คัมภีร์วิถีเซียน 1730-1732

ตอนที่ 1730 ระลอกคลื่นลำแสงสีทอง

 

ชาวเผ่าหรงที่ควบคุมธงอาคมอยู่ด้านล่างพลันหน้าถอดสี ตบไปที่หน้าผากอย่างไม่ต้องขบคิด ขนแข็งๆ สีเขียวบนร่างส่งเสียงดัง “สวบ” กลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งไปกลางอากาศ


แต่ไม้สีเงินที่ร่อนลงมากลับพลิ้วไหวไปมาแล้วเปล่งแสงสว่างวาบ หลบหลีกลำแสงสีเขียวเหล่านั้นได้อย่างไรก็มิอาจรู้ได้ พลางทุบลงไปที่ศีรษะของชาวเผ่าหรงเต็มๆ


ลำแสงวิญญาณคุ้มครองร่างของชาวเผ่าหรงพออยู่ต่อหน้าไม้สีเงิน ก็ดูราวกับไร้ประสิทธิภาพ ไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิดพลางถูกไม้สีเงินขนาดยักษ์จมหายเข้าไปข้างใน ศีรษะถูกทุบกระจายราวกับแตงโม โลหิตสดๆ สาดกระเซ็นไปทั่วทุกสารทิศ


ร่างที่ไร้ศีรษะโอนเอน หมุนคว้างร่วงลงมาจากรถเหาะ


เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ชั่วพริบตาเงาสีเขียวก็พุ่งออกมาจากซากศพ ด้านในมีคนตัวเล็กที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแสงสีเขียวมรกต สีหน้าหวาดผวาพลางพุ่งไปหาลำแสงหลีกหนีของชนเผ่าหรงที่ควบคุมกระจกสัมฤทธิ์อยู่ด้านข้าง แล้วร้องตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังอย่างหวาดกลัว


“พี่เหลียว ช่วยด้วย!”


แต่เมื่อคำนี้ออกจากปากของคนตัวเล็ก เสียง “ตูม” ก็ดังขึ้น ชั่วพริบตานั้นเงาไม้ก็ร่อนลงมาจากท้องฟ้าราวกับเคลื่อนย้ายกาย แล้วโจมตีคนตัวเล็กจนแตกกระจายกลายเป็นผุยผง


จากนั้นไม้สีเงินขนาดยักษ์ก็ไม่หยุดยั้งเลยสักนิด กะพริบวาบ แล้วกลายเป็นเงาไม้สามไม้ที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว กวาดไปทางชนเผ่าหรงที่เหลืออีกสามคน


เงาไม้กะพริบรางๆ แต่เสียงฟ้าผ่าพลันดังสนั่นแก้วหู ดูน่าตกตะลึง!


ที่เหลืออีกสามคนเห็นกายเนื้อถูกทำลาย ก็ตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว รีบร้อนสำแดงฝีมือออกมาต้านทานเงาไม้


ต่างพ่นผ้าสีเทาและโล่สีดำออกมาต้านทานอยู่เบื้องหน้า


แต่เงาไม้สองสายในนั้นพลันโจมตีไปด้านบน กลับแค่ระเบิดลำแสงสีเงินออกมา จากนั้นก็สลายหายไป


คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแค่เงาลวงตาสองสายเท่านั้น


“แย่แล้ว” ชาวเผ่าหรงทั้งสองคนแทบจะร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน


แต่สายไปเสียแล้ว!


ชาวเผ่าหรงที่ควบคุมกระจกสัมฤทธิ์ผู้นั้น แม้จะยกมือขึ้น ปล่อยสมบัติรูปทรงเหมือนธรรมจักรออกมา ต้านทานเงาไม้สายสุดท้ายเอาไว้


แต่เงาไม้นั้นเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปท่ามกลางธรรมจักร แต่ครู่ต่อมาไม้สีเงินครึ่งท่อนกลับออกห่างจากชนต่างเผ่าแค่สองสามฉื่อก็ยื่นออกมาจากกลางอากาศ แล้วโจมตีไปที่ใบหน้าโหดเหี้ยมราวกับภูตผี


ลำแสงสายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ ประจุไฟฟ้าสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนดีดออกมาจากไม้


เสียงอึกทึกดังขึ้น ชนเผ่าหรงกลายเป็นกลุ่มควัน แม้แต่ทารกวิญญาณด้านในก็ไม่ทันได้หนีออกมาแม้แต่น้อย


ชนเผ่าหรงอีกสองคนเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ชั่วขณะนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้ แต่เมื่อไม้สีเงินหมุนวนรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นเงาไม้สิบกว่าสายห่อหุ้มพวกมันเอาไว้ แล้วร้องตะโกนออกมา


“ไป คนผู้นี้มีอิทธิฤทธิ์ร้ายกาจ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะต่อกรได้!”


สิ้นเสียงชนต่างเผ่าผู้นั้นก็ใช้เท้าข้างหนึ่งแตะไปที่รถเหาะใต้ฝ่าเท้า ชั่วขณะนั้นรถเหาะทรงเพชรก็เปล่งเสียงร้อง กลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งไปด้านหลัง หลังจากกะพริบวาบๆ ก็หนีออกมาจากอาณาเขตของเงาไม้ได้


ชนเผ่าหรงอีกคนหนึ่งพลันได้สติกลับคืนมา รีบร้อนใช้มือหนึ่งร่ายอาคม อาคมสายหนึ่งโจมตีไปที่รูปปั้นตรงหน้า


รถเหาะพลันสั่นเทา ปีกทั้งสองฝั่งกระพือ อักขระห้าสีปรากฏขึ้นบนผิว ดูเหมือนว่าจะหนีไปให้ไกลอย่างไรอย่างนั้น


แต่ในยามนี้เสียงราบเรียบพลันดังขึ้นเหนือรถเหาะ


“อยากจะไปตอนนี้ ไม่คิดว่าสายไปหน่อยหรือ!”


สิ้นเสียงก็ได้ยินเสียง “ตูม” ยอดเขาสีดำสนิทลูกหนึ่งปรากฏขึ้นบนรถเหาะ มีขนาดยักษ์ประมาณร้อยจั้งเศษ


ส่วนเงาร่างคนอีกสาย ก็ยืนอยู่เหนือยอดเขานิ่ง


นั่นก็คือหานลี่!


คาดไม่ถึงว่าเขาจะกระตุ้นยอดเขาเทวะดูดปราณตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ปรากฏขึ้นห่างออกไป


ทั้งสองคนที่อยู่ด้านล่างเห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง


คนหนึ่งมีสีหน้าโหดเหี้ยมฉายแวบผ่าน สองมือถูกันไปมา ผิวเปล่งเสียง “สวบ” เปลวเพลิงสีเขียวทะลักออกมา จากนั้นก็ม้วนวน กลายเป็นมังกรวารีเพลิงยาวสิบจั้งเศษกระโจนไปกลางอากาศ


อีกคนหนึ่งพลันร้องตะโกน ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า แขนทั้งสองข้างหนาขึ้นเท่าหนึ่ง นิ้วแหลมๆ ทั้งสิบตะปบไปกลางอากาศ


เสียงแหวกอากาศดังขึ้น กรงเล็บลำแสงปรากฏขึ้นเต็มไปหมด แล้วปกคลุมขึ้นไปด้านบน


พวกเขาไม่ได้คิดว่าการโจมตีเหล่านี้จะจัดการอีกฝ่ายได้ แค่หวังว่าจะยับยั้งขั้นตอนสังหารของอีกฝ่ายได้ และให้โอกาสพวกเขาได้หลีกหนีไป


ยามนี้ชนต่างเผ่าทั้งสองเห็นหานลี่แทบจะสังหารคนในเผ่าระดับเดียวกันกับพวกเขาในพริบตา แน่นอนว่าย่อมไม่คิดจะต่อสู้อีก แค่คิดจะหนีเตลิดไปเท่านั้น


หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง เท้าข้างหนึ่งเหยียบไปยังยอดเขาใต้ฝ่าเท้า


ภูเขาเทวะดูดปราณเปล่งแสงสีเทาแล้วพลิ้วไหว ขณะที่ลำแสงสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วร่อนลงมาข้างล่าง ฉับพลันนั้นผิวของมันก็มีอักขระสีเงินเปล่งแสงเจิดจ้า ยอดเขาขนาดยักษ์จมหายเข้าไปกลางอากาศ


ชั่วขณะนั้นมังกรวารีเพลิงและกรงเล็บลำแสงโจมตีไปกลางอากาศ


ชนเผ่าหรงสองคนรู้สึกเพียงว่าเหนือหัวห่างไปแค่คืบ เงาสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ ยอดเขาสีดำเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏออกมา กดไปหาทั้งสองอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด


“แย่แล้ว”


อิทธิฤทธิ์ของชนเผ่าหรงทั้งสองเหนือกว่าทั้งสองคนที่ถูกสังหารไปก่อนหน้า ภายใต้การโจมตีที่รวดเร็วดั่งสายฟ้าของภูเขาเทวะดูดปราณ ก็ยังคงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไปจากรถเหาะ ทั้งสองกลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งพุ่งไปคนละทาง


รถเหาะทรงเพชรคันนั้นกลับรับการโจมตีอันหนักอึ้งของยอดเขาเทวะดูดปราณตรงๆ กลายเป็นลำแสงห้าสีแล้วระเบิดกระจายออก พลางสลายหายไปจากฟ้าดิน


แต่ในยามนี้มีคนที่ตรงมาทางยอดเขาสีดำกลับพบว่า หานลี่หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


ครู่ต่อมาชนเผ่าหรงที่อยู่ท่ามกลางลำแสงหลีกหนีคนหนึ่ง ได้ยินเพียงเหนือศีรษะมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ชั่วขณะนั้นพลันยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว โล่สีดำกลายเป็นเมฆสีดำก้อนหนึ่งพุ่งออกมา ในเวลาเดียวกันเปลวเพลิงสีเขียวบนร่างก็ทะลักออกมา กลายเป็นเพลิงชั้นหนึ่งปกป้องตนเองเอาไว้


แต่เขาได้ยินเพียงเสียงแค่นด้วยความเย็นชา จากนั้นเหนือศีรษะก็มีเสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น กระบี่ลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนติดปีกปรากฏขึ้น แล้วร่อนลงมาราวกับกระแสน้ำ


ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงเจิดจ้า เมฆสีดำและเพลิงที่ห่อหุ้มแทบจะถูกสับออกเป็นชิ้นๆ ในพริบตา กระบี่ลำแสงพลันหม่นแสงลง ทยอยกันกลายเป็นเส้นไหมกระบี่สีเขียว เก็บไปพร้อมกันราวกับตาข่ายยักษ์


เสียงกรีดร้องดังขึ้น แม้ว่าชาวเผ่าหรงจะวุ่นอยู่กับการปล่อยสมบัติป้องกันตัวออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่กระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาที่กลายเป็นกระบี่เส้นไหมก็แหลมคมไม่เป็นรอง แค่กะพริบวาบ ก็สับกายเนื้อ ทารกวิญญาณรวมทั้งสมบัติของชนต่างเผ่าเป็นชิ้นๆ ในเวลาเดียวกัน


อีกด้านหนึ่งชนเผ่าหรงร่างกายใหญ่ยักษ์ผู้นั้น ได้ยินเสียงกรีดร้อง ก็ตัวสั่นสะท้าน แต่แค่พยายามกระตุ้นลำแสงหลีกหนีตรงไป โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา


แต่เขาแค่หนีไปได้แค่สองสามร้อยจั้ง ฉับพลันนั้นด้านหน้าพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาสีทองสายหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า และขวางทางเอาไว้อย่างพอดิบพอดี


ชนเผ่าหรงพลันหน้าเปลี่ยนสี แต่พลันกัดฟัน ไม่ยอมหยุดยั้งแม้แต่น้อย กลับกะพริบวาบแล้วเพิ่มความเร็วขึ้นสองส่วน ในเวลาเดียวกันสองมือพลันพลิกฝ่ามือ ในมือมีมีดยาวสีดำสนิทปรากฏขึ้น อีกมือหนึ่งกลับขยายใหญ่ขึ้น


ใบมีดยาวโบกสะบัดแล้วรางเลือน มีดลำแสงสีดำสิบกว่าสายต่อกันเป็นสาย


มือยักษ์อีกข้างหนึ่งพลันยื่นออกมากลางอากาศ กรงเล็บยักษ์สีเขียวปรากฏขึ้นบนเงาสีทอง และตะปบลงมาด้านล่าง


ปลายเล็บยาวมีไอสีดำหมุนวน ท่าทางน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง


และในยามนั้นเองเงาสีทองเลือนรางเหล่านั้น พลันมีอักขระสีม่วงขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันปรากฏขึ้น จากนั้นพลันเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ กลายเป็นร่างจริงของสามเศียรหกกร


นั่นก็คือร่างของพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์


ที่แท้ขณะที่หานลี่ใช้ปีกวายุอัสนีไล่ตามชาวเผ่าหรงอีกคน ในเวลาเดียวกันก็ปล่อยทารกวิญญาณที่สองและร่างทองออกไปไล่ล่าไม่ให้หลุดรอดได้


มองเห็นลำแสงสีดำสว่างวาบ มีดลำแสงสิบกว่าสายมาอยู่ตรงหน้า ในเวลาเดียวกันบรรยากาศเหนือหัวพลันรัดแน่น กรงเล็บยักษ์สีเขียวพลันมาอยู่เหนือศีรษะในเวลาเดียวกัน


แต่ร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์กลับไม่มีเจตนาจะหลบหลีกเลยสักนิด กลับมีสีหน้าโหดเหี้ยม สองมือพลิ้วไหว ในมือมีใบมีดยักษ์สีทองปรากฏขึ้นสองเล่ม พลางสับลงมาหามีดลำแสงสีดำด้านหน้า


แขนอีกสองแขนพลันหายไปกลางอากาศ เงากำปั้นสีทองโจมตีไปทางกรงเล็บยักษ์สีเขียว


ส่วนแขนที่เหลืออีกสองข้างกลับประสานกันที่หน้าอก แล้วแยกออก คาดไม่ถึงว่าจะมีลำแสงสีทองปรากฏขึ้น


หัวทั้งสองของร่างทองหลับตาลงพร้อมกัน จากนั้นก็บริกรรมคาถาด้วยเสียงที่แตกต่างกันออกมาจากปาก


ชั่วขณะนั้นลำแสงสีทองก็หมุนวนอย่างรวดเร็ว จนมีขนาดเท่าศีรษะ และยังหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นระลอกคลื่นสีทอง


ดูแล้วลึกลับเป็นอย่างยิ่ง!


เมื่อดาบลำแสงสีดำและมีดสีทองสัมผัสกัน ชั่วขณะนั้นพลันระเบิดลำแสงเจิดจ้าออกมา ลำแสงสีทองและลำแสงสีเงินตัดสลับกันไปมา ยามนั้นไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้กัน


กรงเล็บยักษ์สีเขียวที่อยู่กลางอากาศถูกเงากำปั้นสีทองทั้งหมดโจมตี กลับเปล่งแสงสว่างวาบ แทบจะพังทลายในชั่วพริบตา


ทว่าการต้านทานแค่นี้ ชาวเผ่าหรงคนสุดท้ายที่กลายเป็นสายรุ้งพลันรางเลือน คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งแสงสว่างวาบจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย


ครู่ต่อมาด้านหลังร่างทองห่างออกไปสิบจั้งเศษ ระลอกคลื่นพลันปรากฏขึ้น ลำแสงหลีกหนีของชาวเผ่าหรงพลันปรากฏขึ้น ลำแสงพลันเปล่งแสงเจิดจ้า แล้วหนีเตลิดต่อไป


และในยามนั้นเองเศียรหนึ่งของร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์พลันเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมา


“ลำแสงระลอกคลื่นสีทอง”


ระหว่างมือทั้งสองมีระลอกคลื่นสีทองเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากมือ


จากนั้นด้านหลังเผ่าหรงห่างออกไปสองสามฉื่อ ลำแสงพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ระลอกคลื่นสีทองปรากฏออกมา เมื่อปรากฏตัวก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วมีขนาดสองสามจั้ง


กลางระลอกคลื่นมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตดังออกมา


ชาวเผ่าหรงที่กำลังควบคุมลำแสงหลีกหนี รู้สึกเพียงว่าบรรยากาศรอบด้านรัดแน่น ลำแสงหลีกหนีไม่อาจดีดตัวออกได้เลยสักนิด


“อ๊าก”


ปากพลันร้องอุทานออกมา ชาวเผ่าหรงยังไม่ทันได้คิดจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ใดหลบหนีอีก พลังแรงสูงที่ไม่อาจต้านทานได้ก็ระเบิดออกมาจากด้านหลัง


เสียง “สวบ” ดังขึ้น ชนต่างเผ่าผู้นี้ถูกดูดเข้าไปในระลอกคลื่นด้านหลังราวกับลูกธนู


เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงระเบิดสะเทือนเลื่อนลั่น


ระลอกคลื่นสีทองสั่นเทาเล็กน้อย แต่จากนั้นก็ปลอดภัยราวกับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น


ยามนี้ร่างทองพลันหมุนตัว ปากที่บริกรรมคาถาพลันหยุดลง มือหนึ่งร่ายอาคม มือหนึ่งยื่นนิ้วชี้ออกไปชี้ที่ระลอกคลื่นยักษ์


ระลอกคลื่นมีลำแสงสีทองสว่างวาบ แล้วหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็มีขนาดเท่าเดิม และสุดท้ายก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น พลางสลายหายไปจากที่เดิม



 

 

 


ตอนที่ 1731 หญ้าเปลวทั้งเก้า

 

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น เงาร่างของหานลี่เปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นกลางอากาศ มองไปยังร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ แล้วเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา


ปัดแขนเสื้อไป


เสียง “ปัง” ดังขึ้น ร่างทองกลายเป็นดวงลำแสงสีทองแล้วสลายหายไป


ทารกวิญญาณที่สองกลายเป็นไอสีดำพุ่งไปที่ร่างของเขา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


แม้ว่าเขาจะปล่อยทารกวิญญาณที่สองออกไปสิงอยู่ในร่างทอง แต่เป็นเพราะระดับจิตใจของทารกวิญญาณที่สองยังไม่มั่นคง ก่อนการต่อสู้ทารกวิญญาณจะไม่อาจใช้เคล็ดวิชามารได้เลยสักนิด ทำได้เพียงใช้จิตสัมผัสควบคุมร่างทองให้ต่อกรกับศัตรูเท่านั้น


หากทำเช่นนั้นล่ะก็ ทารกวิญญาณก็ไม่ต้องหวาดกลัวอันตรายจากจิตมารแว้งกัดอันใด แต่ร่างทองเองก็ไม่อาจกระตุ้นอานุภาพถึงสิบส่วนได้


แต่หลังจากที่หานลี่พัฒนาระดับมาอยู่ในระดับหลอมสุญตาแล้ว ก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้มาจนถึงส่วนสุดท้ายแล้ว อานุภาพของร่างทองย่อมไม่อาจเทียบกับยามที่อยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นต้นได้ และสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ใหม่ๆ ที่ตั้งตารอคอยมานานแล้วได้


ลำแสงระลอกคลื่นสีทองคือหนึ่งในอิทธิฤทธิ์ที่ร้ายกาจและแปลกประหลาดที่สุด


แม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ธรรมดาๆ หากถูกลำแสงสีทองดูดเข้าไปอย่างไม่ทันตั้งตัว หากไม่มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรหรือสมบัติวิเศษคุ้มครองร่าง เกรงว่าอาจจะเพลี่ยงพล้ำอยู่ในนั้น


ดังนั้นแม้ว่าทารกวิญญาณที่สองจะไม่ได้ใช้เคล็ดวิชามาร แต่การควบคุมร่างทองก็ยังคงสังหารชาวเผ่าหรงผู้นั้นได้โดยไม่เปลืองแรงเลยสักนิด


ตั้งแต่ที่หานลี่ลงมือ จนถึงตอนที่ใช้สมบัติร่างทองสังหารชาวเผ่าหรงระดับเดียวกันสี่คน เกิดขึ้นแค่ในการปะหน้าเพียงไม่กี่ครั้ง แม้กระทั่งเซียนเย่ว์และชายชราแซ่ซวี ก็ยังลังเลว่าจะกลับไปช่วยหานลี่ต่อกรกับศัตรูหรือไม่


ศัตรูตัวฉกาจทั้งสี่ที่เดิมไล่ล่าพวกเขาจนจนตรอก กลับถูกหานลี่สังหารจนเกลี้ยงภายในอึดใจ


ทั้งสองคนในยามนี้ย่อมตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง


สีหน้าของพวกเขากลับมีความตกตะลึงอยู่เจ็ดส่วน และความรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่สองส่วน สุดท้ายอีกส่วนหนึ่งก็คือความตกตะลึงระคนดีใจ


หานลี่กลับไม่ได้สนใจสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหญิงสาวและชายชรา ร่างกายพลิ้วไหวเปล่งแสงสว่างวาบมาอยู่เหนือ “ฉวี่เอ๋อร์”


หลังจากที่หานลี่ปรากฏตัวเด็กหญิงก็รอนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนอย่างเชื่อฟัง ยามนี้เห็นเขาอยู่ใกล้ๆ ทันใดนั้นก็กะพริบตาปริบๆ ถ่ายทอดเสียงติดต่อกับหานลี่เงียบๆ ผิวเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ กลายเป็นลำแสงสีขาวจมหายเข้าไปในแขนเสื้อ


หานลี่ขบคิดอย่างมีแผนการแล้วถึงได้เงยหน้าขึ้น มองไปยังหญิงสาวและชายชราแวบหนึ่ง


ทั้งสองคนมองสบตากันแวบหนึ่ง ดูเหมือนว่าปรึกษาอันใดกันแผ่วเบาสองสามประโยค หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็ขยับร่างกายบินไปทางนั้น


ความเร็วกลับไม่นับว่ารวดเร็วหรือเชื่องช้า


แม้จะเป็นเช่นนั้นผ่านไปชั่วครู่ทั้งสองก็มาอยู่ห่างจากหานลี่ไปสิบกว่าจั้ง ลำแสงหลีกพลันหม่นแสงแล้วหยุดลง


“ขอบพระคุณสหายที่ลงมือช่วยเหลือ มิเช่นนั้นครั้งนี้ข้าน้อยและเซียนเย่ว์คงหลีกเลี่ยงอันตรายจากชาวเผ่าหรงครั้งนี้ได้ยาก จากอิทธิฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ของพี่หาน ช่างทำให้พวกเราละอายใจจริงๆ” ชายชราคารวะหานลี่ เอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม


“สหายซวี่พูดไม่ผิด ชนเผ่าหรงเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหลีกหนีมาก หากไม่ใช่เพราะพี่หานอยู่ที่นี่ก็คงจะต้องเพลี่ยงพล้ำไปแล้วจริงๆ น้องหญิงรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก” เซียนเย่ว์ฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเยือกเย็น แต่ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ขณะเอ่ย


“ที่แท้สหายทั้งสองก็สูญเสียพลังปราณไป ข้าก็ว่าเหตุใดถึงไม่อาจสลัดชาวเผ่าหรงสองสามคนได้ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณอันใด ไม่ว่าอย่างไรผู้แซ่หานก็เข้ามาในแดนนี้จากเมืองเมฆาสวรรค์พร้อมกับสหายทั้งสอง ในเมื่อพบกันแล้ว ก็ไม่มีทางเห็นคนลำบากไม่ยอมช่วยเหลือได้” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา เผยท่าทีถ่อมตนออกมา


“พี่หานช่างตามีแววนัก! ข้าน้อยและเซียนเย่ว์ตกอยู่ในแผนการกลับกลอกของชาวเผ่าหรง ยามที่หนีปราณแท้ก็เสียหายไปไม่น้อย บุญคุณการช่วยชีวิตของสหาย ข้าน้อยไม่มีทางลืมแน่ จะต้องตอบแทนอย่างงาม” เมื่อเห็นหานลี่เป็นมิตรเช่นนี้ ชายชราแซ่ซวี่ก็ผ่อนคลายลง รอยยิ้มบนใบหน้าเพิ่มขึ้นสองสามส่วน


หานลี่ได้ยินชายชรากล่าวเช่นนี้ กลับแค่ฉีกยิ้มไม่ได้เอ่ยอันใด


เซียนเย่ว์กลอกตาไปมา ฉับพลันนั้นพลันชูมือขึ้น ในมือมีกล่องหยกปรากฏขึ้น จากนั้นก็เอ่ยกับหานลี่อย่างแช่มช้าว่า


“นี่คือหญ้าเปลวทั้งเก้าที่หายสาบสูญไปจากแดนวิญญาณตั้งนานแล้ว เป็นวัตถุดิบที่ใช้หลอมยาลูกกลอนหลากหลายชนิด ที่ชาวเผ่าหรงพวกนั้นไล่ล่าพวกเราสองคนอย่างไม่ลดละ กว่าครึ่งก็เพราะสมุนไพรชนิดนี้ เราสองคนถือหลักการบุญคุณต้องตอบแทน สมุนไพรวิญญาณนี้เป็นของกำนัลก็แล้วกัน” สิ้นเสียงหญิงสาวผู้นี้ก็โยนกล่องหยกมา


ชายชราที่อยู่ด้านข้างเห็นฉากนี้พลันมีสีหน้าตื่นตะลึง แต่ทันใดนั้นก็หายวับไป กลับมามีรอยยิ้มประดับไปทั่วดวงหน้าราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้นอีกครั้ง


หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็ประหลาดใจไปเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนสี มือหนึ่งตะปบออกไปดูดกล่องหยกเข้ามาในมือ


เขาก้มหน้าลงพิจารณาแวบหนึ่ง


เห็นเพียงกล่องหยกเปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ ผิวของมันมียันต์วิเศษสีฟ้าอ่อนแปะอยู่สองสามแผ่น ดูท่าทางให้ความสำคัญกับของที่อยู่ในกล่องหยกเป็นอย่างมาก


แววตาของหานลี่เปล่งประกาย อ้าปากออกพ่นหมอกลำแสงสีเขียวออกมา


หมอกลำแสงหมุนวน ยันต์วิเศษบนผิวของกล่องหยกเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วร่อนลงโดยอัตโนมัติ


ฝากล่องบินออกมา ลำแสงเคลือบมันวาวกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านใน ท่าทางกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง


แต่หานลี่ที่เตรียมการเอาไว้นานแล้ว จะปล่อยให้เขาหนีไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร


แขนข้างหนึ่งโบกสะบัด แขนข้างหนึ่งตะปบไปกลางอากาศ


เสียง “ฟิ้วๆ” ดังแหวกอากาศขึ้น ชั่วพริบตาพลังมหาศาลไร้รูปร่างห่อหุ้มลำแสงเคลือบมันวาวเอาไว้


นิ้วทั้งห้าหงิกงอ ลำแสงเปล่งเสียง “สวบ” ออกมา แล้วถูกดูดเข้ามากลางอากาศ


“สหายหานโปรดระวัง!”


เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของหานลี่ เซียนเย่ว์ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แล้วรีบเอ่ยปากร้องเตือน


“ลองดูก็ได้!” หานลี่กลับหัวเราะร่า ฝ่ามือเปล่งแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นพลันเปลี่ยนเป็นสีทองเรืองรอง


ลำแสงเคลือบมันวาวหมุนคว้างอยู่ตรงใจกลางฝ่ามือ แล้วร่อนลงมาด้านล่าง


สมุนไพรวิญญาณที่ดูเหมือนเปลวเพลิง แต่กลับแผ่ลำแสงวิญญาณที่แตกต่างกันเก้าชนิดออกมา


สมุนไพรชนิดนี้มีแค่สองสามชุ่น แต่ทุกแห่งที่เปลวเพลิงทั้งเก้ากวาดผ่านไป แม้แต่บรรยากาศบริเวณรอบก็ยังรางเลือน คลื่นความร้อนแผ่ออกมา


เห็นได้ชัดว่าสมุนไพรชนิดนี้มีอุณหภูมิที่สูงมาก!


แต่หานลี่กลับใช้ฝ่ามือรองสมุนไพรวิญญาณนี้เอาไว้ ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบราบกับทองคำบริสุทธิ์ มองใกล้ๆ แค่คืบอุณหภูมิสูงราวกับไม่มีสิ่งใดอยู่


ชายชราแซ่ซวี่เห็นฉากนี้ แววตาพลันฉายแววตกตะลึง แต่ปากก็หัวเราะร่าออกมาพลางเอ่ยว่า


“เซียนเย่ว์กังวลเกินไปแล้ว! จากอิทธิฤทธิ์ที่น่าตกตะลึงของพี่หาน พลังเพลิงเหล่านี้จะไปทำอันใดได้”


“แน่นอน! หญ้าเปลวทั้งเก้าแผ่ลำแสงวิญญาณที่สามารถหลอมละลายทองให้กลายเป็นศิลาได้ แต่กลับไม่มีผลกระทบต่อสหายเลยสักนิด สหายหานมีอิทธิฤทธิ์ลึกล้ำยากจะคาดเดาจริงๆ!” เซียนเย่ว์พลันตกตะลึง แล้วเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาขณะเอ่ย


“ข้าน้อยมิได้มีอิทธิฤทธิ์ขนาดนั้น แค่ฝึกฝนเคล็ดวิชากันเพลิงมานิดหน่อย ส่วนหญ้าเปลวทั้งเก้านี้เป็นสมุนไพรเพลิงวิญญาณที่ล้ำค่าจริงๆ มีประโยชน์ต่อข้าน้อยเป็นอย่างมาก หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ผู้แซ่หานคงไม่เกรงใจแล้ว” หานลี่พิจารณาหญ้าวิญญาณเก้าสีในมือชั่วครู่ คาดไม่ถึงว่าจะฉีกยิ้มแล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา


จากนั้นเห็นเขาขยับนิ้ว วางหญ้าชนิดนี้เข้าไปในกล่องหยกอีกครั้ง และแปะยันต์สองสามแผ่นลงไป จากนั้นลำแสงวิญญาณพลันเปล่งแสงสว่างวาบ กล่องหยกหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


เซียนเย่ว์เห็นเช่นนั้น มุมปากกลับเผยรอยยิ้มออกมา


แม้ว่าชายชราจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์ แต่เมื่อนึกถึงอิทธิฤทธิ์ที่หานลี่สำแดงก่อนหน้า ใบหน้าย่อมไม่เผยสีหน้าผิดปกติใดๆ ออกมา กลับหัวเราะหึๆ คิดจะเอ่ยปากอันใด


แต่หานลี่กลับสะบัดแขนเสื้อ กล่องหยกสีเขียวอ่อนสองใบเปล่งแสงสว่างาบปรากฏออกมา พากันบินพุ่งตรงไปหาเซียนเย่ว์และชายชราคนล่ะกล่อง


ทั้งสองเห็นเช่นนั้นพลันตกตะลึง ยื่นมือออกไปตามความรู้สึก


หมอกลำแสงสองผืนม้วนเข้ามา ขวดหยกถูกลำแสงวิญญาณห่อหุ้มเอาไว้ร่อนลงมาในมือของพวกเขา


“พี่หาน นี่คือ?” ชายชรามีสีหน้าเคร่งขรึม ลังเลเล็กน้อย


หญิงสาวคว้าขวดหยกเอาไว้ แล้วมองหานลี่อย่างประหลาดใจ


“ไม่มีอันใด หญ้าเปลวทั้งเก้าล้ำค่ามากเกินไป และก่อนหน้านี้ข้าน้อยก็ได้ยาลูกกลอนที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาพลังปราณระดับเก้ามา น่าจะมีประโยชน์ยามที่สหายทั้งสองจะทะลวงจุดคอขวด ข้าน้อยจะใช้ยาลูกกลอนสองขวดนี้ เป็นของตอบแทนหญ้าชนิดนี้ก็แล้วกัน” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ


“อันใด ยาลูกกลอนที่สามารถเพิ่มพลังปราณเผ่าเบื้องบนระดับเก้าได้!” ชายชราได้ยินคำนี้ ก็ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง รีบร้อนเปิดฝาขวดออก กวาดจิตสัมผัสเข้าไปในขวด จากนั้นก็มาดมที่จมูก ใบหน้าเผยสีหน้าดีอกดีใจออกมา


เซียนเย่ว์ได้ยิน แววตางดงามพลันเปล่งประกาย หน้าเปลี่ยนสีไปเช่นกัน


“ไม่ผิด ยาลูกกลอนชนิดนี้มีประโยชน์ต่อระดับของตาเฒ่าในยามนี้จริงๆ ทว่าตาเฒ่าและเซียนเย่ว์เพิ่งจะถูกสหายช่วยชีวิต จะไปเอายาลูกกลอนของสหายได้อย่างไร” ในที่สุดชายชราก็กลับมาเยือกเย็น มองขวดหยกในมือ กลับมีท่าทีครุ่นคิด


“การลงมือก่อนหน้านี้ เป็นการช่วยข้าอีกแรง หากหญ้าเปลวทั้งเก้าถูกระดับศักดิ์สิทธิ์ธาตุเพลิงให้ความสนใจ ยาลูกกลอนเหล่านี้จะมีค่าอันใด ผู้แซ่หานไม่ยอมเอาเปรียบ ทั้งสองเก็บไว้เถิด” หานลี่ฉีกยิ้มบางๆ ออกมา แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ


“ในเมื่อพี่หานกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่ซวี่และสหายเย่ว์ก็ขอบพระคุณสหายมาก” ชายชราแค่พิจารณาเล็กน้อย ก็เก็บขวดหยกเข้าไปพร้อมกับอมยิ้ม


เซียนเย่ว์ที่อยู่ด้านข้างตรวจสอบขวดยาในมือ หลังจากเอ่ยขอบคุณแล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อยัดยาลูกกลอนเข้าไปในแขนเสื้อ


หลังจากที่แลกเปลี่ยนกันแล้ว ในที่สุดความหวาดกลัวในใจของชายชราก็หายไปกว่าครึ่ง หลังจากมองไปรอบด้านแวบหนึ่ง ก็เอ่ยถามขึ้น


“พี่หานหรือว่าที่นี่มีเจ้าอยู่แค่คนเดียว? มีสหายอื่นอยู่ด้วยหรือไม่?”


“เดิมข้าน้อยร่วมเดินทางกับสหายอีกสองคน แต่ก่อนหน้านี้พบกับอันตรายเข้า จึงแยกกับสหายทั้งสอง” หานลี่ขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบัง


“เป็นเช่นนี้นี่เอง น่าเสียดายจริงๆ!” ชายชราได้ยินกลับเผยสีหน้าไม่ยินยอมออกมา


เซียนเย่ว์ที่อยู่ด้านข้างหน้าเปลี่ยนสี คาดไม่ถึงว่าในแววตางดงามจะเผยสีหน้าเสียดายเล็กๆ ออกมา


“สหายซวี่ เจ้าพูดมีเลศนัย! หรือว่าเจ้าและเซียนเย่ว์มีธุระอันใด ต้องใช้คนจำนวนมากหรือ?” หานลี่ลูบใต้คาง เอ่ยถามยิ้มๆ


เมื่อได้ยินหานลี่ถามเช่นนี้ ชายชราแซ่ซวี่ก็อดที่จะมองไปยังหญิงสาวแวบหนึ่งไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะมีเจตนาซักถาม


หลังจากที่เซียนเย่ว์ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยอย่างแช่มช้า


“พี่หาน ที่นั่นถูกชาวเผ่าหรงยึดครองแล้ว จากกำลังของเราสองคนไม่อาจชิงกลับมาได้ แต่พี่หานมีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกร ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิธี ไม่สู้บอกพี่หานดู หากสำเร็จล่ะก็ พวกเราก็ไม่ต้องการสิ่งอื่นแล้ว ขอแค่คัดลอกเคล็ดวิชาอักขระจ้วนทองมาได้ก็พอแล้ว”

 

 

 


ตอนที่ 1732 เคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ

 

“อักขระจ้วนทอง!”


รูม่านตาของหานลี่หดเล็กลง หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


“ไม่ผิด ความจริงแล้วสหายคนอื่นๆ ที่ร่วมเดินทางมากับพวกเรา แต่ก็เพลี่ยงพล้ำไปหมดแล้ว อักขระจ้วนนั้นเล่มนั้นเป็นสิ่งที่พวกเราและเผ่าหรงพบในถ้ำลับแห่งหนึ่ง” หลังจากที่ชายชรามีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสชั่วครู่ ในที่สุดก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมา


หานลี่จ้องเขม็งไปยังชายชรา และไม่ได้เอ่ยปากถามอันใด รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องอธิบายอย่างละเอียดแน่


หลังจากที่ชายชราหยุดชะงักคำพูด ก็เอ่ยต่อว่า


“แต่ไม่รอให้พวกเราได้ทลายเขตอาคม เอาผนึกอักขระจ้วน ก็ติดกับดักของชาวเผ่าหรง สหายคนอื่นๆ เพลี่ยงพล้ำทันที มีเพียงข้าและเซียนเย่ว์ที่โชคดีสำแดงเคล็ดวิชาลับหนีออกมา แต่ก็สูญเสียปราณแท้ไปจำนวนมาก ไม่อาจเสี่ยงอันตรายได้อีก หากพี่หานสนใจเคล็ดวิชานี้ ก็ลองดูได้ ใช่แล้ว ถ้ำลับแห่งนี้อยู่ในแดนที่ลึกลับ นอกจากเคล็ดวิชาตัวอักษรจ้วนทองแล้ว ก็อาจจะมีสมบัติชิ้นอื่นซ่อนอยู่”


“อ๋อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย! พวกเจ้าบอกมาสิว่าถ้ำลับอยู่ที่ใด ผ่านมานานขนาดนี้ ชนเผ่าหรงเหล่านั้นไม่ได้ของไปแล้วหรือ” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยถาม


“พี่หานวางใจ เขตอาคมในถ้ำลับนั้นร้ายกาจมาก และยิ่งไปกว่านั้นอักขระจ้วนทองก็แบ่งออกหลายส่วน แม้จะเสียเวลานานขนาดนี้ คิดดูแล้วชาวเผ่าหรงเหล่านั้นก็ไม่อาจทลายเขตอาคมและนำเคล็ดวิชาทั้งหมดไปได้ ขอแค่ออกเดินทางในทันที ก็น่าจะไปทัน” เซียนเย่ว์แววตาเปล่งประกายพลางเอ่ยอธิบาย


“ทางนั้นมีชาวเผ่าหรงประมาณกี่คน?” หานลี่รู้สึกสนใจเล็กๆ จึงเอ่ยถามขึ้น


“น่ามีสิบกว่าคนกระมัง ชาวเผ่าหรงเหล่านั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายมาก ตอนแรกที่พบถ้ำลับกับพวกเรา ก็เผยกำลังคนออกมาเพียงครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็เชิญพวกเราให้เข้าไปตรวจสอบถ้ำลับร่วมกัน ผลคือเมื่อพบอักขระจ้วนทองก็แปรพักตร์ เรียกกำลังคนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งออกมา พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ถึงได้เพลี่ยงพล้ำไปเช่นนี้ แม้ว่าสหายจะมีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกร แต่ก็ไม่อาจต่อกรกับคนจำนวนมากขนาดนั้นได้ ทำได้เพียงต้องแอบเข้าไปในถ้ำลับ แล้วลงมือเมื่อมีโอกาส” ชายชราดูเหมือนว่าจะครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มานานแล้ว จึงแนะนำอย่างไม่ต้องขบคิด


“สิบกว่าคน หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรต่อสู้ด้วยจริงๆ ทว่าผู้แซ่หานยังมีข้อสงสัย สหายทั้งสองรู้จักอักขระจ้วนทองอยู่ก่อนแล้วใช่หรือไม่ รู้หรือไม่ว่าด้านในบันทึกเคล็ดวิชาลับชนิดใดเอาไว้? จากที่ข้ารู้มาเมฆาสวรรค์ทั้งหมดเองก็มีแค่ไม่กี่คนที่รู้จักอักขระวิญญาณชนิดนี้” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิด ฉับพลันนั้นก็เอ่ยถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม


“เรื่องนี้…”


“พี่หานช่างชาญฉลาดมาก ดูแล้วคงไม่อาจปิดบังอันใดได้แล้ว เราสองคนรู้ที่อยู่ของถ้ำลับและอักขระจ้วนทองมาจากท่านอาวุโสในเผ่า และข้ากับสหายซวี่ก็อ่านอักขระจ้วนทองออก บันทึกนั่นน่าจะมีเคล็ดวิชาลับที่เรียกว่า ‘เคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ’!”


ชายชราไตร่ตรองเล็กน้อย หญิงสาวกลับเอ่ยยอมรับด้วยสีหน้าราบเรียบ


“เคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ”


หานลี่กะพริบตาปริบๆ ท่าทางตกตะลึงเล็กน้อย


“จากคำพูดของอาวุโสท่านหนึ่งในเผ่า ดูเหมือนว่าเคล็ดวิชานี้จะมหัศจรรย์ยิ่ง สามารถเพิ่มพลังจิตสัมผัสได้เป็นทวีคูณ หากฝึกฝนสำเร็จ ก็มีประโยชน์ต่อการทะลวงระดับผสานอินทรีย์หรือแม้กระทั่งจุดคอขวดหลังจากนั้น” ชายชราตอบกลับอย่างไม่ปิดบังใดๆ อีก


“เพิ่มจิตสัมผัสได้เป็นทวีคูณ! เป็นไปไม่ได้ ในยุทธภพนี้จะมีเคล็ดวิชาที่มหัศจรรย์เช่นนี้ได้อย่างไร” หานลี่หน้าเปลี่ยนสี พลางร้องอุทานเสียงหลงออกมา


“สหายซวี่พูดไม่ผิด ตอนแรกอาวุโสในเผ่าของพวกเราสองคนรู้การมีอยู่ของถ้ำลับและอักขระจ้วนทองก่อนที่แดนกว้างเย็นจะเปิด ดังนั้นถึงได้รู้ประสิทธิภาพของเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ ทว่าเป็นเพราะบันทึกมันรางเลือนเกินไป ที่ผ่านมาทั้งสองเผ่าของพวกเราจึงส่งคนในเผ่าเข้าไปในแดนนี้ไปหลายครั้ง ถึงได้หาตำแหน่งของถ้ำลับพบ แต่เป็นเพราะเขตอาคมตรงทางเข้าของถ้ำลับมันลึกลับมาก แถมยังต้องเข้าใจอักขระจ้วนทอง ถึงจะทลายเขตอาคมเข้าไปในถ้ำได้ ดังนั้นสองสามปีที่ผ่านมาพวกเราสองเผ่าจึงเอาแต่ตามหาข้อมูลของอักขระจ้วนทองไปทั้งแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี ถึงได้ทำให้ข้าและสหายซวี่รู้จักอักขระจ้วนทองก่อนแดนกว้างเย็นจะเปิดเจ็ดแปดส่วน และมั่นใจว่าจะเข้าไปในถ้ำได้ ยามนี้คิดดูแล้วชาวเผ่าหรงเหล่านั้นคงพบมันด้วยความบังเอิญ ยามที่พวกเราเพิ่งจะทลายเขตอาคมที่ทางเข้า แล้วจึงมาปรากฏตัว กว่าครึ่งคงเป็นเพราะการกระทำของพวกเราตกอยู่ในสายตาของชาวเผ่าหรง พวกเขาน่าจะรู้ตำแหน่งของถ้ำลับจากทางอื่นตั้งนานแล้ว” หญิงสาวเอ่ยอย่างละเอียด


“หากเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณฉบับนี้มหัศจรรย์เช่นนั้นจริงๆ ข้าน้อยก็ไม่รังเกียจที่จะไปดูสักตั้ง ทว่าผู้แซ่หานไม่รู้อันใดเลยเกี่ยวกับอักขระจ้วนทอง ต่อให้ได้เคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณมาก ก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์” หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปหลายครั้งแล้วเอ่ยขึ้น


“หึๆ เรื่องนั้นพูดง่าย ขอแค่พี่หานได้เคล็ดวิชานี้มา และยอมให้ข้าและเซียนเย่ว์คัดลอกไปคนละหนึ่งฉบับ เราสองคนก็ยอมถ่ายทอดสิ่งที่พวกเราสองคนรู้เกี่ยวกับอักขระจ้วนทองให้ ให้สหายได้เรียนรู้เคล็ดวิชานี้อย่างราบรื่น ถือว่าเป็นของตอบแทนที่สหายยอมลงมือเสี่ยงอันตราย” เห็นหานลี่สนใจจริงๆ ชายชราพลันมีชีวิตชีวาขึ้น แล้วตอบกลับอย่างรีบร้อน


เซียนเย่ว์ที่อยู่ด้านข้างก็ไม่ได้เอ่ยอันใด เห็นได้ชัดว่าก็ยอมรับเรื่องนี้โดยดุษณี


“ในเมื่อสหายทั้งสองกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หานก็ต้องไปดูสักตั้งแล้ว พี่ซวี่คัดลอดแผนที่มาให้ข้าหนึ่งฉบับเถิด” ในที่สุดหานลี่ก็ตัดสินใจ แล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็น


“สหายรอประเดี๋ยว ข้าจะคัดลอกแผนที่ให้เดี๋ยวนี้” ชายชราแซ่ซวี่ดีใจจนออกนอกหน้า พลางตอบรับเต็มปากเต็มคำ


มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ ในมือมีม้วนคัมภีร์ปรากฏขึ้น วางไว้ที่หน้าผากของตน ลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด


แทบจะในครู่ต่อมา ก็คัดลอกแผนที่จากจิตสัมผัสของชายชราเสร็จ


“พี่หานโปรดระวังหน่อย ข้าและสหายเย่ว์จะรอข่าวดีของสหาย!” ชายชราส่งคัมภีร์ให้ ด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม


“ทั้งสองไปพักบนเกาะที่อยู่ไม่ไกลนี้เถิด หากข้าน้อยได้อักขระจ้วนทองมาจริงๆ จะรีบกลับมารวมตัวกับสหายทั้งสอง” หานลี่รับคัมภีร์มา แล้วตอบกลับด้วยเสียงเคร่งขรึม


จากนั้นผิวของเขาก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ คนกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งแหวกอากาศไป


แค่กะพริบวาบๆ สายรุ้งสีเขียวก็ไปอยู่ที่ขอบฟ้า เปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้งแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


“พี่ซวี่ เจ้าคิดว่าสหายหานจะทำเสร็จกี่ส่วน?” หลังจากที่ใช้สายตาส่งลำแสงหลีกหนีจนสลายหายไปแล้ว หญิงสาวก็ถอนสายตากลับมา แล้วเอ่ยปากถาม


“พูดยาก หากเป็นเผ่าเบื้องบนธรรมดาๆ แน่นอนว่าย่อมไม่มีโอกาสเลยสักนิด แต่คนผู้นี้สำแดงอิทธิฤทธิ์ที่ลึกล้ำยากจะคาดเดาออกมา ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้นก็สู้ไม่ได้ หากโชคดีล่ะก็ น่าจะมีโอกาสครึ่งหนึ่ง อย่าลืมละ ชาวเผ่าหรงเหล่านั้นมีเจ้าผู้ที่ร้ายกาจมากอยู่คนหนึ่ง พวกเราสองคนร่วมมือกัน ก็ยังถูกเขาทำให้ได้รับบาดเจ็บ” ชายชราแซ่ซวี่ครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า


“หนึ่งหนึ่ง ก็ไม่เลวแล้ว เผ่าของเราสองคนวางแผนการเรื่องนี้มาเนิ่นนาน กลับมาเกิดเรื่องตอนที่ปฏิบัติงาน หากไม่ได้เอาเคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณกลับไปที่เผ่า จุดจบของเจ้าและข้าจะเป็นอย่างไรแค่คิดก็รู้แล้ว” หญิงสาวถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง


“นั่นก็ทำอันใดไม่ได้ ผู้ใดจะรู้ว่าระหว่างทางจะมีชาวเผ่าหรงกลุ่มหนึ่งมาสังหาร และทำลายแผนของพวกเรา” ชายชราตอบอย่างจนปัญญาเล็กน้อย


“หากรู้ว่าชาวเผ่าหรงวางแผนกับพวกเราไว้แต่แรก ตอนนั้นก็คงไม่ร่วมมือกับพวกเขา พวกเราเสียแรงทลายเขตอาคมในถ้ำไปเปล่าประโยชน์จริงๆ” เซียนเย่ว์หน้าเปลี่ยนสีเป็นเย็นชา


“ไม่มีประโยชน์ ทางเข้าถ้ำเปิดแล้ว ต่อให้ไม่รับปาก พวกเราก็คงเรียกอีกครึ่งหนึ่งมาลงมือโจมตีพวกเรา แค่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น! และยิ่งไปกว่านั้นหากลงมือด้านนอกถ้ำลับ ไม่มีภูมิประเทศและเขตอาคมคอยช่วยเหลือ พวกเราก็คงไม่อาจหนีจากการล้อมสังหารของชาวเผ่าหรงได้” ชายชรากลับสั่นศีรษะขณะเอ่ย


“นั่นมันก็ใช่ หวังเพียงว่าสหายหานจะทำสำเร็จได้จริงๆ ก็แล้วกัน” เซียนเย่ว์อดที่จะมองไปทางที่ลำแสงหลีกหนีของหานลี่จากไปอีกครั้งไม่ได้


ส่วนชายชราแซ่ซวี่ก็ลูบเครา เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา


อีกด้านหานลี่ที่กลายเป็นลำแสงหลีกหนีบินออกมาได้สองสามหมื่นลี้ ใช้ความเร็วที่น่าเหลือเชื่อพุ่งออกไป


เขาในลำแสงหลีกหนีหรี่ตาทั้งสองข้างลงเอาคัมภีร์มาแตะที่หน้าผาก ใช้จิตสัมผัสกวาดมองบันทึกด้านใน


ชายชราแซ่ซวี่คัดลอกมาไม่น้อย ไม่เพียงจะมีแผนที่ของถ้ำลับ แม้กระทั่งเส้นทางที่สำรวจภายในถ้ำไปส่วนหนึ่ง ก็ยังทำเครื่องหมายเอาไว้


นี่จึงลดความยุ่งยากให้เขาไปไม่น้อย!


“เคล็ดวิชาหลอมจิตวิญญาณ” หานลี่ใช้เสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินเอ่ยพึมพำกับตัวเอง


ประโยชน์จากจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งนั้น หลังจากที่เขาฝึกฝนคาถาเทพขับเคลื่อนในตอนนั้นก็ได้เรียนรู้มาตั้งนานแล้ว


หากเคล็ดวิชาลับนี้สามารถเพิ่มจิตสัมผัสของเขาได้ล่ะก็ ไม่เพียงจะทลายจุดคอขวดได้ง่ายกว่าคนทั่วไป และยิ่งไปกว่านั้นสามารถปล่อยแมลงกลืนทองจำนวนมากออกไป ก็เพียงพอจะทำให้เขาใช้แมลงวิญญาณชนิดนี้ต่อสู้ในยามปกติแล้ว


นอกจากนี้หลังจากที่จิตสัมผัสแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าทางด้านการวางเขตอาคมหรือว่าการปรุงยา ก็มีประโยชน์มากเช่นกัน


ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินเคล็ดวิชาลับนี้อย่างชัดเจน ยามนั้นก็เกิดความคิดขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้


เคล็ดวิชาเหนือชั้นชนิดนี้มีแค่ในแดนเทพเซียนเท่านั้น หากออกจากแดนนี้ แดนวิญญาณก็ไม่มีทางมีแน่


และโอกาสที่อยู่ใต้จมูกเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ


หานลี่ขบคิดเช่นนั้น แม้ว่าจะจิตใจจะเหมือนวารี ก็อดที่จะตื่นเต้นเล็กๆ ไม่ได้


ตามบันทึกในแผนที่ ถ้ำลับแห่งนั้นอยู่ห่างจากที่นี่ไปเป็นระยะเวลาหนึ่งวัน ชายชราแซ่ซวีและพวกทั้งสองเสียปราณแท้ไปจำนวนมาก หนีมาถึงที่นี่ได้ก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว


ส่วนชาวเผ่าหรงที่ปักหลักอยู่ที่นั่น หานลี่ที่ฟื้นฟูพลังปราณกลับมาแล้ว ก็ไม่ได้หวาดกลัวเท่าใดนัก


หากไม่มีสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์อยู่ แม้ว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่หากคิดจะหนี ชนเผ่าหรงเหล่านั้นจะห้ามปรามได้อย่างไร


หลังจากที่หานลี่ขบคิดเสร็จแล้ว ก็ไม่คิดอันใดอีก แผ่นหลังมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ปีกวายุอัสนีปรากฏขึ้น


จากนั้นเขาพลันใช้มือหนึ่งร่ายอาคม เสียงแหวกอากาศดังขึ้น ลำแสงหลีกหนีเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป


ครู่ต่อมาก็มาปรากฏตัวห่างออกไปร้อยจั้งเศษ จากนั้นพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป


มองจากไกลๆ เส้นไหมลำแสงสีเขียวขาวสายนี้กะพริบวาบๆ กลางอากาศ แล้วพุ่งออกมาราวกับภูตผี


เพราะกลัวว่าชาวเผ่าหรงเหล่านั้นจะชิงทลายเขตอาคมแล้วเอาอักขระจ้วนทองไปก่อน


ในที่สุดหานลี่ก็เร่งความเร็วเต็มอัตราอย่างไม่เสียดายพลังลมปราณ


ระยะทางเดิมที่ใช้เวลาหนึ่งวันนั้น หลังจากผ่านไปแค่ครึ่งวัน ก็มาถึงที่อยู่ของถ้ำลับแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)