ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 174-177

 ตอนที่ 174 ผู้อาวุโสเหมี่ยน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ทำไมล่ะ! ท่านมองเห็นอะไรหรอกหรือ คุณชายเฉียนผู้นี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” ฮูหยินหมีได้ยินย่อมรู้สึกตกใจมาก


“มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่เวลาที่คนผู้นี้มาปรากฏตัวช่างบังเอิญไปหน่อย กอปรกับเรือนร้อยวิญญาณกำลังเกิดเรื่องวุ่นวาย ข้าอดที่จะระมัดระวังไม่ได้” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นส่ายหน้ากล่าว


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนี้ล่ะก็คุณชายเฉียนคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะถ้าเขาเป็นคนที่ศัตรูของเราส่งตัวมาเรือนร้อยวิญญาณล่ะก็ ด้วยสถานะศิษย์จิตวิญญาณของเขา ผู้คนที่อยู่ตรงวัดดินนั้นจะมีใครสามารถต่อกรกับเขาได้? เขาสามารถจับตัวข้าสองแม่ลูกได้อย่างง่ายดาย โดยที่ท่านพี่ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย ข้ากลับคิดว่าคนผู้นี้อย่างมากก็เป็นผู้ฝึกฝนอิสระ และข้าก็คิดจะดึงเขามาเป็นคนของเรา เพื่อให้เรือนร้อยวิญญาณของเรามีความแข็งแกร่งมากขึ้น ถึงแม้เรือนร้อยวิญญาณของเราจะมีศิษย์จิตวิญญาณคอยดูแลอยู่ไม่น้อย แต่ส่วนมากก็ไปอยู่ตามสาขาในเขตอื่นๆ ทำให้ในเสวียนจิงไม่ค่อยแข็งแกร่งนัก” ฮูหยินหมีหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา


“อืม! เหตุผลนี่ก็ไม่ผิด แต่ยังต้องตรวจสอบดูบ้าง ไปกันเถอะ! พวกเราไปดูว่าหู่เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง คิดว่าตอนนี้ผู้อาวุโสเหมี่ยนคงจะตรวจเสร็จแล้ว” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นยังคงไม่วางใจ ทันใดนั้นเขาก็พูดเรื่องเด็กชายขึ้นมา


“ผู้อาวุโสเหมี่ยนเป็นผู้ที่มีวิชาแพทย์สูงส่งที่สุดในเรือนร้อยวิญญาณของเรา ถ้ามีเขาช่วยแก้พิษนี้ล่ะก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก” ฮูหยินหมีได้ยินก็พยักหน้า


ดังนั้นคนทั้งสองก็ลุกขึ้น และหมุนตัวเดินออกไปยังประตูด้านข้าง เพื่อไปด้านหลังของจวน


ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็มาปรากฏตัวอยู่ในห้องนอนที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ในนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นจางๆ ของโอสถ


เด็กชายที่ชื่อเฉียนหู่กำลังเอนตัวนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ด้านข้างมีผู้อาวุโสสวมชุดคลุมสีดำที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเมตตานั่งอยู่ เขากำลังฟั่นหนวดคิดใคร่ครวญอะไรบางอย่าง


หงเส่าก็ยืนอยู่ในห้องด้วยท่าทีสำรวม


“ผู้อาวุโสเหมี่ยน พิษในร่างของหู่เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง คงไม่ร้ายแรงใช่ไหม?” พอชายชุดคลุมผ้าดิ้นเห็นผู้อาวุโส เขาก็ถามออกไปอย่างนอบน้อม


“เถ้าแก่เฉียน ช่างน่าละอายใจยิ่งนัก! พิษในร่างคุณชายดูแปลกประหลาดมาก เกรงว่าข้าจะไม่สามารถแก้ได้” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำยืนขึ้นแล้วส่ายหน้าก่อนที่จะกล่าวออกมา


“อะไรนะ เป็นไปไม่ได้ วิชาแพทย์ของผู้อาวุโสเหมี่ยนติดหนึ่งในสิบอันดับแรกของเสวียนจิงเชียวนะ” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นได้ยินก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก


“พูดถึงเรื่องวิชาแพทย์ ข้าเองก็พอจะนับว่ามีความสามารถอยู่บ้าง แต่การแก้พิษกับวิชาแพทย์มันคนละเรื่องกัน พิษแปลกประหลาดบนโลกนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน ถ้าจะมีพิษที่ข้าไม่สามารถแก้ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ก่อนหน้านั้นข้าได้ตรวจสอบดูแล้ว เหมือนกับว่าพิษในร่างของคุณชายจะถูกขับออกไปบ้างแล้ว ขอเพียงแค่คนผู้นั้นใช้วิธีการขับพิษต่อไปแบบเดิม คุณชายก็คงจะไม่เป็นอะไรมาก” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวออกมา


“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา ผู้ที่แสดงวิชาขับพิษออกมาก่อนหน้านั้นได้พำนักอยู่ในจวนเฉียนชั่วคราว แต่หวังว่าท่านจะช่วยดูแลสุขภาพลูกชายข้าอย่างสุดความสามารถ” ฮูหยินหมีได้ยินก็กล่าวออกมาอย่างโล่งอก


“อืม! เรื่องนี้วางใจได้ ในเมื่อข้ามาถึงที่นี่แล้ว ย่อมไม่อาจนิ่งดูดายได้ อีกประเดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งโอสถที่เชื่อถือได้ให้ ใช่สิ! ก่อนหน้านั้นได้ยินฮูหยินบอกว่าผู้ที่ขับพิษให้ก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณเหมือนกัน ให้ข้าพบเขาได้หรือไม่? ข้าสนใจวิธีขับพิษของเขามาก พอจะแลกเปลี่ยนกับวิชาแพทย์ได้บ้าง” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา หงเส่า เจ้าพาผู้อาวุโสเหมี่ยนไปพบคุณชายเฉียนหน่อยเถอะ!” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นเองก็กล่าวออกมาอย่างโล่งอก


“ทราบ!”


หงเส่าตอบรับกลับไป


“ไม่รีบ! ข้าจะเขียนใบสั่งโอสถให้คุณชายก่อน แล้วค่อยไปเยี่ยมเยียนคุณชายเฉียนก็ยังไม่สาย” ผู้อาวุโสเหมี่ยนได้ยินก็กล่าวอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็เดินเข้าไปนั่งข้างโต๊ะ และหยิบพู่กันออกมาด้ามหนึ่ง


หงเส่ารีบเดินเข้าไปช่วยเขาดึงกระดาษสีขาวออกมาแผ่นหนึ่ง และรีบฝนหมึกอย่างรวดเร็ว


……


ดูเหมือนว่าหลิ่วหมิงจะเดินวนอยู่ในห้องรับรองอยู่หลายรอบ ทันใดนั้นเขาก็ควักธงค่ายกลหลากสีออกมาหลายอัน และปักไปตามมุมห้องอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว


ธงค่ายกลทั้งหมดส่งเสียงดังหวึ่งๆ จากนั้นก็กลายเป็นไอหมอกก่อนที่จะสลายไป


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ถึงได้เผยสีหน้าพอใจออกมา


ถึงแม้ว่าเขาต้องใช้หินจิตวิญญาณเป็นจำนวนมากในการซื้อธงค่ายกลชุดนี้มาจากตลาดเว่ยโจว และยังมีประสิทธิภาพแค่ปิดกั้นกับระวังภัยเท่านั้น แต่มันเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวสำหรับนำมาวางไว้ในที่พักชั่วคราว


เช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมาแอบฟังเขาพูดคุย หรือมีคนแอบลอบทำร้ายเขาจากที่อื่นอีก


เฉียนหรูผิงที่ยืนอยู่ข้างเขา ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นหลิ่วหมิงแสดงวิชา แต่ฉากอันมหัศจรรย์นี้ ยังคงทำให้นางตะลึงจนปากอ้าตาค้างอย่างอดไม่ได้


“พี่หมิง นี่คือสิ่งใด ใช่วิชาที่ท่านเคยพูดถึงในก่อนหน้านั้นไหม?” เด็กหญิงอดไม่ได้ที่จะถามออกไปตรงๆ


“นี่ไม่ใช่วิชา แต่เป็นค่ายกล” หลิ่วหมิงได้ยินก็อธิบายด้วยรอยยิ้ม


เขาตรวจดูร่างกายเฉียนหรูผิงแล้ว ค้นพบว่านางก็มีชีพจรจิตวิญญาณเหมือนกัน แม้ไม่อาจแยกแยะได้ว่าคุณสมบัติของนางเป็นอย่างไร แต่ในระหว่างทางเขาได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาควบแน่นลมปราณให้นางแล้ว


หลังจากที่นางเห็นเขาแสดงวิชาไปบ้างแล้ว นางย่อมฝึกฝนอย่างเพลิดเพลิน ด้วยเหตุนี้อะไรง่ายๆ ที่เกี่ยวข้องกับโลกการฝึกฝน หลิ่วหมิงก็ไม่คิดที่จะปิดบังนาง


ตอนนี้พอเฉียนหูรูผิงได้ยินคำว่า ‘ค่ายกล’ ก็เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกสนใจขึ้นมา และได้สอบถามหลิ่วหมิงอย่างละอียด


แต่คำถามของนางไร้เดียงสาเป็นอย่างมาก ทำให้หลิ่วหมิงยิ้มอย่างขมขื่นเพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร


แต่ขณะนั้นเองก็พลันมีเสียงแก่หง่อมดังเข้ามา


“สหายเฉียนอยู่ในห้องหรือไม่? ข้าเหมี่ยนซงซานขอเข้าไปคุยด้วยได้ไหม?”


“ที่แท้ก็เป็นสหายนักพรตเช่นเดียวกัน สหายเหมี่ยน เชิญเข้ามาเถอะ!”


พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ตาก็เป็นประกาย หลังจากที่ลังเลเล็กน้อยแล้วก็ตอบรับกลับไป จากนั้นก็เดินไปผลักประตูออก


ด้านนอกมีผู้อาวุโสเหมี่ยนกับหงเส่ายืนอยู่


“คุณชายเฉียน ผู้อาวุโสเหมี่ยนเป็นแขกอาวุโสของเรือนร้อยวิญญาณ ได้ยินมาว่าคุณชายก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณเหมือนกัน ดังนั้นจึงได้ตั้งใจมาเยี่ยมเยียน” หงเส่าเห็นเช่นนี้ก็รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าน้อยมาเสวียนจิงครั้งแรก กำลังคิดอยากจะคบค้าสมาคมกับผู้ที่เดินบนเส้นทางเดียวกันอยู่พอดี” หลิ่วหมิงยิ้มแล้วหลบไปด้านข้าง แสดงท่าทางเชื้อเชิญให้เข้าไปข้างใน


“ไม่คิดว่าสหายเฉียนจะอายุยังน้อยเช่นนี้ ช่างเกินความคาดหมายของข้ายิ่งนัก ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจล่ะนะ” พอผู้อาวุโสเหมี่ยนเห็นหลิ่วหมิงอายุยังน้อย ดวงตาของเขาก็ฉายแววประหลาดใจออกมา แต่ก็รีบกล่าวด้วยสีหน้าปกติ


จากนั้นผู้อาวุโสเหมี่ยนก็เดินยักย้ายส่ายตะโพกเข้าไปในห้อง


หงเส่ากล่าวขอตัวแล้วก็เดินจากไป


“ผู้นี้คือหลานสาวของท่านสินะ! นางดูมีอาการป่วยจริงๆ ข้าเองก็พอรู้วิชาแพทย์ ถ้าสหายไม่รังเกียจล่ะก็ ข้าสามารถตรวจดูชีพจรให้ได้” พอผู้อาวุโสเหมี่ยนเข้ามาในห้องก็เห็นเฉียนหรูผิงที่สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาจึงกล่าวออกไปในทันที


“อืม! ถ้าสหายเหมี่ยนยอมยื่นมือเข้าช่วยล่ะก็ นับว่าเป็นความโชคดีของหรูผิงแล้ว หรูผิง เจ้านั่งให้เรียบร้อย ให้พี่เหมี่ยนตรวจดูชีพจรของเจ้าหน่อย” ถึงแม้หลิ่วหมิงไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีจุดประสงค์ใด แต่ก็ไม่ห่วงว่าเขาจะมีเจตนาร้ายต่อเด็กหญิง หลังจากลังเลเล็กน้อยก็ตอบรับกลับไป


เด็กหญิงได้ยินก็กล่าวขอบคุณอย่างน่าเอ็นดู จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้แถวนั้นอย่างว่านอนสอนง่าย


ผู้อาวุโสเหมี่ยนโบกมือข้างหนึ่ง ดูดเอาเก้าอี้อีกตัวผ่านอากาศ จากนั้นก็นั่งลงข้างเด็กหญิง มือข้างหนึ่งฟั่นหนวด และจับข้อมือของนางไว้ ดวงตาทั้งคู่หรี่ลง


เวลาค่อยๆ ผ่านไป สีหน้าของผู้อาวุโสเหมี่ยนก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมา


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดผู้อาวุโสเหมี่ยนก็ถอยหายใจยาวออกมา และกล่าวอย่างเคร่งขรึม


“ที่แท้ก็เป็นโรคโลหิตร้อนที่เขาเล่าลือกัน โรคแบบนี้เป็นโรคประหลาดที่พบได้น้อยมาก โชคดีที่สหายควบคุมอาการป่วยไว้ได้จนถึงตอนนี้ ไม่ทราบว่าสหายตามหาหญ้าน้ำแข็งเงิน เพื่อปรุงเป็นโอสถให้ทางทานใช่หรือไม่?”


“พี่เหมี่ยนช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ไม่คิดว่าจะคาดเดาวิธีการรักษาของข้าได้” หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ก็แสดงสีหน้าประทับใจออกมาในที่สุด


“สหายโปรดอภัย! ก่อนหน้านั้นข้าเห็นสหายเฉียนอายุยังน้อย จึงค่อนข้างเคลือบแคลงใจวิชาแพทย์กับวิธีการแก้พิษของท่าน ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดต้องสงสัยแล้ว ในชีวิตนี้นอกจากเรื่องฝึกฝนแล้ว ข้าก็ค่อนข้างหลงใหลในวิชาแพทย์ ดังนั้นที่มาในครั้งนี้ ก็หวังว่าจะได้แลกเปลี่ยนความรู้กับสหายบ้าง” ผู้อาวุโสเหมี่ยนลุกขึ้นยืนคำนับหลิ่วหมิงแล้วกล่าวคำพูดในเชิงวิงวอน


“เฮ่อๆ! พี่เหมี่ยนชมเกินไปแล้ว วิชาแพทย์ของข้าไม่ค่อยลึกซึ้งมากนัก เพียงแค่เรียนตำราโอสถเกี่ยวกับการรักษาโรคซับซ้อนและรักษายากกับยอดฝีมือมาบ้าง หากสหายไม่รังเกียจล่ะก็ ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ยินยอม” หลิ่วหมิงได้ยินก็หัวเราะออกมา


ผู้อาวุโสเหมี่ยนย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบพูดคุยเรื่องวิชาแพทย์กับหลิ่วหมิงในทันที


และเด็กหญิงก็ได้เข้าไปพักผ่อนในห้องอย่างเชื่อฟัง


หลิ่วหมิงกับผู้อาวุโสพูดคุยกันไม่นาน ก็ค้นพบว่าวิชาแพทย์ของผู้อาวุโสเหมี่ยนผู้นี้ไม่ธรรมดา


วิชาแพทย์บางอย่างที่เดิมทีเหมือนเขาจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ พอได้ยินจากปากผู้อาวุโสมันก็เข้าใจได้อย่างง่ายดาย


สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงตื่นเต้น และแลกเปลี่ยนความรู้วิชาแพทย์กับผู้อาวุโสอย่างจริงใจ


ผู้อาวุโสเหมี่ยนก็สนใจข้อคิดเห็นเฉพาะของหลิ่วหมิงกับเนื้อหาบางส่วนในตำราโอสถอย่างล้นพ้น


ทั้งสองพูดคุยกันนานครึ่งค่อนวัน!


จนใกล้เย็น ผู้อาวุโสเหมี่ยนถึงได้กล่าวลาอย่างอาลัยอาวรณ์


หลังจากผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว พอเช้าวันต่อมาผู้อาวุโสเหมี่ยนก็มายืนอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงอีกครั้งด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่สามารถเอ่ยคำใดๆ ออกมาได้ แต่ก็ฝืนปลุกกำลังวังชาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนวิชาแพทย์กับผู้อาวุโสเหมี่ยนต่อ


สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันเป็นเวลาสามวัน


วันนี้หลังจากที่หลิ่วหมิงกับผู้อาวุโสพูดคุยแลกเปลี่ยนวิชาแพทย์กันเสร็จแล้ว เขาก็เอ่ยปากกับผู้อาวุโส


“พี่เหมี่ยน ข้ามาเสวียนจิงครั้งแรก และอาจจะพักอยู่ที่สักระยะหนึ่ง ไม่ทราบว่าตอนนี้เสวียนจิงปลอดภัยหรือไม่ ข้าต้องระวังอะไรบ้าง?”


พอผู้อาวุโสเหมี่ยนได้ยินเช่นนี้ สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่หลังจากที่ฟั่นหนวดและลังเลเล็กน้อยแล้วก็ค่อยๆ กล่าวออกมา


“ข้ากับน้องเฉียนก็นับว่าถูกชะตากันตั้งแต่แรกพบ เรื่องอื่นๆ ข้าก็ไม่อาจพูดมากได้ แต่อยากจะบอกว่า ถ้าน้องทำธุระเสร็จแล้ว ทางที่ดีควรรีบไปจากเสวียนจิงโดยเร็ว”


…………………………


ตอนที่ 175 พรรควิญญาณมืด

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ในเมื่อพี่เหมี่ยนไม่ยอมบอก แสดงว่าพี่ต้องลำบากใจอยู่แน่นอน แต่ความหวังดีของพี่ข้าจะน้อมรับไว้ ที่ข้ามาเสวียนจิงในครั้งนี้ นอกจากจะหาสมุนไพรจิตวิญญาณมารักษาอาการป่วยของหลานสาวแล้ว ความจริงข้ายังมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องจัดการด้วย เกรงว่าช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้คงไม่อาจจากไปได้ อีกอย่างข้าเองก็ไม่สามารถอยู่จวนเฉียนได้นาน พี่มีที่พักที่เหมาะสมกับผู้ฝึกฝนอิสระแนะนำบ้างหรือไม่?” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวเหมือนกับว่าไม่ได้ใส่ใจคำพูดของผู้อาวุโส


“ในเมื่อน้องเฉียนจำเป็นต้องอยู่เสวียนจิงล่ะก็ ข้าก็จะไม่พูดเกลี้ยกล่อมแล้ว ความจริงเรื่องราวบางอย่างในเสวียนจิงก็เป็นเรื่องที่ข้าคาดเดาเท่านั้น และข่าวคราวบางอย่างข้าเคยสัญญากับผู้อื่นว่าจะไม่แพร่งพรายออกไป จึงไม่อาจบอกเจ้าได้เช่นกัน แต่ถ้าน้องเฉียนอยากจะเข้าใจสถานการณ์ของเสวียนจิงล่ะก็ เพียงแค่ใช้หินจิตวิญญาณเล็กน้อย ก็สามารถสืบหาเรื่องราวที่เจ้าอยากรู้จากสถานที่ต่างๆ ได้ ส่วนเรื่องที่พักข้ามีข้อแนะนำอยู่สองประการ ประการแรกข้าเห็นว่าท่านเฉียนเหมือนจะดึงเจ้าให้อยู่ด้วย เรือนร้อยวิญญาณนับว่าพอมีอิทธิพลในเสวียนของอยู่บ้าง ถ้าน้องเฉียนยอมเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณล่ะก็ สามารถย้ายไปอยู่กับข้าได้ ตอนนี้ข้าพักอยู่กับแขกอีกสองคน พอถึงตอนนั้นข้าจะแนะนำให้น้องเฉียนได้รู้จัก แน่นอนว่าถ้าเจ้าไม่อยากเข้าร่วมกับเรือนร้อยวิญญาณล่ะก็ ก็ไปเช่าถ้ำที่เขาเซียนทอแสงชั่วคราวได้ เขาเซียนทอแสงเป็นของราชสำนัก บรรยากาศเงียบสงบ และมีพลังปราณหนาแน่น ทั้งยังไม่อนุญาตให้ผู้คนต่อสู้กันบนนั้น นับว่าเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ด้วยระดับคุณภาพของมันทำให้ค่าเช่าค่อนข้างสูง เกรงว่าผู้ฝึกฝนอิสระอย่างพวกเราจะไม่สามารถอยู่ได้นาน ส่วนสถานที่ที่ค่าใช้จ่ายถูกกว่านั้นก็ยังมีสถานที่อื่นอยู่สองสามที่ แต่ส่วนมากมีอิทธิพลขนาดใหญ่หนุนหลัง ค่อนข้างวุ่นวาย ปราณฟ้าดินก็เทียบกับเขาเซียนทอแสงไม่ติด ยกตัวอย่างเช่นหอคุณธรรมใต้ ความจริงแล้วเป็นหอที่องค์ชายใหญ่แอบสนับสนุนให้เปิด และยังมีบ้านกลีบเมฆที่พรรควิญญาณมืดแอบสนับสนุนอยู่เบื้อหลัง” ผู้อาวุโสเหมี่ยนอธิบายให้หลิ่วหมิงฟังอย่างละเอียด


“พรรควิญญาณมืด?”


พอหลิ่วหมิงได้ยินคำทั้งสามคำนี้ สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป


ข้อมูลที่ชายฉกรรจ์แซ่เหลยมอบให้ก่อนที่เขาจะมานั้น มีข้อมูลเกี่ยวกับพรรควิญญาณมืดมากที่สุด


พรรคนี้ปรากฏตัวในเสวียนจิงเมื่อสามสิบปีก่อน พูดได้ว่าสมาชิกพรรคมีความลึกลับเป็นอย่างยิ่ง


เล่ากันว่าผู้ทำงานในพรรคมีไม่มาก แต่เป็นผู้ฝึกฝนนอกรีตที่มีอิทธิพลแข็งแกร่ง เวลาทำงานจะปิดบังใบหน้าไว้ แม้แต่พวกกันเองก็ไม่รู้จักกัน และเรียกขานกันด้วยฉายาเท่านั้น


พอพรรคนี้ปรากฏตัวในเสวียนจิง ย่อมถูกผู้มีอิทธิพลร่วมมือกันต่อต้าน แต่ผู้ที่ลงมือเป็นกลุ่มแรกคือ ‘หอกิเลนโลหิต’ ที่เดิมทีเป็นหนึ่งในห้ากลุ่มที่มีอิทธิพลใต้ดินมากที่สุดในเสวียนจิง ภายในคืนเดียวศิษย์จิตวิญญาณของหอกิเลนโลหิตก็ถูกสังหารตายไปจนหมดด้วยวิธีการอันโหดเหี้ยม หลังจากนั้นกลุ่มผู้มีอิทธิพลอื่นในเสวียนจิงก็เกิดความหวาดกลัว จนต้องหยุดการต่อต้านพรรควิญญาณมืดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย


และหลังจากที่พรรควิญญาณมืดได้รับช่วงทรัพยากรของหอกิเลนโลหิตแล้ว ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพอใจกับสิ่งที่มี และไม่ขยายอิทธิพลอีก


ด้วยเหตุนี้ กลุ่มผู้มีอิทธิพลพลที่เดิมทีคิดจะร่วมมือด้วย ถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ขณะเดียวกันกันก็ยอมรับตำแหน่งของพรรควิญญาณมืดในเสวียนจิงไปโดยปริยาย


การปรากฏตัวของพรรควิญญาณมืดแปลกประหลาดเช่นนี้ ศิษย์ตรวจตราของแต่ละนิกายที่อยู่ในเสวียนจิงต่างก็เคยหาวิธีสืบหาเบื้องหลังที่แท้จริง


แต่น่าเสียดายที่สมาชิกพรรคนี้ลึกลับซับซ้อนมาโดยตลอด ทั้งยังปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนน้อยมาก จึงไม่ได้เบาะแสอะไร และไม่สามารถหาตัวผู้บงการที่แท้จริงได้


ตอนนี้ผู้อาวุโสเหมี่ยนพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขา ย่อมทำให้ใจเข้าเต้นขึ้นมา


“น้องเฉียนก็เคยได้ยินชื่อเสียงของพรรควิญญาณมืดด้วยหรือ? อ๋อ! นี่ก็ไม่แปลก! สำหรับผู้ฝึกฝนอิสระอย่างพวกเราแล้ว พรรควิญญาณมืดเป็นหนึ่งในสามของกลุ่มอิทธิพลในเสวียนจิงที่พวกเราไม่สามารถหาเรื่องได้ เพราะคนในพรรคนี้ลึกลับเป็นอย่างมาก ทั้งยังเป็นผู้ฝึกฝนนอกรีตที่ชำนาญการสังหาร ถ้าผู้ฝึกฝนอิสระอย่างพวกเราไปล่วงเกินเข้าล่ะก็ เกรงว่าคงไม่สามารถหาสาเหตุการตายได้ ดังนั้นถ้าหลบได้ให้หลบไปไกลๆ ยิ่งไกลยิ่งดี” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“อ๋อ! นอกจากพรรควิญญาณมืดแล้ว ยังมีกลุ่มอิทธิพลไหนที่ไม่ควรไปหาเรื่องอีก?” หลิ่วหมิงถามด้วยความแปลกใจ


“แน่นอนว่าต้องเป็นราชสำนักกับนิกายใหญ่ทั้งห้า ถ้าเจ้าล่วงเกินกลุ่มอิทธิพลอื่นเข้า อย่างมากก็แค่หนีออกไปจากเสวียนจิงในคืนนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับผู้ฝึกปรานอิสระอย่างพวกเราได้แล้ว แต่ถ้าไปล่วงเกินผู้คนในราชสำนักกับนิกายใหญ่ทั้งห้าเข้า ต่อให้เจ้าหนีออกไปจากเสวียนจิงก็ไม่อาจหนีการตามฆ่าในแคว้นต้าเสวียนได้ ห้านิกายใหญ่ไม่ต้องพูดถึง พวกเขาถือว่าเป็นผู้บงการแคว้นต้าเสวียนที่แท้จริง ศิษย์ตรวจตราที่อยู่ในเสวียนจิงยิ่งลึกลับซับซ้อนกว่ามาก คนธรรมดาไม่อาจพบเจอพวกเขาได้ และราชสำนักเป็นอิทธิพลทางโลกที่ทั้งห้านิกายใหญ่รวมกันสร้างขึ้นมา ถึงแม้จะไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกฝนระดับอาจารย์จิตวิญญาณขึ้นไปเข้ามา แต่ผู้ฝึกปราณที่เป็นทหารหน่วยกิเลนเงินนั้นมีหลายหมื่นคน ศิษย์จิตวิญญาณที่ถูกเชื้อเชิญให้มารับตำแหน่งก็มีหลายร้อยคน ขอเพียงแค่ราชสำนักเอาจริง ก็สามารถกวาดล้างอิทธิพลน้อยใหญ่ในเสวียนจิงได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว ที่ตอนนี้ในเสวียนจิงมีอิทธิพลมากมายขนาดนี้ ก็เพราะราชสำนักทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวอย่างลึกซึ้ง


“ขอบคุณพี่เหมี่ยนที่เตือน ตอนนี้ข้าพอจะเข้าใจบ้างแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้า แล้วตอบกลับราวกับคิดอะไรอยู่


ทั้งสองพูดคุยกันต่อได้ไม่นาน ผู้อาวุโสเหมี่ยนก็กล่าวคำอำลา


แต่หลังจากที่ผู้อาวุโสออกไปจากห้องรับรองแล้ว กลับมุ่งตรงไปยังห้องโถงใหญ่ของจวนเฉียน


ที่นั่น เฉียนเชาที่เป็นเจ้าของเรือนร้อยวิญญาณกำลังพูดอะไรบางอย่างกับฮูหยินหมีอยู่ สีหน้าเขาดูโกรธเล็กน้อย แต่พอเหลือบไปเห็นผู้อาวุโสเหมี่ยน ก็ลุกขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ผู้อาวุโสเหมี่ยนในที่สุดท่านก็มา ท่านลองหยั่งเชิงดูหรือยังว่า คุณชายไป๋ยอมเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณหรือไม่?”


“ช่างละอายยิ่งนัก ข้าเกรงว่าจะต้องทำให้ท่านผิดหวังเสียแล้ว ยังไม่มีท่าทีว่าเขาจะมาเข้าร่วมกับเรือนร้อยวิญญาณ แต่ดูเหมือนว่าจะยังอยู่ในเสวียนจิงซักระยะหนึ่ง และภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้เขาจะยังไม่ไปจากเสวียนจิง” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าว


“ช่างน่าเสียดายจริงๆ แต่ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่คุณชายเฉียนไม่รีบไปจากเสวียนจิง เรือนร้อยวิญญาณของเราก็ยังมีโอกาสดึงเขามาเป็นพวก น่าเสียดายที่เรือนร้อยวิญญาณของเราไม่มีหญ้าน้ำแข็งเงิน คงต้องไปรวบรวมจากร้านค้าอื่น เกรงว่าคงใช้เวลาสักระยะหนึ่ง” พอฮูหยินหมีได้ยินในตอนแรกก็คิ้วขมวดขึ้นมา แต่ก็ผ่อนคลายออกมาก่อนที่จะกล่าวออกไป


“เรื่องหญ้าน้ำแข็งเงิน ข้าได้เร่งรัดให้คนไปจัดการแล้ว ถ้าในเสวียนจิงมีสมุนไพรจิตวิญญาณตัวนี้ล่ะก็ จะต้องหาเจออย่างแน่นอน ที่สำคัญในตอนนี้ก็คือ หน่วยเงาปีศาจของท่านอ๋องสามช่วยสืบหาตัวการที่สั่งลอบสังหารฮูหยินกับหู่เอ๋อร์ในก่อนหน้านั้นได้แล้ว ที่แท้มันก็คือเจ้าอ้วนมู่แห่งหอรวมสมบัติ” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา


“เดิมทีหอรวมสมบัติกับเรือนร้อยวิญญาณเราก็เป็นคู่แข่งทางการค้า อีกอย่างองค์ชายเก้าที่หนุนหลังเขา กับท่านอ๋องสามที่หนุนหลังท่านก็ไม่ถูกกันด้วย พวกเขาทำเรื่องแบบนี้ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด” ผู้อาวุโสเหมี่ยนได้ยินก็ฟั่นหนวดแล้วกล่าวออกมา


“ข้าส่งคนคอยตามดูเจ้าอ้วนมู่แล้ว มันฉลาดมาก ตอนนี้มันหลบอยู่ในจวนทั้งวันไม่ยอมออกจากจวนแม้แต่ก้าวเดียว แต่ข้าได้สั่งให้สาขาที่อยู่ในแต่ละเขตเพิ่มการโจมตีและกดดันการค้าของหอรวมสมบัติ เรื่องนี้จะปล่อยเลยไปไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นเรือนร้อยวิญญาณของพวกเราจะอยู่ในเสวียนจิงอย่างมั่นคงได้อย่างไร?” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นกล่าวด้วยสีหน้าเฉียบขาด


“ท่านพี่ไม่ต้องโมโห ที่จริงยังมีเรื่องสำคัญกว่าการแก้แค้นหอรวมสมบัติ เรื่องสำคัญของพวกเราในตอนนี้คืองานประมูลซื้อขายในครั้งนี้จะต้องสำเร็จ อย่าลืมสิ! เพื่ออำนาจการประมูลในครั้งนี้ เรือนร้อยวิญญาณต้องจ่ายค่าตอบแทนอันน่าตกใจไปไม่ใช่น้อย จะพ่ายแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด แต่จนถึงตอนนี้ยังหารายการสิ่งของที่มาประมูลได้ไม่เพียงพอ” ฮูหยินหมีกล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม


พอได้ยินคำพูดของฮูหยินใบหน้างดงาม ความโกรธบนใบหน้าของชายชุดคลุมผ้าดิ้นก็หายไป แต่หลังจากที่ลังเลเล็กน้อยแล้วก็กล่าวอย่างมีแผนในใจ


“ฮูหยินวางใจเถอะ! ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่ารายการของประมูลอย่างอื่นหาได้จากสาขาแห่งหนึ่งแล้ว ทั้งยังอยู่ในระหว่างการขนส่งมาเสวียนจิงพร้อมกับรายการของประมูลอื่นๆ จะต้องทันเวลาประมูลอย่างแน่นอน”


“อะไรนะ หาได้แล้ว ช่างดีเสียจริง แต่หอรวมสมบัติคงไม่ลงมือกับของประมูลเหล่านี้อีกนะ?” ฮูหยินหมีได้ยินในทีแรกก็รู้สึกดีใจ แต่ก็กล่าวด้วยความกังวลเล็กน้อย


“ไม่ต้องกังวลเรื่องการคุ้มกันขนส่ง! ครั้งนี้ข้าไม่เพียงแต่ให้แขกคนสำคัญสองท่านออกไปรับของประมูลในคืนวันนั้น แต่ยังให้ให้หน่วยเงาปีศาจของท่านอ๋องสามออกไปด้วยกลุ่มหนึ่ง จะต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน” ชายชุดคลุมผ้าดิ้นกล่าวอย่างมั่นใจ


“หน่วยเงาปีศาจของท่านอ๋องสามล้วนเป็นผู้ฝึกปราณที่แข็งแกร่ง กอปรกับยังมีสหายอีกสองท่านออกไปพร้อมกัน จะต้องไม่มีผิดพลาดอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสเหมี่ยนฟังถึงจุดนี้ก็พยักหน้าขึ้นมา


“อืม! แต่ความปลอดภัยของสถานที่ประมูลก็สำคัญมาก ข้าต้องหารือกับผู้อาวุโสเหมี่ยนเล็กน้อย ท่านคิดว่าชั้นจำกัดในสถานที่ประมูล…” หลังจากที่ชายชุดคลุมผ้าดิ้นมีสีหน้าผ่อนคลายแล้ว ก็หารือเกี่ยวกับเรื่องการประมูลกับผู้อาวุโส


ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็ทิ้งเด็กหญิงไว้ในห้อง ส่วนตนเองกลับมาอยู่นอกประตูหลังของจวนเฉียนอย่างเงียบๆ


ข้ารับใช้สองคนที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ย่อมจำแขกคนสำคัญอย่างหลิ่วหมิงได้ พวกเขารีบเปิดประตูหลังให้เขาเดินออกไปอย่างรวดเร็ว


พอเดินออกจากประตูหลังของจวนเฉียนแล้ว เขาก็เดินไปตามทางเล็กๆ จนมาถึงถนนใหญ่สายหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล และเข้าไปปะปนกับฝูงชนอย่างรวดเร็ว


ก่อนมาเสวียนจิง เขาได้จดจำเส้นทางสำคัญจากแผนที่ไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่รู้สึกแปลกกับถนนที่เดินเลยแม้แต่น้อย


ดังนั้นหลังจากที่เขาเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาไม่นานก็ทะลุถนนไปหลายสาย สุดท้ายก็มาโผล่ที่หน้าตรอกเงียบสงัดแห่งหนึ่ง และหายเข้าไปในตรอกอย่างรวดเร็ว


ผ่านไปไม่นาน ชายหน้าตาธรรมดาที่สวมชุดคลุมสีเทาก็เหมือนจะเดินมาถึงหน้าตรอกอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากที่กวาดตามองกลางตรอกผ่านๆ แล้ว สีหน้ากลับเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


เห็นชัดๆ ว่าในตรอกว่างเปล่า และเป็นตรอกตัน แต่กลับไม่มีเงาคนอยู่เลย


ภายใต้ความกระวนกระวาย เขารีบเดินเข้าเดินไปในตรอกเพื่อหาเส้นสนกลใน โดยไม่ทันได้คิดอะไร


แต่ขณะนั้นเอง ก็มีพายุพัดมาที่หลังอย่างรุนแรง เขาเพียงแค่รู้สึกเจ็บต้นคอ จากนั้นตาทั้งสองก็มืดดำก่อนที่จะล้มลงไปบนพื้น


………………………………………


ตอนที่ 176 อารามเสี่ยวชิง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะนี้ ด้านหลังของเขาที่แต่เดิมไม่มีคนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ก็มีแสงเปล่งประกายออกมาจางๆ จากนั้นร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวขึ้น หลังจากที่กวาดสายตามองชายชุดคลุมสีเทาบนพื้นแล้ว ก็กล่าวกับตนเองอย่างราบเรียบ


“วิธีบดบังสายตาง่ายๆ เช่นนี้ยังดูไม่ออก ดูท่าคงเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น”


จากนั้นเขาก็ยื่นมือคว้าไปในอากาศ ร่างที่ไม่ขยับเขยื้อนชายหนุ่มลอยขึ้นจากพื้นในทันที หลิ่วหมิงคว้าชายเสื้อแล้วดึงมาตรงหน้า มืออีกข้างก็ค้นสะเปะสะปะไปตามตัวของชายหนุ่ม แต่ก็ไม่เจออะไร


หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว และอ้าปากพ่นแสงสีดำใส่ใบหน้าของชายหนุ่มในทันที


ชายชุดคลุมสีเทาที่สลบอยู่ก็ค่อยๆ พื้นขึ้นมา แต่ชั่วเวลาที่ลืมตาขึ้นมานั้น ก็ต้องพบกับสายตาอีกคู่ที่มีแสงสีขาวเปล่งประกายออกมา


จิตรับรู้ของชายผู้นี้จมดิ่งลงไปทันที ดวงตาทั้งคู่เริ่มซึมกระทือขึ้นมา ขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีเสียงดังมาจากที่ไกลแสนไกลดังเข้ามาในหู


“เจ้าเป็นใคร? ใครใช้ให้เจ้าสะกดรอยข้าตั้งแต่ออกจากจวนเฉียน…”


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงคลายมือออก ร่างของชายผู้นี้ก็สลบแล้วล้มลงพื้นอีกครั้ง


“หอรวมสมบัติ! ดูท่าคงจะเป็นศัตรูของเรือนร้อยวิญญาณ แต่มันไม่เกี่ยวข้องกับข้ามากนัก ข้าไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจ” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำราวกับคิดอะไรอยู่ จากนั้นแสงสีขาวที่เปล่งประกายอยู่ในดวงตาก็ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติ


ที่เขาแสดงออกไปเมื่อครู่ไม่ใช่วิธีการสำรวจดูจิตวิญญาณแต่อย่างใด แต่เป็นการอาศัยพลังจิตอันแข็งแกร่งของตนเองในการสะกดจิตเท่านั้น


ถึงแม้วิธีการนี้จะใช้ไม่ได้ผลกับศิษย์จิตวิญญาณ แต่มันเหลือเฟือสำหรับใช้กับคนธรรมดาและผู้ฝึกปราณขั้นต่ำ


ขณะนี้หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียวอีกครั้ง เสียงดังราวกับประทัดดังขึ้นในร่างกาย ร่างของเขาขยายสูงขึ้นกว่าเดิมสองเท่าของความสูงของศีรษะ ตอนนี้เขากลายเป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่บึกบึนมาก


จากนั้นมือทั้งสองก็ทำอะไรบางอย่างกับใบหน้าด้วยความรวดเร็ว จนกลายเป็นใบหน้าที่ดูโหดเหี้ยมขึ้น


หลิ่วหมิงตบลงไปบนแขนก่อนที่หอยสังข์ย่อส่วนจะปรากฏออกมา หลังจากที่ส่งพลังเวทย์เข้าไปเพียงเล็กน้อย ก็มีแสงสว่างม้วนตัวออกมาพร้อมกับชุดสีดำหนึ่งชุด


เขาถอดชุดสีเขียวบนตัวออกแล้วใส่เข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วน จากนั้นก็สวมชุดดำเข้าไป และเดินออกไปจากตรอกโดยไม่ยี่หระอะไรทั้งสิ้น


หนึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าที่ดูธรรมดาคันหนึ่ง ห้อตะบึงออกไปจากประตูทางด้านทิศตะวันตกของเสวียนจิง และเดินทางมาถึงเขาลูกเล็กๆ ที่มีทิวทัศน์สวยงาม


หลังจากที่รถม้าได้หยุดลง ประตูรถก็ถูกเปิดออกมา


ชายฉกรรจ์ชุดดำที่หลิ่วหมิงปลอมตัวมากระโดดลงจากรถ หลังจากที่หันไปโยนเงินก้อนหนึ่งให้กับคนขับรถแล้ว ก็เดินขึ้นไปตามทางเดินบนเขา


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เขาก็มาถึงหน้าอารามเต๋าอันเงียบสงัดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ตรงไหล่เขา


อารามแห่งนี้กินพื้นที่ไม่ถึงหนึ่งหมู่ ประตูใหญ่ปิดแน่น และมีกำแพงหินสีแดงล้อมรอบ แต่เมื่อมองดูจากที่ไกลๆ แล้ว ห้องในอารามใหญ่รวมกันแล้วไม่น่าจะเกินห้าหกห้อง


หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองป้ายที่มีคำว่า ‘อารามเสี่ยวชิง’ แล้วก็ค่อยๆ ยิ้มออกมาทันที เขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว เพื่อเคาะห่วงทองสัมฤทธิ์ที่ค่อนข้างใหญ่บนประตู


“ใครกัน? ถ้าเป็นประสกที่มาจุดธูปอธิษฐานขอพรล่ะก็ ขอได้โปรดอภัยที่ทางอารามของเราไม่รับแขกชั่วคราว ช่วงนี้เจ้าอารามก็กำลังถือสันโดษอยู่ ไม่สามารถรับแขกได้” ประตูใหญ่ยังไม่ทันได้เปิด แต่กลับมีเสียงใสแจ๋วของเด็กชายดังออกมาจากข้างใน


หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่กลับกล่าวออกไปอย่างราบเรียบ


“ข้าเป็นญาติจากแดนไกลของเจ้าอาราม มีเรื่องสำคัญต้องมาพบท่าน”


“อะไรนะ! ญาติของเจ้าอาราม? ถ้าอย่างนั้นโปรดรอสักครู่” ดูเหมือนเด็กชายจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย


เสียงเท้าเล็กๆ ดังเข้ามา ประตูใหญ่ค่อยๆ เปิดออก นักพรตน้อยอายุราวๆ สิบสองสิบสามปีเดินออกมา และจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าประหลาดใจ


“ข้ามีสิ่งของยืนยันชิ้นหนึ่ง เอาไปให้เจ้าอารามดูแล้วเขาก็จะรู้เองว่าข้าคือใคร” หลิ่วหมิงมองนักพรตน้อยทีหนึ่ง แล้วหยิบหยกครึ่งชิ้นออกมาส่งให้นักพรตน้อย


“ประสกโปรดรอสักครู่ ข้าจะรีบไปรีบมา!” นักพรตน้อยลังเลเล็กน้อยแล้วรับชิ้นหยกมา จากนั้นก็ปิดประตูเข้าหากัน


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาเล็กน้อย และยืนรอที่เดิมอย่างเงียบๆ โดยไม่กล่าวอะไรออกมา


ผ่านไปไม่นาน ประตูใหญ่ก็เปิดออกอีกครั้ง นักพรตน้อยโค้งคำนับในเชิงขอโทษแล้วกล่าวออกมา


“เชิญประสกเข้ามาเถอะ! เจ้าอารามออกจากการเก็บตัวเข้าฌานแล้ว และกำลังรออยู่ในห้อง”


หลิ่วหมิงกวาดสายตามองนักพรตน้อยทีหนึ่ง แล้วก็ก้าวเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


ภายใต้การนำของนักพรตน้อย เขาเดินทะลุไปยังประตูข้างอารามใหญ่ จนมาถึงกลางลานที่มีกำแพงกำแพงล้อมไว้อีกชั้นหนึ่ง ข้างในดูเงียบสงบเป็นอย่างมาก


“ประสกท่านนี้ ท่านเข้าไปได้แล้ว เจ้าอารามรออยู่ด้านใน” นักพรตน้อยเดินมาถึงหน้าห้องที่อยู่ข้างของโถงใหญ่แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม


“ได้! เจ้ายังลืมอะไรไปหรือเปล่า?” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไป แต่พอเดินเข้าไปถึงหน้าประตูห้องกลับชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับไปถามนักพรตน้อย


“อ๋อ! ใช่แล้ว นี่คือสิ่งของยืนยันที่ประสกให้ไว้ ท่านรับคืนไปเถอะ!” นักพรตน้อยได้ยินก็นึกขึ้นมาได้ เขารีบควักเอาหยกชิ้นนั้นออกมาจากอกแล้วประคองสองมือยื่นให้หลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงพยักหน้า แล้วคว้าแขนข้างหนึ่งออกไป


เสียงดัง “พลั่ก!”


แขนหลิ่วหมิงยกแขนขึ้นในทันที ฝ่ามือของเขาจับคอของนักพรตน้อยไว้แน่น เขาสะบัดเพียงแค่ทีเดียวก็บิดคอนักพรตน้อยจนหัก


นักพรตน้อยเสียชีวิตโดยไม่ทันได้เปล่งเสียงร้องออกมา


พอหลิ่วหมิงคลายนิ้วทั้งห้า ศพของนักพรตน้อยก็อ่อนยวบยาบ และหล่นลงพื้นไป


เกือบจะในเวลาเดียวกัน ก็พลันมีรูเล็กๆ โผล่ออกมาตรงกำแพงทั้งสองด้านของลานที่พัก จากนั้นก็ทีเสียงดังสั่นหวั่นไหว ลูกธนูจำนวนมากพุ่งยิงออกมาจากในนั้น และกลายเป็นแสงเย็นสะท้านพุ่งเข้ามาหาหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงกระตุกหางตา สะบัดแขนเสื้อปล่อยกระบี่จันทราหยกที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรกออกมา เขาสะบัดมันเพียงเล็กน้อย เงากระบี่จำนวนมาก็พรั่งพรูออกมาปกคลุมตัวเขาไว้


พอลูกธนูปะทะกับเงากระบี่ มันก็พากันระเบิดตัวเป็นเปลวไฟอันคุโชน


ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงก็แผดเสียงร้องยาวจนทำให้ปราณกระบี่ลุกฮือขึ้นมา และเปลวไฟก็ค่อยๆ ดับสลายไป


จากนั้นแสงเย็นสะท้านก็เปล่งประกายขึ้นท่ามกลางเงากระบี่ ปรานกระบี่สีเขียวหลายสายรวมตัวกันเป็นหนึ่งแล้วพุ่งไปยังกำแพงทั้งสองด้าน


“แย่แล้ว รีบหลบ!”


มีเสียงร้องตกใจของคนจำนวนมาก ดังมาจากกำแพงทั้งสองด้านในทันที


พอแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา ปราณกระบี่ก็จมหายเข้าไปในกำแพงทั้งสองด้าน


จากนั้นเสียงร้องอย่างน่าเวทนาก็ดังขึ้น กำแพงทลายลงมาครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นคนใส่ชุดคลุมสีขาวเจ็ดแปดคนที่อยู่ตรงนั้น


และในมือของคนชุดขาวเหล่านี้ต่างก็ถือหน้าไม้สีเหลืองอ่อนคนละอัน แต่ครู่ต่อมาร่างของพวกเราก็กลายเป็นสองท่อนก่อนที่จะล้มลงไป


ปราณกระบี่สองสามสายที่หลิ่วหมิงปล่อยออกไป ไม่เพียงแต่ทลายกำแพงเท่านั้น แต่ยังฟันคนชุดขาวที่ซ่อนอยู่ในนั้นจนเสียชีวิต


ขณะนี้หลิ่วหมิงกระทืบเท้าลงพื้นในทันที และร่างของเขาก็พุ่งขึ้นไปบนฟ้า


ขณะเดียวกัน กรงเล็บเหล็กที่ประกายแสงเย็นสะท้านก็ปรากฏขึ้นบนพื้นในทันที มันกะที่จะคว้าเอาเท้าทั้งคู่ของหลิ่วหมิงไว้ แต่ก็คว้าได้เพียงความว่างเปล่า


พอหลิ่วหมิงสะบัดกระบี่จันทราหยกลงไปด้านล่าง ปราณกระบี่ยาวจั้งกว่าๆ ก็ม้วนตัวลงไป


เสียงดัง “ฟิ้ว!”


พื้นดินด้านล่างแตกร้าวออกมา เงาร่างสีเหลืองจางๆ พุ่งขึ้นจากพื้นดินและหนีไปด้านข้าง


สีหน้าหลิ่วหมิงไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เขาชี้นิ้วไปยังปราณกระบี่ที่อยู่ด้านล่างในทันที


ปราณกระบี่สีเขียวเปลี่ยนทิศทางในฉับพลัน มันม้วนตัวตามเงาร่างสีเหลืองไป พริบตาเดียวเงาร่างสีเหลืองก็จมหายเข้าไปในแสงเย็นสะท้าน


เป็นเพราะหลิ่วหมิงใช้พลังจิตอันแข็งแกร่งในการเปลี่ยนทิศทางของปราณกระบี่


หลังจากมีเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังขึ้น เงาร่างสีเหลืองก็กลายเป็นฝนโลหิตตกลงมาอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงทำราวกับไม่เห็นเหตุการณ์นี้ มือข้างหนึ่งถือกระบี่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ขณะเดียวกันก็หันหน้าไปทางห้องที่อยู่ข้างห้องโถงใหญ่แล้วกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน


“ท่านหลบซ่อนอยู่ที่นั่นตั้งนานไม่ยอมออกมา ยังคิดว่าข้าจะยอมปล่อยท่านไปหรือ!”


“พลังของสหายน่าอัศจรรย์มาก คิดว่าคงเป็นศิษย์ตรวจตราของนิกายปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย ข้ารู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน ไม่ทราบว่าพอจะมีเงื่อนไขอะไรที่สามารถรักษาชีวิตข้าไว้ได้หรือไม่?” เสียงแหบแห้งของผู้ชายดังมาจากห้องที่อยู่ข้างโถงใหญ่


“เฮ่อๆ! ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นศิษย์ตรวจตราคนใหม่ยังกล้าซุ่มโจมตีข้า ดูท่าการหายตัวของศิษย์ตรวจตราคนก่อน คงเกี่ยวข้องกับพวกเจ้าด้วย เจ้าคิดว่าข้าจะละเว้นเจ้าหรือ?” หลิ่วหมิงหัวเราะแล้วกล่าวออกมา


“ดูท่าวันนี้ ถ้าไม่ใช่เจ้าก็ข้าที่ต้องตาย แต่ข้ายังมีคำถามหนึ่งข้อ หวังว่าสหายจะคลายข้อสงสัยให้ข้าได้บ้าง ข้าว่าข้าวางกับดักไว้อย่างแนบเนียนแล้ว ทำไมสหายถึงค้นพบความผิดปกติได้?” เสียงแหบแห้งชะงักไปซักพักแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา


“ฮึ! เจ้าคิดว่าข้าจะบอกเรื่องนี้กับเจ้าหรือ ในเมื่อไม่ยอมออกมาก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงกลับทำเสียงฮึดฮัด และไม่อยากเสียเวลากับคนที่อยู่ข้างห้องโถงเลยแม้แต่น้อย เขารับทำท่ามือด้วยมือเดียวในทันที คมวายุสีเขียวแต่ละเส้นค่อยๆ โผล่ออกมาตรงหน้าเขา หลังจากที่เขาสะบัดแขนเสื้อออกไป มันก็กลายเป็นแสงสีเขียวเจ็ดแปดลำ และพุ่งยิงออกไป


”เพล้ง!” “เพล้ง!” คมวายุที่พุ่งเข้าไปข้างในถูกอะไรบางอย่างสกัดไว้


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ สายตาเขาก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมา


ด้วยพลังในการแสดงวิชาคมวายุขั้นสมบูรณ์แบบของเขาในตอนนี้ มันมีอานุภาพมากเกินกว่าที่ศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปจะมาเทียบได้ ต่อให้เป็นศิษย์จิตวิญญาณระดับกลางก็เกรงว่าคงไม่อาจรับมือได้โดยง่าย


คู่ต่อสู้ที่อยู่ข้างในคงเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายขึ้นไป


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ แต่มือกลับทำท่าทางอยู่ไม่หยุด หลังจากที่เขาเปลี่ยนเคล็ดวิชา ลูกเปลวไฟสีแดงแต่ละลูกก็พุ่งออกมา และหลังจากที่เขาตะโกนออกไป มันก็พุ่งยิงลงด้านล่าง


ยังไม่ทันที่ลูกเปลวไฟเหล่านี้จะลงไปถึงด้านล่าง ไอร้อนระอุของมันก็ม้วนตัวไปถึงก่อน


เสียงดัง “ตู้ม!”


เงาร่างคนผู้หนึ่งพุ่งทะลุหลังคาออกมา หลังจากที่หมุนตัวรอบหนึ่งแล้วก็หนีไปที่ยอดเขา


แต่หลิ่วหมิงได้เตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว ทันทีที่เขาสะบัดแขนเสื้อออกไป โซ่สีเงินก็พุ่งยิงออกไปราวกับอสรพิษ หลังจากที่มันเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็กลายเป็นเงาโซ่ปกคลุมเงาร่างของคนข้างหน้าไว้


……………………………………….


ตอนที่ 177 เงาดำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เงาร่างคนผู้นั้นเห็นเช่นนี้ ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว สายรุ้งยาวสีแดงเลือดม้วนตัวออกมาในฉับพลัน และพุ่งไปหาเงาโซ่ด้านหลัง


“เต๊ง!” เสียงดังกังวานขึ้น


สายรุ้งสีเลือดปะทะเข้ากับเงาโซ่ มันไม่สามารถฟันเงาโซ่ให้ขาดได้ และยังถูกแสงสีเงินที่เปล่งประกายออกมาปัดกระเด็นออกไป


สร้างความตกใจให้กับเงาร่างนั้นในทันที และหลังจากที่เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวจนร่างของเขาส่งเสียงดัง “เพล้ง!” เขาก็เป็นเงาโลหิตพุ่งออกไปทั่วทุกทิศทาง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มเยาะเย้ยออกมา


ด้วยพลังจิตอันแข็งแกร่งของเขา คนผู้นี้กลับกล้าใช้วิชามายาต่อหน้า ช่างรนหาที่ตายเสียจริง


เขาสะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง เงาโซ่ที่ปกคลุมไปทั่วก็หายไป จากนั้นมันก็กลายเป็นตาข่ายยักษ์สีเงินแวววาวปกคลุมร่างของเงาโลหิตไว้


เงาโลหิตผู้นั้นตะโกนออกมาด้วยความตกใจ


“สหายอย่าบีบบังคับข้า ไม่อย่างนั้นอย่าโทษที่ข้าจะยอมตายไปพร้อมกับเจ้า”


หลิ่วหมิงได้ยินก็ได้แต่หัวเราะอย่างเยือกเย็น เขากระตุ้นโซ่เงินอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนใจ ตาข่ายยักษ์ส่งเสียงดังหวึ่งๆ รัดแน่นขึ้น และเปล่งสีเงินออกมามากกว่าเดิม


เงาโลหิตคำรามด้วยความโมโห ทันใดนั้นเขาก็อ้าปากพ่นมุกสีแดงแก่ออกมา หลังจากที่สั่นไหวตามแรงลม มันก็ขยายขนาดเท่าปากถ้วย และพุ่งไปยังตาข่ายยักษ์สีเงินอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันเขาก็สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง เพื่อปล่อยโล่ขนาดเล็กสีเขียวจางๆ ออกมา


ครู่ต่อมามุกสีม่วงก็ปะทะเข้ากับตาข่ายยักษ์ แล้วระเบิดตัวกลายเป็นเปลวไฟคุโชนสีม่วงด้วยเสียงอันดัง


เปลวไฟในตาข่ายยักษ์ดูคล้ายดอกบัวสีม่วงขนาดใหญ่ ทั้งยังหมุนติ้วๆ จนทำให้เปลวไฟสีม่วงลุกไหม้กระพือฮือโหมมากกว่าเดิม พื้นที่บนอากาศกลายเป็นสีแดง


เมื่อหลิ่วหมิงเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ใจเขาก็รู้สึกเย็นสะท้านเล็กน้อย ฝ่ายตรงข้ามสมกับเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย ที่พอมีท่าไม้เด็ดไม้ตายอยู่บ้าง แต่ถ้าคิดว่าเปลวไฟแค่นี้สามารถทำลายโซ่ปราบปีศาจได้ล่ะก็ คิดผิดแล้วล่ะ


พลังอย่างอื่นของโซ่เงินนี้ไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่ความแข็งแกร่งของมัน เกรงว่าแม้แต่อาวุธจิตวิญญาณระดับสูงก็ไม่อาจเทียบได้


แต่ฝ่ายตรงข้ามปล่อยอานุภาพออกมามากขนาดนี้ เกรงว่าอีกไม่นานผู้ฝึกปราณคนอื่นคงจะมาสืบหามูลเหตุอย่างแน่นอน ซึ่งเขาไม่อยากจะพัวพันกับฝ่ายตรงข้ามไปมากกว่านี้อีกแล้ว


หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ และกระตุกข้อมือในทันที ทันใดนั้นพลังเวทย์ภายในร่างเขาก็ทะลักออกมาราวกับสายน้ำ และพุ่งไปยังโซ่ปราบปีศาจอย่างบ้าคลั่ง


ครู่ต่อมา ตาข่ายยักษ์ที่กลายร่างมาจากโซ่เงินก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ อักขระสีเงินจางๆ จำนวนมากปรากฏออกมาบนพื้นผิวของมัน เงาโซ่จำนวนมากรัดแน่นมากขึ้น


ดอกบัวอัคคีสีม่วงถูกโซ่เงินที่ถักทอกันแต่ละเส้นรัดพันไว้อย่างแน่นหนา หลังจากที่มันถูกบีบอัดมากขึ้น มันก็สลายกลายเป็นสะเก็ดไฟก่อนที่จะดับไป


เงาโลหิตที่หลบอยู่ใต้เปลวไฟสีม่วงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เขาบิดตัวเพื่อที่จะแสดงความสามารถในการหลบหลีกขั้นเทพ แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว


ภายใต้การเปล่งประกายของโซ่เงิน มันหวดเข้าใส่เขาโดยไม่ทันตั้งตัว แม้แต่แสงสีเลือดที่ปกคลุมร่างอยู่ก็แตกกระจายออกมาเป็นชิ้นๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา


เขาเป็นชายชราชุดขาวอายุราวๆ ห้าสิบกว่าปี ดวงตาทั้งคู่กลับกลอกไปมา ใบหน้าปลิ้นปล้อนเป็นอย่างมาก


ขณะนี้เงาโซ่ที่ปกคลุมไปทั่วทุกทิศได้เปล่งประกายออกมา และรัดพันร่างเขาไว้อย่างแน่นหนา


หลิ่วหมิงดึงโซ่เงินอย่างแรง เพื่อลากชายชราเขามาด้านหน้า แต่ขณะที่เขากำลังจะอ้าปากพูดอะไรออกมานั้น ดันเหลือบไปเห็นอักขระสีเลือดแปลกประหลาดบนใบหน้าของชายชรา สิ่งนี้ทำให้สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที เขาขยับแขนปล่อยหมัดโจมตีชายชราจนกระเด็นออกไปหลายจั้ง


เสียงดัง “ตู้ม!”


ร่างชายชราที่ถูกโซ่สีเงินรัดพันอยู่ระเบิดออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อให้เกิดเป็นหมอกสีเลือดที่ปกคลุมพื้นที่ราวๆ สามสี่จั้ง


ถ้าไม่ใช่ว่าหลิ่วหมิงมีปฏิกิริยาตอบสนองเร็ว เกรงคงจะตกอยู่ในหมอกโลหิตเหล่านั้น


ถึงแม้จะไม่รู้ว่าหมอกโลหิตเหล่านี้มีอานุภาพร้ายแรงเพียงใด แต่คิดว่ามันคงไม่ธรรมดา


หลังจากที่ชายชราระเบิดตัวออกมาแล้ว สิ่งของบนตัวเขาก็อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น ต่อให้หลิ่วหมิงอยากจะสืบสาวราวเรื่อง ก็ไม่มีเบาะแสให้สืบหาแล้ว


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยนั้น เขาก็หันไปมองที่ไกลๆ ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป


มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังมาจากท้องฟ้าทางด้านเสวียนจิง และมองเห็นอย่างรำไรว่ามีคนขี่เมฆเหาะมาทางนี้ด้วยความรวดเร็ว


หลิ่วหมิงรีบทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เพื่อเหาะทะยานไปด้านหลังของเขา และหลังจากที่เหาะออกไปไกลสิบกว่าลี้แล้ว ก็ร่อนลงบนยอดเขาอีกลูก และค่อยๆ เดินไปตามทางลงเขา


เขาเดินไปด้วย ขมวดคิ้วคิดใคร่ครวญเรื่องที่เกิดขึ้นไปด้วย


ตามบันทึกในนิกาย เดิมทีอารามเสี่ยวชิงควรจะเป็นสถานที่ลับในการติดต่อกับนิกาย ผู้คนในอารามล้วนเป็นศิษย์สายนอกของนิกายปีศาจที่มาช่วยศิษย์ตรวจตราโดยเฉพาะ และส่งข่าวสำคัญบางอย่างให้กับนิกาย


ในสถานการณ์ปกติ ถึงแม้จะเกิดเรื่องกับศิษย์ตรวจตรา เรื่องมันก็ไม่พัวพันมาถึงที่นี่


เดิมทีเขามาอารามเสี่ยวชิงก็เพื่อรายงานตัวกับทางนิกายว่ามาถึงเสวียนจิงแล้ว และถือโอกาสสอบถามเรื่องที่ศิษย์ตรวจตราคนก่อนหายตัวไป แต่คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะถูกยึดไปแล้ว และยังถูกคนวางกับดักรอให้เขามาติดกับ


ถ้าศิษย์ตรวจตราที่มาในครั้งนี้ไม่ใช่เขา แต่เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางถึงขั้นปลายคนอื่นๆ ล่ะก็ เกรงว่าคงไม่อาจหลุดพ้นจากกับดักเมื่อครู่นี้ได้


เพราะพวกเขาไม่เพียงแต่มีผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งกับอาวุธอาญาสิทธิ์เป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางและขั้นปลายอย่างละหนึ่งคน


ส่วนที่เขาค้นพบความผิดปกติได้อย่างไรนั้น ย่อมเป็นเพราะว่าหยกครึ่งชิ้นที่เป็นสิ่งของยืนยัน


ตามกฎของนิกาย ถ้ามีศิษย์ตรวจตราคนใหม่มาปรากฏตัว หลังจากที่ผู้ดูแลอารามเห็นหยกครึ่งชิ้นนี้ จะต้องหยิบอีกครึ่งชิ้นออกมาประกบกันเพื่อยืนยันสถานะของอีกฝ่าย แล้วทั้งสองถึงได้พบหน้ากัน


พอถึงเวลานั้น ฝ่ายตรงข้ามก็จะตรวจดูป้ายประจำตัวที่บ่งบอกสถานะของศิษย์ตรวจตรา เช่นนี้ถึงนับว่าเสร็จสิ้นขั้นตอนทั้งหมด


แต่หลังจากที่นักพรตน้อยผู้นั้นรับชิ้นหยกไปแล้ว และกลับมาเปิดประตูอีกครั้งก็ไม่ได้นำหยกอีกครึ่งชิ้นมาด้วย สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก


พอเขาเข้าถึงลานภายในอาราม พลังจิตของเขาก็รับรู้ได้ถึงผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในกำแพงกับผู้ที่หลบซ่อนอยู่ใต้ดิน แน่นอนว่าเขาย่อมลงมืออย่างไม่ลังเล


แต่จะว่าไปแล้ว ในสถานการณ์ที่เสวียนจิงไม่อนุญาตให้อาจารย์จิตวิญญาณเข้ามาในนิกาย ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายจึงนับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่ลงมือกับศิษย์นิกายปีศาจอย่างเปิดเผย แต่ยังสั่งลูกน้องที่ฝีมือระดับนี้ได้ ดูท่าคงจะมีอิทธิพลไม่น้อย


ที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดผวายิ่งกว่าก็คือหลังจากที่ชายชราชุดขาวถูกจับกุมตัวได้ เขาก็ระเบิดตัวอย่างไม่ลังเล


นี่คือศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย ตามหลักการแล้ว ผู้ฝึกฝนแต่ละคนที่ฝึกมาได้ถึงระดับนี้ ย่อมหวงแหนชีวิตเป็นอย่างมาก และจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อย่างง่ายดายโดยเด็ดขาด


สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความแปลกประหลาดและความน่ากลัวของอิทธิพลนี้เป็นอย่างมาก


ดูท่าต่อไปถ้าจะกระทำการใดๆ คงต้องระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น ถ้ายังไม่รู้เบื้องหลังของอิทธิพลนี้อย่างชัดเจน เขาก็ไม่อาจเผยเผยตัวตนได้โดยเด็ดขาด


หลิ่วหมิงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว


……


ในขณะเดียวกัน ในโถงใหญ่สลัวๆ ที่อยู่ในพื้นที่มุมหนึ่งของเสวียนจิง เงาดำสามเงากำลังนั่งล้อมโต๊ะตัวหนึ่งอยู่


หนึ่งนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่เป็นพิเศษ มือข้างหนึ่งของเขากำลังลูบป้ายไม้สีแดงเลือดที่เพิ่งแตกร้าวออกมา และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูแปลกประหลาด


“ผู้ปฏิบัติภารกิจหมายเลขเก้าถูกบีบบังคับจนต้องระเบิดตัวเองไปแล้ว ดูท่าศิษย์ตรวจตราที่นิกายปีศาจส่งมาในครั้งนี้คงมีพลังแข็งแกร่งไม่น้อย ถ้ารู้แต่แรกคงส่งคนไปหลายคนแล้ว”


“ดูจากพลังของศิษย์ตรวจตราที่นิกายทั้งห้าส่งมาเสวียนจิงในที่ผ่านมา ผู้ปฏิบัติภารกิจหนึ่งคนกับผู้ช่วยจำนวนมากเหล่านี้มันก็เหลือเฟือแล้ว อีกอย่างตอนนี้มีอิทธิพลบางกลุ่มเริ่มสงสัยพวกเรา คนอื่นๆ ก็ติดภารกิจสำคัญไม่อาจปลีกตัวได้ ที่ส่งผู้ปฏิบัติภารกิจหมายเลขเก้าไปอารามเสี่ยวชิงในก่อนหน้านั้น ก็เพื่อป้องกันว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ตามความเคยชินที่ผ่านมา พอเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์ตรวจตราของนิกายทั้งห้าที่อยู่ในเสวียนจิง อย่างน้อยก็ใช้เวลาครึ่งปีถึงค่อยส่งคนมาใหม่ ใครจะไปรู้ว่าครั้งนี้จะส่งมาเร็วขนาดนี้” เงาดำอีกเงาหนึ่งกล่าวอย่างเยือกเย็น


“ช่างเถอะ! ต่อให้ศิษย์ตรวจตราของนิกายปีศาจจะมาถึงก่อน แต่ก่อนหมายเลขเก้าระเบิดตัวก็ได้ส่งรูปลักษณ์เขามาให้แล้ว พวกเราระมัดระวังให้มากขึ้นสักหน่อย คาดว่าเขาคงสืบหาเบาะแสอะไรไม่ได้ แต่ศิษย์นิกายอื่นๆ ยังต้องป้องกันไว้บ้าง หนึ่งในนั้นสถานะศิษย์ตรวจตราของหุบเขาเก้าช่อง นิกายวาตอัคคี และหอสายธารโลหิตต่างก็ได้รับการยืนยันแล้ว เพียงแค่ให้คนจับตามองพวกเขาก็พอ เหลือแค่สถานะศิษย์ตรวจตราของนิกายจันทราสวรรค์ที่ยังลึกลับซับซ้อนมาจนถึงทุกวันนี้ ข้าไม่อยากให้พอเรื่องมาถึงจุดสำคัญแล้ว คนผู้นี้โผล่ออกมาทำลายในฉับพลัน หมายเลขสาม เรื่องราวทางด้านเจ้าเป็นอย่างไรบ้างเร่งดำเนินการหน่อยได้ไหม? พวกเรามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว จะต้องจบทุกอย่างนี้ภายในครึ่งปี” เงาดำรูปร่างสูงใหญ่นิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนกล่าวออกมา


“วางใจเถอะ! แผนการทำงานทางด้านข้าไม่มีปัญหาแน่นอน เพื่อเรื่องนี้พวกเราต้องเตรียมพร้อมกันมานานหลายสิบปี พอถึงเวลาจะต้องไม่ล้มเหลวอย่างแน่นอน แต่หมายเลขหนึ่ง สถานะของเจ้ามีความสำคัญต่อเกราะคุ้มกันของพวกเราเป็นอย่างมาก คงยังไม่มีคนค้นพบว่าเจ้าเป็นตัวปลอมหรอกนะ?” เงาดำเงาสุดท้ายกล่าวอย่างมีแผนในใจ จากนั้นก็ถามเงาดำรูปร่างสูงใหญ่ไปหนึ่งประโยค


“หลายปีมานี้ ผู้ที่รู้ตัวตนของข้าล้วนถูกฆ่าปิดปากไปหมดแล้ว ตอนนี้คนในจวนก็ถูกเปลี่ยนเป็นคนของพวกเราทั้งหมด ย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน” เงาดำรูปร่างสูงใหญ่กล่าวโดยไม่ต้องคิด


“อืม! ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ดี แต่ในเมื่อตอนนี้หมายเลขเก้าไม่อยู่แล้ว ก็เลือกลูกน้องที่ฉลาดมาคนหนึ่ง แล้วเปิดบ่อโลหิตบริสุทธิ์ยกระดับการฝึกฝนของเขาไปสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย เพื่อให้เขามาเสริมตำแหน่งของหมายเลขเก้า ใช่สิ! อย่าลืมวางชั้นจำกัดไว้ในจิตรับรู้และร่างภายในของเขาไว้ เพื่อป้องกันการเปิดโปงความลับของเราหลังจากที่เขาโดนจับ เฮ่อๆ! นอกจากพวกเราสามคนแล้ว คนอื่นๆ ล้วนเป็นแค่เครื่องมือเท่านั้น จะให้พวกเขามาแว้งกัดไม่ได้โดยเด็ดขาด” เงาดำเงาสุดท้ายหัวเราะอย่างเยือกเย็นก่อนกล่าวออกมา


“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องบอกข้าก็รู้ แต่โลหิตบริสุทธิ์ในบ่อโลหิตบริสุทธิ์ก็มีไม่มากแล้ว ควรสำรองไว้หน่อยจะดีกว่า” เงาดำคนที่สองกล่าวออกมา


“การจะได้มาซึ่งโลหิตบริสุทธิ์นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย ช่วงนี้มีผู้ฝึกฝนอิสระเข้าเสวียนจิงมากลุ่มหนึ่ง เลือกจับเอาพวกที่ไม่มีคนหนุนหลังมาจำนวนหนึ่งก็พอแล้ว เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการเถอะ!” เงาดำเงาหนึ่งกล่าวออกมาโดยไม่ต้องคิด


……………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)