ท่านเทพมาแล้ว 173-180
บทที่ 173 สิ่งของในกล่อง
โดย
Ink Stone_Romance
นางหวนคิดถึงการแสดงออกของราชินีมังกร ดูไม่ออกว่าเย็นชาขนาดไหน แต่ก็ดูไม่ออกว่านางอาลัยอาวรณ์อะไรอ๋าวเชิน แต่หญิงคนหนึ่งที่ถูกสามีหักหลัง หญิงคนหนึ่งที่ถูกสามีหักหน้าปกป้องภรรยาน้อยอย่างออกนอกหน้า จะคาดหวังให้นางมีความหวังขนาดไหนกับคนเจ้าชู้กัน?
นางมองลู่ยาคราหนึ่ง อยากรู้ความเห็นเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ผ่านสีหน้า แต่เขากลับไม่แสดงอาการใดเลย เพียงคิ้วขมวดเล็กน้อย ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
นางก็ขมวดคิ้วเช่นกัน พูดแบบนี้ อ๋าวเชินก็รู้ความคิดของตระกูลอวิ๋นมาตลอด ตระกูลอวิ๋นวางแผนเพื่อกุญแจจันทราหยินหยางคู่นี้ นี่เข้าใจได้ทั้งหมดแล้วว่าทำไมอวิ๋นเฉี่ยนจึงยอมสละร่างกายทุ่มเท เพื่อให้ได้รับความรักจากอ๋าวเชินที่หน้าตาอายุล้วนไม่โดดเด่น ทว่าเฉินผิงเป็นลูกชายของอ๋าวเชินและเป็นลูกของนาง หลังเขาตายแล้วนางเจ็บปวดใจสักนิดหรือไม่?
หากไม่มี แบบนั้นก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ ถึงแม้อ๋าวเจียงเข้าใจว่าพวกเขาเป็นพ่อแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างไร แต่ดูจากความเสียสละที่อวิ๋นเฉี่ยนมีต่อครอบครัวแล้ว นางไม่น่าเป็นคนที่แม้แต่ลูกชายตัวเองยังไม่สนใจ แต่หากว่ามีความรู้สึก เช่นนั้นทำไมระหว่างพี่น้องกับเลือดเนื้อเชื้อไข นางกลับไม่ลังเลที่จะตัดสินใจ?
หากนางเป็นแม่ ถึงแม้ลูกชายของนางตายไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางล้วนสามารถจัดการเรื่องหลังความตายแทนเขาได้ นั่นเป็นเลือดเนื้อที่ออกมาจากร่างนางเอง! ยิ่งไปกว่านั้น กุญแจจันทรานั่นก็เป็นนางที่ดิ้นรนเอามา
แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่วางมือเพราะมีแผนใหม่ คือหลังจากได้กุญแจทั้งสองแล้วค่อยใช้กุญแจหยินปกปักรักษาวิญญาณของเฉินผิง แต่อย่างไรนางก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่มีเพียงเท่านี้ ตระกูลอวิ๋นให้ความสำคัญกับอวิ๋นรองเกินไปอย่างชัดเจน…
คิดถึงตรงนี้นางจึงพูด “อวิ๋นรองที่แท้เป็นใคร?”
สายตาของอ๋าวเชินมองมา จับจ้องอยู่ที่นาง “เจ้ากลับสนใจเขา?”
มู่จิ่วแบมือ “ถึงแม้ตระกูลอวิ๋นพยายามแสดงให้คนอื่นเข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่องค์หญิงของตระกูลพวกเขาประพฤติตัวไม่ดี และพวกเขาไม่อาจทำอะไร แต่ยังคงไม่สามารถปิดบังเรื่องจริงที่พวกเขาทุ่มเทแรงทั้งหมดโดยไม่สนใจผลที่ต้องจ่ายเพื่อรักษาอวิ๋นรองไว้ เผ่าพันธุ์หงส์เพลิงดีร้ายก็เป็นเผ่าเทพ หากไม่เป็นเพราะฐานะของเขาสำคัญกว่าทั้งหมด พวกเขาคงไม่ให้อวิ๋นเฉี่ยนทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นการเป็นภรรยาน้อยแบบนี้”
ถึงแม้นางทั้งโง่ทั้งเขลา แต่เรื่องที่ควรเข้าใจนางก็ชัดแจ้ง
การกระทำของทุกคนล้วนมีแรงจูงใจ ตระกูลอวิ๋นผิดปกติขนาดนี้ หากไม่มีลับลมคมในถึงจะแปลก
อ๋าวเชินพยักหน้าก่อนพูด “พูดตรงๆ อวิ๋นรองไม่ใช่พี่ชายอวิ๋นเฉี่ยน แต่เป็นอาของพวกเขา”
“อา?” คางของมู่จิ่วจะร่วงลงมาแล้ว
นางไม่ได้ฟังผิด? พี่ชายกลายเป็นอา หรือในเรื่องนี้ยังผสมปนเปกับเรื่องราวความรักที่ไม่อาจให้คนรู้ได้อะไรอีก?!
อ๋าวเชินมองเหล่ามังกรที่นิ่งอึ้งเหมือนกันอยู่รอบด้าน ก่อนพูด “แต่เดิมเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก สองแสนปีก่อน ทั้งทิวเขาริ้วหยกเกือบทั้งหมดล้วนเป็นหงส์เพลิงเข้าออกไปมา ตำแหน่งพวกเขาในตอนนั้นสูงมากท่ามกลางเผ่าเทพ กระทั่งเรียกได้ว่าเป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์หงส์ทั้งหมด แต่ปีนั้นพวกเขาพลันเผชิญหน้ากับการสูญพันธุ์ จื่อเยวี่ยราชาของพวกเขาในตอนนั้น เป็นผู้มีพลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่สุดในตระกูลหงส์เพลิงตั้งแต่โบราณ เขาเลือกคุกที่ไฟแรงกล้าแผดเผาปกป้องคนในเผ่าไว้”
“ถึงแม้สุดท้ายทำสำเร็จ แต่เพราะจิตต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงยังคงสืบทอดสู่ราชาทุกรุ่น และจื่อเยวี่ยเสียสละร่างกาย ใช้จิตต้นกำเนิดไปจนสิ้น ดังนั้นเผ่าพันธุ์หงส์เพลิงจึงสูญเสียไปมาก แต่ห้าหมื่นปีก่อน ในที่สุดน้องชายของจื่อเยวี่ยนามฉางเทียนก็พบจิตต้นกำเนิดของเขา จากนั้นใช้พลังบำเพ็ญทั้งชีวิตนำจิตต้นกำเนิดของจื่อเยวี่ยเปลี่ยนเป็นวิญญาณทั้งหมด ก่อนใส่เข้าไปในครรภ์ของภรรยา”
“และเด็กคนนี้ก็คืออวิ๋นรอง”
พูดถึงตรงนี้เขามองมู่จิ่ว “อวิ๋นรองแบกรับพลังวิญญาณของจื่อเยวี่ยไว้เก้าส่วน แต่ในเมื่อเขาเกิดมาเป็นคนอีกครั้ง รากฐานวิญญาณร่างกายอย่างไรก็เสียหาย หากเขาไม่สามารถฟื้นคืนแบบเดิมได้ เช่นนั้นหงส์เพลิงก็กลับไปรุ่งเรืองแบบแต่ก่อนไม่ได้ตลอดไป และเป็นไปได้อย่างมากว่าจะหายไปจากฟ้าดินในหลายปีให้หลัง ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากฉางเทียนคู่สามีภรรยาตายตกกันไป ร่างของเขาก็ค่อยๆ เสื่อมถอยลง”
มู่จิ่วพูดไม่ออกอยู่บ้าง
ก่อนหน้านี้นางเดาได้รางๆ ว่าฐานะของอวิ๋นรองพิเศษ กลับคิดไม่ถึงว่าการดำรงอยู่ของเขาสำคัญต่อตระกูลอวิ๋นขนาดนี้ นี่ก็เข้าใจได้ว่าทำไมพวกเขาถึงทุ่มเทกำลังทั้งหมดชิงกุญแจจันทราหยางไป และทำไมอวิ๋นเฉี่ยนถึงแสดงออกต่อเรื่องของเฉินผิงไม่เหมาะสมนัก
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ และเจ้าจริงใจต่ออวิ๋นเฉี่ยน ทำไมเจ้าไม่เอากุญแจจันทราหยางให้พวกเขาไป?” มู่จิ่วถาม
หากตอนแรกให้กุญแจจันทราหยางไป บางทีเรื่องราวหลังจากนั้นคงไม่เกิดขึ้น อย่างน้อยคงไม่ซับซ้อนขนาดนี้ หากอวิ๋นเฉี่ยนรู้ว่าเฉินผิงถูกส่งไปกักตัวไว้ที่เกาะเป่ยอี๋ ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ทิ้งเขาและพากลับไปทิวเขาริ้วหยก เฉินผิงคงไม่ถูกนางสังหาร….เอาละ แบบนี้ฟังเหมือนกำลังผลักความรับผิดชอบ แต่นางยากที่จะเข้าใจความคิดของอ๋าวเชิน
เขากลัวว่าหลังจากได้กุญแจจันทราแล้วตระกูลอวิ๋นจะจากเขาไปหรือ?
“นั่นเพราะกุญแจจันทราหยางนี้สำหรับข้าแล้วก็สำคัญมาก!”
สีหน้าอ๋าวเชินไม่ดีนัก สายตาที่จ้องมู่จิ่วเผยความเย็นเยียบออกมา ราวกับโทษว่านางมากเรื่อง และราวกับกำลังบอกอะไร “กุญแจจันทราหยางสำหรับข้าสำคัญเหมือนกัน เรื่องที่ข้ารับไม่ได้คืออวิ๋นเฉี่ยนหลอกข้าแบบนี้ ด้านหนึ่งนางติดพันข้า อีกด้านหนึ่งกลับยังส่งคนมาปลอมเป็นอ๋าวเยวี่ยเพื่อขโมยมัน!”
มู่จิ่วลูบจมูก ไม่ได้พูดอะไร
ที่จริงสิ่งของเป็นของเขา เขาให้หรือไม่ให้อย่างไร แท้จริงนางไม่มีสิทธิสอดปาก
แต่อ๋าวเชินก็รู้นานแล้วว่าอีกฝ่ายมาเพราะอะไร ในเมื่อพวกเขาสามารถใช้แผนหญิงงาม เป็นธรรมดาที่ต้องสามารถใช้แผนล่อเสือออกจากถ้ำ
“เจ้าแน่ใจว่ากุญแจจันทราหยางใต้โบตั๋นม่วงเป็นคนตระกูลอวิ๋นมาเอาไป?”
ตอนนี้ ลู่ยาที่ไม่ได้พูดมานานกลับพลันส่งเสียงออกมา
“แน่นอนว่าเป็นพวกเขา” ในตาอ๋าวเชินราวกับพ่นไฟ “คืนก่อนนางยังพูดกับข้าว่าอยากมาชื่นชมดอกไม้ที่วังประจิมไสว นางอยู่กับข้านานขนาดนี้ และเคยอยู่ที่วังมังกรมาก่อน ถึงแม้ข้าจะซ่อนไว้อย่างดี มีเวลาสืบหานานขนาดนี้ พวกเขาต้องทายออกว่าที่วังประจิมไสวนี้มีปัญหา เหยี่ยวพิษนั่นลงมือได้พอดิบพอดีขนาดนี้ ไม่ใช่พวกเขาแล้วจะเป็นใคร?”
ลู่ยาพยักหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ กลับพูด “แต่ในกล่องที่อยู่ใต้โบตั๋นม่วงนี้ กลับไม่มีกุญแจจันทราหยาง”
น้ำเสียงของเขาแม้เชื่องช้า แต่สงบราบเรียบ ไม่เหมือนกำลังล้อเล่น เขาหยิบกล่องออกมาจากอกเสื้อ “ตอนเหยี่ยวพิษนำกล่องนี้ออกมาข้าเห็นเต็มตา ในนี้ไม่มีสิ่งของอะไรออยู่อย่างแท้จริง”
ไม่ผิด หลังจากเหยี่ยวพิษเปิดกล่องนี้ออกมาก็มีสีหน้าตระหนก นั่นเพราะในกล่องนั้นว่างเปล่า!
คนในลานนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง อ๋าวเชินมีปฏิกิริยาก่อนใคร “จะไม่มีได้อย่างไร? พันปีก่อนหลังจากข้ารู้เป้าหมายของตระกูลอวิ๋น ข้าก็นำมันมาผนึกไว้ที่นี่ นอกจากข้าไม่มีคนอื่นรู้อีก! หากในกล่องนี้ไม่มี หรือจะเป็นเจ้าที่เอาไป?!”
บทที่ 174 แลกเปลี่ยนกับเจ้า
โดย
Ink Stone_Romance
ลู่ยาไม่สนใจเสียงโวยวายของเขา แล้วพูดต่อ “ดูจากรอยสนิมบนกล่อง ถึงแม้ไม่ใช่หายไปหลังจากเจ้าฝังมันไว้ตอนนั้น อย่างน้อยก็หลายร้อยปี หมายความว่า อย่างน้อยห้าร้อยปีก่อนกุญจันทราหยางก็ไม่อยู่ใต้โบตั๋นม่วงนี้แล้ว”
อ๋าวเชินอึ้งมองเขา หน้าซีดเหมือนขี้เถ้าไปแล้ว
หากคำพูดนี้เป็นมู่จิ่วพูด หรือเป็นคนอื่นพูด เขาต้องไม่เชื่อแน่นอน แต่ความสามารถของลู่ยาทำให้เขาไม่มีหนทางหลีกหนี เขาสามารถจับเป็นเหยี่ยวพิษที่เป็นสัตว์ดุร้ายโบราณ ยังสามารถทลายคาถาของเขาได้สบายๆ เขาไม่มีความจำเป็นต้องคะคานกับเขาเพื่อกุญแจจันทรา ยิ่งไม่มีเหตุผลหลังจากเอาไปแล้ว รออยู่ที่นี่ให้เขาถาม
…งั้นแสดงว่ากุญแจจันทราหยางหายไปแล้วจริง?!
ของมีค่าของวังที่เขาเข้าใจมาตลอดว่าซ่อนอยู่อย่างดีไร้รอยขีดข่วนที่ใต้โบตั๋นม่วงจะหายไปแบบนี้!
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?” เสียงของเขาสั่นอยู่บ้าง “ห้าร้อยปีก่อน…ถึงแม้จะมีคนเดาออกว่ามันซ่อนอยู่ที่นี่ ก็ไม่สามารถก่อนหน้านานขนาดนั้น ห้าร้อยปีก่อนคือตอนที่ข้านำกุญแจหยินออกมาจากพื้นให้อวิ๋นเฉี่ยนพอดี ภายหลังข้าก็ไม่ได้ไปยุ่งกับมันอีก ใครสามารถเอามันไปได้อย่างเงียบเชียบ?”
สำคัญคือ แม้แต่ตระกูลอวิ๋นที่ไม่ลืมมันอยู่ตลอดยังไม่ได้นำไป คนที่นำมันไปคนนี้ทำได้อย่างไร?
เขาเป็นใคร?!
ในวังเริ่มเงียบกริบ
แม้แต่พวกอ๋าวเจียงยังเปลี่ยนไปไม่อาจยอมรับได้
บางทีพวกเขาไม่ใส่ใจว่าของมีค่าจะมากหรือน้อยลงไปเท่าไหร่สำหรับวังมังกรแล้วมีอะไรต่าง แต่ฝีมือของคนนี้ หลังจากทำสำเร็จแล้วคิดไม่ถึงว่าหลายปีขนาดนี้กลับไม่มีคนรู้ พูดแบบนี้การอารักขาของวังมังกรมิใช่ว่ามีช่องโหว่ขนาดไม่เล็กอยู่หรือ?
มู่จิ่วอึ้งไปนานถึงได้คืนสติกลับมา พูดมานานที่แท้ทั้งตระกูลอวิ๋นและตระกูลอ๋าวเสียแรงเปล่า เมฆหมอกของสองตระกูลที่มีมาแต่เดิมบางลงแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าพลันมีควันกลุ่มใหม่ขึ้นมา…
“สามารถดูได้หรือไม่ว่าใครขโมย?” นางถามลู่ยา
ลู่ยาส่ายหน้า มีเพียงกล่องเท่านั้น ไม่มีร่องรอยอื่น สืบหาอะไรไม่ได้
อ๋าวเชินนั่งลงบนหินข้างตัวอย่างเหนื่อยล้า เพียงแค่ชั่วพริบตานั้น ราวกับแก่ลงไปหลายพันปี
สีหน้าของเขาทำให้คนดูไม่ออกว่ากำลังกังวลหรือกำลังเจ็บปวด กำลังเสียใจที่ของมีค่าหายหรือกำลังเสียใจว่าหลังจากนี้เส้นทางรักกับอวิ๋นเฉี่ยนจบลงตรงนี้หรืออะไร
เหนือหัวมีนกสาลิกาปากดำบินผ่าน เสียงจิ๊บจิ๊บเรียกสติมู่จิ่วที่ลอยล่องอยู่
นางทำคอโล่งมองไปรอบด้าน พบว่าวังมังกรที่แต่เดิมมืดทึมวันนี้ยิ่งกดดัน
ทางนี้เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด หลอกลวง ไม่ยุติธรรม นี่ทำให้นางอดคิดถึงลานบ้านเล็กๆ ของนางไม่ได้ ที่นั่นมีแสงแดดมีฝนพรำ ที่สำคัญที่สุดคือมีเสี่ยวซิงที่มีความซื่อสัตย์และอบอุ่นและอาฝูที่ตาเป็นประกายจ้องของกิน และยังมีซ่างกวนซุ่นที่ชอบบ่นก่นด่าจุกๆ จิกๆ และรักความสะอาดอย่างมาก วันคืนที่ไม่สำคัญและเต็มไปด้วยควันไฟเหล่านั้นช่างมีความสุขมาก เทียบกับเรื่องราวขัดแย้งที่นี่แล้วต่างกันมาก
“ทางนี้ไม่มีเรื่องของพวกเราแล้ว พวกเรากลับกัน”
นางหันหน้าไปเรียกลู่ยา
รู้ชัดเจนว่าพวกเขาทั้งสองฝั่งมีเรื่องอะไรกันก็พอแล้ว กุญแจจันทราหายไปอย่างไร ยังมีหนี้ของพวกเขาทั้งสองตระกูล ล้วนไม่เกี่ยวกับนาง
เมื่อจบห้าเดือนนี้ นางก็กลับสวรรค์แล้ว
“ช้าก่อน!”
เพิ่งเดินไปได้สองก้าว อ๋าวเชินพลันยืนขึ้นมา แต่เขากลับมุ่งตรงไปยังลู่ยาที่ยังยืนอยู่ที่เดิม “เจ้าเอาเหยี่ยวพิษมาให้ข้า ข้ารับปากส่งหนังสือไปยังสวรรค์ยกเลิกโทษห้าเดือนนี้!”
ส่งหนังสือไปสวรรค์ยกเลิกโทษ?
นางฟังไม่ผิดใช่หรือไม่!
มู่จิ่วพลันหมุนกลับมาตรงหน้าเขา “จริงหรือ?”
อ๋าวเชินขมวดคิ้วพูดเสียงหนัก “เอากระดาษพู่กันออกมา!”
นอกประตูผู้ติดตามได้ยินก็นำเครื่องเขียนเข้ามาทันที
อ๋าวเชินจับพู่กันเขียนหวัดๆ ลงไปหลายตัว จากนั้นหยิบตราประทับจากกระเป๋าเล็กประทับลงไป ส่งให้มู่จิ่ว “เจ้าดูว่าจริงหรือไม่!”
บนกระดาษเขียนขอยกเลิกโทษที่สังหารเฉินผิงอย่างไม่ได้ตั้งใจจริง ตอนแรกเขาทุ่มเทลากนางมารับโทษขนาดนั้น ตอนนี้กลับเพราะเหยี่ยวพิษตัวเดียวทำลายความตั้งใจ ยินดีปล่อยนางไป?
“เจ้าไม่คิดร้องทุกข์แทนเฉินผิงแล้ว?” นางถาม
อ๋าวเชินส่ายศีรษะ “เรื่องที่ข้าควรทำล้วนทำแล้ว ระหว่างข้ากับอวิ๋นเฉี่ยน ต้องมีบทสรุป อ๋าวเยวี่ยก็เป็นลูกของข้า ข้าต้องตามหานาง” เขายื่นมือไปหาลู่ยา “ให้ข้าเถอะ”
ลู่ยาลังเลอยู่นาน นำน้ำเต้าหยกใส่ในมือเขา
เขารับมาเปิดดู จากนั้นปิดลง เดินก้าวใหญ่ออกจากวังไป
อ๋าวเจียวยืนนิ่งอยู่นาน ก่อนออกไปกันหมด มีเพียงอ๋าวเจียงที่เดินอยู่รั้งท้ายหยุดอยู่ที่ธรณีประตู จากนั้นก็เดินเร็วๆ กลับเข้ามา “เจ้าต้องกลับสวรรค์แล้วจริงหรือ?”
มู่จิ่วพยักหน้า “แน่นอน”
ในตาของอ๋าวเจียงมีความเสียใจ เม้มปากมองนาง ก่อนจากไป
ในวังประจิมไสวเหลือเพียงมู่จิ่วกับลู่ยาสองคน
จนนอกประตูไม่เห็นเงาคนแล้ว มู่จิ่วจึงหมุนตัวกลับมา มองลู่ยา “ที่แท้เจ้ารั้งอยู่เพราะว่าสงสัยอ๋าวเยวี่ยแต่แรกแล้ว ข้ากลับมองไม่ออกแม้แต่นิดเดียว”
ลู่ยาลูบหัวนางไม่ตอบคำ
มู่จิ่วถามอีก “อ๋าวเยวี่ยตัวจริงอยู่ไหน?”
ลู่ยาส่ายหน้า “ข้าหาไม่เจอจริงๆ อย่างน้อยในทะเลสาบน้ำแข็งไม่มี ข้าก็ไม่รู้ว่านางไปไหน”
มู่จิ่วเงียบ
ในวังมังกรรอบด้านไม่แตกต่างกันกับที่มาวันนั้น
มีหนังสือนี้ อย่างไรก็สบายใจได้
ถึงแม้ยังมีความรู้สึกไม่กล้าเชื่อว่าเรื่องจะจบลงแบบนี้ แต่สถานที่เวรแบบนี้กดดันอย่างมาก ยังกดดันจนทำให้คนหายใจไม่ออก เรื่องเวรนี้จบแล้ว นางก็สามารถหายใจอย่างโล่งอกได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรล้วนเป็นเรื่องดี
หากวันนั้นสามารถคาดเดาได้แต่แรกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างวันนี้ แบบนั้นดอกบัวกลีบม่วงต่อให้ดีกว่านี้นางก็ไม่ไปเก็บ …นางไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วแม้แต่สักครู่เดียวจริงๆ ถึงแม้ยังอยากรู้เรื่องตระกูลอวิ๋น หลังจากออกจากวังนางมุ่งตรงกลับไปเก็บของที่ค่ายบัญชาการ ประมาณไม่ถึงสองเค่อก็ออกจากวังไปกับลู่ยาแล้ว
มาถึงผิวน้ำ ถอนลมหายใจที่สบายที่สุดในรอบสองเดือนนี้ ราวกับแหกคุกออกมารีบกลับสวรรค์ ไม่หยุดเท้าตรงไปยังประตูสวรรค์แดนใต้
ตลอดทางลมเย็นพัดหน้า สบายอย่างพูดไม่ออก
ถึงแม้สองวันนี้ไปกลับทิวเขาริ้วหยกสองรอบอากาศแจ่มใสอบอุ่น ความรู้สึกนั้นกลับไม่เหมือนกันเลย ไม่มีอะไรน่ายินดีไปกว่าการได้รับอิสระแล้ว และสำคัญที่สุดคือ วังมังกรเต็มไปด้วยความโกรธความดุร้าย ทัพทหารสวรรค์ถึงแม้มีเรื่องยุ่งยากไม่น้อย แต่เทียบกันแล้ว กลับนับได้ว่าเป็นแดนที่สงบสุข
หลังจากเข้าประตูสวรรค์แดนใต้ไปแล้ว จึงเข้าวังเทียมเมฆารายงานเหตุผลกับอวี้ตี้ก่อน อวี้ตี้ไม่ได้นำเรื่องมาใส่ใจอยู่แล้ว บวกกับวันนั้นท่าทางของหวังหมู่ชัดเจนขนาดนั้น ทั้งยังมีหนังสือที่อ๋าวเชินเขียนด้วยตัวเอง ไหนเลยยังมีคำพูดอีก? โบกมือพูดสักหน่อยก่อนเอ่ย “รู้แล้ว” แล้วพลิกตัวงีบอยู่ในศาลาแปดมุม
แน่นอนมู่จิ่วเลี่ยงไม่ได้ต้องไปพบหวังหมู่ แต่หวังหมู่ไปป่าไผ่ม่วงแห่งทะเลใต้พูดคุยกับกวนอิม ก็ช่างเถอะ
ระหว่างทางเจออิ่นเสวี่ยรั่วอยู่กับองค์หญิงรองชมดอกไม้ที่สะพานรุ้ง สองคนเห็นนางท่าทางดีใจอย่างมาก ก็อดไม่ได้ถามอย่างสงสัย เมื่อรู้ว่านางถูกอ๋าวเชินคนนั้นจับไปปฏิบัติงาน องค์หญิงรองเหมยอิงอดไม่ได้ช่วยนางบ่นสองประโยค
บทที่ 175 ความสุขหวนคืน
โดย
Ink Stone_Romance
เหมยอิงอบอุ่นและจิตใจดี ตั้งแต่มู่จิ่วเป็นผู้บัญชาการ จำนวนครั้งที่มาวังหลิงเซียวเยอะขึ้นมาก บางครั้งก็อ้อมไปยังวังของนางเพื่อพูดคุยกับอิ่นเสวี่ยรั่ว เหมยอิงได้ยินมาว่านางคือผู้สืบสวนคลี่คลายคดีชิงชิว ก็มีใจรักในคนมีความสามารถ ไปๆ มาๆ จึงรู้จักนางแล้ว
มาพูดถึงบ้านสกุลกัว สองเดือนที่พวกมู่จิ่วไม่อยู่ เสี่ยวซิงเบื่อหน่ายยิ่งนัก แม้แต่การทำอาหารที่นางชอบที่สุดก็หมดสิ้นความสนใจไปมาก ตอนแรกอาฝูยังเล่นกับนกน้อยเหล่านั้นได้อย่างสนุกสนาน แต่ผ่านไปหลายวันมองไปทางไหนก็ไม่เห็นมู่จิ่ว ทำให้เขาไม่มีต้นขาให้กอดทุกวัน จึงเศร้าซึมเช่นกัน
ซ่างกวนสุ่นกับมู่จิ่วที่จริงแล้วไม่ได้ชอบหน้ากันนัก ดังนั้นจึงเฉยๆ ทว่าบ้านที่แต่เดิมเหมาะสำหรับห้าคนพอดี พวกเขาพลันหายไปสองคน กลับเห็นชัดเจนว่าว่างเปล่าขึ้นมาเป็นพิเศษ
เขาเป็นคนชอบความคึกคัก ตอนนี้งานบ้านลดลงไปมาก ทำให้ทุกวันเขาว่างจนไปตีนกอยู่ที่สวนด้านหลัง ซึมเซาไปเหมือนกัน
ตอนเช้าเขาล้างชามและทำความสะอาดห้องตนกับห้องอาฝูเสร็จแล้ว เห็นต้นเสาเย่าตรงกำแพงทางใต้งอกเงยออกมาเกินไปจึงตัดออก ขณะกำลังนั่งยองๆ บนระเบียงทางเดิน ดูปลาหลี่สองตัวกินอาหารในกระบวยหินที่ใช้รับน้ำจากคันทวยตามปกติ ก็ได้ยินมู่เซี่ยวซิงตะโกนเรียกเขาจากในห้องตะวันตก “เจ้าช่วยข้าตักน้ำมาสองถังที ข้าจะซักผ้าห่มให้จิ๋วจิ่ว”
ถึงแม้เขาลุกขึ้น แต่กลับเดินไปพลางนิ่งเฉยไปพลาง ก่อนพูด “วันก่อนเพิ่งซัก วันนี้ซักอีก นางก็ไม่กลับมาหรอก!”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางจะไม่กลับมา?” เสี่ยวซิงจ้องเขาอย่างอารมณ์ไม่ดี “นางไม่ได้พูดหรือว่าถ้ามีเวลาจะกลับมาเยี่ยม? ปากเสีย!”
ซ่างกวนสุ่นหน้าเคร่งเชิดคางขึ้นฟ้า กอดผ้าห่มเดินจากไป
เสี่ยวซิงได้ยินเสียงหัวเราะดีใจจากนอกกำแพงก็ถอนหายใจ เสียงนี้คุ้นหูนัก ทำไมฟังแล้วเหมือนมู่จิ่วกลับมาแล้วจริง
น่าเสียดายนี่เป็นเพียงภาพมายา นางรู้
ในสองเดือนนี้นางเป็นแบบนี้บ่อย หลังจากตื่นนอนมักรู้สึกว่าอาจิ่วซ้อมกระบี่อยู่ในลานบ้าน ตอนกินข้าวก็รู้สึกว่านางจะเปิดประตูเข้ามา ซ่างกวนสุ่นบอกว่าหากนางคิดต่อไปคงไม่อาจสำเร็จเป็นเซียน กลับจะเป็นโรคจิตเสียก่อน นางตีเขาคนปากร้าย ตั้งแต่รู้จักกันมายังไม่เคยได้ยินเขาพูดเข้าหูสักประโยค!
แต่ความจริงในแต่ละครั้งยืนยันว่ามันล้วนเป็นจินตนาการของนางโดยแท้ ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงแบบนี้อีกนางจึงไม่รู้สึกแปลกประหลาดแล้ว
“หงิงหงิง…หงิงหงิง…”
กำลังจะหมุนตัวเข้าไปเช็ดโต๊ะ ตอนนี้อาฝูที่อยู่ตรงระเบียงทางเดินกลับพลันตื่นเต้นขึ้นมา ส่ายก้นอ้วนๆ จนเหมือนกังหันลม สองตาจับจ้องไปยังนอกประตู ไม่รู้ดูอะไร
นางกำลังยื่นมือออกไปกดเขาให้นั่งลง ลมสายหนึ่งพลันพุ่งเข้ามาจากนอกประตู “เสี่ยวซิง! อาฝู! ข้ากลับมาแล้ว!”
มู่เสี่ยวซิงใจเต้นจ้องมองไปทันที สาวน้อยเสื้อเขียวร่างเล็กเหมือนกับนกกระจาบฝนกระโดดเข้าประตูมา นี่ไม่ใช่อาจิ่วแล้วจะเป็นใคร?
มารดาเจ้า! ครั้งนี้กลับไม่ใช่ภาพมายา!
เสี่ยวซิงตื่นเต้นจนสั่นเทา เกือบเปลี่ยนเป็นจรวดพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า “จิ๋วจิ่ว!” จากนั้นกระโจนเข้าไปหามู่จิ่วแล้วกอดนางไว้ “เจ้ากลับมาแล้วจริงๆ!”
“เป็นข้าเป็นข้า! เป็นข้าแน่นอน!” มู่จิ่วสบายใจเพราะเจอเรื่องน่ายินดี แม้แต่เสียงหัวเราะยังดังกว่าปกติมาก กอดเสร็จนางก็รีบรับอาฝูที่พุ่งเข้ามา ไม่นึกเลยว่าในสองเดือนอาฝูเติบโตขึ้นอีก ก้อนเนื้อกลมใหญ่ขนาดนี้พุ่งเข้ามา นางก็รับไม่ไหว ทำได้เพียงต้องกอดเขากลิ้งไปบนพื้น
ซ่างกวนสุ่นก็รีบเร่งออกมารับ เมื่อเห็นลู่ยา สองเท้าก็รีบเข้าไปใกล้เพื่อทำความเคารพเขา ก่อนชี้อาฝูที่ดีใจไม่หยุดอยู่บนพื้น “รีบขึ้นมารีบขึ้นมา! เจ้าดูซิ เจ้าจะอ้วนเป็นหมูแล้ว ไม่รู้ตัวหรือ?”
อาฝูสะบัดก้นใส่เขา งับมือมู่จิ่วเบาๆ แล้วดึงนางขึ้นมา จากนั้นเดินไปนั่งลงตรงหน้าลู่ยาด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม เลียประจบเอาใจเบาๆ ที่กางเกงเขา ก่อนเลียอุ้งเท้าอย่างเชื่องๆ
เขาเรียนรู้ความสามารถมากมายกับลู่ยา พูดกันตามเหตุผล ที่จริงเขาเป็นอาจารย์ของอาฝู แน่นอนว่าเจ้าเสือขาวควรสงบเสงี่ยมหน่อย
ลู่ยาลูบหัวเขา รับผ้าเช็ดหน้าจากซ่างกวนสุ่นมาเช็ดหน้า ยากที่จะปกปิดความดีใจบนใบหน้าได้ ถึงแม้บนฟ้าใต้พื้นพิภพทุกที่ล้วนเป็นบ้าน แต่ลานเล็กๆ แห่งนี้ให้ความรู้สึกพิเศษยิ่งแก่เขา
มู่จิ่วกับเสี่ยวซิงมีเรื่องในชีวิตประจำวันให้คุยกัน
ซ่างกวนสุ่นช่างเป็นภรรยาผู้เพียบพร้อม พวกนางเพิ่งนั่งเรียบร้อยเขาก็นำผลไม้สดหั่นเป็นชิ้นๆ มาวางแล้ว วางเสร็จก็รีบนำอีกจานไปแสดงความกตัญญูต่อลู่ยาทางทิศตะวันออก
ในบ้านกลับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีคนกล้ามาหาเรื่องถึงประตูง่ายๆ ยังมีหลิวจวิ้นใช้ข้ออ้างว่าให้ของอาฝูมาคุยเล่นที่บ้านบ่อยๆ ยิ่งตอนนี้ผู้สนับสนุนของอาฝูมีมาก นอกจากเหล่านกน้อยแล้วยังมีสิงโตเสือน้อยเพื่อนบ้านอีก ใครยังกล้ามาหาเรื่องถึงประตู?
“แต่หลินเจี้ยนหรูมาหาครั้งหนึ่ง” เสี่ยวซิงพูดไปพลาง ปอกส้มให้นางไปพลาง “หลังจากพวกเจ้าไปแล้วสองวัน เขามาถามว่าเจ้าไปทะเลสาบน้ำแข็งจริงหรือไม่ ข้าตอบว่าใช่ จากนั้นเขาทุบก้อนหินในลานบ้านพวกเรา บอกว่าเป็นเขาทำร้ายเจ้า ต่อมาเขาก็จากไปโดยไม่ได้พูดอะไร”
มู่จิ่วเกือบลืมเขาแล้ว ได้ยินก็รีบพูด “ช่วงนี้เขาเป็นอย่างไร?”
“ไม่รู้” เสี่ยวซิงส่ายหน้า “ช่วงหลังข้าไม่ได้พบเขาอีก แต่หลายวันก่อนข้าเห็นเหลียงชิวฉาน นางผอมลงไปมาก แต่สีหน้าผิวพรรณดูแล้วกลับไม่เลว ทว่าข้ายังได้ยินข่าวมาอีก บอกว่าจีหย่งฟางตายแล้ว”
“ตายแล้ว?”
มู่จิ่วอึ้งไป ในสมองพลันมีใบหน้าอันดุร้ายถือดีของจีหย่งฟางผุดขึ้นมา คิดอย่างละเอียดยังเจอสองคนนั้นตอนไปสืบคดีกับซ่างกวนสุ่นที่ประตูสวรรค์แดนเหนือ ตอนนั้นนางยังอ้าเขี้ยวง้างกรงเล็บ ทำไมตายไปกะทันหันเสียแล้ว?
“ไม่ผิด” เสี่ยวซิงพยักหน้า “ได้ยินว่าทำผิดกฎในสำนัก จึงถูกเจ้าสำนักของพวกเขาส่งเข้าหลุมตัดวิญญาณไป”
มู่จิ่วกลั้นหายใจอยู่นานค่อยผ่อนแรงคืนกลับมา จีหย่งฟางยโสโอหังเป็นเรื่องจริง อยู่ที่สำนักแรกพยับของพวกเขาคงสร้างเรื่องอะไรไว้ไม่น้อยเป็นธรรมดา แต่ถึงแม้นางสร้างเรื่องมาก หากมีจีหมิ่นจวินอยู่ ยังไงก็ไม่สามารถปลิดชีวิตนางได้ ทำไมถึงถูกหัวชิงสังหาร?
นางทำผิดเรื่องอะไรที่มองข้ามไม่ได้กันแน่?
“ยังเช้าอยู่ เจ้าพักสักหน่อย ข้าจะไปซื้อกับข้าวสักหลายอย่างกลับมา”
เสี่ยวซิงดีใจอย่างมาก ไม่เก็บปฏิกิริยาของนางมาใส่ใจ มองดูพระอาทิตย์ด้านนอกก่อนหิ้วตะกร้า ความสดใสที่หายไปนานสองเดือนกลับเข้าร่างพร้อมกับการกลับมาของมู่จิ่ว นางหมุนตัวไปประตูสวรรค์แดนใต้เพื่อซื้อผักผลไม้
มู่จิ่วมองไปทางห้องตรงข้าม เห็นลู่ยากับซ่างกวนสุ่นคุยกันอยู่ จึงล้างมือเปลี่ยนเสื้อผ้าไปหน่วยลาดตระเวน นางกลับมาก่อน ยังไงต้องรายงานหลิวจวิ้นถึงจะถูกต้อง
ฝั่งห้องทางตะวันตก ลู่ยาถามซ่างกวนสุ่น “ข้าให้เจ้าคอยฟังข่าวจากจิ้งจอกเฒ่า ข่าวล่ะ?”
ซ่างกวนสุ่นอยู่ต่อหน้าเขาช่างสงบเสงี่ยมเป็นพิเศษ “มีข่าวราชาจิ้งจอกมารอบหนึ่ง แต่ก็เดือนกว่าแล้ว บอกคร่าวๆ ว่าตอนนี้ยังไม่มีหนทางกลับมา ขอท่านเทพโปรดทำใจสงบรอฟังข่าวดี”
บทที่ 176 แต่ละคนมีหนทาง
โดย
Ink Stone_Romance
ชีวิตเขาก็นับว่าเป็นละครโศก โตมาขนาดนี้ อยู่ที่เขาเนินอารามใครไม่เรียกเขาองค์ชายเจ็ดบ้าง? มาถึงสวรรค์ไม่เพียงถูกไล่ล่าจนกลายเป็นสุนัข ยังถูกคนหิ้วเป็นลูกเจี๊ยบ ถึงแม้แท้จริงนับได้ว่าชำระหนี้แค้นนี้ได้ ผลคือศัตรูของเขายังเป็นเทพเซียนบรรพกาลที่อีกแปดชาติเขาก็เทียบไม่ได้ ชีวิตนี้ของเขาทำได้เพียงแค่รินชาเตรียมน้ำรับข่าวให้เขาเท่านั้นเอง
“ยังต้องให้ข้ารอ?” ลู่ยาไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
มู่หรงเสี่ยนเจ้าคนนี้ปฏิบัติงานช่างพึ่งพาไม่ได้ นี่นานขนาดไหนแล้ว?
หากไม่ใช่เพราะช่วงนี้เขารับรู้ได้ถึงแรงกดดันของกระดิ่งที่ลดลง เขาคงใช้งานอีกฝ่ายไม่ได้แล้ว
“ใช่แล้ว” ตอนนี้ซ่างกวนสุ่นพูดอีก “ข่าวของราชาจิ้งจอกยังบอกอีก เขาถามว่าท่านเทพสามารถรับจิ้งจอกน้อยเป็นศิษย์ก่อนได้หรือไม่?”
“อ้อ นี่เขากำลังเล่นเล่ห์เหลี่ยมกับข้า?”
ลู่ยาวางแก้วลงบนโต๊ะ เสียงไม่ดัง แต่น้ำในแก้วกลับเย็นเกินจะรับ
ซ่างกวนสุ่นก็ไม่กล้าส่งเสียง
ลู่ยาสูดลมหายใจก่อนลุกขึ้น ไพล่มือพูด “ออกไปเถอะ”
ทางหน่วยงาน หลิวจวิ้นก็ได้รับข่าวนานแล้ว อวี้ตี้รับหนังสือของอ๋าวเชิน จากนั้นให้ผู้ติดตามมาส่งข่าวมา ดังนั้นเขาจึงกำลังนั่งรอมู่จิ่วอยู่ในห้องปฏิบัติงาน
การถามไถ่ทุกข์สุขเมื่อพบหน้ากันขอไม่กล่าวถึง มู่จิ่วเข้าทัพทหารสวรรค์ไป หลินเจี้ยนหรูที่กำลังลาดตระเวนอยู่ที่ถนนกับสหายร่วมงานเห็นนางเข้า เห็นดังนั้นแล้วเขาจึงบอกกับสหาย ก่อนเดินเร็วๆ มายังหน่วยลาดตระเวน วันนั้นเรื่องที่อ๋าวเชินมาฟ้องร้องที่สวรรค์เขาเพิ่งรู้หลังจากเรื่องเกิด และรอจนเขาหาบ้านสกุลกัวเจอ นางกลับไปทะเลสาบน้ำแข็งแล้ว
น่าเสียดายที่เขาเคยไปทะเลสาบน้ำแข็งมาสองครั้ง แต่กลับเข้าไปในเขตพลังของวังมังกรไม่ได้ เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนก็ไม่ยอมให้เขาเข้าไป เขาทำได้เพียงร้อนใจ
เมื่อถึงหน่วยลาดตระเวนแล้ว เบื้องหน้าเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยในห้องทำงานเปิดกว้างของหลิวจวิ้น เสียงพูดคุยของพวกเขาดังออกมา
“…เรื่องราวขั้นตอนส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ สรุปคือไม่รู้ว่ากุญแจจันทราหยางสุดท้ายแล้วไปตกอยู่ในมือใคร และอ๋าวเยวี่ยก็ไม่รู้ไปอยู่ไหน ราชามังกรคงเจ็บปวดใจมาก แม้แต่ข้าที่เป็นฆาตกรก็ไม่เก็บมาใส่ใจแล้ว จึงปล่อยข้ากลับมา”
หลิวจวิ้นลูบคางฟังจนจบ ก่อนเอ่ย “ปีนั้นราชาจื่อเยวี่ยแห่งเผ่าหงส์เพลิงกลับมาเกิดใหม่แล้ว?”
“ไม่ผิด” มู่จิ่วพยักหน้า “ราชามังกรพูดแบบนี้”
หลิวจวิ้นครุ่นคิดไม่เอ่ยคำ
“มู่จิ่ว”
หลินเจี้ยนหรูอาศัยจังหวะตอนนี้เข้าประตูมา เรียกนางก่อน จากนั้นค่อยประสานมือให้หลิวจวิ้น
“เจ้าก็มาแล้ว?”
ไม่ได้พบกันนาน มู่จิ่วเจอเขากะทันหันยังคงดีใจ
เขายิ้มน้อยๆ พยักหน้าให้ อ้าปากคิดจะพูดอะไรกลับไม่พูด
หลิวจวิ้นมองพวกเขาทั้งสองก่อนกล่าว “ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ออกไปเถอะ พรุ่งนี้กลับหน่วยไปทำงานก็พอแล้ว”
มู่จิ่วขอบคุณก่อนออกไป มาถึงลานด้านนอกค่อยหยุดเท้าก่อนพูด “เจ้ามาหาข้าหรือเปล่า?”
หลินเจี้ยนหรูพยักหน้า “เรื่องครั้งนี้ฝ่าบาทลงโทษเจ้าไปทะเลสาบน้ำแข็ง ข้าขอโทษด้วยจริงๆ แต่เดิมโทษนี้ควรเป็นข้ารับไว้”
“ไม่เป็นไร!” มู่จิ่วโบกมือ “ยังไงก็ไม่ได้เสียประโยชน์อะไรไป อีกอย่างที่จริงเป็นข้าที่สังหารเขา”
ยังไงนางก็กลับมาแล้ว ยุ่งเรื่องนี้อีกก็ไม่มีความหมาย อีกอย่างตอนนั้นเขาไม่รู้ไม่ใช่หรือ!
หลินเจี้ยนหรูไม่แสดงออกอะไร เขาเดาได้ว่านางต้องไม่ใส่ใจเรื่องนี้ นี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาต้องอธิบายกับนางโดยด่วน เขาก้มหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง เดินตามฝีเท้านางไปข้างนอกต่อ ก่อนพูดอีก “เมื่อครู่เจ้าพูดว่ากุญแจจันทรา แต่ที่เล่าลือมามันเป็นของมีค่าที่สามารถรักษาวิญญาณและยังหล่อเลี้ยงวิญญาณได้ด้วยใช่หรือไม่?”
เท้าของมู่จิ่วหยุดลง “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
ของมีค่าในโลกนี้มีมาก ถึงแม้รู้กว้างไกลแบบลู่ยา ก่อนไปทะเลสาบน้ำแข็งก็ยังไม่ได้ยินเรื่องกุญแจจันทรานี้ เขากลับรู้จักมัน?
หลินเจี้ยนหรูพยักหน้า “เจ้ารู้ว่าเป้าหมายข้าคือรวมจิตต้นกำเนิดของแม่ข้าให้สมบูรณ์ ดังนั้นข้าจึงสืบข่าวด้านนี้มาตลอด พอดีข้าสืบเจอว่ากุญแจจันทรามีความสามารถหล่อเลี้ยงวิญญาณ ข้าจึงสนใจ กลับไม่รู้มันอยู่ในมือของราชามังกรทะเลสาบน้ำแข็ง เป็นอย่างไร กุญแจจันทราหายไปแล้ว?”
มู่จิ่วผ่อนคลาย ความตั้งใจของเขานางรู้มาตลอด หากเขาไม่พูดนางคงลืมไปจริงๆ ว่ากุญแจจันทรานี้สำหรับเขาแล้วมีประโยชน์อย่างมาก
แต่ปฏิกิริยาของนางเองกลับนอกเหนือความคาดหมายไปบ้าง ถึงแม้นางกลับมา แต่ยังวางมือเรื่องนี้ได้ไม่หมดจด
นางถอนหายใจพูด “หายไปไหนไม่รู้ ได้แต่ดูว่าราชามังกรจะสามารถสืบหาที่อยู่ได้หรือไม่”
นางไม่คิดจะพูดมากเกินไป
ตั้งแต่รู้ว่าเขาสังหารบิดาเพื่อมหาโอสถแล้ว ภาพลักษณ์ของเขาที่ไม่สนใจเรื่องอื่นใดเพื่อเป้าหมายค่อยๆ ฝังลึกอยู่ในสมองนาง ถึงแม้นางยังคงเชื่อว่าพื้นเพเขาไม่ใช่คนไม่ดี แต่กุญแจจันทราเป็นของอ๋าวเชิน และเรื่องราวก็ซับซ้อนมากแล้ว นางไม่คิดให้หลินเจี้ยนหรูสนใจเรื่องนี้มาก หากเขาเข้าร่วมความขัดแย้งของตระกูลอวิ๋นกับตระกูลอ๋าว ไม่แน่ว่าแม้แต่ชีวิตก็ต้องเสียไป
หลินเจี้ยนหรูเป็นคนรู้สถานการณ์ เห็นท่าทีแล้วจึงไม่ถามให้มากความ
ในความเป็นจริง เขาสนใจกุญแจจันทราอย่างมาก แต่เขาก็รู้จักตนเองดี นอกเสียจากอ๋าวเชินให้ยืม มิฉะนั้นแล้วเขาคงไม่สามารถเอามันมาได้แน่นอน เขาไม่อาจเสี่ยงได้
แต่การหลบเลี่ยงของมู่จิ่วกลับทำให้เขารู้สึกคิดมากอยู่บ้าง แต่ก่อนนางไม่เป็นแบบนี้
“ช้าก่อน” เขาหลุดปากรั้งนางที่เดินไปถึงธรณีประตูแล้ว
มู่จิ่วหันกลับมา ยังไม่ทันพูด เขาก็เดินตามขึ้นมามองนางอย่างล้ำลึก “เจ้ายังโกรธข้าเพราะเรื่องที่ข้าสังหารหลินเซี่ยหรือไม่?”
มู่จิ่วรู้สึกว่าคำถามนี้ไม่เหมาะสม นางพูดอย่างสงบ “ไม่นับได้ว่าโกรธ นี่คือทางเลือกของเจ้า”
แต่ละคนล้วนมีหนทางที่เลือกแล้วของตนเอง มีทางที่เขาตัดสินใจเลือกแล้วต้องเผชิญหน้า เหมือนตัวนางเองด้วย ตอนนั้นนางเลือกอยู่ที่หงชางต่อได้ เลือกไม่ช่วยลู่ยาได้ แต่ในชีวิตนาง การตัดสินใจเลือกแต่ละครั้งนั้นล้วนไม่ผิดต่อคุณธรรมในใจตน นางไม่โทษอะไรไม่สำนึกเสียใจ ทำโดยถามใจตนเองคือหลักการของนาง ไม่สนว่าคนนอกจะมองนางโง่ขนาดไหน
ดังนั้นในสายตานางไม่ว่าใครก็เหมือนกัน เพียงพวกเขาถามใจตนเองแล้วไม่ละอาย แบบนั้นทำไปก็ดีแล้ว ชีวิตคนยากจะหลีกเลี่ยงหนทางไม่เหมาะสมที่พวกเราเลือกมา บางครั้งคนข้างกายก็ไม่มีอำนาจไปโทษอะไร แต่ไม่ว่าจะถูกหรือผิด สุดท้ายหลังจากเลือกแล้วก็ต้องแบกรับผลลัพธ์ด้วยตนเอง
แบกรับไหว นั่นยังคงเป็นชายชาตรี แบกรับไม่ไหว นั่นก็ไม่ต้องโทษฟ้าโทษดิน
เรื่องที่พูดว่านางใส่ใจที่เขาสังหารบิดาของตนเอง ยังมิสู้พูดว่านางกำลังกังวลว่าวันหนึ่งเขาจะเดินทางนี้ไกลออกไปเรื่อยๆ ผลลัพธ์คราวนี้เขาแบกรับไหว แต่ภายหลังทำผิดอีก กลับไม่แน่ว่าจะโชคดีแบบนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ สำหรับเขาแล้วนางมีเพียงความกังวลฉันเพื่อนเท่านั้น ไม่ใช่รังเกียจอื่นใด
เรื่องเหล่านี้ นางคิดได้นานแล้ว
หลินเจี้ยนหรูจ้องมองนางอยู่นาน สุดท้ายก็ละสายตาไป
เขาฉลาดแบบนี้ จะไม่เข้าใจความหมายของนางได้อย่างไร
“ไม่มีอะไรแล้ว กลับเถอะ” เขาตบไหล่นางพลางพูด “เย็นแล้ว บางทีเสี่ยวซิงกำลังรอเจ้ากินข้าวอยู่”
มู่จิ่วยกมุมปาก ลังเลอยู่สักครู่ กลับถาม “การตายของจีหย่งฟางเป็นมาอย่างไร?”
บทที่ 177 ท่านเทพตามใจตนเอง
โดย
Ink Stone_Romance
หลินเจี้ยนหรูนิ่งอึ้งอยู่ใต้ต้นสนที่งอกออกคล้ายเป็นร่ม จนใบไม้ใบหนึ่งกลางอากาศร่วงลงพื้น ถึงได้เปิดปาก “ข้าก็รู้ไม่แน่ชัด”
มู่จิ่วมองเขา มีความผ่อนคลายอย่างที่คาดเดาไว้แล้ว
นางไม่มีทางเชื่อคำอธิบายของเขา เขาสังหารหลินเซี่ย จากนั้นชีวิตของจีหย่งฟางก็สิ้นสุดลง? อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้ประหลาดใจนัก เหมือนกับที่พูดไว้ก่อนหน้า คนที่ทำผิดคนหนึ่ง ไม่ว่าเขาคิดหรือไม่คิดจะทำผิดอีก แต่ความเป็นไปได้ที่จะทำผิดอีกครั้งยังเพิ่มขึ้นหลายเท่า เพราะการเลือกในตอนนั้นของเขาตัดสินทางเดินในภายภาคหน้าแล้ว
เขากลับเปลี่ยนไปเป็นคนแบบนี้
“ในใจเจ้าไม่มีความรู้สึกผิดบ้างหรือ?” นางถาม “เจ้าไม่กลัวข้าเปิดโปงเจ้าหรือไง?”
เขาก็ไม่หลบเลี่ยง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบ “เจ้าไม่มีหลักฐานและเรื่องนี้ก็จบลงแล้ว หากหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ก็เพียงแค่มอบชีวิตอีกสองชีวิตไปเท่านั้น ตอนนั้นแท้จริงใครถูกใครผิด เจ้ายังแยกแยะได้ชัดเจนหรือไม่? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า หากเจ้ายืนกรานสอดมือเข้ายุ่ง แบบนั้นเรื่องดีร้ายในภายหลังเจ้าก็สะบัดไม่หลุดแล้ว”
มู่จิ่วเริ่มมีน้ำโห แต่กลับไม่มีคำพูดตอบโต้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำให้นางโกรธจนไร้คำพูดแบบนี้!
นางไม่คิดจะถามหาความยุติธรรมอะไรให้ใคร เพียงแค่ไม่คิดว่าเขากลับหมุนตัวเดินไปยังหนทางที่บิดเบี้ยวได้ไกลขนาดนี้!
เขาไม่กลัวว่าสุดท้ายแล้วจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นหรือ?!
อย่างไรก็ตาม หลินเจี้ยนหรูไม่ได้พูดอะไรอีก พยักหน้าให้นาง จากนั้นหมุนตัวจากไป
มู่จิ่วกัดฟันจ้องแผ่นหลังเขา ก่อนเขาจะไป นางพลันยื่นมือหยิบเส้นผมที่ติดอยู่บนหลังเขาเก็บเข้าแขนเสื้อไป
ในหน่วยมีคนที่กลับมากินข้าวเยอะ คนมากมายทักทายนาง
นางตอบรับอย่างแกนๆ ไปสองประโยค ก่อนรีบมุ่งหน้ากลับบ้าน
เมื่อถึงประตูเรือน กลิ่นหอมของอาหารที่ทำให้น้ำลายสอลอยเข้าจมูก และกลิ่นหอมของอาหารยังเจือไปด้วยกลิ่นเหล้าดอกหอมหมื่นลี้ เสี่ยวซิงทำอาหารหนึ่งโต๊ะ ทุกจานล้วนเป็นของที่มู่จิ่วชอบกิน แน่นอนว่ามีปลาซงฮวาที่นางสั่งให้ทำไว้เป็นพิเศษ
ดังนั้นทุกคนจึงครึกครื้นเป็นพิเศษ รวมถึงซ่างกวนสุ่นที่ปากร้าย ได้ยินเขาพูดถึงได้รู้ว่าเจ้าคนนี้ใช้ลานด้านหลังเป็นที่ปลูกผัก สองเดือนถัดมา ผักสดผลไม้อะไรกลับไม่ต้องออกไปซื้อแล้ว ลู่ยาเคยสังเกตหุนคุนปลูกผัก จึงไพล่มือไปตรวจสอบผลงานของเขา ผลคือถอนไช้เท้ากลับมาสองหัว ให้เสี่ยวซิงนำไปตุ๋นไว้กินตอนกลางคืนพอดี
ความครึกครื้นบนโต๊ะอาหารลบล้างความกังวลก่อนหน้านี้ในใจมู่จิ่ว นางค่อยๆ ดื่มไปสองแก้ว กินข้าวเสร็จค่อยตามลู่ยาเข้าไปในห้อง
“อันนี้คืนเจ้าก่อน” นางหยิบด้ายแดงบนข้อมือส่งให้เขา
ลู่ยาจ้องด้ายแดงก่อนพูด “ใส่ไว้ดีกว่า ป้องกันตอนไหนข้าหาเจ้าไม่เจอ”
มู่จิ่วยังต้องการปฏิเสธ เขาจึงเปลี่ยนด้ายแดงนั้นเป็นกำไลม่วงทองขนาดพอดีข้อมือนาง
มู่จิ่วทำได้เพียงปล่อยวาง นางนั่งลงใกล้โต๊ะแปดเซียนของเขา เห็นด้านบนมีภาพแปดเหลี่ยมและมีเกล็ดมังกรสองแผ่น เพิ่งรู้ว่าที่แท้เขากำลังครุ่นคิดเรื่องทะเลสาบน้ำแข็ง จึงถามขึ้น “ทายอะไรออกบ้างหรือไม่?”
ลู่ยาเก็บภาพแปดเหลี่ยม ก่อนพูด “อวิ๋นรองเป็นจื่อเยวี่ยจริง นอกจากนั้น อายุขัยของเผ่าหงส์เพลิงแท้จริงถึงจุดจบแล้ว”
มู่จิ่วตกใจ “รุนแรงขนาดนี้เลยหรือ? ทำไมถึงเป็นแบบนี้? พวกเขาทำบาปอะไรมาก่อน?”
ลู่ยาซ่อนมือไว้ในแขนเสื้อ มองต้นกล้วยที่นอกหน้าต่างพลางขมวดคิ้วพูด “ภัยพิบัติเมื่อแสนปีก่อนหน้าเป็นด่านเคราะห์สวรรค์ธรรมดา ตอนนั้นเผ่าหงส์เพลิงรุ่งเรืองเกินไป ทำให้กระทบชีวิตสรรพสัตว์รอบด้าน ดังนั้นต้องได้รับเคราะห์สวรรค์ด่านนี้ แต่ที่ทำให้อายุขัยพวกเขาสิ้นสุดกลับไม่ใช่เพราะเรื่องเมื่อแสนปีก่อน แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอีกเรื่องเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว”
“นั่นคือเรื่องอะไร?” มู่จิ่วฟังถึงตรงนี้ก็อดกังวลไม่ได้
ลู่ยาเอ่ยอย่างครุ่นคิด “อวิ๋นรองได้รับบาดเจ็บ ไม่รู้ใครทำร้าย แต่ทำร้ายถึงรากฐานวิญญาณเขาโดยตรง ดังนั้นหลายปีมานี้ร่างกายเขาเลยยิ่งแย่ทุกที”
เขานำภาพแปดเหลี่ยมสองแผ่นวางกลับลงบนโต๊ะ ขมวดคิ้วน้อยๆ ขณะครุ่นคิด
มู่จิ่วได้ฟังถึงตรงนี้แล้วอดพูดไม่ได้ “ล้วนต้องโทษอ๋าวเชินที่คิดว่าตนฉลาด หากให้กุญแจจันทราหยางแก่พวกเขาไปก็ไม่มีเรื่องแล้วมิใช่หรือ? อย่างมากก็เตือนพวกเขาไว้ล่วงหน้า ให้พวกเขาใช้เสร็จแล้วเอาคืนกลับมา ตอนนี้ดีแล้ว กุญแจนี้ไปอยู่ในมือคนอื่น เขาไม่เพียงสูญเสียของมีค่า แม้แต่ลูกสาวก็เสียไป!”
ลู่ยายกแก้วดื่มชา ไม่พูดอันใด
มู่จิ่วก็คร้านจะพูดต่อ สำคัญคืออ๋าวเชินกับอวิ๋นเฉี่ยนคู่นั้นช่างน่ารังเกียจ นางไม่อยากยุ่งเรื่องนี้
นางหยิบเส้นผมเส้นนั้นออกมาจากแขนเสื้อ เขยิบไปข้างตัวเขา ใช้น้ำเสียงเอาใจพูดด้วย “เจ้าช่วยข้าดูอันนี้หน่อย? ดูว่าสุดท้ายเขามีจุดจบอย่างไร”
ลู่ยาหรี่ตามอง “ของใคร?”
มู่จิ่วกระแอมไอพูด “ของหลินเจี้ยนหรู”
สายตาของลู่ยาเปลี่ยนไปไม่ดีแล้ว “เจ้าไปพบเขาอีก?”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ตั้งใจไปพบ เพียงแค่เจอกันพอดีที่หน่วย” มู่จิ่วร้อนตัวอยู่บ้าง “เจ้าดูเถอะ ข้าแค่ดูบทสรุปสุดท้ายของเขาก็พอแล้ว”
ลู่ยาทำหน้านิ่ง หมุนตัวเดินเข้าไปยังห้องด้านใน
มู่จิ่วตามเข้าไป “เป็นแบบนี้ เรื่องนั้นที่แรกพยับจบลงแล้ว พวกเขาสืบออกมาว่าเป็นจีหย่งฟางสังหารหลินเซี่ย เจ้าคงทายได้ว่าเรื่องเป็นอย่างไร ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรช่วยเขาปกปิด แต่ก็รู้สึกว่าเขาทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตอนนี้เปิดโปงเขาแน่นอนว่ามีแต่ลากคนเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น ดังนั้นข้าเพียงอยากดูว่าสุดท้ายเขาเป็นอย่างไรก็พอแล้ว”
ลู่ยาหยุดอยู่หน้าฉากกั้นลม สีหน้าที่หันมาเล็กน้อยนั้นทะมึนอย่างมาก
นางพูดว่าหลินเจี้ยนหรูสร้างเรื่องให้คนอื่นรับโทษแทน?
สองมือของเขากอดอก หมุนตัวมาพูด “ชะตาชีวิตเต็มไปด้วยตัวแปร ข้าเพียงสามารถดูอดีต ดูอนาคตไม่ได้”
มู่จิ่วรีบกล่าว “สุดท้ายจบดีหรือจบไม่ดี คงดูได้กระมัง?”
“ไม่ได้” ลู่ยาตัดบท
มู่จิ่วร้อนรนพูด “จะเป็นไปได้อย่างไร? เจ้ายิ่งใหญ่ออกขนาดนั้น”
ลู่ยาเดินออกไป “ไม่คิดจะดูก็ทำไม่ได้”
มู่จิ่วสำลักจนหมดจด นิ่งอยู่นาน หาคำพูดมาระเบิดอารมณ์ไม่ได้อย่างแท้จริง จึงทำได้เพียงหมุนตัวเดินออกไป
ลู่ยารอจนนางเดินจนลับสายตาไป ค่อยใช้นิ้วสองนิ้วจับเส้นผมที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาดู จากนั้นรวมพลังวาดยันต์กลางอากาศ เส้นผมนั้นค่อยๆ ปรากฏภาพออกมา
ให้เขาดูบทสรุป คืออยากให้เขาล้มเลิกไม่กำจัดหลินเจี้ยนหรูหรือ?
คิดได้ประเสริฐ!
เขามองอย่างเหม่อลอย แต่เมื่อสายตากวาดไปมองช่วงสุดท้าย แววตาอันดูแคลนและดูถูกกลับค่อยๆ กลายเป็นตกใจ…
พูดถึงมู่จิ่ว ถึงแม้คุยกับทางลู่ยาไม่ราบรื่น แต่นี่กลับไม่ได้กระทบถึงความรู้สึกของนาง
อย่างไรนางก็ไม่ได้คิดไปถามหาความยุติธรรม…นางยังไม่น่าจะถึงกับต้องเมตตาขนาดนั้น? การตายของหลินเซี่ยกับจีหย่งฟางก็มีเหตุผลอยู่ในตัวนานแล้ว ทั้งสองฝั่งล้วนไม่ใช่คนดี สุดท้ายมีกฎธรรมชาติจัดการความยุติธรรม ทำไมนางต้องไหลไปตามน้ำเน่านี้ด้วย อีกอย่าง คำนั้นของหลินเจี้ยนหรูก็พูดไม่ผิด หากนางเข้ามาขวางตรงกลางจริง สุดท้ายคนที่ทำชั่วคนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่ดี
คืนนี้เงียบสงบ
ตอนเช้าตื่นแต่รุ่งสางมาฝึกกระบี่ จากนั้นนางเปลี่ยนเสื้อผ้าไปหน่วยอย่างอารมณ์ดี อาฝูเข้าใจว่านางต้องไปทำงานไกล สี่เท้ากอดขานางไว้ไม่ยอมให้ไป มู่จิ่วพูดอย่างไรเขาก็ไม่ฟัง จึงทำได้เพียงตกลงพาเขาไปที่หน่วยงานด้วย อย่างไรเขาก็เป็นสัตว์เร่ร่อนที่ทัพทหารสวรรค์รับไว้ พาไปไม่ผิดกฎ
บทที่ 178 จิ้งจอกอับจนหนทาง
โดย
Ink Stone_Romance
ความจริงยืนยันได้ว่า อาการเกาะติดหนึบของเสือตัวหนึ่งไม่แพ้ตังเมเลย เพราะหลายวันต่อมาล้วนเป็นแบบนี้
ตอนกลางวันมู่จิ่วทำงานอยู่ในหน่วย อาฝูซ่อนตัวอยู่ที่เงาของกำแพงในลาน ทุกครั้งมีคนเดินผ่านเขาจะกระโดดออกมาทำให้ตกใจกลัว คนที่ขี้กลัวถูกเขาทำให้ตื่นตกใจจนถอยออกไปนอกประตูใหญ่ คนที่กล้าหน่อยก็ตกใจจนสะอึก ทำให้มู่จิ่วสงสัยอย่างมากว่าเขาคงเล่นอยู่บ้านจนเบื่อแล้ว จึงจงใจตามนางมาเปลี่ยนสถานที่ปลดปล่อย
กลับมาหลายวันนี้ มีแขกมาเยี่ยมที่บ้านอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้อิ่นเสวี่ยรั่วเข้ากันได้อย่างดีกับเพื่อนบ้านที่มาทีหลัง จึงยกความดีความชอบให้ลู่ยาและมู่จิ่ว มีเรื่องหรือไม่มีก็มักมาเยี่ยมเยือนเสมอ
ในหน่วยงาน เฉินอิง หูเหยียน และคนอื่นที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็มักจะมากินข้าวด้วย ตอนแรกมู่จิ่วยังกลัวว่าลู่ยาจะไม่ชอบ ไหนเลยจะรู้ว่าเขาคนนี้ยังชำนาญการเล่นทายนิ้ว (เป่ายิ้งฉุบ) กับพวกเขามากกว่านางอีก และยังดื่มพันจอกโดยไม่เมาอย่างแท้จริง ทำเอาภายหลังพวกเฉินอิงมากินข้าวอีกคือกินข้าวเท่านั้น จะเอ่ยถึงเรื่องดื่มเหล้าน้อยมาก
มู่จิ่ววางใจแล้ว ผ่านความหดหู่ในวังมังกรมาสองเดือน เทียบกับเมื่อก่อนแล้วนางยิ่งทะนุถนอมมิตรไมตรีนี้มากขึ้นไปอีก ดังนั้นจึงมองซ่างกวนสุ่นดีขึ้น ถึงเขาปากร้ายก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรเขาแล้ว
และคืนนั้นที่ลู่ยากลับมา เขาส่งข่าวให้ราชาจิ้งจอก ถึงแม้เขาไม่รีบกลับไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้เจ้าเด็กนี่ทำเหมือนเขาเป็นคนโง่ได้ง่ายๆ กิจยังทำไม่สำเร็จกลับยังกล้าเอ่ยให้เขารับจิ้งจอกน้อยเป็นศิษย์ก่อน คิดว่าหลายปีนี้คงอยู่ที่ชิงชิวอย่างสบายเกินไปเลยอยากหาเรื่องใส่ตัว
แต่ส่งข่าวออกไปแล้วไม่ได้รับการตอบกลับทันที ลู่ยาครุ่นคิด เป็นไปได้ว่าจิ้งจอกกำลังหาวิธีปลีกตัวออกมา เพราะตอนนี้ไม่รีบร้อน
วันนี้เขาอาบแดดอยู่ในสวนดอกไม้ กระดิ่งที่แขวนอยู่ตรงหน้าต่างพลันส่งเสียงกริ๊งกริ๊ง เขายังไม่ทันยืนขึ้น ลมกลุ่มหนึ่งพลันพัดจากบนฟ้าลงมาสู่พื้น จากนั้นสิ่งของหนักๆ ก้อนหนึ่งตกลงมากลางวงล้อมดอกไม้ด้านหน้าเขา เขาหรี่ตาจ้องมองอยู่นาน จึงค่อยเอนกายชิดไปทางเก้าอี้เอน
“สิบสามเข้าพบท่านซือจู่” คนบนพื้นหอบหายใจ ค้อมเอวทำความเคารพอย่างน่าอดสู
มู่เสี่ยวซิงกับซ่างกวนสุ่นที่กำลังตากผักดองอยู่ในสวนดอกไม้ได้ยินการเคลื่อนไหวก็พุ่งเข้ามา เพียงเห็นคนบนพื้นสภาพเป็นแบบนี้ แม้แต่คางก็เกือบร่วงลงไปแล้ว!
คนนี้ใคร? ราชาจิ้งจอกไงเล่า!
แต่พวกเขาไม่กล้ายืนยันเลย!
เมื่อก่อนราชาจิ้งจอกเหมือนกล่องของมีค่าเคลื่อนที่ เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่เขาตรงหน้านี้เป็นอย่างไร?
ผ้าคลุมอย่างดีมีรอยฉีกขาดหนึ่ง เป็นรูอีกหนึ่ง ของมีค่าต่างๆ แม้ยังมีอยู่ แต่แหวนใหญ่บนมือเต็มไปด้วยดินโคลน หยกประดับข้างเอวแตกจนเหลือครึ่งซีก แต่ที่สะดุดตาที่สุดคือผม แต่ก่อนหวีจนแม้แต่ยุงยังต้องใช้ไม้เท้า แต่ตอนนี้ผมยุ่งเหยิงหน้ามอมแมม ที่จริงไม่ต่างจากขอทานเลย
“ราชาจิ้งจอก เกิดอะไรขึ้น? หรือชิงชิวถูกปล้น?!”
มู่เสี่ยวซิงปากไว หนึ่งวินาทีก่อนยังอึ้งอยู่ วินาทีถัดมาก็หลุดปากถามเขาแล้ว
แต่เดิมราชาจิ้งจอกก็กลุ้มใจอยู่มาก ได้ยินคำพูดนี้จึงถลึงตาขึ้นมาทันที “แม่เด็กนี่พูดมากอะไร?! เชื่อหรือไม่ต่อไปข้าจะจับเจ้าทำกระต่ายย่าง!?”
เสือหมาป่าจิ้งจอกล้วนเป็นศัตรูตามธรรมชาติของกระต่าย เสี่ยวซิงได้ยินก็รีบกุมหัวกระโดดออกไป
ซ่างกวนสุ่นตามออกไปเช่นกัน
ลู่ยาเอนตัวงอขาโบกพัดอยู่บนเก้าอี้ “ไม่เจอกันปีกว่า ราชาจิ้งจอกยิ่งมีพัฒนาการ ไม่เพียงกล้าเล่นเล่ห์เหลี่ยมกับข้า แม้แต่คนข้างตัวข้ายังรังแกอย่างหนัก ความสามารถเจ้าแบบนี้ ข้าควรจะกลิ้งกลับวังชิงเสวียนของข้าไปดีหรือไม่?”
สีหน้าราชาจิ้งจอกเปลี่ยนในหนึ่งวินาที ทำหน้าเศร้าสร้อยน้ำตาตกต่อหน้าเขา “ท่านช่างทำร้ายสิบสามนัก! ท่านไม่รู้ว่าช่วงนี้สิบสามใช้ชีวิตอย่างไร อยู่ที่วังจิตกระจ่างครึ่งเดือนนี้ ข้านอนหลับไม่สนิท กินไม่อิ่ม แม้แต่กินน้ำเปล่ายังติดฟัน ข้าช่างโชคร้ายยิ่งนัก…”
“พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย! กระดิ่งล่ะ?!” ลู่ยาทำหน้านิ่งขรึม ทุกครั้งล้วนเป็นแบบนี้ ถึงจะแสดงละครก็ใช้วิธีใหม่หน่อยได้หรือไม่!
ราชาจิ้งจอกเงียบไป ก่อนพูด “เอามาไม่ได้…”
“ไสหัวไป!” ลู่ยาถลึงตาใส่
“ท่านซือจู่…”
ลู่ยายกแขนขึ้น ราชาจิ้งจอกรีบเข้าไป “ท่านฟังข้าพูดก่อน! ไม่ใช่ข้าไม่เอามันมา แต่เดิมวันนั้นข้านำมาได้แล้ว แต่ตอนที่นำกระดิ่งมา ทันใดนั้นข้าก็พบเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง!”
ลู่ยาเก็บพัดเคาะหน้าผากเขา “เจ้าต้องแต่งเรื่องให้เข้าท่ากว่านี้หน่อย!”
ราชาจิ้งจอกปาดเหงื่อบนหน้าผาก ปรับลมหายใจพูด “เป็นแบบนี้ เพื่อให้กลับไปสวรรค์ชั้นสามสิบเก้าสำเร็จ ข้าไปต่อสู้กับราชานกปี้ฟางที่เกาะเผิงไหลก่อน จากนั้นได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จึงอาศัยโอกาสนี้เข้าวังหนี่ว์วาไปร้องไห้กับท่านปู่ซือจู่ของพวกเรา (หงจวินเหลาจู่) พร้อมทั้งรักษาบาดแผลและพูดคุยเรียนรู้วิชาสงครามกับท่านต่อ”
“ท่านปู่รอง (หุนคุนจู่ซือ) รู้ว่าหลังจากข้าเจอกระดิ่งหุนหยวนต้องเจอโชคร้ายอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่สงสัยข้า ข้าอยู่ที่ที่พักของเหนียงเหนียงสองวันก็ไปวังจิตกระจ่าง ข้าใช้เวลาสองวันสืบหาที่อยู่ของกระดิ่งได้ และอาศัยตอนที่ท่านปู่รองไปสวนผักนำกระดิ่งมา ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งเข้าวังจิตกระจ่างไป ข้าเจอกับกลุ่มควันเขียว!”
“หมายความว่าอะไร?”
ลู่ยาเหลือบมองเขา สายตาเย็นชา หากเจ้านี่กล้าเล่นตุกติกกับเขา เขาจะรีบตีกลับเข้าท้องแม่ไป!
ราชาจิ้งจอกรีบพูด “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลุ่มควันเขียวนั้นมาอย่างแปลกประหลาด ข้าเดินไปที่ไหนมันก็เดินตามข้าไปที่นั่น ไล่ยังไม่ไป ข้าเข้าใจว่าเป็นพลังหยั่งรู้ของปีศาจเฝ้าวัง แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดกลับไม่ใช่ เพื่อความรอบคอบ ข้าจึงไปถามตี้เจียง[1]ที่เฝ้ายามอยู่”
“ตี้เจียงกลับพูดว่าข้าตาฝ้าฟางแล้ว เขาอยู่ที่วังจิตกระจ่างมาหลายแสนปี แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครเปลี่ยนร่างซ่อนร่างใต้สายตาของท่านปู่รองได้ ข้าก็เข้าใจไปจริงว่าข้าตาฝ้าฟางแล้ว ดังนั้นสามวันก่อนหน้าข้าจึงไปอีกรอบ ผลคือกลุ่มควันเขียวนั้นยังปรากฏ ยังคงติดตามข้าอย่างเงียบเชียบ ที่สำคัญคือข้าไปถามท่านปู่ของข้า แม้แต่เขาก็ไม่รู้! ท่านว่าแปลกหรือไม่?”
พูดถึงตอนท้ายเขายังทุบฝ่ามือ มีท่าทางครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
ลู่ยาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ในเมื่อล้วนไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้หลอกข้า?”
ราชาจิ้งจอกรีบจนยื่นศีรษะและมือเข้ามา “หากท่านต้องการตรวจสอบผมหรือตรวจสอบเลือด แล้วแต่ท่านเลือกเลย! หากสิบสามโกหกแม้แต่ครึ่งคำ ก็ให้โชคร้ายของกระดิ่งหุนหยวนโอบล้อมข้าไปตลอดชีวิตจนหาทางหนีไม่ได้!”
ลู่ยาใช้สายตาเย็นชามองอยู่ครู่หนึ่ง ดึงปิ่นปักผมบนศีรษะออกมาทิ่มลงไปที่นิ้วเขาโดยพลัน คล้อยหลังเสียงตกใจของราชาจิ้งจอก นิ้วที่ถูกดูแลมาเหมือนกับแม่นางน้อยมีเลือดผุดขึ้นมาหยดหนึ่ง
ครั้งนี้แม้แต่ถาดน้ำก็ไม่ได้ยกมา นำหยดเลือดลงไปในอ่างอาบน้ำของอาฝูทันที ข้างในปรากฏภาพวังจิตกระจ่างที่เขาไม่ได้เห็นมานาน
ในภาพนั้น ราชาจิ้งจอกย่องมือย่องเท้าเลียบตามกำแพงเข้าไปวังหลัง และห่างจากหัวเขาไม่ไกล มีกลุ่มควันเขียวบางๆ ปรากฏขึ้นมา ควันเขียวนี้คอยตามติด พลังบำเพ็ญไม่สูงพอ ยากนักที่จะสังเกตเห็น….
……………………………………………………………
[1] ตี้เจียง คือวิหคเทพในตำนานที่รู้จักร้องและเต้นระบำ มีหกขา ทว่าไม่มีทั้งหู ตา จมูก และปาก
บทที่ 179 เอื้อเฟื้อเกินไป
โดย
Ink Stone_Romance
“มันตามเจ้านานเท่าไหร่?” ลู่ยาถาม
ราชาจิ้งจอกรีบพูด “ตั้งแต่ข้าเหยียบเข้าไปที่วังมันก็ปรากฏออกมาแล้ว!”
มือทั้งสองของลู่ยาจับอ่างอาบน้ำไว้ จากนั้นมองอีก
ควันเขียวในภาพเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เคลื่อนไหวไม่หยุด แต่หากดูดีๆ การที่พูดว่ามันตามราชาจิ้งจอก กลับมิสู้บอกว่าตั้งแต่ต้นจนจบมันเพียงลอยไม่หยุดอยู่ที่มุมหนึ่งในวัง
“มันไม่ได้ตามเจ้ามา” ลู่ยาพูด ด้านหนึ่งของวัง หุนคุนใช้วางของวิเศษ เพราะสวรรค์ชั้นสามสิบเก้ายังคงเป็นพวกเขาสี่พี่น้องรับผิดชอบ ตามปกติไม่มีคนนอกเข้ามา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้วางคนอารักขาไว้เข้มงวดมากนัก
ในวังรอบด้านล้วนเป็นชั้นวางโลหะสำริด ของวิเศษใหญ่เล็กที่วางไว้เกรงว่าจะมีหลายร้อยชิ้น แต่เฉพาะมุมตะวันตกเฉียงใต้เท่านั้นที่มีกระถางทองแดงชิ้นหนึ่ง บนกระถางหล่อลวดลายโบราณไว้ ยังมีตัวอักษรด้วยบางส่วน รูปแบบของกระถางนี้ไม่ซับซ้อน กลับกันตัวอักษรด้านบนดึงดูดสายตานัก
“ปีนั้นตอนที่สกุลเซวียนหยวน[1]และเผ่าจิ่วหลี[2]ทำสงครามกัน ภายหลังสกุลเซวียนหยวนใช้กระถางทองแดงนี้ใส่กะโหลกของชือโหยว และเกราะของชือโหยวเป็นสีเขียว”
เขาจับจ้องตัวอักษรบนกระถางทองแดงขณะพูด
ราชาจิ้งจอกนิ่งอึ้ง “ความหมายของท่านคือกลุ่มควันเขียวนั้นคือชือโหยว?”
“ไม่ใช่” ลู่ยายืดตัวขึ้น “เขาควรกลับไปเวียนว่ายตายเกิดนานแล้ว หากกลุ่มควันเขียวนั้นเป็นจิตต้นกำเนิดของเขา เขาไม่ควรปรากฏตัวในวังจิตกระจ่าง ถึงแม้ไม่เคยกลับไปเวียนว่ายตายเกิด จิตต้นกำเนิดของเขาเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณร้าย ไม่สามารถเข้ามาในวังจิตกระจ่างที่มีพลังวิญญาณแดนเทพเข้มข้นได้ แต่ในเมื่อมันลอยวนอยู่บนกระถางทองแดงนั่นตลอด ก็พูดได้ยากว่าไม่เกี่ยวกับเขา”
ราชาจิ้งจอกรู้สึกว่าเขาพูดไร้สาระ จึงไม่พูดอะไร
“ราชาจิ้งจอกมาแล้ว? อยู่ไหนล่ะ?”
ตอนนี้เอง ด้านนอกมีเสียงของเด็กสาวที่ทั้งคุ้นหูและกระจ่างใส ราชาจิ้งจอกยืนตรง เห็นที่มุมประตูมีหนึ่งคนหนึ่งเสือเดินเข้ามา คนนั้นงามแบบเรียบๆ จนไม่รู้จะพูดอย่างไร เสือก็อ้วนจนไม่เข้าที ราชาจิ้งจอกมีสายตากว้างไกล เห็นสถานการณ์แล้วรีบยกยิ้มกว้างจนปากฉีก “แม่นางกลับมาแล้ว?”
มู่จิ่วพาอาฝูมาถึงด้านหน้าพวกเขา มองลู่ยาจากนั้นมองเขา ก่อนพูด “ราชาจิ้งจอก ท่านเป็นอะไรไปแล้ว?” แล้วจึงหันหน้า “เสี่ยวซิงทำไมไม่เอาน้ำมาให้ราชาจิ้งจอกล้างสักหน่อย?”
เสี่ยวซิงจะหมุนตัว ลู่ยาพูด “ล้างอะไร ตักน้ำไม่ต้องออกแรงหรือ?”
มู่จิ่วค้อนเขา ส่งสัญญาณให้เสี่ยวซิงไป และให้ซ่างกวนสุ่นไปยกชามา ก่อนเอ่ยกับราชาจิ้งจอก “ด้านหลังมีน้ำร้อน มิสู้ท่านไปจัดการให้เรียบร้อยก่อน?”
ราชาจิ้งจอกเกือบประทับใจจนขอบตาร้อนผ่าว เด็กสาวคนนี้รู้จักเห็นใจคนดังคาด เจอกับคนระยำตรงหน้า วันนี้เขาอย่าคิดว่าจะเจอเรื่องดีอะไรเลย! เมื่อตื้นตันจึงมอบมุกสองเม็ดขนาดเท่ากำปั้นส่งให้นาง “มากะทันหัน ได้โปรดอย่ารังเกียจ” พร้อมทั้งถอดประคำบนข้อมือสวมให้อุ้งเท้าอาฝู
มู่จิ่วเพียงแค่รับรองแขกเบื้องต้นเท่านั้น เขาทำแบบนี้ทำให้นางรู้สึกไม่ดีเล็กน้อย
แต่เมื่อคิดว่าเขาเป็นราชาของอาณาจักรอันสูงส่งแห่งหนึ่ง มุกสองเม็ดแน่นอนว่าไม่ใช่นำออกมาอย่างไม่จริงใจเพื่อไมตรี ดังนั้นจึงรับมาอย่างไม่อ้อมค้อม
ส่วนการมาเยือนของราชาจิ้งจอก มู่จิ่วไม่คิดจะสอบถามมาก ถึงแม้ลู่ยาไม่ได้บอกนางอย่างเป็นทางการ แต่นางก็เดาออก พวกเขาทั้งสองแปลกประหลาดขนาดนั้นต้องมีเรื่องแน่ โลกของมหาเทพทั้งหลายนางไม่เข้าใจ สนใจเรื่องของตัวเองก็พอแล้ว
ราชาจิ้งจอกย่อมต้องอยู่กินข้าวเย็น มู่จิ่วกับเสี่ยวซิงและซ่างกวนสุ่นยินดีต้อนรับ มีเพียงลู่ยาที่ทำหน้าตึงเล็กน้อย เสี่ยวซิงรู้ฐานะของลู่ยาจากปากของซ่างกวนสุ่นนานแล้ว สำหรับเรื่องเหล่านี้นางจึงไม่แปลกใจ
มู่จิ่วส่งสายตาให้ลู่ยาว่าอย่าทำตัวแบบนี้เสียหลายครั้ง มากที่สุดเขาจึงฝืนยิ้มแต่เปลือกเหลือบมองราชาจิ้งจอก ทำให้จิ้งจอกเฒ่ารู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด หลังกินข้าวแยกย้ายกันไป เขาก็ตามมู่จิ่วไปห้องนางเงียบๆ
“ช่วงนี้แม่นางยังคงสบายดี?”
จิ้งจอกเฒ่าที่ทำความสะอาดเนื้อตัวเรียบร้อยแล้ว ดูไปก็เปล่งประกาย แต่ท่าทางยิ้มตาหยีของเขากลับทำให้คิดไปถึงพังพอนอวยพรปีใหม่ไก่ ที่จริงตอนนี้ถึงแม้เขาจะเป็นแขกที่บ้าน แต่ตอนที่ไปชิงชิวนางได้รับความลำบากจากน้ำมือจิ้งจอกเฒ่านี่ไม่น้อย!
มู่จิ่วกวาดตามองเขาอย่างระแวดระวัง ยิ้มพูด “ช่วงนี้ยังดี เพียงก่อนหน้านี้ลำบากอยู่ที่ทะเลสาบน้ำแข็งราวสองเดือน”
ช่วงปีกว่านี้ราชาจิ้งจอกอยู่ที่วังชั้นสามสิบเก้า ไหนเลยจะรู้เรื่องนาง แค่ก่อนหน้านี้บนโต๊ะอาหารได้ยินเสี่ยวซิงหลุดปากออกมาไม่กี่ประโยค จึงหัวเราะตอบกลับไป “อ๋าวเชินไม่ใช่คนดี แม่นางทั้งฉลาดและกล้าหาญ ความสำเร็จภายหน้าย่อมอยู่เหนือคนอื่น ถึงแม้ลำบากกว่านี้ ก็ต้องสามารถปัดเป่าอันตรายไปได้”
มู่จิ่วยิ้มทว่าไม่พูด
เขายกชามา เม้มริมฝีปาก พลันหยิบหินห้าสีออกมาจากในอกเสื้อ “เผ่ามังกรเป็นสายธาตุน้ำ ลูกโลหิตมังกรไฟของแม่นางคืนอ๋าวเชินไปแล้ว หินนี้เป็นหินที่เทพจู้หรง (เทพแห่งไฟ) ใช้หลอมอาวุธ ช่วยเรื่องอบอุ่นร่างกายเช่นกัน หากแม่นางไม่รังเกียจโปรดให้รับไว้เถิด”
หินสวยงามละเอียดอ่อน และมีธาตุไฟไหลวนอยู่รางๆ มู่จิ่วจ้องมันมองอยู่สักครู่กลับสับสน ถึงแม้ชิงชิวของเขาร่ำรวยอย่างมาก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมอบของให้นางไม่หยุด? ไม่มีเรื่องอะไรก็แสดงความเอื้อเฟื้อ บนโลกนี้ไม่มีของได้เปล่าเสียหน่อย…
นางมองเขาอย่างระแวดระวังอีกครั้ง “ราชาจิ้งจอกหรือมีเรื่องจะขอร้องข้า?”
หูจวินดื่มชาผงกศีรษะ ไม่รู้ว่าพอใจความเข้มของชาหรือพอใจที่มู่จิ่วรู้เรื่อง เขาหยิบของออกมาจากในแขนเสื้อ วางบนโต๊ะก่อนพูด “ไม่รู้ว่าแม่นางชอบมันหรือไม่?”
มู่จิ่วพลันรู้สึกด้านหน้าพร่าเลือน บนโต๊ะมีลูกขนขนาดเท่าฝ่ามือเพิ่มมา ครั้นมองไปอีกครั้ง ลูกขนนี้กลับกระโดดขึ้น ด้านหลังปล่อยหางเก้าหางอ่อนนุ่มบางเบาเหมือนกับผ้าต่วนทอง เป็นจิ้งจอกน้อยขนาดเล็กสีทองส่องสว่าง! ดวงตาทั้งสองของจิ้งจอกน้อยกระจ่างเหมือนน้ำใสและดวงดาว ท่าทางที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพลางมองนางช่างน่ารักยิ่งนัก!
นี่…นี่เป็นมู่หรงรุ่ยเจี๋ยจิ้งจอกน้อยที่ลู่ยาช่วยกลับมาตอนนั้น!
นอกจากขนาดที่ไม่เหมือนแล้ว นอกนั้นกลับเหมือนกันหมด!
“นี่คือ…” มู่จิ่วไม่เข้าใจ ตามที่นางรู้ ในชิงชิวทั้งหมดมีเพียงมู่หรงรุ่ยเจี๋ยที่เป็นจิ้งจอกทอง แต่เจ้าตัวนี้เล็กกว่าจิ้งจอกน้อยนั้นมาก หรือเร็วขนาดนี้ราชาจิ้งจอกก็ได้ให้กำเนิดน้องชายของจิ้งจอกน้อยแล้ว?
“นี่แปลงมาจากพลังหยั่งรู้ของรุ่ยเจี๋ย แม่นางดูซิว่ารูปร่างแบบนี้ของเจ้าสี่น้อยบ้านเราดีหรือไม่?”
ราชาจิ้งจอกรีบอธิบาย เห็นนางไม่ละสายตาไปจากจิ้งจอกน้อย จึงอุ้มเขาขึ้นมาวางในมือนาง “สี่น้อยของบ้านเราทั้งว่าง่ายและจิตใจดี คราวก่อนอยู่กับแม่นางครึ่งวัน ภายหลังเอ่ยถึงพี่สาวกัวว่าอ่อนโยน อัธยาศัยดี หน้าตายังงดงามยิ่ง เขาชอบแม่นางมาก จะลองอุ้มดูหรือไม่?”
ท่าทางแบบนี้ของจิ้งจอกน้อย ไหนเลยจะเพียงแค่ตอบว่า ‘ได้เลย’ เท่านั้น?
วันนั้นมู่จิ่วฟื้นขึ้นมาในวังจิ้งจอก เพียงแค่เห็นเขาที่หมอบอยู่บนเตียงก็ชอบแล้ว ตอนนี้จิ้งจอกเฒ่าพูดแบบนี้ นางจะต้านทานได้อย่างไร รีบอุ้มเขาขึ้นมา จิ้งจอกน้อยหมอบอยู่บนแขนนางอย่างเชื่องๆ และยื่นลิ้นออกมาเลียมือนางบ่อยครั้ง ความรู้สึกนั้นช่างทำให้คนอาลัยไม่อยากวาง
…………………………………………………………………
[1] สกุลเซวียนหยวน ใช้เรียกลูกหลานของจักรพรรดิเหลืองผู้เป็นหนึ่งใน 3 จักรพรรดิ 5 กษัตริย์ตามตำนานจีน เดิมเป็นอีกชื่อเรียกหนึ่งของจักรพรรดิเหลือง
[2] เผ่าจิ่วหลี คือชนเผ่าเรืองอำนาจสมัยโบราณที่ประกอบด้วย 9 เผ่าย่อย มีผู้นำคือ ชือโหยว
บทที่ 180 มีเรื่องก็ช่วยเหลือกัน
โดย
Ink Stone_Romance
แต่อุ้มไปครู่หนึ่ง มือนางพลันหยุดอยู่บนหัวจิ้งจอกน้อย จ้องราชาจิ้งจอกอย่างระแวดระวังเป็นครั้งที่สาม “เจ้ามีเป้าหมายอะไร?”
มีพ่อที่ไม่มีเรื่องอะไรก็นำลูกชายตัวเองออกมาให้คนอื่นเล่นเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างนี้ด้วยหรือ?
จิ้งจอกเฒ่านี่ต้องมีแผน!
“แม่นางรู้ว่าข้าเป็นเพียงสุนัขรับใช้ตัวหนึ่งของท่านเทพเท่านั้น ข้าจะวางแผนร้ายกับแม่นางได้อย่างไร?”
ราชาจิ้งจอกได้ยินก็รีบพูด
มู่จิ่วคิดไปคิดมา เขาไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้จริงๆ แต่ท่าทางของเขายังน่าสงสัย! จึงพูด “เจ้าทุ่มเททำให้ข้าพอใจขนาดนี้ไปทำไม?”
ราชาจิ้งจอกตอบ “ไม่มีอะไรจริงๆ!”
มู่จิ่วไม่ได้เร่งเขา ส่งจิ้งจอกน้อยกลับไป
ราชาจิ้งจอกเห็นท่าทางแล้วจึงรับกลับมา “มีเรื่องเล็กน้อย…เรื่องเป็นแบบนี้ ข้าอยากขอให้แม่นางช่วยพูดให้ท่านเทพผู้นั้นรับสี่น้อยของเราเป็นลูกศิษย์ด้วย”
รับศิษย์? มู่จิ่วนิ่งอึ้ง เรื่องรับศิษย์นี้ทำไมถึงมาตกอยู่กับนางได้?
นางบีบหูจิ้งจอกน้อย พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องนี้ข้าทำไม่ได้ ความสัมพันธ์ของข้ากับเขายังไม่ใกล้ชิดเหมือนกับเจ้า ข้า จะอาศัยอะไรไปพูดโน้มน้าว?”
เขามองนางดีเกินไปหรือไม่? หลายปีขนาดนี้ลู่ยาไม่เคยรับศิษย์เลยสักคน ตอนนี้นางจะสามารถโน้มน้าวเขาให้รับศิษย์ได้หรือ?
ช่างน่าหัวร่อเสียจริง
“คำพูดนี้ของแม่นางห่างเหินเกินไปแล้ว” ราชาจิ้งจอกพูด “ถึงแม้ข้ารู้จักท่านเทพมานานกว่า แต่ไม่ได้กุมใจเขาไว้เหมือนแม่นาง! ความสัมพันธ์ระหว่างคน ต้องพูดเรื่องวาสนาใช่หรือไม่? ท่านดูท่าทางข้าเป็นแบบนี้ แม้แต่พูดเขายังไม่อยากพูดด้วยเลย หากข้าเอ่ยเรื่องนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสนใจข้าไม่ใช่หรือ?”
มู่จิ่วส่งเสียงขึ้นจมูกก่อนมองเขา “ทำไมเจ้าถึงกล้าให้ข้าไปพูดล่ะ? เจ้าอาศัยอะไรคิดว่าข้าเอ่ยเรื่องนี้แล้วเขาจะรับปาก?”
“สำเร็จไม่สำเร็จ ท่านไปลองดูก็รู้แล้วมิใช่หรือ?” ราชาจิ้งจอกยื่นมือไปลูบขนจิ้งจอกน้อย “ท่านดูสิ ขนสีทองของสี่น้อยของพวกเราหายากขนาดไหน บรรพบุรุษของพวกเราบอกว่าในหลายรุ่นถึงจะมีเช่นนี้ออกมาตัวหนึ่ง เขาว่าง่ายขนาดนี้ ต่อไปต้องเข้ากันได้ดีกับเสือขาวนกต้าเผิงแน่ ต่อไปหากเขาเรียนรู้ความสามารถแล้ว ภายหลังก็เป็นผู้ช่วยของท่านไม่ใช่หรือ?”
มู่จิ่วมองจิ้งจอกน้อยก็หวั่นไหวอยู่บ้าง แต่คำพูดนี้ของเขาทำไมฟังแล้วมั่วซั่วขนาดนั้น?
ลู่ยารับศิษย์กับเป็นผู้ช่วยของนางเกี่ยวอะไรกัน?
สมองของเจ้าคนนี้คงล้มฟาดเสียหายไปแล้วกระมัง?
นางพูด “ในเมื่อเจ้าบอกแล้วว่าเขาไม่รับปาก ข้ายิ่งไม่มีความจำเป็นต้องพูด ทำไมข้าต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วย?”
ถึงแม้นางจะชอบจิ้งจอกน้อยมาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางต้องบังคับลู่ยาให้ทำเรื่องที่เขาไม่อยากทำนี่?! หลายปีขนาดนี้เขาไม่รับศิษย์ ไม่แน่ว่าอาจมีเหตุผลยากจะพูดซ่อนอยู่?
“ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่รับ…” ราชาจิ้งจอกก็คิดไม่ถึงว่านางจะหนักแน่นขนาดนี้ จึงได้แต่เปลี่ยนแผนการ “ที่จริงเขาไม่ได้ไม่รับปาก เจ้ายังจำตอนที่พวกเจ้าออกจากชิงชิวแล้วข้าลากเขาเข้าไปพูดคุยได้หรือไม่? ครั้งนั้นก็เพื่อพูดคุยเรื่องนี้ แต่คนต่ำ…ท่านเทพมีเงื่อนไข เขาให้ข้าไปทำธุระแทนเรื่องหนึ่ง ทำสำเร็จถึงยินยอมรับศิษย์”
“ตอนนั้นข้าไม่คิดว่าเรื่องนี้จะยากขนาดนี้ จึงตอบรับไปอย่างส่งเดช ไหนเลยจะรู้ว่าผลคือ…อา ถึงแม้สี่น้อยของพวกเราตอนนี้อยู่อย่างสงบสุข แต่เขาไม่มีประสบการณ์แม้แต่น้อย ข้าอยากหาอาจารย์ที่ดีให้เขาเร็วหน่อย หากแม่นางช่วยเป็นธุระแทนข้าสำเร็จ ก็นับเป็นผู้มีพระคุณของข้ามู่หรงเสี่ยนแล้ว!”
มู่จิ่วมองเขาพูดจนน้ำลายแตกฟอง แล้วจึงถามต่อ “เขาให้เจ้าทำอะไร?”
ราชาจิ้งจอกนิ่งอึ้งก่อนพูด “เรื่องส่วนตัวเล็กน้อย”
มู่จิ่วกวาดมองเขาอย่างสงสัย ถามอีกว่า “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าจะทำได้?”
“เพราะสิ่งนี้!” ราชาจิ้งจอกชี้กำไลม่วงทองบนข้อมือนาง “กำไลนี้เปลี่ยนมาจากพลังเสวียนหมิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าใช้พลังบริสุทธิ์ทำกำไลเช่นนี้ต้องเสียพลังบำเพ็ญไปกี่ปี? ถึงแม้สิบชาติของเจ้าก็ทำไม่ได้ แต่เขากลับทำกำไลนี้ให้เจ้า เรื่องแบบนี้ไม่เคยมีมาก่อน แม่นางนับเป็นคนเดียวเท่านั้น”
“เขาสามารถปฏิบัติต่อแม่นางแบบนี้ มีหรือจะไม่สนใจความต้องการของแม่นาง? ข้าอาบน้ำร้อนมาก่อน เข้าใจความในใจเขาอย่างมาก!”
มู่จิ่วประคองกำไล หน้าแดงจนกลายเป็นลูกพุทราใหญ่ในถาดแล้ว
นางถลึงตาใส่เขา จากนั้นหมุนตัวไป
ราชาจิ้งจอกกลับไม่พูดมาก เพียงโน้มน้าวอีกสักประโยค “ถึงแม้ไม่พูดเรื่องนี้ เพียงพูดในหมู่เทพสี่ท่าน มีเขาคนเดียวที่ไม่มีแม้แต่ศิษย์ข้างกาย หรือแม่นางทนให้พลังบำเพ็ญยิ่งใหญ่ขนาดนี้ของเขาไร้การสืบทอดได้? แค่ทำเหมือนใส่ใจดูแลเขา แม่นางช่วยพูดแทนข้าหน่อย ก็ไม่มีอะไรเสียหายมิใช่หรือ?”
มู่จิ่วฟังเขาพูดจนใจสั่นไหว
เดิมทีช่วงนี้นางก็ไม่สบายใจเรื่องนี้ของลู่ยา เขาพูดแบบนี้ ความรู้สึกผิดของนางเพิ่มขึ้นมาทันที
ลู่ยาอายุหลายแสนปีแล้ว เทียบกับจิ้งจอกเฒ่าตรงหน้าแล้วยังแก่กว่ามาก นี่หาก…หากอนาคตไม่ได้แต่งงาน เวลาที่เหลืออยู่จะโดดเดี่ยวขนาดไหน? ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น เพียงพูดว่านางได้ประโยชน์จากเขามาก ก็ควรช่วยเขาคิดสักหน่อย หากต่อไปนางสิ้นอายุขัย ก็เรียกว่าตายตาหลับแล้วมิใช่หรือ?
ช่างเถอะ ไปถามหน่อยก็ไม่เสียประโยชน์
นางยื่นมือไปลูบจิ้งจอกน้อยก่อนพูด “เรื่องนี้ข้าต้องครุ่นคิด เจ้ากลับไปรอข่าวเถิด”
ราชาจิ้งจอกยืดตัวขึ้นทันที “ข้าจะรอฟังข่าวดีจากแม่นางอย่างสงบ”
พูดจบก็เดินออกไปอย่างว่าง่าย
ทางมู่จิ่วนั่งลูบกำไลอยู่สักครู่ รู้สึกเพียงว่าภาพที่เคลื่อนอยู่เบื้องหน้าล้วนเป็นอิริยาบถต่างๆ ของลู่ยา ตั้งแต่เขาที่ง่ายๆ สบายๆ เขาที่พูดราวกับน้ำไหล เขาที่มีใบหน้าอับจนหนทางอยู่ริมบึงน้ำเย็นบนเกาะเป๋ยอี๋ เขาที่ไปเผชิญอันตรายกับนางที่ชิงชิว ยังมีเขาที่บุกวังมังกรทะเลสาบน้ำแข็งเพื่อช่วยนาง…
เรื่องราวเหล่านี้สามารถทำให้นางหวั่นไหวอย่างแท้จริง แต่ยังมีบางเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับบุญคุณ อย่างเช่นสายตาของเขา เขามองเหมือนกับเผยความรู้สึกอย่างตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ…สิ่งเหล่านั้นมักทำให้ความรู้สึกของนางสั่นไหวโดยไม่ทันระวังตัว…
แต่จะมีประโยชน์อะไร?
เดิมทีนางก็ไม่รู้ว่านางอยู่ได้นานแค่ไหน
แต่นางยังคงสับสนอย่างมาก ถึงแม้ชั่วชีวิตนี้ลดระยะห่างไม่ได้ ในใจนางก็ไม่อาจวางเขาลง
ดังนั้นนางย่อมไม่หวังให้เขาอยู่ตัวคนเดียวแบบนั้น บางทีรับศิษย์สักคน สำหรับเขาแล้วอาจเป็นเรื่องดี
นั่งอึดอัดอยู่คนเดียวสักครู่ ถึงยื่นหน้าออกไปดูฝั่งตรงข้าม ประตูฝั่งนั้นเปิดอยู่กึ่งหนึ่ง เขาคงอยู่ในห้องไม่ผิดแน่
นางกระแอมไอยืนขึ้นมา เดินไปถึงประตูค่อยชะงัก หันกลับมายกถาดพุทราแดงบนโต๊ะ ก่อนออกจากประตูมุ่งไปทางตะวันออก
ลู่ยากำลังวาดภาพยามว่าง บนโต๊ะกางภาพวาดอยู่แผ่นหนึ่ง ดูเข้าท่าอย่างมาก
มู่จิ่วเดินเข้าไป แม้แต่หน้าเขาก็ไม่เงยขึ้นมา แต้มสีแดงเล็กน้อยจากถาด จากนั้นยกมือวาดดอกเหมยบนระหว่างคิ้วนาง วาดไปพลางพูดไปพลาง “ดึกขนาดนี้ยังมาหาข้า หรือนอนไม่หลับ?”
มู่จิ่วก็ไม่กล้าขยับส่งเดช จึงทำหัวนิ่งๆ ให้เขาก่อกวน พลางพูด “ยังไม่ดึกเลย เจ้ากินพุทราหรือยัง ข้าเอามาให้เจ้าหน่อย” นางเอ่ยพลางมองเขานิ่งๆ เห็นดวงตาเขาที่ปิดลงกึ่งหนึ่งถูกขนตาดกหนาปกคลุมเกิดเป็นเงา จมูกด้านหนึ่งก็ทอดเงาดำ แบบนี้ยิ่งทำให้ใบหน้างดงาม
………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น