ลำนำบุปผาพิษ 1738-1745

 บทที่ 1738 ตี้ฝูอี สรุปแล้วท่านทำไปทำไม?


ตนไม่ใช่หลานจิ้งเคอจริงๆ ด้วย หลานจิ้งเคอกับตนไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด!


ตี้ฝูอีกับหลานจิ้งเคอมีเพียงความสัมพันธ์ฉันท์สหายกัน เขาไม่เคยรักนางเลย และไม่เคยคิดจะฟื้นคืนชีพให้นางด้วย…


ทุกอย่างที่เขาลงไปก็เพื่อตัวเธอกู้ซีจิ่วทั้งสิ้น ตั้งแต่ต้นจนจบคนที่เขารักมีเพียงกู้ซีจิ่ว…


เช่นนั้นเขาจงใจทำให้เธอเข้าใจผิด ทำร้ายเธออย่างแสนสาหัสไปเพื่ออะไรกันแน่?


กู้ซีจิ่วล่องลอยอยู่ในอากาศชมละครฉากใหญ่จนจบ รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดใส่หลายสาย ในใจทั้งหวานทั้งขม ทั้งฝาดเฝื่อนทั้งเผ็ดร้อน บอกไม่ถูกเช่นกันว่าเป็นความรู้สึกใด ในสมองมีเสียงดังหึ่งๆ ไม่อาจสงบใจใคร่ครวญได้ชั่วขณะ…


เธอรู้สึกว่าตนที่อยู่ในสภาวะกายจิตสมองประมวลผลค่อนข้างเชื่องช้า ดังนั้นจึงมึนงงอยู่ตลอด


เธอจึงติดตามตี้ฝูอีไปตลอดทางด้วยสภาพที่มึนเบลออยู่ตลอดเวลา


ตี้ฝูอีกอดสังขารนั้นของเธอเอาไว้ตลอดนั่งรถม้าแก้วผลึกคันนั้นตระเวนไปทั่ว สถานที่ทุกแห่งที่ไปเยือนล้วนเป็น ‘ศาลทูตสวรรค์กู้’


ที่ ‘ศาลทูตสวรรค์กู้’ แต่ละแห่ง เขาล้วนอุ้มสังขารนั้นเข้าไปรั้งอยู่พักหนึ่ง ด้วยบารมีของเขา ทุกครั้งกู้ซีจิ่วล้วนต้องติดตามไปด้วยอย่างไม่อาจควบคุมร่างกายได้


เขานั่งอยู่บนคานกับสังขารนั้นบางครั้งก็เอ่ยพึมพำงึมงำ บางครั้งก็มองดูรูปสลักไม้อย่างใจลอย


ส่วนกู้ซีจิ่วก็ล่องลอยอยู่ใกล้ๆ พวกเขา เธอก็มองรูปสลักไม้หรือไม่ก็ตี้ฝูอีอย่างใจลอยเช่นกัน


ในสมองคล้ายจะมีความคิดสารพัดวนเวียนไปมา แต่เธอไม่แยแสไปชั่วขณะ เพียงติดตามเขา มองดูเขาไปตามสัญชาตญาณ


ถูกบีบคั้นให้แยกจากกันถึงครึ่งปี ถึงแม้เธอจะเกลียดเขา แต่ไยจะไม่คะนึงหาเขาเล่า?


ความชิงชังเป็นล้นพ้น ทว่าก็คำนึงหาเป็นล้นพ้นเช่นกัน ที่กล่าวมาคือสภาพของเธอในครึ่งปีนั้น…


ตอนนี้เธอควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้เลยได้แต่ติดตามเขาไปอย่างโง่งม มองดูเขา แยกจากไปไม่ได้เลยสักครู่ ไยจะมิใช่การทดแทนรูปแบบหนึ่งเล่า


เธอมองออกแล้วว่ารูปสลักเหล่านั้นเป็นฝีมือของตี้ฝูอีทั้งสิ้น ลายเส้นชัดเจน ละเอียดประณีต ลักษณะท่วงท่าของรูปสลักไม้แต่ละตัวแตกต่างกันไป บางตัวยิ้มน้อยๆ บางตัวสีหน้าเยือกเย็น บางตัวมีความสุข บางตัวขึงขังจริงจังยิ่งนัก…


อากัปกริยาของรูปสลักแต่ละตัวล้วนละเอียดลออสมจริง หากมิใช่ว่าจดจำท่วงท่ากิริยาทั้งหมดของเธอไว้ในใจอย่างตราตรึงยิ่ง เขาจะสามารถแกะสลักเธอออกมามากมายถึงเพียงนี้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือนได้อย่างไร?


หากกล่าวว่าหลังจากที่กู้ซีจิ่วได้ยลยินละครฉากนั้นแล้ว ความรู้สึกในใจที่มีต่อเขายังคงคลางแคงอยู่บ้าง แต่หลังจากได้เห็นรูปสลักไม้แต่ละตัวนี้แล้ว เธอก็ไม่คลางแคลงในตัวเขาอีกต่อไปแล้ว เขารักเธอ รักมากมายเหลือเกิน…


ในเมื่อรักเธอถึงเพียงนี้ แล้วทำไมตอนนั้นถึงหักใจทำร้ายเธอได้ถึงเพียงนั้นเล่า?


ตี้ฝูอี สรุปแล้วท่านทำไปทำไม? ทำเพื่ออะไร?


ในใจของเธอฝาดเฝื่อนขึ้นมาอีกครั้ง เขาอยากถามเขาเหลือเกิน แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะล่องลอยอยู่ข้างกายเขาอย่างไร เขาก็มองไม่เห็นเธอเลย…


เธอติดตามเขาอยู่เช่นนี้ต่อเนื่องกันห้าวัน ในห้าวันนี้เขาเดินทางอยู่ตลอด เธอไม่เคยเห็นเขาจะพักผ่อนอะไรเลย ถึงขั้นที่ไม่เคยเห็นเขางีบเลยด้วยซ้ำ!


ถึงแม้เขาจะเป็นเทพ แต่ก็สมควรจะพักผ่อนบ้างมิใช่หรือ?


ยามที่เขาอยู่ในรถม้า บางครั้งก็ใช้พลังวิญญาณคอยหล่อเลี้ยงให้สังขารนั้นให้ดุจมีชีวิตอยู่ บางครั้งก็ไม่รู้ว่าหยิบท่อนไม้จากไหนออกมาแกะสลัก ฝีมือการแกะสลักของเขายอดเยี่ยม แต่ละมีดที่สลักลงไปละเอียดประณีต สิ่งที่เขาแกะสลักออกมาล้วนเป็นรูปสลักมนุษย์ทั้งสิ้น เป็นเธอทั้งนั้น ยังคงเป็นตัวเธอในอิริยาบถต่างๆ เคืองขุ่นเอย โกรธเกรี้ยวเอย มีแม้กระทั่งแง่งอนกระเง้ากระงอด หยิ่งทะนงภาคภูมิ…


เธอสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด ส่วนใหญ่ยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นจะมีบุคลิกเป็นหญิงแกร่งที่เข้มแข็งเย็นชา มีเพียงต่อหน้าเขาเท่านั้น ที่เป็นเหมือนเด็กสาวตัวน้อย แง่งอนเป็น ภาคภูมิใจเป็น ขุ่นเคืองเป็น…


ทุกครั้งที่แกะเสร็จหนึ่งตัว เขาล้วนเหม่อมองอยู่นานสองนาน ยิ้มละไมลูบไล้ดวงหน้าของรูปสลักน้อยตัวนั้น


———————————————————————–


บทที่ 1739 ท่านเห็นข้าหรือ?


ซ้ำบางครายังนำไปชิดริมฝีปากแนบจุมพิต กระซิบเบาๆ ว่า ‘เด็กน้อย’


เป็นการกระทำที่เรียบง่ายยิ่งนักชัดๆ ทว่ากู้ซีจิ่วที่มองอยู่ด้านบนกลับรู้สึกว่ากระบอกตาร้อนผ่าว อยากร้องไห้ออกมา


โชคดีที่เธออยู่ในสภาพนี้จึงไม่มีน้ำตา เพียงแต่ความรู้สึกต่างๆ ยังคงอยู่เท่านั้น


เธอติดสอยห้อยตามเขาอยู่หลายวันก็มิได้ติดตามอย่างเสียเปล่า เธอพบว่าตนคล้ายจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น


ในวันแรกประสาทการได้ยินและประสาทการรับกลิ่นของเธอฟื้นฟูคืนมา วันที่สองประสาทรับรสของเธอฟื้นฟูกลับมา เธอสามารถลิ้มรสของบูชาได้แล้ว ถึงแม้จะกัดไม่เข้า แต่ก็ยังรับรู้รสชาติได้


วันที่สามประสาทการได้ยินของเธอเฉียบคมขึ้นกว่าเดิม หากกล่าวว่าวันแรกเพียงได้ยินเสียงผู้คนสนทนากันได้เหมือนคนทั่วไป เช่นนั้นวันที่สามนี้นางก็ถึงขั้นที่ได้ยินบทสนทนาของผู้คนที่อยู่ห่างออกไปร้อยเมตรได้อย่างชัดเจนแล้ว แถมยังไม่สับสนปนเปสักนิดเลยด้วย!


เวียนมาถึงคืนจันทร์เพ็ญอีกแล้ว


คืนนี้ตี้ฝูอีสั่งการให้พักแรมในโรงเตี๊ยมอย่างที่พบเห็นได้น้อยยิ่งนัก ให้สี่ทูตได้ดื่มกินพักผ่อนอย่างดี


กู้ซีจิ่วรู้สึกอยู่เสมอว่าท่าทีของสี่ทูตค่อนข้างผิดปกติ หลายครั้งที่เธอเห็นพวกเขาทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้ออกมา ทว่าฝืนสะกดกลั้นเอาไว้อยู่ตลอด ปฏิบัติหน้าที่ที่ตี้ฝูอีมอบหมายให้พวกเขาอย่างเคร่งครัดจริงจัง


กู้ซีจิ่วคิดว่าคืนนี้ตี้ฝูอีต้องพักผ่อนดื่มกินเป็นอย่างดีแน่นอน กลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะลงครัวจัดเตรียมสำรับโต๊ะหนึ่งด้วยตัวเอง จากนั้นก็ให้คนตั้งโต๊ะที่สวนดอกไม้หลังโรงเตี๊ยม


เขาอุ้มสังขารนั้นมานั่ง เงยหน้ามองดวงเดือนอยู่สักพัก ถอนหายใจออกมาอีกครา “เด็กน้อย คืนนี้ขึ้นสิบห้าค่ำแล้วนะ เจ้าเคยบอกว่าเมื่อถึงวันขึ้นสิห้าค่ำพระจันทร์จะกลับมาเต็มดวง แต่เจ้ากับข้า… ” กล่าวมาถึงตรงนี้ก็นิ่งไป หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็ยัดตะเกียบคู่หนึ่งใส่มือของร่างนั้น “ซีจิ่ว…”


เขาเรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วๆ “อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นของที่เจ้าเคยโปรดปรานทั้งสิ้น…ลองสิว่ายามนี้ยังชอบอยู่หรือไม่?”


ร่างนั้นย่อมไม่สามารถกินอาหารได้ เพียงแต่ตี้ฝูอีก็ไม่ได้ขยับตะเกียบเช่นกัน


กลับเป็นกู้ซีจิ่วที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อเห็นอาหารโต๊ะนี้เข้า จู่ๆ ก็รู้สึกหิวขึ้นมา!


ระยะนี้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเธอใกล้จะเหมือนในอดีตขึ้นเรื่อยๆ แล้ว แต่เพิ่งมีความรู้สึกหิวโหยเป็นครั้งแรก!


อาหารบนโต๊ะคือกุ้งมังกรอบน้ำมัน ปลาบั้งหางกระรอกที่เธอชอบที่สุด เธอลอยลงมาอย่างอดใจไม่ไหว อยากจะคว้าตะเกียบบนโต๊ะขึ้นมา ทว่าจนปัญญาที่หามือของตนไม่พบ


ทำได้เพียงเขยิบเข้าไปสูดดมกลิ่น ปลอบประโลมความตะกละที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมา…


นึกไม่ถึงว่ายิ่งดมท้องก็ยิ่งหิวขึ้นเรื่อยๆ เธอมอดูทั้งสองฝั่ง ไม่มีใครเห็นเธอเลย


เธอตัดสินใจในฉับพลัน ก้มตัวลงไปกัดทันที…


เธอพยายามอยู่พักหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะกัดโดนเนื้อกุ้งนิดหน่อยแล้ว!


เอ๊ะ เธอกัดของจริงเข้าแล้วเหรอ?!


กู้ซีจิ่วอุตสาหะต่อไป เข้าไปกัดกุ้งทั้งตัว…


กุ้งในจานที่ถูกเธอกัดพลันลื่นไถล จากนั้นก็ไถลออกจากจานแล้วหล่นลงบนโต๊ะ


กู้ซีจิ่วไม่กินที่สิ่งที่ตกไปแล้ว ดังนั้นถึงแม้กุ้งตัวนั้นจะอวบเด้งมากพอ กู้ซีจิ่วก็ยังคงปล่อยไป หันไปโจมตีกุ้งตัวที่สอง…


หนนี้เธอรีดเค้นเรี่ยวแรงที่บ่มเพาะมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาออกมา ในที่สุดก็คาบกุ้งตัวนั้นออกจากจานได้สำเร็จ…


‘เพล้ง!’ มีเสียงจอกสุราร่วงลงพื้นแว่วขึ้นมา ทำให้กู้ซีจิ่วสะดุ้งโหยง! จากนั้นกุ้งตัวนั้นย่อมลื่นหลุดออกจากปากเธอ หล่นกลับไปในจาน


เธอเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ สบเข้ากับสายตาตกตะลึงของตี้ฝูอี!


เธอตัวแข็งทื่อไปแวบหนึ่ง ยืดกายขึ้นอย่างอิหลักอิเหลื่อ ออกห่างจากโต๊ะตัวนั้น เอ่ยถามว่า “ท่านเห็นข้าหรือ?”


สายตาของตี้ฝูอีไม่ได้หันเทตามร่างเธอ สายตาของเขาร่อนลงบนกุ้งมังกรที่หล่นกลับสู่จานตัวนั้น


ตะลึงงันอยู่นานสองนาน เขาถึงยื่นตะเกียบไปคีบกุ้งตัวนั้นขึ้นมา ปลายนิ้วเขาแข็งทื่อเล็กน้อย ค่อยๆ นำกุ้งตัวนั้นมาจ่อที่ปลายจมูก คล้ายว่าจะสุดดมหากลิ่นอายบนนั้น


กู้ซีจิ่วมองเขาอย่างตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่รู้ว่าบนนั้นจะมีน้ำลายผีเหลืออยู่หรือเปล่า…


บทที่ 1740 เมื่อครู่ผู้ที่ขโมยกินกุ้งคือเจ้าหรือ?”


“ซีจิ่ว เป็นเจ้าใช่ไหม?” ตี้ฝูอีลุกพรวดขึ้นมา กวาดตามองไปรอบๆ “เจ้าอยู่ที่นี่ใช่หรือเปล่า?”


ลมราตรีเย็นฉ่ำหนาวยะเยือก ไม่มีผู้ใดขานตอบเขา


เขายังคงมองไม่เห็นเธออยู่ดี…


กู้ซีจิ่วมองเขาอยู่ด้านข้าง ในใจมีรสชาติที่ไม่อาจบรรยายได้


เธอก็ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ขานรับเขาแล้ว ทว่าเขามองไม่เห็นไม่ได้ยินเลย


มองเห็นเขากวาดตามองรอบข้างอย่างฉงนสนเท่ห์ กู้ซีจิ่วรู้สึกเพียงว่าในใจคล้ายมีกรงเล็บข้างหนึ่งตะปบขยุ้ม เจ็บปวดเล็กน้อย


อันที่จริงหลายวันมานี้เธอก็ทดลองกลับเข้าร่างสู่ร่างนั้นดูอยู่หลายครั้ง ผลคือล้วนถูกดีดสะท้อนกลับมา เทอกลับเข้าร่างไม่ได้เลย


และเธอก็เคยวนเวียนป้วนเปี้ยนรอบตัวเขา ถึงขั้นที่เคยเป่าลมใส่หูเขาแล้ว ก็ไม่เป็นผลเช่นกัน


เธอมองเห็นเขา สัมผัสถึงเขาได้ ทราบทุกความเคลื่อนไหวของเขา ทว่าเขากลับไม่รู้เลยว่าเธออยู่ข้างกาย…


“ซีจิ่ว?” เขาจ้องมองจานใบนั้น จรดนิ้วร่ายอาคมอย่างว่องไว


กู้ซีจิ่วรู้จัก ทราบว่าสิ่งที่เขาร่ายอยู่คืออาคมคว้าวิญญาณ เคยใช้ร้อยครั้งได้ผลร้อยครั้ง


ยามนี้เขาคว้ากุมวิญญาณดวงหนึ่งได้จริงๆ เป็นวิญญาณลูกแมวตัวหนึ่ง ดวงวิญญาณนั้นค่อนข้างตื่นตระหนก ดิ้นรนอยู่ในมือเขา


ดวงตาของวตี้ฝูอีซ่อนเร้นแววตาผิดหวังเอาไว้ไม่มิด “เมื่อครู่ผู้ที่ขโมยกินกุ้งคือเจ้าหรือ?”


วิญญาณแมวตัวนั้นมองเขาด้วยสีหน้างุนงง สั่นระริกอยู่ในฝ่ามือเขา


ตี้ฝูอีจึงปล่อยวิญญาณแมวตัวนั้นไปเสีย นั่งลงบนเก้าอี้อย่างห่อเหี่ยว มองอาหารทั้งโต๊ะนั้นอย่างทึ่มทื่ออยู่พักหนึ่ง ยิ้มขื่นๆ “ข้าคิดมากไปแล้ว นางถูกข้าทำร้ายอย่างทารุณถึงเพียงนั้น นางคงไม่ต้องกานคนอย่างข้าแล้ว แล้วจะปรารถนาสำรับอาหารฝีมือข้าได้อย่างไรเล่า? ซ้ำข้ายังทำได้ไม่อร่อยด้วย…”


กู้ซีจิ่วนิ่งงัน


นัยน์ตาเธอค่อนข้างแสบเคืองอีกแล้ว นั่งลงตรงข้ามเขามองเขาที่เหม่อลอยอยู่เสียเลย


กู้ซีจิ่วมากความสามารถ บนโลกนี้มีสิ่งที่เขาทำไม่ได้อยู่น้อยยิ่งนัก อีกทั้งไม่ว่าเขาจะทำอะไรล้วนทุ่มเททำให้ดีที่สุดทั้งสิ้น มีเพียงงานครัวเท่านั้นที่เขาไม่มีพรสวรรค์อย่างยิ่ง ตั้งอกตั้งใจทำอาหารแค่ไหนรสชาติก็ออกมาพื้นๆ เหมือนกันหมด


ช่วงที่กู้ซีจิ่วอยู่กับเขา มักจะล้อเลียนเขานำข้อนี้มาลดทอนความเทพของเขาอยู่เสมอ เลี่ยงไม่ให้เขาอยู่สูงส่งเหนือปวงชนตลอดเวลา


ยามนั้นเขาไม่ยอมทำกับข้าวง่ายๆ นานๆ ครั้งถึงจะทำเพื่อปลอบเธอสักหน แต่ก็ทำแค่สามสี่อย่างเท่านั้น


สามีภรรยาอยู่ด้วยกันมาแปดปีเป็นไปไม่ได้ที่จะรักกันหวานซึ้งไม่ทะเลาะเบาะแว้งเลย เธอก็มีช่วงที่ทะเลาะกับเขาเหมือนกัน จากนั้นก็หมางเมินเขาไป


เขาใช้ลูกไม้สารพัดเพื่อง้อ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ง้อไม่สำเร็จ เขาถึงจะทำอาหารโต๊ะใหญ่เพื่อให้เธอมีความสุข


ในสถานการณ์ปกติ ได้เห็นเขาสิ้นเปลืองแรงใจทำอาหารโต๊ะใหญ่ให้อย่างจริงใจ เธอก็จะไม่ถือสาหาความเขาอีก


แน่นอนว่าความจริงแล้วตี้ฝูอีเป็นคนที่เย่อหยิ่งนัก ถ้าเป็นทักษะที่เขาไม่ชำนาญจริงๆ เขาจะรู้จักเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิดนัก แต่งงานอยู่กินกันแปดปีจำนวนครั้งที่ทำอาหารให้เธอนับนิ้วดูได้เลย


ยามนี้ทั้งโต๊ะนี้มีอยู่ถึงสิบหกจานเต็มๆ ต่อให้ตอนมีชีวิตอยู่เธอจะเป็นจอมตะกละก็คงกินเข้าไปไม่หมด


เรื่องราวในอดีตดั่งเมฆหมอก เธอนึกว่ามันสลายไปแล้ว ความจริงแล้วกลับยังพัวพันอยู่รอบตัวเธอ แวบผ่านเข้ามาในหัวใจบ้างเป็นครั้งคราว


อันที่จริงกู้ซีจิ่วก็ไม่ทราบเช่นกันว่ายามนี้สรุปแล้วตนคือสิ่งใดกันแน่ ดูคล้ายว่าจะไม่ใช่วิญญาณ มิเช่นนั้นก็เป็นไม่ได้ที่ตี้ฝูอีจะมองไม่เห็น


แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์จริงๆ เช่นกัน เพราะเธอเองก็มองไม่เห็นร่างกายของตน เพียงยังมีประสาทสัมผัสทั้งห้าสมบูรณ์พร้อม


ลมรัตติกาลเยียบเย็น ตี้ฝูอีนั่งอยู่หน้าโต๊ะเพียงลำพัง เขาไม่ได้กินอาหาร แต่ดื่มสุราไปไม่น้อยเลย จอกแล้วจอกเล่า ราวมกับกำลังอาศัยสุราย้อมใจ


ไม่ทราบเขาหยิบเอาขลุ่ยเลาหนึ่งออกมาจากไหน ค่อนๆ เป่าบรรเลงขึ้นมา เพลงขลุ่ยของเขาบรรเลงได้ยอมเยี่ยมยิ่งนักอย่างไร้ข้อกังขา ทุกบทเพลงที่บรรเลงออกมาล้วนเป็นเสียงสวรรค์ และส่วนใหญ่แล้วทุกเพลงล้วนเป็นบทเพลงที่กู้ซีจิ่วเคยร้องต่อหน้าเขาทั้งสิ้น


ช่วงเวลาแปดปี เธอขับขานบทเพลงต่อหน้าเขาไปกว่าร้อยเพลงแล้วกระมัง?


——————————————————————-


บทที่ 1741 วาจานี้ของมู่เฟิงหมายความว่าอย่างไร?!


เขาบรรเลงไปทีละเพลงๆ ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็ดึกดื่นยิ่งนักแล้ว


ก่อนตายกู้ซีจิ่วก็ชมชอบฟังเขาบรรเลงเพลงขลุ่ย ยามนี้ก็เต็มใจฟังเช่นกัน แต่เมื่อเห็นเขาดื่มไปเป่าไปอยู่ไม่หยุด กลับเริ่มปวดใจขึ้นมาแล้ว…


“ไม่ต้องแล้ว!”


“หยุดเป่าเถอะ! ท่านควรไปพักผ่อนได้แล้ว!”


“ตี้ฝูอี ท่านไม่ได้พักผ่อนมาหลายแล้วนะ…!”


เธอลองพูดคุยกับเขาดู คิดจะหยุดยั้งเขา


จนปัญญาที่อีกฝ่ายไม่ได้ยินและมองไม่เห็นเธอเลย สายลมพัดมุมชุดของเขาให้ปลิวไสว เกิดเสียงดังสวบสาบ


“นายท่าน!” ไม่รู้ว่ามู่เฟิงโผล่ออกมาจากไหน ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าตี้ฝูอีโดยตรง


เขามองดูตี้ฝูอีบรรเลงขลุ่ย แล้วมองดู ‘สังขาร’ ที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ เผยอปากเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอย่างอดไว้ไม่อยู่ “นายท่าน ท่านฝืนเช่นนี้ต่อไปไม่ได้นะขอรับ ไปพักพ่อนก่อนเถอะขอรับ…วันพรุ่งยังต้องไปสวดภาวนาให้แม่นางกู้อีก…”


ตี้ฝูอีไม่สนใจเขา เพียงโบกมือเล็กน้อย ให้เขาไปเสีย


มู่เฟิงตาแดงแล้ว ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างดึงดัน “นายท่าน ร่างกายของท่านฝืนทนต่อไปไม่ไหวแล้วนะขอรับ! เดิมที…เดิมทีก็เหลือเวลาอยู่ไม่เท่าไหร่แล้ว ท่านอย่าได้บั่นทอนต่ออีกเลบขอรับ…หากว่าแม่นางกู้รับรู้ได้ นางก็คงทนเห็นท่านเป็นเช่นนี้ไม่แน่นอน…”


“เปิ่นจุนรู้ตัวดี ออกไปซะ” ตี้ฝูอีใช้วิธีพูดโดยไม่ขยับปาก เสียงขลุ่ยจึงยังคงดำเนินต่อไป


มู่เฟิงยืนตรงแน่วอยู่ตรงนั้นเสมือนไป๋หยางต้นน้อย “นายท่าน หากท่านไม่ยอมพักผ่อน ข้าน้อยก็จะไม่จากไปขอรับ!”


ใบหน้าหล่อเหลาของตี้ฝูอีดำดิ่งลงเล็กน้อย เสียงขลุ่ยเพี้ยนไปจังหวะหนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้นมาสั้นๆ “ไสหัวไป!”


อำนาจของเขากล้าแกร่งเกินไป มู่เฟิงยังคงไม่กล้าขัดขืนเขามากเกินไป ดวงตาแดงก่ำ สุดท้ายยังคงยอมจากไป


เพียงแต่เขาไม่ได้ไปไหนไกลเลย เหินขึ้นไปอยู่บนชายคาในละแวกนั้น ยืนคุ้มกันอยู่ตรงนั้น


เขาที่อยู่ในความมืดคล้ายเงาที่ดื้อรันเงาหนึ่ง ไม่ยินยอมจากไปอีก


กู้ซีจิ่วยืนทึ่มทื่ออยู่ตรงนั้น รู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่!


อะ…อะไรที่บอกว่าเหลือเวลาอยู่ไม่เท่าไหร่แล้ว? วาจานี้ของมู่เฟิงหมายความว่าอย่างไร?!


เธออดไม่ได้ที่จะมองไปทางตี้ฝูอี ภายใต้แสงเดือนดวงหน้าเขาขาวเผือดปานเครื่องลายครามหยก มองดูเช่นนี้แล้วไม่เห็นความผิดปกติอื่นใดเลย


เธอตัดใจในทันใด ลอยไปอยู่เบื้องหน้ามู่เฟิง คิดจะลองดูว่าจะสื่อสารกับเขาได้หรือไม่ แต่พอไปถึงเบื้องหน้ามู่เฟิงเธอถึงได้พบว่า มู่เฟิงร้องไห้อยู่! ร้องไห้อย่างไร้สุ้มเสียง! ชายฉกรรจ์คนหนึ่งร้องไห้จนน้ำตาเปรอะทั่วหน้า ปีกจมูกสั่นกระเพื่อม น้ำตาหลั่งไหลออกมาตามขนตาดั่งลำธารสายน้อย ไหลไปรวมตัวกันที่ปลายคางแล้วหยดติ๋งๆ ลงไป ทว่าไม่ได้เปล่งเสียงออกมาเลยสักแอะ


เกิดอะไรขึ้น? สรุปแล้วนี่มันเรื่องอะไรกันแน่?!


จู่ๆ ความรู้สึกหวาดหวั่นไม่มั่นคงมหาศาลก็พุ่งทะยานขึ้นมาในของกู้ซีจิ่ว


เธอลองพูดคุยกับมู่เฟิงดู “มู่เฟิง ที่เจ้าบอกว่า ‘เหลือเวลาไม่เท่าไหร่แล้ว’ คืออะไร…หมายความว่ายังไง? เขา…เป้กำหนดเวลาที่เขาต้องสวดภาวนาให้เข้าใช่ไหม?” เธอพยายามคาดเดาไปในทิศทางที่ดี


มู่เฟิงย่อมไม่ตอบอะไรเธอ


ถึงอย่างไรกู้ซีจิ่วก็เป็นคนฉลาด สัมผัสที่หกเฉียบไว นำเรื่องราวหน้าหลังมาประติดปะต่อกันใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หัวใจของเธอกระสับกระส่ายยิ่งกว่าเดิมแล้ว!


เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าไม่มีร่างกาย ทว่าเธอกลับรับรู้ถึงหัวใจที่กระสับกระส่ายจนแทบจะกระเด้งขึ้นมาถึงลำคอของตนได้!


ไม่น่า ตนต้องคิดมากไปแน่ๆ!


คนอย่างตี้ฝูอีเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย เป็นไปไม่ได้ที่เขามีจะเหตุไม่คาดฝันอันใด…


กู้ซีจิ่วเคยคิดเรื่องของตี้ฝูอีมากมายนักเรื่องเดียวที่ไม่เคยนึกถึงคือเขาจะสิ้นชีพ ยามนี้เมื่อครุ่นคิดไปในทิศทางนี้ขึ้นมา เธอก็ชะงักไปตามสัญชาตญาณ!


ตะลึงงันอยู่ที่เดิมเนิ่นนานนัก เธออยากจะคว้าตัวใครสักคนมาสอบถามต้นสายปลายเหตุ ชี้แจงแถลงไขแก่เธอ แต่ว่ายังคงไม่มีใครมองเห็นเธอเลย!


เธอนึกถึงหยกนภาขึ้นมาอีกครั้ง ลอยลงไปหาทันที!


เธอต้องลองดูว่าจะสื่อสารกับหยกนภาอีกครั้งได้หรือไม่ ถึงอย่างไรเธอก็เป็นเจ้านายของมัน…


บทที่ 1742 ซีจิ่ว เป็นเจ้าใช่ไหม?


หยกนภาหยิ่งผยองนัก หลังจากกู้ซีจิ่วสิ้นชีพไป มันก็ไม่ยอมรั้งอยู่กับสังขารนั้นอีก ยามนี้กำลังนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะเปล่งแสงกะพริบน้อยๆ คล้ายว่ากำลังเข้าจังหวะกับเสียงขลุ่ยของตี้ฝูอีอยู่


กู้ซีจิ่วลอยไปอยู่ตรงหน้ามัน ลองสื่อสารกับมันดู ผลคือเจ้านี่ไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด


กู้ซีจิ่ววนเวียนรอบตัวมันอยู่กว่าสิบรอบ ใช้สารพัดวิธีแล้ว ผลคือไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น


กู้ซีจิ่วแทบอยากเตะมันลงจากโต๊ะแล้ว! ไหนบอกว่าสามารถสื่อสารกับเธออย่างไร้ข้อจำกัดได้ตลอดเวลาไง ผลคือในช่วงเวลาคับขันกลับไม่มีประโยชน์เลย กระแสจิตตอบสนองสักนิดก็ไม่มีเลย!


เพียงน่าดายที่เธอหาเท้าของตนไม่พบ มิเช่นนั้นคงประเคนฝ่าเท้าใส่จริงๆ…


เอ๊ะ ไม่ถูกสิ ถึงเธอจะสัมผัสถึงเท้าของตัวเองไม่ได้ แต่ดูเหมือนเธอจะใช้ปากได้นี่นา! เมื่อกี้ก็คาบกุ้งขึ้นมาได้สำเร็จ!


หากเป็นเมื่อก่อน กู้ซีจิ่วไม่มีทางใช้ปากไปแตะต้องแนบชิดกับหยกนภาเด็ดขาด แต่วันนี้เธอไม่สนแล้ว!


เธอก้มตัวลง พยายามเข้าไปงับหยกนภาอย่างสุดกำลัง…


ขั้นตอนนี้สำหรับเธอแล้วเป็นเรื่องยากลำบากยากจะเอ่ยโดยแท้ เมื่อกี้ตอนคาบกุ้งตัวนั้นล้วนเสียเวลาไปเนิ่นนาน ตอนนี้ต้องคาบหยกนภาที่ทั้งใหญ่และหนักกว่ากุ้งตัวนั้นถึงสิบกว่าเท่า เปรียบเสมือนมดจะคาบช้าง ลำบากยากเข็ญอย่างยิ่ง…


อย่าว่าแต่เธอจะคาบมันขึ้นมาเลย แค่จะผลักมันให้ขยับสักนิดก็ยากเย็นอย่างไร้ใดเทียมแล้ว


หยกนภาที่เดิมทีเปล่งแสงกะพริบเข้าจังหวะดนตรีอยู่ จู่ๆ คล้ายว่ามันจะสัมผัสถึงอะไรได้ หยุดเปล่งแสงแล้ว! กระเด้งตัวขึ้นมาบนโต๊ะทันที คล้ายว่าจะหันรีหันขวางอยู่


ผู้ใดเป่าลมใส่มันกัน?!


มารดามันเถอะ ผู้ใดกำลังเป่าลมมาทางข้า?!


ผีหลอกแล้ว!


หยกนภาดีดตัวลงมาจากโต๊ะ ลอยไปอยู่บนข้อมือของตี้ฝูอีอย่างรวดเร็ว ไปหาท่านเทพใหญ่เพื่อให้เป็นที่พึ่ง


อันที่จริงมันไม่ได้กลัวผี เนื่องจากปกติแล้วมันก็สามารถมองเห็นผีได้เช่นกัน แต่ครั้งนี้มันมองไม่เห็นสิ่งใดเลย เพียงสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างกำลังเป่าลมเย็นยะเยือกใส่มันอยู่ ถึงขึ้นเกิดความรู้สึกหลอนอย่างหนึ่งว่าอีกฝ่ายกำลังกัดมันอยู่ด้วย…


สิ่งที่มองไม่เห็นสิถึงจะน่ากลัว หยกนภาเพียงรู้สึกว่าอนุภาคหยกในกายมันล้วนลุกชันขึ้นมาหมดแล้ว ดังนั้นมันจึงตกใจเผ่นหนีอย่างเสียเส้นยิ่งนัก


กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย


เจ้าเสี่ยวชางที่น่าตาย!


ตี้ฝูอีถูกหยกนภาขัดจังหวะ จึงเป่าเพี้ยนไป เขาขมวดคิ้วแล้ว “เป็นอะไร?”


หยกนภาตัวสั่นอยู่บนข้อมือเขา ‘ม…มีผี! มีบางอย่างเป่าลมใส่ข้า จะกัดข้า…’


ตี้ฝูอีเงียบไป


เขาก็รู้สึกเช่นกันว่าคืนนี้ค่อนข้างผิดปกติ หัวใจพลันเต้นแรงแวบหนึ่ง มองไปรอบข้าง “ซีจิ่ว เป็นเจ้าใช่ไหม?”


“เป็นข้า เป็นข้าเอง…” กู้ซีจิ่วตอบ จนปัญญาที่ผู้อื่นเห็นเธอเป็นธาตุอากาศ


ตี้ฝูอีร่ายคาถาอีกครั้ง คิดว่าต้องได้ผลแน่ ทว่ายังคงไม่พบอะไรเช่นเดิม


กู้ซีจิ่วเซื่องซึมอยู่ที่ด้านหนึ่ง ค่อนข้างสิ้นหวังแล้ว จ้องมองหยกนภา อยากจะดึงเจ้านี่มาทุบเป็นเสี่ยงๆ ซะ! ในช่วงเวลาคับขันเจ้านี่กลับพึ่งพาไม่ได้เลย!


หยกนภารู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ด้วยเหตุนี้จึงรัดข้อมือของตี้ฝูอีแน่นขึ้นไปอีก เอ่ยงึมงำ ‘ทำไมข้าถึงรู้สึกว่ามีบางสิ่งจ้องข้าตาเป็นมันอยู่ อยากจะกินข้าเข้าไป…’


ตี้ฝูอีนั่งอยู่ตรงนั้น สายตาร่อนลงบนจาน กุ้งมังกรยังอยู่ในจาน แต่ว่าเย็นชืดไปแล้ว


เขาเอ่ยเสียงทุ้มลึก “ซีจิ่ว ก่อนหน้านี้คือเจ้าใช่ไหม? หากว่าเป็นเจ้า ขยับกุ้งตัวนี้อีกครั้งได้หรือไม่? หากว่าเจ้าอยู่ ก็ขยับเนื้อกุ้งชิ้นนี้นะ” เขายื่นมือไปแกะเนื้อกุ้งชิ้นเล็กๆ ออกมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็วางไว้ด้านบนสุด ซ้ำยังอุ่นเนื้อกุ้งชิ้นนั้นให้ร้อนกรุ่นขึ้นมาอีกครั้งด้วย


กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง เธอคาบกุ้งชิ้นนั้นได้!


เพียงแต่ เธอต้องใช้ปากคาบ


การเคลื่อนไหวเช่นนี้ดั่งลูกหมาไม่มีผิด เธอรู้สึกว่าทำลายภาพลักษณ์ของตนยิ่งนัก


——————————————————————


บทที่ 1743 ซีจิ่ว เจ้าปรากฏตัวไม่ได้ใช่ไหม?


เธอมองดูตี้ฝูอีในใจโมโหอยู่บ้าง เจ้าคนผู้นี้ชอบแกล้งหยอกเธอเสมอมา ยามนี้ยังคิดจะแกล้งเธออยู่หรือ? เธอไม่ทำหรอก!


อีกอย่างต่อให้เธอยืนยันถึงการมีอยู่ของตนต่อหน้าเขาได้แล้วยังไงต่อล่ะ? เขาก็มองไม่เห็นเธอ สัมผัสถึงเธอไม่ได้…ยิ่งกว่านั้นคือคุยกับเธอไม่ได้ด้วย…


อันที่จริงเธอก็อยากรู้ความจริงอยู่นะ


เธอค่อนข้างละล้าละลังไปชั่วขณะ


ตี้ฝูอีจ้องมองเนื้อกุ้งชิ้นนั้นอยู่ตลอด เขาถึงขั้นที่ลอบร่ายอาคมเพื่อป้องกันไม่ให้สายลมรอบๆ มาพัดให้เคลื่อนไหว


แต่เนื้อกุ้งชิ้นนั้นก็ยังคงแน่นิ่งเดียวดายอยู่ตรงนั้น…


ตี้ฝูอีรออยู่ครู่หนึ่ง ในดวงตาค่อยๆ ฉายแววผิดหวังขึ้นมา ถอนหายใจต่ำๆ คราหนึ่ง “ยังคงเป็นข้า…ที่คิดมากไป…”


สีหน้าของเขาหม่นหมองเหลือเกิน กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าหัวใจปวดแปลบขึ้นมา!


ตัดสินใจในทันใด สุดท้ายก็ลอยเข้าไป พยายามคาบเนื้อกุ้งชิ้นนั้นอีกครั้ง…


เนื้อกุ้งเล็กกว่ากุ้งทั้งตัวมากนัก ซ้ำตี้ฝูอียังผ่าครึ่งอีกด้วย หนึ่งชิ้นยังใหญ่ไม่เท่าท้องนิ้วเลยด้วยซ้ำ


ทว่าเธอมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว พยายามเช่นนี้อยู่ประมาณชั่วระยะครึ่งถ้วยชา ในที่สุดเธอก็คาบเนื้อกุ้งชิ้นนั้นขึ้นมาได้…


ตี้ฝูอีแข็งทื่อไปทั้งตัวแล้ว!


เขามองเนื้อกุ้งเล็กๆ ที่ลอยขึ้นมากลางอากาศชิ้นนั้น เสียงสั่นเล็กน้อย “ซีจิ่ว!”


เขายื่นมือข้างหนึ่งออกไป แตะเนื้อกุ้งชิ้นนั้นเบาๆ “ซีจิ่ว เจ้าอยู่จริงๆ ด้วย! ทำไมข้าถึงมองไม่เห็นเจ้าล่ะ?”


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าปากชาไปหมดแล้ว เกิดเสียงผลุ่บคราหนึ่ง เนื้อกุ้งชิ้นนั้นหลุดออกมาจากเธอ หล่นลงกลางฝ่ามือของตี้ฝูอี


เธอมองเขา มองเห็นระลอกไอหมอกภายในดวงตาของเขา หัวใจปวดแปลบขึ้นมาอีกหน!


เขาประคองเนื้อกุ้งชิ้นนั้นไว้ ราวกับประคองเพชรที่ล้ำค่าที่สุดบนโลกใบนี้ไว้ “ซีจิ่ว เจ้าอยู่บนฝ่ามือของข้างั้นหรือ?”


กู้ซีจิ่วส่ายหน้า เธอไม่ใช่เนื้อกุ้งซะหน่อย!


หยกนภาก็ตกตะลึงเช่นกัน!


ลอยออกมาจากข้อมือของตี้ฝูอี วนรอบเนื้อกุ้งชิ้นนั้น ‘เจ้านาย ใช่ท่านจริงๆ หรือ? เมื่อกี้ท่านคิดจะงับข้าใช่ไหม? ไอ่หยา อันที่จริงท่านใช้มือจับข้าก็ได้นี่นา ไม่จำเป็นต้องงับเลย…’


กู้ซีจิ่วไม่คิดจะแยแสเจ้านี่ หากว่าเธอสามารถใช้มือได้จะใช้ปากคาบทำไมกันเล่า!


ตี้ฝูอีสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “ซีจิ่ว เจ้าปรากฏตัวไม่ได้ใช่ไหม?”


ใช่แล้ว!


กู้ซีจิ่วกลัดกลุ้ม


ตอนมีชีวิตอยู่เธอสะบัดมือส่งๆ ทีหนึ่งก็สามารถเคลื่อนย้ายภูเขาเล็กๆ สักลูกได้แล้ว ตอนนี้เธอคาบเนื้อกุ้งทีก็เหมือนย้ายภูเขาที เหนื่อยเหลือเกิน


ตี้ฝูอีคล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ยกมือโบกผ่านสังขารนั้นเบาๆ คราหนึ่ง เหมือนจะคลายอาคมบางอย่าง เอ่ยเสียงต่ำว่า “ซีจิ่ว เจ้ากลับเข้าร่างตนก่อนเถิด”


กู้ซีจิ่วก็ไม่อยากสื่อสารกับเขาในสภาพเช่นนี้เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้เธอจึงโอบอุ้มความหวังเสี้ยวหนึ่งพุ่งเข้าสู่ร่างนั้นอีกครั้ง…


ตี้ฝูอีคลายอาคมที่ปกปักษ์ร่างนั้นอยู่ออกแล้ว เธอน่าจะกลับไปได้แล้วกระมัง?


แต่ผลลัพธ์ทำให้เธอผิดหวังยิ่งนัก เธอทะลุผ่านร่างนั้นไปโดยตรง รั้งอยู่ไม่ได้เลย


ตี้ฝูอีกลั้นหายใจมองร่างนั้นอยู่ตลอด ผลคือเขารออยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นสัญญาณว่ามันจะฟื้นคืนชีพเลยสักนิด


หยกนภาฉงนแล้ว ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านว่าจะมีสัมภเวสีผีเร่ร่อนอันใดมาล่อหลอกอยู่ที่นี่หรือเปล่า? เจ้านายของข้ามีฝีมือสูงส่งถึงเพียงนั้น หากว่านางกลายเป็นผีจริง เช่นนั้นก็ต้องเป็นผีที่เก้งกล้าที่สุดสิ ประเภทที่สามารถเคลื่อนผาย้ายศิลาได้ แต่เจ้าตัวในยามนี้เพียงคาบเนื้อกุ้งเล็กน้อย ยังต้องใช้ความพยายามมากถึงเพียงนี้เลย’


ตี้ฝูอีตอบด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ที่นี่ไม่มีสัมภเวสี!” ถ้ามีจริงเขาก็ต้องเห็น และไม่มีสัมภเวสีตนใดกล้าสวมรอยเป็นกู้ซีจิ่วต่อหน้าเขาด้วย…


เขานั่งใคร่ครวญอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็อุ้มสังขารนั้นขึ้นมา “ซีจิ่ว หากว่าเจ้ายังอยู่ ก็ตามข้ามานะ ข้าจะพาเจ้าไปกินอาหาร เจ้าหิวแล้วใช่ไหม?”


กู้ซีจิ่วย่อมหิวแน่นอน มิเช่นนี้ก่อนหน้านี้คงไม่ไปคาบกุ้งชิ้นนั้นหรอก เพียงแต่เธอไม่รู้ว่าควรเติมเต็มกระเพาะที่หิวโหยอย่างไร อาหารเลิศรสทั้งโต๊ะนี้เธอไม่อาจลิ้มชิมได้เลย


บทที่ 1744 เธอไม่สามารถสื่อสารได้!


เมื่อครู่ใช้แรงมากเกินไป เธอไม่เพียงแต่หิวโหยเท่านั้นยังเหนื่อยล้าอีกด้วย ยามนี้กำลังล่องลอยพักผ่อนอยู่ตรงนั้น


ตี้ฝูอีเป็นคนพูดจริงทำจริง เมื่อเขากล่าวว่าจะไป คนก็อุ้มร่างนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยเลย


….


ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็รู้แล้วว่าทำไมตนถึงติดตามตี้ฝูอีได้ตลอดเวลา เนื่องจากดูเหมือนว่าเธอจะติดตามไปกับสังขารนั้น ตี้ฝูอีอุ้มสังขารนั้นไปที่ไหน เธอก็จะตามไปที่นั่นด้วย


สถานที่ที่ตี้ฝูอีพาเธอไปมิใช่ภัตตาคารร้านอาหารอันใด แต่เป็นศาลทูตสวรรค์กู้


ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว ศาลทูตสวรรค์ย่อมไม่มีผู้มาสักการะแล้ว มีเพียงนักพรตน้อยคนหนึ่งคอยเฝ้าดูธูปอยู่ที่นั่น


ธูปที่ใช้จุดของที่นี่เป็นธูปหอมไม้กฤษณา ควันธูปลอยม้วนอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ


ในที่สุดท้องของกู้ซีจิ่วก็ไม่หิวโหยแล้ว! ธูปนั้นคล้ายว่าจะเป็นอาหารสำหรับเธอ หลังจากเธอสูดดมอยู่พักหนึ่ง ก็รู้สึกสบายขึ้นไม่น้อยเลย


ตี้ฝูอีอุ้มสังขารนั้นนั่งอยู่บนคาน ตำแหน่งนั้นเป็นจุดที่สามารถสูดดมไอธูปได้อย่างยอดเยี่ยมพอดี…


“ซีจิ่ว อยู่ที่นี่สบายขึ้นมากเลยใช่ไหม?” ตี้ฝูอีกระซิบ


“ใช่แล้ว” กู้ซีจิ่วก็รู้สึกว่าที่นี่สบายที่สุดเช่นกัน ก่อนหน้านี้เธอเหนื่อยล้าเกินไป ยามนี้จึงง่วงงุนอยู่บ้าง แต่เธอไม่กล้าหลับ ด้วยเกรงว่าถ้าหลับไปแล้วจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก


เธอจึงลอยอยู่ตรงไหล่ของตี้ฝูอีเสียเลย มองตี้ฝูอีโอบกอดสังขารนั้นอย่างอ่อนโยน จู่ๆ เธอก็รู้สึกอิจฉาร่างกายนั้นของตนอยู่บ้าง…


ตี้ฝูอีเอนกายพิงเสาคานที่อยู่ด้านหลัง “ซีจิ่ว พวกเราก็พักผ่อนที่นี่กันเถอะ”


เขาบอกว่าจะพักผ่อน ทว่าไม่มีทีท่าว่าจะหลับตาเข้านอนเลย นิ้วมือเคลื่อนไหวร่ายอาคมบางอย่างอยู่ตลอด


ถึงแม้สังขารที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาจะเป็นร่างเซียน แต่ถ้าไม่มีเขตแดนคอยปกป้องคุ้มกัน มันก็จะเน่าเปื่อยผุพังได้ง่ายๆ อีกทั้งเขาเกรงว่าจะเป็นการขัดขวางหนทางการกลับเข้าร่างของกู้ซีจิ่ว ดังนั้นหลังจากเขาคลายเขตแดนออกแล้ว ก็ลอบใช้อาคมคอยปกปักษ์ ทำให้มันเสมือนมีชีวิตอยู่ตลอดเวลา


กู้ซีจิ่วย่อมมองออกอาคมที่เขากำลังจรดนิ้วร่ายอยู่ออก ในใจขื่นขมฝาดเฝื่อน ในช่วงเวลานี้เธอลองพุ่งเข้าสู่ร่างร่างนั้นหลายครั้งแล้ว ยังคงไม่เป็นผลเช่นเดิม…


ตี้ฝูอีนั่งกอดสังขารนั้นนั่งอยู่บนคานห้องทั้งคืน คนที่อยู่ในอ้อมแขนเขายังคงแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว


แม้แต่หยกนภาก็สิ้นหวังขึ้นมาแล้วเช่นกัน ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ข้าคิดว่าอาจเป็นสิ่งอื่นที่มาคาบกุ้งชิ้นนั้น มิใช่เจ้านายของข้า มิเช่นนั้นต่อให้นางเป็นร่างวิญญาณก็ยังสามารถสื่อสารกับข้าได้’


กู้ซีจิ่วก็สิ้นหวังแล้วเช่นกัน เธอไม่สามารถสื่อสารได้!


ตี้ฝูอีไม่ได้พูดอะไร จวบจนถึงยามที่ขอบฟ้าทาบทาแสงอรุโณทัย เขาถึงอุ้มสังขารนั้นขึ้นมาแล้วกลับไปที่โรงเตี๊ยม จากนั้นก็โดยสารรถม้าแก้วผลึกเดินทางไปที่ศาลทูตสวรรค์กู้อีกแห่งหนึ่ง


แก้วผลึกมีสรรพคุณในการรวบรวมพลังงาน ยามที่กู้ซีจิ่วอยู่ในรถม้าแก้วผลึกจะไม่รู้สึกหิวโหยเลย


เธอติดตามตี้ฝูอีไปอีกสามวัน พบว่ารถม้าแก้วผลึกของตี้ฝูอีมีอยู่เจ็ดสี แต่ล่ะสีล้วนพิสุทธิ์ยิ่งนัก แถมพลังที่รวบรวมมาก็แตกต่างกันไปด้วย เธอรู้สึกว่าพละกำลังของตนเพิ่มขึ้นบางส่วนแล้ว


ถึงขั้นที่สามารถสัมผัส57’มือข้างหนึ่งของตนได้แล้ว…


ในรถม้าของตี้ฝูอีมีผลึกแก้วบริหารมืออยู่บางส่วน เธอพยายามหยิบอันที่เล็กที่สุดขึ้นมา ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกเธอผลักให้ขยับเล็กน้อยได้


หลายวันมานี้ตี้ฝูอีสังเกตความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของข้าวของรอบตัวอยู่เสมอ ย่อมมองเห็นการขยับเขยื้อนของแก้วผลึกบริหารมือชิ้นนั้น เขาพริ้มตาลงนิดๆ!


ถึงแม้เขาจะยังคงมองไม่เห็นนาง ทว่ากลับสัมผัสถึงการมีอยู่ของนางได้อย่างไร้ซึ่งเหตุผล!


“ซีจิ่ว ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงไม่กลับเข้าร่าง แต่ข้ารู้ว่าเจ้ายังอยู่!” เขายิ้มน้อยๆ มุมปากหยักยิ้มอ่อนโยน แววตาหม่นหมองเล็กน้อย


หลายวันมานี้กู้ซีจิ่วเคยชินกับการอยู่ร่วมกับเขาเช่นนี้ทั้งวันทั้งคืนแล้ว เธอติดนิสัยที่ต้องมองสีหน้าของเขาทุกวัน


ประโยคที่ว่าเหลือเวลาอยู่ไม่มากแล้วของมู่เฟิงดั่งเข็มเล่มหนึ่ง


——————————————————————


บทที่ 1745 พบพานสหายเก่า


ประโยคที่ว่าเหลือเวลาอยู่ไม่มากแล้วของมู่เฟิงดั่งเข็มเล่มหนึ่ง ทิ่มแทงลงบนหัวใจเธอ ทำให้เธอว้าวุ่น ร้อนใจอยากทราบความจริง จนปัญญาที่มู่เฟิงไม่สนทนาหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับตี้ฝูอีอีก และเธอก็มองออกอะไรจากสีหน้าของเขาไม่ออกเลย


ในเมื่อรถม้าแก้วผลึกกับศาลทูตสวรรค์กู้สามารถทำให้ตนฟื้นฟูได้เร็วขึ้น ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงพยายามอยู่ในสถานที่สองแห่งนี้ให้ได้มากที่สุด


ตี้ฝูอีพาเธอท่องไปทั่วแผ่นดิน ศาลบูชาทุกแห่งของเธอล้วนก่อสร้างขึ้นในตำแหน่งที่มีพลังวิญญาณสมบูรณ์ที่สุด แต่ละแห่งที่เธอไป ล้วนมีอาการดีขึ้นทั้งสิ้น เมื่อถึงวันห้า เธอก็สามารถบังคับสั่งการสองมือของตนได้แล้ว!


ถึงแม้เธอยังไม่สามารถหยิบจับอะไรได้ แต่สามารถสัมผัสถึงการคงอยู่ของพวกมันได้แล้ว!


วันนี้เมื่อมาถึงศาลบูชาอีกแห่งหนึ่ง ผลคือบังเอิญพบคนคุ้นเคยที่นี่


หลานไว่หูกับเยี่ยนเฉิน!


พวกเขาก็พากันมาจุดธูปที่ศาลบูชาแห่งนี้เช่นกัน


หลานไว่หูมองรูปสลักนั้นอย่างใจลอย ถอยหายใจแผ่วๆ คราหนึ่ง “เหมือนจริงๆ”


เยี่ยนเฉินยืนอยู่ข้างกายนาง ตอบอืมคำหนึ่ง


“พี่เยี่ยนเฉิน ท่านว่า ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สร้างศาลบูชาให้ซีจิ่วทำไมกัน?”


“เพื่ออำนวยพรให้นางกระมัง?” เยี่ยนเฉินจุดธูปดอกหนึ่งเองกับมือ ปักลงในกระถางธูป


“ข้าคิดถึงซีจิ่วแล้ว…น่าเสียดายที่ช่วงนี้นางอยู่กับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ตลอด ไม่ได้พบพวกเราเลยสักครั้ง หนนี้หากมิใช่เพราะมีนางอยู่ ข้าคงตายไปจริงๆ แล้ว…” ในใจของหลานไว่หูยังหวาดผวาอยู่


เยี่ยนเฉินตบมือนางเบาๆ ยื่นธูปดอกหนึ่งให้นาง “มาเถอะ เจ้าก็จุดธูปให้ซีจิ่วด้วยสิ”


หลานไว่หูรับธูปมาจุดอย่างเชื่อฟัง พนมมือแล้วเอ่ย “ซีจิ่ว ข้าถอนหมั้นกับหลานเยวี่ยแล้วนะ ข้าไม่นึกเลยว่าการถอนหมั้นนี้จะง่ายดายถึงเพียงนี้ หลังจากข้าฟื้นหลานเยวี่ยก็มาหาข้าด้วยตัวเอง…ข้ายังนึกอยู่เลยว่าเขามาเพื่อพาข้ากลับไปแต่งงาน ตกใจเหลือเกิน! ซ้ำพี่เยี่ยนเฉินยังแยกตัวออกไปกับเขาตามลำพังอีก…ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาวิ่งไปทะเลาะต่อยตีที่ไหนกันมา…ประหลาดนัก วรยุทธ์ของพี่เยี่ยนเฉินสูงส่งกว่าเขาชัดๆ ยังได้รับบาดเจ็บมาได้…เพียงแต่เขาก็ไม่ได้รับผลดีอันใดเช่นเดียวกัน พี่เยี่ยนเฉินซ้อมเขาจนจมูกช้ำหน้าปูดโน…พอเขากลับมาก็ถอนหมั้นข้าทันทีเลย…”


นางเอ่ยงึมงำราวกับจะเล่าเรื่องเหล่านี้ให้รูปสลักฟัง เยี่ยนเฉินถอนหายใจ “ไว่หู หลานเยวี่ยเขาเก็บงำประกายไว้ วรยุทธ์ของเขาก็สูงส่งมากเช่นกัน”


หลังจากเขาประมือกับหลานเยวี่ยอย่างจริงจังถึงได้ทราบว่า วรยุทธ์ของเจ้าคนผู้นี้สูงส่งอย่างน่าเหลือเชื่อ พลังวิญญาณน่าจะใกล้บรรลุขั้นสิบแล้ว….


ยามที่หลานเยวี่ยกับเขาแยกตัวออกมาตามลำพังได้เอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่า “ถ้าเจ้าเอาชนะข้าได้ ประมุขอย่างข้าก็จะถอนหมั้นกับนาง!”


ด้วยเหตุนี้ เยี่ยนเฉินจึงเอาจริงเอาจังขึ้นมา!


หลานเยวี่ยก็เอาจริงเช่นกัน ซัดเยี่ยนเฉินกระเด็นออกไปอยู่หลายครั้ง มีอยู่สองสามครั้งที่เกือบจะปลิดชีพเยี่ยนเฉินได้แล้ว แต่เยี่ยนเฉินไม่ยอมแพ้ พอถูกซัดจนลมลงไปทีหนึ่งก็จะยันกายลุกขึ้นมาอีกทีหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมถอดใจ


สุดท้ายหลานเยวี่ยก็หัวเราะฮ่าๆ คราหนึ่ง หลังจากถูกเยี่ยนเฉินชกไปสองหมัด ก็กระโจนถอยหลังไปแล้วกล่าวว่า “เอาเถอะ ดูเหมือนเจ้าจะรักนางอย่างแท้จริง! เจ้าชนะแล้ว ประมุขอย่างข้าพ่ายแพ้แล้ว!”


ยามนั้นเยี่ยนเฉินยังมึนงงอยู่ ย่อมทราบว่าอีกฝ่ายยอมถอยให้แล้ว


เขาจ้องหลานเยวี่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้ายอมถอนหมั้นกับนางหรือ?”


หลานเยวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แน่นอน! ข้าหลานเยวี่ยหาใช่ผู้ที่จะหาศรีภรรยามาแต่งด้วยมิได้เสียหน่อย เหตุใดต้องฝืนบังคับสตรีนางหนึ่งที่มีคนในใจอยู่แล้วด้วยเล่า?”


จากนั้นหลานเยวี่ยก็นำใบหน้าหล่อเหลาที่สองตาฟกช้ำปานหมีแพนด้าไปหาหลานไว่หูเพื่อถอนหมั้น ถอนตัวออกจากสัมพันธ์รักสามเส้านี้อย่างหมดจดสมบูรณ์


หลานไว่หูย่อมไม่ทราบถึงเส้นสนกลในทั้งหมด ในใจของนาง เยี่ยนเฉินยอดเยี่ยมที่สุด


ทั้งสองคนประสบพบพานอุปสรรคจนพลัดพรากกันไป ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้อยู่ร่วมกันอีกครั้ง ย่อมไม่อยากพลาดไปอีกแล้ว ดังนั้นหลังจากหลานไว่หูหายดี ก็เดินทางไปกับเยี่ยนเฉิน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)