ลำนำบุปผาพิษ 1726-1731

 บทที่ 1726 คืนชีพ


มันถอยหลังไป ‘ขะ…ข้าพูดถึงคนใหม่…เจ้านายคนใหม่ไง…ในไม่ช้าก็เร็วจะมีเทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่ปรากฏตัวขึ้นในโลกนี้จริงๆ ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์สามารถรักษาการณ์แทนได้เพียงสามร้อยปีเท่านั้น…’


ตี้ฝูอีคว้าตัวมันไว้ทันที “ยังไม่พูดความจริงอีกรึ?!” นึกว่าเขาหลอกได้ง่ายๆ เหมือนเด็กน้อยวัยสามขวบหรือไง?


หยกนภาฮึดดิ้นรนเป็นหนสุดท้าย ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ลิขิตสวรรค์ไม่อาจแพร่งพรายได้! มิเช่นนั้นจะชักภัยมาถึงตัวท่าน!’


“ข้าไม่กลัว! พูดมา! เจ้าอย่าลืมนะ ว่าข้าก็สามารถทำนายลิขิตสวรรค์ได้ล่วงหน้าเช่นกัน ต่อให้เจ้าบอกข้าก็ไม่นับว่าเป็นการแพร่งพรายหรอก”


‘แต่เป็นเพราะท่านฝ่าฝืนชะตามาหลายหนแล้ว ไม่อาจวางตัวอยู่เหนือเรื่องราวได้ ดังนั้นจึงแพร่งพรายลิขิตสวรรค์แก่ท่านไม่ได้แล้ว!’ หยกนภาโมโหไม่น้อยเลย


ตี้ฝูอีมองมันอย่างเยียบเย็น “เหตุการณ์เหล่านั้นที่เจ้าให้ข้าดูก่อนหน้านี้ไม่นับว่าเป็นลิขิตสวรรค์หรือไง?”


หยกนภากระอักกระอวนแล้ว ‘…น่ะ…นั่นเป็นเพียงการคาดคะเน…คาดคะเนเรื่องที่จะเกิดขึ้นหากว่าท่านเศร้าหมองอยู่เช่นนี้’


ตี้ฝูอีมองดูมันโดยไม่พูดอะไร


หากว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปว่าจะเกิดขึ้นก็ไม่ใช่ลิขิตสวรรค์ ไอ้ตัวบัดซบนี่คิดจะหลอกลวงผู้ใดกัน?! คิดว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าลิขิตสวรรค์งั้นหรือ?


หยกนภาถูกเขาจ้องมองจนเนื้อหยกแทบจะแข็งทื่อแล้ว ในที่สุดก็เปิดปากเอ่ย ‘เนื่องจากเจ้านายคือเทพศักดิ์องค์ใหม่ นาง…ถ้ายังไม่ถึงเวลานางจะไม่มีทางดับขันธ์ และไม่มีทางสิ้นชีพไปอย่างแท้จริงด้วย นางใช้อาคมต้องห้ามปลิดชีพตนโดยพลการ ทำลายสมดุลของโลกใบนี้ นับว่าฝ่าฝืนวิถีสวรรค์ ตามหลักแล้วสมควรได้รับโทษทัณฑ์อย่างหนัก ดังนั้นสวรรค์จึงลงทัณฑ์นางอย่างหนัก นางจะฟื้นคืนชีพในอีกไม่กี่ปีให้หลัง และคืนชีพพร้อมกับความทรงจำทั้งหมด แม้กระทั่งความจริงเรื่องการดับขันธ์ของท่านนางก็จะทราบทั้งสิ้น ทุกคืนนางจะฝันร้ายเช่นเดียวกับในอดีต ส่งผลให้ความทรงจำเหล่านั้นของนางแจ่มชัดดั่งวันวาน…’


เช่นนั้นเหี้ยมโหดเกินไปแล้ว!


สีหน้าตี้ฝูอีซีดเผือด “พูดต่อไป!”


หยกนภาก็ยอมเสี่ยงกล่าวออกมาแล้วเช่นกัน ‘หากว่าท่านปล่อยให้โลกใบนี้ย่อยยับไป เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาที่นางกลับมารับช่วงต่อก็เป็นเพียงดินแดนที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง สหายทั้งหมดของนางล้วนจากนางไปแล้ว นางจะทุกข์ทรมานด้วยความรู้สึกผิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ก็ไม่อาจตายได้ ทำได้เพียงก่อสร้างทวีปนี้ขึ้นมาใหม่…จนกว่าสวรรค์จะพึงพอใจ อนุญาตให้นางดับขันธ์ได้ นางถึงจะได้รับการปลดปล่อยอย่างแท้จริง…’


ตี้ฝูอีตัวแข็งทื่อไปแล้ว!


เกิดเสียงดัง ‘แกร็ก!’ โต๊ะตัวหนึ่งข้างกายตี้ฝูอีที่แข็งแรงเป็นพิเศษแหลกเป็นจุณไปทันที!


“คนผิดคือข้าชัดๆ! เหตุใดต้องลงโทษนาง?!”


หยกนภาสั่นเทิ้มแล้ว กล่าวอย่างคับแค้นใจในความอยุติธรรมเช่นกัน ‘ใช่แล้ว ไม่ยุติธรรมยิ่งนักจริงๆ…’


มันก็รู้สึกเช่นกันว่าหนนี้ ‘วิถีสวรรค์’ ทำเกินไป ทำให้มันหมดคำพูดยิ่งนัก รู้สึกอยุติธรรมแทนเจ้านายของบ้านตน


ตี้ฝูอีหลับตาลง นิ้วมือในแขนเสื้อคล้ายจะจรดคำนวณสิ่งใดอยู่


ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงลืมตาขึ้น สายตาร่อนลงบนร่างหยกนภา “ดูเหมือนว่าสวรรค์จะใช้ความปลอดภัยของนางมาข่มขู่ข้า…”


หยกนภานิ่งเงียบไป อาจจะใช่กระมัง มันก็มีข้อสงสัยเช่นนี้เหมือนกัน


มันเอ่ยถามอย่างระมัดระวังยิ่ง ‘เช่นนั้นท่าน…’


ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ไม่ชอบโดนผู้อื่นข่มขู่เป็นที่สุด ผู้ใดก็ข่มขู่เขาไม่ได้ทั้งนั้น เขาฝ่าฝืนชะตาฟ้าลิขิตมาหลายครั้งแล้ว ไม่รู้ว่าหนนี้…


“ต้องการให้ข้าทำอย่างไร?” ตี้ฝูอีก็ตรงไปตรงมายิ่งนักเช่นกัน


หยกนภาถอนหายใจอย่างโล่งอก ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านฟังที่ข้าบอกนะ…’


มันร่ายรายการยาวเหยียดออกมา ตี้ฝูอีฟังอยู่เงียบๆ ไม่ส่งเสียง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ถ้าจะให้ข้ากระทำเรื่องเหล่านี้ ก็เพิกถอนโทษทัณฑ์หนักหนาทั้งหมดของนางเสีย! ถ้าจำเป็นต้องลงโทษใครสักคน ก็มาลงทัณฑ์ข้าได้เลย!”


หยกนภาพลันเรืองแสง มันส่องแสงกะพริบอยู่พักหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ากำลังสื่อสารกับบางอย่างอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งก็แถลงไขต่อตี้ฝูอี ‘ขอเพียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทำได้ดี ทำให้โลกนี้ราบรื่นสงบสุขได้ โทษทัณฑ์หนักหนาของนางก็จะถูกเพิกถอน’


———————————————————————-


บทที่ 1727 คืนชีพ 2


แต่วิถีสวรรค์หาใช่เด็กน้อยเล่นขายของไม่ เมื่อต้องการลงโทษคนผู้หนึ่งอย่างแท้จริง หากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยินยอม ก็สามารถรับโทษทัณฑ์ไว้บนร่างท่านได้ แต่วิธีลงโทษจะไม่เหมือนกันแน่นอน…’


ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างเฉยชา “เรื่องนี้ข้ารู้ดี ไม่ว่าจะเป็นโทษทัณฑ์ใด ข้าก็จะรับไว้”


หยกนภาส่องแสงกะพริบอย่างซาบซึ้งตื้นตัน ไม่นึกเลยว่าเทพศักดิ์สิทธิ์จะทำเพื่อเจ้านายของมันถึงขั้นนี้ เฮ้อ เพียงน่าเสียดายที่เจ้านายไม่สามารถเห็นด้วยตาตนได้…


จิตใจมันพลันเปิดกว้างปราดเปรื่องขึ้นมา ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงท่านสามารถทำให้เจ้านายของข้าฟื้นคืนชีพสู่โลกนี้ก่อนกำหนดได้ ด้วยเงื่อนไขนี้สามารถพบหน้าท่านอีกครั้งได้…’


ตี้ฝูอีนิ่งไปแวบหนึ่ง น้ำเสียงราบเรียบ “ทำให้นางฟื้นคืนชีพขึ้นมาทันเวลา เพื่อมาเผชิญหน้ากับการแตกดับของข้าอีกครั้งงั้นหรือ?”


หยกนภาอึ้งไปเล็กน้อย ‘…เช่นนี้ท่านจะได้ไม่เหลือห่วงให้เสียใจไง’


ตี้ฝูอีอุ้มกู้ซีจิ่วหันหลังออกเดิน “หากว่าเป็นไปได้ ข้าปรารถนาเพียงว่าหลังจากนางคืนชีพขึ้นมาจะจำข้าไม่ได้อีก ลืมเลือนไปอย่างสมบูรณ์ว่าข้าคือผู้ใด ใช้ชีวิตบนโลกนี้อย่างสง่างามตามใจตน”


หยกนภาพูดอะไรไม่ออกเลย


หยกนาภานิ่งงันไปครู่หนึ่ง รีบติดตามไป รวบรวามความกล้าเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง ‘หากว่านางลืมเลือนท่านไปอย่างสมบูรณ์ ด้วยชีวิตอันยืนยงเนิ่นนนานบางทีอาจจะชมชมบุรุษคนอื่นก็ได้นะ ครองคู่โบนบินกับชายอื่น…’


ฝีเท้าของตี้ฝูอีชะงักไปแวบหนึ่ง แล้วก้าวไปยังด้านนอกต่อ เพียงแต่ในยามที่หยกนภานึกว่าเขาคงไม่เอ่ยตอบแล้วน้ำเสียงที่แฝงความแหบพร่าไว้เล็กน้อยของเขากลับแว่วขึ้นมาแผ่วๆ “เช่นนั้น…ก็ไม่เลว”


‘แต่หากว่านางคืนชีพกลับมาพร้อมความทรงจำ ยังจดจำท่านได้ ถึงขั้นที่ทราบความจริงแล้วด้วย แต่ท่านล่วงลับไปแล้ว ทำให้นางไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้แก้ไข นางจะเสียใจยิ่งกว่าเดิมหรือเปล่าล่ะ?’


ตี้ฝูอีหยุดฝีเท้าแล้ว


นางจะเสียใจยิ่งกว่าเดิมหรือเปล่า?


เขารู้ว่านางจะเสียใจแน่นอน!


นางรักเขายิ่งชีพ เพื่อเขาแล้วแม้กระทั่งด้วยวิญญาณจะแตกสลายก็ไม่เสียดายเลย หากว่าสถานการณ์เป็นไปตามที่หยกนภาพูด เกรงว่านางคงจะเสียใจไปชั่วชีวิต เป็นหนามยอกอกนางไปตลอดกาล และในความทรงจำของนาง ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรก็แก้ตัวได้ไม่กระจ่างแล้ว…


….


….กู้ซีจิ่วกำลังลอยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ เธอค่อนข้างมึนงง


ด้านล่างเป็นราชรถแก้วผลึกสีม่วงคันหนึ่ง ภายในรถม้าตกแต่งอย่างเรียบง่ายสะดวกสบาย เป็นรูปแบบอย่างที่เธอชอบ


และในห้องโดยสารมีคนสองคนนั่งเคียงกันอยู่


คนหนึ่งสวมอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะ เรือนผมดำขลับดั่งม่านน้ำตก เครื่องหน้าหล่อเหลาไร้ใดเทียม อำนาจบนร่างกล้าแกร่งจนทำให้คนมองข้ามรูปโฉมอันล้ำเลิศของเขาไป คนผู้นี้ต่อให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านกู้ซีจิ่วก็ยังจดจำกระดูกของเขาได้ ย่อมเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถู และเป็นตี้ฝูอี


และผู้ที่นั่งอิงแอบแนบข้างกายเขาก็คือดรุณีชุดเขียวนางหนึ่ง รูปโฉมพิสุทธิ์เยือกเย็น เรือนกายอรชรอ้อนแอ้นได้สัดส่วน งดงามอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่เป็นเพียงศพเท่านั้น


กู้ซีจิ่วย่อมคุ้นเคยกับร่างนี้อย่างไม่อาจคุ้นเคยไปมากกว่านี้ได้แล้ว นี่คือตัวเธอเอง…


แขนข้างหนึ่งของตี้ฝูอีโอบเอวบางของดรุณีผู้นั้นไว้ ให้ศีรษะของดรุณีนางนั้นซบลงบนไหล่ตน มองจากท่าทางเช่นนี้แล้ว ดูสนิทสนมชิดเชื้อกันอย่างเหนือธรรมดา


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าในหัวใจค่อนข้างฝาดเฝื่อนและโศกหมอง


อันที่จริงแล้วนางโหยหาอ้อมกอดนั้นมาเนิ่นนานยิ่งนักแล้ว แต่เกือบครึ่งปีที่ผ่านมานางได้พบเขาในฐานะคนแปลกหน้าบ้าง แขกผู้มีเกียรติบ้าง นานมากแล้วที่ไม่ได้นั่งด้วยกันอย่างสนิทชิดเชื้อเช่นนี้


น่าเสียดายที่สิ่งที่เขาโอบกอดอยู่เป็นเพียงซากศพร่างหนึ่งเท่านั้น เธอมองเห็นได้ทว่าสัมผัสถึงไม่ได้


กู้ซีจิ่วสัมผัสได้ว่าตนล่องลอยอยู่เหนือรถม้าคันนี้ แต่เธอหันซ้ายมองขวาก็มองไม่เห็นร่างกายของตนเลย…


เธอล่องลอยอย่างมึนงงอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ค่อนข้างไม่เข้าใจสถานการณ์ไปชั่วขณะ


ความทรงจำของเธอหยุดลงตรงที่ตกตายไปพร้อมกับโม่เจ้า


เธอจำได้อย่างชัดเจนว่าตนตายไปแล้ว วิญญาณแตกสลายไปแล้วชัดๆ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรไปแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงมาโผล่ที่นี่อีกล่ะ?


บทที่ 1728 คืนชีพ 3


ตนในยามนี้เป็น ‘สิ่ง’ ใดกัน?


กู้ซีจิ่วสำรวจตัวเองตามสัญชาตญาณ ยังคงมองไม่เห็นร่างกายของตนอยู่เช่นเดิม เธอคิดจะยื่นมือยื่นเท้าออกไปตามสัญชาตญาณแต่หาไม่พบว่ามือเท้าของตนอยู่ตรงไหน…


สถานการณ์เช่นนี้เธอเพิ่งเคยประสบเป็นครั้งแรก ในอดีตยามที่เธอฝันก็ยังมองเห็นร่างกายคนได้อยู่มีแต่คนอื่นเท่านั้นที่มองไม่เห็นเธอ


เช่นนั้นตอนนี้เธอนับว่าเป็สิ่งใดเล่า? เสี้ยวสติหรือ?


คงมิใช่ว่า…อยู่ในสภาพของจิตสำนึกกระมัง?!


ตัวเธอในยามนี้เป็นเสี้ยวจิตสำนึกสายหนึ่งงั้นหรือ?!


ในใจของเธอพลันหวาดหวั่นขึ้นมา!


มองดูสองคนนั้นที่อิงแอบกันอยู่อีกครั้ง จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นมา


หรือว่าร่างนั้นของเธอที่ตี้ฝูอีโอบประคองอยู่จะเป็นหลานจิ้งเคอ?!


เช่นนั้นตอนนี้เธอคือเสี้ยวจิตสำนึกของหลานจิ้งเคองั้นหรือ?ในที่สุดก็ถูกตี้ฝูอีขับออกมาแล้วใช่ไหม? ตัวเธอที่เขาโอบกอดอยู่ในยามนี้คงจะนำไปคืนชีพให้หลานจิ้งเคอที่เผ่าเงือกกระมัง?


ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเข้าเค้า กู้ซีจิ่วค่อนข้างหวาดกลัวแล้ว!


ตอนนี้เธอยังมีความทรงจำของกู้ซีจิ่วอยู่เลย! หรือว่าต้องเบิกตามองเขาเปลี่ยนตนให้กลายเป็นคนอื่นไปอีกแล้ว?!


เธอสำนึกเสียใจแล้ว!


ทำเรื่องโง่เง่าไปครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว! เพราะอะไรเธอถึงทำลงไปเป็นครั้งที่สองอีก? เธอเลิกทำตัวเป็นเหลยเฟิงสักทีจะได้ไหม!


เธอเยาะหยันอยู่ครู่หนึ่ง ตัดสินในทันใด ควบคุมตัวเองให้ลอยลงไป ลอยไปอยู่เบื้องหน้าตี้ฝูอี “ตี้ฝูอี ร่างนั้นเจ้าเอาไปได้! แต่ปล่อยข้าไปซะ! ข้ายังเป็นกู้ซีจิ่วอยู่! ถ้าข้าคืนชีพขึ้นมาเกรงว่าจะยังมีความทรงจำของกู้ซีจิ่วอยู่! ข้าไม่อยากกลายเป็นหลานจิ้งเคอ!”


แต่ว่า…


เขามองไม่เห็นเธอ! ย่อมไม่ได้ยินเสียงของเธอด้วย และดูเหมือนว่าจะสัมผัสถึงเธอไม่ได้เลย


กู้ซีจิ่วคิดจะยื่นมือไปโบกอยู่เบื้องหน้าเขา ผลคือเธอหาไม่เจอว่ามือของตัวเองอยู่ตรงไหน


ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ?


มิใช่ว่าเขามองเห็นวิญญาณเสมอมาหรอกหรือ?


ครั้งนี้เป็นเสแสร้งเหรอ? หรือว่ามองไม่เห็นเธอจริงๆ?


เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ตัดสินใจอีกครั้ง พุ่งเข้าใส่ร่างนั้นที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา!


ตามปกติแล้วการสิงร่างเพื่อคืนชีพก็คือต้องใส่ดวงวิญญาณเข้าไป จากนั้นก็จะคืนชีพขึ้นมา


ผลคือ รอบๆ ร่างนั้นราวกับมีเขตแดนสกัดกั้นภูตผีวิญญาณอันใดอยู่บนร่าง เธอถูกดีดสะท้อนออกไป!


ยังคงล่องลอยอยู่เหนือรถม้าเสมือนจอกแหน ไร้ที่พึ่งพา ไร้สิ่งพึ่งพิง


กู้ซีจิ่วนิ่งอยู่ตรงนั้นโง่งมอยู่ครู่หนึ่ง ในใจไม่อาจบรรยายความรู้สึกได้ชั่วขณะ


เธอรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตนถูกสวรรค์เล่นงานแล้ว!


หลังจากดวงวิญญาณแตกสลายเธอจำได้อย่างเลือนรางว่าเวลาช่างยาวนานเหลือเกินจดจำอะไรไม่ได้เลย พอมีสติขึ้นมาเล็กน้อยก้รู้สึกว่าตนคล้ายถูกกักขังไว้บนเมฆอันใดสักอย่าง


มีเสียงหนึ่งแว่วงึมงำอยู่ด้านข้าง คล้ายจะกล่าวว่าเธอฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์ สมควรได้รับโทษทัณฑ์อะไรทำนองนั้น


เธอนึกชังที่อีกฝ่ายโวยวายเกินไป จึงต่อยออกไปหมัดหนึ่ง!


ผลคือ ผลคือเธอหล่นลงมาจากเมฆก้อนนั้น!


จากนั้นเธอก็มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่


เธอมองดูสองคนนั้นที่โอบกอดกันอยู่ด้านล่าง รู้สึกว่าน่าขันยิ่งนัก!


สรุปแล้วเธอฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์อันใดกัน? ถึงต้องรับโทษทัณฑ์เช่นนี้!


เห็นกันอยู่ชัดๆ มิใช่หรือว่าเธอเป็นผู้กำจัดภัยพิบัติใหญ่หลวงอย่างโม่เจ้า? ทำเรื่องดีงามที่น่าโศกเศร้าสรรเสริญยิ่งนักชัดๆ มิใช่หรือ?!


สวรรค์ไม่ยุติธรรม! ทำไมถึงทำกับเธอแบบนี้?!


ความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวในใจแผ่ขยายไปดั่งคลื่นวารี เธอล่องลอยอยู่ตรงนั้นอย่างห่อเหี่ยว ไม่อยากทำอะไรไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่หนึ่ง สัญชาตญาณของเธอก็พบปัญหาที่ร้ายแรงยิ่งนักอีกข้อหนึ่ง!


ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะไม่ได้ยินเสียงด้วย! ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย! โลกของเธอเป็นโลกที่เงียบงัน


เพียงแต่ตอนแรกที่เธอมีสติมองเห็นทุกสิ่งนี้รู้สึกตกใจมากเกินไป จึงไม่สังเกตเห็นปัญหาข้อนี้ไปชั่วขณะ


ตำแหน่งที่เธออยู่ในตอนนี้คือภายในรถม้า และรถม้าคันนี้กำลังเคลื่อนไปตามท้องถนน นอกรถมีพวกมู่เฟิงทั้งสี่เป็นผู้ติดตาม เพียงแต่การแต่งกายของพวกเขาในยามนี้เป็นการแต่งกายในฐานะเทวทูตส่างซั่นเฉิงเอ้อร์


————————————————————————————-


บทที่ 1729 คืนชีพ 4


และสองฟากฝั่งถนนก็มีประชาชนคุกเข่าทำความเคารพอย่างคึกคักตื้นตันอย่างยิ่ง…


ถึงแม้ว่ายามที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกตรวจการเหล่าปวงประชาจะคุกเข่าต้อนรับอยู่สองฟากฝั่งถนน แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมา แต่ถึงอย่างไรผู้คนก็มากมายเนืองแน่น ต่อให้ไม่พูดคุยกัน เพียงเสียงลมหายใจนั้นก็น่าดูชมยิ่งนักแล้ว


แต่ยามนี้แม้กระทั่งเสียงลมหายใจกู้ซีจิ่วก็ไม่ได้ยินเลย…


รถคันนี้กันสียงหรือ?


กู้ซีจิ่วลองลอยออกมาไปนอกรถดู ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะลอยออกไปได้!


เธอทอดสายตามองด้านล่าง ในที่สุดก็แน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้ยินจริงๆ…


ในเมื่อสามารถลอยออกมาได้ กู้ซีจิ่วก็ไม่คิดจะลอยกลับไปอีกแล้ว เธอไปยังภัตตาคารแห่งหนึ่งที่อยู่ละแวกนั้น


หลังจากราชรถของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนผ่านไป เหล่าแขกเหรือของที่นี่ก็พากันสนทนาพูดคุย


ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะไม่ได้ยินเสียง แต่เคราะห์ดีที่เธออ่านรูปปากเป็น มองดูไปทีละคนๆ ก็ทำให้เธอเข้าใจเรื่องที่พวกเขาคุยกันได้แล้ว


แขกหมายเลขหนึ่ง “ข้าจะบอกพวกเจ้าไว้นะ วันก่อนข้าก็ได้เห็นราชรถของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์!”


แขกหมายเลขสองที่นั่งโต๊ะเดียวกัน “หือ จริงรึ เหมือนกันครั้งนี้ไหม?”


“แน่นอนว่าไม่เหมือนกัน! ในแต่ละครั้งที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกมาปรากฏตัวในไม่กี่ครั้งนี้ราชรถล้วนเปลี่ยนไปทุกครั้ง แน่นอนว่าไม่ซ้ำกันเลย ครั้งก่อนที่ข้าเห็นเป็นราชรถแก้วผลึกสีฟ้าวารี…งดงามเช่นเดียวกับวันนี้! ไอ่หยา คลังศัพท์ของข้ามีจำกัด ไม่รู้ว่าควรจะบรรยายออกมาอย่างไรดี!” น้ำเสียงของแขกหมายเลขหนึ่งดูตื่นเต้นเหนือธรรมดา


“ไม่กี่ครั้งที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวออกมานี้ ราชรถคันใดบ้างเล่าที่มิใช่ดูดีน่าชมเป็นที่สุด? เอะอะมะเทิ่งไปได้” มีคนที่อยู่โต๊ะข้างๆ เอ่ยสอดเข้ามา


“ใช่ๆ ถูกแล้ว ครั้งนั้นเจ้าเห็นท่านทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินอยู่ในราชรถของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หรือไม่?” จู่ๆ ก็มีคนเอ่ยถามขึ้นมา


“ย่อมต้องเห็นอยู่แล้ว! นางอยู่ในราชรถ ถึงแม้จะไม่ได้ออกมา แต่ราชรถแก้วผลึกโปร่งใส ข้ายังเห็นเงาร่างของนางได้รางๆ…ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเช่นยามนี้แหละ นั่งเคียงกายนาง…” คนผู้นั้นพูดจนน้ำลายกระเด็นเป็นฝอย


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ แล้ว


ยามตี้ฝูอีใช้ฐานะของเทพศักดิ์สิทธิ์จะเงียบเชียบไม่เอิกเกริกเสมอมา แปดปีสิบปีก็ไม่ยังไม่แน่ว่าจะปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางฝูงชนสักครั้ง ครั้งนี้เป็นอะไรไปล่ะ?


ปรากฏตัวท่ามกลางฝูงชนอย่างต่อเนื่อง ซ้ำยังโอบร่างของเธอไว้…


นี่เป็นการแสดงความรักอย่างโจ่งแจ้งเอิกเกริกหรือ?


ดูท่าเขาคิดจะให้เหล่าปวงชนได้รู้จักนาง คิดจะมอบชื่อเสียงศักดิ์ฐานะให้นาง


เพียงแต่ในเมื่อเขาต้องการคืนชีพให้หลานจิ้งเคอ ทำไมถึงไม่รอให้นางฟื้นคืนชีพขึ้นมาแล้วค่อยเปิดเผยเล่า? ยามนี้ในสายตาของประชาชน เขากำลังเปิดเผยออกหน้าออกตาอยู่กับกู้ซีจิ่ว…


มาสวมชื่อเสียงศักดิ์ฐานะของตัวเธอกู้ซีจิ่วทำไมกันล่ะ?


หรือว่าหลังจากหลานจิ้งเคอได้รับร่างนั้นไปแล้ว ก็สมัครใจอยากเป็นกู้ซีจิ่ว?


หลานจิ้งเคอเป็นคนที่หยิ่งทะนง ไหนเลยจะยินยอมใช้ชีวิตด้วยการสวมชื่อเสียงใช้ชีวิตในฐานะของผู้อื่นได้?


ก็เหมือนกับเธอ เมื่อก่อนไม่ยินยอมสวมชื่อเสียงใช้ชีวิตในฐานะของหลานจิ้งเคอ แม้ว่านางจะเป็นประมุขเผ่าเงือก แม้ว่าจะได้ขุมกำลังของเผ่าเงือกมาไว้ในกำมือก็ตาม…


สรุปแล้วตี้ฝูอีวางแผนอะไรอยู่กันแน่?


กู้ซีจิ่วใคร่ครวญไม่แตกฉานไปชั่วขณะ มองบทสนทนาอีกไม่กี่ประโยค ไม่มีอะไรมากไปกว่าเหล่าประชาชื่นชมสรรเสริญเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นหลังจากกู้ซีจิ่วอ่านบทสรรเสริญเยินยอเหล่านั้นไปสองสามประโยคก็รู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ขณะที่กำลังจะพักผ่อน


จู่ๆ กลับอ่านประโยคหนึ่งจากปากของคนผู้หนึ่งได้เช่นนี้ “ได้ยินว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คิดจะส่งมอบตำแหน่งให้แก่ท่านทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินแม่นางกู้ซีจิ่ว…”


กู้ซีจิ่วแข็งทื่อในทันใด ปฏิกิริยาแรกคือเป็นไปไม่ได้!


ตี้ฝูอีมิใช่จักรพรรดิแดนมนุษย์ที่มีเกิดแก่เจ็บตาย ต้องการรัชทายาทเพื่อมาสืบทอดตำแหน่งในภายภาคหน้า เขาเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย ส่งมอบตำแหน่งอะไรกัน!


มีคนเอ่ยถามเช่นเดียวกันออกมาจริงๆ


คนผู้นั้นกล่าวว่า “เจ้าจะไปรู้อะไรล่ะ? ความคิดของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ใช่สิ่งที่มนุษย์เดินดินอย่างพวกเราสามารถคาดเดาได้หรือ? บางทีท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อาจจะเหนื่อยหน่ายแล้ว ต้องการบรรลุสู่เบื้องบน ดังนั้นจึงมอบหมายทุกสิ่งในแดนมนุษย์ให้แม่นางกู้มาดูแลจัดการ และบางทีท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อาจะต้องการจะปลดเกษียณไปอย่างสมบูรณ์ เห็นว่าแม่นางกู้เป็นเมล็ดพันธ์ดีที่หาได้ยากได้คนหนึ่ง ดังนั้นจึงส่งมอบตำแหน่งแก่นาง…”


บทที่ 1730 คืนชีพ 5


“นี่ก็ใช่ ระยะนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่กับแม่นางกู้ตลอดเวลาเลย ดีต่อนางเป็นพิเศษ”


“พวกเจ้าว่า…แม่นางกู้จะใช่ว่าที่ฮูหยินท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หรือไม่?”


“นี่ก็…ยากจะกล่าวได้ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ชื่นชมแม่นางกู้อย่างเหนือธรรมดา ยามนี้เขาพานางออกท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศ ให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดเจนยิ่งนักว่าหนุนหลังนาง ต้องการมอบฐานะอันใดให้นาง…”


“ยางทีอาจจะเป็นฐานะผู้สืบทอดของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กระมัง? ถึงอย่างไรท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่คลุกคลีกับเรื่องทางโลก น่าจะมิใช่ภรรยา…”


ผู้คนพูดคุยถกเถียงกันอย่างคึกคักเร่าร้อน ถึงแม้ตี้ฝูอีจะโดยสารรถม้าคันเดียวกับกู้ซีจิ่ว ถึงขั้นที่อิงแอบแนบชิดกัน แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังไม่คิดว่าเป็นเรื่องรักใคร่ชายหญิงอยู่ดี


กู้ซีจิ่วเหยาะหยัน ความคิดเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าอย่าได้คาดเดาเลย เดาไปเดามาพวกเจ้าก็เดาได้ไม่กระจ่างหรอก


ไม่เพียงแต่ฝูงชนอย่างพวกเขาเท่านั้นที่เดาได้ไม่กระจ่าง แม้แต่เธอเองก็เดาได้ไม่กระจ่างเช่นกัน…


ขณะที่เธอกำลังค่อนข้างเหม่อ พลันรู้สึกว่าร่างกายรัดแน่นขึ้นมา ร้องอุทานคราหนึ่ง จวบจนปฏิกิริยาของเธอกลับมาอีกครั้ง เธอก็กลับมาที่รถม้าแก้วผลึกคันนั้นแล้ว


แน่นอนว่าเธอยังคงล่องลอยอยู่ที่หลังคาของรถม้าแก้วผลึกอยู่เช่นเดิม


ท่าทางของสองคนนั้นที่นั่งอยู่ด้านล่างคล้ายจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย


สายตาเธอร่อนลงบนมือที่เกาะกุมกันอยู่ของสองคนนั้น หัวใจพลันพลุ่งพล่านปานน้ำเดือด!


สิบนิ้วสอดประสาน!


ในอดีตเป็นท่าทางที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดของเขากับเธอ ยามนี้มองแล้วกลับรู้สึกเคืองตาเป็นพิเศษ!


ยามนั้นเวลาที่เธอกับเขากุมมือประสานกัน ในใจจะเปี่ยมด้วยรู้สึกราวกับว่าได้ครอบครองโลกทั้งใบ เขาอาศัยสิ่งใดถึงนำเอากริยาทั้งหมดที่ปฏิบัติต่อเธอมาใช้กับหลานจิ้งเคอ?


กู้ซีจิ่วแทบจะอยากพุ่งเข้าไป ทำให้มือที่เกาะกุมกันอยู่ของพวกเขาแยกออกเสีย


เธอมองตี้ฝูอีอย่างชิงชัง สีหน้าของตี้ฝูอีอ่อนโยนยิ่งนัก พูดกับซากร่างที่เอนซบไหล่ตนอยู่ “เด็กน้อย ข้าอยู่ว่ายามที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ต้องการจะเปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกเรายิ่งนัก อยากให้ฝูงชนทราบถึงของข้ากับเจ้าอย่างยิ่ง…” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย “น่าเสียดายที่ยามนั้นข้าเอาแต่พะวงกังวลไม่อาจเติมเต็มเจ้าได้ ซ้ำยังทำให้หัวใจเจ้าแตกสลายอีก ตอนนี้ข้าชดเชยให้แล้วเจ้าดีใจหรือไม่?”


กู้ซีจิ่วนิ่งงัน


เธอรู้สึกว่าขอบตาเธอแดงก่ำแล้ว!


ไม่ดีใจ! เธอไม่ดีใจเลย!


คำว่า ‘เด็กน้อย’ นี้เขาเรียกผู้ใดกัน?


หรือว่าเขาก็เคยเรียกหลานจิ้งเคอว่าเด็กน้อยเหมือนกัน?


คำเรียกขานนี้เธอไม่ได้ยินเขาเอ่ยออกมาเนิ่นนานมากแล้ว ยามนี้เมื่อได้เห็นสองคำนี้ออกมาจากปากของเขาอีกครั้ง หัวใจเธอพลันเต้นรัวขึ้นมา อีกทั้งรู้สึกราวกับได้กลืนบ๊วยเค็มนับไม่ถ้วนเข้าไป ในใจปวดร้าวอย่างยิ่ง…


ประหลาดนัก เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าตอนนี้เธอไม่มีร่างกาย แต่กลับยังมีความรู้สึกต่างๆ อยู่ ถึงขั้นที่เธอรู้สึกได้เลยว่าโพรงจมูกแสบร้อน


“เด็กน้อย ใต้หล้านี้จะเป็นของเจ้า…รอเมื่อเจ้าฟื้นขึ้นมา ข้าจะคือโลกที่อันแสนสงบสุขให้เจ้า…”


กู้ซีจิ่วตะลึง!


เขาคิดจะให้หลานจิ้งเคอเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์คนต่อไปจริงๆ น่ะหรือ? แล้วเขาล่ะ? จะปลีกตัวไปอยู่หลังม่านหรือ?


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าบ๊วยเค็มที่ซ่อนเร้นอยู่ในทรวงอกตนเหล่านั้นแตกสลายแล้ว…


ด้านนอกคล้ายมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง ตี้ฝูอีลืมตาขึ้นมา มองออกไปนอกรถม้า


กู้ซีจิ่วก็มองออกไปเช่นกัน เห็นมู่เฟิงเข้ามารายงานพอดี


มู่เฟิงสวมหน้ากากไว้ อีกทั้งกู้ซีจิ่วก็ไม่ยินเสียง ย่อมไม่ทราบว่าเขารายงานอันใด เห็นเพียงว่าตี้ฝูอีที่อยู่ในรถพยักหน้านิดๆ


“เด็กน้อย ข้าจะพาเจ้าไปดูศาลบูชาของเจ้า”


ศาลบูชา? คืออะไรกันอีกล่ะ?


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว เห็นตี้ฝูอีอุ้มร่างนั้นขึ้นมา หมุนกายคราหนึ่งหายลับไปเลย


ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เบื้องหน้าก็ซีจิ่วก็พร่าเลือนไปเช่นกัน ยามที่ปฏิกิริยาตอบสนองของเธอกลับมาอีกครั้ง ก็พบว่าตนลอยอยู่ในอาคารที่คล้ายศาลเจ้าหลังหนึ่ง


—————————————————————————


บทที่ 1731 ข้าลงมือสลักเองเชียวนะ


ควันธูปของที่นี่ตลบฟุ้งรุ่งเรืองยิ่ง ด้านนอกมีผู้มาสักการะหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ผู้คนพากันกราบบูชารูปสลักที่อยู่ภายในห้องโถงใหญ่ ปากภาวนาขอให้ช่วยปกปักษ์รักษาสารพัด ฝูงชนต่างเลื่อมใสศรัทธากันยิ่งนัก บ้างก็ขอบุตร บ้างก็โชคลาภ บ้างก็ขอคู่ครอง…


ฉากนี้สำหรับกู้ซีจิ่วไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือว่าจะเป็นชาตินี้เธอล้วนประสบพบเห็นมามากมายแล้ว จึงไม่ประหลาดใจเลยสักนิด


สายตาของเธอร่อนลงบนรูปสลักเทพยดาที่ประณีตงดงามองค์นั้น!


เธอเคยเห็นรูปสลักเทพยดามามากมายแล้ว แบบดุดันเอย แบบอ่อนโยนมีเมตตา แบบสุภาพหล่อเหลา แบบเดียวที่ยังไม่เคยเห็นก็คือแบบที่งดงามถึงเพียงนี้ เหมือนมนุษย์จริงๆ ปานนี้!


นี่มันหุ่นขี้ผึ้งที่จำลองมาจากตัวเธอชัดๆ! ซ้ำยังเป็นระดับสุดยอดอีก สามารถเทียบเคียงกับมนุษย์จริงๆ ได้เลย


กู้ซีจิ่วไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งตนจะถูกสร้างรูปสลักกลายเป็นเทพยดาที่ถูกกราบไหว้บูชา จึงตะลึงงันไปชั่วขณะ


และที่แทบเท้าของรูปสลัก ก็มีชื่อของเทพยดาองค์นี้อยู่ ‘ทูตสวรรค์กู้ผู้เปี่ยมเมตตา’


ทูตสวรรค์กู้…


ไม่ใช่ทูตสวรรค์หลาน นี่สร้างขึ้นเพื่อตัวเธอกู้ซีจิ่วโดยเฉพาะเหรือ?


นี่คือสิ่งชดเชยที่เขาทำให้เพราะรู้สึกผิดต่อเธอใช่ไหม?


ศาลบูชาระลึกถึงคุณความดีกล่าวคือสามารถมอบความเป็นสิริมงคลให้แก่ผู้ที่ได้รับการจารึกไว้ในศาล สร้างสมวาสนาบารมี ทำให้บารมีของคนผู้นี้แผ่ขยายออกไป


มีเพียงผู้ที่เคยมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อราษฎร ช่วยเหลือปวงประชาจากเภทภัยเท่านั้น ถึงจะเป็นไปได้ที่หลังจากสิ้นชีพไปแล้วจะมีประชาชนสร้างศาลระลึกถึงคุณความดีของผู้นี้ขึ้น เสพสุขกับควันธูปในแดนมนุษย์


ตำนานกล่าวว่านาจาก่อกวนให้ท้องสมุทรปั่นป่วน ถูกเจ้าสมุทรทะเลตงไห่บีบคั้นจนสิ้นชีพ มารดาของเขาจึงสร้างศาลบูชาให้เขา ให้เขาได้รับไอธูปหล่อเลี้ยง หลังจากสั่งสมบุญบารมีพอแล้ว เขาจึงฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง…


นี่ตี้ฝูอีคิดจะคืนชีพให้เธอหรือไง? เขาคิดจะให้เธอกลับมามีชีวิตอีกครั้งงั้นหรือ?


จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่านัยน์ตาแสบเคืองอยู่บ้าง ในสมองคล้ายมีช่วงที่ตนวิญญาณแตกสลายแวบเข้ามา เป็นฉากในยามที่ตี้ฝูอีพุ่งเข้ามาโอบกอดเธอไว้


ตอนนั้นเธอสะลึมสะลือ มองไม่ชัดฟังไม่ได้ยิน รู้สึกได้เพียงรางๆ ว่าเขาร้องไห้ด้วย…


ยามนั้นหยาดน้ำอุ่นร้อนหยดลงบนใบหน้าของเธอ น่าจะเป็นน้ำตาของเขา


ตี้ฝูอีแข็งแกร่งมาโดยตลอด เกรงว่าชั่วชีวิตเขาคงไม่เคยร้องไห้เลย อย่างน้อยเธอก็ยังไม่เคยเห็น แต่ครั้งนั้นเขากอดเธอไว้แล้วร้องไห้


ร่างกายที่โอบกอดเธอไว้สั่นสะท้านอยู่บ้าง ราวกับยังควพยายามตะโกนเรียกเธออย่างสุดชีวิต…


เขามีความรู้สึกต่อเธอ เธอรู้ดีเสมอมา และไม่เคยปฏิเสธในจุดนี้เลย เพียงแต่…


เพียงแต่ไม่อยากเห็นเขาเป็นทุกข์ เห็นเขาสิ้นหวังจนหัวขาวโพลน…


ถึงอย่างไรเขาก็วางแผนเพื่อคืนชีพให้หลานจิ้งเคอมาเนิ่นนานปานนั้นแล้ว…


กู้ซีจิ่วจ้องมองรูปสลักนั้น จิตใจแปรปรวนไปชั่วขณะ ในทรวงคล้ายจะฝาดเฝื่อนคล้ายจะหวานล้ำอีกทั้งคล้ายว่าจะโป่งพอง ซ้ำยังปะมีความขมขื่นปะปนอยู่เล็กน้อยด้วย


ควันจากในกระถางธูปลอยม้วนขึ้นมา ไอควันธูปในห้องโถงตลบอบอวล เสียงผู้คนจ้อกแจ้กจอแจ…


เดี๋ยวนะ! เสียงจอแจ?!


ดูเหมือนว่า…ดูเหมือนว่าเธอจะได้ยินเสียงแล้ว! ได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยแล้ว!


ก่อนหน้านี้เธออยู่ในโลกที่เงียบสงัดไร้สุ้มเสียง แต่ในหลังจากล่องลอยเช่นนี้ไปรอบห้องโถงแห่งนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะค่อยๆ ได้ยินเสียงขึ้นมาแล้ว เริ่มแรกเสมือนมีน้ำกั้นอยู่ ต่อมาจึงค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ…


เธอไม่เพียงแต่ได้ยินเสียงเท่านั้น ยังรับกลิ่นได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่นยามนี้ เธอได้กลิ่นหอมของผลแตงบนโต๊ะบูชาและได้กลิ่นควันธูปในกระถางธูป…


เธอค่อนข้างงุนงง เธอไม่เคยเป็นผีมาก่อน ดังนั้นจึงไม่ทราบว่าสรุปแล้วผีสมควรอยู่ในสภาพเช่นใดถึงจะเป็นเรื่องปกติ


ตอนนี้เธอยังคงมองไม่เห็นร่างกายของตนอยู่ ทว่ามีประสาทรับรู้ทั้งห้าของมนุษย์แล้ว…


“เด็กน้อย รูปสลักนี้เหมือนเจ้าหรือไม่? ข้าลงมือสลักเองเชียวนะ” เสียงของตี้ฝูอีแว่วมาจากด้านข้าง ทำเอากู้ซีจิ่วสะดุ้งโหยง


เธอหันไปมองตามเสียง ได้เห็นตี้ฝูอีอีกครั้ง


เขาอุ้มสังขารนั้นนั่งอยู่บนเสาคานต้นหนึ่ง สังขารนั้นนั่งอยู่บนขาเขา เขาใช้มือหนึ่งโอบมันไว้ เอ่ยกระซิบริมหูมัน


เห็นได้ชัดว่าเขาใช้วิชาเร้นกาย ผู้สักการะมากมายปานนี้ล้วนมองไม่เห็นเขาเลย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)