ลำนำบุปผาพิษ 1732-1737
บทที่ 1732 นางที่เขาเอ่ยออกมานี้สื่อถึงผู้ใด?
ยามที่เขาพูดคุยกับสังขารนั้น น้ำเสียงก็กดให้แผ่วยิ่งนัก ในสถานที่ที่เสียงดังจอแจเช่นนี้คนนอกไม่มีทางได้ยินเลย แต่กู้ซีจิ่วกลับได้ยิน ซ้ำยังได้ยินอย่างแจ่มแจ้งเป็นพิเศษด้วย
ยามนี้กู้ซีจิ่วยืนอยู่บนรูปสลักเทพธิดาองค์นั้น เวลาที่ตี้ฝูอีมองดูรูปสลักเทพธิดา กู้ซีจิ่วแทบจะมีความรู้สึกหลอนประการหนึ่ง รู้สึกว่าเขามองเห็นเธอได้…
เธอตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ตัดสินใจลอยออกมาทันที
แล้วมองดูตี้ฝูอีอีกครั้ง สายตาเขายังคงอยู่ที่ร่างของรูปสลักเทพธิดา สายตาไม่ได้หันเหตามเธอมาเลย
น่าจะมองไม่เห็นกระมัง?
กู้ซีจิ่วก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าโล่งใจหรือว่าผิดหวังเล็กน้อย
ตอนนี้เมื่อเธอมองเขาก็รู้สึกอึดอัดคับข้องหมองใจ ดังนั้นจึงไม่อยากมองเขามากนัก
เพียงแต่ในใจมีความรู้สึกแปลกพิกลอย่างหนึ่ง ตี้ฝูอีสลักรูปสลักเทพธิดาของเธอไว้ที่นี่ ยามนี้กอดสังขารนั้นไว้แล้วถามว่าเหมือนหรือไม่ เช่นนั้นยามที่เขาโอบกอดร่างนี้ หรือว่าผู้ที่นึกถึงจะเป็นตัวเธอกู้ซีจิ่ว? ไม่ใช่หลานจิ้งเคอ?
เธอวนรอบรูปสลักนั้นอีกรอบหนึ่ง ยามที่หันไปมองตี้ฝูอีอีกครั้ง พบว่าเขากำลังมองรูปสลักเทพธิดาอย่างใจลอยอยู่
และเบื้องหน้าเขาก็มีกำไลข้อมือเจ็ดสีวงหนึ่งลอยอยู่ กำไลวงนั้นเปล่งแสงกะพริบวิบวับ คล้ายว่าจะสื่อสารกับตี้ฝูอีอยู่
เสี่ยวชาง! หยกนภา!
ตี้ฝูอีกับหยกนภาคุยอะไรกันอยู่?
กู้ซีจิ่วเขยิบเข้าไปใกล้ๆ แต่หนึ่งคนหนึ่งกำไลคู่นั้นสื่อสารกันด้วยกระแสจิต ต่อให้เธอเข้าใกล้กว่านี้ก็ไม่ได้ยินอยู่ดี
เนื่องจากอยู่ใกล้ตี้ฝูอีเกินไป จึงได้กลิ่นหอมเย็นที่เป็นเอกลักษณ์จากร่างเขาอีกครั้ง ทำให้หัวใจเธอพลันหนึบชา ถอยห่างออกมาอีกครั้ง
เธอมองดูหยกนภาอีกหน ไอ้ตัวบัดซบนี่ ยังบอกอยู่เลยว่าเธอคือเจ้านายผุ้กุมชะตาของมัน ตอนนี้เธออยู่ใกล้มันขนาดนี้ มันยังสัมผัสถึงเธอไม่ได้เลย…
เธออดใจไม่ไหวจึงมองตี้ฝูอีอีกครั้ง คล้ายตี้ฝูอีจะใจลอยอยู่ นัยน์สีนิลคู่นั้นฉายแววหม่นหมอง
เขาถอนหายใจแผ่วๆ “อันที่จริง…ข้าอยากพบนางาอีกครั้งยิ่งนัก แม้จะได้พบหน้ากันเพียงแวบเดียว ขอเพียงได้เห็นว่านางสุขสบายดี ข้าก็วางใจแล้ว…น่าเสียดาย ที่ไม่อาจทำได้อีกแล้ว”
น้ำเสียงของเขาแหบทุ้มอย่างยิ่ง แฝงความโศกตรมอย่างเต็มเปี่ยมเอาไว้
กู้ซีจิ่วที่อยู่ด้านข้างหัวใจดั่งจมดิ่งลงในน้ำ ข้อสงสัยประการหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวใจ นางที่เขาเอ่ยออกมานี้สื่อถึงผู้ใด?
เหตุใดต้องพูดว่า ‘ไม่อาจทำได้อีกแล้ว?’
หยกนภากำลังสื่อสารกับตี้ฝูอีอยู่จริงๆ วิธีสร้างศาลระลึกถึงคุณความดีนี้ก็เป็นหยกนภาที่ออกความเห็น บอกว่าถ้าใช้วิธีนี้จะทำให้กู้ซีจิ่วฟื้นคืนชีพได้เร็วขึ้นอีกหน่อย
เดิมทีรูปสลักที่อยู่ด้านในหาช่างฝีมือสักคนมาแกะสลักเอาก็ได้ แต่ตี้ฝูอียืนกรานว่าจะลงแรงทำเอง แกะสลักรูปสลักจำนวนแปดสิบเอ็ดตนภายในระยะเวลาครึ่งเดือน ให้คนก่อสร้างศาลบูชาแปดสิบเอ็ดแห่งขึ้นทั่วแผ่นดิน…
แน่นอนว่าการก่อสร้างและเลือกเฟ้นสถานที่ตั้งของศาลบูชานี้ล้วนพิถีพิถันเป็นพิเศษ
ด้วยจำนวนที่มากมายถึงเพียงนี้ โชคดีที่เป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์บัญชาให้สร้าง มิเช่นนั้นระยะเวลาเพียงครึ่งเดือนไม่ว่าอย่างไรก็คงปลูกสร้างไม่แล้วเสร็จ
ครึ่งเดือนมานี้ตี้ฝูอียุ่งยิ่งนัก หยกนภายังไม่เคยเห็นเขาพักผ่อนเลย!
รูปสลักไม้ที่ตี้ฝูอีลงมือสลักด้วยตัวเองย่อมเปี่ยมด้วยพลังวิญญาณ หลังจากตั้งไว้ในศาลบูชาก็ทำให้เหล่าผู้ศรัทธาทั้งหมดแห่แหนกันมาสักการะอย่างตื่นตาตื่นใจ ควันธูปที่จุดย่อมจุดอย่างศรัทธาจริงใจอย่างยิ่ง สร้างเสร็จหนึ่งแห่ง ควันธูปก็เฟื่องฟูขึ้นหนึ่งแห่ง
หยกนภาบอกว่าหลังจากควันธูปอบอวลเฟื่องฟูแล้ว ให้พาร่างเดิมของนางไปเดินเล่นในศาลบูชาบ่อยๆ สูดรับอุป ยิ่งได้รับบุญบารมีมากเท่าไหร่ นางก็จะฟื้นคืนชีพเร็วขึ้นอีกหน่อย
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน หากว่าหยกนภากล่าววาจาเช่นนี้ออกมา ตี้ฝูอีจะมองเพียงว่ามันทำตัวเหลวไหลนอกรีตเท่านั้น ไม่มีทางเก็บมาใส่ใจเลย
แต่หนนี้หยกนภาว่าอย่างไรเขาก็ทำอย่างนั้น ซ้ำยังมุมานะทำให้ดีที่สุดด้วย
ครึ่งเดือนมานี้หยกนภาเสพติดการเป็นนายใหญ่แล้ว ชี้นำให้เทพศักดิ์สิทธิ์ทำนั่นทำนี่ นี่ทำให้มันอกสั่นขวัยแขวนยิ่ง แต่รู้สึกประสบความสำเร็จยิ่งนัก
——————————————————————————
บทที่ 1733 เจ้าอย่าได้หุนหัน…
เมื่อครู่ตี้ฝูอีถามมันว่า กู้ซีจิ่วจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาประมาณช่วงไหน?
หยกนภาคาดคะเนจากประสบการณ์อยู่นานสองนานจึงบอกแก่เขาว่า น่าจะภายในหกปี…
ระยะเวลาหกปีสำหรับตี้ฝูอีในอดีตแล้ว เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว แต่สำหรับตัวเขาในปัจจุบัน กลับอยู่ไกลเกินเอื้อมยิ่งนัก
เขากับนางคงจะเป็นเช่นเดียวกับดอกพลับพลึง บุปผาบานไร้ใบ ใบงอกไร้บุปผา…
เขาหลุบตามองคนที่อยู่ในอ้อมแขน เขาจะไม่ได้เห็นนางยืนอยู่ต่อหน้าเขาอย่างตัวเป็นๆ หัวเราะต่อกระซิกกับเขาอีกแล้ว…
นิ้วมือเขาไล้แพขนตาของสาวน้อยในอ้อมแขนเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่วหวิว “ซีจิ่ว…หลังจากเจ้าหวนกลับก็ลืมเลือนข้าไปเสียเถิด…ใช้ชีวิตต่อไปให้ดี” น้ำเสียงแผ่วเบาดุจเอ่ยงึมงำ
กู้ซีจิ่วที่คอยสังเกตอยู่ด้านข้างเขามาโดยตลอดกลับตะลึงงันแล้ว!
ยามที่ได้ยินเขาเอ่ยประโยคแรกออกมา เธอโกรธมาก คนผู้นี้คิดแต่จะให้ผู้อื่นลืมเลือนเขาอยู่ร่ำไป! เห็นเธอเป็นตัวอะไรกัน?
ฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์หรือ? สามารถลบข้อมูลที่ไม่ต้องการได้ตามใจชอบหรือไง?!
แต่พอได้ยินไม่กี่คำสุดท้ายของเขา หัวใจกลับมีความหวาดหวั่นประการหนึ่งพุ่งถาโถมขึ้นมา
วาจานี้เหตุใดฟังแล้วค่อนข้างคล้ายคำสั่งเสียเล่า?!
เป็นตนคิดมากไปใช่ไหม?
หรือว่า…
เธออดไม่ได้จึงเพ่งพิศเขาอีกคราหนึ่ง น่าจะมีเหตุเกี่ยวข้องกับการเร้นกาย เขาจึงไม่ได้สวมหน้ากาก กู้ซีจิ่วพบว่าถึงแม้เส้นผมสีขาวของเขาจะเปลี่ยนเป็นผมดำแล้ว แต่สีหน้ากลับไม่ดีเลย ซีดเซียวอย่างยิ่ง ใต้ดวงตาเรียวรีงดงามคู่นั้นมีรอยคล้ำอยุ่จางๆ ริมฝีปากก็ซีดจางเช่นกัน
หากมิใช่ยามนี้กู้ซีจิ่วไม่มีร่างกายอยู่ เธอคงจะโผเข้าไปตรวจชีพจรของเขาแล้ว
เขาเหนื่อยล้าเกินไปหรือเปล่า?
ยากนักที่จะเห็นเขาในสภาพซีดเซียวถึงเพียงนี้
ขณะที่เธอกำลังค่อนข้างใจลอย จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงโหวกเหวกอยู่บ้าง เสียงสตรีสายหนึ่งแว่วเข้ามา “เอ๊ะ ที่นี่คืออารามอะไรน่ะ? ศาลทูตสวรรค์กู้? ทูตสวรรค์กู้คนไหนกัน?”
กู้ซีจิ่วย่อมคุ้นเคยกับเสียงนี้ยิ่งนัก หลานจิ้งอี๋!
นึกไม่ถึงเลยว่านางจะมาด้วย
ด้านนอกยังคงมีผู้สักการะอยู่ไม่น้อย และย่อมมีนักพรตที่คอยดูแลศาลบูชาแห่งนี้อยู่ด้วย นักพรตผู้นั้นจึงเอ่ยตอบ “เป็นท่านทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินแม่นางกู้ซีจิ่ว”
หลานจิ้งอี๋หัวเราะหยันคราหนึ่ง น้ำเสียงเจือแววเหยียดหยาม “กู้ซีจิ่วรึ?! มิใช่กระมัง?! นางก็ยังไม่ตายเสียหน่อย เหตุใดจึงสร้างศาลให้นางเล่า?”
น้ำเสียงของนักพรตเจือความขุ่นเคืองแล้ว “แม่นางพูดจาให้ความเคารพหน่อย! ท่านทูตสวรรค์กู้ย่อมยังมีชีวิตอยู่ ศาลนี้คือศาลบูชาคนเป็น!”
หลานจิ้งอี๋แผดเสียงแหลมขึ้นมา “ศาลบูชาคนเป็นงั้นหรือ? นางมีคุณงามความดีอันใดถึงต้องสร้างศาลบูชาคนเป็นให้?! น่าขันนัก! ข้าอยากเห็นนักว่าตัวนางสร้างคุณความดีอันใด!”
“นี่ จิ้งอี๋ เจ้าอย่าได้หุนหัน…” เสียงของหลานเหยากวงก็แว่วเข้ามาเช่นกัน
แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ยับยั้งน้องสาวตนไว้
‘พริ้ง!’ เงาสีฟ้าวาบขึ้นแวบหนึ่ง หลานจิ้งอี๋ปรากฏกายขึ้นในห้องโถงโดยตรง
ดูเหมือนบาดแผลบนร่างนางจะค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้ว นอกจากสีหน้าสีซีดเซียวไร้สีเลือดเล็กน้อยแล้ว อย่างอื่นล้วนไม่เป็นอันใด
กู้ซีจิ่วมองไปที่ตี้ฝูอี ตี้ฝูอีเหยียดกายนั่งตัวตรงแล้ว ขมวดคิ้วนิดๆ สายตาเยียบเย็นลง!
สายตาของหลานจิ้งอี๋ร่อนลงบนรูปสลักเทพธิดาทันที จากนั้นนางก็โกรธเกรี้ยมขึ้นมา!
“กู้ซีจิ่วจะอวดดีเกินไปหน่อยแล้วกระมัง?! พี่หวงของข้ามีความสามรถล้นเหลือถึงเพียงนั้นก้ยังไม่เคยสร้างศาลบูชาเช่นนี้เลย! กู้ซีจิ่วนางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? มีสิทธิ์ขาดในแผ่นดินนี้หรือย่างไร?! ในสายตาข้าไม่มีคุณค่าแม้เสี้ยวธุลีเลย! ทนมองนางผยองเช่นนี้ไม่ได้เลย!”
พลันโบกแขนเสื้อพรึบ คลื่นแสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งเข้าใส่รูปสลักเทพธิดา!
นางจะทำลายรูปสลักที่ขัดนัยน์ตานี้ทิ้งเสีย!
นางเป็นคนที่นึกจะทำอะไรก็ทำเลย การลงมือนี้จึงกะทันหันยิ่งนัก นักพรตผู้ดูแลศาลที่อยู่ด้านข้างไม่มีทางขัดขวางได้ทันกาล อีกอย่างด้วยพลังยุทธ์ของพวกเขา คิดจะขวางก็ขวางเอาไว้ไม่อยู่
ส่วนหลานเหยากวงก็เพิ่งพุ่งตามเข้ามา ขัดขวางเอาไว้ไม่ทันเช่นกัน เพียยงแต่ร้องอุทานออกมา “อย่า…”
บทที่ 1734 ลงทัณฑ์
หลานจิ้งอี๋มีพลังวิญญาณขั้นเก้า การลงมือครั้งนี้สามารถใช้ความสะท้านโลกามหาสมุทรสะเทือนมาบรรยายได้เลย กระบวนท่านี้หากว่าซัดถูกจริง อย่าว่าแต่รูปสลักไม้นี้เลย แม้กระทั่งหลังคาห้องโถงของศาลบูชาแห่งนี้ก็จะระเบิดทะลุไปด้วย!
สายลมกรรโชกคำรามอึงอล ไอปฏิปักษ์ปะทะหน้า
ขณะที่มองเห็นคลื่นแสงสีฟ้าสายนี้กำลังจะซัดถูกรูปสลัก ลำแสงสีรุ้งสายหนึ่งที่ไม่รู้ว่าพุ่งวาบออกมาจากที่ใด ว่องไวปานสายฟ้าแลบ ปรากฏขึ้นทีหลังทว่าถึงที่หมายก่อน ต้านรับคลื่นแสงสีฟ้าไว้โดยตรง…
คลื่นแสงสีฟ้าประหนึ่งพบพานน้ำกรดเข็มข้น หลอมละลายเสียงดังฉ่าๆ ลำแสงสีรุ้งโจมตีคลื่นแสงสีฟ้าให้แตกกระจายภายในชั่วพริบตาเสมือนหักโค่นลำไผ่! นี่ยังไม่ได้พูดถึงว่า หลังจากลำแสงสีรุ้งกำจัดคลื่นแสงสีฟ้าไปแล้วก็ไม่ได้สลายไป กลับทะยานเข้าหาหลานจิ้งอี๋!
ลำแสงสีรุ้งดั่งมังกรรุ้งที่ดุร้าย หลานจิ้งอี๋หน้าเปลี่ยนสีทว่าไม่มีทางหลบหลีกได้ทันกาล เบิกตามองแสงสีรุ้งพุ่งเข้ามา ห่อหุ้มทั้งร่างนางไว้..
“อ๋า…” เสียงกรีดร้องแหลมเสียดหูดังก้องไปตลอดทาง พร้อมด้วยร่างกายของหลานจิ้งอี๋ที่ปลิวออกไปทันที!
‘ปัง!’ หลานจิ้งอี๋ที่ถูกซัดออกนอกประตูไปไม่รู้ว่ากระแทกโดนสิ่งใดเข้า เกิดแรงสั่นสะเทือนจนทำให้ใบของต้นไม้ใหญ่ด้านนอกปลิวว่อนเกลื่อนพื้น
เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์โง่งมกันไปถ้วนหน้าแล้ว!
และไม่มีผู้ใดมองออกมาว่าแสงสีรู้สายนี้งพุ่งออกมาจาตรงไหน จะบอกว่ามันปรากฏขึ้นกลางอากาศก็มิได้เกินเลยไป
หรือว่ารูปสลักเทพธิดาจะสำแดงปาฏิหาริย์แล้ว?!
หลังจากผู้สักการะที่อยู่ในห้องโถงทึ่มทื่อกันอยู่ครู่หนึ่งก็พากันคุกเข่าลง โขกศีรษะให้รูปสลักเทพธิดา!
หลานเหยากวงก็ตะลึงงันเช่นกัน สายตามองขึ้นไปบนเสาคาน “พ…พี่หวง!”
คนผู้หนึ่งค่อยๆ ปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ อาภรณ์ขาวดุจหิมะ ใบหน้าเลิศล้ำงามล่มเมืองสวมหน้ากากเอาไว้ รอบกายคล้ายมีแสงฉัพพรรณรังสีโอบล้อมอยู่ อำนาจบารมีแกร่งกล้าไร้เทียมทาน
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์?!”
“เป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์รึ?!”
“สวรรค์ เป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ด้วย!”
ไม่น่าเชื่อว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะมาที่ศาลบูชาแห่งนี้!
เหล่าผู้สักการะในห้องโถงยังคงตกตะลึงจนเหม่อยลอยอยู่ ยามนี้พอเห็นเทพศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวขึ้น ทั้งหมดก็คุกเข่าลงไปอย่างตื่นเต้น โขกศีรษะดังตุบๆ
ตี้ฝูอียืนอยู่กลางอากาศอย่างเยือกเย็น ทอดสายตามองด้านล่าง เอ่ยอย่างเฉยเมย “ถ่ายทอดบัญชาของเปิ่นจุนลงไป ถ้าผู้ใดทำลายอิฐสักก้อนกระเบื้องสักแผ่นวัชพืชสักต้นของศาลทูตสวรรค์กูอีกให้สังหารอย่างไร้ปราณีเสีย!”
“รับทราบ!” นักพรตที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างตอบรับอย่างพร้อมเพรียง! สายตาแต่คนเปล่งประกาย
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์บัญชาด้วยตัวเอง ผู้ใดจะกล้าฝ่าฝืนเล่า?!
เมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกปากปกป้องศาลบูชาย่อมกลายเป็นสถานที่ที่สูงส่งที่สุด ภายภาคหน้าควันธูปของศาลทูตสวรรค์กู้ทั้งหมดจึงอบอวลฟุ้งกระจายยิ่งกว่าวัดวาอารามใดๆ…
ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าทำลายแม้เสี้ยวกระผีก
ถึงแม้ในทวีปนี้จะมีคนร่ำลือว่าศาลทูตสวรรค์กู้นี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งขึ้น แต่เป็นเพียงคำร่ำลือเท่านั้น มีคนมากมายนักที่ยังคงไม่เชื่อถือ ซ้ำยังนึกไปว่าเป็นอุบายของผู้ที่สร้างศาลบูชาแห่งนี้ขึ้น
บัดนี้เมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ปรากฏกายที่นี่ด้วยตัวเอง ซ้ำยังออกโรงปกป้องรูปสลักเทพธิดา ออกปากถ่ายทอดบัญชาด้วยตัวเอง มีผู้สักการะมากมายอยู่ในเหตุการณ์ คนที่ได้เห็นฉากนี้จึงมีมากมายเช่นกัน
วันหน้าย่อมแพร่กระจายถ่ายทอดต่อกันไป แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมของแผ่นดินนี้ด้วยความไวแสง…
หลานเหยากวงอิหลักอิเหลื่ออยู่บ้าง เงยหน้ามองตี้ฝูอี “พี่…พี่หวง นี่…ที่แท้ท่านก็เป็นผู้ที่ศาลบูชาแห่งนี้แก่พี่หญิง จิ้งอี๋ไม่รู้ความ ท่านอย่าถือโทษนางเลย…”
ตี้ฝูอีไม่สนใจเขา เพียงเอ่ยอย่างเฉยชาประโยคหนึ่งว่า “หิ้วหลานจิ้งอี๋เข้ามา!”
หิ้ว?
กู้ซีจิ่วที่เร้นกายอยู่ในมุมสูงสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง ตี้ฝูอีปกป้องหลานจิ้งอี๋มาโดยตลอด ต่อหน้านางก็ยังปกป้องอยู่หลายครั้ง ทำให้ในใจของนางบรรยายความรู้สึกไม่ได้ยิ่งนักอยู่บ่อยๆ คหนนี้เป็นอะไรไปเล่า?
หนนี้หล่านจิ้งอี๋เพียงต้องการจะทำลายรูปสลักไม้ตัวหนึ่งเท่านั้น กูโดนเขาจู่โจมอย่างรุนแรงเสียแล้ว…
กู้ซีจิ่วคาดการณ์ว่ากระบวนท่านั้นของตี้ฝูอีเพียงพอจะเอาชีวิตของหลานจิ้งอี๋ได้กึ่งหนึ่งแล้ว…
หลานจิ้งอี๋ถูกหิ้วเข้ามาจริงๆ…
——————————————————————————-
บทที่ 1735 ลงทัณฑ์ 2
หลานจิ้งอี๋ถูกหิ้วเข้ามาจริงๆ การโจมตีนั้นของตี้ฝูอีมิได้ทำร้ายชีวิตนางไปครึ่งหนึ่ง แต่ทำร้ายชีวิตไปถึงสองในสามส่วน เผยร่างเดิมออกมาทันที กลายเป็นนางเงือกนอนฟุบอยู่บนถนนศิลาเขียวนอกศาลบูชา
เรียกให้เกิดเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจของขบวนฝูงชนที่มามุงดู
เงือกเชียวนะ นั่นคือสายพันธุ์ล้ำค่าหายากของแผ่นดินนี้ ยามนี้ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นตัวเป็นๆ แล้ว!
เมื่อชาวเงือกสัญจรบนบกล้วนจะแปลงกายให้อยู่ในร่างมนุษย์ ดังนั้นปวงชนในแผ่นดินนี้จึงยากจะได้เห็นร่างเดิมของพวกเขา ยามนี้จู่ๆ ก็ได้เห็นตนหนึ่งลอยออกมาจากในศาลบูชา ฝูงชนย่อมมองดั่งของหายาก ล้อมวงซ้อนกันเป็นชั้นๆ ในทันใด
ใบหน้าพริ้มเพราของหลานจิ้งอี๋แดงก่ำดุจเลือดไก่ แขนนางหัก เกล็ดหลุดไปเจ็ดแปดแผ่นแล้ว ยามที่ร่วงลงบนพื้นนางเจ็บจนเบื้องหน้ามืดมัวเป็นพักๆ ลุกไม่ขึ้นเลย
เนื่องจากตี้ฝูอีออกกระบวนท่ารวดเร็วเกินไป นางยังไม่ทันเห็นชัดๆ ก็ถูกซัดกระเด็นออกไปนอกประตูแล้ว ยามนี้ในใจทั้งโกรธทั้งอาย ปรารถนาจะนำตัวผู้ที่มองเห็นนางเป็นที่น่าขบขันมาสังหารทิ้งให้หมดยิ่งนัก อีกทั้งนึกอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสีย แน่นอนว่าคนที่นางชิงชังยิ่งกว่าก็คือคนที่ซัดนางออกมา ดังนั้นพอคลายความเจ็บลงบ้างแล้วก็ร้องตะโกนออกมา “ไอ้สารเลวคนใดที่กล้าลงมือกับองค์หญิงอย่างข้ากัน?! ข้าจะขอให้พี่หวงสังหารเจ้าทิ้งอย่างไม่เหลือซาก…”
ประโยคนี้ของนางยังไม่ทันได้เอ่ยจบ ก็ถูกคนดึงหางหิ้วขึ้นมา!
มู่เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนยิ่ง “ขออภัยด้วย ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ให้หิ้วท่านไป”
ศีรษะหลานจิ้งอี๋ห้อยลงด้านล่างอย่างกะทันหัน ย่อมโกรธเกรี้ยวสุดขีด ขณะที่กำลังจะดิ้นรนขัดขืน เมื่อได้ยินประโยคนี้ของมู่เฟิง ตัวพลันแข็งทื่อในทันใด “อะ…อะไรนะ?”
มู่เฟิงไม่เอ่ยวาจาให้มากความอีก หิ้วนางเข้าไปในศาลทันที…
ผู้ที่มาสักการะบูชาด้านนอกต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า จากนั้นก็กรูกันไปที่ปากประตู มองเห็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ลอยอยู่กลางห้องโถง ฝูงชนที่อยู่นอกประตูคุกเข่าลงทันใด ต่อให้คุกเข่าอยู่ก็ยังอยากชมเรื่องน่าขบขันฉากนี้
หลานจิ้งอี๋ทั้งอับอายทั้งขุ่นเคือง ดิ้นรนอยู่ในมือของมู่เฟิง “เจ้า…เจ้าปล่อยข้านะ! ชายหญิงมิพึงชิดใกล้…”
มู่เฟิงก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน “ได้”
ปล่อยมือทันที หลานจิ้งอี๋ร่วงลงพื้นเสียงดังตุบ ทำให้นางเจ็บปวดอีกครา วิงเวียนไปครู่หนึ่ง
หากมิใช่หลานเหยากวงสะบัดแขนเสื้อมาช่วยประคองไว้ได้ทันกาล นางจะต้องล้มหัวฟาดพื้นเป็นแน่!
หลานเหยากวงก็ขมขื่นกล้ำกลืนยิ่งนักเช่นกัน เขาเป็นประมุขเผ่าเงือก น้องสาวของเขาเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ หากว่ายามปกติน้องสาวของเขาถูกผู้อื่นปฏิบัติด้วยเช่นนี้ เขาคงระเบิดโทสะไปแล้ว!
แต่ตอนนี้น้องสาวของบ้านตนเป็นฝ่ายทำผิดก่อน และผู้ที่ลงทัณฑ์น้องสาวของเขาก็คือเทพศักดิ์สิทธิ์
เขาก็ไม่กล้าพูดจาเป็นอื่นไปชั่วขณะเช่นกัน ยืนอยู่ด้านข้างมองน้องสาวแล้วก็มองเทพศักดิ์สิทธิ์ คิดจะเอ่ยปากขอความเมตตาให้ตามสัญชาตญาณ “พี่หวง…”
ตี้ฝูอีกวาดสายตามองมาแวบหนึ่ง “หือ?”
แม้จะเป็นการตอบกลับอย่างราบเรียบประโยคเดียว ทว่ากลับทำให้หัวใจของหลานเหยากวงสั่นระรัว แทบจะกล่าววาจาท่อนหลังไม่ออกแล้ว “เห็น…เห็นแก่ที่นางยังเยาว์วัยไม่รู้ประสาด้วยเถิด…ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงภูมิอย่าได้ถือสาหาความกับนางเลย ครั้งนี้ละเว้นนางสักหนเถิด”
“เยาว์วัย?” น้ำเสียงของตี้ฝูอีราบเรียบฟังอารมณ์ไม่ออก “อายุกว่าห้าพันปีแล้วก็ยังเรียกว่าเยาว์วัยงั้นหรือ?”
ฝูงชนที่คุกเข่าชมเรื่องครื้นเครงอยู่พากันหัวเราะครืน มีบางคนเอ่ยพึมพำว่า “อายุกว่าห้าพันปีสามารถเรียกขานว่าท่านบรรพชนได้แล้ว เป็นยายเฒ่าแล้ว…”
คนที่อยู่ข้างๆ เขาหัวเราะ “นางเป็นชาวเงือก สายพันธุ์แตกต่างกับเจ้า เจ้าอย่าไปเรียกท่านนางว่าท่านบรรพชนเชียวนา…เพียงแต่ยายเฒ่าก็ดูเข้าทีอยู่…”
มีเสียงจ้อกแจ้กจอแจ ผู้คนกระซิบกระซาบพูดคุยกันอยู่ตรงนั้น
เมื่อครู่นี้หลานจิ้งอี๋ยโสโอหังเกินไป วางท่าว่าข้าเป็นองค์หญิงเผ่าเงือกข้าใหญ่ที่สุด ทำให้ฝูงชนที่มุงดูเหล่านี้เห็นแล้วขัดเคืองนัยน์ตายิ่งนัก ยามนี้ย่อมชมเรื่องขบขันของนางอย่างเบิกบาน
หลานจิ้งอี๋ที่อยู่บนพื้นฝืนยันกายขึ้นมา นางเงยหน้ามองตี้ฝูอีอย่างไม่อยากจะเชื่อ…
บทที่ 1736 ลงทัณฑ์ 3
“พี่…พี่เขย…ท่าน…เหตุใดท่านถึงทำกับข้าแบบนี้? ข้า…ข้าก็แค่อยากทำลายรูปสลักไม้เท่านั้น กู้ซีจิ่วยังมีชีวิตอยู่ กลับมาสร้างศาลบูชาอันใด นาง…นางไหนเลยจะคู่ควร? พี่เขยท่านล้วนไม่มี…”
พี่เขย?! ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นพี่เขยขององค์หญิงเงือกผู้นี้รึ?!
เรื่องนี้สำหรับประชาชนธรรมดาแล้ว เป็นข่าวใหญ่สะท้านสะเทือนโดยแท้ ฝูงชนต่างเจ้ามองข้าข้ามองเจ้า ตกตะลึงกันถ้วนหน้า
หลานเหยากวงแทบอยากจะอุดปากน้องสาวของตนไว้ทันที! เขาตวาดขึ้นมา “จิ้งอี๋ หุบปาก! ซีจิ่วก็เป็นพี่สาวของพวกเราเหมือนกัน! นาง…”
“นางไม่ใช่” จู่ๆ ตี้ฝูอีเก็เอ่ยขึ้น ตัดบทหลานเหยากวง
หลานเหยากวงมองตี้ฝูอีอย่างประหลาดใจ “พี่หวง ท่านบอกมิใช่หรือว่ากู้ซีจิ่ว…คือดวงจิตหนึ่งของพี่หญิงจิ้งเคอที่กลับชาติมาเกิด…”
“นางไม่เกี่ยวข้องกับหลานจิ้งเลยแม้แต่น้อย” น้ำเสียงตี้ฝูอีราบเรียบ “นางเป็นแค่นางมาตั้งแต่ต้น มิใช่ใครอื่นเลย หลานจิ้งเคอแตกดับไปแล้ว เช่นเดียวกับชาวเงือกตนอื่น เมื่อแตกดับก็คือแตกดับไปอย่างแท้จริง ดวงวิญญาณแตกสลายทันที ไม่อาจกลับชาติมาเกิดได้อีก…”
หลานเหยากวงหน้าซีดเผือดแล้ว เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ได้อย่างไร…จะเป็นไปได้อย่างไร? พี่หวง เมื่อก่อนมิใช่ท่านกล่าวไว้ว่า…”
“ยามที่หลานจิ้งจะล่วงลับไปยังคงห่วงใยน้องชายน้องสาวอย่างพวกเจ้า เกรงว่าพวกเจ้าจะเสียใจจนเกินเหตุจนกระทำเรื่องโง่เขลาอันใดออกมา จึงขอร้องให้เปิ่นจุนกุเรื่องนี้ขึ้นโป้ปดหลอกลวงพวกเจ้า ให้พวกเจ้าได้มีห่วงคะนึง…” น้ำเสียงตี้ฝูอีเยือกเย็นดั่งหยก
หลานเหยากวงยังคงไม่ยอมรับ “แต่…”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น เหยากวง ปีนั้นพี่สาวเจ้าทำศึกเพื่อเปิ่นจุนจนสิ้นชีพ ยามนั้นเนื่องจากเปิ่นจุนรับปากนางว่าจะดูแลพวกเจ้าพี่น้องจนเติบใหญ่ก็ย่อมต้องทำตามที่รับปาก ดังนั้นจึงช่วยเจ้าสะสางธุรการงานของเผ่าเงือกเสมอมา ช่วยปราบจลาจลให้เจ้าได้ขึ้นครองตำแหน่งประมุขเผ่าเงือก ทำให้เผ่าเงือกได้เป็นมหาอำนาจในท้องสมุทรมากว่าห้าพันปี บุญคุณของพี่หญิงเจ้าเปิ่นจุนได้ชำระคืนจนหมดสิ้นไปนานแล้ว”
หลานเหยากวงนิ่งงัน
ใช่แล้ว เทพศักดิ์สิทธิ์คอยค้ำจุนพวกเขาอย่างลับๆ มาหลายพันปีแล้ว ทำให้เผ่าเงือกเข็มแข็งขึ้นมากกว่าในอดีต ช่วยเขาปราบปรามจลาจลไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
ต่อให้หลานจิ้งเคอพี่สาวของเขาเคยมีบุญคุณต่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ บุญคุณนี้ก็ใช้คืนจนสิ้นไปนานแล้ว! เผ่าเงือกต่างหากที่ติดค้างท่านเทพศักดิ์สิทธิ์…
หลานเหยากวงก็เป็นบุคคลปราดเปรื่องเช่นกัน ใคร่ครวญดูเล็กน้อย ก็เข้าใจเรื่องราวส่วนใหญ่แล้ว
เรื่องของกู้ซีจิ่วน่าจะเป็นเพราะเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องการให้เผ่าเงือกทุ่มเทกายใจดูแลให้ ดังนั้นจึงบอกว่านางเป็นพี่หญิงจิ้งเคอกลับชาติมาเกิด…
เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สายตาร่อนลงบนร่างของเทพศักดิ์สิทธิ์ ทอดถอนใจพลางเอ่ยว่า “พี่หวง อันที่จริง…อันที่จริงแล้วยามนั้นต่อให้ท่านไม่บอกว่ากู้ซีจิ่วเป็นพี่หญิงของข้ากลับชาติมาเกิด ขอเพียงท่านสั่งการลงมา เหยากวงก็จะทุ่มเทกายใจดูแลรักษาให้อยู่แล้ว ไม่มีทางสะเพร่าเลินเล่อ”
แววตาตี้ฝูอีวูบไหวเล็กน้อย “เรื่องนี้…ขออภัยด้วย”
เดิมทีมันเป็นความเห็นแก่ตัวของเขา อยากให้กู้ซีจิ่วฟื้นขึ้นมาพร้อมกับกำลังสนับสนุนของเผ่าเงือกที่ทรงพลัง…
กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะทำให้เรื่องวาดหวังไว้ผิดพลาดไปหมด เรื่องนี้กลายเป็นแผลใจที่ใหญ่ที่สุดของกู้ซีจิ่ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นางโศกหมองเศร้าตรม ตกตายไปพร้อมกับโม่เจ้าอย่างไม่เสียดายชีวิตเพื่อเติมเต็มความปรารถนาให้เขา…
ยามนี้ถึงแม้เขาจะพลักพรากจากนางไปชั่วนิรันดร์แล้ว นางอาจจะไม่ทราบเรื่องราวทุกอย่างที่เขากระทำเลยด้วยซ้ำ แต่ในไม่ช้าก็เร็วนางจะคืนชีพหวนกลับสู่โลกนี้ เขาจะถือโอกาสตอนที่ตนยังมีชีวิตอยู่ สะสางปัญหาวุ่นวายเหล่านี้ให้กระจ่างเพื่อนาง
ด้วยความสามารถของนาง วันหน้าต้องการรวมแผ่นดินนี้ให้เป็นหนึ่ง กลายเป็นยอดคนอันดับหนึ่งของแผ่นดินนี้ ก็ยังไม่แน่ว่าจะต้องพึ่งพาอาศัยขุมกำลังของเผ่าเงือกเสมอไป
ถอยออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่ ต่อให้นางจำเป็นต้องอาศัยขุมกำลังของเผ่าเงือก นางก็มีกลเม็ดและวิธีการของตัวนางเอง ไม่จำเป็นต้องสวมรอยเป็นประมุขเผ่าเงือกอย่างเดียว
หลานเหยากวงใคร่ครวญเล็กน้อย เข้าใจแล้วเช่นกัน อารมณ์ของเขาค่อนข้างซับซ้อน เรื่องนี้เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องการใช้ประโยชน์เผ่าเงือก เพียงแต่การใช้ประโยชน์เล็กน้อยนี้เมื่อเทียบกับความช่วยเหลือของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่มอบให้เผ่าเงือกแล้ว โดยรวมแล้วไม่นับเป็นอันใดได้เลย
————————————————————————–
บทที่ 1737 ลงทัณฑ์ 4
สายตาของเขาร่อนลงบนร่างของตี้ฝูอี อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “พี่หวง เหตุใดท่านถึงพูดเรื่องนี้ออกมาในยามนี้” หากว่าปิดบังเอาไว้ตลอดไป เขาไม่มีทางจะนึกสงสัยขึ้นมาได้
ตี้ฝูอีหลุบตาลง เอ่ยเรียบๆ ว่า “นางไม่ชมชอบ ต้องมอบคำอธิบายให้แก่นาง”
หลานเหยากวงยิ้มขมขื่น กู้ซีจิ่วไม่ชมชอบเป็นประมุขเผ่าเงือกอันใดเสมอมาจริงๆ อีกทั้งตั้งแต่ต้นจนจบนางก็ไม่เคยยอมรับเลย…
สายตาเขาตกลงบนรูปสลักไม้นั้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ ลายเส้นมีชีวิตชีวาสมจริงและมีฝีมีดที่เฉียบคม มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือการสลักของผู้ใด
คนที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ชมชอบอย่างแท้จริงมีเพียงแม่นางกู้ผู้นี้กระมัง?
พี่สาวของเขา…
ในใจของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงสหายที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่คนหนึ่งเท่านั้น
อันที่จริงตอนเขายังเด็กก็เคยได้ยินพี่หญิงบอกไว้เป็นนัยๆ เช่นกัน บอกว่ากับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูเป็นเพียงสหายกันเท่านั้น ไม่มีความสัมพันธ์อื่นใด ตอนนั้นเขายังเด็กเกินไป ยังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ยามนี้ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว!
เขาสูดหายใจเบาๆ “พี่หวงมีความรักต่อแม่นางกู้ผู้นี้อย่างลึกซึ้งโดยแท้…เพียงแต่ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ยังไม่กระจ่าง ในเมื่อพี่หวงชมชอบเพียงแม่นางกู้ เหตุใดต้องทำให้นางเข้าใจผิดเรื่องตนกับพี่หญิงของข้าด้วยเล่า? ซ้ำยังถอนหมั้นกับนางอีก…”
ตี้ฝูอีตอบอย่างเฉยชา “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า” เรื่องราวเกี่ยวพันถึงลิขิตสวรรค์ ตี้ฝูอีย่อมไม่สามารถอธิบายต่อหลานเหยากวงได้
หลานเหยากวงส่ายหน้านิดๆ ขณะที่กำลังจะกล่าวอะไรอีก หลานจิ้งอี๋ที่เงียบงันมาตลอดกลับแผดเสียงขึ้นมา “ข้าว่าแล้วเชียว กู้ซีจิ่วจะใช่พี่หญิงของพวกเราได้อย่างไรกัน?! นางเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง จะเทียบชั้นกับพี่หญิงของข้าได้อย่างไร ไม่คู่ควรเลย…”
วาจาท่อนหลังของนางยังไม่เอ่ยจนจบ ตี้ฝูอีก็ซัดลำแสงสีรุ้งสายหนึ่งเข้าใส่!
ลำแสงสีรุ้งนั้นดุจปราการ พริบตาเดียวก็ห่อหุ้มหลานจิ้งอี๋ไว้ด้านในแล้ว…
หลานจิ้งอี๋ที่อยู่ในแสงสีรุ้งกรีดร้องปานหมูถูกเชือด สีหน้าของหลานเหยากวงพลันแปรเปลี่ยน ก้าวเข้าไปหมายจะยับยั้ง ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างเยียบเย็นว่า “เหยากวง ถ้าเจ้าปกป้องนางอีก เปิ่นจุนจะริบพลังยุทธ์ทั้งหมดบนร่างนางคืนมา!”
หัวใจของหลานเหยากวงหนาวสะท้าน ไม่กล้าพูดอะไรแล้ว
หลานจิ้งอี๋มีโรคประจำตัวตั้งแต่ยังเล็ก เลือดตกยางออกไม่ได้ เคยเฉียดตายมาหลายครั้งแล้ว เป็นตี้ฝูอีที่ช่วยชีวิตนางกลับมา
แต่หลานจิ้งอี๋ผู้นี้เป็นตัวปัญหาที่ไม่เกรงฟ้าเกรงดินเลยผู้หนึ่ง หนก่อนทะเลาะต่อยตีกับผู้อื่น เลือดตกยางออกอีกครั้ง เดิมทีจะถึงที่ตายแล้ว เป็นตี้ฝูอีที่ช่วยพลิกผันสถานการณ์ นำไขกระดูกสวรรค์ของสานุศิษย์สวรรค์มามอบให้นาง ทำให้นางหายขาดจากโรคประจำตัวนี้ และทำให้พลังยุทธ์ของนางยกระดับขึ้นขนานใหญ่
หากว่าตี้ฝูอีริบพลังยุทธ์ทั้งหมดบนร่างหลานจิ้งอี๋กลับไปในยามนี้ เช่นนั้นหลานจิ้งอี๋ต้องตายอย่างแน่นอน!
น้องสาวคนนี้ของตน…ความสามารถในการก่อเรื่องมากมีแต่ความสามารถในการทำเรื่องดีๆ ไม่มีปรากฏ สมควรต้องมอบบทเรียนครั้งใหญ่ให้นางแล้ว!
ผ่านไปครู่หนึ่ง แสงสีรุ้งสลายไป หลานจิ้งอี๋ชักกระตุกอยู่บนพื้นเสมือนมัจฉาขาดวารี เกล็ดบนร่างลดลงไปถึงหนึ่งในสาม!
ความเจ็บปวดจากการถูกขอดเกล็ดนั้นเลวร้ายเสียกว่าถูกถอดกระดูก หลานจิ้งอี๋เหงื่อท่วมร่าง หยาดเหงื่อกลายเป็นไข่มุกกลิ้งอยู่บนพื้น
สีนางของนางซีดขาวราวกระดาษ สั่นสะท้านปานสายพิณอยู่บนพื้น ในที่สุดสายตาที่มองดูตี้ฝูอีก็เปี่ยมด้วยความประหวั่นพรันพรึงแล้ว…
ตี้ฝูอีกล่าวอย่างเยียบเย็น “หลานจิ้งอี๋ เห็นแก่พี่สาวของเจ้า เปิ่นจุนจะไว้ชีวิตเจ้าชั่วคราว! หากว่าเปิ่นจุนได้ยินเจ้าจาบจ้วงหมิ่นแคลนกู้ซีจิ่วอีกแม้แต่น้อย เปิ่นจุนจะไปเอาชีวิตเจ้าทันที! เหยากวง พานางกลับทะเลเสีย ถ้าไม่มีคำสั่งจากเปิ่นจุน ห้ามนางขึ้นมาบนบกอีก!”
หลานเหยากวงย่อมไม่คิดจะรั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว รีบพาหลานจิ้งอี๋จากไปอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์วุ่นวายนี้จึงปิดฉากลงเช่นนี้แล
ด้วยเรื่องนี้ ประชาชนทั้งหลายจึงทราบถึงน้ำหนักความสำคัญของกู้ซีจิ่วในใจท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กันทั่วหน้าแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าจาบจ้วงล่วงเกินนางอีก ธูปสักการะบูชาในศาลบูชาของนางก็ยิ่งเพิ่มพูนรุ่งโรจน์ขึ้นไปอีก แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภายหลัง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น