กระบี่จงมา 173.2-175.2
บทที่ 173.2 คนผ่านทางที่เดินทางอย่างรีบร้อน
โดย
ProjectZyphon
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูดตอบอย่างระมัดระวัง “ข้าเคยอ่านเจอบันทึกในตำราโบราณ ขอแค่ผู้ฝึกลมปราณโยนมันลงไปในน้ำของแม่น้ำใหญ่ก็จะสามารถจับเจียวและมังกรได้ จุดที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เดิมทีพวกเจียวและมังกรที่อยู่ในน้ำจะมีข้อได้เปรียบด้านชัยภูมิ ต่อให้ศัตรูที่พบเจอจะเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มีขอบเขตสูงกว่าตัวเองสองขอบเขต แต่ก็ไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอน ทว่าหากฝ่ายตรงข้ามมีข้องราชามังกร ต่อให้ขอบเขตต่ำกว่าพวกเราหนึ่งหรือสองขอบเขตก็สามารถทำให้พวกเราถูกจับโดยละม่อมได้”
เด็กชายชุดเขียวก้าวถอยหลังออกห่างจากเฉินผิงอัน ไปนั่งยองอยู่ไกลๆ ตามจิตใต้สำนึก “ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้นหรอก หากถูกจับเข้าไปในข้องราชามังกรก็ต้องรู้สึกไม่ต่างจากคนธรรมดาที่อยู่ท่ามกลางน้ำมันเดือด ต้องคอยทนรับความเจ็บปวดเหมือนถูกแล่เนื้อเถือหนังอยู่ตลอดเวลา นี่คือวิชาลับที่ไม่แพร่งพรายของสำนักที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นสู่โบราณ พวกเขาสานข้องราชามังกรขึ้นมาเพื่อขายให้กับผู้ฝึกลมปราณที่เดินทางมาไกลด้วยหวังจะจับเผ่าพันธ์ของพวกเราโดยเฉพาะ”
เสียงของเขาสั่น กำหมัดแน่นแล้วโบกไปมา “ข้องราชามังกรขนาดเท่านี้ก็สามารถจับข้าได้แล้ว”
เฉินผิงอันยื่นสองมือออกมาเทียบขนาดตรงหน้าตัวเอง “แล้วถ้าใหญ่เท่านี้ล่ะ?”
คราวนี้อย่าว่าแต่เด็กชายชุดเขียวที่รู้ดีถึงความร้ายกาจของข้องราชามังกรเลย แม้แต่เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็ยังตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรอีก
เด็กชายชุดดำทำหน้ามู่ทู่ “นายท่าน อย่าถือสาเลยนะ แต่ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนว่ามีข้องราชามังกรที่ใหญ่ขนาดนั้น ท่านคงไม่ได้มีอยู่ใบหนึ่งหรอกนะ?”
เขาฝืนข่มกลั้นความวู่วามที่จะตัดใจจากหินดีงูก้อนที่สอง ถามหยั่งเชิงไปว่า “หากมีข้องราชามังกรที่ใหญ่ผิดธรรมดาแบบนั้นจริง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นบรรพบุรุษของเจียวที่มีอายุกี่พันปีก็จงยอมรับชะตากรรมแต่โดยดีเถอะ นายท่าน เป็นเพราะท่านรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วขวดพวกนั้นไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่ใช่ไหม? ไม่เป็นไร นายท่านเก็บเอาไว้เล่นก็ได้ หากไม่ชอบจริงๆ พอไปถึงบ้านเกิดนายท่านแล้วค่อยคืนมันให้กับข้า ส่วนหินดีงูก็ค่อยดูที่อารมณ์ของนายท่านว่าจะให้หรือไม่ให้…”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ข้าไม่มีข้องราชามังกร ต่อให้มี พวกเจ้าก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
มิน่าเล่าพอเกาเซวียนองค์ชายต้าสุยซื้อปลาหลีสีทองและข้องราชามังกรไปได้ถึงได้รู้สึกผิด นอกจากเงินเหรียญทองแดงแก่นทองถุงหนึ่งแล้ว ยังมาแสดงคำขอบคุณที่เมืองหลวงต้าสุยด้วยตัวเองอีกด้วย
ตอนที่เห็นชายฉกรรจ์ถือข้องจับปลาขายปลาในเมืองเล็ก เฉินผิงอันก็รู้ถึงความไม่ธรรมดาเพียงแค่มองปราดเดียว เหตุใดออกจากน้ำมานานขนาดนั้นแล้ว ปลาหลีตัวนั้นถึงยังสะบัดตัวดีดดิ้นได้อย่างมีชีวิตชีวา แต่หนึ่งเพราะไม่มีเงินจริงๆ ชีวิตที่ขัดสนไม่มั่นคง ไหนเลยจะกล้าใช้เงินส่งเดช? หลังจากเป็นช่างเผาเครื่องปั้นก็พอจะเก็บรวบรวมเงินเหรียญทองแดงได้บ้างเล็กน้อย แต่เฉินผิงอันไม่เคยใช้จ่ายในสิ่งที่เกินความจำเป็น เพราะแค่ซื้อฟืน ข้าวสาร น้ำมันและเกลือก็ยากลำบากอย่างถึงที่สุดแล้ว
สองเพราะถูกเกาเซวียนและผู้เฒ่ามาขวางไว้ก่อน
เฉินผิงอันโยนหินก้อนหนึ่งลงในธารน้ำ ตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย ไม่ได้เศร้าเพราะสูญเสียโชควาสนาครั้งใหญ่ แต่เพราะรู้สึกว่าภูเขาเงินภูเขาทองหลายลูกได้เดินผ่านตนไปแล้ว
สรุปคือเสียดายเงินนั่นเอง
ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันไม่รู้ว่าชายฉกรรจ์คนนั้นก็คือหลี่เอ้อร์บิดาของหลี่ไหว หนึ่งในลูกศิษย์ของหยางเหล่าโถว ตอนนั้นหลี่เอ้อร์ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าขั้นสูงสุดแล้ว ต่างจากคนเฝ้าประตูที่มีหน้าที่รับเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง หลี่เอ้อร์มีความรู้สึกที่ดีมากต่อเฉินผิงอัน ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมตอนนั้นหลี่เอ้อร์ไม่มอบมันให้เฉินผิงอันโดยตรง นั่นเพราะมีหลักการที่ต้องปฏิบัติอย่างพิถีพิถัน คนที่เดินบนเส้นทางสายหยางเหล่าโถวอาจารย์ของเขาเลื่อมใสในคำว่า “ยุติธรรม” มาโดยตลอด ดังนั้นการที่หลี่เอ้อร์ตั้งราคามั่วๆ ขึ้นมาก็เพื่อให้เด็กหนุ่มตรอกหนีผิงได้ต่อรองราคา ดูเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริงมากกว่า
น่าเสียดายก็แต่มีองค์ชายสกุลเกาต้าสุยมาขวางไว้กลางทาง หลี่เอ้อร์ที่เดิมทีก็ทำผิดกฎอยู่แล้วพลันเกิดใจระแวดระวัง ไม่กล้าบังคับยัดเยียดโชควาสนาค้ำฟ้าให้แก่เฉินผิงอันอีก และหลังจบเรื่อง หยางเหล่าโถวก็ได้สั่งสอนหลี่เอ้อร์ไปแล้ว บอกให้เขารู้ถึงความจริงที่โหดร้ายว่าถ้าเฉินผิงอันรับข้องปลาและปลาหลีตัวนั้นไปจริงๆ เขาจะมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองเล็กได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่
คลื่นใต้น้ำที่เกิดขึ้นในเมืองเล็ก จนถึงทุกวันนี้เฉินผิงอันก็ยังรับรู้ไม่ทั้งหมด
บนมหามรรคา โชคดีมักจะมาพร้อมกับโชคร้ายเสมอ เรื่องราวเรื่องหนึ่งจะเป็นมิตรที่เพิ่มเกล็ดน้ำค้างลงบนหิมะ หรือเป็นศัตรูที่หยิบยื่นถ่านให้กลางหิมะ ไม่มีใครบอกได้ในเวลาสั้นๆ แล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
คนทั้งสามออกเดินทางอีกครั้ง ยามค่ำคืนหยุดพักบนยอดเขา แม้เฉินผิงอันจะไม่จำเป็นต้องอยู่ยามแล้ว แต่เขาก็ยังเคยชินที่จะฝึกเดินนิ่งยืนนิ่งก่อนเข้านอน ต้องเฝ้าอยู่หน้ากองไฟพักหนึ่งถึงจะนอนหลับได้
กลางดึกสงัด บนยอดเขาเงียบกริบไร้สรรพสำเนียง
ข้างกองไฟ เด็กชายชุดเขียวใส่ฟืนเพิ่มเข้าไปในกองไฟ หันไปกระดิกนิ้วเรียกเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู “นังเด็กโง่ เจ้ามานี่สิ”
เด็กหญิงที่นั่งพิงหีบหนังสือซึ่งชุยตงซานทิ้งไว้อยู่ห่างไปไกลส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าไม่ไป”
เด็กชายชุดเขียวยิ้มตาหยี “ข้าไม่กินเจ้าหรอกน่า”
ตีให้ตายเด็กหญิงก็ไม่ยอมขยับเข้าใกล้
เด็กชายชุดเขียวโมโห “ถ้าไม่มา ข้าจะกินเจ้าจริงๆ แล้วนะ! เป็นอะไรของเจ้า พูดดีๆ ไม่ยอมฟัง อยากจะโดนตีก่อนหรือไง?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูจึงได้แต่ปลุกความกล้าขยับเข้าไปนั่งตรงข้ามกับกองไฟ
เขาเอ่ยถาม “เจ้าว่านายท่านเป็นคนธรรมดาที่น่าเบื่อมากคนหนึ่ง ทำไมถึงมีลูกศิษย์ที่โหดร้ายน่ากลัวอย่างคนผู้นั้นได้?”
นางครุ่นคิด “นายท่านมีจิตใจเมตตา คนทำดีย่อมได้ดี”
เด็กชายหัวเราะหยัน “ทำความดีกินแทนข้าวได้หรือ?”
นางย่นคอ
เขาพูดแดกดัน “เสียแรงที่เป็นปีศาจมีตบะถึงขั้นห้า แถมยังพอจะมีความสามารถที่พิเศษอยู่บ้าง เจ้าช่วยมีความกล้าหาญหน่อยได้ไหม?”
คราวนี้นางมีความกล้าขึ้นมาเล็กน้อยแล้วจริงๆ จึงโต้กลับไปเบาๆ “ตอนที่เจ้าถูกผู้อาวุโสไท่ซ่างของพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ไล่ฆ่าไปสองพันลี้ ทำไมไม่เห็นเจ้ามีความกล้าบ้างเลย?”
หาได้ยากที่เด็กชายชุดเขียวไม่โมโห ยังคงอธิบายด้วยความอดทน “ข้าไม่ได้กลัวหญิงชราสูงวัยผู้นั้นสักหน่อย นางช่างน่าไม่อายจริงๆ อายุตั้งปูนนั้นแล้วยังจะโปะผงประทินโฉมลงบนหน้าหนาขนาดนั้น นายท่านอย่างข้าคือวีรบุรุษที่ยากจะต่อกรกับศัตรูด้วยสองมือ หากกินยายแก่ผู้นั้นก็เท่ากับสร้างความขุ่นเคืองให้กับคนทั้งพรรคทำนองศักดิ์สิทธิ์ ถึงเวลานั้นย่อมเดือดร้อนไปถึงสหายเทพวารีของข้า ข้าคงรู้สึกผิดมาก”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแอบหันหน้าไปเหลือกตามมองสูงทางอื่น
นางกล้าทำเพียงเท่านี้
เด็กชายชุดเขียวโมโหปรี๊ด “นังเด็กโง่เจ้าจะก่อกบฏงั้นรึ?! สามวันไม่ตีขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคา! อาศัยว่ามีนายท่านผู้เฒ่าของข้าให้ท้าย เลยไม่เห็นนายท่านใหญ่อย่างข้าอยู่ในสายตาใช่ไหม?”
นางตกใจจึงจะตะโกนเรียกเฉินผิงอัน
เด็กชายชุดเขียวรีบโบกมือบอกเป็นนัยไม่ให้นางวู่วาม เขาถอนหายใจแล้วเปลี่ยนหัวข้อพูด “นายท่านผู้เฒ่าของเราเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสอง แม้จะบอกว่ามีฝีมือพอๆ กับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามแล้ว แต่เจ้าและข้าต่างก็รู้ดีว่ายังอ่อนด้อยอยู่มาก อีกอย่างดูจากการกินอยู่ คำพูดและการกระทำของเขาก็ไม่เหมือนเด็กที่มาจากตระกูลใหญ่ เขาจะมีภูเขาห้าลูกอยู่ที่บ้านเกิดจริงๆ หรือ? แล้วยังจะมีหินดีงูมากมายขนาดนั้นด้วย? เจ้าคนอำมหิตผู้นั้นจะแกล้งหลอกพวกเราหรือเปล่า? หรือเขาคิดจะพาพวกเราไปอยู่ในภูเขาลูกเล็กๆ?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูห่อตัว มองไปทางเปลวเพลิงที่นางคุ้นเคยมาตั้งแต่เกิดด้วยความรู้สึกอบอุ่นสุขสบายไปทั้งร่าง ตอบเสียงแผ่ว “ข้ายังไงก็ได้ ลูกหลานสกุลเฉาสองรุ่นในจวนจือหลันล้วนมีจิตใจชั่วร้าย ทำผิดต่อการสืบทอดความรู้และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามที่บรรพบุรุษของพวกเขาสร้างและรักษาไว้อย่างยากลำบาก เดิมทีข้าก็ไม่ชอบพวกเขาอยู่แล้ว กลับบ้านเกิดไปพร้อมกับนายท่าน ดีจะตายไป”
เด็กชายชุดเขียวตีหน้าเคร่ง ไม่ยิ้มหน้าเป็นไร้แก่นสารอย่างเวลาปกติ ทอดถอนใจเสียงเบา “สกุลเฉาเดินทางผิดจริงๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ต้องทำอย่างนี้ ได้กลายเป็นเทพเซียน ใครบ้างที่ยังเต็มใจอ่านตำราเข้าร่วมการสอบ ประโยคที่ว่าเฝ้ารักษาคุณความดีแห่งตน เมื่อบรรลุผลอย่าหลงลืมส่งผ่านความดีงามสู่แผ่นดินอะไรนั่นเป็นแค่ประโยคที่อริยะลัทธิขงจื๊อเอามาหลอกผู้คนเท่านั้น อยู่ในแม่น้ำมานานขนาดนี้ ข้าได้เห็นความโชคร้ายของพวกบัณฑิตมามากมาย ไม่พูดถึงคนอื่น เอาแค่พวกผู้ว่าฯ หรือเจ้าเมืองที่เมื่อพบเจอกับสหายเทพวารีของข้า ก็ยังทำตัวเหมือนสุนัขรับใช้ยิ่งกว่าตอนเจอกับพวกขุนนางในเมืองหลวงเสียอีก ขอแค่มีผู้ฝึกตนทำผิดก็จะตรงดิ่งไปขอความช่วยเหลือจากสหายของข้าทันที หากสหายข้าอารมณ์ไม่ดีก็จะให้พวกเขารออยู่นอกศาลสองสามวัน ขุนนางเหล่านั้นไม่มีใครกล้าผายลมแม้แต่คนเดียว กระจอกชะมัด”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูขยับปากแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายนางเลือกที่จะเงียบเสียง
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะคิกคัก “นายท่านผู้เฒ่านอนหลับแล้ว แต่นายท่านใหญ่ยังไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย ค่ำคืนวสันต์มีค่าเท่าทองพันชั่ง…นังเด็กโง่ เจ้าลองมาเป็นเมียข้าดีไหมล่ะ?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพลันตาแดงก่ำ สบถด่า “เจ้าอันธพาลตัวเหม็น!”
เด็กชายชุดเขียวถลึงตากลับ “หมายความว่าไง? นี่คือวาสนาใหญ่เทียมฟ้า หลุมศพบรรพบุรุษเจ้ามีควันเขียวลอยขึ้นแล้ว (เปรียบเปรยถึงลางดี) รู้หรือไม่?! เจ้าคิดว่าข้าชอบเจ้าจริงๆ หรือไง? หากไม่เป็นเพราะหวังในหินดีงูที่ยังไม่ได้มาอยู่ในมือของเจ้า…”
นางลุกขึ้นยืนทันที “ข้าจะไปฟ้องนายท่าน!”
เขาจึงได้แต่ยอมถอยให้อีกครั้ง โบกมือพัลวัน “อย่าทำแบบนี้สิๆ พวกเรามาสาบานเป็นพี่ชายกับน้องสาวกันดีไหม? เมื่อสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว ของของเจ้าก็คือของของข้า ของของข้ายังคงเป็นของของข้า…”
คราวนี้นางสะพายหีบหนังสือเดินหนีเสียเลย
เด็กชายชุดเขียวลุกขึ้นยืน เท้าเอวหัวเราะเสียงดัง หลังหยุดหัวเราะแล้วก็เบ้ปาก พึมพำอย่างหมดสนุก “สมกับเป็นเด็กโง่จริงๆ”
เด็กชายชุดเขียวออกวิ่งไปทางริมหน้าผา แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดัง “คนเกิดมาบนฟ้าดิน เจ้าและข้าต่างก็เป็นคนผ่านทางที่เดินทางอย่างเร่งร้อน! นายท่านใหญ่จะพาเด็กโง่ติดตามนายท่านผู้เฒ่ากลับบ้านแล้ว!”
มุมปากของเฉินผิงอันที่อยู่ห่างไปไกลซึ่งเดิมทีควรหลับสนิทตวัดขึ้นเป็นรอยโค้ง แล้วถึงได้หยุดโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุด เริ่มนอนหลับจริงๆ
—–
บทที่ 174.1 ปีนี้ช่วงหิมะใหญ่มีหิมะตกหนัก
โดย
ProjectZyphon
ริมแม่น้ำใหญ่ของแคว้นหวงถิงซึ่งต้นกำเนิดอยู่ในดินแดนต้าหลี เฉินผิงอันตกปลาดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งได้อย่างไม่คาดฝัน เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูจึงเอามาต้มเป็นแกงปลารสเลิศหนึ่งหม้อ
หนึ่งคนสองปีศาจกินดื่มอิ่มหนำแล้วก็เริ่มพูดคุยกัน
เฉินผิงอันถามพวกเขาว่า การกินเมฆดื่มน้ำค้าง สกัดดึงเอาละอองน้ำยามค่ำคืนและแก่นตะวันจันทราของเทพเซียนที่บอกไว้ในหนังสือนั้นมีประโยชน์จริงหรือไม่
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่ร่างจริงคืองูหลามไฟพยักหน้ารับอย่างแรง
“สิบเบี้ยใกล้มือ ผลประโยชน์น้อยมาก”
เด็กชายชุดเขียวก้มตัวตักน้ำพลางส่ายหน้า “เจียวหลง (ในที่นี้เรียกเจียวและมังกรรวมกัน) อย่างพวกเราเมื่ออยู่กับภูเขาก็ต้องหากินจากภูเขา อยู่กับน้ำหากินกับน้ำ ผสานรวมกับรากฐานแห่งภูเขา กลืนกินโชคชะตาแห่งน้ำ นี่ต่างหากถึงจะเป็นต้นทุนของมหามรรคา ส่วนอย่างอื่นที่จอมปลอมล้วนไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น”
เฉินผิงอันถามยิ้มๆ “ในเมื่อยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง ทำไมถึงไม่เอามาใช้ให้มีประโยชน์มากขึ้น? พวกเจ้าทั้งสองต่างก็อยากจำแลงร่างเป็นเจียว วันหน้ายังต้องพยายามหาร่องคูน้ำขนาดใหญ่ยาวเกินหมื่นลี้เพื่อลงสู่มหาสมุทร สุดท้ายกลายร่างเป็นมังกรที่แท้จริง นี่ต่างหากถึงจะถือเป็นวิธีที่ถูกต้อง พวกเจ้าไม่ควรต้องยิ่งมุมานะในการฝึกตนหรอกหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวโยนหินก้อนสุดท้ายออกไปเบาๆ ปัดมือ คลี่ยิ้ม “การฝึกตนน่ะหรือ ต้องอาศัยพรสวรรค์ ไม่อาศัยความขยัน”
เฉินผิงอันถามอีก “หากมีพรสวรรค์ก็ยิ่งไม่ควรต้องขยันให้มากขึ้นอีกหรอกหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวอึ้งตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็แกล้งตาย “นายท่าน จู่ๆ ข้าก็รู้สึกปวดหัว อาจเป็นเพราะถูกไอน้ำและลมเย็นมากเกินไป ข้าไปนอนก่อนนะ”
เฉินผิงอันยิ้ม “เจ้าเป็นงูน้ำ…”
เด็กชายชุดเขียวดีดตัวกระโดดผลุงพุ่งลงไปในแม่น้ำ พริบตาเดียวร่างของเขาก็หายวับไป
งูน้ำร่างใหญ่มหึมาว่ายวนอยู่ใต้แม่น้ำที่ขุ่นมัวอย่างอิสระตามอำเภอใจ ประหนึ่งกษัตริย์ที่ออกตรวจตราชาวประชาและบ้านเมือง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเอ่ยเบาๆ “นายท่าน เขาน่ะขี้เกียจ ก็แค่ชาติกำเนิดและพรสวรรค์ดีกว่าข้า เนื้อหนังมังสาที่มีมาตั้งแต่เกิดก็ยิ่งแข็งแกร่งทนทาน ต่อให้ข้าตั้งใจฝึกตนสองร้อยสามร้อยปีก็ยังสู้เขาไม่ได้”
เฉินผิงอันพูดปลอบใจ “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปแข่งกับเขา แข่งกับตัวเองก่อน ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันนี้”
นางบังเกิดความฮึกเหิมทันที “นายท่านพูดถูกแล้ว!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกล่าวจริงใจ “มิน่าเล่านายท่านเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองก็ขยันฝึกวิชาหมัดขนาดนี้ ท่านไม่คิดย่อท้อเลยสักนิดเดียว ที่แท้ก็เป็นเพราะนกโง่ต้องหัดบินก่อนนี่เอง…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็รีบยกมืออุดปากตัวเอง
พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง
เฉินผิงอันหลุดขำ “เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าโง่จริงๆ ดังนั้นจึงยิ่งต้องขยันหมั่นเพียร”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เริ่มฝึกเดินนิ่งเลียบริมฝั่งแม่น้ำ
ต่อให้เป็นเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่มีนิสัยนิ่งสงบ แต่พอเห็นเขาเดินหลายรอบขนาดนี้ก็อดรู้สึกเบื่อหน่ายไม่ได้
หลายวันต่อมา เฉินผิงอันใช้ไม้ไผ่ลำหนึ่งยันพื้นเดินขึ้นเขาไปช้าๆ ระหว่างนั้นยังกอบดินขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วใส่ลงไปในถุงผ้าฝ้ายขนาดเล็กใบหนึ่งที่เตรียมไว้นานแล้วอย่างเคร่งขรึมระมัดระวัง ดินหลากสีสันหลายถุงผสมรวมกันจึงเริ่มกลายเป็นน้ำหนักที่หนักที่สุดในตะกร้าไม้ไผ่สะพายหลัง สำหรับเรื่องนี้ทั้งเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็ใจตรงกันจึงไม่เอ่ยถาม คิดแค่ว่านี่อาจเป็นความลับในการฝึกตนที่ไม่อาจบอกใครของอีกฝ่าย
แรกเริ่มเด็กชายชุดเขียวยังรู้สึกว่าไม่ต้องให้ตัวเองจำแลงร่างจริงเพื่อบุกเบิกเส้นทางช่างสุขสบายยิ่งนัก เพียงแต่ค่อยๆ เดินไปอย่างนี้นานวันเข้าก็อดรู้สึกเบื่อหน่ายไม่ได้ แต่ไม่กล้าไปเจ้ากี้เจ้าการกับการเดินทางของนายท่านผู้เฒ่าของตัวเอง จึงได้แต่หาเรื่องมาชวนคุย “นายท่าน ก่อนหน้านี้ตอนที่ผ่านเมืองแห่งนั้น ทำไมพวกเราถึงไม่จ่ายเงินซื้อความสุขสบายให้ตัวเองสักหน่อยล่ะ? บนร่างนายท่านเหลือเงินไม่มาก แต่ข้ามีเงินเยอะนะ ไม่ต้องกลัวว่าจะใช้จ่ายมือเติบเกินไป เพราะต่อให้ข้าใช้เงินที่พกมาตอนนี้หมดสิ้น ขอแค่ข้าเจอแม่น้ำสักสายหนึ่ง เพียงไม่นานก็จะงมสมบัติบางอย่างมาได้ นั่นน่ะมีแต่เงินทั้งนั้น”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าได้ยินมาว่าการฝึกตนเป็นเรื่องที่ต้องใช้เงินทองฟุ่มเฟือยมากที่สุด…”
เด็กชายชุดเขียวรีบเปลี่ยนคำพูดทันที “นายท่าน ข้าน่ะยากจนจะตายไป เมื่อครู่นี้ก็แค่โม้ให้ท่านฟังไปอย่างนั้นเอง!”
เพื่อให้ไม่ต้องฟังหลักการการเก็บหอมรอมริบของคนยากจนจากเฉินผิงอัน นับว่าเขายอมทำทุกวิถีทางแล้วจริงๆ
แต่จะอย่างไรแล้วเด็กชายชุดเขียวก็เป็นประเภทที่ทนความเงียบเหงานานไม่ได้ หลังจากเฉินผิงอันเงียบเสียงไปได้พักหนึ่ง เขาก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดอีกว่า “นายท่าน ข้าไม่ได้จะตำหนิท่านหรอกนะ เงินทองสำหรับการฝึกตนของพวกเรา เมื่อใช้หมดไปแล้วเดี๋ยวมันก็กลับมาใหม่ พูดไม่ถูกหูคำเดียวก็เปิดฉากสังหารสี่ทิศ นี่ต่างหากถึงจะสมเป็นชายชาตรีชาติวีรบุรุษไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่มีชีวิตเหมือนแมลงวันที่วันๆ เข้าโพรงโน้นเจาะโพรงนี้ ขี้ขลาดไม่เอาไหน ตระหนี่ใจแคบ…”
เฉินผิงอันไม่ได้โต้กลับ เพียงเดินขึ้นเขาไปช้าๆ
คนที่ไม่เหมือนกัน
ต่อให้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน แต่สักวันก็ต้องแยกจากกันตรงจุดใดจุดหนึ่ง
นี่คือหนึ่งในความรู้ที่ใหญ่ที่สุดซึ่งเฉินผิงอันได้มาจากการเดินทางคุ้มครองพวกหลี่เป่าผิงไปขอศึกษาต่อยังแดนไกล
……
ตรงชายแดนอันเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างแคว้นหวงถิงกับต้าหลี เฉินผิงอันได้พบปรากฎการณ์ประหลาดที่ภูเขาสั่นคลอนแผ่นดินสะเทือน เขาเห็นว่าบนยอดเขาที่ห่างไปไกลลูกหนึ่งมีฝุ่นตลบคละคลุ้ง ด้วยเหตุนี้เฉินผิงอันจึงลากพวกเขาเข้าไปดูใกล้ๆ ผลคือได้เห็นโศกนาฎกรรมครั้งหนึ่งในเมืองเล็กของแคว้นหวงถิง กำแพงเมือง บ้านเรือนและศาลเทพเจ้าล้วนพังถล่มลงมานับไม่ถ้วน ชาวบ้านเกือบครึ่งเมืองสวมชุดไว้ทุกข์สีขาว กลิ่นอายของความเศร้าอาดูรแผ่อบอวลอยู่ในแต่ละครัวเรือน มีนักพรตเต๋าทั้งแก่และหนุ่มเดินเข้าๆ ออกๆ ฝีเท้าเร่งร้อน มีทั้งสีหน้าเวทนาเห็นอกเห็นใจจากนักพรตเต๋าบางคนที่ยังเด็ก แล้วก็มีสีหน้าแช่มชื่นของนักพรตเฒ่าชราบางคนที่ได้เงินทองมาครอบครองจนถุงห้อยเอวตุง แต่ละคนสีหน้าท่าทางแตกต่างกันหลากหลาย
ยังดีที่ในเมืองยังไม่ถึงขั้นโกลาหลวุ่นวาย เฉินผิงอันไปเจอกับอันธพาลกลุ่มหนึ่งที่กำลังจะรังแกคู่พี่ชายน้องสาวที่พ่อแม่เพิ่งตายไปเพราะปรากฎการณ์ประหลาดจึงขัดขวางเอาไว้ ไม่ให้พวกเขาบังคับเด็กสาวขายตัว เดิมทีคนกลุ่มนั้นก็คิดจะปล้นสะดมตอนไฟไหม้ (เปรียบเปรยว่าฉวยโอกาสเอาเปรียบคนอ่อนแอ) อยู่แล้ว ไหนเลยจะมีเหตุผล แต่พอถูกหนึ่งหมัดหนึ่งเท้าของเฉินผิงอันประเคนใส่สองคนในกลุ่ม พวกเขาก็เผ่นหนีไปอย่างหวาดผวา
เฉินผิงอันมอบเงินยี่สิบตำลึงเงินให้คู่พี่น้องผู้ยากจนแล้วจากมา สุดท้ายมาหยุดพักที่ศาลเทพฝ่ายบู๊แห่งหนึ่งที่เงียบสงัดไร้ผู้คน ค้นพบว่าศาลขนาดเล็กที่ให้ความรู้สึกบอบบางแก่ผู้คนแห่งนี้กลับตั้งตระหง่านไม่ล้ม ไร้ร่องรอยเสียหายใดๆ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว
รูปปั้นดินเผาสีสันของเทพฝ่ายบู๊องค์หนึ่งหนวดตั้งถลึงตาดุดันมองมายังโลกมนุษย์
เด็กชายชุดเขียวปรายตามองรูปปั้นเทพฝ่ายบู๊ปราดเดียวก็มองออกถึงความลี้ลับ “ควันธูปของที่แห่งนี้ไม่สะอาด สถานที่ก็เล็ก เห็นได้ชัดว่าปริมาณควันธูปไม่มากพอ กินไม่อิ่มย่อมต้องหิวตาย ไม่ว่าคนหรือเทพก็เหมือนกัน ดังนั้นเทพที่พิทักษ์ที่แห่งนี้จึงเผ่นไปนานแล้ว ก็ไม่แปลกที่ไม่สามารถปกป้องเมืองไว้ได้ ได้แค่รักษาความสงบของพื้นที่หนึ่งไร่สามงานแห่งนี้เอาไว้อย่างกล้อมแกล้ม”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่มีสายตาที่เฉียบคมและประสบการณ์อย่างเด็กชายชุดเขียว อีกทั้งจิตใจยังบริสุทธิ์ไร้เดียงสามากกว่า จึงหันไปโค้งตัวคารวะรูปปั้นเทพฝ่ายบู๊องค์นั้นด้วยความเคารพ พอเห็นว่าเฉินผิงอันเริ่มทำความสะอาดพื้น นางจึงช่วยเช็ดคราบฝุ่นที่เกาะอยู่บนแท่นบูชา
เด็กชายชุดเขียวไม่กล้าแดกดันนายท่านผู้เฒ่าของตัวเอง จึงได้แต่หันมาเยาะเย้ยนางแทน “เจ้าเป็นงูหลามไฟที่ได้เล่าเรียนมาบ้าง จะมาตีสนิทอะไรกับเทพประเภทนี้? อีกอย่างมหาศึกในปีนั้นที่เดือดร้อนกันไปทั่วทุกย่อมหญ้าถือเป็นการเปลี่ยนฟ้าพลัดดินครั้งใหญ่ พวกเราที่เป็นเผ่าพันธุ์ของเจียวหลงนับว่าเป็นคนทรยศตัวจริงเสียงจริง โชคดีที่เทพน้อยของที่นี่ไม่อยู่แล้ว หากยังอยู่ การไหว้ครั้งนี้ของเจ้าต้องถูกเขามองเป็นการท้าทาย ไม่แน่ว่าองค์เทพผู้เฒ่าอาจถอดจิตจากร่างจริงมาเยือนโลกมนุษย์ด้วยร่างทองคำ จากนั้นก็ตบกะโหลกเจ้าปังทีเดียว หัวระเบิดเละเทะ โอ้โห ถึงเวลานั้นล่ะข้าจะต้องปรบมือให้กำลังใจแน่นอน”
เฉินผิงอันถามอย่างแปลกใจ “ทำไมเจียวหลงอย่างพวกเจ้าถึงเป็นคนทรยศ?”
เด็กชายชุดเขียวรู้ว่าตัวเองหลุดปากไปแล้วก็รีบหุบปาก ส่ายหน้าอย่างแรง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ่งยกสองมือปิดปาก มองเฉินผิงอันด้วยท่าทางน่าสงสาร สีหน้าประมาณว่านายท่านโปรดอย่าถามข้า ต่อให้ข้ารู้ก็ไม่กล้าพูดหรอก น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
เมฆสีแดงเพลิงปูแผ่เต็มขอบฟ้า เฉินผิงอันและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูช่วยกันก่อไฟทำอาหารในวัด เด็กชายชุดเขียวรอคอยกับข้าวเสร็จด้วยความเบื่อหน่ายจึงเดินกลับไปกลับมาบนธรณีประตูสูง แล้วจู่ๆ เขาก็กระโดดลงมา เดินเร็วๆ ลงขั้นบันไดไปหยุดตรงหน้าคู่พี่ชายน้องสาว กระแอมให้ลำคอชุ่มฉ่ำแล้วกล่าวอย่างวางมาด “มีธุระกับนายท่านผู้เฒ่าของข้างั้นรึ? ว่ามาเถอะ มีเรื่องอะไร แต่อย่าหวังว่านายท่านจะช่วยพวกเจ้ามากกว่านั้น ข้าแนะนำพวกเจ้าว่ามาทางไหนก็รีบกลับไปทางนั้น ถ้าหาก…”
เด็กชายชุดเขียวมองประเมินเด็กสาวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย อีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าเก่ามอซอพอๆ กับนายท่านของตน หน้าตาของนางแค่พอดูได้ แต่รูปร่างกลับยอดเยี่ยม อายุน้อยๆ ก็มีหุ่นอวบอิ่มเปี่ยมเสน่ห์ดุจสตรีแต่งงานแล้ว นับว่าหาได้ยากยิ่ง เด็กชายชุดเขียวหุบยิ้ม พูดเหลวไหลด้วยสีหน้าจริงจังของตัวเองต่อไป “ถ้าหากรู้สึกว่าพระคุณช่วยชีวิตยากจะหาสิ่งใดมาตอบแทน ใครบางคนจึงคิดจะเสนอตัวร่วมเตียงกับนายท่านของข้า ข้าก็จะไปช่วยรายงานให้…”
เด็กหนุ่มที่อายุมากกว่าเล็กน้อยสีหน้ามืดทะมึน จะหมุนตัวจากไปด้วยความโมโห แต่กลับถูกเด็กสาวรั้งชายแขนเสื้อเอาไว้เบาๆ เขาถึงได้เห็นว่าผู้มีพระคุณเดินออกมาจากศาลเทพฝ่ายบู๊แล้ว และหลังจากเขกมะเหงกใส่เด็กชายชุดเขียวก็กล่าวขออภัย “พวกเจ้าอย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจัง เขาก็ชอบพูดเล่นข่มขู่คนอื่นแบบนี้แหละ”
เด็กสาวตอบเขินอาย “ไม่เป็นไร พี่ชายและข้าไม่ถือสา”
ที่แท้พี่น้องสองคนก็เอาอาหารมามอบให้ เฉินผิงอันรับมาแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างพูดไม่เก่ง เด็กหนุ่มจึงหมุนกายกลับไปทางเดิมอย่างรวดเร็ว ส่วนเด็กสาวยอบตัวคำนับอย่างเก้ๆ กังๆ แล้วจึงเอ่ยบอกลาผู้มีพระคุณที่มีโอกาสพบกันโดยบังเอิญ
เฉินผิงอันถอนหายใจ เดินกลับเข้าไปในศาลเทพฝ่ายบู๊ มองเด็กชายชุดเขียวที่กระโดดโลดเต้นอยู่บนธรณีประตูพลางเอ่ยเบาๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่คราวหน้าอย่าพูดจาเลื่อนเปื้อนกับทุกคนอีก คำพูดไร้เจตนาบางคำสามารถทำร้ายคนได้ และคนบางคนก็อาจจำฝังใจไปอีกหลายปี”
ดวงตาสีเขียวเข้มที่หากมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดของเด็กชายชุดเขียวเผยความไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่นับว่าอำพรางได้ดีมาก เขาก้มหน้าร้องอ้อหนึ่งคำแล้วก็เงียบไป
เฉินผิงอันเองก็ไม่พูดอะไรอีก นั่งลงในศาลเทพฝ่ายบู๊แล้วเริ่มฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่ง
กู้ช่านที่อาศัยอยู่สุดตรอกหนีผิงจดจำ “ศัตรู” ได้มากมายตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนที่พูดถึงคนเหล่านั้นเวลาอยู่ตามลำพังกับเฉินผิงอัน กู้ช่านมักจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แผ่ปราณสังหาร เด็กตัวเล็กแค่นั้นก็มีความคิดที่จะแอบไปรื้อสุสานบรรพบุรุษของคนอื่นแล้ว
เรื่องนี้ใครถูกใครผิด บอกได้ยากยิ่ง
แต่หากอิงตามคำบอกของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งโดยไล่เรียงตามลำดับขั้นตอน แท้จริงแล้วปมในใจหลายปมของกู้ช่านมีต้นกำเนิดมาจากคำพูดเย้ยหยันแดกดันที่มองดูแล้วต่อให้เอามารวมกันก็ยังไม่มีน้ำหนักมากพอนั่นเอง
เด็กชายชุดเขียวมองเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่ยุ่งหัวหมุนอยู่ในห้อง รวมไปถึงเฉินผิงอันที่รวบรวมสมาธิฝึกวิชาหมัดแล้วขยับปากจะพูดไม่พูด สุดท้ายก็กลืนคำพูดกลับลงท้อง แต่ดูเหมือนว่าความกลัดกลุ้มที่สั่งสมไว้ยากจะกำจัดทิ้งไปได้ ฝีเท้าที่เดินเตร่ไปมาบนธรณีประตูจึงถี่กระชั้นกว่าเดิม ท้ายที่สุดเขารู้สึกว่าหากไม่พูดออกมาคงอัดอั้นตายแน่ สองเท้าที่อยู่บนธรณีประตูจึงหยุดกึก เรือนกายเล็กเตี้ยแกว่งโยกไปมาเป็นวงกว้างเหมือนชิงช้า เดี๋ยวก็คว่ำหน้าเข้าไปในวัด เดี๋ยวก็หงายหลังออกไปนอกวัด พูดกับเฉินผิงอันว่า “เด็กหนุ่มตรอกยากจนช่างไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่นเสียบ้างเลย แค่คำพูดหยอกล้อสองสามคำก็ทนฟังไม่ได้ ตายไปเสียยังดีกว่า! ความสามารถอะไรก็ไม่มีสักอย่าง แต่จิตใจกลับสูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้า สมควรแล้วที่เด็กหนุ่มคนนั้นต้องลำบากยากแค้นไปทั้งชีวิต!”
เฉินผิงอันยังคงนั่งนิ่งหลับตาฝึกท่าเจี้ยนหลูของตนเหมือนเดิม ไม่ฟังไม่ถาม ไม่พูดไม่ตอบ
—–
บทที่ 174.2 ปีนี้ช่วงหิมะใหญ่มีหิมะตกหนัก
โดย
ProjectZyphon
เด็กชายชุดเขียวเงียบไปครู่หนึ่งก็กดเสียงให้ทุ้มต่ำ จุดลึกในดวงตาที่เริ่มมีประกายน้ำเย็นเยียบผุดขึ้นมาจ้องเขม็งไปที่เฉินผิงอัน พยายามพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “นายท่าน พวกเราออกมาเดินในยุทธภพต้องช่วยแค่ญาติมิตรไม่ต้องสนใจเหตุผล ถึงจะกินอร่อยอยู่เป็นสุข แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าไม่เห็นว่าพวกเขาสองพี่น้องสำคัญตรงไหน บุญคุณยิ่งใหญ่ของนายท่าน แม้จะเป็นพี่น้องกัน น้องสาวรู้จักวางตัวเข้าใจเหตุผล แต่เด็กหนุ่มคนนั้นกลับทำหน้าไม่พอใจ ด้านหนึ่งคงรู้สึกว่าข้าแทะโลมน้องสาวของเขา ทำให้เขาเสียหน้า แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเพราะเขามีความนับถือตัวเองต่ำ เพราะลึกๆ ในใจเขารู้ดีว่าตัวเองคือเศษสวะไร้ค่า ต่อให้ไม่เกิดเหตุโกลาหล เขาก็ยังปกป้องน้องสาวตัวเองไม่ได้อยู่ดี คนแบบนี้หากวันหน้ายังดึงดัน ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ก็มีแต่จะยิ่งต้องเสียเปรียบคนอื่น เพราะฉะนั้นนายท่าน ที่ข้าทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีต่อพวกเขาสองพี่น้อง”
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น หลังจากใคร่ครวญอย่างจริงจังอยู่ในใจตัวเองแล้วก็พยักหน้ารับ เอ่ยเนิบช้า “เจ้าพูดถูก แต่ผิดและถูกมีการแบ่งก่อนหลัง เจ้าไม่ควรเอาความถูกต้องในภายหลังมาปฏิเสธความถูกต้องในกาลก่อนหน้า ความผิดก็ยิ่งควรต้องเป็นเช่นนี้”
เด็กชายชุดเขียวกำหมัดแน่นอยู่ในชายแขนเสื้อ หลุบตาลงต่ำราวกับกลัวว่าหากเปิดเผยสีหน้าของตัวเองออกไป เฉินผิงอันจะมองทะลุ ‘บ่อน้ำ’ มาเห็นกระแสคลื่นในทะเลสาบหัวใจของตัวเอง ปีศาจน้ำผู้ควบคุมแม่น้ำอวี้เจียงซึ่งอยู่ใต้คนคนเดียว อยู่เหนือคนนับหมื่นรู้สึกถึงเพียงไฟโทสะที่ลุกโหมอยู่ในใจ อยากจะต่อย ‘นายท่านผู้เฒ่าของตน’ ที่น่าเบื่อหน่ายให้ตายๆ ไปซะด้วยหมัดเดียว จากนั้นค่อยเขมือบงูหลามไฟตัวนั้นเพิ่มตบะให้กับตัวเอง ให้อีกฝ่ายกลายมาเป็นหินรองเท้าแห่งมหามรรคาซึ่งทอดยาวไปสู่สวรรค์ของตน
เด็กชายชุดเขียวหมุนตัวกลับไป กระโดดลงจากธรณีประตู หัวเราะหึหึ “นายท่าน ถ้าอย่างนั้นข้าไปขอโทษพวกเขาแล้วกัน”
เสียงหัวเราะดังเข้ามาในศาลเทพฝ่ายบู๊ ทว่าสีหน้าของเด็กชายชุดเขียวที่หันหลังให้ศาลกลับเต็มไปด้วยจิตสังหารอันชั่วร้าย
หลังจากเด็กชายชุดเขียวจากไปไกลแล้ว เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถึงกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “นายท่าน เขาโกรธมากจริงๆ นะ หากอยู่ที่แม่น้ำอวี้เจียง ดูจากนิสัยของเขา ไม่แน่ว่าอาจทำให้น้ำท่วมสองชายฝั่งไปแล้ว จากบันทึกในอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น ตลอดหลายร้อยปีมานี้เกิด ‘ภัยพิบัติทางธรรมชาติ’ อย่างน้ำบ่าท่วมทะลักอยู่หลายครั้ง เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงไม่เพียงแต่ไม่ช่วยระงับการเกิด กลับยังช่วยผลักดันอย่างลับๆ ด้วย”
เฉินผิงอันลูบศีรษะของนาง “ในเมื่อไม่ยอมเชื่อฟัง วันหน้าก็ไม่ต้องพูดเหตุผลกับเขาแล้ว”
คำว่าไม่พูดของเฉินผิงอันก็คือจะไม่พูดหลักการเหตุผลที่น่าเบื่อเหล่านี้กับเด็กชายชุดเขียวอีกแล้วจริงๆ
เดิมทีนึกว่าเดินทางมาร่วมกัน ความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมดีแล้ว เฉินผิงอันถึงได้ยอมพูดเรื่องพวกนี้ แต่ในเมื่อเขาไม่ชอบฟัง เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะหาเรื่องน่าเบื่อหน่ายมาสู่ตัว ให้ทุกอย่างกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้งก็พอ วันหน้าขอแค่เด็กชายชุดเขียวไม่ทำเรื่องอะไรที่ล้ำเส้นของเฉินผิงอันก็ปล่อยให้เขาทำไป เหมือนกับเรื่องเล็กน้อยในวันนี้ หากเป็นตอนแรกที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ เฉินผิงอันคงแค่มองดูอยู่เฉยๆ ไหนเลยจะยอมเอ่ยความในใจออกมา เฉินผิงอันเดินทางกับชุยตงซานมาตั้งไกลขนาดนั้น เขาเคยพูดความในใจสักกี่ครั้งกันเชียว?
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “นายท่านสามารถพูดกับข้าได้ ข้าชอบฟังเรื่องพวกนี้”
เฉินผิงอันยิ้มเข้าใจ “แต่หากมีเรื่องไหนที่พูดไม่ถูก เจ้าต้องบอกข้าด้วย”
ฉับพลันนั้นความคิดหนึ่งก็บังเกิดขึ้น นางจึงหลุดปากพูดออกไป “ที่นายท่านบอกว่าต้องอิงตามลำดับนั้น ทำให้ความคิดของข้าสว่างโล่งทันทีทันใด ท่านกล่าวได้ถูกต้องอย่างถึงที่สุด!”
แล้วนางก็หน้าแดงก่ำ รีบอธิบาย “นายท่าน ข้าไม่ได้เลียนแบบเขานะ ไม่ได้พูดเพื่อเอาใจท่าน!”
เฉินผิงอันมองเปลวไฟ ข้าวใกล้จะสุกแล้ว เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกล่าวขุ่นเคือง “นายท่าน พวกเราไม่ต้องเหลือข้าวไว้ให้เขา ปล่อยให้เขาหิวไปเลย นายท่านอุตส่าห์หวังดีกับเขา เขายังจะมาโกรธท่าน! หากไม่เป็นเพราะร่างจริงถูกกักไว้ในแท่นฝนหมึก วันนี้เขาคงลงมือกับนายท่านไปแล้วจริงๆ เมื่อครู่นี้ข้าตกใจแทบตายแน่ะ”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้ม “ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องเหลือข้าวเอาไว้”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ้มสดใส “ข้าเชื่อฟังนายท่าน”
เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กของนางเบาๆ อย่างอ่อนโยน
แน่นอนว่าเด็กชายชุดเขียวไม่ได้ไปขอโทษคนที่เป็นเหมือนมดตัวน้อยในสายตาของเขา แค่อดทนไม่ตบคู่พี่น้องให้กลายเป็นเนื้อบดก็นับว่าเขาใจกว้างมากพอแล้ว
เด็กชายชุดเขียวเอาสองมือไพล่หลัง เดินออกห่างจากศาลเทพฝ่ายบู๊ แตะปลายเท้าเบาๆ หนึ่งครั้งก็ดีดตัวขึ้นบนหลังคาแห่งหนึ่ง เรือนกายเล็กเตี้ยกลายร่างเป็นควันสีเขียวอ่อนจางที่พุ่งออกไปนอกเมือง สุดท้ายทะยานร่างขึ้นสูงหายสวบเข้าไปในชั้นเมฆ วาดเส้นโค้งใหญ่มหึมาอยู่บนท้องฟ้า พอตกลงกลางภูเขาลึกแล้วร่างจริงที่กลับคืนเป็นงูน้ำก็กระแทกลงบนพื้นดิน แผ่นดินสั่นสะเทือนรุนแรงจนคนในเมืองต่างก็สัมผัสได้อย่างชัดเจน
งูน้ำเลื้อยร่างใหญ่โตไปตลอดทาง ไม่ว่าผ่านที่ใดต้นไม้ก็หักโค่นระเนระนาด ก้อนหินกลิ้งขลุกๆ กระเด็นกระดอน ต่อมาก็เลื้อยทวนกระแสลำธารสายหนึ่งขึ้นสู่เบื้องบน สะเก็ดน้ำแตกซ่านกระจาย สุดท้ายเลื้อยร่างพันรอบหน้าผาสีเทาซีดที่โดดเด่นแห่งหนึ่ง หัวโผล่พ้นยอดหน้าผาไปแล้ว แต่หางยังคงวางพาดอยู่ตรงตีนหน้าผา
ต้นไม้ตรงหน้าผาที่เดิมทีก็มีอยู่ไม่มากแหลกเละแล้วกลิ้งหลุนๆ ตกลงมา
งูน้ำที่แผ่กลิ่นอายดุร้ายเพิ่มพละกำลังไปทั่วร่างอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายถึงขั้นบีบรัดให้ผาหินทั้งผืนแตกพัง
เขาถึงได้จำแลงร่างกลับคืนท่ามกลางฝุ่นที่ตลบมืดฟ้ามัวดิน แล้วจึงลงจากเขาไปด้วยฝีเท้าเบาดุจขนนก ว่องไวดุจสายฟ้าแลบ
เด็กชายชุดเขียวไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำของเขาตกอยู่ในสายตาของคนสองคน บนภูเขาลูกหนึ่งที่ห่างไปไกลหนึ่งร้อยลี้ ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อยืนตระหง่านรับลม ในมือถือแท่นฝนหมึกที่มีเจียวเฒ่าตัวหนึ่งนอนหลับสนิท ส่งเสียงกรนเบาๆ เหมือนเหนื่อยอ่อน เขาก็คือซือหลางเฒ่าของแคว้นหวงถิง หรือจะพูดอีกอย่างก็คือเผ่าพันธุ์เจียวหลง (ในที่นี้หมายถึงทั้งเจียวและมังกร) ที่เหลืออยู่ไม่มากของแคว้นสู่โบราณ
เจียวเฒ่าได้รับอักษรทองกลางฝ่ามือจากเหวินเซิ่งก่อน จากนั้นจึงกลายเป็นพันธมิตรอย่างลับๆ กับราชครูต้าหลี หลังจากส่งชุยฉานที่อยู่ในหนังหุ้มของเด็กหนุ่มไปถึงอาณาเขตของต้าสุยแล้ว ผู้เฒ่าก็เดินทางกลับมายังขอบเขตของแคว้นหวงถิง แล้วเริ่มจับเจียวและมังกรทั้งหมดที่เหลืออยู่มากักเก็บไว้ในแท่นฝนหมึก เขาถึงกับใช้วิชาอภินิหารใหญ่อย่างการขุดดินลึกสามฉื่อ ลงน้ำลึกพันจั้ง ตอนนี้ในแท่นฝนหมึกนอกจากเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่ชุยฉานเป็นผู้จับมาเองแล้ว ก็ยังมีเจ้าตัวเล็กตัวน้อยเพิ่มขึ้นมาอีกสิบกว่าตัว
เวลานี้ข้างกายของผู้เฒ่ามีหญิงชราหลังงองุ้มคนหนึ่งยืนอยู่ ร่างจริงของนางคืองูปล้องแดงที่เติบโตขึ้นมาในป่าเขา หลังจากได้รับโชควาสนาด้านการฝึกตนก็ตั้งใจฝึกบำเพ็ญตบะอย่างยากลำบากมาอีกห้าร้อยปี ถึงได้มีสภาพอย่างทุกวันนี้ เพิ่งจะเลื่อนขั้นสู่ตบะขอบเขตเจ็ดก็ถูกผู้เฒ่าหาที่ซ่อนตัวเจอ อีกฝ่ายเจาะภูเขาลึกลงไปร้อยจั้งแล้วดึงร่างจริงของหญิงชราออกมา นางถึงจำต้องยอมพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น ทว่าการยอมศิโรราบต่อผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่มีชื่อเสียงโด่งดังแค่ทำให้หญิงชรารู้สึกว่าไม่มีอิสระเท่านั้น หาได้รู้สึกว่าตัวเองได้รับความอยุติธรรมใดๆ ไม่
ผู้เฒ่าถามเสียงเรียบเฉย “คิดว่าอย่างไร?”
หญิงชราตอบนอบน้อม “เรียนท่านบุรพาจารย์ งูน้ำตัวนี้ยังมีนิสัยดื้อรั้นเกเรอยู่มาก แต่สายเลือดและฐานกระดูกของเขา ต่อให้เป็นข้าก็ยังรู้สึกอิจฉาไม่น้อย”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ชาติกำเนิดพอใช้ได้ น่าเสียดายที่โง่เขลา นิสัยแปรปรวน ไม่อาจนำมาใช้ในงานสำคัญได้ เสียโอกาสในการลอกคราบลับๆ ไปอย่างสิ้นเปลือง”
หญิงชราอึ้งตะลึง ไม่รู้ว่าทำไมผู้เฒ่าถึงพูดเช่นนี้
ก่อนหน้านั้นคนทั้งสองลอยตัวอยู่กลางก้อนเมฆเหนือศาลเทพฝ่ายบู๊ที่รกร้างอยู่ตลอดเวลา เจียวเฒ่าใช้วิชากอบน้ำดูฟ้าดินจึงมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน
หากเด็กชายชุดเขียวกล้าลงมือกับเฉินผิงอัน ต่อให้เป็นแค่การท้าทาย เขาก็ต้องตายไปอย่างเฉียบพลัน เจียวเฒ่าไม่คิดใจอ่อนมีเมตตาแน่นอน
และในความเป็นจริงแล้วเจียวเฒ่าก็ค่อนข้างจะเกลียดชังเด็กชายชุดเขียว ซึ่งนี่เป็นความรู้สึกที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนิสัยใจคอ แต่ล้วนเป็นเพราะความขัดแย้งทางสายเลือด ท่ามกลางสายเลือดของเจียวและมังกรจำนวนมากที่หลงเหลืออยู่บนโลกมนุษย์ สายของเด็กชายชุดเขียวมักจะฝึกตนได้ว่องไว ค่อนข้างจะเป็นลูกรักของสวรรค์ แต่กลับถูกเจียวและมังกรที่แท้จริงผลักไสไล่สงมากที่สุด ก็เหมือนกับบุตรนอกสมรสในตระกูลชนชั้นกลางที่มักจะได้รับสถานะไม่สูงไม่ต่ำ ไม่มีความสามารถโดดเด่น แต่กลับขัดหูขัดตาผู้คนอย่างมาก
ตบะของหญิงชราต่ำ วิสัยทัศน์คับแคบ จึงมองสายสนกลในอะไรไม่ออก
ส่วนนิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิดของงูน้ำตัวนั้น หญิงชราก็ยิ่งไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ การที่สันหลังของนางโก่งงอ นั่นเป็นเพราะครั้งแรกที่ช่องโพรงในร่างถูกเปิด พละกำลังยังอ่อนแออยู่มาก กลับถูกคนจับงูในภูเขาจับตัวได้ ระหว่างที่ต่อสู้กันได้ถูกคนผู้นั้นทำลายต้นกำเนิดของพลัง จึงเป็นเหตุให้ถึงแม้นางจะกลายร่างเป็นมนุษย์ก็ยังมีสันหลังคดงอติดมาด้วย ภายหลังนางไปเจอลูกหลานของคนผู้นั้น การชำระแค้นเลือดที่ช้าไปถึงสองร้อยกว่าปีจึงเกิดขึ้น คนของตระกูลชนชั้นกลางตระกูลหนึ่งในเมืองล้วนตายหมดภายในชั่วข้ามคืน ไม่ว่าเด็กสตรีหรือคนชราก็ล้วนไม่มีใครหนีพ้นหายนะไปได้ ควันธูปของตระกูลขาดสายลงอย่างสิ้นเชิง
หลังจบเรื่องหญิงชรายังรู้สึกไม่สาแก่ใจ เจ็บใจก็แต่คนผู้นั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตน หาไม่แล้วนางจะต้องทำให้เขาลิ้มรสชาติของความรู้สึกอยู่ไม่สู้ตายไปชั่วชีวิตให้จงได้
ดังนั้นการที่งูน้ำตัวนั้นสามารถอดทนข่มกลั้นได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มยากจนจู้จี้ขี้บ่นคนนั้น เด็กชายชุดเขียวกลับไม่หลุดคำพูดหยาบคายออกไปแม้แต่คำเดียว จนกระทั่งเข้ามาในป่าลึกแล้วถึงได้ปลดปล่อยปราณสังหารอำมหิต ในสายตาของหญิงชราจึงเห็นว่าอีกฝ่ายฝึกระงับอารมณ์ได้ไม่เลวเลยทีเดียว
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ฐานกระดูกของเจ้าเทียบกับงูน้ำตัวนั้นไม่ได้ นิสัยและสติปัญญาก็ยิ่งสู้งูหลามน้อยตัวนั้นไม่ได้ ห่างชั้นไกลอักโขนัก”
หญิงชราหน้าเผือดสีทันใด
หวาดกลัวว่าหากผู้เฒ่าไม่พอใจจะสังหารตัวเอง
เพราะอย่างไรซะตลอดเวลาที่เดินทางร่วมกันมาก็มีพวกเผ่าพันธ์เดียวกันที่มีตาแต่ไร้แวว ไม่ยอมรับการพันธนาการอยู่ไม่น้อย ซึ่งทุกตัวล้วนถูกผู้เฒ่าลงมือสังหารโดยไม่มีข้อยกเว้น พอตายไปแล้วต้นกำเนิดพลังและจิตวิญญาณทั้งหมดยังไม่มีที่ให้หลบหนี ล้วนถูกดึงเข้าไปไว้ในแท่นฝนหมึกโบราณ ได้แต่กลายมาเป็น ‘หมึกบางๆ’ ชั้นหนึ่งเท่านั้น
ผู้เฒ่าทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “บนมหามรรคา ผู้คนล้วนแย่งชิงเป็นที่หนึ่ง หากช้าไปก้าวเดียวก็ช้าไปทุกก้าว บางคนที่เอาแต่งีบหลับเกียจคร้าน ขอบเขตกลับทะยานพันลี้ภายในวันเดียว แต่เจ้าตั้งใจฝึกตนอย่างยากลำบากทั้งวันทั้งคืน สุดท้ายก็ยังเป็นแค่เศษสวะคนหนึ่ง การฝึกตนก็น่าหน่ายใจเช่นนี้”
หญิงชรารีบเอ่ยเสริม “ท่านบุรพาจารย์ เด็กหนุ่มคนนั้นร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะ “ไม่ใช่ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นที่ร้ายกาจ แต่เป็นคนนำทางของเด็กหนุ่มต่างหากที่เก่งกาจอย่างแท้จริง หากเด็กหนุ่มเป็นแค่เด็กหนุ่ม ไม่ว่าเขาจะมานะพยายามแค่ไหน ขอบเขตของวิถีวรยุทธ์ก็ไม่มีทางสูงไปได้สักเท่าไหร่ อย่างมากก็ได้แค่ขอบเขตหกขอบเขตเจ็ด แค่นี้เท่านั้น”
ลงน้ำเป็นเจียว ลงมหาสมุทรเป็นมังกร นี่คือสองการขัดเกลาครั้งใหญ่ที่เหล่าเจียวหลงปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน ท่ามกลางขั้นตอนนี้จะต้องพบเจอกับอุปสรรคยากลำบากเหลือคณา ไม่เพียงแต่ต้องเลือดโชกจนแยกเนื้อหนังไม่ออก ยังต้องผจญกับความทรมานของการผลัดเปลี่ยนกระดูก การลอกคราบระหว่างการเลื่อนขั้นในช่วงแรกเป็นแค่การลอกคราบระดับเล็ก ต้องผ่านการลอกคราบอยู่อีกหลายครั้ง สองครั้งหลังถึงจะเรียกว่า “การลอกคราบใหญ่”
ผู้เฒ่าเดินออกมาจากยอดเขาทีละก้าวท่ามกลางสายลม หญิงชราได้แต่กลับสู่ร่างจริงถึงจะติดตามไปได้ งูปล้องแดงยาวเจ็ดแปดจั้งตัวหนึ่งส่ายหางเลื้อยอยู่ข้างกายผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อ
เจียวเฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “ข้าไม่ได้บอกว่าเส้นทางของเด็กหนุ่มจะต้องถูกเสมอไป อาจจะเป็นมหามรรคาที่ทอดยาวสู่สวรรค์ หรืออาจจะเป็นทางตันที่ไร้อนาคต แต่จะว่าไปแล้ว ต่อให้ทางสายนั้นเป็นทางตันก็มากพอที่จะทำให้งูน้ำตัวน้อยกลายร่างเป็นเจียว น่าเสียดายที่อยู่ท่ามกลางวาสนา แต่ดันไม่รู้ตัว ตัดขาดอนาคตของตัวเอง มิน่าเล่าสวรรค์ถึงไม่ประทานของกินให้ ต่อให้ประทานแล้วก็ยังไม่มีปัญญาถือถ้วยข้าวได้มั่นคง”
งูปล้องแดงพูดภาษามนุษย์ “ท่านบุรพาจารย์มีตบะลึกล้ำ ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำและภูเขา เห็นมหาสมุทรเปลี่ยนเป็นไร่นามานับไม่ถ้วน สายตายาวไกล แค่พวกเราได้ทำตามคำสั่งของท่านบุรพาจารย์ก็พอใจแล้ว สำหรับพวกเราแล้ว นี่นับเป็นโชควาสนาครั้งใหญ่อย่างหาสิ่งใดมาเทียบเทียมมิได้”
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อเพียงแค่ยิ้มรับ
อันที่จริงยังมีคำพูดอีกมากมายที่เจียวเฒ่าไม่ได้เปิดเผยกับงูปล้องแดงตัวนี้ ซ้ำยังจงใจเอ่ยคำพูดบางอย่างที่ค้านต่อสถานะของตัวเองด้วย
พรสวรรค์ด้านวิถีวรยุทธ์ของเด็กหนุ่มผู้นั้นไม่ถือว่าโดดเด่นก็จริง แต่เด็กที่ชื่อเฉินผิงอันคนนี้ไม่ได้ ‘ธรรมดา’ อย่างที่เจียวเฒ่าพูดแน่นอน ครั้งแรกที่เห็นเด็กๆ ซึ่งไปขอศึกษาต่อ ณ แดนไกลกลุ่มนั้นที่คฤหาสน์ของตน เจียวเฒ่าได้ใช้วิชาอภินิหารมองไปในปราดแรก เฉินผิงอันเป็นคนสุดท้ายที่เข้าสู่เนตรทิพย์ของเขา แต่มองไปมองมา เจียวเฒ่ากลับค้นพบว่าทุกคนต่างก็ห้อมล้อมอยู่รอบกายเฉินผิงอัน ซึ่งสาเหตุไม่ได้มาจากคำพูดและการกระทำของเขาเท่านั้น
แต่มาจากพลังอำนาจที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง
—–
บทที่ 174.3 ปีนี้ช่วงหิมะใหญ่มีหิมะตกหนัก
โดย
ProjectZyphon
ท่ามกลางค่ำคืนที่ฝนตก มีเด็กหนุ่มชุดขาวหน้าตาหล่อเหลาประณีต แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสะพายหีบหนังสือใบเล็ก เด็กหนุ่มผู้เย็นชาที่เดินบนเส้นทางของการฝึกตนแล้ว เด็กสาวรูปร่างอรชรผู้มีฐานกระดูกล้ำเลิศ เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เก็บซ่อนตบะรวมทั้งปราณมังกรทั่วร่างไว้เป็นความลับ เด็กชายตัวเล็กแข็งแกร่ง
และสุดท้ายถึงจะเป็นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่ในมือถือมีดผ่าฟืนเดินนำทาง มองปราดๆ คือบุคคลที่ไม่สะดุดตาที่สุด
ทว่าเมื่อเจียวเฒ่าเพ่งมองไปหลายครั้งเข้ากลับมองออกถึงความแตกต่างที่ไม่ธรรมดา
ประหนึ่งดวงเดือนที่ถูกห้อมล้อมด้วยหมู่ดาว แล้วก็เหมือนยอดขุนเขาที่ภูเขาทั้งหลายพากันเคารพกราบไหว้
เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นเดินนำอยู่ข้างหน้าก็คล้ายกำลังบอกว่า พวกเจ้าจงติดตามมาด้านหลังอย่างวางใจ
เพราะฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่ ข้าล้วนแบกไว้ด้วยสองไหล่หมดแล้ว
……
หลังกลับมาถึงศาลเทพฝ่ายบู๊อีกครั้ง เด็กชายชุดเขียวก็กลับคืนสู่สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และเฉินผิงอันก็ยังคงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเดิม
ตอนแรกเด็กชายชุดเขียวยังกังวลอยู่บ้างว่าเฉินผิงอันจะเปลี่ยนใจ ไม่มอบหินดีงูสองก้อนที่เคยรับปากไว้ให้เขาแล้ว จึงถามหยั่งเชิงไปสองครั้ง หลังจากได้รับคำยืนยันที่ชัดเจน เด็กชายชุดเขียวก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เพียงแต่ว่าการอยู่ร่วมกันในภายหลัง แม้เฉินผิงอันจะไม่ทำตัวผิดแผกไปจากเดิม ยามที่ควรจะฝึกฝนวิถีวรยุทธ์ก็ยังคงให้เขาป้อนหมัด ยามที่ควรจะขี่ร่างเขาเพื่อเร่งเดินทางก็ยังคงให้เขากลับคืนสู่ร่างจริง แม้เขาจะเกเรดื้อรั้นหรือโวยวายไร้สาเหตุ เฉินผิงอันก็แค่ระอาใจด้วยไม่รู้จะทำเช่นไร แต่ไม่มีความรังเกียจเดียดฉันท์
ทว่าเด็กชายชุดเขียวมักจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง แต่มันคืออะไร เขาก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
ยิ่งขยับเข้าไปใกล้บ้านเกิดของนายท่านผู้เฒ่ามากเท่าไหร่ เด็กชายชุดเขียวก็รับรู้ได้ว่าเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ่งอารมณ์ดีมากเท่านั้น นี่จึงทำให้เขาอารมณ์บูดมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นหลังจากข้ามภูเขาลูกหนึ่งเข้ามาในเขตแดนของแคว้นต้าหลีอย่างเป็นทางการแล้ว เด็กชายชุดเขียวจึงดึงท่าไม้ตายก้นกรุออกมาใช้
ท่ามกลางแสงสายัณห์ บนทางไม้เลียบหน้าผาที่ถูกปล่อยร้างมานานหลายปี คนสามคนก่อไฟนั่งพักเท้าอยู่ในถ้ำที่ค่อนข้างกว้างขวางซึ่งเว้าเข้าไปในหน้าผา เขาเรียกชามกระเบื้องใบใหญ่ออกมาจากในวัตถุฟางชุ่น ในถ้วยมีน้ำใสอยู่เกือบครึ่ง ปราณวิญญาณแผ่อบอวล ไม่เหมือนกับน้ำไร้ต้นกำเนิด (หมายถึงน้ำที่ไม่ได้ไหลมาจากต้นน้ำโดยตรง) ทั่วไปในโลกมนุษย์
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกะพริบตาที่คลอไปด้วยน้ำแวววาว เพียงครู่เดียวก็รู้ที่มาที่ไปของถ้วยนั้น แต่ก็ไม่กล้าขยับเข้าไปมองใกล้ๆ ยังดีที่เด็กชายชุดเขียวใช้สองมือยกถ้วยขยับไปนั่งข้างเฉินผิงอันอย่างเริงร่า พูดอย่างลึกลับว่า “นายท่าน จะให้ท่านดูอะไรดีๆ ใกล้แล้วล่ะ ยังเหลืออีกหนึ่งเค่อ”
เด็กชายชุดเขียวหันไปแสยะยิ้มให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา “น้ำแบบนี้ ตอนนี้ข้ามีอยู่ห้าถ้วย มาจากตระกูลเซียนห้าแห่งที่ไม่เหมือนกัน หนึ่งในนั้นยังเป็นน้ำที่กอบมาจากบ่อฟ้าคำรามของเขาตะวันเที่ยง รู้หรือไม่ว่านายท่านใหญ่จ่ายเงินไปเท่าไหร่? ต่อให้เอาเด็กโง่อย่างเจ้าไปขายก็ยังได้เงินมาไม่พอ ตอนที่ข้ามีมากที่สุดก็ตั้งเจ็ดถ้วยใหญ่! แน่นอนว่าเจ้าเป็นงูหลามไฟก็ควรต้องมีสิ่งของที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ต้องมีฟืนที่พิเศษสักหนึ่งท่อน ธูปสักหนึ่งก้านถึงจะถูก แต่เจ้าคงไม่มีอะไรสักอย่างเลยสินะ?”
เฉินผิงอันมองเด็กชายชุดเขียวที่มีท่าทางลำพองใจ รวมถึงเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่ละอายใจว่าตนสู้คนอื่นไม่ได้แล้วถามว่า “ถ้วยเล็กๆ ใบนี้จะมีอะไรให้ดูได้?”
เด็กชายชุดเขียวยิ้มกว้าง แสร้งเล่นตัวไม่ยอมปริปาก
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอธิบายเสียงเบา “นายท่าน ข้าเคยอ่านบันทึกบางส่วนของอดีตบัณฑิตที่เก็บไว้ในหอหนังสือ การฝึกตนบนภูเขาจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ตระกูลเซียนหลายตระกูลจะมีวิธีการหาเงินเป็นของตัวเองโดยการขายภาพวาดที่น่าสนใจต่อคนนอก อาจจะเป็นภาพทิวทัศน์ของสำนักซึ่งคนนอกได้แต่มองไม่อาจครอบครอง ภาพที่พักอาศัยของผู้มีความสามารถด้านการฝึกตนที่มีชื่อเสียงบางคน หรือไม่ก็เป็นภาพผู้อาวุโสที่กำลังบังคับลมทะยานกลางอากาศ คนนอกไม่จำเป็นต้องไปเยือนภูเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักเหล่านั้นก็สามารถทำความเข้าใจเพียงแค่มองปราดเดียวแม้จะอยู่ไกลไปนับพันนับหมื่นลี้ ประหยัดทั้งแรงกายแรงใจ อืม ก็แค่ไม่ประหยัดเงินเท่านั้น”
แม้ปากของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูจะพูดจ้อ แต่อันที่จริงกลับแอบเหลือบมองน้ำถ้วยนั้นอยู่ตลอดเวลา แววตาเต็มไปด้วยความอิจฉา นางเล่นนิ้วตัวเองพลางพูดเสียงแผ่ว “นายท่าน เรื่องนี้มหัศจรรย์มากจริงๆ จำเป็นต้องให้ตระกูลเซียนเหล่านั้นเอาสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ที่มีความเชื่อมโยงกับโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำในสำนักตัวเองออกมาก่อน ยกตัวอย่างเช่นหินก้อนเล็กที่เจาะมาจากกำแพงบังตา ไม้วิเศษที่โค่นมาจากในสำนัก หรือไม่ก็น้ำจากบ่อลึกของเขาตะวันเที่ยงที่บรรจุอยู่ในถ้วยใบนี้ ก่อนหน้าที่จะนำเสนอสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้ต่อคนนอกจะต้องเขียนตัวอักษรหนึ่งบรรทัดเพื่อระบุคำเตือนคนซื้อ ส่วนข้อที่ว่าคนซื้อจะยินดีเผาผลาญสมบัติปราณวิญญาณเพื่อรับชมจากที่ไกลๆ หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนซื้อเอง หากเต็มใจก็แค่กรอกปราณวิญญาณเล็กน้อยลงไปในสมบัติชิ้นนั้น แค่นี้สำนักฝ่ายตรงข้ามก็จะใช้วิชาอภินิหารมาเปิดภาพต่างๆ ที่ระบุไว้ตามคำบอกให้คนซื้อได้เห็น น่าสนใจอย่างยิ่ง!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยิ่งพูดก็ยิ่งหงอยซึม “ในอดีตหลังจากข้าอ่านเจอบันทึกนั้นแล้ว เคยได้ขอร้องให้สกุลเฉาจือหลันช่วยจ่ายเงินก้อนใหญ่เพื่อตามหาไม้ท่อนหนึ่งที่เป็นแบบนี้ เพียงแต่ว่าพอข้ามอบผลประโยชน์ให้กับพวกเขาตามที่ตกลงกันไว้แล้ว สกุลเฉากลับหาข้ออ้างต่างๆ นานามาผัดผ่อนข้า สุดท้ายข้าก็เกรงใจที่จะพูดถึงอีก ได้แต่คิดซะว่าไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้น”
เด็กชายชุดเขียวพูดอย่างโอหัง “นั่นเป็นเพราะความสามารถของเจ้าอ่อนด้อย หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ดูสิว่าสกุลเฉาจือหลันจะกล้ารับเงินแล้วไม่ทำงานหรือไม่?”
สีหน้านางหม่นหมอง
เฉินผิงอันตบมวยผมน้อยๆ ของนางเบาๆ ปลอบเสียงอ่อนโยน “เสียเปรียบคือวาสนา เมื่อเคยเสียเปรียบมาก่อน วันหน้าก็ไม่ต้องคอยเสียเปรียบบ่อยๆ อีกแล้ว”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเงยหน้าขึ้น พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เด็กชายชุดเขียวเหลือกตาใส่คนโง่ทั้งสองอย่างไม่ปิดบังอาการ
ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตะลึงระคนดีใจ “เรื่องสนุกมาถึงแล้ว!”
น้ำใสแจ๋วในถ้วยกระเพื่อมเป็นริ้วคลื่น
เด็กชายชุดเขียวดีดนิ้วหนึ่งที น้ำใสก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากกลางถ้วยเหมือนน้ำพุที่พุ่งขึ้นสู่เบื้องบน สุดท้ายกลายมาเป็นม่านน้ำที่ใหญ่เท่าม้วนภาพแม่น้ำและภูเขาภาพหนึ่ง
ภาพแรกที่ปรากฏบนม่านน้ำคือภาพยอดเขาแห่งหนึ่งที่สูงทะลุชั้นเมฆซึ่งมีกลุ่มภูเขาห้อมล้อม
จากนั้นก็มีสตรีชุดขาวผู้หนึ่งขี่กระบี่บินทะยานกลางอากาศ เรือนกายของนางโผล่พรวดขึ้นมากลางม้วนภาพอย่างกะทันหัน ตรงเอวของสตรีผู้นั้นแขวนน้ำเต้าโบราณเรียบง่ายลูกหนึ่ง นางขี่กระบี่บินขึ้นไปยังยอดเขาสูงอย่างรวดเร็ว แรกเริ่มสุดร่างของนางที่อยู่ในม่านน้ำใหญ่แค่เมล็ดข้าวสารเท่านั้น ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นคนจิ๋วสูงเท่าฝ่ามือ ใบหน้าของนิ่งสงบเยือกเย็น แต่บุคลิกโดดเด่นไม่ธรรมดา
ขณะที่ยังห่างจากยอดเขาอีกเล็กน้อย ปราณกระบี่ก่อตัวเป็นสสารที่จับต้องได้จริง คล้ายเมฆแต่ไม่ใช่เมฆ คล้ายหมอกแต่ไม่ใช่หมอก แปลกประหลาดแต่มหัศจรรย์จนไม่อาจหาคำใดมาบรรยาย เซียนสาวไม่ขี่กระบี่ขึ้นสู่ยอดเขาสูงอีกต่อไป แต่ยืนนิ่งอยู่บนกระบี่บิน เริ่มเพ่งมองไปยังปณิธานกระบี่ที่อัดแน่นอยู่ในปราณกระบี่เหล่านั้น ต่อให้อยู่ห่างไกลนับพันนับหมื่นลี้ มีม่านน้ำภาพวาดนี้กั้นขวาง ปณิธานกระบี่บนยอดเขาที่ซุกซ่อนความหมายลึกล้ำยาวไกลหลากหลายชนิดกลับยังคงพุ่งมาปะทะใบหน้า บ้างก็เป็นกลิ่นอายของบรรพกาลเก่าแก่ บ้างก็เป็นพลังชีวิตที่เปี่ยมไพศาลดุจดวงตะวันโผล่พ้นมหาสมุทรใหญ่ทางทิศบูรพา บ้างก็เป็นพายุฝนฟ้ากระหน่ำถี่ยิบเหมือนสาดน้ำลงบนพื้นดิน
เด็กชายชุดเขียวไม่ได้มองปณิธานแห่งกระบี่ที่สับสนวุ่นวายเหล่านั้น เขาเอาแต่จ้องมองสตรีขี่กระบี่ผู้นั้นตาไม่กะพริบ น้ำลายไหลย้อย หัวเราะชั่วร้าย “เทพธิดาซูเจี้ยแห่งเขาตะวันเที่ยงผู้นี้คือสตรีในดวงใจของนายท่านใหญ่อย่างข้า เป็นรองจากเทพธิดาผู้เดียว เจ้าดูรูปร่างบุคลิกของนางสิ สหายเทพวารีผู้นั้นของข้าต่ำช้ายิ่งนัก แม้ว่าเขาเองก็เลื่อมใสเทพธิดาซูเจี้ยเหมือนกัน แต่ก็ยังชื่นชอบเทพธิดาที่มีหุ่นอวบอิ่มคนอื่นด้วย คนที่มองผู้อื่นแต่ภายนอกนับว่าสายตาตื้นเขิน อริยะนักปราชญ์พูดได้ถูกต้องตรงเผงเลย”
เขาหมุนนิ้วหนึ่งครั้ง ภาพนั้นก็หมุนเปลี่ยนทิศทางไปเล็กน้อย เปลี่ยนมาเป็นด้านหลังของซูเจี้ยแห่งเขาตะวันเที่ยง จากนั้นขยุ้มกางเบาๆ ภาพแผ่นหลังของเทพธิดาก็พลันขยายใหญ่ เด็กชายชุดเขียวหัวเราะคิกคักฟังดูโง่งม ยื่นมือเช็ดมุมปากตัวเอง อยากจะเอาหน้าไปแนบติดแผ่นหลังของซูเจี้ยให้รู้แล้วรู้รอด หากไม่มีคนนอกอยู่ด้วย เกรงว่าคงทำอย่างนั้นไปนานแล้ว
เด็กชายชุดเขียวพูดหน้าบานเป็นกระด้ง “แต่สุดที่รักอันดับหนึ่งในใจข้ายังคงเป็นแม่ชีเฮ้อเสี่ยวเหลียง! นั่นคือเทพธิดาในหมู่เทพธิดา เทพเซียนในหมู่เทพเซียน หากนางยอมให้ข้าลูบมือเล็กๆ ของนางสักครั้ง ต่อให้อายุขัยสั้นลงหนึ่งร้อยปี ข้าก็ยินดี ไม่โกหกแน่นอน แล้วถ้าใครสามารถช่วยแนะนำ ทำให้ข้าได้พูดคุยกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงสักคำ จะให้ข้าเป็นลูกเป็นหลานของเขาก็ได้หมด…”
เฉินผิงอันมองปณิธานปราณกระบี่ที่จำแลงมาเป็นเมฆหมอก ไม่ว่าจะตั้งใจมองอย่างไรก็ยังได้แค่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่มหัศจรรย์ แต่ไม่อาจมองออกถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็หยุดความคิดทุกอย่างลง พยายามจะหาเงาร่างหนึ่งจากม่านน้ำ ซึ่งก็คือวานรย้ายภูเขาที่ทำพฤติกรรมชั่วร้ายในเมืองเล็ก น่าเสียดายก็แต่บนม้วนภาพมีแต่ร่างของซูเจี้ยคนเดียวตลอดเวลา หากจำไม่ผิด คนที่ชื่อหลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าก็แอบชอบซูเจี้ยอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
หนึ่งก้านธูปผ่านไป ม่านน้ำเริ่มจางลง พร่าเลือนไปเรื่อยๆ สุดท้ายร่วงไปรวมกันอยู่ด้านล่าง กลับคืนมาเป็นน้ำใสในถ้วยเหมือนเดิม
แต่เห็นได้ชัดว่าระดับน้ำลดลงไปจากเดิมเล็กน้อย
เด็กชายชุดเขียวเก็บถ้วยขาวและน้ำใสลงไป ถูมือพูดอารมณ์ดี “การชมครั้งนี้ เพราะมีทัศนียภาพปราณกระบี่บนยอดเขาตะวันเที่ยงจึงเผาผลาญพลังไปไม่น้อย แต่ไม่ขาดทุนแน่นอน! ก่อนหน้านี้เคยมองทัศนียภาพในจุดต่างๆ ของเขาตะวันเที่ยงอยู่หลายครั้ง เทพธิดาซูเจี้ยเคยปรากฏตัวแวบๆ แค่ไม่กี่ครั้ง ทว่าคราวนี้…จุ๊ๆ ไม่นึกเลยว่าเทพธิดาซูเจี้ยจะผ่านการบำรุงมาดีเยี่ยมขนาดนี้ เมื่อก่อนไม่เคยมองออกเลย…”
เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน เดินไปยังทางสะพานไม้นอกถ้ำ ลมภูเขาพัดผ่านมาเป็นระลอกจนเสื้อผ้าเขาโบกสะบัดไปรวมกันด้านหนึ่ง
แต่ตอนนี้มีตบะของขอบเขตสองที่มั่นคง บวกกับได้เดินขึ้นเขาลงห้วยมาแล้วหลายครั้ง เก็บดินใส่ถุงมานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ร่างกายของเฉินผิงอันในเวลานี้นิ่งตระหง่านดุจขุนเขาจนเหมือนจะกลมกลืนเข้ากับหน้าผาแคบชันด้านหลัง
เฉินผิงอันพลันร้องอุทานน้ำเสียงระคนความยินดี “หิมะตกแล้ว!”
เขายื่นมือค้างรอให้เกล็ดหิมะตกลงบนฝ่ามือ แค่หันหน้ากลับไปแจ้งข่าวที่น่ายินดีกับเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู “พวกเจ้ารีบมาดูเร็วเข้า หิมะตกแล้ว!”
หิมะเกล็ดใหญ่เท่าขนห่านมาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย
ปลายปีของปีนี้ ยี่สิบสี่ช่วงของการเปลี่ยนแปลงดินฟ้าอากาศในหนึ่งปีทยอยกันเดินผ่านไป ทว่าช่วงหิมะน้อยระหว่างที่คนทั้งสามเดินทางกลับบ้านเกิดกลับมีเพียงลมฝนเท่านั้น
แต่วันนี้เป็นช่วงของหิมะใหญ่ (หมายถึงหิมะตกหนัก ตกเยอะ) ก็มีหิมะตกหนักจริงๆ
หลังจากบอกกับพวกเขาแล้ว เฉินผิงอันก็ยื่นมือรอเกล็ดหิมะต่อไป เขาเงยหน้าขึ้น พึมพำด้วยความยินดี “หิมะตกแล้ว หิมะตกแล้ว”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่เคยเห็นนายท่านดีใจขนาดนี้มาก่อน นางจึงกระโดดโลดเต้นขยับเข้าไปหาเขา
เด็กชายชุดเขียวไม่เคยเห็นใครอ่อนต่อโลกขนาดนี้มาก่อน เขายืนอยู่ที่เดิม บ่นงึมงำ รู้สึกว่าชีวิตช่างน่าเบื่อไร้รสชาติ
—–
บทที่ 175.1 คำสั่ง
โดย
ProjectZyphon
เฉินผิงอันรับหิมะขาวโพลนมาไว้ในสองมือ ถูมือเข้าด้วยกันเบาๆ แล้วเดินยิ้มกลับเข้าไปในถ้ำเล็ก พอยื่นมือไปอังไฟแล้วถึงได้หยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากในตะกร้าไม้ไผ่ อาศัยแสงไฟเริ่มอ่านหนังสือ เป็นตำราลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งมอบให้ ความจำของเฉินผิงอันดีมาก ตลอดทางมานี้ก็คอยหยิบมาเปิดอ่านตลอดเวลาจึงจำเนื้อหาด้านในได้ขึ้นใจนานแล้ว เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันยังชอบพลิกเปิดหนังสือแล้วอ่านออกเสียงเบาๆ เหมือนในเวลานี้
หลี่เป่าผิงเคยบอกว่า อ่านหนังสือหนึ่งร้อยรอบย่อมเข้าใจกระจ่างแจ้ง
เฉินผิงอันรู้สึกว่าประโยคนี้กล่าวได้ดียิ่งนัก
ดังนั้นทุกครั้งหลังจากฝึกยืนนิ่งและเดินนิ่งตามบันทึกในตำราเขย่าภูเขาเรียบร้อยแล้ว เขาก็จะหยิบประโยคนี้มาใช้งานจริงโดยการบอกตัวเองในใจว่า ขนาดเรียนหนังสือยังเป็นเช่นนี้ คิดดูแล้วการฝึกวิชาหมัดก็น่าจะไม่ต่างกันมากนัก ไม่แน่ว่าเมื่อฝึกหมัดครบหนึ่งล้านครั้งก็น่าจะเข้าใจปณิธานแห่งหมัดได้เอง เพราะอย่างไรซะเมื่อเขามานะฝึกวิชาหมัดทั้งวันคืนไม่หยุดพักโดยใช้เวลาเจ็ดแปดชั่วยามในแต่ละวันก็ได้ช่วยซ่อมแซมร่างกายและจิตวิญญาณที่เดิมทีเหมือนบ้านผุพังหลังหนึ่ง ผลลัพธ์มีให้เห็นเด่นชัด โดยเฉพาะเมื่อใช้วิธีการหายใจที่หยางเหล่าโถวถ่ายทอดให้ควบคู่กับวิธีโคจรลมปราณสิบแปดหยุด เฉินผิงอันสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายและจิตวิญญาณเริ่มแข็งแกร่งมากขึ้น ดังนั้นการมีชีวิตอยู่ต่อจึงไม่ใช่เป้าหมายเดียวอีกต่อไป
เฉินผิงอันต้องการมากกว่าเดิมอีกเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นหากมีโอกาสได้พบเจอกันอีกครั้ง เขาอยากจะแสดงการเดินนิ่งให้แม่นางบางคนได้ดู นางจะได้ไม่ทำหน้าอึ้งตะลึงราวกับต้องการบอกว่าเหตุใดใต้หล้าถึงมีคนโง่แบบนี้อยู่ได้เหมือนตอนอยู่ในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง แล้วเปลี่ยนมาเป็นยกนิ้วโป้งให้เขา พูดสองคำนั้นกับเขาอีกครั้งว่า “เท่ห์มาก!”
หนังสือในมือของเฉินผิงอันถูกพลิกเปิดไปทีละหน้าอย่างเชื่องช้า เขาอ่านอย่างตั้งใจยิ่ง เปลวไฟที่ส่ายไหวสาดสะท้อนลงบนใบหน้าดำเกรียมของเด็กหนุ่ม หากคนอื่นจ้องมองนานเข้า ภาพนั้นจะให้ความรู้สึกที่แปลกตาอย่างยิ่ง
แม้ว่าเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูจะมีร่างจริงเป็นงูหลามไฟ แต่กลับมีนิสัยเหมือนเด็กน้อย ยามที่อยู่ในหอหนังสือของสกุลเฉาจือหลัน นางมักจะเก็บตัวสันโดษ ไม่กล้าเผยตัวง่ายๆ ด้วยกลัวว่าจะประสบกับหายนะไม่คาดฝัน ครั้งนี้ติดตามเฉินผิงอันกลับบ้านเกิด ยิ่งนานวันนิสัยร่าเริงไร้เดียงสาก็ยิ่งกลับคืนมา เวลานี้นางกำลังง่วนปั้นตุ๊กตาหิมะอยู่ตรงสะพานไม้ ได้แต่เสียดายที่สวรรค์ไม่ประทานเกล็ดหิมะใหญ่เท่าขนห่านมาให้มากสักหน่อย
ส่วนเด็กชายชุดเขียวที่แม้จะเป็นงูน้ำ เกิดมาก็มีความใกล้ชิดกับน้ำ แต่กลับไม่รู้สึกสนใจหิมะใหญ่ที่ตกในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นเรื่องที่ปกติมากแม้แต่น้อย เขาจึงห่อตัวอยู่ข้างกองไฟอย่างเบื่อหน่าย เสียใจอยู่กับตัวเองที่ต้องมาพบเจอคนไม่ถูกจริต แถมชะตาชีวิตยังไม่ราบรื่น
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูปั้นตุ๊กตาหิมะเป็นนายท่านของตัวเอง รูปปั้นมีชีวิตชีวาเหมือนจริง ขณะที่กำลังจะมาขอความดีความชอบจากเฉินผิงอันพลันหน้าเปลี่ยนสี วิ่งพรวดกลับเข้าไปในถ้ำ พูดด้วยสีหน้าตระหนกลน “นายท่านๆ บนสะพานมีชายหญิงคู่หนึ่งเดินมา ผู้ชายมองไม่ออกว่าเป็นอะไร แต่ผู้หญิงกลับมีปราณปีศาจเข้มข้นมาก พวกเราจะทำยังไงกันดี?”
เด็กชายชุดเขียวสูดลมหายใจแรงๆ สีหน้าสดชื่นทันควัน “โอ๊ะโอ เป็นปีศาจใหญ่จริงๆ ด้วย ทั่วร่างมีแต่กลิ่นสาบจิ้งจอก นายท่าน ข้าจะบอกท่านให้นะ ปีศาจจิ้งจอกในโลกหน้าตางดงามมากเลยล่ะ เดี๋ยวคอยดูนะ ข้าจะหาสาวใช้ห้องข้างมาไว้อุ่นผ้าห่มให้ท่าน รับรองว่าเยี่ยมกว่าเด็กโง่ที่ผอมแห้งราวกิ่งไผ่มากนัก!”
เฉินผิงอันปิดหนังสือ เอ่ยว่า “หากพวกเขาแค่ผ่านทางมา พวกเราก็หลีกทางให้ แต่หากคิดจะทำร้ายกัน พวกเราค่อยลงมือก็ยังไม่สาย”
เด็กชายชุดเขียวที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นถอนหายใจหนึ่งที นั่งกลับลงไปที่เดิม กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “นายท่าน ท่านน่าจะมอบโอกาสให้ข้าได้สร้างคุณความชอบบ้างสิ”
เฉินผิงอันพูดหน้ายิ้ม “กลับไปถึงบ้านเกิดอย่างราบรื่นปลอดภัยก็คือคุณความชอบครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง”
เด็กชายชุดเขียวออกอาการน้อยใจ “นี่ก็เข้ามาในเขตของแคว้นต้าหลีแล้ว แถมยังราบรื่นมั่นคงมาโดยตลอด แล้วเมื่อไหร่สองก้อนของข้าถึงจะเปลี่ยนเป็นสามก้อนได้บ้างล่ะ?”
บนทางเลียบหน้าผาเก่าแก่ที่ถูกสร้างไว้ตรงผนังหน้าผา หนึ่งชายหนึ่งหญิงเดินตามกันมาท่ามกลางสายลมและหิมะ ผู้หญิงสวมชุดชาววังตัดจากผ้าแพร รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น สวมหมวกผ้าคลุมบดบังใบหน้า ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม ร่างสูงเพรียว ห่มผ้าคลุมหนังเตียวสีขาวหิมะ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดหนึ่งลูก ร่างทั้งร่างคล้ายหลอมรวมเข้ากับค่ำคืนที่มีแต่หิมะขาวโพลน
ตอนที่คนทั้งสองเดินผ่านถ้ำ สตรีผู้นั้นหันมามองคนทั้งสามในถ้ำแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่มองอีก
การมองมาง่ายๆ เพียงปราดเดียวนี้กลับทำให้เด็กชายชุดเขียวที่ก่อนหน้านั้นยังคันไม้คันมืออยากหาเรื่องคนเหมือนโดนฟ้าผ่า นั่งสงบเสงี่ยมยิ่งกว่าเฉินผิงอันเสียอีก กลับเป็นเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่ตบะต่ำกว่าระดับหนึ่ง ยังไม่รู้หนักเบาจึงอดหันไปมองชายหญิงคู่นั้นอีกแวบหนึ่งไม่ได้ ส่วนเฉินผิงอันนั้นวางหนังสือไว้บนขา ยื่นมืออังไฟ สีหน้าเป็นธรรมชาติ ดวงตาจ้องไปด้านหน้าไม่หลุกหลิก
ตอนที่บุรุษเดินผ่านตุ๊กตาหิมะ เขาหรี่ตายิ้มบางๆ รู้สึกว่าน่าสนใจมาก หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ก็หมุนตัวเดินไปทางถ้ำ แต่กลับหยุดเท้าอยู่ตรง ‘หน้าประตู’ อย่างรู้กาลเทศะ สายตาจ้องไปยังเฉินผิงอัน ถามด้วยภาษาทางการของบุรพแจกันสมบัติทวีปที่คล่องแคล่ว “รีบเดินทางยามค่ำคืนที่มีหิมะตก ข้ากับสาวใช้เหนื่อยล้ากันมาก คุณชายท่านนี้จะอนุญาตให้พวกเราพักผ่อนสักครู่ได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง เห็นเป็นบุรุษลักษณะอ่อนโยนคนหนึ่ง เฉินผิงอันรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเส้นทางคับแคบย่อมต้องได้พบเจอ ไม่ว่าจะเป็นโชคหรือหายนะก็ล้วนหลบไม่พ้น หากอีกฝ่ายมีเจตนาชั่วร้ายจริงๆ เขาจะพยักหน้าตอบรับหรือไม่ก็ไม่มีอะไรแตกต่าง จึงยิ้มตอบไปว่า “ได้สิ”
บุรุษเดินเข้ามาข้างใน ทว่าสตรีสวมหมวกคลุมหน้าที่เขาเรียกว่าสาวใช้กลับไม่ได้ตามเข้ามาด้วย นางยืนอยู่หน้าปากถ้ำ ยืดเอวตั้งยืนตรงอย่างเคร่งขรึม
บุรุษนั่งขัดสมาธิอย่างตรงไปตรงมา หันหลังให้กับผนังถ้ำ ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงเตรียมดื่ม ก่อนจะดื่มยังป่าวประกาศอย่างจริงใจว่า “สาวใช้คนนั้นของข้าคือปีศาจจิ้งจอก ก่อนหน้านี้นางสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเจ้าทั้งสาม ข้าจึงบอกให้นางปลดปล่อยปราณปีศาจออกมา ถือเป็นการทักทาย หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการปะทะที่ไม่จำเป็น พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย”
หลังจากสังเกตเห็นท่าทางสำรวมระคนหวาดกลัวของเด็กชายชุดเขียว เฉินผิงอันก็รู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ เฉินผิงอันกลับไม่อยากคิดอะไรให้มากความอีกแล้ว เพียงกลั้นหายใจทำสมาธิเตรียมพร้อมรับจิตสังหารของบุรุษและสาวใช้ของเขาที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เทพเซียนบนภูเขาก็ดี ภูตผีปีศาจก็ช่าง ความดีความเลวล้วนยากจะคาดการณ์ หากศัตรูตัวฉกาจมาอยู่ตรงหน้าก็มักจะเกิดการตัดสินความเป็นความตายอย่างปัจจุบันทันด่วนเสมอ เรื่องนี้ไม่แปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน เล่นงานไช่จินเจี่ยนกับฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่าในตรอกเล็ก จากนั้นก็โรมรันอยู่กับวานรย้ายภูเขา ต่อสู้กับหม่าขู่เสวียนครั้งหนึ่งที่สุสานเทพเซียน รับมือกับงูขาวบนภูเขาฉีตุน เผชิญหน้ากับการลอบสังหารจากจูลู่ที่จุดพักม้าเจิ่นโถว ฯลฯ การที่เฉินผิงอันสามารถมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ทั้งที่ต้องผจญกับมรสุมซึ่งถาโถมเข้ามาเป็นระลอก คำว่ามีสติ คือสองคำที่สำคัญอย่างถึงที่สุด
บุรุษกระดกเหล้าขึ้นดื่ม สายตาที่ใสกระจ่างดุจแสงจันทร์มองมาทางเฉินผิงอัน ถามยิ้มๆ อย่างตรงไปตรงมา “ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของคุณชายไม่สูง ทว่าปณิธานแห่งหมัดกลับมั่นคงแน่นหนามาก ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ หากสามารถยืนหยัดต่อไปได้ แม้แต่ขอบเขตปลายทางก็ยังมีหวัง”
เด็กชายชุดเขียวกลืนน้ำลาย ไม่กล้าขยุกขยิก
ปีศาจใหญ่ แม่งดันเป็นปีศาจใหญ่จริงๆ ใหญ่กว่าฟ้าเสียอีก!
ทำไมเขาถึงพูดเช่นนี้ เหตุผลนั้นง่ายดายมาก การที่ปีศาจจิ้งจอกในโลกมีชื่อเสียง นอกจากจะเชี่ยวชาญการล่อลวงใจคนแล้ว เหตุผลที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่งก็คือปีศาจจิ้งจอกอำพรางปราณปีศาจได้ยากกว่าภูตผีปีศาจชนิดอื่นๆ ดังนั้นคำกล่าวที่ว่ากำจัดปีศาจปราบมารที่พวกนักพรตพูดกันอย่างแพร่หลายจึงมักจะมีเป้าหมายเป็นปีศาจจิ้งจอกที่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการฝึกบำเพ็ญตนเสมอ
ตามหลักแล้ว ยิ่งปีศาจจิ้งจอกที่อยู่นอกถ้ำขยับเดินเข้ามาใกล้ ปราณจิ้งจอกก็ควรจะยิ่งเข้มข้น แต่ตอนที่นางเดินผ่านปากถ้ำกลับแผ่กลิ่นอายของมนุษย์ ความรู้สึกที่มอบให้แก่เด็กชายชุดเขียวคือ นางมีร่างกายมนุษย์ที่สามัญธรรมดายิ่งกว่าชาวบ้านทั่วไปเสียอีก ราวกับว่าเพียงแค่นิ้วเดียวของเขาก็สามารถหักเอวคอดของนางออกเป็นสองท่อนได้ เดิมทีเด็กชายชุดเขียวก็คือหนึ่งในปีศาจของโลกใบนี้ การจำแลงร่างอยู่ในร่างของมนุษย์เป็นแค่ก้าวแรกในการฝึกตนของปีศาจ ห่างจากการกลายเป็นมนุษย์ที่แท้จริงอีกยาวไกลเหมือนระยะห่างระหว่างต้าสุยไปต้าหลี
สามารถทำให้งูเจ้าถิ่นของแม่น้ำอวี้เจียงที่มีตบะขอบเขตหก พลังการต่อสู้เทียบเคียงกับขอบเขตเจ็ดอย่างเขาสัมผัสไม่ได้ถึงความผิดปกติใดๆ เด็กชายชุดเขียวลองใคร่ครวญดูก็คิดว่าตนแสร้งทำตัวเป็นหลานน่าจะเหมาะสมที่สุด หากมังกรข้ามแม่น้ำต่างถิ่นที่ภายนอกเหมือนจะเป็นมิตรผู้นี้รู้สึกว่าเป็นหลานยังไม่พอ จะให้เขาเป็นเหลนก็ยังได้
เด็กชายชุดเขียววิเคราะห์ว่าอย่างน้อยที่สุดสตรีแต่งงานแล้วที่สวมชุดชาววังผู้นั้นต้องมีขอบเขตเก้า หรืออาจถึงขั้นเป็นพี่ใหญ่ขอบเขตสิบผู้มีความสามารถค้ำฟ้าเลยทีเดียว แต่ยังดีที่ความเป็นไปได้นี้มีไม่มากนัก
ปีศาจที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลจะเลื่อนสู่ขอบเขตสิบได้หรือไม่นั้น อยู่ที่ว่าจะข้ามผ่านยอดเขาฮวงจุ้ยขนาดใหญ่ยักษ์ไปได้หรือไม่ ซึ่งไม่ง่ายไปกว่าการฝ่าทะลุคอขวดสู่ระดับสิบของนักพรตเผ่ามนุษย์เลย เพราะนี่หมายความว่าได้รับการยอมรับจากมหามรรคาของใต้หล้าแห่งนี้แล้ว แล้วจะไม่ยากเย็นแสนเข็ญได้หรือ? จำเป็นต้องมีโชควาสนาและการขัดเกลาฝีมือมากเท่าไหร่ แค่คิดก็พอจะทราบได้
ดังนั้นเจียวเฒ่าที่ปิดบังตัวตน บิดาของเทพวารีแม่น้ำหันสือที่มีตบะขอบเขตสิบจึงมีคุณสมบัติมากพอจะได้รับการยกย่องว่ามีศักยภาพเท่าเทียมกับนักพรตขอบเขตสิบเอ็ดแล้ว
—–
บทที่ 175.2 คำสั่ง
โดย
ProjectZyphon
เฉินผิงอันไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุที่ซ่อนอยู่ แต่ก็ไม่กระทบต่อการเตรียมพร้อมรับมือของเขาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิกฤต หลังจากได้ยินคำชมของบุรุษ เขาก็ไม่หย่อนความระวังตัวลง แค่ตอบไปตามมารยาท “ขอบคุณที่เอ่ยชม”
บุรุษจิบเหล้าอึกเล็กๆ เปิดเผยความลับสวรรค์ด้วยประโยคเดียว “สะพานแห่งความเป็นอมตะของคุณชายหักไปแล้ว ช่างน่าเสียดายนัก คิดจะซ่อมแซมก็ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ไม่สู้เปลี่ยนวิธีใหม่ สร้างใหม่ไป…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ บุรุษร้องเอ๊ะหนึ่งทีคล้ายตกตะลึง ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนปรายตามองตำราที่อยู่บนขาของเด็กหนุ่มแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ช่างเถอะ นี่มันจุดไต้ตำตอชัดๆ”
บุรุษลุกขึ้นยืนช้าๆ เดินออกไปนอกถ้ำ จากไปทั้งอย่างนี้ ส่วนสตรีแต่งงานแล้วที่สวมชุดชาววังได้เดินนำออกไปด้านหน้าอย่างเงียบเชียบนานแล้ว
บุรุษหันหน้าไปมองตุ๊กตาหิมะบนทางเดินเลียบหน้าผา คลี่ยิ้มแล้วเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “จุดไต้ตำตอจริงๆ”
ท่ามกลางหิมะและลมหนาว ชายหญิงออกเดินทางต่ออีกครั้ง สตรีสวมชุดชาววังไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่น้ำเสียงที่พูดเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม “นายท่านป๋าย หรือการพบกันครั้งนี้จะเป็นแผนการร้ายของอริยะสองฝ่าย?”
บุรุษส่ายหน้า “การเดินทางไกลเพื่อผ่อนคลายจิตใจครั้งนี้ ข้าไร้ปรารถนาไร้ความต้องการ และข้าก็อำพรางร่องรอยของตัวเองอย่างระมัดระวังมากแล้ว ไม่คิดจะสร้างความแตกตื่นให้แก่กองกำลังฝ่ายใด หากถึงขนาดนี้แล้วยังจะเล่นงานข้า ถ้าอย่างนั้นข้าก็…”
แววตาใบหน้าใต้ผ้าคลุมของสตรีสวมชุดชาววังฉายประกายร้อนแรง
คิดไม่ถึงว่าบุรุษจะถอนหายใจ “ก็จะทำอะไรได้ล่ะ”
หิมะตกหนัก
ทั่วฟ้าดินมองเห็นแต่สีขาวโพลน เอี่ยมสะอาดตา
หลังจากเดินไปบนสะพานเลียบหน้าผาได้ประมาณสามสี่ลี้ บุรุษที่ถูกเรียกว่านายท่านป๋ายก็หยุดเท้า แหงนหน้ามองม่านฟ้า สีหน้าเปลี่ยวเหงา
สตรีสวมชุดชาววังได้แต่หยุดเดินตามไปด้วย เมื่อค้นพบว่าไม่มีวี่แววที่บุรุษจะขยับเท้าก้าวเดินต่อจึงเรียกอย่างระมัดระวัง “นายท่านป๋าย?”
สายตาของบุรุษจับจ้องอยู่ที่ท้องฟ้าตลอดเวลา พูดเสียงแผ่วเบา “ต้นไม้อยากหยุดนิ่ง แต่ลมไม่หยุดพัด เจ้าว่าทั้งที่เจ้าเกิดและเติบโตมาในใต้หล้าไพศาลตั้งแต่เด็ก เหตุใดถึงเอาแต่คิดจะไปเยือนภูเขาห้อยหัวให้ได้? หากเป็นเพราะคิดถึงบ้านเกิด อยากจะตั้งรกรากมั่นคง ก็สมเหตุสมผลดีอยู่ แต่รกรากของเจ้าอยู่ที่นี่นี่นา แล้วมีจุดประสงค์อะไรกันแน่? หายนะที่เกิดขึ้นใต้หล้า สิบตระกูลวอดวายไปเสียเก้าตระกูล มันสนุกมากนักหรือ?”
สตรีชุดชาววังตกใจขวัญผวา รีบหมุนตัวกลับมาคุกเข่าลงกับพื้น หมอบตัวลงต่ำไม่กล้าเงยหน้าขึ้น หากหลุบมองจากมุมสูง เรือนกายอรชรเย้ายวนของนางคล้ายเทือกเขาที่เว้าลงนูนขึ้นอย่างน่ามอง นางเอ่ยเสียงสั่น “นายท่านป๋ายโปรดไว้ชีวิต!”
บุรุษทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงพึมพำกับตัวเองต่อไป “ข้ารู้สึกว่าไม่สนุก ไม่น่าสนใจเลยสักนิดเดียว”
สตรีสวมชุดชาววังหวาดกลัวสุดขีด นางกัดฟัน พริบตาเดียวก็ระเบิดลมปราณที่มากพอจะย้ายภูเขาพลิกมหาสมุทรออกมา
นาทีถัดมา บนทางเดินเลียบหน้าผาก็มีจิ้งจอกแปดหางตัวใหญ่มหึมาเท่าขุนเขาปรากฏขึ้น ตลอดทั้งร่างของมันเป็นสีขาวกระจ่าง กำลังไต่อยู่บนหน้าผา พยายามอย่างบ้าคลั่งหวังจะปีนไปให้ถึงยอดเขา ออกห่างจากชายผู้นี้ให้ได้ไกลที่สุด
บุรุษไม่สะทกสะท้าน เพียงเรียกชื่อหนึ่งออกมาเบาๆ “ชิงอิง”
เสียงปังดังสนั่น เลือดสดกลุ่มหนึ่งสาดกราวลงมาจากหน้าผาดุจฝนเทกระหน่ำ เป็นหางข้างหนึ่งของจิ้งจอกตัวนั้นที่ระเบิดคาที่
หิมะเกล็ดใหญ่เท่าขนห่านจำนวนนับไม่ถ้วนถูกเลือดสดอาบย้อม ฟ้าดินบริเวณรอบๆ ทางเดินที่บุรุษยืนอยู่กลายมาเป็นหิมะแดงฉานน่าสยดสยอง
เล่าลือกันว่าในอดีตเคยมีปีศาจมากเกินจะคำนวณก่อกวนอยู่ในใต้หล้าแห่งต่างๆ ความวุ่นวายโกลาหลเกิดขึ้นไม่ขาดสาย มนุษย์ธรรมดาไร้ปัญญาจะรับมือ เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังระงมไปทั่วทุกหนแห่ง ภายหลังมีอริยะผู้มากคุณธรรมหลอมระฆังใบใหญ่เพื่อสลักชื่อแซ่และนามของหมื่นปีศาจ บันทึกประวัติความเป็นมาของพวกมัน ต่อมาก็สั่งให้คนสร้างระฆังใหญ่เลียนแบบระฆังใบนี้อีกพันใบ นำไปวางไว้บนยอดเขาใหญ่แห่งต่างๆ ทั่วทุกทวีป เพื่อให้คนที่อยู่ด้านล่างภูเขาท่องจำเอาไว้ ชาวบ้านร้านตลาดยอมเสี่ยงอันตรายขึ้นเขา อาศัยการฝึกประสบการณ์นี้สร้างการเริ่มต้นครั้งใหม่ให้แก่นักพรตบนภูเขา
ภูเขาใหญ่ๆ เหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนกลายมาเป็นห้าขุนเขาของแต่ละแคว้นในกาลหลัง ได้รับการเคารพกราบไหว้จากกษัตริย์ในโลกมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วน
วัตถุขนาดมหึมาบนหน้าผานั้นเหมือนดาวตกที่ร่วงดิ่งเข้ามาในหน้าผา
เห็นได้ชัดว่าไม่ง่ายดายเพียงแค่หางข้างหนึ่งขาดและตบะได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น
ด้วยนิสัยดุร้ายที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดของปีศาจ ยามที่ใกล้ตายหรือบาดเจ็บสาหัส ความอำมหิตที่ระเบิดออกมามักจะน่ากลัวมากกว่าเสมอ
ความลี้ลับทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ที่คำเรียกว่า “ชิงอิง” รวมถึงข้อที่ว่าใครเป็นคนเอ่ยชื่อนี้
ร่างของปีศาจจิ้งจอกที่ร่วงกระแทกลงไปยังก้นหน้าผาอย่างแรงทำให้เกล็ดหิมะนับไม่ถ้วนปลิวกระจายว่อน มองดูแล้วมันร่อแร่เต็มที่ ลมหายใจที่พ่นออกมาเป็นควันสีเลือด เป็นเหตุให้หิมะที่ทับถมอยู่รอบด้านถูกหลอมละลายกลายเป็นความว่างเปล่า เผยให้เห็นพื้นดินแถบหนึ่งคล้ายแผลเป็นขนาดใหญ่
ไม่รู้ว่าบุรุษมายืนอยู่ตรงหน้าปีศาจจิ้งจอกตั้งแต่เมื่อไหร่ เขากระดกน้ำเต้าสีชาดขึ้นดื่มเหล้าที่อยู่ด้านใน เมื่อเทียบกับปีศาจจิ้งจอกร่างมหึมาที่ขดตัวเป็นก้อนกลมแล้ว เขาเล็กจ้อยกระจิดริด ไม่ต่างจากมดตัวน้อยที่ยืนอยู่หน้ามนุษย์
“ก่อนหน้าที่จะฝึกตนจนหางที่แปดงอกออกมาใหม่อีกครั้งก็จงอยู่ข้างกายข้าเสียแต่โดยดี เรื่องบางเรื่องยังไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยได้”
บุรุษเอ่ยเนิบช้า “หากไม่เพราะเห็นแก่บุญคุณควันธูปเล็กๆ น้อยๆ ในคราแรก เจ้าก็คงตายไปแล้ว ในเมื่อตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็จงรู้จักเห็นคุณค่าของมัน ไปเถอะ เดินทางกันต่อ”
บุรุษโบกมือหนึ่งครั้งสลายพันธนาการฟ้าดินที่ถูกอำพรางไว้ออก คืนฟ้าดินขนาดเล็กที่กรีดเถือได้ตามใจต้องการกลับไปสู่ฟ้าดินขนาดใหญ่อีกครั้ง
ปีศาจจิ้งจอกค่อยๆ กลับคืนสู่ร่างมนุษย์ กระเสือกระสนลุกขึ้นยืน เดินโซซัดโซเซติดตามอยู่ด้านหลังบุรุษ
สีหน้าของสตรีสวมชุดชาววังเศร้าทดท้อ
ขาดหางไปหนึ่งข้าง แตกต่างราวฟ้ากับเหว
เมื่อก่อนเคยเป็นที่ภาคภูมิใจของเผ่าพันธุ์ ตอนนี้ไม่ต่างจากคนตกต่ำไร้ความพิเศษ
แต่นางกลับไม่มีใจคิดจะแก้แค้นเลยแม้แต่น้อย
สำหรับพวกนางที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในใต้หล้าแห่งนี้ ความยินดีและความโกรธแค้นของนายท่านป๋ายก็คือพลานุภาพสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ควรกริ่งเกรง
……
ในถ้ำ เด็กชายชุดเขียวเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก กล่าวอย่างคนหวาดผวาไม่หาย “น่ากลัวเกินไปแล้ว น่ากลัวเกินไปแล้ว…”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่รู้เรื่องอะไรด้วย “ฮูหยินของผู้อาวุโสท่านนั้นร้ายกาจมากเลยหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวเต้นผางสบถด่า “เด็กโง่ก็คือเด็กโง่จริงๆ ปีศาจจิ้งจอกที่อย่างน้อยมีตบะขอบเขตเก้าไม่น่ากลัวยังจะมีอะไรที่น่ากลัวอีก? อีกอย่างแค่สาวใช้คนหนึ่งยังร้ายกาจขนาดนี้ บุรุษที่เป็นเจ้านายของปีศาจจิ้งจอกจะไม่ยิ่งเป็นตัวประหลาดเลยหรือไง?!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูดขลาดๆ “แต่นายท่านของพวกเราก็ไม่ได้ร้ายกาจกว่าพวกเรานี่นา”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างอดไม่อยู่
เด็กชายชุดเขียวดวงตาเป็นประกาย “เอ๋? ก็ถูกนะ”
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง จากนั้นก็กระแอมสองสามที กล่าวกล้าๆ กลัวๆ “เสียมารยาทๆ ให้นายท่านเห็นเรื่องตลกแล้ว มนุษย์มิใช่ผู้วิเศษ ย่อมต้องเคยผิดพลาด ข้อบกพร่องเล็กน้อยแค่นี้ปล่อยให้มันลอยตามลมไปเถอะ ลืมได้ก็ลืมไป”
เฉินผิงอันอ่านหนังสือต่อ เพียงแต่ว่าสงบใจไม่ได้ จึงได้แต่เก็บตำราลัทธิขงจื๊อเล่มนั้นลงไป ครุ่นคิดแล้วก็หยิบเอาเทียบยาสองสามแผ่นของนักพรตเต๋าหนุ่มแซ่ลู่ออกมา ตัวอักษรบนเทียบยาล้วนเป็นตัวอักษรเสี่ยวข่ายที่เป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วเขาก็หยิบกิ่งไม้ที่ค่อนข้างเล็กบางกิ่งหนึ่งมา นั่งยองบนพื้นหิมะหน้าปากถ้ำ ก่อนเริ่มหัดคัดตัวอักษรตาม เพื่อไม่ให้เทียบยาเปียกชื้นจากไอหิมะจึงต้องคอยปกป้องไว้อย่างระมัดระวัง เลยได้แต่มองตัวหนึ่งแล้วเขียนตัวหนึ่ง
คืนนี้เด็กชายชุดเขียวที่เสียหน้าโวยวายว่าจะนอนๆ ส่วนเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกลับเดินอ้อมเฉินผิงอันไปปั้นตุ๊กตาหิมะของตนให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด
ตอนนั้นนักพรตแซ่ลู่ยังหยิบเอาตราประทับหยกสีเขียวชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วประทับลงไปบนกระดาษ ดังนั้นช่วงท้ายของเทียบยาแผ่นสุดท้ายจึงเป็นตัวอักษรสีชาดสี่ตัวว่า “คำสั่งลู่เฉิน”
การฝึกคัดอักษรของคืนนี้ เฉินผิงอันคัดลอกครบตั้งแต่ต้นจนจบหนึ่งรอบ แม้แต่สี่ตัวอักษรของตราประทับด้านล่างสุดก็ยังไม่เว้น
เมื่อเฉินผิงอันที่อยู่ในถ้ำริมหน้าผาใช้กิ่งไม้เขียนสองคำว่า “ลู่เฉิน” อย่างพิถีพิถัน
เบื้องล่างหน้าผาที่อยู่ห่างไปไกลแสนไกล บุรุษที่ด้านหลังมีสตรีสวมชุดชาววังเดินตามหลังพลันหันหน้ากลับมา
เมื่อเฉินผิงอันเขียนคำว่า “คำสั่ง” เสร็จสิ้น (คำสั่งลู่เฉินแปลจากหน้าไปหลัง แต่หากตามตัวอักษรภาษาจีนคำว่าลู่เฉินจะมาก่อนคำสั่ง)
ทันใดนั้นฟ้าดินก็ราวกับพลิกคว่ำคะมำหงาย
บุรุษยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ สีหน้าเครียดขรึม แต่สตรีสวมชุดชาววังผู้นั้นกลับหน้าเผือดสีด้วยความตกตะลึง เกือบจะยืนได้ไม่มั่นคง
ปีศาจจิ้งจอกบังเกิดความกระวนกระวายไม่เป็นสุข ความหวาดกลัวที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญชาตญาณพลันแทรกซึมไปทั่วทุกอณูกาย นางจึงขยับเข้าหาบุรุษพลางเรียกเบาๆ ตามจิตใต้สำนึก “นายท่านป๋าย?”
บุรุษถอนสายตากลับคืนมา เดินหน้าต่ออีกครั้ง “ไม่เป็นไร ก็แค่ทำเหมือนน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง”
ใครที่เป็นน้ำในบ่อเล็กๆ แล้วใครที่เป็นน้ำในคลองกว้างใหญ่ไพศาล
สวรรค์เท่านั้นที่รู้
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น