้ประหลาดใจ เพียงกล่าวเตือนเสียงเย็นชาประโยคหนึ่ง ” ท่านราชครู ทางที่ดีท่านจงเลิกความคิดจะเป็นอริกับไทเฮาไปเสีย “
” ท่านกับซูเม่ยเกี่ยวพันกันอย่างไร? ” ฉางซุนซิ่วมองดูเขา หมอกดำบนร่างเหมือนดั่งหมอกที่หมุนวนช้าๆ ไอมารที่เห็นนั้นทำให้รู้สึกน่าอิจฉาขึ้นมา
ซูเม่ยเพียงตอบแค่ว่า ” ความเป็นมาของเจ้า ข้ารู้อย่างชัดเจน ตราบใดที่ข้ายังอยู่ มิว่าผู้ใดก็ไม่อาจแตะต้องอาหลันได้แม้สักรูขุมขน คำนี้ เจ้าจงจำเอาไว้ “
พูดแล้ว เงาร่างสีแดงเพลิงนั้นก็หายวับไปจนไม่อาจสัมผัสได้อีก
ฉางซุนซิ่วยืนอยู่บนหลังคาอยู่ครู่หนึ่ง สองมือก็กำหมัดแนบแน่น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น