คัมภีร์วิถีเซียน 1728-1729
ตอนที่ 1728 ไม้ผสมปราณ
หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้น ลำแสงสีทองก็ระเบิดออก พ่นยันต์สีเงินออกมาจานทรงกลม แล้วพุ่งไปยังจุดต่างๆ ของยอดเขา
ลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ อักขระทยอยกันจมหายเข้าไปในภูเขาศิลา จากนั้นก็หมุนวนอย่างรวดเร็ว
หานลี่ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ ไม่ได้กระทำการอันใดอีกพร้อมกับสีหน้าไร้ความรู้สึก
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา จานทรงกลมด้านล่างก็เปล่งเสียงอึกทึกออกมา จากนั้นลำแสงสีทองพลันเปล่งแสงสว่างวาบ
หานลี่เห็นเหตุการณ์นี้ก็เลิกคิ้ว มือหนึ่งกวักไปด้านล่าง
จานทรงกลมสั่นเทา พุ่งแหวกอากาศไป เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับมา ปรากฏขึ้นในมืออย่างแปลกประหลาด
หานลี่พลันก้มหน้าลงกวาดมองแวบหนึ่ง
ผิวของจานทรงกลมมีดวงแสงที่เจิดจ้าจนแสบตาลูกหนึ่งปรากฏขึ้น
มุมปากของเขากระตุก ผิวเปล่งแสงสีเหลืองสว่างวาบ พุ่งลงมาที่ยอดเขาด้านล่างทันที
เงียบเชียบไร้สุ้มเสียง จมหายเข้าไปในยอดเขา และบินไปในภูเขาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
แค่ชั่วครู่เบื้องหน้าของเขาพลันเจิดจ้า ถ้ำขนาดยักษ์พลันปรากฏขึ้นที่ด้านล่าง
ดวงแสงสีเงินขนาดเท่าศีรษะลูกหนึ่งปรากฏขึ้นในถ้ำแล้วนิ่งงันไม่ขยับเขยื้อน
นั่นก็คืออักขระสีเงินที่บินออกมาจากจานทรงกลมก่อนหน้ามารวมตัวกัน
ลำแสงหม่นแสงลง หานลี่มาปรากฏตัวในถ้ำ กวาดสายตาไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะนั้นพลันพบทางคดเคี้ยวที่เชื่อมโยงกันหลายทาง
เขาพลันชักสีหน้า สาวเท้ายาวๆ ก้าวไปตามทางเดิน
ในทางเดินนั้นมืดสนิท แทบจะยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้วทั้งห้า
แต่จากนั้นหานลี่พลันชูมือขึ้น ผลึกศิลาสีขาวสองสามลูกพลันบินออกมาจากแขนเสื้อ แล้วหมุนวนอยู่เหนือศีรษะของเขา
เช่นนั้นทางเดินย่อมเปลี่ยนเป็นเจิดจ้าราวกับตอนกลางวัน
หลังจากที่หานลี่เดินไปได้เล็กน้อย ก็แผ่จิตสัมผัสออกไป กวาดไปยังหลุมบ่อบนกำแพงหินรอบด้าน
หลังจากผ่านไปชั่วครู่เขาก็หยุดชะงักฝีเท้าแล้วอ้าปากออกอีกครั้ง
พ่นลำแสงสีเขียวออกมาสายหนึ่ง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีไปที่กำแพงหิน
ภายใต้กระบี่ลำแสงที่แหลมคมบนกำแพงหิน ถูกสับออกราวกับเต้าหู้ ชั่วพริบตาถ้ำศิลาขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งฉื่อก็ปรากฏขึ้นบนกำแพงหิน
เสียง “เคร้ง” ดังออกมาจากถ้ำสีดำ เผยทางเดินเล็กๆ แคบๆ ออกมา
หลังจากที่หานลี่ได้ยินแล้ว ใบหน้ากลับเผยแววยินดีออกมา
มือหนึ่งร่ายอาคม ชี้ไปที่กลางอากาศในถ้ำ
เสียง “สวบ” ดังขึ้น กระบี่เล่มเล็กสีเขียวพุ่งกลับมาจากด้านใน ตัวกระบี่ทะลวงผ่านศิลาแร่นิรนามสีดำม่วง
“ที่นี่จริงๆ ด้วย มีปริมาณไม่น้อยจริงๆ หากเอาไปทั้งหมด เกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายวัน” หานลี่ยกมือขึ้นเก็บกระบี่บิน ตะปบศิลาแร่เข้ามาในมือ พิจารณาอย่างละเอียดสองแวบ แล้วเอ่ยพึมพำ
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีทางขุดแร่ด้วยตนเอง ทันใดนั้นก็ปัดมือไปทางกำไลเก็บของ ลำแสงวิญญาณสองสามดวงบินออกมา ด้านหน้ามีหุ่นเชิดรูปร่างหลากหลายปรากฏขึ้น
หุ่นเชิดเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาหลอมขึ้นในแดนมนุษย์ แม้ว่าระดับจะต่ำมาก แต่หากเอามาขุดแร่ก็ทำได้สบายๆ
หานลี่ตบไปที่ศีรษะ ปล่อยทารกวิญญาณที่สองออกมา หลังจากจัดการให้หุ่นเชิดทุกตัวเคลื่อนไหวอยู่ในถ้ำแล้ว ตนก็สำแดงเคล็ดวิชาลี้ธรณี ไปที่ยอดเขา
ยามนี้ฉวี่เอ๋อร์เองพาแก่นดวงจิตของมัจฉาสายรุ้งเหินจำนวนนับไม่ถ้วนบินมาที่ผิวน้ำ และส่งกำไลเก็บของที่บรรจุไปด้วยแก่นปีศาจยื่นให้หานลี่
หลังจากที่เขาตรวจสอบแล้วก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก หลังจากเอ่ยชมสองสามประโยค ก็เก็บกำไลเก็บของเข้าไปอย่างระมัดระวัง
“นายท่าน ฉวี่เอ๋อร์รู้สึกว่าบนเกาะแห่งนี้มีสมุนไพรวิญญาณไม่น้อย ข้าจะไปเก็บพวกมันมา” ฉวี่เอ๋อร์ลังเลเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็เอ่ยเช่นนี้กับหานลี่
“สมุนไพรวิญญาณ? เจ้าเองก็เป็นสมุนไพรวิญญาณฟ้าดินอยู่แล้ว หากสัมผัสเช่นนี้ได้กว่าครึ่งคงไม่ผิดพลาด เอาล่ะ ที่นี่ไม่ได้มีอสูรที่ร้ายกาจอันใด เวลาก็ยังมีอีกเหลือเฟือ เจ้าก็ไปตามหาเถิด” หานลี่ได้ยินคำนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาห้ามปราม หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ขอบพระคุณนายท่าน ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” เด็กหญิงฉีกยิ้มเบิกบาน
จากนั้นนางพลันเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ กลายเป็นลำแสงวิญญาณพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็พุ่งไปยังยอดเขาสีเขียวมรกตอีกแห่งหนึ่ง
หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ทันใดนั้นก็หาก้อนหินยักษ์ใกล้เคียงแล้วนั่งสมาธิลง
สะบัดแขนเสื้อ
ธงอาคมหลากสีสันสิบกว่าสายพุ่งออกมา กะพริบวาบๆ แล้วทยอยกันจมหายเข้าไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น
ม่านลำแสงห้าสีปรากฏขึ้น ห่อหุ้มยอดเขาทั้งหมดเอาไว้ แต่เมื่อกะพริบวาบอีกครั้ง ก็สลายหายไปอย่างแปลกประหลาด
มองจากไกลๆ กลางอากาศที่แห่งนี้ดูเหมือนว่าจะไม่แตกต่างอันใดกับก่อนหน้า แต่แค่หานลี่ที่เดิมควรจะนั่งสมาธิอยู่บนก้อนหินยักษ์ กลับหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากที่เขาวางเขตอาคมเสร็จแล้ว ถึงได้วางใจใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ แผ่นหลังมีเงาสีทองสายหนึ่งปรากฏออกมา
นั่นก็คือเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์
ชี้ไปที่เทวรูป
ชั่วขณะนั้นผิวของสามเศียรหกกรก็มีอักขระสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วกลายเป็นร่างทอง ยืนอยู่ตรงหน้าของไม่ขยับเขยื้อน
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง พิจารณาร่างทองขึ้นๆ ลงๆ ชั่วครู่ แล้วถึงได้ใช้มือหนึ่งกวักเรียก
เศียรๆ หนึ่งในบรรดาทั้งสามเศียรของร่างทอง อ้าปากออกพ่นลำแสงสีเงินออกมา ด้านในมีอันใดสักอย่างห่อหุ้มอยู่
นั่นก็คือไม้สีเงินของชายหนุ่มเขาสีทองที่สังหารไปในวันนั้น
แม้ว่าสมบัติชิ้นนี้จะไม่ใช่สมบัติสวรรค์ทมิฬ แต่วันนั้นก็แสดงออกได้อย่างมหัศจรรย์ อานุภาพไม่อาจดูแคลนได้ กว่าครึ่งคงเป็นสมบัติระดับเดียวกันกับสมบัติสะท้านฟ้า
เขายังคงไม่แน่ใจ ยามนี้ถึงได้มีเวลาเอาออกมาแยกแยะ
ไม้สีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วถูกสูบเข้ามาในมือ
หานลี่ใช้นิ้วชี้ไปที่ผิวของไม้สีเงินไปพลาง หลับตาทั้งสองข้างไปพลาง แผ่จิตสัมผัสเข้าไปข้างใน
ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนมีสีหน้าสงบนิ่ง หลังจากผ่านไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ถึงได้เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น
“คาดไม่ถึงว่า ‘ไม้ผสมปราณ’ จะเป็นสมบัติสะท้านฟ้าชิ้นหนึ่ง ขอแค่ฝึกฝนตามคาถาสะท้านฟ้าในตำรา ก็จะสามารถควบคุมสมบัติชิ้นนี้ได้”
เขาเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ จากนั้นฝ่ามือที่กำไม้สีเงินเอาไว้ก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ บรรจุพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์เข้าไปในสมบัติ
ครู่ต่อมาไม้สีเงินก็เปล่งเสียงร้องยาวๆ ออกมา สั่นเทาแล้วพ่นม่านลำแสงสีเงินออกมา
ในม่านลำแสงมีอักขระโบราณเรียงแถวอยู่ ปรากฏขึ้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
หานลี่แววตาเปล่งประกาย จดจำคาถาสะท้านฟ้าของ ‘ไม้ผสมปราณ’ เอาไว้ในใจ สะบัดข้อมือ ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงพลันสลายออก สมบัติเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
จากนั้นเขาพลันเก็บร่างทอง สองมือพลันร่ายอาคม เริ่มฝึกฝนคาถาสะท้านฟ้าของ ‘ไม้ผสมปราณ’
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลาสามวันหายวับไป
จากพลังยุทธ์ระดับยอดสุดของระดับหลอมสุญตาในครานี้ของหานลี่ แน่นอนว่าย่อมไม่ต้องฝึกฝนนานๆ เหมือนตอนที่อยู่หลอมหม้อนภาสูญในตอนแรก
เวลาสามวันช่างแสนสั้น ฝึกคาถาสมบัติสะท้านฟ้าเสร็จ ก็กำจัดไม้นี้เข้าไปในร่างได้ตามอำเภอใจ
และในช่วงเวลานั้น หุ่นเชิดเหล่านั้นก็เก็บศิลาแร่นิรนามที่ซ่อนอยู่ในยอดเขาไปได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว
เดาว่าอีกวันหนึ่งก็จะทำภารกิจสำเร็จ
ระยะเวลานี้ฉวี่เอ๋อร์เองก็เก็บสมุนไพรมาจากบนเกาะได้ไม่น้อย หนึ่งในนั้นมีสมุนไพรวิญญาณที่หายากในแดนวิญญาณ
นี่เป็นเรื่องบังเอิญที่น่ายินดียิ่ง
ทว่าสองวันมานี้ไม่มีอันใดเกิดขึ้น ฉวี่เอ๋อร์เองก็กล้าหาญขึ้นไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าจะเริ่มตามหาสมุนไพรวิญญาณที่เกิดขึ้นในแดนลับก้นทะเลสาบรอบๆ
เป็นเพราะหานลี่กำลังฝึกฝนคาถาสะท้านฟ้าอยู่ในจุดสำคัญ จึงแค่ถ่ายทอดเสียงออกไปกำชับนางสองประโยคแล้วไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
แต่แน่นอนว่าเขาทิ้งจิตสัมผัสไว้ที่ร่างของเด็กหญิงเสี้ยวหนึ่ง เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องอันใดขึ้น
ผลคือไม่รู้ว่ามองการณ์ไกล หรือว่าลิขิตเอาไว้ว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น
หลังจากที่เขาฝึกฝนคาถาสะท้านฟ้าสำเร็จไปได้ครึ่งวัน ยามที่กำลังนั่งสมาธิอยู่บนยอดเขา ก็ดูเหมือนว่าจะสัมผัสอันใดได้ ฉับพลันนั้นก็มีสีหน้าเย็นชา แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาสุดๆ ว่า “รนหาที่ตาย” แล้วกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกนอกเขตอาคม ตรงไปยังทิศทางหนึ่ง
หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง สายรุ้งก็หายวับไปที่ขอบฟ้า
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นกลางท้องฟ้าห่างจากเกาะไปได้สองสามร้อยลี้ ลำแสงหลีกหนีสามสายกำลังพุ่งมาทางเกาะด้วยความตกตะลึงระคนหวาดกลัว
ลำแสงสีขาวมีเงาร่างคนเตี้ยๆ คนหนึ่ง นั่นก็คือฉวี่เอ๋อร์
และด้านหลังห่างจากพวกเขาไปสองสามลี้ มีรถศึกประหลาดทรงสามเหลี่ยมสองคันไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ
รถศึกเหล่านี้ทุกคันมีขนาดแค่สองสามจั้ง แต่ผิวมีลวดลายสีเขียว เปล่งแสงจางๆ แม้กระทั่งมีร่องรอยบุบสลาย แต่ความเร็วของมันก็น่าตกตะลึงจริงๆ แค่พลิ้วไหวก็อยู่ห่างออกไปเพียงยี่สิบสามสิบจั้ง
แม้ว่าฉวี่เอ๋อร์จะเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหลีกหนี ทว่าก็ถูกรถศึกด้านหลังไล่ตามเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
ส่วนคนที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีที่เหลืออีกสองสายด้านหน้า ความเร็วแม้กระทั่งเทียบเท่ากับฉวี่เอ๋อร์ แต่ก็เพียงพอแค่เว้นระยะห่างออกจากรถเหาะด้านหลังได้เท่านั้น
“คิๆ! สหายเย่ว์ เจ้าเสียปราณแท้ไปในศึกก่อนหน้า แม้ว่ายามนี้จะกระตุ้นพลัง ก็จะหนีไปไหนได้ หากรู้ตัวก็ส่งหญ้าเปลวเพลิงทั้งเก้าของพวกเจ้ามา เขาอาจจะปล่อยเจ้าไปได้ฝึกฝนต่อ” เสียงบุรุษอันแหบแห้งดังขึ้นออกมาจากรถเหาะด้านหลัง ดูเหมือนว่าจะหมดความอดทนเล็กน้อย
“หึๆ ข้าเป็นคนทำลายสมุนไพรนี้ พวกเจ้าอย่าคิดจะได้ไปแม้แต่ครึ่ง” ท่ามกลางลำแสงหลีกหนีสีฟ้าด้านหน้า เสียงเย็นชาของหญิงสาวดังขึ้น
“เหตุใดเซียนเย่ว์ต้องพูดพล่ามไร้สาระกับพวกเราด้วย คาดไม่ถึงว่าพวกเขาได้สมบัติไปแล้วจะแปรพักตร์ลอบวางแผนลับหลังพวกเรา ไม่มีทางเชื่อได้อีกแน่นอน” ท่ามกลางลำแสงสีเทาอีกสายมีเสียงของชายชราเอ่ยด้วยความโกรธแค้น
“ซวีเหล่าโปรดวางใจ ก่อนหน้านี้ข้ายังเชื่อคำพูดของพวกเขา ถึงได้มีเรื่องน่าขันเช่นนี้เกิดขึ้น” หญิงสาวเอ่ยด้วยเสียงผ่อนคลาย
แทบจะในเวลาเดียวกัน ข้างหูของชายชรากลับมีเสียงของหญิงสาวลึกลับดังขึ้น
“ซวี่เหล่า ไปทางนั้นไม่ผิดแน่ เกรงว่าพวกเราคงไม่อาจยื้อได้นานแล้ว”
“น่าจะไม่ผิด ก่อนหน้าอาวุธมีปฏิกิริยาตอบสนอง ทางนี้น่าจะมีคนของเผ่าเมฆาของพวกเราอยู่ใกล้ๆ เด็กหญิงที่อยู่ด้านหลังนั้นก็มีกลิ่นอายประหลาด ดูเหมือนจะฝึกฝนการสร้างร่างอันใดสักอย่าง กว่าครึ่งแล้วน่าจะเป็นอสูรวิญญาณที่คนอีกกลุ่มหนึ่งพกติดตัวมา พวกเราถูกพวกเขาร่ายผนึกเอาไว้ ก็ทำได้เพียงต้องลองเสี่ยงแล้ว” ชายชราเอ่ยคำพูดอื่นด้วยเสียงอันดัง แต่ลับๆ ก็ถ่ายทอดเสียงไปหาหญิงสาวเช่นกัน
หญิงสาวได้ยินก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่ได้เอ่ยอันใดอีก แค่กระตุ้นลำแสงหลีกหนีพุ่งไปเต็มกำลัง
ตอนที่ 1729 เผ่าหรง
ชนต่างเผ่าที่พูดอยู่ด้านหลังได้ยินคำพูดของชายชราและหญิงสาวที่อยู่ด้านหน้า แน่นอนว่าย่อมรู้สึกโกรธเกรี้ยวและไม่ได้เอ่ยอันใดต่ออีก ส่วนปากก็เปล่งเสียงหวีดร้องแหลมสูงออกมา
รถศึกเปล่งเสียงคำราม จากนั้นก็มารวมตัวกันกลายเป็นรถศึกคันเดียว
ผลคือลำแสงสว่างวาบ รถศึกแปลกหน้าขนาดใหญ่กว่าเดิมสองสามเท่าปรากฏขึ้น
รถคันนี้มีความยาวสิบจั้งเศษ ทรงเพชร และยิ่งไปกว่านั้นหน้ารถศึกก็มีหัวของอสูรประหลาดที่ดูคล้ายมังกรวารีแต่ก็ไม่ใช่ คล้ายงูเหลือมแต่ก็ไม่เชิง
ชั่วพริบตาที่รถศึกยักษ์ปรากฏขึ้น รอบด้านก็เปล่งแสงเจิดจ้า ปีกยาวๆ สองคู่ที่ดูเหมือนแมลงปอพลันปรากฏขึ้น
หญิงสาวที่อยู่ด้านหน้าและชายชราเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็พลันตกตะลึง
“รีบไป!” ชายชรากลับนับว่าไม่คิดอันใดมาก เมื่อเสียงเตือนของฉวี่เอ๋อร์ดังสนั่นขึ้น จากนั้นลำแสงหลีกหนีพลันเปลี่ยนไป รวมตัวกันลำแสงหลีกของหญิงสาวแล้วพุ่งแหวกอากาศออกไป
ความเร็วเหนือกว่าก่อนหน้าหลายเท่า
และแทบจะในเวลาเดียวกันนั้น รถศึกด้านหลังก็สยายปีกทั้งสี่ออก แววตาของหัวอสูรประหลาดด้านหน้าฉายแสงสีแดงสว่างวาบ เสียง “สวบ” ดังขึ้น ชั่วครู่ก็หายวับไปจากที่เดิม
ฉวี่เอ๋อร์มักจะเอ่ยเตือน แน่นอนว่าจิตสัมผัสย่อมสัมผัสได้ถึงฉากด้านหลัง
นางพลันรู้สึกตกตะลึง ผิวเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ และสำแดงเคล็ดวิชาลับเพิ่มความเร็วอย่างไม่เสียดายปราณแท้
แต่เห็นได้ชัดว่าการกระทำนี้สายไปแล้ว
ด้านบนมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ลำแสงสีเขียวเลือนรางเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกมา จากนั้นเสียงหัวเราะประหลาดๆ พลันดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีกรงเล็บยักษ์ขนาดสองสามจั้งบินออกมาจากลำแสงสีเขียว แล้วตะปบลงมาที่ลำแสงหลีกหนี
แม้ว่าฉวี่เอ๋อร์จะไม่ใช่เป้าหมายของพวกเขา แต่ในเมื่อจับได้แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลจะปล่อยไป จึงมีเจตนาจะสังหารทิ้ง
เด็กหญิงในลำแสงสีขาว หน้าเปลี่ยนสี กัดฟัน มือหนึ่งร่ายอาคม ชั่วขณะนั้นพลันพ่นใบมีดบางๆ เปล่งแสงเย็นเยียบสองสามร้อยสายออกมา กรูกันเข้าไปสับลงไป
“เอ๋”
เสียงตกตะลึงดังออกมาจากรถศึก แต่กรงเล็บยักษ์กลับไม่มีเจตนาจะหยุดยั้งเลยสักนิด กลับพ่นหมอกลำแสงสีเขียวออกมาจากใจกลางฝ่ามือ หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น ก็ม้วนเอามีดบินเข้าไปข้างใน นิ้วทั้งห้ายังคงร่อนลงมาด้านล่างอย่างแรงราวกับเสายักษ์
“อ๊า”
เด็กหญิงมองกรงเล็บยักษ์ที่ดูเหมือนเมฆปกคลุมดวงอาทิตย์ ใบหน้าซีดขาวไร้สีโลหิต
นางรู้ดีว่าอิทธิฤทธิ์ของตนไม่อาจรับมือกับการโจมตีที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ได้
ในยามนั้นนางจึงแค่นเสียงด้วยความเย็นชา!
เสียงไม่ดังนัก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับดังชัดในโสตของทุกคน
จากนั้นลำแสงสีเงินพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ตราประทับสีเงินขนาดสองสามหมู่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
เสียงพายุฝนและฟ้าคำรามดังขึ้น ตราประทับยักษ์ทุบลงมาหากรงเล็บยักษ์
เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น แม้ว่ากรงเล็บยักษ์จะมีขนาดที่น่าตกตะลึง แต่จะต้านทานการโจมตีราวกับภูเขาขนาดย่อมได้อย่างไร
ชั่วขณะนั้นหลังจากเสียงระเบิดดังขึ้น ก็ละลายหายไปราวกับหิมะที่ละลายไปในวสันตฤดู
“ผู้ใด? บังอาจยุ่งเรื่องของเผ่าหรงของพวกเรา”
ชั่วขณะนั้นท่ามกลางลำแสงสีเขียวพลันมีเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น ลำแสงหม่นแสง เผยรถศึกทรงเพชรออกมา ปีกโปร่งใสทั้งสองฝั่งกระพือไปมาไม่หยุด
ด้านบนรถศึกมีเงาร่างคนที่ถูกห่อหุ้มด้วยลำแสงสีเขียวสี่คนยืนอยู่
พวกเขาดูผ่านๆ เหมือนมนุษย์ แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด กลับแตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาๆ ไม่เพียงรอบกายจะถูกขนแข็งๆ สีเขียวมรกตปกคลุมเอาไว้ ศีรษะกลับดูโหดเหี้ยมราวกับหมาป่า
ทำให้ผู้คนมองแล้ว รู้สึกใจหายวาบไม่ได้!
“ในเมื่อพวกเจ้าลงมือกับสาวใช้ของข้า เช่นนั้นก็ลองสมบัติใหม่ของข้าหน่อยเป็นไง” เสียงบุรุษอันเย็นชาดังขึ้นกลางอากาศ
จากนั้นเงาร่างคนพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ชายหนุ่มที่มีปีกโปร่งใสที่แผ่นหลังคนหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ยามที่ยกมือขึ้น ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ไม้สีเงินระยิบระยับปรากฏขึ้น
แน่นอนว่าผู้ที่เพิ่งใช้ปีกวายุอัสนีข้ามฟากฟ้ามานั้นคือหานลี่
ตราประทับสีเงินที่เมื่อครู่ปล่อยออกมานั่นก็คือสิ่งที่สร้างขึ้นจากตราประทับดาวจระเข้
เมื่อพลังยุทธ์ของเขาเพิ่มขึ้น อานุภาพของสมบัติที่อยู่ในมือก็ไม่อาจเทียบได้กับในอดีต การโจมตีเมื่อครู่จึงทำลายกรงเล็บยักษ์ที่ชนต่างเผ่าสร้างขึ้นได้อย่างง่ายดาย
หานลี่ในยามนี้ฟื้นฟูพลังปราณครบหมดแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังเพิ่งจะหลอมสมบัติสะท้านฟ้าอย่างไม้ผสมปราณเสร็จ แน่นอนว่าจึงไม่ได้หวาดกลัวชนต่างเผ่าสี่คนตรงหน้า ดังนั้นเมื่อเห็นพวกเขาลงมือกับฉวี่เอ๋อร์ ก็เกิดจิตสังหารขึ้น สะบัดข้อมือ ไม้ผสมปราณในมือเปล่งเสียงคำรามไม่หยุด ชั่วขณะนั้นเงาไม้พลันทะลักออกมาตรงหน้า แล้วห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้
“ขอบพระคุณนายท่านที่ช่วยเหลือ!”
“เอ๋ สหายหาน!”
เสียงที่แตกต่างกันสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน
กลับเป็นฉวี่เอ๋อร์ที่เอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายินดีปรีดา รวมทั้งชายชราผู้นั้นที่หนีอยู่ด้านหน้าก็ร้องอุทานเสียงหลงออกมา
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี สายตามองไปยังลำแสงหลีกหนีที่หยุดอยู่ด้านหน้าแวบหนึ่ง
หญิงสาวผู้นั้นและชายชราเผยเงาร่างออกมา
ชายชราดูคุ้นตาเล็กน้อย ส่วนหญิงสาวผู้นั้นกลับมองปราดเดียวก็จำได้ นั่นก็คือ “เซียนเย่ว์” ที่เข้ามาในแดนกว้างเย็นพร้อมกับเขายามที่อยู่ในเมืองเมฆา
แต่ไหนแต่ไรมาหญิงสาวผู้นี้เป็นผู้เยือกเย็นราวกับสายน้ำ แต่ครานี้สายตาที่มองมายังหานลี่กลับเผยท่าทีประหลาดใจออกมา
ส่วนชายชราผู้นั้นกลับมีท่าทีผ่อนคลายลง
สำหรับชายชราแล้วหากมีผู้ช่วยเพิ่มขึ้นมาล่ะก็ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเผ่าหรง แต่ความหวังที่จะเอาชีวิตรอดกลับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเขาจำได้ดีว่าหานลี่เป็นผู้นำของอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่แน่ว่าใกล้ๆ กันนี้อาจจะมีผู้ช่วยชาวเมฆาสวรรค์คนอื่นๆ
หานลี่รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน แต่แค่พยักหน้าให้ทั้งสองอย่างราบเรียบ เงาไม้บรรทัดตรงหน้าส่งเสียงร้อง แล้วพุ่งมาหาชนต่างเผ่าทั้งสี่คนที่อยู่ตรงข้าม
ลำแสงสีเงินปกคลุมทั่วท้องฟ้า ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ท่าทางน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง!
ชนต่างเผ่าเผ่าหรงสี่คนในรถเหาะเห็นฉากนี้พลันตกตะลึง ทันใดนั้นสองในสี่คนก็ลงมืออย่างไม่ต้องขบคิด
คนหนึ่งพลิกฝ่ามือ ธงสีดำสนิทปรากฏขึ้น เงาไม้พลิ้วไหว ชั่วขณะนั้นไอสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพลันกลายเป็นกระสวยสีดำพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
อีกคนกลับอ้าปากพ่นกระจกสัมฤทธิ์สีเขียวมรกตออกมา หลังจากหมุนคว้างก็มีขนาดสองสามฉื่อ
ผิวกระจกเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ เปลวเพลิงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา ม้วนวนไปกลางอากาศ
อีกสองคนที่อยู่ในรถศึกพิจารณาหานลี่อย่างเย็นชา ไม่มีเจตนาจะลงมือ เห็นได้ชัดว่าคิดว่าทั้งสองคนลงมือก็เพียงพอจะต่อกรกับการโจมตีเหล่านี้ได้แล้ว
หานลี่มองเห็นฉากนี้ มุมปากพลันกระตุก ฝ่ามือที่กุมไม้ผสมปราณเอาไว้เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ
พลังวิญญาณที่บริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่งบรรจุเข้าไปราวกับกระแสน้ำที่ทะลักเข้ามาในสระ
เงาไม้ที่แต่เดิมรางเลืองอยู่กลางอากาศ พลันเปล่งแสงสว่างวาบ ทยอยกันกลายเป็นไม้สีเงินขนาดครึ่งฉื่อ ผิวมีลำแสงอัสนีเปล่งแสงสว่างวาบ ประจุไฟฟ้าสีเงินปรากฏขึ้น
เสียง “ตูมๆ” ดังขึ้น
ไม้สีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาในกระสวยสีดำและเปลวเพลิงสีเขียว โบกสะบัดเล็กน้อยแล้วทยอยกันโจมตีจมหายไป ชั่วครู่ก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ
“เอ๋ มีอิทธิฤทธิ์จริงๆ” ชนต่างเผ่าคนหนึ่งในบรรดาอีกสองคนที่ยังไม่ได้ลงมือในรถเหาะขมวดคิ้ว แล้วสะบัดแขนเสื้อไปทางหานลี่
ลำแสงสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบ ไข่มุกทรงกลมสีแดงสดบินออกมา
หลังจากที่สมบัติชิ้นนี้เปล่งแสงสว่างวาบ ก็มีขนาดเท่าศีรษะ ผิวมีอักขระสีแดงหมุนวน เมฆเพลิงปรากฏขึ้นเป็นกลุ่มๆ
หานลี่มองเห็นฉากนี้อยู่ไกลๆ ก็หรี่ตาทั้งสองข้างลง ฉับพลันนั้นฝ่ามือสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกก็ตะปบออกมากลางอากาศ
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ภูเขาขนาดย่อมสีดำสูงสองสามจั้ง ปรากฏขึ้นเหนือไข่มุกยักษ์และร่อนลงมา
ชนต่างเผ่าที่สำแดงไข่มุกเม็ดนั้นออกมาเห็นฉากนี้พลันตกใจจนสะดุ้งโหยง
สมบัติไข่มุกชิ้นนี้ของเขาไม่ได้เอาไว้ใช้ต้านทานกับสมบัติชิ้นอื่น ทันใดนั้นก็ร่ายคาถาด้วยความร้อนใจ
ไข่มุกสีแดงขนาดใหญ่พลิ้วไหว ฉับพลันนั้นพลันกลายเป็นเงาลวงตาสิบกว่าลูกที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว จากนั้นก็เปล่งเสียงร้องคำราม ในเวลาเดียวกันก็สั่นเทาแล้วพุ่งไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน
ดวงตาของหานลี่ที่อยู่ไกลออกไปเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ ชี้ไปที่ยอดเขา
ยอดเขาสีดำที่มีหมอกลำแสงสีเทาหมุนวนพลันหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่ครู่ต่อมาไข่มุกทรงกลมด้านในก็เปล่งแสงสีเทาสว่างวาบ ภูเขาขนาดย่อมสีดำปรากฏขึ้นอีกครั้ง และทุบลงมาอย่างรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า
เสียง “ตูม” ดังขึ้น ลำแสงสีเทาและลำแสงสีแดงตัดสลับกันไปมา
ไข่มุกทรงกลมเผยท่าทีไม่มั่นคงออกมา แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นเมฆาเพลิงแล้วสลายตัวออก
“เจ้ากล้าทำลายสมบัติของข้า!”
ชนต่างเผ่าที่ควบคุมไข่มุกเม็ดนั้นเห็นสมบัติของตนถูกทำลาย ก็ทั้งตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว ไหวไหล่อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ลำแสงสีแดงสิบกว่าสายบินออกมา ตรงเข้ามาหาหานลี่
แต่หานลี่ในยามนี้กลับหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา ในใจที่เอาแต่กระตุ้นสมบัติสะท้านฟ้าพลันเปลี่ยนไป
ไม้บรรทัดสีเงินทั่วทั้งท้องฟ้าที่เดิมกำลังกดกระสวยสีดำและเปลวเพลิงสีเขียวพลันเปลี่ยนทิศทาง พุ่งไปยังใจกลาง
ชั่วขณะนั้นไม้ยักษ์ขนาดสองสามจั้ง พลันเปล่งแสงสีเงินแล้วปรากฏขึ้น
ยามนี้ลำแสงสีแดงสิบกว่าสายพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไป มาอยู่ตรงหน้าของหานลี่
หานลี่แค่ปัดฝ่ามือสีดำสนิทไปด้านหน้าโดยไม่ได้พูดอันใด
ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเทาพลันปรากฏขึ้น ลำแสงสีแดงสิบกว่าสายพุ่งเข้าไปด้านใน ถูกหมอกลำแสงสีเทาม้วนเข้าไป ชั่วขณะนั้นพลันปรากฏร่างเดิม มันหมุนคว้างไปยังจุดที่ไกลออกไปไม่หยุด ไม่อาจขยับมาด้านหน้าเลยแม้แต่ก้าวเดียว
เป็นมีดบินสีแดงสดสิบกว่าเล่ม
แทบจะในเวลาเดียวกัน นิ้วทั้งห้าของหานลี่ที่กุมไม้ผสมปราณในมือพลันเกร็งแน่น และวาดสมบัติในมือไปกลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นไม้สีเงินยักษ์ที่อยู่ไกลออกไปพลันเปล่งเสียงร้องยาวๆ ราวกับมังกรคำรามออกมา จากนั้นก็สั่นเทา แล้วพุ่งไปสับรถเหาะอย่างดุดัน
ชนเผ่าหรงอีกสองคนที่อยู่ในรถเหาะเห็นเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางปล่อยให้เขาร่อนลงมาง่ายๆ ทันใดนั้นก็แยกกันกระตุ้นสมบัติของตนอย่างไม่ต้องขบคิด
ชั่วขณะนั้นกระสวยสีดำพลันเปล่งเสียง “สวบๆ” แหวกผ่านอากาศออกมา ชั่วครู่ก็กลายเป็นตาข่ายสีดำ ต้านทานเอาไว้ด้านล่าง
กระจกที่พ่นเปลวเพลิงสีเขียวออกมาพลันเปลี่ยนทิศทาง เสาลำแสงสีเขียวที่พ่นออกมาจากกระจกมีขนาดใหญ่ขึ้นพลางพุ่งเข้าไปหาไม้ยักษ์
เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น
ไม้ยักษ์พลันรางเลือน คาดไม่ถึงว่าจะถูกเสาลำแสงสีเขียวโจมตีจนสลายหายไปอย่างง่ายดายราวกับกระดาษ แตกต่างกับท่าทางน่าตกตะลึงก่อนหน้าเป็นอย่างยิ่ง!
แต่ในยามนั้นเอง ชนเผ่าหรงคนสุดท้ายที่ยังไม่ได้ปริปากใดๆ กลับหน้าเปลี่ยนสีพลางร้องตะโกนออกมาว่า
“ระวัง!”
จากนั้นชนต่างเผ่าก็ปัดมือไปทางรถเหาะ ชั่วขณะนั้นกระบี่ลำแสงสีเทาพลันสับลงมา
เงาสีเงินที่อยู่กลางอากาศพลันสั่นไหว ไม้ยักษ์รางเลือนไป ปรากฏขึ้นตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น
กระบี่ลำแสงสีเทาโจมตีไปที่ไม้สีเงินชัดๆ แต่กลับแฉลบผ่านไป ราวกับสับโดนเงาลวงตาสายหนึ่งเท่านั้น
หลังจากที่ไม้ยักษ์สีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ ก็มาปรากฏอยู่เหนือศีรษะของชนเผ่าหรงที่ควบคุมธงอาคม แล้วร่อนลงมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น