อัจฉริยะสมองเพชร 1730-1733

 ตอนที่ 1730 สิบอึดใจเท่านั้น

อีกฝ่ายไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์แม้แต่น้อย ทั้งยังรู้วีรกรรมในอาณาจักรใต้ดินของเขาและกล่าวถึงการกระทำของเขาว่าเป็น‘คุณงามความดีต่อมวลมนุษย์’ ด้วย มีแต่ปรมาจารย์เท่านั้นที่ใช้ถ้อยคำเหล่านี้!


หรือว่าอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในนักปราชญ์โบราณของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่?


แต่ถ้านักรบผู้นี้เป็นปรมาจารย์ แล้วทำไมถึงยับยั้งเขาไม่ให้เข้าสู่โดมหนาวเหน็บเย็นเยือก?


“ผมไม่ได้มาจากสภาปรมาจารย์ แต่…”


นักปราชญ์โบราณผู้นั้นตั้งต้นอธิบาย แต่ยังพูดไม่ทันจบ ก็เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องมาจากโดมหนาวเหน็บเย็นเยือก ราวกับฉนวนบางชนิดถูกทำลาย พลังงานเย็นเยือกอันเข้มข้นระเบิดออกจากฉนวน และแผ่ออกไปโดยรอบ ครอบคลุมโดมหนาวเหน็บเย็นเยือกไว้ด้วยชั้นน้ำแข็งภายในชั่วพริบตา


“จ้าวหย่าอยู่ที่นั่นจริงๆ!” จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียด


มันคือพลังงานเย็นแบบเดียวกับที่จ้าวหย่าได้แผ่ออกมาหลังจากที่เขาทำการปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณให้เธอจนสำเร็จ ไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน


ฟึ่บ!


จางเซวียนไม่สนใจนักปราชญ์โบราณ เขาพุ่งเข้าสู่โดมหนาวเหน็บเย็นเยือกทันที


ชัดเจนว่าอีกฝ่ายจงใจยื้อเขาไว้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายบางอย่าง


ต่อให้ศัตรูที่เขาต้องเผชิญหน้าเป็นถึงนักปราชญ์โบราณ ก็แล้วอย่างไรล่ะ?


ถ้าทุกอย่างเลวร้ายถึงขีดสุด เขาก็แค่ต้องใช้หน้าหนังสือสีทองและขว้างมันเข้าใส่อีกฝ่าย


เพื่อความปลอดภัยของลูกศิษย์ นี่คือราคาที่เขาเต็มใจจ่าย


น้ำเอ่อท่วมโดมหนาวเหน็บเย็นเยือกและสร้างปราการไว้รอบโดมจางเซวียนพุ่งเข้าใส่ปราการนั้น แต่พบว่าไม่อาจใช้พละกำลังที่มีอยู่ทำลายมันได้


“คุณจะเข้าไปตอนนี้ไม่ได้นะ!” นักปราชญ์โบราณอุทาน


“ไปให้พ้น!” จางเซวียนคำรามขณะชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาและพุ่งเข้าใส่ปราการแสง


การโจมตีของหอกสวรรค์กระดูกมังกรทำให้ปราการแสงสั่นสะท้านเล็กน้อย แต่มันก็ยังตั้งมั่นอยู่ได้โดยไร้รอยขีดข่วน


“ทำลายมัน!”


จางเซวียนไม่ยอมแพ้ เขาถ่ายทอดพลังปราณทั้งหมดเข้าสู่หอกสวรรค์กระดูกมังกรและจ้วงแทงเข้าใส่อีกครั้ง คราวนี้ เปลวเพลิงสีดำพุ่งออกมาจากปลายหอก


หลังจากที่ผ่านการทดสอบของเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดมาถึง 3 ครั้ง ร่างกายของจางเซวียนก็สามารถควบคุมพละกำลังของธรรมชาติได้ เขาเพ่งสมาธิเข้าใส่เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดที่ได้ซึมซับไว้เข้าสู่ปลายหอกสวรรค์กระดูกมังกร ไม่ช้า ปราการแสงก็ถูกทำลาย


“เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด?”


นักปราชญ์โบราณที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆถึงกับประหลาดใจ เขากำลังจะยกมือขึ้นเพื่อดับไฟ ก็พอดีกับที่เกิดเสียงร้าวของก้อนหินดังกึกก้องไปทั่ว จากนั้นโดมทั้งสี่ก็สั่นสะท้านไม่หยุด


“มันเกิดอะไรขึ้น?” รู้ดีว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ จางเซวียนจึงละความพยายามในการทำลายปราการแสงเพื่อมาสำรวจพื้นที่โดยรอบ


เสียงระเบิดดังสนั่นดังมาจากหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ซึ่งตั้งสูงตระหง่าน เกิดรอยร้าวขึ้นระหว่างบานประตูที่ปิดสนิทนั้น


รังสีโบร่ำโบราณพวยพุ่งออกจากส่วนลึกของหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เข้าโอบล้อมฤดูใบไม้ผลิอบอุ่น โดมเร่าร้อนดั่งไฟ โดมใบไม้ร่วงชื่นใจ และโดมหนาวเหน็บเย็นเยือกเอาไว้ ในชั่วพริบตาฝูงชนก็รู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าทั้ง 4 ฤดูเปิดเผยตัวตนอย่างรวดเร็วต่อหน้าพวกเขา


เมื่อเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานที่อยู่ในมือของเซียนดาบชิงสัมผัสกับรังสีโบร่ำโบราณ ประกายแสงอบอุ่นก็ระเบิดออกมา เกิดเป็นรูปทรงกลมสว่างเรืองที่ครอบคลุมรัศมีกว่า 10 เมตร


ด้วยพละกำลังหนักหน่วงนั้น เซียนดาบชิงเหมิงกับคนอื่นๆรู้สึกว่าร่างของพวกเขาถูกฉุดอย่างแรงเข้าสู่ส่วนลึกของหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่


“หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เปิดแล้ว! เซวียนเอ๋อ ไปกันเถอะ!”เซียนดาบชิงตะโกนด้วยความร้อนใจ


“ผมต้องช่วยจ้าวหย่าก่อน” จางเซวียนอุทานก่อนจะหันกลับไปที่โดมหนาวเหน็บเย็นเยือกอีกครั้ง


ในเมื่อสุดท้ายเขาก็ได้พบจ้าวหย่า ในฐานะอาจารย์ของเธอ เขาก็มีหน้าที่ต้องนำตัวเธอกลับมาให้ได้โดยปราศจากอันตราย


ฉึกกกก!


จางเซวียนใช้หอกสวรรค์กระดูกมังกรจ้วงแทงปราการที่มองไม่เห็นอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ช้ามันก็ไม่อาจต้านทานได้และแหลกสลายไปภายใต้แรงกดดันนั้น จางเซวียนใช้โอกาสนี้พุ่งเข้าสู่โดมหนาวเหน็บเย็นเยือกทันที


แต่ขณะที่เขากำลังมุ่งหน้าไป ลูกทรงกลมสว่างเรืองที่แผ่พลังงานเย็นจากโดมหนาวเหน็บเย็นเยือกออกมาก็ติดตามเซียนดาบชิงเหมิงกับคนอื่นไปติดๆ มุ่งหน้าเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เช่นกัน


ภายใต้ปราการแสงนั้น จางเซวียนเห็นร่างอ้อนแอ้นร่างหนึ่งถูกโอบล้อมด้วยรังสีเย็นเยือก เป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากจ้าวหย่า!


ลูกทรงกลมสว่างเรืองนั้นดูจะคงรูปอยู่ได้ด้วยการใช้พละกำลังของเธอ


เซียนดาบชิงเหมิงกับคนอื่นๆเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้เพราะเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานที่พวกเขาครอบครอง แต่กลุ่มนักรบที่อยู่ในรูปทรงกลมที่ปล่อยแสงออกมาซึ่งถูกควบคุมโดยจ้าวหย่าก็ผ่านรอยแยกของประตูเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน


“จ้าวหย่า…” เมื่อเห็นจ้าวหย่าเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แล้วจางเซวียนนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก


ฟึ่บ!


จากนั้น อสูร 20 ตัวก็พุ่งออกมาจากโดมใบไม้ร่วงชื่นใจ แล้วเดินหน้าเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ดูเหมือนพวกมันจงใจจะเข้าสู่หอบริวารโดยฉวยโอกาสขณะที่ทุกอย่างกำลังอลหม่าน แต่เมื่ออยู่ห่างจากหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เพียงไม่กี่นิ้ว เหล่าอสูรก็พบว่าตัวเองถูกปราการที่มองไม่เห็นฉุดรั้งไว้ ไม่ว่าจะพยายามรุดหน้าไปสักเท่าไหร่ ก็เข้าใกล้ไม่ได้กว่าเดิมอีกแม้แต่ก้าวเดียว


อสูรเหล่านี้ส่วนใหญ่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 และขั้น 4 แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพละกำลังของมันเทียบชั้นกับปราการแสงไม่ได้ พวกมันไม่ต่างอะไรกับปลวกที่พยายามจะทำลายต้นไม้สูงตระหง่าน ต่อให้ใช้พละกำลังเต็มพิกัด ปราการแสงก็ไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย


“ไอ้สารเลวพวกนั้นเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่โดยใช้สภาวะพิเศษของจ้าวหย่า” จางเซวียนโมโหจนแทบระเบิดเมื่อนึกได้


ทำไมคราวนี้เขาถึงเลินเล่อนัก? เขาควรจะรู้ว่าอีกฝ่ายใช้ประโยชน์จากจ้าวหย่าเพื่อการเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่เพราะความที่คิดแต่จะช่วยชีวิตจ้าวหย่า เขาจึงพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่พร้อมกับท่านพ่อท่านแม่ ในเมื่อตอนนี้ทุกคนเข้าสู่หอบริวารแล้ว เหลือเขาเพียงคนเดียวที่ยังอยู่ด้านนอกแล้วจะทำอย่างไรต่อไป?


“แบบนี้ไม่ได้การ เราจะต้องเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ให้ได้เหมือนกัน” จางเซวียนพึมพำอย่างร้อนใจขณะพุ่งตรงไปยังทางเข้าหอบริวาร


ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าเขาจะได้พบลูกศิษย์ เขาจะไม่ยอมให้อภัยตัวเองอีกแล้วหากต้องพลาดโอกาสที่จะช่วยชีวิตเธอเพียงเพราะตัวเองเลินเล่อ


ในกรณีเลวร้ายที่สุด เขาก็แค่ใช้หอสมุดเทียบฟ้าเพื่อหาข้อบกพร่องของปราการแสง ต่อให้ต้องทำลายสิ่งปลูกสร้างแห่งนี้ทั้งหมด เขาก็จะต้องเข้าไปข้างในให้ได้!


ในชั่วพริบตา จางเซวียนก็มาถึงปราการที่มองไม่เห็น เขาคิดว่าตัวเองคงจะถูกยับยั้งไว้เหมือนกับอสูรตัวอื่นๆที่กำลังตะกุยตะกายอย่างสิ้นหวัง แต่กลับตรงกันข้าม เกิดแสงเรืองอ่อนๆโอบล้อมร่างกายของเขาไว้ ยังไม่ทันจะรู้ตัว จางเซวียนก็มาอยู่อีกฟากหนึ่งของปราการแล้ว


จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกได้ เราลืมเรื่องนี้ได้อย่างไร? เรามีเครื่องรางลำดับแรกอยู่นี่นา


ก่อนหน้านี้ หลัวลั่วชิงบอกเขาว่าเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานจะใช้การได้เฉพาะกับหอบริวารที่เชื่อมโยงกับมัน ขณะที่เครื่องรางลำดับแรกจะทำให้เขาสามารถเข้าสู่หอบริวารทั้งหมดและหอลำดับแรกได้ด้วย


เป็นเพราะความไม่เอาไหนของเครื่องรางน้อยระหว่างที่เขาอยู่ในมิติรอบนอก จางเซวียนจึงหลงลืมไปว่ามีมันอยู่ หลังจากที่นำความผิดหวังมากมายมาให้ แต่สุดท้ายมันก็ได้พิสูจน์คุณค่าของตัวเองในช่วงเวลาคับขันแบบนี้!


“ผู้อาวุโส ได้โปรดพาพวกเราไปกับคุณด้วย…”


ก่อนที่จางเซวียนจะพุ่งเข้าสู่เส้นทางที่นำไปสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างสิ้นหวังดังอยู่ข้างหลัง จึงหันขวับไปมอง


พวกมันคืออสูรที่กำลังจะตะกุยตะกายปราการที่มองไม่เห็น แต่ก็ไม่เป็นผล


จางเซวียนจ้องหน้าพวกมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ยอมเป็นอสูรของฉันสิ แล้วฉันจะพาพวกแกเข้าไป!”


“เอ่อ…”


ได้ยินคำนั้น เหล่าอสูรพากันชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะส่งเสียงเซ็งแซ่


“คุณอยากให้พวกเราเป็นอสูรของคุณหรือ? ฝันไปแล้วล่ะ!”


“เหตุผลที่พวกเราเผ่าพันธุ์อสูรตั้งใจฝึกฝนวรยุทธก็เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระโดยไม่ต้องยำเกรงใคร คุณอาจทรงพลังก็จริง แต่ไม่มีทางที่คุณจะทำให้พวกเรายอมจำนนต่อคุณได้หรอก!”


“อย่างมากที่สุด พวกเราก็แค่พลาดโอกาสที่จะเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เรายังสามารถพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็วได้ด้วยการฝึกฝนวรยุทธในอาณาเขตรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อ…”


“ต่อให้ต้องตายที่นี่ ผม, อสูรเมฆเขียวอ่อน, จะไม่มีวันยอมจำนนให้ใครทั้งนั้น!”


เหตุผลหลักที่พวกมันต้องการเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อก็เพื่อเสาะแสวงหาความโชคดีและยกระดับวรยุทธ แต่หากพวกมันต้องยอมจำนนให้มนุษย์คนหนึ่งและสูญเสียอิสรภาพตลอดไป ก็ยอมละทิ้งโอกาสนี้เสียดีกว่า


“ฮ่า!” ได้ยินคำตอบจากเหล่าอสูร จางเซวียนหัวเราะหึๆ


เขาสะบัดหอก จากนั้นก็ข้ามปราการที่มองไม่เห็นออกมาอีกครั้งแล้วพุ่งเข้าใส่อสูรฝูงนั้น


ตุ้บ! พลั่ก!


สิบอึดใจต่อมา จางเซวียนก็เหน็บหอกไว้ที่หลังขณะจ้องมองเหล่าอสูรที่ยอมจำนนอยู่ตรงหน้า “พวกแกยอมจำนนแล้วใช่ไหม?”


“…คารวะนายท่าน!”


อสูรกลุ่มนั้นรีบทรุดตัวลงคุกเข่าและโค้งคำนับให้จางเซวียน อสูรเมฆเขียวอ่อนผู้หยิ่งผยองถึงกับมอบหยดเลือดให้จางเซวียนเพื่อทำสัญญาจิตวิญญาณ


อสูรที่เหลือรีบทำตาม ราวกับเกรงว่าเจ้านายคนใหม่จะไม่ยอมรับหากพวกมันยอมจำนนช้าเกินไป


“….” บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจาง


“….” นักปราชญ์โบราณนิรนาม


เผ่าพันธุ์อสูรว่านอนสอนง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


ขนาดพวกเขาซึ่งเป็นถึงนักปราชญ์โบราณก็ยังไม่อาจบังคับให้เผ่าพันธุ์อสูรยอมทำอะไรตามใจได้ เพราะไม่อย่างนั้น นักปราชญ์โบราณคนไหนก็คงสร้างกองทัพอสูรที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้แล้ว


แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับทำได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที


ในตอนนั้น เหล่านักรบที่ไม่สามารถเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ต่างพากันจังงังไป


ตอนที่ 1731 หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

“เข้าไปข้างในกันเถอะ”


เมื่ออสูรจำนวนหนึ่งยอมมอบความจงรักภักดีให้ จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ เขาเก็บอสูรทั้งหมดเข้าสู่รังนางพญามดก่อนจะเดินตรงไปยังปราการที่มองไม่เห็นอีกครั้ง


แต่คราวนี้ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามคาด จางเซวียนพบว่าปราการที่มองไม่เห็นยับยั้งอสูรเหล่านั้นไว้ เขาไม่อาจผ่านไปได้เหมือนคราวก่อน


“เกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนอ้าปากค้างกับสิ่งที่คาดไม่ถึง


หรือว่าเขารอนานเกินไป และไม่อาจเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้แล้ว?


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คงได้ปล่อยโฮแน่


“นายท่าน คุณนำอสูรติดตัวมามากเกินไป” ขณะที่จางเซวียนกำลังจะทำความเข้าใจสถานการณ์แปลกประหลาดตรงหน้า เสียงเครื่องรางน้อยก็ดังขึ้นในหัว “โดยปกติ เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานจะพาผู้คนเข้ามาในนี้ได้ 10 คน ส่วนผมซึ่งเป็นเครื่องรางลำดับแรก จะพาเข้ามาได้ 15 คน แต่เมื่อครู่นี้คุณเพิ่งทำให้อสูร 20 ตัวยอมจำนน…”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคดีที่ไม่ใช่ว่าเขาไม่อาจเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ แต่เป็นเพราะเขาแบกน้ำหนักมากเกินไป จางเซวียนส่งโทรจิตหาเครื่องรางน้อยและตั้งคำถาม “ถ้าผมเก็บพวกมันไว้ในมิติลี้ลับจะได้ไหม?”


“ไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้น ท่านพ่อกับท่านแม่ของคุณคงพาทุกคนเข้าสู่หอบริวารแล้ว” เครื่องรางน้อยอธิบาย


“ผมเข้าใจ” จางเซวียนพยักหน้ารับ


ไม่มีทางที่ปรมาจารย์ขงจะปล่อยให้กฎเกณฑ์ที่เขาตั้งขึ้นสามารถยืดหยุ่นได้อย่างง่ายดาย เพราะไม่อย่างนั้น ก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะทำให้อะไรๆเข้มงวดตั้งแต่แรก


ดังนั้น จางเซวียนจึงปล่อยอสูรที่มีวรยุทธต่ำกว่าออกไปจนกระทั่งเหลือพวกมันเพียง 14 ตัว เขาพยายามเดินผ่านปราการที่มองไม่เห็นอีกครั้ง และคราวนี้ผ่านมันไปได้โดยปราศจากปัญหาใดๆ


ไม่นานหลังจากที่ผ่านปราการ จางเซวียนก็พูดขึ้น “เดี๋ยวก่อน แบบนี้ไม่ใช่นะ งูเขียวไม้สวรรค์ยังอยู่ในมิติลี้ลับของผม ถ้านับรวมมันด้วย ก็หมายความว่าจำนวนที่ผมพาเข้ามานั้นเกิน 15 แล้ว”


นอกจากอสูร 14 ตัวที่เขาเพิ่งทำให้มันยอมจำนนได้เมื่อครู่ ก็ยังมีงูเขียวไม้สวรรค์ เสือเมฆวิญญาณทอง เสือขาวหน้าผากแดง และอสูรอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ในรังนางพญามดด้วย รวมจำนวนอสูรที่จางเซวียนมีอยู่กับตัวก็น่าจะเกินกว่า 20!


“พวกนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในอาณาบริเวณของวิหารแห่งขงจื๊ออยู่แล้วโดยธรรมชาติ จึงสามารถผ่านเข้าไปได้ ไม่นับรวมอยู่ในโควตา” เครื่องรางน้อยอธิบาย


“มีแบบนี้ด้วย?” จางเซวียนถามด้วยความประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าอสูรที่อยู่ในอาณาบริเวณของวิหารแห่งขงจื๊อจะได้รับการยกเว้น


เขาส่ายหน้าและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่


คนอื่นๆเข้าสู่พื้นที่นี้ล่วงหน้าเกินกว่า 1 นาทีแล้ว เขาจึงต้องรีบ จะได้ตามคนเหล่านั้นให้ทัน


เมื่อเดินผ่านประตูบานใหญ่ จางเซวียนพบว่าตัวเองยืนอยู่กลางทางเดินขนาดกว้าง รูปปั้นมากมายในอากัปกิริยาต่างๆถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบอยู่สองข้างทางเดิน บางตัวกำลังครุ่นคิด บางตัวเหม่อมองออกไปแสนไกล บางตัวอ่านหนังสือ บางตัวกำลังฝึกฝนวรยุทธ…พวกมันถูกสลักเสลาขึ้นอย่างประณีตเหมือนจริง จนเกือบเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาได้ทุกขณะ


“นี่คือ…72 นักปราชญ์หรือ?”


ใช้เวลาไม่นาน จางเซวียนก็จดจำรูปปั้นเหล่านั้นได้ พวกเขาคือนักปราชญ์ 72 คนซึ่งเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ขง


เป็นที่รู้กันว่าปรมาจารย์ขงมีลูกศิษย์เกินกว่าสามพันคนและศิษย์สายตรงอีก 72 คน ศิษย์สายตรงทั้ง 72 คนนี้รู้จักกันในชื่อ 72 นักปราชญ์ และ 10 คนที่แข็งแกร่งที่สุดในนั้นซึ่งรวมถึงนักปราชญ์โบราณหรันชิวและนักปราชญ์โบราณโป๋ช่างก็ได้รับความเคารพในฐานะ 10 สุดยอดสาวก


ทั้ง 72 นักปราชญ์มีวีรกรรมและตำนานที่แตกต่างกันออกไป ต่างคนต่างประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งในช่วงชีวิตของตัวเองวีรกรรมของพวกเขาถูกสภาปรมาจารย์บันทึกไว้ทั้งในรูปของตัวอักษรและงานศิลปะ เพื่อให้โลกได้ระลึกถึงความยิ่งใหญ่และการเสียสละที่พวกเขามอบให้มวลมนุษย์


จางเซวียนเคยชมงานศิลปะเหล่านั้นมาแล้ว จึงจดจำรูปปั้นเหล่านี้ได้ไม่ยาก


นักปราชญ์โบราณจื่อหยวน, นักปราชญ์โบราณจื่อเฉียน, นักปราชญ์โบราณจื่อลิ่ว, นักปราชญ์โบราณหลันเกิง….


ชื่อที่คุ้นหูลอยเข้ามาในสมองของจางเซวียน ปะติดปะต่อกับรูปปั้นที่อยู่ตรงหน้า เมื่อมองรูปปั้นโบร่ำโบราณเหล่านั้น จางเซวียนก็แทบจะเห็นการสู้รบอันดุเดือดที่เกิดขึ้นกับเผ่าพันธุ์ปีศาจในยุคสมัยที่ผ่านมา


หากปราศจากคนเหล่านี้ ก็ไม่มีทางที่ปรมาจารย์ขงจะเอาชนะการคุกคามของเผ่าพันธุ์ปีศาจในตอนนั้นได้!


พวกเขาคือเสาหลักที่ทำให้มนุษย์พัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็วตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในยุคสมัยแห่งความสิ้นหวังนั้น การปรากฏตัวของ 72 นักปราชญ์เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แม้จะผ่านมาเนิ่นนานหลายหมื่นปีแล้ว ชื่อของพวกเขาก็ยังไม่เลือนหายไปจากความทรงจำของชาวโลก


จางเซวียนโค้งคำนับอย่างงามให้รูปปั้น 72 นักปราชญ์เพื่อแสดงความเคารพอย่างล้ำลึก ก่อนจะเดินหน้าต่อไป


รูปปั้นของ 72 นักปราชญ์สร้างความกดดันเล็กน้อยให้กับผู้ที่เดินผ่าน ทั้งยังบ่มเพาะสมองและจิตวิญญาณของผู้นั้นด้วย แน่นอนว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์มากกับการยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ


หลังจากเดินไปอีก 2-3 ก้าว จางเซวียนก็เห็นปรมาจารย์จำนวนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น ไปต่อไม่ไหว พวกเขาคือผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลจาง


ด้วยขีดจำกัดของระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของพวกเขา จึงดูเหมือนว่าคนเหล่านี้อาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสหากยังฝืนตัวเองให้เดินหน้าต่อไป ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็คงจะฉลาดกว่าหากใช้ประโยชน์จากแรงกดดันในเวลานี้เพื่อยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ


เห็นทั้งกลุ่มยังคงดื่มด่ำอยู่กับความคิดล้ำลึก จางเซวียนตัดสินใจเดินผ่านไปโดยไม่รบกวน


จนถึงตอนนี้ เขายังคงไม่แน่ใจว่าตัวการที่เป็นผู้ลักพาตัวจ้าวหย่ากับคนอื่นๆไปคือใคร แต่ข้อเท็จจริงก็คือคนเหล่านั้นสามารถผ่านทางเดินที่มีรูปปั้น 72 นักปราชญ์ไปได้ ก็แปลว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของอีกฝ่ายย่อมไม่อ่อนด้อยไปกว่าเขา


ด้วยระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณที่สูงขนาดนี้ เป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นน่าจะสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก ซึ่งถ้าเป็นจริง ก็อาจเป็นภัยคุกคามต่อท่านพ่อท่านแม่ของเขาและสมาชิกคนอื่นๆของตระกูลจาง


เมื่อเดินมาจนสุดทางเดิน จางเซวียนก็มาถึงห้องโถงขนาดใหญ่


เซียนดาบชิงเหมิงและผู้อาวุโสสูงสุดคนอื่นๆของตระกูลจางยืนอยู่ใจกลางห้อง ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับพวกเขาคือเด็กวัยรุ่น 8 คนที่แผ่รังสีแก่กล้าออกมา เป็นอย่างที่จางเซวียนคิดไว้ วัยรุ่นทั้ง 8 คนสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก!


เมื่อเห็นว่าท่านพ่อท่านแม่ยังไม่เป็นอะไร จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็หันไปมองกลุ่มวัยรุ่นทั้ง 8 คน


สาวน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ใจกลางกลุ่มนั้น นัยน์ตาของเธอปิดสนิทกระแสพลังงานเย็นเยือกพวยพุ่งออกจากร่าง ดูเหมือนเธอกำลังพยายามจะเปิดใช้งานฉนวนที่อยู่บนผนังด้านหนึ่งของห้องโถงนั้น


จางเซวียนเลิกคิ้วและโพล่งออกมาอย่างร้อนรน “จ้าวหย่า!”


เขารี่เข้าหาเธอ


“เซวียนเอ๋อ ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ยินเสียงพวกเรานะ”


ยังไม่ทันที่เขาจะเข้าถึงตัวจ้าวหย่า เซียนดาบชิงเหมิงก็รีบส่งโทรจิตหา


“เธอไม่ได้ยินเสียงพวกเราหรือ?” จางเซวียนชะงัก


“ใช่ ก่อนหน้านี้เราพยายามเรียกจ้าวหย่าแล้ว แต่ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ เธอไม่หันหน้ามาด้วยซ้ำ ดูเหมือนจะไม่ได้ยินเลย” เซียนดาบชิงอธิบาย


“เธอน่าจะกำลังหมกมุ่นอยู่กับการถอดรหัสภาพวาดบนผนัง เราไม่รู้จริงๆว่าวัตถุประสงค์ของการทำแบบนั้นคืออะไร” เซียนดาบเหมิงตอบขณะแอบชี้ไปที่ภาพวาดบนผนัง


“ภาพวาด?” จางเซวียนมองตามนิ้วของเซียนดาบเหมิงและเห็นภาพวาดขนาดใหญ่ที่อยู่บนผนัง ภาพวาดนั้นดูล้ำลึกมากราวกับโลกทั้งโลกถูกขังไว้ภายในนั้น


จ้าวหย่ากำลังปล่อยพลังงานเย็นเยือกของเธอเข้าสู่ภาพวาดอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนพยายามจะทำลายฉนวนที่อยู่บนนั้น


โดยปกติ จ้าวหย่าจะต้องรู้แล้วว่าเขามาถึงทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่ห้องโถง อย่าว่าแต่จะร้องเรียกเธอ แต่การที่เธอไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย ก็น่าจะหมายความว่าเธอกำลังอยู่ในภวังค์


เห็นจ้าวหย่าไม่เป็นอันตราย จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่จิตใจที่ร้อนรนของเขาค่อยสงบลง


เขาหันไปมองเด็กวัยรุ่นทั้ง 8 ที่ยืนอยู่ตรงข้ามและหรี่ตา “พวกนั้นเป็นใคร?”


“เมื่อครู่นี้พ่อถามแล้ว พวกเขาบอกว่าเป็นทายาทของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์” เซียนดาบชิงตอบ


“100 สำนักแห่งนักปราชญ์?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “พวกเขาคือทายาทของ 72 นักปราชญ์ ถูกไหม? แล้วทำไมถึงลักพาตัวจ้าวหย่าแล้วภาพวาดที่อยู่บนผนังนั่นคืออะไร?”


ที่ผ่านมา จางเซวียนคิดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นคือผู้ลักพาตัวจ้าวหย่า เว่ยหรูเหยียน และหยวนเทา ซึ่งด้วยนิสัยโหดร้ายของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกมันจะทำอะไรแบบนี้ แต่ใครจะไปคิดว่าตัวการที่แท้จริงมาจาก100 สำนักแห่งนักปราชญ์?


แม้เขาจะได้เงื่อนงำบางอย่างที่นำไปสู่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์แต่ก็ยังยับยั้งความแคลงใจของตัวเองไว้ เพราะถึงอย่างไรคนเหล่านี้ก็สืบเชื้อสายมาจากปรมาจารย์ขง ซึ่งยึดมั่นทั้งหลักการและคุณธรรม ยากที่จะเชื่อว่าพวกเขาจะทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างการลักพาตัวใครต่อใครเพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมาย


ช่างไม่เข้ากันกับแนวคิดของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เลย!


ไม่เพียงเท่านั้น ที่น่าประหลาดไปกว่าก็คือทายาทของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์กลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับภาพวาดมากกว่าบรรดารูปปั้นของเหล่าบรรพบุรุษที่อยู่ด้านนอก หรือว่าจะมีความลับอันน่าทึ่งบางอย่างซ่อนอยู่ภายในภาพวาด?


เมื่อเกิดความคิดนั้นขึ้นมา จางเซวียนหันไปพิจารณาภาพวาดอย่างถี่ถ้วน


สิ่งแรกที่เขารู้สึกก็คือรังสีโบร่ำโบราณที่แผ่ออกมาจากภาพวาดนั้นดูเหมือนของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านกาลเวลาของประวัติศาสตร์มาอย่างโชกโชน เขาเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้เพื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนขึ้นอีก แต่ก็พบว่าภาพวาดนั้นดูจะหลอมรวมเข้ากันอย่างสมบูรณ์แบบกับทั้งเวลาและมิติของห้องโถง บดบังทัศนวิสัยของเขา


เป็นไปได้ว่านี่คือฉนวนที่จ้าวหย่ากำลังพยายามทำลาย


จางเซวียนยังรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ที่แผ่ออกมาจากภาพวาดนั้นด้วย ดูราวกับว่าจิตใต้สำนึกของคนคนหนึ่งจะถูกดูดกลืนเข้าสู่ภาพวาดนั้นทันทีด้วยการมองเพียงแวบเดียว


“เป็นไปได้ไหมว่านี่คือมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง?” เสียงเซียนดาบชิงแว่วเข้าหู


ตอนที่ 1732 โอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ

“มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง?” จางเซวียนเลิกคิ้ว


“ว่ากันว่ามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเป็นของล้ำค่าที่ทรงพลังที่สุดที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ บางคนกล่าวว่ามันคือหนังสืออีกกลุ่มหนึ่งกล่าวว่ามันคืออาวุธ และบางคนก็คิดว่ามันเป็นของล้ำค่าแห่งมิติ แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงมาก่อน ดังนั้นมันจึงอาจจะเป็นภาพวาดก็ได้” เซียนดาบชิงวิเคราะห์


“ไม่อย่างนั้น ทำไมกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จึงตรงเข้ามาพยายามถอดรหัสฉนวนที่นี่ทันทีที่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เปิด เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ว่าพละกำลังของจ้าวหย่ามีความจำเป็นสำหรับการถอดรหัสฉนวน และนั่นอธิบายได้ว่าทำไมพวกเขาจึงลักพาตัวเธอมา”


ได้ยินคำนั้น จางเซวียนครุ่นคิดหนัก


คำพูดของเซียนดาบชิงก็มีเหตุผล


ข้อมูลส่วนใหญ่ที่มีอยู่เกี่ยวกับวิหารแห่งขงจื๊อมาจากเรื่องราวที่เล่าขานกันมา จึงอาจไม่เป็นความจริงเสมอไป และแม้ชื่อมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงจะชวนให้คิดว่าของล้ำค่าชิ้นนี้น่าจะเป็นหนังสือ แต่มันก็อาจเป็นสิ่งอื่นก็ได้


เหมือนกับการที่หอกสวรรค์กระดูกมังกรสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างให้กลายเป็นทั้งหอกและโครงกระดูกมังกร


จางเซวียนหันกลับไปมองภาพวาดยิ่งใหญ่ที่อยู่บนผนังและใช้ดวงตาหยั่งรู้ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน แม้รายละเอียดจะพร่าเลือนไปบ้างเพราะมีฉนวนกั้นอยู่ แต่เขาก็พอจะเห็นภาพของทุ่งหิมะกว้างใหญ่ ดูเหมือนอีกฟากหนึ่งของภาพวาดจะเป็นโลกน้ำแข็งอันเย็นเยือกชั่วนิรันดร์กาล


“มีกฎเกณฑ์ของเวลาหลอมรวมอยู่ในภาพวาดด้วย…”


จากการตรวจสอบภาพวาดอย่างถี่ถ้วน จางเซวียนรู้สึกได้ถึงอำนาจของมิติและเวลาที่หลอมรวมอยู่ภายในภาพวาด ดูเหมือนกระแสกาลเวลาภายในภาพวาดจะแตกต่างจากโลกแห่งความเป็นจริง


ถ้าในภาพวาดนี้มีแนวคิดของกาลเวลาที่ถูกแยกออกจากโลกปัจจุบัน…จะเป็นไปได้ไหมว่ามันคือมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงจริงๆ?


ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็จะต้องนำภาพวาดนี้มาให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม ต่อให้อีกฝ่ายมาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ เขาก็จะไม่ยั้งมือ!


จางเซวียนเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เราอาจไม่รู้จักมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง แต่เครื่องรางน้อยต้องรู้จักแน่!


ความรู้เกี่ยวกับยุคสมัยโบราณของเขายังอ่อนด้อย แต่กับเรื่องรางน้อยนั้นไม่เหมือนกัน มันถูกหล่อหลอมด้วยน้ำมือของปรมาจารย์ขงเพื่อใช้เป็นกุญแจเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ ดังนั้นจึงน่าจะรู้จักมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงอย่างแน่นอน


จางเซวียนส่งโทรจิตถามเครื่องรางน้อย


“มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง? ฮ่าฮ่าฮ่า! นั่นเป็นเรื่องเหลวไหลที่สุดที่ผมเคยได้ยินมา สิ่งนี้น่ะคือผืนผ้าใบสี่ฤดูที่ปรมาจารย์ขงเป็นผู้วาดขึ้นเอง!” เครื่องรางน้อยตอบขณะหัวเราะคิกคักอยู่ในรังนางพญามด


“ผืนผ้าใบสี่ฤดู?”


“คุณไม่เห็นโดมทั้งสี่ก่อนที่จะเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่หรือ? ฤดูใบไม้ผลิ, ฤดูร้อน, ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว นั่นคือสี่ฤดูกาลของโลก” เครื่องรางน้อยอธิบาย


จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ


เมื่อลองนึกดู กรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของปรมาจารย์ขงนั้นก็เกี่ยวข้องกับแนวคิดของการปรับเปลี่ยนร่างกายให้กลมกลืนกับ 4 ฤดูกาลของธรรมชาติ เขาเคยคิดว่าโดมทั้งสี่ได้รับการตั้งชื่อตามฤดูกาลโดยไม่ได้มีความหมายอะไร แต่ดูเหมือนจะมีความซับซ้อนมากกว่านั้น


“แล้วผืนผ้าใบสี่ฤดูน่ะทำอะไรได้ พวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ถึงได้พยายามขนาดนี้?”


ขณะที่จางเซวียนออกจะผิดหวังเล็กน้อยที่รู้ว่าภาพวาดที่เห็นไม่ใช่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเกิดความกังขาในภาพวาดนั้น


ต่อให้มันไม่ใช่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง แต่ก็คงจะเป็นของล้ำค่าบางอย่างที่มีอานุภาพไร้เทียมทาน ไม่อย่างนั้นคงไม่ดึงดูดความสนใจของกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์


“ผืนผ้าใบสี่ฤดูมีแนวคิดของ 4 ฤดูกาล ฤดูใบไม้ผลิ, ฤดูร้อน, ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ทำให้ผู้พบเห็นสามารถใช้พละกำลังของธรรมชาติเพื่อบ่มเพาะตนเองได้” เครื่องรางน้อยตอบ “ยิ่งไปกว่านั้น กาลเวลาในภาพวาดยังเร็วกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับโลกภายนอก หากประมาณคร่าวๆ ก็เร็วกว่าราว 2 เท่า นักรบที่ฝึกฝนวรยุทธอยู่ภายในภาพวาดเป็นเวลา 2 ปีจะพบว่าเวลาของโลกภายนอกผ่านไปเพียง 1 ปีเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นของล้ำค่าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการบ่มเพาะอัจฉริยะผู้ได้รับแรงบันดาลใจ!”


จางเซวียนพยักหน้ารับ


เหตุผลที่ตระกูลจางยังคงเป็นตระกูลนักปราชญ์หมายเลข 1 อยู่ได้แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว ก็ต้องยกความดีความชอบส่วนใหญ่ให้กับคลังตรวจสอบเลือด ด้วยกระแสของกาลเวลาที่ต่างกัน เหล่าทายาทตระกูลจางจึงสามารถทำความเข้าใจศาสตร์ลับและสร้างความเชี่ยวชาญในอาชีพต่างๆได้เร็วกว่านักรบรุ่นเดียวกัน


เรื่องนี้เป็นไปในทำนองเดียวกันกับสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่แน่นอนว่าคำชี้แนะของเหล่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวมีส่วนลดความผิดพลาดในการฝึกฝนวรยุทธของผู้ได้รับคำชี้แนะ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ความแตกต่างของกระแสกาลเวลาในหอฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงได้ช่วยให้ สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ผลิตผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังออกมาได้รุ่นสู่รุ่น


อันที่จริง ก็เป็นเพราะการฝึกฝนวรยุทธในหอฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงที่ทำให้เจิ้งหยางยกระดับวรยุทธได้รวดเร็วกว่าลูกศิษย์คนอื่นๆของจางเซวียน


การที่พื้นผ้าใบสี่ฤดูทำให้นักรบคนหนึ่งสามารถฝึกฝนวรยุทธอยู่ภายในนั้นได้ 2 ปีโดยที่เวลาของโลกภายนอกผ่านไปเพียงปีเดียวก็ถือว่าเป็นของล้ำค่าที่ทรงพลังมาก


“แต่เท่าที่ผมรู้ สิ่งที่มีค่าจริงๆในผืนผ้าใบสี่ฤดูนั้นไม่ใช่ความแตกต่างของกระแสกาลเวลา แต่เป็นเพราะปรมาจารย์ขงได้เก็บรักษาเศษเสี้ยวหนึ่งของโลกไว้ในนั้น” เครื่องรางน้อยเสริมด้วยความตื่นเต้น


“เก็บรักษาเศษเสี้ยวหนึ่งของโลกไว้ในนั้น?” จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้ว ในเมื่อวัฏจักรของฤดูกาลที่อยู่ในภาพวาดยังคงหมุนเวียนอยู่จนถึงทุกวันนี้ ผมก็พอคาดเดาได้ว่ามันน่าจะบรรจุเศษเสี้ยวหนึ่งของโลกเอาไว้”


มิติลี้ลับนั้นมีหลายระดับขั้น โดยมิติลี้ลับในระดับธรรมดาสามัญที่สุดจะสามารถสร้างมิติที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาวัตถุสิ่งของแต่ไม่ดีพอที่จะรักษาสิ่งมีชีวิตเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นแหวนเก็บสมบัติ


ส่วนมิติลี้ลับในระดับขั้นที่สูงขึ้น อาจเรียกได้ว่าเป็นเสมือนเรือนกระจก มันสามารถสร้างสภาวะที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาสิ่งมีชีวิตเอาไว้ได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกว่าจะคงสภาวะนั้นไว้ได้หรือไม่ คือหากเจ้าของมิติละเลยที่จะเสริมพลังจิตวิญญาณเข้าสู่มิติลี้ลับ สภาวะภายในนั้นก็จะค่อยๆเสื่อมถอยลงจนถึงจุดที่สิ่งมีชีวิตไม่อาจอาศัยอยู่ได้


รังนางพญามดของจางเซวียนคือมิติลี้ลับในระดับขั้นนี้ เขาต้องคอยเสริมพลังจิตวิญญาณเข้าไปในรังนางพญามดอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะใช้การได้ดีตลอด ซึ่งแตกต่างจากทวีปแห่งปรมาจารย์ที่สามารถผลิตพลังจิตวิญญาณของตัวเองและสร้างชีวิตใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง


ข้อเท็จจริงที่ว่าภาพวาดสามารถบรรจุเอาวัฏจักรของทั้ง 4 ฤดูเอาไว้ได้ ก็หมายความว่ามันน่าจะเป็นมิติในระดับเดียวกันกับมิติผืนป่า คือสามารถผลิตพลังจิตวิญญาณด้วยตัวเองเพื่อรักษาสภาพของสิ่งมีชีวิตเอาไว้ได้ ทำให้มันมีระดับขั้นที่สูงกว่ารังนางพญามด


ด้วยความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ขง การที่เขาจะเก็บรักษาเศษเสี้ยวหนึ่งของโลกใบนี้เอาไว้ในภาพวาดก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจนัก


“พอคาดเดาได้? ดูเหมือนคุณจะประเมินความสำคัญของมันต่ำไปเสียแล้วล่ะ เศษเสี้ยวของโลกที่ถูกหลอมรวมเข้ากับภาพวาดนั้นไม่ใช่โลกใบเดียวกับที่คุณกำลังเห็นอยู่นะ” เครื่องรางน้อยอธิบาย“มันคือเศษเสี้ยวของโลกดึกดำบรรพ์!”


“เศษเสี้ยวของโลกดึกดำบรรพ์? แล้วมันต่างกันอย่างไรล่ะ? อย่างมากที่สุดก็น่าจะเป็นแค่ระดับความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณไม่ใช่หรือ?” จางเซวียนยังคงไม่ใส่ใจนัก


ดูเหมือนระดับความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณในยุคดึกดำบรรพ์จะสูงกว่าปัจจุบันนี้มาก โดยพิจารณาจากการที่มันสามารถรองรับการปรากฏตัวของทั้งปรมาจารย์ขง, 72 นักปราชญ์ และผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังอีกมากมาย แต่ก็แล้วอย่างไรล่ะ? ต่อให้ปรมาจารย์ขงเก็บรักษาเศษเสี้ยวหนึ่งของโลกดึกดำบรรพ์ไว้ในมิติลี้ลับ มันก็เป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ไม่น่าเทียบอะไรได้กับดินแดนอันกว้างใหญ่ของทวีปแห่งปรมาจารย์ในปัจจุบัน


แต่ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะพูดจบ เขาก็หรี่ตาเมื่อเกิดความคิดบางอย่างขึ้น “ไม่ใช่แล้ว นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด คุณบอกว่าเศษเสี้ยวหนึ่งของโลกที่ถูกเก็บรักษาไว้ในภาพวาดนั้นมาจากยุคสมัยเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ย้อนกลับไปถึงยุคที่เหล่านักรบยังสามารถพัฒนาตัวเองสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้ เพราะฉะนั้น ถ้าใครสักคนได้ฝึกฝนวรยุทธภายในผืนผ้าใบสี่ฤดู ก็หมายความว่าผู้นั้นมีโอกาสที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ ใช่ไหม?”


ปรมาจารย์หยางกับเซียนดาบชิงได้ให้ข้อมูลหลายอย่างกับเขาในเรื่องของนักปราชญ์โบราณ ซึ่งเมื่อราวหมื่นปีก่อน ‘สิ่งนี้’ ดูเหมือนจะหายสาบสูญไปจากโลก เมื่อไม่มีนักปราชญ์โบราณ นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกจำนวนมากก็พบว่าตัวเองไม่อาจก้าวข้ามปราการขั้นสุดท้ายไปได้


ก็เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้ที่ทำให้เหล่านักปราชญ์โบราณที่เป็นมนุษย์พร้อมเข้าสู่การจำศีลเพื่อยืดอายุขัยของตัวเองให้ยืนยาวออกไปมากที่สุด เพื่อปกป้องมนุษย์จากเผ่าพันธุ์ปีศาจ


ในเมื่อนักปราชญ์โบราณหายสาบสูญไปกว่าหมื่นปีแล้ว หากเศษเสี้ยวของโลกดึกดำบรรพ์ที่ปรมาจารย์ขงเก็บรักษาไว้ในผืนผ้าใบสี่ฤดูมาจากยุคสมัยของเขาจริงๆ ก็หมายความว่ามันอาจส่งผลให้คนคนหนึ่งฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ?


“ก็ใช่น่ะสิ! ไม่อย่างนั้น คุณคิดว่าพวกเขาจะลงทุนลงแรงเพื่อภาพวาดนี้ทำไม?” เครื่องรางน้อยพยักหน้ารับ


“ผมเข้าใจแล้ว…ภาพวาดนี้คือโอกาสของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ…ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ผมจะต้องทำเต็มที่เพื่อให้ได้มันมา!” จางเซวียนพยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว


ด้วยระดับวรยุทธของจางเซวียนในตอนนี้ ถึงเขาจะเป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึก แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาน่าจะฝ่าด่านคอขวดไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้ในไม่ช้า หากเขาไม่อาจยกระดับวรยุทธไปได้สูงกว่านั้นล่ะก็ คงจะเป็นเรื่องเลวร้ายมากทีเดียว!


ซึ่งในเมื่อโอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว จางเซวียนก็จะต้องคว้าไว้ให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใดก็ตาม


“ขอบใจที่ช่วยเตือน เครื่องรางน้อย…แกไม่ได้ไม่เอาไหนอย่างที่ผ่านมา!” จางเซวียนหัวเราะลั่น


ถ้าไม่ใช่เพราะเครื่องรางน้อยอธิบายให้เขาเห็นความสำคัญของผืนผ้าใบสี่ฤดู มันอาจหลุดลอยไปจากมือของเขาก็ได้!


“….” เครื่องรางน้อย


ส่วนอีกด้านหนึ่ง เซียนดาบชิงก็จ้องหน้าลูกชายพร้อมกับพูดไม่ออก เพราะอยู่ดีๆอีกฝ่ายก็หัวเราะลั่น ทำลายความเงียบงันที่อยู่บริเวณนั้น


ลูกชายของเขาเสียสติไปแล้วหรือเปล่า?


ตอนที่ 1733 ประโยชน์ของคริสตัลเยือกแข็ง

ขณะที่จางเซวียนกับเครื่องรางน้อยสื่อสารกันผ่านทางโทรจิตเซียนดาบชิงไม่ได้รู้เรื่องด้วย เขาคิดว่าเป็นเพราะตัวเขาพูดว่าภาพวาดนี้อาจเป็นมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ลูกชายจึงเกิดตื่นเต้นขึ้นมา


แต่มาหัวเราะเอาเมื่อผ่านไปหลายนาทีแล้วนี่นะ…ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาจะช้าไปหน่อยไหม?


“เซวียนเอ๋อ…”


เห็นลูกชายหัวเราะลั่นอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด เซียนดาบชิงได้แต่เรียกชื่อจางเซวียนด้วยความกังวล


“อือ!” จางเซวียนรีบหยุดหัวเราะและพยักหน้า “ไม่ว่าอย่างไร เราจะต้องนำภาพวาดนั้นมาให้ได้!”


วรยุทธของเขาอาจยังห่างไกลจากขั้นนักปราชญ์โบราณ แต่ท่านพ่อกับท่านแม่เป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกแล้ว ทั้งคู่พร้อมที่จะฝ่าปราการขั้นสุดท้ายได้ทุกขณะ หากพวกเขาได้ภาพวาดมาและฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ การเดินทางเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อในส่วนที่เหลือก็คงไม่มีอะไรให้จางเซวียนต้องกังวล!


“ก็ดี” ได้ยินคำพูดของลูกชาย เซียนดาบชิงเหมิงพยักหน้า


ครืนนนนน!


ขณะที่ทั้งสามกำลังพูดคุยกัน ฉนวนที่ปิดกั้นพื้นผ้าใบสี่ฤดูเอาไว้ก็เริ่มจะสั่นสะท้านเพราะการโจมตีอย่างต่อเนื่องของจ้าวหย่า ดูเหมือนมันพร้อมจะพังทลายได้ทุกขณะ


“ไม่ช้านี้แหละ…”


เมื่อเห็นภาพนั้น นัยน์ตาของเด็กวัยรุ่นทั้ง 8 คนเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้น


ซู่!


ขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยอย่างอดทนให้ฉนวนถูกทำลาย เพื่อที่พวกเขาจะได้นำภาพวาดออกไป เสียงหนึ่งก็ดังกึกก้อง ทำลายความเงียบงันที่อยู่ในห้องโถงแห่งนั้น


เด็กวัยรุ่นทั้งแปดหันขวับด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็ต้องพรั่นพรึงเมื่อเห็นแม่น้ำที่เป็นน้ำแข็ง ซึ่งอยู่ในภาพวาดกำลังหลอมละลาย


“ดูท่าไม่ดีแล้ว พวกเราต้องรีบแล้วล่ะ! ถ้าฤดูใบไม้ผลิมาถึงภาพวาดนี้เมื่อไหร่ พวกเราจะไม่สามารถทำลายฉนวนโดยการใช้พลังงานเย็นได้อีกต่อไป” วัยรุ่นคนหนึ่งอุทานออกมา


เขารีบตรงเข้าไปยืนด้านหลังจ้าวหย่าและปล่อยพลังปราณเข้าสู่ร่างของเธอเพื่อช่วยให้จ้าวหย่ามีพลังงานเพิ่มขึ้นและสามารถถอดรหัสฉนวนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


คนอื่นๆต่างก็รู้ถึงความเร่งด่วนนี้ จึงรีบเข้ามาถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ร่างของจ้าวหย่าโดยใช้ศาสตร์ลับชนิดหนึ่ง ในชั่วพริบตากระแสพลังงานเย็นที่จ้าวหย่าแผ่ออกมาก็เข้มข้นขึ้นจนถึงระดับที่ฉนวนพร้อมจะถูกทำลาย


“ฤดูใบไม้ผลิมาถึงภาพวาดแล้วหรือ?” รู้ดีว่าเครื่องรางน้อยจะต้องมีความรู้เรื่องนี้ จางเซวียนรีบตั้งคำถาม “นั่นหมายความว่าฉนวนนี้เชื่อมโยงกับฤดูกาลที่อยู่ในภาพวาดใช่ไหม?”


“เมื่อผืนผ้าใบสี่ฤดูเปลี่ยนแปลงจากฤดูกาลหนึ่งไปเป็นอีกฤดูกาลหนึ่ง ฉนวนที่อยู่ในภาพวาดก็จะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อสกัดกั้นพลังงานในภาพวาดเอาไว้ไม่ให้รั่วไหลออกมา” เครื่องรางน้อยอธิบาย “ผมเชื่อว่าเจ้าเด็กจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์กลุ่มนั้นได้คำนวณไว้แล้วว่าในช่วงเวลานี้ ผืนผ้าใบสี่ฤดูจะเป็นฤดูหนาวพวกเขาจึงลักพาตัวลูกศิษย์ของคุณมาให้ทำการถอดรหัสฉนวน”


“ฉนวนจะมีองค์ประกอบของพลังงานเย็นเมื่อในภาพวาดเป็นช่วงเวลาของฤดูหนาว ทำให้ผู้ที่ครอบครองสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์สามารถควบคุมและถอดรหัสฉนวนได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ฉนวนก็จะเปลี่ยนแปลงไป หากพวกเขาไม่มีพละกำลังที่เชื่อมโยงถึงมัน ก็ไม่มีทางถอดรหัสฉนวนได้อีก”


“เท่าที่ดูจากการที่น้ำแข็งละลายและแม่น้ำเริ่มไหลเชี่ยวอีกครั้ง ก็แปลว่าผืนผ้าใบสี่ฤดูกำลังเริ่มต้นเปลี่ยนฤดูกาลจากฤดูหนาวมาเป็นฤดูใบไม้ผลิ แล้วผมควรจะช่วยพวกเขาถอดรหัสฉนวนไหม?”จางเซวียนตั้งคำถาม


พูดกันตามตรง เขาไม่รู้ว่าพลังงานชนิดไหนที่จะเชื่อมโยงกับฉนวนของฤดูใบไม้ผลิ แต่หากเขาไม่ยื่นมือเข้าช่วยกลุ่มคนจาก 100สำนักแห่งนักปราชญ์ ก็มีโอกาสสูงที่จะไม่เหลือแม้แต่ภาพวาดให้พวกเขาได้แย่งชิงกัน ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ตอนนี้เขาก็น่าจะช่วยเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้เสียก่อน แล้วค่อยต่อสู้กันเพื่อแย่งกรรมสิทธิ์ในภาพวาดทีหลัง


เพราะถึงอย่างไร จางเซวียนก็มีทั้ง 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่, อสูรที่เขาทำให้ยอมจำนนได้อีกมากกว่า 12 ตัว และของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อีกมากมาย ต่อให้เด็กวัยรุ่นทั้งแปดคนจาก 100สำนักแห่งนักปราชญ์จะทรงพลังแค่ไหน จางเซวียนก็ไม่คิดว่าพวกนั้นจะสู้กับเขาได้


“คุณคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือที่คุณมาถึงหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่หลังจากผ่านมิติหิมะมาได้?” เครื่องรางน้อยพึมพำ


“เอ่อ…” จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตาโตเมื่อถึงบางอ้อ“ผืนผ้าใบสี่ฤดูกำลังอยู่ในช่วงของฤดูหนาว และมิติหิมะก็เต็มไปด้วยน้ำแข็ง ถ้ามีความเชื่อมโยงระหว่าง 2 สิ่งนี้ ก็หมายความว่า…”


เมื่อคิดได้ จางเซวียนสะบัดข้อมือ แล้วคริสตัลเยือกแข็งที่เคยอยู่บนแท่นบูชาของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็มาอยู่ในมือของเขา


ตอนนี้ คริสตัลเยือกแข็งไม่ได้เย็นเยือกอย่างที่เคยเป็น กลับตรงกันข้าม จางเซวียนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและการบ่มเพาะจากคริสตัลนั้น ราวกับว่าในที่สุดชีวิตชีวาก็ได้กลับคืนมาสู่โลกอีกครั้งหลังจากที่กลายเป็นน้ำแข็งอยู่ยาวนาน ก็เหมือนกับภาพวาดที่อยู่ตรงหน้าพลังงานที่อยู่ในคริสตัลเยือกแข็งกำลังค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเป็นฤดูใบไม้ผลิ


“เข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้า


เขาให้ชื่อมิติแห่งที่สามที่ตัวเองได้เข้าไปว่ามิติหิมะ แต่นั่นไม่ใช่ชื่อที่ถูกต้องนัก หากจะพูดให้ถูก มันควรจะเรียกว่ามิติแห่งฤดูกาลทั้ง 4 มากกว่า


ฤดูกาลที่อยู่ในนั้นไม่ได้เป็นฤดูหนาวตลอดไป มันจะหมุนเวียนสับเปลี่ยนไปเป็นฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว


เพียงแต่เขาเข้าสู่มิตินั้นในช่วงเวลาที่เป็นฤดูหนาว ทำให้ได้เห็นแต่หิมะ


เครื่องรางที่ควบคุมสภาพภูมิอากาศในมิติแห่งฤดูกาลทั้ง 4 นั้นคือคริสตัลที่เขากำลังถืออยู่ ถ้าเขาไม่นำมันมา หิมะที่อยู่ในมิติแห่งนั้นก็จะเริ่มหลอมละลาย เร่งให้ฤดูใบไม้ผลิกลับมาสู่โลกเร็วขึ้น


“คริสตัลที่อยู่ในมือของคุณคือหัวใจของการเปิดฉนวน” เครื่องรางน้อยพูด


“ได้สิ” เมื่อเห็นว่าเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ จางเซวียนพยักหน้าแต่แล้วก็ตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงแคลงใจเล็กน้อย “ผมเคยคิดว่าคุณไม่รู้อะไรเลย แล้วทำไมจู่ๆถึงรอบรู้ไปเสียหมดทุกเรื่อง?”


ตั้งแต่จางเซวียนอยู่ในมิติผืนป่าจนถึงมิติแห่งฤดูกาลทั้ง 4 เครื่องรางน้อยทำตัวไร้ประโยชน์มาตลอด แต่ตอนนี้ มันกลับบอกทุกอย่างด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ถ้ามันรู้ข้อมูลพวกนี้ตั้งแต่แรกแล้วทำไมถึงไม่พูดออกมา?


“อืมมม…” เครื่องรางน้อยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างภาคภูมิใจ “อาจเป็นเพราะปรมาจารย์ขงได้ปิดกั้นความทรงจำของผมไว้ให้อยู่ในรูปแบบที่ผมจะได้ความทรงจำนั้นกลับคืนมาเมื่อเข้าสู่สถานที่ที่เชื่อมโยงกับมันเท่านั้น จนกว่าผมจะได้เข้าสู่หอบริวาร ผมก็จะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ยกตัวอย่างนะ ถ้าตอนนี้คุณถามว่ามีอะไรอยู่ในหอบริวารที่เหลืออีก 5 แห่ง ผมก็ตอบอะไรคุณไม่ได้!”


“แบบนี้นี่เอง…” จางเซวียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา


เขามองออกว่าปรมาจารย์ขงควบคุมเครื่องรางน้อยไว้อย่างเข้มงวด เพราะไม่อย่างนั้น มรดกตกทอดและทรัพย์สมบัติทั้งหมดของปรมาจารย์ขงคงถูกกวาดเรียบไปแล้ว และนั่นย่อมไม่ใช่สิ่งที่ปรมาจารย์ขงปรารถนา


“ด้วยคริสตัลนี้ ผมจะสามารถถอดรหัสฉนวนของผืนผ้าใบสี่ฤดูได้ทุกเมื่อที่ผมต้องการ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็…” เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าเพราะได้เข้าสู่มิติแห่งฤดูกาลทั้ง 4 มาแล้ว จางเซวียนมองหน้ากลุ่มเด็กวัยรุ่นจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ที่กำลังกระเสือกกระสนดิ้นรนจะทำลายฉนวนให้ได้ภายในเวลาที่มีจำกัดเขายิ้มออกมา


เด็กวัยรุ่นแปดคนนั้นยืนต่อแถวกันหลังจ้าวหย่า ใช้ฝ่ามือแตะแผ่นหลังของกันและกันไว้ ทุกคนกำลังถ่ายทอดพลังปราณทั้งหมดเข้าสู่ร่างของจ้าวหย่าเพื่อผลักดันให้เธอปล่อยพลังงานเย็นเข้าสู่ฉนวนอย่างต่อเนื่อง


“ในเมื่อพวกคุณอาจหาญลักพาตัวจ้าวหย่ามาและทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์เพื่อผลประโยชน์ของพวกคุณเอง ผมก็ไม่คิดว่าพวกคุณจะต่อว่าผมในสิ่งที่ผมกำลังจะทำหรอกนะ” จางเซวียนพึมพำ


เขาหัวเราะหึๆ จากนั้นก็คำนวณระยะเวลาอย่างถี่ถ้วนก่อนจะพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า


การเคลื่อนไหวของจางเซวียนว่องไวมาก แถมยังเรียกพลังจากสายเลือดตระกูลจางเพื่อการนี้ด้วย ดังนั้น ก่อนที่ใครจะทันรู้ตัวจางเซวียนก็ไปอยู่เหนือศีรษะของจ้าวหย่า


“ตัดการเชื่อมโยง!”


จางเซวียนกระดิกนิ้วโดยไม่ลังเลและปล่อยกระแสดาบฉีเพื่อตัดการเชื่อมโยงระหว่างฝ่ามือแต่ละข้างกับแผ่นหลังของจ้าวหย่า


บึ้มมมม!


เมื่อการเชื่อมโยงระหว่างเด็กวัยรุ่นทั้งแปดคนกับจ้าวหย่าถูกตัดขาด ผลที่เกิดก็ไม่ต่างอะไรกับการที่พลังปราณที่พวกเขาปล่อยออกมาต้องสูญเปล่า


ภายใต้การควบคุมจากพลังปราณของจางเซวียน เกิดการระเบิดของพลังงานขึ้นภายในร่างของจ้าวหย่าอย่างรวดเร็วและทำลายด่านคอขวดที่ปิดกั้นวรยุทธของเธอไว้ ทำให้พละกำลังของเธอพุ่งพรวด


ภายในเวลาเพียง 2 อึดใจ จ้าวหย่าก็สำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก


…..


“ท่านอาจารย์…”


การยกระดับวรยุทธดูเหมือนจะทำลายเทคนิคการควบคุมจิตใจที่ครอบงำจ้าวหย่าไว้ เธอรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว และเมื่อเห็นร่างของจางเซวียนอยู่เหนือศีรษะ ก็ตาโตด้วยความตื่นเต้น


“ตอนนี้สกัดกั้นพลังปราณที่เหลืออยู่ในร่างของคุณไว้ก่อน คุณจะได้ใช้มันสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ”จางเซวียนสั่งการขณะส่งกรรมวิธีสกัดกั้นพลังปราณให้จ้าวหย่า


ถึงจ้าวหย่าจะใช้พลังปราณไปมากในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก แต่ก็ยังหลงเหลือพลังงานอยู่ในร่างของเธอไม่น้อย อีกอย่าง ร่างของเธอยังเปี่ยมด้วยพลังปราณของนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกถึง 8 คนด้วย


จางเซวียนคิดว่าจะให้จ้าวหย่าสกัดกั้นพลังปราณเหล่านั้นไว้ก่อนและนำไปใช้ในอนาคต ตอนที่เธอต้องการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ เพราะถึงอย่างไร การจะปล่อยให้พลังงานล้ำค่าเหล่านี้ต้องสูญเสียไปก็คงไม่ใช่เรื่องดีนัก


“จางเซวียน คุณรนหาที่ตายแล้ว!”


นึกไม่ถึงว่าพลังปราณของพวกเขาจะถูกฉกฉวยไปด้วยวิธีการแบบนี้ เด็กวัยรุ่นทั้งแปดถึงกับโมโหเดือด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)