คัมภีร์วิถีเซียน 1737-1739
ตอนที่ 1737 ร่ำเรียนอักขระวิญญาณ
นิ้วทั้งสิบของหานลี่ร่ายอาคมหลากสีสันเป็นสายๆ ใส่ม่านลำแสง
หลังจากที่ทุกสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปแล้ว ลำแสงสีเงินก็เปล่งแสงสว่างวาบอย่างบ้าคลั่ง
ผ่านไปชั่วครู่ ม่านลำแสงก็เดือดพล่านราวกับราดน้ำเย็นลงไปในกระทะน้ำมัน อักขระจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา และเริ่มหมุนเวียนเป็นแถวอย่างมีกฎเกณฑ์
หานลี่จ้องเขม็งไปยังม่านลำแสงด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ อาคมในมือไม่หยุดเลยแม้เพียงครู่
ฉับพลันนั้นเสียงตะโกนต่ำๆ พลันดังขึ้น ชูแขนเสื้อขึ้นอีกครั้ง ธงอาคมยี่สิบสามสิบด้ามพุ่งออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็เรียงตัวเป็นเขตอาคมประหลาดด้านบนม่านลำแสง
ธงอาคมทั้งหมดเปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา พลิ้วไหวเล็กน้อยแล้วแผ่ลำแสงวิญญาณหลากสีสันออกมา
หานลี่ร้องคำรามด้วยเสียงทุ้มต่ำ มือหนึ่งชี้ไปกลางอากาศ
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น!
ธงอาคมทั้งหมดเปล่งแสงเจิดจ้า ลำแสงวิญญาณตัดสลับกันไปมา กลางอากาศมีเขตอาคมลำแสงที่สลับซับซ้อนปรากฏขึ้น และหมุนวนไปมาไม่หยุดอยู่กลางอากาศต่ำๆ
“ไป”
แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ นิ้วชี้ไปที่แผ่นป้ายกว้างเย็น
ชั่วขณะนั้นแผ่นป้ายพลันสั่นเทา กลายเป็นลำแสงสีทองเงินสายหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเขตอาคมอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมากลิ่นอายแปลกประหลาดพลันแผ่ออกมาจากเขตอาคมลำแสง จากนั้นก็เปล่งเสียงหึ่งๆ เสาลำแสงสีทองและสีเงินสองสีพุ่งออกมาจากใจกลางของเขตอาคมลำแสง และโจมตีไปที่ม่านลำแสงสีเงินอย่างพอดิบพอดี
ม่านลำแสงที่แต่เดิมไม่ขยับเขยื้อนสัมผัสกับเสาลำแสงนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งเสียง “ครืดๆ” ออกมา หลอมละลายราวกับหิมะที่ละลายในวสันตฤดู
แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ อักขระรอบด้านม่านลำแสงก็ทะลักไปยังจุดที่เสาลำแสงร่อนลงมา คาดไม่ถึงว่าจะหลอมละลายแล้วหยุดชะงัก กลับค่อยๆ หนาแน่นขึ้น
หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น สีหน้าไม่โกรธขึ้งแต่กลับยินดี
มือหนึ่งปัดไปที่กำไลเก็บของ ลำแสงสีทองเงินอีกสองกลุ่มบินออกมา เผยแผ่นป้ายโบราณอีกสองแผ่น
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแผ่นป้ายกว้างเย็นอีกสองแผ่น!
หนึ่งในนั้นแน่นอนว่าเป็นแผ่นป้ายที่เขาเก็บมาโดยพลการ อีกแผ่นหนึ่งกลับเป็นแผ่นที่เขาหาได้จากร่างของชาวเผ่าหรงสวมงอบในภูเขาเทวะดูดปราณ
ผู้ที่หลอมแผ่นป้ายกว้างเย็นในเผ่าหรงกลุ่มนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่ชายร่างใหญ่ชาวเผ่าหรงที่ร้ายกาจที่สุด ทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจ
ชาวเผ่าหรงอีกสองคนที่ถูกเก็บเข้าไปในภูเขาเทวะดูดปราณ หลังจากเก็บสิ่งของทั้งหมดในกำไลเก็บของพวกเขาไปจนเกลี้ยงแล้วก็ถูกเขาใช้เพลิงกลืนวิญญาณเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
ยามนี้เมื่อสำแดงแผ่นป้ายกว้างเย็นสองแผ่นออกมา ก็ถูกหานลี่ใช้นิ้วร่ายอาคม จมหายเข้าไปในม่านลำแสงในเขตอาคมลำแสง
เขตอาคมลำแสงพลิ้วไหวอย่างรุนแรง เสียงอึกทึกดังขึ้น
เสาลำแสงสีทองเงินที่ถูกพ่นออกมาจากเขตอาคมลำแสงขยายใหญ่ขึ้นกว่าสามเท่า
เดิมที่พอฝืนต้านทานม่านลำแสงสีเงินได้ ภายใต้อานุภาพที่มหาศาลเช่นนี้ อักขระหลากสีสันก็สั่นเทาอย่างรุนแรงแล้วหลอมละลายไปอีกครั้ง
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยน้ำชา เสียง “ปัง” ก็ดังสะเทือนเลื่อนลั่นท่ามกลางสายตาอันรอคอยของหานลี่
ในที่สุดม่านลำแสงสีเงินก็พังทลาย เปล่งแสงสว่างวาบสองสามคราแล้วสลายหายไป
หานลี่พลันรู้สึกดีใจ มือหนึ่งร่ายอาคมชี้ไปยังเขตอาคมลำแสงกลางอากาศ
เสียงอึกทึกดังขึ้น เขตอาคมลำแสงสลายหายไป กลับคืนเป็นธงอาคมและแผ่นป้ายสามแผ่นดังเดิม
สะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศ หมอกสีเขียวหมุนม้วนวนออกมา ชั่วพริบตาก็กวาดธงอาคมและแผ่นป้ายไปจนเกลี้ยง
หานลี่เลื่อนสายตาไปมองตัวอักษรสีทองที่ชัดเจนขึ้นบนกำแพงหินด้านล่าง แม้ว่าจิตใจจะสงบนิ่งดุจสายธารมาแต่ไหนแต่ไร ทว่าใบหน้าก็อดที่จะเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาไม่ได้
หลังจากผ่านไปนานเท่าไหร่ก็สุดจะรู้ได้ สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพลันบินออกจากหุบเขาหลังจากหมุนวนกลางอากาศรอบหนึ่ง ยอดเขาสีดำลูกหนึ่งก็บินออกมาจากสายรุ้งสีเขียว พลิ้วไหวแล้วมีขนาดใหญ่ยักษ์เท่ายอดเขาจริงๆ พลางทับลงมาที่หุบเขาด้านล่าง
เสียงภูเขาสั่นสะเทือนดังขึ้นสองสามครั้งอย่างต่อเนื่อง
ทั้งหุบเขาถูกยอดเขาสีดำกดทับเอาไว้ หลังจากสั่นคลอนราวกับจะปริแตก คาดไม่ถึงว่าจะเตี้ยลงยี่สิบกว่าจั้ง
หุบเขานี้แทบจะถูกกดจนแบนราบ
ลำแสงสีเขียวหม่นแสงลงเงาร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
เขามองไปที่หุบเขาด้านล่างด้วยแววตาราบเรียบ มือหนึ่งตะปบออกไปด้านล่างอย่างส่งเดช
ยอดเขายักษ์เปล่งเสียงอึกทึก หดเล็กลงกลายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งบินกลับมาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของหานลี่
ผิวหนังเปล่งแสงสีเขียวสว่างจ้า เขากลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งแหวกอากาศไปอีกครั้ง
……
หนึ่งวันต่อมาเหนือเกาะทะเลสาบที่ไร้ขอบเขตแห่งหนึ่ง ชายชราคนหนึ่งและหญิงสาววัยดรุณีคนหนึ่งกำลังหลับตานั่งสมาธิอยู่บนยอดเขาสีเขียวขจี
ทั้งสองมีสีหน้าเคร่งขรึมผิวหนังเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด ไอสีขาวหมุนวนโคจรรอบกายไปมา
ฉับพลันนั้นหญิงสาวพลันหน้าเปลี่ยนสี ไอสีขาวรอบด้านสลายออก
แทบจะในเวลาเดียวกันลำแสงวิญญาณบนผิวพรรณของชายชราก็หม่นแสง แล้วลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
แน่นอนว่าทั้งสองคือชายชราแซ่ซวีและเซียนเย่ว์
“ดูเหมือนจะมีคนมา หรือว่าจะเป็นสหายหาน?” หญิงสาวเอ่ยพึมพำแต่ก็มีท่าทีไม่มั่นใจ
“เป็นไปได้แต่สหายหานเพิ่งจากไปไม่ถึงสองวัน ต่อให้มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรแค่ไหนก็ไม่สามารถทำสำเร็จได้ง่ายดายเช่นนี้ ถึงอย่างไรเสียทางนั้นก็มีสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันกับพวกเราอยู่สิบกว่าคน” ชายชรามีท่าทีไม่อยากจะเชื่อ
“ผู้มาเยือนนั้นพูดยาก ทว่าใช่สหายหานหรือไม่เดี๋ยวก็รู้แล้ว” เซียนเย่ว์แววตาเปล่งประกาย ชูมือหนึ่งขึ้น ผ้าไหมสีขาวบินออกมา กลายเป็นม่านลำแสงสีขาวชั้นหนึ่งห่อหุ้มร่างเอาไว้
ชั่วพริบตาร่างของหญิงสาวและม่านลำแสงก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วอำพรางกายไปพร้อมกัน
ส่วนชายชราก็พยักหน้า มือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ธงอาคมสีเขียวด้ามหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ พลิ้วไหวแล้วหายวับไปท่ามกลางลำแสงสีเขียว
ยอดเขามหึมาหายวับไปทันที
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ขอบฟ้าก็มีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งปรากฏขึ้น พุ่งตรงมายังเกาะ
สายรุ้งสีเขียวหมุนวน ร่อนลงมายังยอดเขาสีเขียวมรกต ลำแสงหลีกหนีหม่นแสงลง ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้น
หลังจากที่แววตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบแล้วกวาดมองไปรอบด้าน หานลี่ก็หัวเราะร่าขึ้นมา
“สหายทั้งสอง ข้าน้อยได้อาคมกลับมาแล้ว ยังไม่รีบปรากฏกายอีก”
“เป็นพี่หานดังคาด!”
“ขอแสดงความยินดีกับสหายหาน!”
เสียงตกตะลึงระคนดีใจของเซียนเย่ว์และชายชราแซ่ซวีดังขึ้นแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นลำแสงสีเขียวขาวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างปรากฏขึ้นใกล้ๆ พร้อมกัน
ทั้งสองมีสีหน้าดีอกดีใจ
“พี่หานท่านเอาคาถาเคล็ดวิชาลับทั้งหมดมาได้แล้วจริงๆ หรือ” หญิงสาวมีท่าทีไม่อยากจะเชื่อ น้ำเสียงอดที่จะสั่นเทาไม่ได้
“หึๆ นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว หากสหายไม่เชื่อละก็ลองดูก่อนเป็นไง” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ชูมือขึ้น ก่อนจะมีคัมภีร์สีเชียวพุ่งออกมาจากฝ่ามือ
เซียนเย่ว์พลันตกตะลึง แต่ก็ยกมือขึ้นดูดคัมภีร์เข้ามาในมืออย่างไม่รู้ตัว แววตางดงามเผยสีหน้าลังเลออกมา
คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะมอบคาถาให้นางอย่างง่ายดายเช่นนี้ ช่างทำให้นางรู้สึกประหลาดใจเสียจริง
ชายชราแซ่ซวีที่อยู่ด้านข้างก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
ส่วนหานลี่ก็ทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นสายตาประหลาดใจของทั้งสอง แค่หัวเราะบางๆ ไม่พูดไม่จา
“เช่นนั้นน้องหญิงจะไม่เกรงใจแล้ว!” เซียนเย่ว์ตั้งสติใช้จิตสัมผัสกวาดเข้าไปในคัมภีร์ในมือ หลังจากมั่นใจว่าไม่มีเขตอาคมใดๆ สีหน้าตกตะลึงก็หายวับไป วางคัมภีร์ลงบนหน้าผากอย่างไม่ต้องขบคิด เริ่มตรวจสอบสิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์
หญิงสาวผู้นี้บอกว่าตนเองรู้จักอักขระจ้วนทอง ดูแล้วคงเป็นความจริง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หญิงสาวก็เริ่มหน้าเปลี่ยนสี บางครั้งก็เผยสีหน้าขบคิดและดีอกดีใจเล็กๆ ออกมา
แต่หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ใบหน้าของเซียนเย่ว์กลับเริ่มเคร่งขรึม สุดท้ายพลันมีสีหน้าตกตะลึงระคนฉงนสงสัย
ชายชราแซ่ซวีเห็นสีหน้าของหญิงสาวก็ลูบเครา แววตาอดที่จะเปล่งประกายสว่างวาบสองสามคราไม่ได้
พ่นลมหายใจออกมาบ่อยๆ แขนเรียวของหญิงสาวตกลง เลื่อนคัมภีร์ออกจากหน้าผากและหัวเราะขมขื่นใส่หานลี่และชายชรา
“เซียนเย่ว์ หรือว่ามีอะไรผิดปกติงั้นหรือ? หรือว่าอักขระจ้วนทองในถ้ำลับไม่ใช่เคล็ดวิชาลับ?” ชายชราแซ่ซวีอดที่จะถามขึ้นไม่ได้
“อาคมเป็นของจริง และเป็นเคล็ดวิชาลับจริงๆ แค่น้องหญิงดูผ่านๆ กลับพบว่าเงื่อนไขที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ยากลำบากมาก สำหรับแดนวิญญาณอย่างพวกเรานั้นเกรงว่าจะมีผู้ที่ฝึกฝนได้อยู่เพียงไม่กี่คน มิน่าล่ะเดิมเคล็ดวิชานี้ควรจะเป็นเคล็ดวิชาลับของแดนเทพเซียน ไม่เหมาะกับพวกเราก็เป็นเรื่องปกติ ทว่าในคัมภีร์มีเนื้อหาของคัมภีร์อยู่แค่ครึ่งแรก บางทีครึ่งหลังอาจจะมีหนทางแก้ไขอื่นๆ กระมัง!” เซียนเย่ว์มองหานลี่แวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า มีเลศนัย
ชายชราแซ่ซวีได้ยินเซียนเย่ว์กล่าวเช่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย อดที่จะมองหานลี่ไม่ได้
หานลี่ขมวดคิ้วมุ่นแต่ทันใดนั้นก็กลับมามีสีหน้าปกติแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ใช่แล้ว ในนี้มีคาถาอยู่แค่ครึ่งเดียว หลังจากที่สหายทั้งสองถ่ายทอดอักขระให้แก่ข้าน้อย ผู้แซ่หานก็จะมอบอีกครึ่งหนึ่งให้สหายทั้งสอง พี่ซวี เซียนเย่ว์ คิดว่าอย่างไรกัน?”
“ฮ่าๆ ไม่มีปัญหา ตาเฒ่าและสหายเย่ว์ตกลงว่าจะถ่ายทอดอักขระเที่ยงแท้เป็นการแลกเปลี่ยนกับคาถาให้กับพี่หานอยู่แล้ว ทว่าอักขระจ้วนทองนั้นลึกซึ้งมาก มีเพียงต้องบรรยายด้วยปากเกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายวัน” หลังจากชายชราแซ่ซวีหัวเราะร่าแล้วก็เอ่ยปากรับคำ
“ในเมื่อพี่หานเก็บอาคมไปแล้วน้องหญิงก็จะรักษาสัญญา ทว่าที่นี่อยู่ใกล้กับถ้ำลับมาก พวกเราหาที่ที่ปลอดภัยอีกที่แล้วถ่ายทอดอักขระวิญญาณให้กับพี่หานเถิด” เซียนเย่ว์ได้ยินเงื่อนไขของหานลี่ก็ฉีกยิ้มเบิกบาน
“เซียนเย่ว์พูดมีเหตุผล พวกเราไปกันเถิด” หานลี่ฉีกยิ้มแล้วพยักหน้าเห็นด้วย
ดังนั้นหลังจากที่ทั้งสามคนปรึกษากันแล้วก็ทยอยกันเป็นลำแสงหลีกหนี กลายเป็นสายรุ้งสามสายพุ่งไปตามเส้นขอบฟ้า
หลังจากที่หานลี่และพวกออกจากเกาะได้ห้าวัน เหนือหุบเขาที่อยู่ไกลออกไป กลับมีชาวเผ่าหรงขนดกสิบกว่าคนปรากฏตัวขึ้น
ผู้นำคือชายชราใบหน้าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง มองลงมายังหุบเขาที่ถูกทับจนแบนด้านล่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึมดุจสายธาร
……
ยามนี้หานลี่และพวกทั้งสามกลับซ่อนตัวอยู่ในภูเขาที่ไม่รู้ตั้งกี่หมื่นลี้
ในห้องโถงที่สร้างขึ้นตรงสันเขาทั้งสามคนต่างนั่งสมาธิอยู่
อาศัยจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน หานลี่รับการถ่ายทอดจากทั้งสองคนสลับหมุนเวียนกันทั้งวันทั้งคืน ระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือนก็เข้าใจอักขระจ้วนทองเกือบทั้งหมด
หลังจากที่หานลี่รู้สึกว่าเชี่ยวชาญแล้วก็มอบคาถาเคล็ดวิชาลับครึ่งหลังให้กับพวกเขาทันที
ชายชราแซ่ซวีและเซียนเย่ว์พลันรู้สึกดีอกดีใจ หลังจากที่ทั้งสองคัดลอกให้ตัวเองชุดหนึ่งแล้วทันใดนั้นก็บอกลาหานลี่ แล้วต่างคนต่างไป
ยามนี้อยู่ห่างจากเวลาที่แดนกว้างเย็นจะปิดตัวลงอีกไม่นานแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาต้องเริ่มค้นหาสถานที่ลับเพื่อเตรียมกักตนทะลวงจุดคอขวด
ตอนที่ 1738 พบอสูรลับอีกครั้ง
ช่วงระยะเวลาสุดท้ายที่แดนกว้างเย็นเปิด หานลี่ไม่ได้ฝึกฝนจะเตรียมทะลวงจุดคอขวดอันใด แต่กลับตามหายอดเขารกร้างแห่งหนึ่ง ใช้อักขระจ้วนทองที่ร่ำเรียนมาใหม่ เรียนรู้คาถาลับจากเคล็ดวิชาลับชุดนั้น
ก่อนหน้านี้ที่เขาอยู่ในเขตอาคมซากปรักหักพัง ถูกพลังลึกลับบรรจุเข้าไปในร่าง จึงไม่อาจทะลวงระดับผสานอินทรีย์ได้ ใช้วิธีการธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจทะลวงจุดคอขวดได้
ถึงอย่างไรเสียเขาบรรลุระดับสองขั้นอย่างต่อเนื่องในครั้งเดียว ไม่ว่าระดับการผนึกพลังปราณหรือว่าระดับจิตใจก็ต้องใช้เวลาหลอมถึงจะมีโอกาสได้ทะลวงระดับผสานอินทรีย์จริงๆ
แต่ชนต่างเผ่าอื่นๆ ที่เข้ามาในแดนนี้ ผู้ใดบ้างที่ไม่ได้ติดอยู่ในระดับหลอมสุญตามาสองสามร้อยปีหรือแม้กระทั่งพันปี ล้วนตระหนักได้ว่าไม่อาจทะลวงจุดคอขวดได้อีก ถึงได้เสี่ยงเข้ามาในแดนกว้างเย็น
แน่นอนว่าตามตำนานแล้วระยะเวลาที่แดนกว้างเย็นเปิด ยิ่งอยู่ในช่วงหนึ่งถึงสองเดือนสุดท้าย ไอวิญญาณในแดนนี้จะยิ่งหนาแน่น อัตราการทะลวงจุดคอขวดในยามนี้จึงเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย
ดังนั้นปกติแล้วชนต่างเผ่าที่เข้ามาในแดนนี้ ถ้าไม่กักตนฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักปีแรกเพื่อเตรียมทะลวงจุดคอขวดในระยะสุดท้าย ก็ต้องใช้เวลาช่วงแรกรวบรวมวัตถุดิบหายากที่ไม่อาจหาได้ในโลกภายนอก
และยังมีประเภทสุดท้ายแน่นอนว่าย่อมเหมือนกับเซียนเย่ว์ที่เข้ามาในแดนนี้ เป็นผู้ที่มีจุดประสงค์อื่น
ทว่าไม่ว่าประเภทไหนก็เริ่มทะลวงจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์ในช่วงเดือนสองเดือนสุดท้าย
ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นปลายอย่างหานลี่ กลับบรรลุระดับขั้นอย่างต่อเนื่องในแดนกว้างเย็นนั้น เป็นเรื่องที่เพิ่มเข้ามา และนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่แตกต่างกัน!
ทว่าอักขระจ้วนทองนั้นลึกลับมา แม้ว่าหานลี่จะใช้เวลาเดือนกว่า ก็ยังเข้าใจเนื้อหาแค่ครึ่งเดียว เข้าใจเนื้อหาส่วนที่ง่ายที่สุดส่วนเดียวเท่านั้น
ส่วนนี้มีการเทิดทูนและอธิบายเคล็ดวิชาลับนี้อยู่ไม่น้อย
แต่เช่นนั้นก็ทำให้หานลี่เข้าใจว่าเหตุใดวันนั้นเซียนเย่ว์จึงหัวเราะอย่างขมขื่นและถอนหายใจกับการฝึกฝนเคล็ดวิชานี้
ตามที่อักขระจ้วนทองกล่าวไว้ เคล็ดวิชาลับนี้ดูเหมือนจะเป็นอิทธิฤทธิ์ที่ร้ายกาจในแดนเทพเซียน แม้กระทั่งนำกฎฟ้าดินหลอมรวมเข้าไปในอาคม หากฝึกฝนสำเร็จ จิตสัมผัสก็จะเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับที่น่าเหลือเชื่อ
เคล็ดวิชานี้มีทั้งหมดสามขั้น
หากฝึกฝนขั้นแรกสำเร็จ ก็ทำให้จิตสัมผัสเพิ่มขึ้นสองเท่า หากฝึกฝนขั้นที่สองสำเร็จ ก็จะเพิ่มเป็นสี่เท่า หากฝึกฝนขั้นที่สามสำเร็จ ก็จะเพิ่มขึ้นมากกว่าแปดเท่า
การเพิ่มขึ้นที่น่าหวาดกลัวนี้ทำให้หานลี่รู้สึกตกตะลึง และเชื่อไปกว่าครึ่งว่าเคล็ดวิชาลับนี้เป็นเคล็ดวิชาที่ร้ายกาจในแดนเทพเซียน
ทว่าแม้ว่าเคล็ดวิชานี้จะแข็งแกร่งเช่นนี้ แต่ก็เหมือนกับที่เซียนเย่ว์กล่าวไว้ก่อนหน้า ข้อจำกัดในการฝึกฝนนั้นโหดร้ายทารุณมาก
เงื่อนไขของเคล็ดวิชานี้นั้นมีไม่มาก เงื่อนไขคือผู้ฝึกฝนต้องมีพลังยุทธ์ในระดับเทพแปลงขึ้นไป แต่ข้อเสนอแรกเพียงข้อเดียวก็คือกายเนื้อและจิตสัมผัสต้องแข็งแกร่งพอ ถึงจะรับการแว้งกัดที่น่ากลัวของเคล็ดวิชาได้
ถึงอย่างไรเสียผลจากการที่จิตสัมผัสนี้เพิ่มขึ้นหลายเท่านั้น หากกายเนื้อและจิตสัมผัสของผู้ฝึกฝนไม่อาจรับได้ ร่างกายก็จะระเบิดออกและสิ้นใจในที่สุด
ตามที่คาถาได้อธิบายไว้ หากจะเริ่มฝึกฝนขั้นแรก จิตสัมผัสจะต้องแข็งแกร่งกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันสองสามเท่า แต่เงื่อนไขของกายเนื้อนั้นโหดร้ายยิ่งกว่า ต่อให้ฝึกฝนกายเนื้อในระดับเดียวกัน ก็พอจะฝึกแค่ในระดับที่เหมาะสมกับเงื่อนไขได้เท่านั้น
หากเลือกเพียงข้อเดียวจากทั้งสอง แม้ว่าจะมีผู้ที่เหมาะสมอยู่น้อยมาก แต่ก็พอจะหาได้
หากมีทั้งสองครบครัน ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่มีในแดนวิญญาณ แต่ก็มีอยู่น้อยมาก
ถึงอย่างไรเสียสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรปกติแล้ว จิตสัมผัสก็ต้องอ่อนแอกว่ากายเนื้อมากอยู่แล้ว
การฝึกฝนกายเนื้อจริงๆ ไม่มีพลังปราณคอยสนับสนุน จิตสัมผัสก็แข็งแกร่งไม่เท่าไหร่นัก
ส่วนที่เหลืออีกสองขั้น ขั้นที่สามมีเงื่อนไขที่เหนือชั้นยิ่งกว่าเดิม
เซียนเย่ว์เป็นคนที่ฝึกฝนพลังปราณโดยเฉพาะ ตอนแรกที่เห็นเงื่อนไขนี้ แน่นอนว่าย่อมรู้สึกหมดหวัง
ทว่าเหมือนกับที่หญิงสาวคาดเดาไว้ก่อนหน้า ขั้นสุดท้ายในคัมภีร์ มีวิธีแก้ปัญหาให้จริงๆ นั่นคือก็ให้สูตรปรุงยาที่ไม่เคยได้ยินมาสองสูตร
สูตรแรกเรียกว่า “ยาลูกกลอนเติมวัชระ” อีกสูตรเรียกว่า “ยาลูกกลอนผนึกวิญญาณ”
ตามที่กล่าวไว้ยาลูกกลอนทั้งสองชนิด ชนิดหนึ่งสามารถเพิ่มพลังจิตสัมผัสได้ ชนิดหนึ่งเพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้อได้ หลังจากกินยาลูกกลอนสองชนิดนี้เป็นเวลานาน ก็จะทำให้ผู้ฝึกฝนค่อยๆ ฝึกฝนจนถึงขั้นที่สอดคล้องกับเงื่อนไขได้อย่างช้าๆ
จากผลของยาลูกกลอนที่น่าเหลือเชื่อนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่ได้มีอยู่ในแดนวิญญาณ
แม้ว่าสูตรยาทั้งสองชนิดจะถูกเขียนไว้อย่างละเอียด กระทั่งอธิบายขั้นตอนการหลอมอย่างละเอียด แต่วัตถุดิบที่ใช้นั้น หานลี่กลับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยสักชนิด หากอยากหลอมยาลูกกลอนทั้งสองชนิดนี้ในแดนวิญญาณ คงเป็นเรื่องเพ้อฝัน
หลังจากที่หานลี่อ่านเงื่อนไขในการเคล็ดวิชาลับนี้เสร็จ ก็ผ่อนคลายลงท่ามกลางความรู้สึกที่ตกตะลึง
หนทางการฝึกบำเพ็ญเพียรคู่ที่เขาเลือกเดิน และการฝึกฝนจิตสัมผัสด้วยคาถาเทพขับเคลื่อนก่อนหน้า ทำให้อยู่เหนือกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ส่วนเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ประกอบกับยาลูกกลอนบำรุงร่างกายที่กินเข้าไป ก็ทำให้กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งจนอยู่ในระดับที่น่าเหลือเชื่อ
ดังนั้นขั้นแรกนั้นไม่ต้องพูดถึง เขายอมสามารถฝึกฝนได้
ส่วนขั้นที่สองนั้น ขอแค่ฝึกฝนเคล็ดวิชาลับขั้นที่หนึ่งสำเร็จ หลังจากที่จิตสัมผัสเพิ่มขึ้นแล้วก็น่าจะพอกล่าวได้ว่าเหมาะสมกับเงื่อนไข ทว่านอกเสียจากกายเนื้อจะฝึกฝนเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้จนอยู่ในระดับสูงสุด ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็อย่าหวังว่าจะสอดคล้องกับเงื่อนไขได้
ส่วนเงื่อนไขของขั้นที่สาม หานลี่ก็ทำได้เพียงลูบใต้คาง แล้วหัวเราะด้วยสีหน้าขมขื่น
ไม่ว่าอย่างไรเคล็ดวิชาลับนี้ก็ทำให้จิตสัมผัสเพิ่มขึ้นหลายเท่า ประโยชน์ของมันมากมายแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น หลังจากที่ฝึกฝนขั้นที่หนึ่งสำเร็จ หานลี่ก็มั่นใจว่าจะพัฒนาขึ้นไปอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ได้มากขึ้นสองส่วนแล้ว
เช่นนั้นเวลานี้หานลี่จึงค่อยๆ ทำความเข้าใจอักขระจ้วนทองไปทีละนิด
วันนี้หานลี่กำลังขบคิดอย่างละเอียดอยู่ตรงสันเขา ฉับพลันนั้นก็ได้ยินกำไลเก็บของมีเสียงอึกทึกดังขึ้น
เขาพลันตกตะลึง รีบเบิกตาขึ้นมองไปที่ข้อมือ
เห็นเพียงกำไลเก็บของพลิ้วไหว คาดไม่ถึงว่าจะมีลำแสงวิญญาณสีทองเงินสามกลุ่มบินออกมา
นั่นก็คือแผ่นป้ายกว้างเย็นสามแผ่น
แผ่นป้ายทั้งสามพลิ้วไหวเล็กน้อย กลายเป็นลำแสงวิญญาณเป็นดวงๆ แล้วหายวับไปท่ามกลางสายตาของเขา
หานลี่ใจหายวาบ จากนั้นก็สัมผัสได้ว่าพื้นดินสั่นคลอน ปราณแท้ฟ้าดินรอบด้านเปลี่ยนเป็นสับสนวุ่นวาย
“หรือว่าจะถึงเวลาแล้ว!”
เขาเอ่ยพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา ผิวเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกไป
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ลำแสงหลีกหนีก็หม่นแสงลงกลางอากาศเหนือภูเขารกร้าง ร่างของหานลี่ปรากฏออกมา เงยหน้ามองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ยามนี้กลางอากาศเหนือแดนกว้างเย็น หมอกห้าสีหมุนวนปรากฏขึ้น มันเปล่งเสียงหวีดร้องไม่หยุด พื้นผิวสั่นเทาอย่างต่อเนื่อง ก้อนหินขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันหมุนวนอยู่บนภูเขาไม่หยุด ต้นไม้สูงใหญ่ล้มระเนระนาดขณะที่พื้นดินสั่นไหว
วิหคบินอสูรเดินดินต่างๆ บนยอดเขารกร้างต่างทะลักออกมาจากรัง พากันพุ่งตรงไปยังที่กว้างอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากที่หานลี่เอาสองมือไพล่หลังแล้ว ก็หลับตาทั้งสองข้างลง สัมผัสได้ว่าปราณฟ้าดินรอบด้านระเบิดออกอย่างน่าตกตะลึง สีหน้าเคร่งขรึม
ก่อนที่จะเข้ามาในแดนกว้างเย็น คนอื่นๆ ได้อธิบายไว้ว่า ยามนี้เป็นลางบอกเหตุที่ว่าแดนกว้างเย็นใกล้จะปิดตัวแล้ว
มากสุดคงใช้เวลาอีกครึ่งวัน คนนอกอย่างพวกเขาจะถูกพลังของกฎเกณฑ์ของแดนนี้บีบให้ออกไป
เพราะว่าก่อนออกเดินทางเข้ามาพวกเขาได้ทิ้งสัญลักษณ์ของตนเองเอาไว้ ในร่างก็พกอาวุธวิเศษที่สัมผัสกับเขตอาคมได้ ยามที่กลับไปจะถูกพลังของแดนส่งกลับไปยังจุดที่มา
หานลี่ขบคิดถึงประโยชน์ต่างๆ ที่ได้รับจากแดนกว้างเย็นอย่างเงียบๆ ไปพลาง สัมผัสได้ถึงสัญลักษณ์อันน่าตกตะลึงของท้องฟ้าไม่หยุดไปพลาง
ฉับพลันนั้นเขาพลันหน้าเปลี่ยนสี ชั่วครู่ก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่ตกตะลึง แล้วมองไปยังทิศทางหนึ่ง
เห็นเพียงหมอกห้าสีทางนั้นหมุนวนอยู่กลางอากาศต่ำๆ ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงหลีกหนีสีทองและขาวสองสายพุ่งไปยังจุดที่เขาอยู่
ลำแสงหลีกหนีสองสายพลิ้วไหว สีสันก็อ่อนแสงลง
แต่ลำแสงหลีกหนีสีขาวที่อยู่ด้านหลังก็แข็งแกร่งกว่าลำแสงสีทองในตอนแรก ท่าทางกำลังไล่ตามกันไป
ส่วนลำแสงสีทองด้านหน้ากลับทำให้หานลี่รู้สึกคุ้นเคย
แววตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ มองเห็นสิ่งที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีทั้งสองอย่างชัดเจน ใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
หมาป่ายักษ์สีทองตัวหนึ่งในลำแสงสีทองกระตุ้นพลังปราณหลีกหนี ขนรอบกายไหม้เกรียมไปไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอสูรลับระดับราชาที่เคยพบมาแล้วสองครั้ง
ลำแสงสีขาวด้านหลังที่ไล่ตามมาติดๆ กลับเป็นอสูรประหลาดราวกับพยัคฆ์แก่สีขาวตัวหนึ่ง แผ่นหลังของมันมีปีก ท่าทางจนตรอกเช่นนั้น แต่กลับยังคงพยายามไล่ตามอสูรลับสีทองตรงหน้าอย่างไม่ลดละ
ทั้งสองไล่ตามกันไป ประกอบกับปราณแท้ในร่างเสียหาย หานลี่จึงอำพรางกลิ่นอายของตนเอาไว้ ทั้งสองจึงไม่พบหานลี่ที่อยู่ไกลออกไป
หานลี่แววตาเปล่งประกาย ความคิดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้ขบคิดว่าจะจัดการกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไร ฉับพลันนั้นเสียงคำรามต่ำๆ ก็ดังออกมาจากแขนเสื้อของเขา
เสียงคำรามเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและร้อนใจ! คาดไม่ถึงว่าอสูรมิคาทนจะเปล่งเสียงร้องออกมาจากถุงเก็บอสูรวิญญาณ ท่าทางตื่นเต้นกับการมาของอสูรทั้งสองที่อยู่ไกลออกไป
สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของอสูรมิคาทน หานลี่พลันใจเต้น แน่นอนว่าย่อมนึกถึงตอนแรกที่อสูรตัวนี้กลืนแก่นดวงจิตอสูรลับระดับสูงลงไปสองสามดวง แล้วมีท่าทีแปลกประหลาดที่ยังไม่เข้าใจจนถึงทุกวันนี้
ทันใดนั้นแววตาที่มองไปยังลำแสงสีทองที่อยู่ไกลออกไปก็ค่อยๆ เย็นชาขึ้น
เสียงฟ้าร้องดังขึ้น แผ่นหลังของหานลี่มีปีกคู่หนึ่งปรากฏขึ้น
กระพือปีกกลายเป็นเส้นไหมลำแสงสีเขียวขาวแล้วหายวับไป
ครู่ต่อมาอสูรลับระดับราชาที่อยู่กลางอากาศก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาสีทองยักษ์สามเศียรหกกรเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น
แขนทั้งหกของเงาสีทองขยับ พ่นเสาลำแสงสีทองหกสายออกมา ความเร็วแทบจะมาอยู่ตรงหน้าอสูรลับสีทองในชั่วพริบตาที่ลงมือ
จากระดับความน่ากลัวของอสูรลับระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นของอสูรตัวนี้ แม้ว่าการโจมตีด้วยเสาลำแสงเหล่านี้จะอยู่นอกเหนือความคาดหมาย ก็แต่มีวิธีหลบหลีกได้
แต่อสูรในยามนี้กลับเป็นตะเกียงที่ใกล้จะหมดไฟ พลังปราณในร่างเหลือเพียงหนึ่งในสิบส่วน แม้ว่าจะพยายามหลบหลีก แต่ก็หลบหลีกการโจมตีได้แค่ครึ่งหนึ่ง และยังมีเสาลำแสงสีทองอีกหกสายที่เปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีเข้ามา
เสียงอึกทึกดัง “ครืนๆ” ดังขึ้น ลำแสงสีทองที่เจิดจ้าจนแสบตากลืนกินร่างของอสูรลับเข้าไป
จากนั้นระลอกคลื่นกลางอากาศก็พลิ้วไหวอีกครั้ง ยอดเขายักษ์สีดำขนาดพันจั้งและไม้บรรทัดยักษ์สีเงินปรากฏออกมา และร่อนลงมาพร้อมกันอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ตอนที่ 1739 กลับ
ยอดเขาสีดำมีอักขระสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเขตอาคมลำแสงขนาดยักษ์ ชั่วพริบตาพลังมหาศาลที่ไร้รูปร่างก็ห่อหุ้มลงมา
อสูรลับสีทองที่อยู่ด้านล่างถูกเสาลำแสงสีทองสามสายโจมตีจนหมุนคว้าง เพิ่งจะสะบัดหัวแล้วฝืนยืนขึ้นได้ ก็สัมผัสได้ถึงอากาศรอบด้านที่ตึงแน่น ร่างกายหนักขึ้นเป็นพันชั่ง
ชั่วขณะนั้นมันพลันร้องคำรามด้วยความตกตะลึง ขนบนร่างลุกชัน กลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งลงมาทั่วทั้งสี่ด้าน
จากระดับผสานอินทรีย์ของอสูรลับสีทอง หากเป็นยามปกติ ลำแสงสีทองย่อมทะลวงผ่านเขตอาคมรอบด้านแล้วทำลายสิ่งที่รัดอยู่บนเรือนร่างได้ แต่ยามนี้พลังปราณในร่างเหลือไม่ถึงหนึ่งส่วน เมื่อลำแสงสีทองอยู่ห่างจากร่างไปสองสามจั้ง ก็ทยอยกันแข็งค้างท่ามกลางพลังมหาศาล
อสูรลับมีสีหน้าตกตะลึงระคนหวาดกลัว!
แม้ว่ามันจะมีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกร แต่ไม่มีพลังปราณใดที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นแหล่งต้นกำเนิด และจะสำแดงวิธีการทำลายสิ่งที่รัดพันอันร้ายกาจได้อย่างไร
และในยามนี้ ไม้บรรทัดยักษ์สีเงินที่ร่อนลงมาก็พลิ้วไหว เงาไม้บรรทัดเปล่งเสียงฟ้าผ่าออกมา ทยอยกันโจมตีไปที่ร่างของอสูรลับระดับราชา
เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาพลันดังขึ้น!
ชั่วพริบตากายเนื้อของอสูรลับก็ถูกประจุไฟฟ้าสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนห่อหุ้มเอาไว้ กลิ่นไหม้โชยออกมา
เสียง “ฉับ” ดังขึ้น กระบี่ยักษ์สีเขียวเล่มหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงมากลางอากาศ!
อสูรลับสีทองที่อยู่ท่ามกลางประจุไฟฟ้าและแรงรัดของพลังมหาศาล ไม่อาจหลบหลีกได้เลยสักกระผีก ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ ถูกสับออกเป็นสองส่วนตรงๆ
ร่างของอสูรตัวนี้กลายเป็นสองส่วน แยกออกจากกัน
เสียงระเบิดดังขึ้น
อสูรลับสีทองที่ขนาดเล็กกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง พลันปรากฏขึ้นกลางซากศพ ผิวของมันพ่นหมอกลำแสงสีโลหิตออกมา กลายเป็นลำแสงสีโลหิตพุ่งออกไป
เสียงร้องอุทาน “เอ๋” ดังขึ้นจากจุดที่ใกล้เคียงเบาๆ
จากนั้นเสียง “ปัง” พลันดังขึ้น
ยอดเขาสีดำที่เดิมอยู่กลางอากาศสูงพลันย้ายลงมา คาดไม่ถึงว่าจะกดลงมายังลำแสงสีโลหิตที่กำลังหลีกหนีอย่างแม่นยำไม่ผิดเพี้ยน
แต่ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น
ชั่วพริบตานั้นลำแสงสีโลหิตพลันแตกกระจายออกไปพร้อมกัน ลำแสงสีทองบางๆ ดีดตัวพุ่งออกมา มีอสูรลับสีทองขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้นรางๆ ในนั้น
คาดไม่ถึงว่าจะใช้เคล็ดวิชาถอดเปลือกแมลงสีทองต่อเนื่องติดต่อกันสองครั้ง
เสียงแค่นเสียงหึที่เย็นชาจนเข้ากระดูกดำดังลงมาจากที่สูง
ลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ วิหคเพลิงสีเงินขนาดเท่ากำปั้นปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าอสูรลับตัวจิ๋วที่กำลังหลีกหนี สยายปีกทั้งสองข้างออกแล้วกระโจนออกมา กลืนอสูรลับสีทองที่หลบหลีกไม่พ้นลงท้องไป
อสูรลับขนาดจิ๋วไม่ทันได้แม้แต่จะส่งเสียงหึออกมา ก็ถูกเพลิงกลืนวิญญาณทำให้หายวับไป
และในยามนั้นเองเสียงฟ้าร้องคำรามต่ำๆ ก็ดังขึ้น เส้นไหมลำแสงสีเขียวขาวสายหนึ่งปรากฏขึ้นใกล้ๆ กับเปลวเพลิงสีเงิน
ลำแสงหลีกหนีหม่นแสงลง!
ร่างของหานลี่พลันปรากฏขึ้น และยกมือขึ้นแตะไปไปทางเปลวเพลิงสีเงินอย่างรวดเร็ว
เสียง “สวบ” ดังขึ้น แกนผลึกสีทองขนาดเท่าหัวแม่มือถูกดูดออกมาจากเปลวเพลิง แล้วร่อนลงในมือของเขา
นั่นคือแก่นดวงจิตปีศาจของอสูรลับระดับราชาตัวนั้น
หานลี่แค่พิจารณาอสูรตัวนี้สองแวบ แล้วเลื่อนสายตาไปอีกด้าน
ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง ปีศาจพยัคฆ์สีขาวมีปีกที่แผ่นหลังตัวนั้นเผยสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวออกมาขณะมองมาที่แก่นดวงจิตปีศาจในมือของเขา แต่ก็ลังเลไม่กล้าเข้ามา
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ยกมือขึ้นกวักเรียกยอดเขาสีดำและไม้บรรทัดสีเงิน
สมบัติทั้งสองเปล่งเสียงร้องหึ่งๆ แล้วพุ่งกลับมา หลังจากฟื้นฟูกลับมามีขนาดเท่าเดิม ก็เริงระบำอยู่รอบด้านไปมาไม่หยุด
ส่วนเขาก็ถือแก่นดวงจิตปีศาจเอาไว้นิ่งกลางอากาศ มองมาทางปีศาจพยัคฆ์สีขาวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ยามนี้ปรากฏการณ์บนท้องฟ้ายิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ท่ามกลางม่านหมอกห้าสีเริ่มมีประจุไฟฟ้าสีเงินปรากฏขึ้นเป็นสายๆ จากนั้นห่าฝนก็เทลงมา ปกคลุมม่านหมอกทั่วทั้งท้องฟ้า
ร่างพยัคฆ์ปีศาจสีขาวเริ่มรางเลือนในจุดที่ไกลออกไป แต่สายตายังคงเปล่งประกายไม่แน่นอน ท่าทางลังเลไม่ตัดสินใจ
หานลี่แค่นเสียงด้วยความเย็นชา ใบหน้าเผยสีหน้าหมดความอดทนออกมา ปีกที่แผ่นหลังของเขากระพือออกมาเบาๆ พร้อมกัน ดวงแสงสายฟ้าสีเขียวขาวเริ่มปรากฏขึ้นเต็มแผ่นหลังของเขา
เสียง “เปรี๊ยะ” ดังขึ้นเรื่อยๆ
พยัคฆ์สีขาวเห็นฉากนี้ รูม่านตาสีเขียวมรกตพลันหดเล็กลง คำรามเสียงต่ำๆ ด้วยความไม่พอใจ ฉับพลันนั้นพลันหันหัวกลายเป็นลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งบินกลับไปยังทางที่มา
หานลี่ไม่ได้ขยับกายไล่ตาม กลับมองลำแสงสีขาวที่เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปที่ขอบฟ้า ปีกสั่นเทาเล็กๆ ดวงแสงสีขาวสลายหายไปอย่างเงียบเชียบ
ยอดเขาสีดำและไม้บรรทัดสีเงินหมุนวนโคจรอยู่ข้างกาย และเปล่งแสงสว่างวาบพลางหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ถูกเขาเก็บกลับไป
พยัคฆ์สีขาวตัวนั้นอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น แต่กลับสูญเสียพลังปราณในร่างไปไม่ต่างอันใดกับอสูรลับ ยามนี้แดนกว้างเย็นจะปิดตัวลงแล้ว แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่ยอมเสี่ยงอันตรายไล่ตามไป
หากเกิดสิ่งที่คาดไม่ถึงขึ้น มันจะได้ไม่คุ้มเสีย
ส่วนพยัคฆ์สีขาวก็มีสติปัญญาไม่ต่ำต้อย เห็นหานลี่สังหารอสูรลับสีทองที่ไล่ตามมาได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะรู้สึกโกรธเกรี้ยว แต่ก็มั่นใจว่าสถานการณ์ตรงหน้าตนไม่มีหวังที่จะสู้กับหานลี่ได้ จึงทำได้เพียงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจากไปอย่างไม่เต็มใจ
อสูรมิคาทนที่อยู่ในกำไลอสูรวิญญาณยิ่งตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงจะเริ่มร้องคำรามต่ำๆ ไม่หยุด แม้กระทั่งถ่ายทอดความคิดที่หมายจะเอาแก่นปีศาจอสูรลับสีทองตัวนั้นมาให้หานลี่ด้วยความรอคอย
หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ส่งแก่นปีศาจสีทองในมือเข้าไปในกำไลอสูรวิญญาณ
ชั่วขณะนั้นอสูรมิคาทนที่ซ่อนอยู่ในนั้นพลันเปล่งเสียงร้องต่ำๆ ด้วยความยินดี ปากก็กลืนแก่นปีศาจลงท้องไป จากนั้นก็ส่งเสียงแสดงเจตนาขอบคุณหานลี่ แล้วหมอบอยู่ที่เดิมทันที หลับตาทั้งสองข้างลงไม่ไหวติง
ไม่นานก็มีเสียงหลับอุตุดังมา
เพราะว่ามีประสบการณ์จากการกลืนแก่นปีศาจอสูรลับระดับสูงก่อนหน้า หานลี่จึงไม่ได้มีสีหน้าตกใจ ในใจพลันรู้สึกรอคอยขึ้นมาหลายส่วน
แก่นดวงจิตของอสูรลับระดับราชาย่อมเหนือกว่าแก่นดวงจิตของอสูรลับระดับสูงสองสามเม็ดอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าจะทำให้อสูรมิคาทนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
จากนั้นหานลี่ก็ลอยอยู่กลางอากาศ ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ อีก
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม หมอกห้าสีกลางอากาศก็เปล่งเสียงอึกทึกดังมา ร่อนลงมาจากกลางอากาศอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ร่างของหานลี่ถูกหมอกกลืนเข้าไป ด้านในมีสายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ บรรยากาศน่าตกตะลึงส่งมา
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา หมอกทั่วทั้งท้องฟ้าที่มีฟ้าแลบแปล๊บๆ ออกมาก็สลายตัวออก จุดที่หานลี่รออยู่ที่เดิมนั้นว่างเปล่า ไหนเลยจะมีเงาร่างคนสักนิด
และฉากที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วก็ปรากฏตัวตามจุดต่างๆ ทั่วทั้งแดนกว้างเย็น
ชนต่างเผ่าจำนวนนับไม่ถ้วนถูกพลังกฎเกณฑ์ส่งออกจากแดนนี้
……
หานลี่รู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้ามีหมอกลำแสงห้าสีเจิดจ้าจนแสบตา จากเนตรวารีกระจ่างไม่อาจมองสบตาตรงๆ ได้เลยสักนิด จากนั้นสองขาก็ว่างเปล่า เกิดเป็นระลอกคลื่นหมุนวน
เมื่อสองขาของเขากลับมาแตะพื้นอีกครั้ง ข้างหูกลับมีเสียงระเบิดเสียดแก้วหูดังมา จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงพลังเย็นเยียบสายหนึ่งโจมตีเข้ามา
หานลี่พลันตกตะลึง ทันใดนั้นไอสีดำก็หมุนวนทั่วเรือนร่างอย่างไม่ต้องขบคิด เกราะมารเหนือฟ้าสีดำสนิทปรากฏขึ้นบนร่างทันที
เสียง “เคร้ง” ดังขึ้นเบาๆ พร้อมกัน เขาพลันลืมตาขึ้น
เห็นเพียงเหนือศีรษะ กระบี่บินยาวสองสามฉื่อเปล่งแสงเย็นเยียบสายหนึ่งถูกลำแสงสีดำที่แผ่ออกมาจากเกราะมารดีดออก ไม่อาจทำลายเครื่องป้องกันของเขาได้เลยสักนิด
และเจ้านายของกระบี่บินเล่มนี้คือชายร่างใหญ่ ที่หัวมีเขายาวๆ คู่หนึ่ง แต่ร่างกายกลับสวมเกราะสีเงินอยู่
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นชาวเผ่าแมลงมีเขาคนหนึ่ง
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม กวาดสายตาไป แล้วมองเห็นกลางอากาศใกล้ๆ สมบัติต่างๆ พลันปลิวว่อนทั่วทั้งท้องฟ้า ลำแสงห้าสีสันระเบิดออกเป็นครั้งคราว
ชนต่างเผ่าจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังสำแดงอิทธิฤทธิ์รบราฆ่าฟันกัน
คนกว่าครึ่งในนั้นเป็นคนของเผ่าแมลงมีเขา ส่วนคนที่เหลือคือผู้พิทักษ์เผ่าเมฆาสวรรค์ที่รับหน้าที่คุ้มครองเขตอาคม
ตรงจุดที่สูงยิ่งกว่า สำเภารบของเผ่าแมลงมีเขาที่มีขนาดเท่าเมืองขนาดย่อมสองลำ ลอยอยู่สูงขึ้นไปสองสามหมื่นจั้งไม่ขยับเขยื้อน และมีชาวเผ่าแมลงมีเขาและชาวเผ่าเมฆาสวรรค์กำลังต่อสู้กันมากกว่าเสียอีก
เขตอาคมต่างๆ ที่ถูกวางอยู่ใกล้กับเขตอาคมขนาดยักษ์สองเขต ส่วนใหญ่ถูกโจมตีจนพังทลาย
และห่างจากเมืองเมฆาสวรรค์ไปไกลกว่านั้น พลันมีเพลิงลำแสงพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นกัน เสียงระเบิดดังขึ้นไม่หยุด ราวกับว่าทั้งเมืองเมฆาสวรรค์กำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย
สิ่งที่แปลกก็คือผู้ที่สู้รบกันอยู่ที่นี่ทั้งสองฝ่ายไม่มีสิ่งมีชีวิตระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไป พลังยุทธ์สูงที่สุดก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาเหมือนกับพวกเขาเท่านั้น
และเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์วุ่นวายจนถึงขีดสุด
เขตอาคมบนพื้นยังคงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วเปล่งเสียงร้องไม่หยุด และคนที่ถูกส่งกลับมา ก็มีเขาแค่คนเดียวเท่านั้น ไม่เห็นเงาร่างของคนอื่นๆ
มิน่าล่ะยามที่เขาส่งตัวกลับมา ก็ถูกโจมตีทันที
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึมดุจสายธาร มองไปยังชายร่างใหญ่เผ่าแมลงมีเขาที่ใช้กระบี่บินโจมตีเขาแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็สะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศ กระบี่สีเขียวพุ่งออกมา
กระบี่ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
นักรบชุดเกราะเผ่าแมลงมีเขาผู้นั้นเห็นกระบี่บินของตนถูกเกราะสงครามของหานลี่ดีดออก เดิมก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง และเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำให้กระบี่บินหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ก็ร้องว่า “แย่แล้ว” ออกมาในใจ ผิวเปล่งแสงสว่างวาบ พุ่งหนีไปทันที
แต่กลับสายไปเสียแล้ว!
กระบี่ลำแสงสีเขียวอยู่ห่างจากชายร่างใหญ่เผ่าแมลงมีเขาไปแค่คืบ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วทะลวงออกมา วนล้อมคอของเขาเอาไว้ ศีรษะพลันกลิ้งหลุนๆ ร่วงลงมา
จากนั้นลำแสงสีทองก็เปล่งแสงสว่างวาบไปทางศพไร้หัวที่กำลังร่อนลงมา ชั่วพริบตานั้นไอกระบี่แหลมคมก็สับซากศพรวมทั้งทารกวิญญาณที่ซ่อนอยู่ภายในจนแหลกเป็นชิ้นๆ ทำให้มันหายลับไปจากโลกนี้
หานลี่ถึงได้ยกมือขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วกวักมือเรียกกระบี่บินกลับมา
และในยามนั้นกลางอากาศก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างสี่คนปรากฏขึ้นในเขตอาคมตามลำดับ
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ชั่วครู่ก็จำบุรุษคนหนึ่งและสตรีคนหนึ่งได้ นั่นคือหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุน
อีกสองคนคือชายวัยกลางคนหน้าตาธรรมดาๆ และชายหนุ่มคนหนึ่ง ล้วนเป็นกลุ่มเดียวกับที่ตามเขาเข้าไปในแดนกว้างเย็น
ทว่าเมื่อสายตาของหานลี่กวาดไปบนเรือนร่างของชายวัยกลางคน รูม่านตาก็หดเล็กลง
เรือนร่างของอีกฝ่ายแผ่พลังแรงกดของระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นออกมาจางๆ
ชายวัยกลางคนดูไม่สะดุดตาเลยสักนิดในตอนแรก คาดไม่ถึงว่าจะโชคดีทะลวงจุดคอขวดสำเร็จในแดนกว้างเย็น
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกยังมีกลิ่นอายดังเดิม เห็นได้ชัดว่าทะลวงจุดคอขวดล้มเหลว
ยามนี้เขตอาคมอีกแห่งใกล้เคียงกันก็เปล่งแสงสว่างวาบ ส่งคนกลับมาอีกสี่คน
หานลี่กวาดสายตาไป จำได้แค่คนเดียว กลับเป็นหญิงสาวนามว่าเซียนเย่ว์ผู้นั้น
คาดไม่ถึงว่าชายชราแซ่ซวีจะหายไปอย่างไร้เงา!
ส่วนใบหน้าของเซียนเย่ว์พลันมีรอยยิ้มจางๆ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากเรือนร่างไม่เหมือนกับก่อนหน้า คาดไม่ถึงว่าจะทะลวงจุดคอขวดสำเร็จ และอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น