อัจฉริยะสมองเพชร 1734-1735

 ตอนที่ 1734 ทำลายฉนวน

“รนหาที่ตาย? ดูซิว่าใครกันที่พูดคำนี้?”


จางเซวียนลอยตัวอยู่กลางอากาศ เขาลดสายตาลงจ้องเด็กวัยรุ่นทั้ง 8 ที่อยู่ด้านล่างอย่างเย็นชา


“พวกคุณลักพาตัวลูกศิษย์ของผมและจำกัดอิสรภาพของพวกเธอ ทั้งยังบีบบังคับให้เธอต้องใช้พละกำลังช่วยคุณถอดรหัสฉนวนของภาพวาดโดยไม่สอบถามความสมัครใจด้วย นี่คือความชอบธรรมตามแบบของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์หรือ? นี่คือสิ่งที่คุณได้รับถ่ายทอดจากปรมาจารย์ขงหรืออย่างไร?”


ความปรารถนาดีเสี้ยวสุดท้ายที่จางเซวียนเคยมีให้ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์หายไปในชั่วพริบตา


ไม่เพียงแต่คนเหล่านี้จะเที่ยวบีบบังคับตระกูลหลัวกับตระกูลจางให้ตอบรับคำท้าเพื่อให้ได้มาซึ่งเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน พวกนั้นยังถึงกับจับตัวลูกศิษย์ของเขาและร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นด้วย ดูเหมือนอีกฝ่ายจะหลงลืมจุดยืนของตัวเองแล้วอย่างสิ้นเชิง


“พวกเราทำสิ่งนี้ก็เพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์!” เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว


“เพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์? ช่างบังเอิญเสียจริง! สิ่งที่ผมทำอยู่ตอนนี้ก็เพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนกัน จัดการพวกเขาซะ!” จางเซวียนคำรามเสียงเย็น


รู้ดีว่าโต้เถียงกับอีกฝ่ายไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาสะบัดข้อมือ


ฟึ่บ!


อสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 และอาวุธนับไม่ถ้วนปรากฏตัวในพื้นที่นั้นและพุ่งเข้าใส่เด็กวัยรุ่นทั้ง 8 ที่มาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์


“คุณ…”


ทั้ง 8 คนนึกไม่ถึงว่าจางเซวียนจะโจมตีอย่างปุบปับ ทุกคนโกรธเกรี้ยว แต่ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเพ่งสมาธิเพื่อรับมือกับการโจมตีของศัตรู


“ท่านอาจารย์…” เห็นท่านอาจารย์ของเธอเผชิญหน้ากับเหล่าวัยรุ่นจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ นัยน์ตาของจ้าวหย่าฉายความกังวล


“ไม่ต้องห่วงน่ะ ผมไม่เหยาะแหยะถึงขนาดจะยอมแพ้พวกนั้นหรอก บอกผมมาว่าคุณถูกลักพาตัวได้อย่างไร และเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนั้น ผมจะชดเชยความเสียหายให้คุณเอง!” จางเซวียนพูด


“เรื่องเป็นอย่างนี้…” จ้าวหย่าตั้งต้นทบทวนเหตุการณ์


เมื่อตอนที่อยู่ในเมืองหลวงแห่งสมาพันธ์นานาจักรวรรดิ เธอได้สั่งการให้เหล่าสมาชิกของศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็งกลับสู่เมืองหลวงธารน้ำแข็งก่อน ขณะที่ตัวเธอจะยังคงอยู่ในสมาพันธ์นานาจักรวรรดิอีกระยะหนึ่งเพื่อขัดเกลาวรยุทธ โดยเว่ยหรูเหยียนจะคอยระวังหลังให้เพื่อปกป้องเธอ ซึ่งจางเซวียนก็คิดว่าคงมีคนไม่มากนักที่จะเป็นภัยคุกคามต่อทั้งคู่ เขาจึงไม่ได้ใส่ใจและเดินทางกลับสู่ตระกูลจาง


แต่เมื่อทั้งสองออกจากเมืองหลวงแห่งสมาพันธ์นานาจักรวรรดิ ก็พบกับชายหนุ่มคนหนึ่ง


ชายหนุ่มคนนั้นยังไม่ได้เข้าโจมตีทันที เขาบอกจ้าวหย่ากับเว่ยหรูเหยียนว่าตัวเขามาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และมีเรื่องสำคัญที่อยากขอความช่วยเหลือ แต่เพราะเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด จึงยังบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร


เป็นธรรมดาที่ทั้งสองจะไม่ตอบรับคำขออันเป็นปริศนานี้ ลงท้ายพวกเขาจึงต่อสู้กัน แล้วจ้าวหย่ากับเว่ยหรูเหยียนก็พ่ายแพ้และถูกจับตัวไปอย่างรวดเร็ว


กว่าทั้งคู่จะรู้ว่าตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ก็สายเกินกว่าที่จะส่งข้อความขอความช่วยเหลือแล้ว


หลังจากนั้น ทั้งสองก็ถูกกักบริเวณอยู่ในสถานที่ที่แยกตัวออกจากโลกภายนอก แต่อีกฝ่ายไม่ได้ทำร้ายพวกเธอ กลับมอบทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธให้อย่างเพียงพอ แถมยังมีเหล่าผู้เชี่ยวชาญคอยแก้ไขปัญหาที่พวกเธอเผชิญในการฝึกวรยุทธด้วย


ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้ยังได้ถ่ายทอดกรรมวิธีถอดรหัสฉนวนให้


ส่วนเหตุผลที่ก่อนหน้านี้จ้าวหย่าตกอยู่ในภวังค์ ก็เพื่อเป็นการปกป้องตัวเธอเอง ฉนวนของผืนผ้าใบสี่ฤดูนั้นทรงพลังมาก และมันจะปล่อยแรงกดดันมหาศาลโถมทับเข้าใส่จิตใจของผู้ที่พยายามจะถอดรหัสมัน การทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์จะทำให้โอกาสที่เธอจะสูญเสียสมาธิและได้รับบาดเจ็บสาหัสลดน้อยลงมาก


“ทั้งๆที่พวกนั้นบีบบังคับ แต่คุณก็ยังไปกับพวกเขาและยอมทำในสิ่งที่พวกเขาขอร้องให้ทำ เพราะอะไรกัน?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


เขารู้นิสัยจ้าวหย่าดี เธอเป็นคนดื้อดึงชนิดที่จะไม่ยอมจำนนต่อการใช้กำลังใดๆทั้งนั้น แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เธอว่านอนสอนง่ายถึงขนาดทำตามคำสั่งของผู้ที่ลักพาตัวเธอมา?


นี่ดูไม่เหมือนจ้าวหย่าที่เขาเคยรู้จักเลย


“พวกนั้นพูดว่า…” ถึงตอนนี้ จ้าวหย่าหน้าแดงก่ำขณะกัดริมฝีปาก “หากฉันช่วยพวกเขาถอดรหัสฉนวน พวกเขาจะมอบโอกาสให้คุณฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้…”


“มอบโอกาสให้ผมฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ?” จางเซวียนชะงัก


“ใช่ พวกเขาพูดว่าคุณคือปรมาจารย์ที่ปราดเปรื่องที่สุดในทวีปแห่งปรมาจารย์ ซึ่งรากเหง้าของทั้ง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และสภาปรมาจารย์นั้นมีต้นกำเนิดมาจากปรมาจารย์ขง จึงถือได้ว่าทั้งสองกลุ่มอำนาจเป็นพันธมิตรกัน ขอแค่พวกเราเต็มใจทำเพื่อประโยชน์ของพวกเขา พวกเขาก็จะตอบแทนบุญคุณ” จ้าวหย่าตอบอย่างละอายใจ


“เพราะอย่างนั้น คุณก็เลยทำตามคำสั่งของพวกเขา…” ได้ยินคำนั้น จางเซวียนทั้งโมโหและประทับใจไปพร้อมๆกัน


เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ส่ายหน้าและพูดว่า “ผมประทับใจในเจตนาดีของคุณ แต่ผมเคยยอมจำนนให้กับการท้าทายที่ไหนกันล่ะ? การฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณอาจยากก็จริง แต่ผมก็จะไม่มีวันสังเวยลูกศิษย์ของตัวเองเพื่อแลกกับโอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธ! วางใจเถอะ ถ้ามีโอกาสแบบนั้นจริงอยู่ในโลก ผมจะหาทางนำมันมาให้ได้ด้วยพละกำลังของผมเอง!”


“ท่านอาจารย์ ฉันผิดไปแล้ว…” เสียงของจ้าวหย่าสั่นเครือ


“เอาเถอะ” จางเซวียนโบกมือ “ในเมื่อคุณหวังดี ผมก็จะไม่พูดอะไรให้ยืดเยื้อ”


จากนั้นเขาก็หันไปมองเด็กวัยรุ่นทั้ง 8 และสั่งการ “หยุด!”


ฟิ้ววววว!


ทั้ง 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่และของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จำนวนหลายชิ้นของจางเซวียนลอยกลับมาหาเขา ทิ้งเด็กวัยรุ่นทั้ง 8 ให้นอนหมดสภาพอยู่กับพื้น พวกเขาถูกซ้อมจนกระทั่งแทบจำสภาพเดิมของตัวเองไม่ได้


“นี่เป็นแค่การลงโทษสถานเบาสำหรับการลักพาตัวลูกศิษย์ของผม ใครก็ตามที่บังอาจแตะต้องลูกศิษย์ของผมจะต้องได้รับผลจากการกระทำของตัวเอง ในเมื่อจ้าวหย่าไม่ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของพวกคุณ ผมก็จะละเว้นชีวิตให้ แต่ผมต้องการให้พวกคุณตอบคำถามของผมก่อน ถึงจะปล่อยพวกคุณให้เป็นอิสระ”


จางเซวียนมองเด็กวัยรุ่นทั้ง 8 ที่กองอยู่กับพื้นด้วยสายตาเย็นชาและตั้งคำถาม


“ข้อแรก, 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มีเจตนาอย่างไรถึงสะกดรอยตามและลักพาตัวลูกศิษย์ของผม ข้อสอง, 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เป็นพันธมิตรกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นหรือเปล่า…หรือว่าพวกคุณใช้เผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนั้นเป็นบริวาร?”


เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ไม่ได้หมายมั่นเอาชีวิตจ้าวหย่า จางเซวียนก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา


เป็นไปได้หรือไม่ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เขาพบว่าอยู่กับกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จะเป็นบริวารของพวกเขา?


เพราะอย่างตัวจางเซวียนเองก็เคยหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณจากร่างของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณ อีกทั้งยังมีไอ้โหดที่ยอมจำนนแล้วอยู่ในหนังสือเทียบฟ้าด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น


ซึ่ง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็อาจมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน


“พวกเราแค่ทำตามคำสั่งของเบื้องบน เราไม่รู้รายละเอียดแน่ชัด เพราะฉะนั้นต้องขออภัยด้วยที่ตอบคำถามของคุณไม่ได้” เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งให้คำตอบขณะสูดปากด้วยความเจ็บปวด


“คุณตอบคำถามของผมไม่ได้?” จางเซวียนจ้องหน้าเด็กวัยรุ่นคนนั้นราวกับจะทะลุทะลวงเข้าไปในจิตใจของอีกฝ่าย


เมื่อเผชิญกับสายตาของจางเซวียน อีกฝ่ายลังเลครู่หนึ่งก่อนจะตอบรับอย่างหนักแน่น “…ใช่!”


“ถ้าคุณไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร ผมคงหาคำตอบได้เองเร็วๆนี้ เอาล่ะ ตอนนี้ก็ไปให้พ้น!”จางเซวียนหันหลังกลับและสะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชา


เขาเป็นหนี้บุญคุณปรมาจารย์ขง นักปราชญ์โบราณโป๋ช่างและนักปราชญ์โบราณหรันชิว คนเหล่านี้ได้ช่วยเหลือเขามา ในเมื่อเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้เป็นผู้สืบเชื้อสายของอีกฝ่าย และก็ยังดูไม่เหมือนว่าพวกเขาได้นำเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปแลกกับการเป็นพันธมิตรกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จางเซวียนจะต้องสังหารคนเหล่านั้น


“พวกเราไม่ไป!” เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว


“โยนพวกเขาออกไป!” จางเซวียนสั่งการ


อสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 และของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มากมายพุ่งเข้าใส่ทั้งกลุ่มอีกครั้ง ไม่ช้าเด็กวัยรุ่นทั้ง 8 ก็ถูกโยนออกไปนอกหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่


เมื่อปราศจากสภาวะพิเศษของจ้าวหย่า คนเหล่านี้ก็ไม่มีทางเข้าสู่หอบริวารได้อีก


หลังจากจัดการกับกลุ่มเด็กวัยรุ่นจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์แล้ว จางเซวียนก็หันกลับมามองผืนผ้าใบสี่ฤดู หิมะที่อยู่ในภาพวาดละลายไปแล้วเกือบหมด และฉนวนก็แปรเปลี่ยนไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง มันแตกต่างจากฉนวนที่จ้าวหย่าเคยทุ่มเทพลังงานเพื่อการถอดรหัสมันก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง


“ท่านอาจารย์ ฉนวนเปลี่ยนสภาพ…เทคนิคการปลดปล่อยฉนวนที่ฉันเคยเรียนรู้มาใช้การไม่ได้อีกแล้ว” จ้าวหย่าหน้าซีดเผือดด้วยความร้อนรน


เธอพยายามปล่อยพลังงานเย็นเข้าสู่ฉนวน แต่ก็รู้ทันทีว่าไม่อาจควบคุมมันได้อีกต่อไป


องค์ประกอบของฉนวนที่อยู่ในภาพวาดได้เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลที่ผันแปรในภาพวาด


“ไม่ต้องห่วง ผมมีวิธี” จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะกระดิกนิ้ว


วิ้ง!


คริสตัลเยือกแข็งที่เขาได้มาก่อนหน้านี้มาปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาผลักมันไปข้างหน้าเบาๆ


ฟึ่บ!


คริสตัลเยือกแข็งพุ่งเข้าใส่ฉนวนทันที เมื่อมันสัมผัสกับฉนวน ก็เริ่มจัดการแก้ไขปัญหา มันสร้าง คลื่นพลังงานวนที่ทำลายฉนวนของภาพวาดได้ในชั่วพริบตา


เมื่อเห็นว่าคริสตัลเยือกแข็งมีอานุภาพทำลายฉนวนได้เหมือนอย่างที่เครื่องรางน้อยบอกไว้ จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขารีบเรียกเซียนดาบชิงเหมิงเข้ามา


“เข้าไปดูข้างในกัน!”


จากนั้น เขาก็นำทางและก้าวเข้าสู่ภาพวาดที่ปราศจากฉนวนปิดกั้น คนอื่นๆรีบตามไปโดยไม่ลังเล


ความเงียบงันกลับคืนสู่ห้องโถงใหญ่อีกครั้ง


อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1735 เงื่อนไขการฝ่าด่านวรยุทธสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ

ผู้ที่เข้าถึงศิลปะการวาดภาพขั้นสูงสุดจะสามารถสร้างโลกที่คนทั่วไปเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ได้ และที่น่าสะพรึงกว่านั้นก็คือ โลกที่พวกเขาสร้างขึ้นจะมีชีวิตชีวาและสมจริงจนผู้ที่เข้าไปแทบไม่รู้สึกตัวว่ากำลังอยู่ในภาพวาด


ว่ากันว่าเมื่อหลายหมื่นปีก่อน สมาคมจิตกรมีจิตรกรผู้หนึ่งซึ่งมีความปราดเปรื่องอย่างไม่มีใครเทียบ เขาได้สร้างผลงานชิ้นเอกชิ้นหนึ่ง ซึ่งมีโลกอันกว้างใหญ่และสาวสวยผู้งดงามอย่างน่าทึ่ง เขาหมกมุ่นอยู่กับภาพวาดของเขาและใช้เวลากับผลงานชิ้นเอกและสาวสวยผู้งดงามน่าทึ่งคนนั้น เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ตกหลุมรักเธอ จนวันหนึ่ง เขาก็เข้าสู่ภาพวาดนั้นและไม่เคยกลับออกมาอีก


ภาพวาดนี้เป็นฝีมือปรมาจารย์ขง ผืนผ้าใบสี่ฤดูจึงเป็นผลงานที่เหนือชั้นกว่าระดับขั้นของจิตรกรระดับ 9 ดาว ไม่ว่าจะเป็นในด้านแนวคิดของชิ้นงานหรือความเข้าใจเรื่องมิติและเวลา ภาพวาดนี้แทบไม่ต่างอะไรกับมิติลี้ลับขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นจุดหมายปลายทาง


“มีพลังจิตวิญญาณอยู่ภายในภาพวาด…เข้มข้นมากด้วย!”


จางเซวียนยืนอยู่บนโขดหิน เขาสูดหายใจลึกและอดอัศจรรย์ใจกับความเก่งกาจของปรมาจารย์ขงไม่ได้ แน่นอนว่าภาพวาดนี้เหนือชั้นกว่าระดับของจิตรกรระดับ 9 ดาว


ทุกอย่างที่ดูในภาพวาดดูจะเป็นธรรมชาติไปหมดจนแยกไม่ออกว่าอะไรคือภาพวาดและอะไรคือโลกภายนอก จางเซวียนใช้หอกสวรรค์กระดูกมังกรเพื่อเปิดรอยแยกของมิติภายในภาพวาดและเดินทางทะลุมันไป ซึ่งก็น่าอัศจรรย์ใจอีกที่รอยแยกแห่งมิตินั้นสมานตัวเข้าหากันเองได้


ถ้าเขาไม่รู้มาก่อนว่านี่คือภาพวาด ก็จะไม่คิดเลยว่ามันคือโลกเสมือนจริง


จางเซวียนพบพื้นที่ว่างแห่งหนึ่งก่อนจะร้องเรียกเซียนดาบชิงเหมิงที่ยังคงตกตะลึงให้เดินเข้ามา “ลองดูซิว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้หรือเปล่า”


ถึงจางเซวียนจะเป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึก แต่ก็สัมผัสได้ถึง ‘สิ่งนั้น’ ที่จำเป็นสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ ซึ่งท่านพ่อท่านแม่ของเขาเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับที่เรียกว่าเป็นตำนาน


“ได้”


รู้ดีว่าสิ่งที่ลูกชายพูดย่อมมีเหตุผล ทั้งคู่จึงรีบทรุดตัวลงนั่งและเริ่มฝึกฝนวรยุทธอย่างเงียบๆ


ฟิ้วววว!


ขณะที่พวกเขาฝึกฝนวรยุทธ พลังจิตวิญญาณในพื้นที่ก็เข้าโอบล้อมทั้งคู่และพุ่งเข้าสู่ร่างของพวกเขาอย่างรวดเร็ว ไม่ช้า รังสีของเซียนดาบชิงเหมิงก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ


ครู่ต่อมา ทั้งคู่ก็หยุดการฝึกฝนวรยุทธและลุกขึ้นยืน


“พ่อกับแม่รู้สึกได้ถึงด่านคอขวดในวรยุทธ และดูเหมือนว่าเราน่าจะก้าวข้ามมันไปได้หากมีเวลามากพอ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่พวกเราจะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ” เซียนดาบเหมิงพูด


จางเซวียนตาโตเมื่อได้ฟัง


มันคือข้อสันนิษฐานจากตัวเขากับเครื่องรางน้อยที่คิดว่านักรบผู้หนึ่งน่าจะสามารถฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้ภายในผืนผ้าใบสี่ฤดู แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คุณค่าของภาพวาดชิ้นนี้ก็ถือว่าเหนือกว่าจินตนาการ


“ถ้าอย่างนั้น ทำไมท่านพ่อกับท่านแม่ไม่พยายามฝ่าด่านวรยุทธเสียตอนนี้เลยล่ะ?” จางเซวียนเสนอแนะพร้อมกับยิ้มให้


ในเมื่อเขาขับไล่เหล่าทายาทของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ออกไปแล้ว ก็มีโอกาสที่นักปราชญ์โบราณที่ยับยั้งเขาไว้ไม่ให้เข้าสู่โดมหนาวเหน็บเย็นเยือกก่อนหน้านี้น่าจะโมโห


ถ้าท่านพ่อท่านแม่ของเขาสามารถฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้ในตอนนี้ อย่างน้อยที่สุด ก็จะไม่ได้รับอันตรายจากนักปราชญ์โบราณคนอื่นๆ


“ตอนนี้เลยหรือ?” ได้ยินคำนั้น เซียนดาบชิงเหมิงมองหน้ากันก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ “ลูกประเมินนักปราชญ์โบราณต่ำไปเสียแล้วล่ะ”


“เป็นความจริงที่ว่าเศษเสี้ยวของโลกดึกดำบรรพ์ถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ และ ‘คุณภาพ’ของบรรยากาศที่นี่ก็เอื้ออำนวยต่อการก้าวข้ามปราการด่านสุดท้ายเพื่อฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ แต่…” เซียนดาบชิงพูดต่อ “มันก็ยังต้องใช้เวลาและความพยายามมากอยู่ดี ไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ในช่วงเวลาอันสั้น!”


“แม้ในบรรดาศิษย์ 3000 คนของปรมาจารย์ขง ก็มีเพียง 72 นักปราชญ์เท่านั้นที่สำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ได้จะทำสำเร็จ จริงอยู่ว่ารังสีที่อบอวลอยู่ในภาพวาดนี้มีอานุภาพสำคัญต่อการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ…แต่หากซึมซับได้ไม่มากพอ ‘คุณภาพ’ ที่อยู่ในบรรยากาศก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก”


จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า


ท่านพ่อพูดถูก


ท่านพ่อท่านแม่ของเขาพูดถูกแล้ว


การสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณถือเป็นการฝ่าด่านวรยุทธครั้งยิ่งใหญ่ ต้องใช้ความเข้าใจอย่างล้ำลึกที่มีต่อโลก หากนักรบผู้นั้นไม่สามารถบรรลุเงื่อนไขของการฝ่าด่านวรยุทธ ก็ไม่มีทางทำสำเร็จ ต่อให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแค่ไหนก็ตาม


แม้ในยุคดึกดำบรรพ์ ก็ไม่ใช่นักรบทุกคนที่จะได้เป็นนักปราชญ์โบราณ ผู้ที่สำเร็จวรยุทธขั้นนั้นล้วนแต่เป็นอัจฉริยะชั้นยอด


“สิ่งที่อบอวลอยู่ในบรรยากาศที่ทำให้นักรบฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้คืออะไร?” จางเซวียนตั้งคำถาม


“พ่อระบุไม่ได้แน่ชัด แต่รู้ว่าผู้คนเรียกขานมันว่า ‘นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ’ ขอแค่ใครสักคนซึมซับมันจนถึงระดับที่กำหนดไว้ ก็จะสามารถเข้าสู่นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณเพื่อยกระดับวรยุทธให้สูงขึ้นได้” เซียนดาบชิงอธิบาย


“นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ?” จางเซวียนพยักหน้าขณะครุ่นคิด “สิ่งนี้มีอยู่ตามธรรมชาติในสภาพแวดล้อม หรือเป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป?”


“ไม่มีการบันทึกไว้ว่านิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณมาจากไหนและทำไมถึงปรากฏขึ้นในโลกใบนี้ ดังนั้นพ่อจึงไม่อาจตอบคำถามได้” เซียนดาบชิงอธิบายช้าๆ “แต่จากข้อสันนิษฐานของพ่อ มันน่าจะเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไปเหมือนกับสินแร่หายาก และเมื่อมันหมดไปจากโลกนี้แล้ว ก็ไม่มีทางนำมันกลับคืนมาได้อีก”


“เมื่อตอนที่เหล่านักรบรู้ว่าพวกเขาไม่มีโอกาสฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้อีกแล้ว ก็เกิดความตื่นตระหนกครั้งใหญ่ขึ้นในหมู่ชนชั้นนำของทวีปแห่งปรมาจารย์ มีอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องมากมายที่ได้ซึมซับสภาวะนี้ไว้มากพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง พวกเขาก็ไม่อาจก้าวข้ามปราการด่านสุดท้าย ซึ่งในช่วงเวลานั้นเองที่พวกเขาพบว่ามีนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ!”


ในฐานะอดีตหัวหน้าตระกูลจาง เซียนดาบชิงรู้เรื่องนี้จากบรรพบุรุษของเขา


การที่ได้รู้ว่าจะไม่มีใครฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้อีกแล้วทำให้เกิดความสิ้นหวังทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ มีนักรบมากมายที่ฝึกฝนวรยุทธมาทั้งชีวิตและสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกได้ด้วยความยากลำบาก แต่ก็พบว่าระดับวรยุทธของพวกเขาชะงักงัน ไม่ว่าจะพยายามผลักดันตัวเองสักแค่ไหนก็ก้าวหน้าไปไม่ได้ เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะเกิดความตื่นตระหนกและพรั่นพรึง


ยิ่งไปกว่านั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจยังใช้โอกาสนี้บุกเข้าโจมตีทวีปแห่งปรมาจารย์ด้วย ถือเป็นช่วงเวลาแห่งฝันร้ายอย่างแท้จริงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ในครั้งนั้น มวลมนุษย์แทบจะยอมพ่ายแพ้เพราะความสิ้นหวัง


โชคดีที่เหล่านักปราชญ์โบราณในยุคนั้นตัดสินใจอุทิศชีวิตของพวกเขาให้กับการปกป้องมนุษย์ด้วยการเข้าจำศีล


เมื่อรู้แล้วว่าพวกเขายังคงปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์จากเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ ความตื่นตระหนกต่างๆก็ค่อยๆบรรเทาลง


ถ้าไม่ใช่เพราะการเสียสละของเหล่านักปราชญ์โบราณ เผ่าพันธุ์มนุษย์คงหายสาบสูญไปแล้ว!


“ผมเข้าใจว่านิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ แต่ยังมีเงื่อนไขอื่นๆที่จำเป็นอีกหรือไม่?” จางเซวียนถาม


ท่านพ่อกับท่านแม่ของเขาบอกว่าทั้งคู่ไม่อาจฝ่าด่านวรยุทธได้ในตอนนี้เพราะยังสะสมสภาวะนั้นได้ไม่มากพอ แต่นั่นหมายความว่าอย่างไร? พวกเขาต้องสะสมอะไร? และอะไรที่เรียกว่ามีไม่มากพอ?


หรือพูดอีกอย่างก็คือ นักรบผู้หนึ่งจะต้องบรรลุเงื่อนไขอะไรบ้างเพื่อการก้าวไปสู่วรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ?


“ตั้งแต่ยุคสมัยดึกดำบรรพ์ นักปราชญ์โบราณเป็นสัญลักษณ์ของประสิทธิภาพการต่อสู้สูงสุดที่มีในโลก มีการค้นคว้ามากมายเกี่ยวกับเงื่อนไขของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นสูงสุดนั้น ซึ่งอย่างแรกก็คือการปรากฏขึ้นของนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ อย่างที่ 2, ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของผู้นั้นจะต้องแตะ 30.0 และอย่างที่ 3 ผู้นั้นจะต้องขยายอาณาเขตของจิตวิญญาณออกไปได้ 1 ล้านกิโลเมตร” เซียนดาบชิงอธิบาย


“ขยายอาณาเขตของจิตวิญญาณออกไป 1 ล้านกิโลเมตร?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”


เขาพอเข้าใจเงื่อนไข 2 ข้อแรกที่เซียนดาบชิงพูดถึง แต่ข้อ 3 นั้นหมายความว่าอย่างไรกัน?


“ง่ายมาก เมื่อลูกปรับสภาพพลังจิตวิญญาณให้กลายเป็นเส้นด้ายบางๆและยืดมันออกไป ระยะทางยาวที่สุดที่เส้นด้ายจิตวิญญาณของลูกสามารถไปถึงก็คืออาณาเขตของจิตวิญญาณของลูก!”


จางเซวียนครุ่นคิดหนัก


จิตวิญญาณของเขาได้รับการบ่มเพาะจากสายฟ้าและเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด ทำให้ทรงพลังเป็นพิเศษ และเขาก็เคยใช้พลังจิตวิญญาณสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบมาก่อน แต่ยังไม่เคยพยายามแปรสภาพพลังจิตวิญญาณให้กลายเป็นเส้นด้ายและยืดมันออกไปเพื่อดูว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน


เห็นสีหน้าของจางเซวียน เซียนดาบชิงรู้ทันทีว่าลูกชายของเขาไม่เคยพยายามทดสอบอาณาเขตของจิตวิญญาณมาก่อน จึงตั้งคำถามพร้อมกับหัวเราะหึๆ “ลูกอยากลองดูไหมว่าจะขยายอาณาเขตของจิตวิญญาณได้เท่าไหร่?”


ผู้ที่ไม่รู้เงื่อนไขของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณย่อมไม่คิดที่จะทดสอบจิตวิญญาณของพวกเขาในรูปแบบนี้ มันอันตรายไม่น้อยที่จะขยายอาณาเขตของจิตวิญญาณให้ไกลเกินไป เพราะถ้าเส้นด้ายของจิตวิญญาณถูกตัดขาด ผู้นั้นก็อาจได้รับบาดเจ็บสาหัส


“ได้ ผมจะลองดู” จางเซวียนพยักหน้ารับ เขาเองก็อยากรู้ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน


จางเซวียนสูดหายใจลึกและปรับสภาพพลังจิตวิญญาณของเขาให้กลายเป็นเส้นด้ายจิตวิญญาณก่อนจะดึงมันออกไป


100000 กิโลเมตร!


200000 กิโลเมตร!


300000 กิโลเมตร!


ในชั่วพริบตา จางเซวียนก็ผ่านระยะ 500000 กิโลเมตรไปได้ แต่เส้นด้ายจิตวิญญาณของเขายังไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุด อันที่จริง…ตัวเขายังใช้พลังจิตวิญญาณไปไม่ถึง 1 ใน 10 ของที่มีเลยด้วยซ้ำ!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)