อัจฉริยะสมองเพชร 1724-1729

 ตอนที่ 1724 จางเซวียนรับคำท้า

“ท้าดวล?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “เผ่าพันธุ์ปีศาจกล้าเปิดเผยตัวออกหน้าออกตา แถมยังยินยอมทำตามกฎนี่นะ?”


เท่าที่เขารู้ มารยาทและธรรมเนียมต่างๆนั้นไม่มีไม่มีความหมายอะไรกับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความกระหายเลือด พวกมันสนใจการรบราฆ่าฟันมากกว่า ดังนั้นจึงดูประหลาดมากที่เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งมาท้าทายเขาอย่างเป็นทางการ


ที่สำคัญกว่านั้น มีปรมาจารย์ผู้ทรงพลังอยู่มากมายในโดมใบไม้ผลิอบอุ่น ด้วยความขัดแย้งระหว่างเหล่าปรมาจารย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ฝังรากลึกและยืดเยื้อมาหลายหมื่นปี ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ญาติสนิทมิตรสหายของทั้งสองฝ่ายจะต้องถูกอีกฝ่ายหนึ่งสังหารไปบ้าง แล้วเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่เกรงว่าจะถูกฆ่าหรือหากกล้าเข้ามาที่นี่?


“ไม่ใช่เพราะพวกมันอยากทำตามกฎหรอก แต่พวกมันไม่มีทางเลือก” เซียนดาบชิงอธิบายพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ


“พวกมันไม่มีทางเลือก?” จางเซวียนสงสัย ครู่ต่อมาเขาก็ตาโตเมื่อนึกได้ “หรือว่ามีเหล่านักปราชญ์โบราณอยู่ที่นี่ด้วย?”


มีแต่นักปราชญ์โบราณเท่านั้นที่จะทำให้นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกต้องถูกบังคับให้ยอมจำนนโดยปราศจากเงื่อนไข


“ใช่แล้ว มีเหล่านักปราชญ์โบราณอยู่ในบริเวณนี้ นักปราชญ์โบราณของตระกูลจางของเราก็อยู่ที่นี่เช่นกัน แม้เหล่านักปราชญ์โบราณของทั้งสองฝ่ายจะไม่อยากเผชิญหน้ากัน แต่พวกเขาก็เห็นพ้องกันว่าสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ด้วยการดวลอย่างชอบธรรม การจงใจสังหารโดยเจตนาถือเป็นข้อห้ามก็จริง แต่ก็ไม่มีทางที่พื้นที่บริเวณนี้จะสงบสุขได้!” เซียนดาบชิงอธิบาย


จางเซวียนพยักหน้า


ไม่น่าแปลกใจแล้วที่เขาไม่พบอันตรายใดๆระหว่างการเดินทาง คงเป็นเพราะการคุมเชิงกันระหว่างทั้งสองฝ่ายนั่นเอง


หรือไม่อย่างนั้น ก็เป็นไปได้ว่าสงครามจะเกิดขึ้นก่อนที่หอบริวารจะถูกเปิดออก บางที พวกเขาคงเล่นงานกันเองเพียงเพื่อจะให้ได้ทรัพย์สมบัติมาอยู่ในมือ


หากจะเปรียบเทียบกับชีวิตเก่าของเขา เหล่านักปราชญ์โบราณของทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจก็เหมือนอาวุธนิวเคลียร์ที่ทำให้แต่ละฝ่ายวางใจว่าตัวเองปลอดภัย ซึ่งเหตุผลที่ไม่มีฝ่ายไหนเต็มใจผลักดันเหล่านักปราชญ์โบราณให้ออกมาสู้รบก็เพราะรู้ดีว่าการสู้รบจะยืดเยื้อบานปลายทันทีหากต้องสูญเสียนักปราชญ์โบราณไป ในเมื่อพวกเขายังไม่ได้เห็นแม้แต่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องแบกรับความเสี่ยงขนาดนั้น


“เหตุที่พวกมันท้าทายพ่อก็เพราะพวกมันอยากได้เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานที่พ่อมีอยู่ หรือเพื่อจะได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อตามหลังพวกเรา!” เซียนดาบชิงชักดาบออกมาและคำราม “แล้วพ่อจะปล่อยให้พวกมันทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างไร?”


“ท่านพ่อ ได้โปรดรอก่อน!” เห็นเซียนดาบชิงกำลังฮึดฮัด จางเซวียนลุกขึ้นยืนและยับยั้งอีกฝ่ายไว้ “ให้ผมออกไปดวลกับมันแทนเถอะ”


“ลูกหรือ?” เซียนดาบชิงชะงัก


“ใช่ ถึงวรยุทธของผมจะเป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ แต่ผมก็มีพละกำลังมากพอที่จะรับมือกับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานได้ อีกอย่าง ผมบังเอิญพบกับความโชคดีเล็กน้อยระหว่างทางที่มาที่นี่ และรู้สึกว่าครั้งนี้จะเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้ทดสอบตัวเอง” จางเซวียนตอบอย่างมั่นใจ


แม้เซียนดาบชิงจะสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกแล้ว แต่ศัตรูก็ไม่ได้อ่อนด้อย ไม่ใช่เพราะจางเซวียนไม่เชื่อมั่นในประสิทธิภาพการต่อสู้ของเซียนดาบชิง แต่เขาไม่เต็มใจที่จะเห็น อันตรายใดๆเกิดขึ้นกับอีกฝ่าย


เซียนดาบชิงประเมินจางเซวียนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “อย่างนั้นก็ได้…ดูแลตัวเองด้วยนะ! ถ้าลูกรู้สึกว่าตัวเองจนมุม ให้รีบกลับมาที่นี่ทันที”


ลูกชายของเขาอาจมีอายุเพียง 20 ต้นๆ แต่มีวิถีทางการต่อสู้มากมายที่แม้แต่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ยังต้องยำเกรง พูดตามตรง ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะเป่ยหยวนได้ แต่ลูกชายของเขาเก่งกาจพอที่จะเล่นงานอีกฝ่ายได้สำเร็จแน่


“ผมจะทำตามนั้น” จางเซวียนพยักหน้า จากนั้นก็กระโจนออกจากโดมและไปปรากฏตัวตรงหน้าเผ่าพันธุ์ปีศาจ “ผมคือจางเซวียน ถ้าคุณอยากท้าทายท่านพ่อของผม ต้องผ่านผมไปก่อน”


“คุณมีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยหรือ?” ดูเหมือนเป่ยหยวนจะไม่รู้จักจางเซวียน เห็นบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นแค่ชายหนุ่มคนหนึ่ง เป่ยหยวนจ้องมองด้วยสายตาคลางแคลงใจ “ถ้าคุณแพ้ ผมขอให้คุณส่งมอบเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานมา!”


“แน่นอนว่าผมจะทำอย่างนั้น” จางเซวียนหัวเราะหึๆ “ถ้าผมแพ้ ผมจะมอบเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานให้คุณ แต่ถ้าผมชนะล่ะ?”


เป่ยหยวนสะบัดข้อมือและนำเกราะโลหะที่มีความยืดหยุ่นอย่างน่าอัศจรรย์ออกมา เขาตบเกราะโลหะอย่างแรงและคำราม “ถ้าคุณชนะ ผมจะมอบเกราะระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ให้คุณเป็นการชดใช้!”


“คุณคิดจะแลกเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานกับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นี่นะ? เห็นผมเป็นไอ้โง่หรือไง?” จางเซวียนเลิกคิ้วอย่างดูถูก


ขนาด 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ยังเสนอของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณให้เพื่อแลกกับเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน การที่อีกฝ่ายเสนอของล้ำค่าที่มีระดับขั้นเพียงแค่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นเดิมพัน…จะดูถูกเขาเกินไปหน่อยแล้ว!


“ถ้าอย่างนั้น คุณต้องการอะไร?” เป่ยหยวนขมวดคิ้ว


ก่อนหน้านี้ พวกเขาได้ทำการดวลกันมาแล้ว ซึ่งแม้เผ่าพันธุ์ของมันจะเป็นฝ่ายสูญเสีย แต่เซียนดาบชิงก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร แล้วทำไมเดิมพันนี้ถึงกลายเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมขึ้นมาทันทีเมื่อมาถึงชายหนุ่ม?


“ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ 3 ชิ้น!” จางเซวียนประกาศหนักแน่น


“ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ 3 ชิ้น?” เป่ยหยวนหรี่ตาเมื่อได้ยินข้อเรียกร้องของอีกฝ่าย “ฝันไปเถอะ!”


“ก็แล้วแต่นะ ผมก็ไม่อยากเสียเวลากับคุณเหมือนกัน คุณควรจะรู้ว่าเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานนั้นจำเป็นต่อการเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ ต่อให้เป็นแค่หอบริวาร และมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่มรดกตกทอดของปรมาจารย์ขงนั้นก็ถือว่าพิเศษมาก คุณควรจะคิดดูให้ดี เมื่อเวลานั้นมาถึง อย่าหาว่าผมไม่ให้โอกาสก็แล้วกัน…ถ้าคุณไม่ยอมรับข้อตกลงนี้ ก็แค่พูดออกมาเหอะ ผมเหนื่อยกับการสำรวจพื้นที่และอยากพักผ่อนแล้ว!” จางเซวียนยืดหลังบิดขี้เกียจขณะเดินกลับเข้าสู่โดมใบไม้ผลิอบอุ่น


“เอ่อ…” เป่ยหยวนถึงกับเงียบกริบ


ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ 3 ชิ้นถือเป็นของแลกเปลี่ยนราคาสูง แต่ก็เทียบอะไรกันไม่ได้เลยกับโอกาสที่จะได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อและได้ยึดครองมรดกตกทอดของปรมาจารย์ขง


“ขอเวลาผมสักครู่ ผมจะกลับไปหารือกับคนอื่นๆก่อน”


เมื่อพูดจบประโยคนั้น เป่ยหยวนก็หันหลังกลับและมุ่งหน้าเข้าสู่โดมอีกหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างออกไป ซึ่งมีชื่อว่า ‘ร้อนเร่าดั่งไฟ’


ไม่ช้าเขาก็กลับมา “ผมตอบตกลงตามข้อเรียกร้องของคุณ”


เมื่อพูดจบ เป่ยหยวนก็สะบัดข้อมือ แล้วของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ 3 ชิ้นก็ปรากฏตรงหน้า


เซียนดาบชิงก้าวออกมาแล้วปล่อยเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานให้ลอยอยู่กลางอากาศเพื่อเป็นการแสดงความชัดเจน


“เริ่มเลยเถอะ! ผมไม่เชื่อหรอกว่าชายหนุ่มอายุเพียง 20 ปีอย่างคุณจะเทียบชั้นกับผมได้” เป่ยหยวนเยาะ


เมื่อทั้งคู่ยืนยันเดิมพันของตัวเองแล้ว เป่ยหยวนก็ไม่ยอมเสียเวลา เขาชักดาบออกมา พร้อมจะกระโจนเข้าสู่การดวล


“รอเดี๋ยว ก่อนจะเริ่ม ผมคิดว่าเราควรคุยกันเรื่องกฎกติกาให้ชัดเจนก่อน” จางเซวียนยกมือ


“กฎกติกา?”


“ถูกต้อง การต่อสู้ระหว่างเราเรียกว่าการดวลโดยชอบธรรม ใช่ไหม?”


“แน่นอน!” เป่ยหยวนพยักหน้ารับ


ในเมื่อเป็นการดวลอย่างชอบธรรม ผมก็สามารถใช้ทักษะของผมได้ทุกรูปแบบ ถูกต้องไหม? พูดให้ชัดเจนขึ้นก็คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลสามารถใช้ค่ายกลของตัวเอง และนักฝึกอสูรก็สามารถนำอสูรของเขาเข้าสู่การดวลได้ ฟังดูยุติธรรมสำหรับคุณหรือเปล่า?” จางเซวียนตั้งคำถาม


“แน่นอน! ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพอะไร ใช้เทคนิคเหล่านั้นในการดวลได้เลย!” เป่ยหยวนยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ


ความแข็งแกร่งของผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลนั้นย่อมผูกติดอยู่กับค่ายกล และความแข็งแกร่งของนักฝึกอสูรก็หมายรวมถึงอสูรของพวกเขาด้วย พวกเขาได้อุทิศเวลาฝึกฝนศิลปะเหล่านี้เพื่อนำมาใช้ในการต่อสู้ จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของความสามารถของนักรบเช่นกัน


“ผมเข้าใจแล้ว…นั่นทำให้อะไรๆง่ายขึ้นมาก” ได้ยินเป่ยหยวนตอบรับ จางเซวียนสะบัดข้อมือและสั่งการ “เหล่าอสูร เล่นงานหมอนั่นให้ถึงแก่ชีวิต!”


ฟึ่บ!


ทันทีที่พูดจบ อสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 ก็ปรากฏตัวตรงหน้าจางเซวียนและเข้าตีวงล้อมเป่ยหยวนไว้ รังสีเข้มข้นของพวกมันผสานเข้าด้วยกันจนมีพละกำลังที่แข็งแกร่งพอจะฉีกกระชากมิติให้เป็นชิ้นๆได้


“พวกนี้คืออสูรของคุณหรือ?” เป่ยหยวนซวนเซด้วยความตกใจเมื่อเห็นอสูรทั้ง 5


ในเวลาเดียวกัน เซียนดาบชิงเหมิงกับปรมาจารย์อีกมากมายในโดมใบไม้ผลิอบอุ่นก็ตาโตจนแทบปะทุออกจากเบ้า ทุกคนพูดไม่ออกกับสิ่งที่เห็น


พวกมันเป็นอสูรขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกถึง 5 ตัว…


นี่คือ ‘ความโชคดีเล็กน้อย’ ที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้ใช่ไหม?


ถ้าสิ่งนี้เรียกว่าเป็นความโชคดีเล็กน้อย จะมีอะไรในโลกนี้อีกที่เรียกว่าความโชคดีใหญ่หลวง?


“ถูกต้อง” จางเซวียนพูด “ผมเป็นนักฝึกอสูร และผมก็เห็นว่ามันยุติธรรมดีที่ผมจะใช้อสูรของตัวเองในการต่อสู้ ถูกไหม? รีบสำแดงกระบวนท่าของคุณเถอะ!”


“….” เป่ยหยวนกระอักเลือดออกมา


ยุติธรรมบ้านคุณน่ะสิ!


ผมจะสู้กับอสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกถึง 5 ตัวพร้อมกันได้อย่างไร?


“ถ้าคุณไม่เริ่มสำแดงกระบวนท่า ผมจะเริ่มก่อนละนะ!” จางเซวียนพูดอย่างหมดความอดทน เขายกมือขึ้น จากนั้นก็โบกมือเพื่อสั่งการ “ปล่อยการโจมตี เล่นงานเขาเลย!”


ฮื่ออออ! ฮื่ออออ! ฮื่ออออ!


อสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกทั้ง 5 พุ่งเข้าใส่เป่ยหยวนทันที


นอกจากระดับวรยุทธของพวกมัน แต่ละตัวยังมีสายเลือดของอสูรสวรรค์โบราณด้วย และในฐานะที่เป็นห้าผู้ยิ่งใหญ่ของมิติผืนป่า พวกมันคว่ำหวอดและผ่านการสู้รบมามาก แม้เป่ยหยวนจะไม่อ่อนด้อย แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมกับพวกมันได้แม้แต่ตัวเดียว นับประสาอะไรกับ 5 ตัวผนึกกำลังกัน


สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผ่านไปเพียง 2-3 อึดใจ ร่างของเป่ยหยวนก็ฟกช้ำ บาดเจ็บ เลือดไหลเกรอะกรัง


รู้ดีว่าต้องตายแน่หากยังดื้อดึงต่อไป เป่ยหยวนร้องโหยหวนด้วยความสิ้นหวัง “ผมยอมแพ้…”


“ฮ่า ต้องอย่างนั้นสิ…” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจขณะเก็บของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ชิ้นเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ


เขาชำเลืองมองโดมร้อนเร่าดั่งไฟและพูดว่า “มีใครอยากท้าทายผมอีกไหม ผม, จางเซวียน ยิ่งกว่าเต็มใจที่จะรับคำท้า อีกอย่าง ผมจะเข้าท้าดวลเผ่าพันธุ์ปีศาจทุกตัวที่อยู่ในโดมเร่าร้อนดั่งไฟด้วย มีใครกล้ารับคำท้าของผมหรือเปล่า?”


ตอนที่ 1725 ความเก่งกาจของรากไม้

“บังอาจมาก!”


“ก็แค่เจ้าโง่คนหนึ่งที่หลงตัวเองเพียงเพราะประสบความสำเร็จในบางเรื่อง”


“งี่เง่า! คิดหรือว่าตัวเองไร้เทียมทานเพียงเพราะทำให้อสูร 2-3 ตัวยอมจำนนได้?”


ขณะที่จางเซวียนกำลังท้าทายเป่ยหยวน เผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนหนึ่งก็มุ่งหน้าเข้าสู่โดมร้อนเร่าดั่งไฟ เมื่อได้ยินคำพูดโอหังจากปากของจางเซวียน สีหน้าของพวกมันก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว แต่ละตัวตวาดก้องด้วยความหงุดหงิด


ตอนนี้มีเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นอยู่ราว 30 ตัว และเกินกว่า 6 ตัวในนั้นมีพละกำลังระดับเดียวกันกับเป่ยหยวน แม้จางเซวียนจะทำให้อสูรขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกยอมจำนนได้ถึง 5 ตัว แต่ก็ไม่อาจรับมือได้หากทั้ง 6 รวมผนึกกำลังกัน


“จะมาเถียงกันอยู่ให้ได้อะไร? ถ้าพวกคุณกล้าพอจะรับคำท้าของผมล่ะก็ นำทรัพย์สมบัติออกมาวางเป็นเดิมพันเลย” จางเซวียนตอบด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “ก็เหมือนเดิมนะ ผมจะนำเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานมาเป็นเดิมพัน คนแข็งแกร่งจริงน่ะจะใช้การกระทำ ไม่ใช่คำพูด!”


เผ่าพันธุ์ปีศาจต่างหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ


ชายหนุ่มพูดถูก พวกมันจะพูดอะไรก็ไม่มีความหมาย ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งที่ต้องแสดงออกมา!


“ผมจะให้เวลาพวกคุณคิด 10 นาที ระหว่างนี้ขอพักสักงีบ ถ้าพวกคุณรับคำท้าของผม ผมก็ไม่รังเกียจที่จะต่อกรด้วย!” จางเซวียนทิ้งท้ายกับเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกครั้งก่อนจะกลับเข้าสู่โดมใบไม้ผลิอบอุ่นพร้อมกับยืดหลังบิดขี้เกียจ


“ท่านหัวหน้าตระกูลของเราช่างแน่นอนจริงๆ…”


“เขาทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากมายอึ้งพร้อมๆกันได้ นี่คือความสามารถของผู้มีอำนาจตัวจริงเท่านั้น”


เหล่านักรบในโดมใบไม้ผลิอบอุ่นพยักหน้าด้วยความเคารพและยำเกรง


เป็นความจริงที่ว่าไม่มีฝ่ายไหนกล้ารุกล้ำมากเกินไป เพราะเหตุผลที่เกี่ยวกับนักปราชญ์โบราณ แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจก็อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มากเพราะมีพละกำลังเหนือกว่า ดังนั้น จึงเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ตกอยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำมาโดยตลอด


พวกเขาไม่คิดว่าหัวหน้าตระกูลจางจะสามารถพลิกผันสถานการณ์ได้ทันทีที่ปรากฏตัว


“คุณคือจางเซวียนใช่ไหม? ผมคือเป่ยเฟิง ยินดีรับคำท้าของคุณ!”


ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะกลับถึงโดมใบไม้ผลิอบอุ่น เผ่าพันธุ์ปีศาจร่างสูงตระหง่านก็เดินออกมา เขาคือหนึ่งในเผ่าพันธุ์ปีศาจ 6 ตัวที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก


เห็นใครคนหนึ่งรับคำท้า จางเซวียนถามยิ้มๆ “เดิมพันของคุณคืออะไรล่ะ?”


“ผมมีของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่ชิ้นหนึ่ง ซึ่งจะมอบให้คุณหากผมแพ้ แต่ในทางกลับกัน หากผมชนะ ผมจะไม่ขอให้คุณมอบเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานให้ผมหรอกนะ ทั้งหมดที่ผมต้องการก็คือโควต้า 3 ตำแหน่งเพื่อเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่” เป่ยเฟิงพูด


“โควต้า 3 ตำแหน่ง?” จางเซวียนขมวดคิ้ว


“จากอักษรจารึกที่เราพบในพื้นที่ ดูเหมือนเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานของเราจะอนุญาตให้ พวกเรานำผู้คนเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้เพียง 10 คนเท่านั้น” เซียนดาบชิงพูด


“ผมเข้าใจแล้ว!” จางเซวียนพยักหน้าหลังจากครุ่นคิด “ไม่มีปัญหาเรื่องนั้น ผมยอมรับเดิมพันของคุณ”


ต่อให้เป่ยเฟิงชนะการดวลและได้โควต้าสามตำแหน่งในการเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ จางเซวียนก็ยังได้เปรียบอยู่ดี เพราะในการต่อสู้ระหว่าง 7 ต่อ 3 ตระกูลจางย่อมถือไพ่เหนือกว่า และสามารถสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจผู้โชคร้ายทั้ง 3 ตัวที่ติดตามพวกเขาไปได้อย่างง่ายดาย


ถึงอย่างไร เหล่านักปราชญ์โบราณก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊ออยู่แล้ว พวกเขาจึงไม่มีอำนาจที่จะก้าวก่ายสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายใน


“ผมรู้ว่าอสูรทั้ง 5 ตัวนั้นเป็นอสูรของคุณ แต่ก็ไม่ใช่เครื่องชี้ชัดถึงประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แท้จริง ผมกำลังท้าทายคุณ ไม่ใช่อสูรของคุณ ในฐานะปรมาจารย์ คุณจะเก็บอสูรของคุณไว้แล้วเผชิญหน้ากับผมตัวต่อตัวได้หรือไม่?” เป่ยเฟิงถาม


“พูดอีกอย่างก็คือคุณไม่อยากให้ผมใช้อสูรของผมใช่ไหม?” จางเซวียนถามกลับพร้อมกับผุดรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดาความคิด


“ใช่ ผมยอมรับว่าอสูรทั้ง 5 ของคุณมีพละกำลังมาก แต่คุณกล้าหรือเปล่าที่จะใช้ความสามารถที่แท้จริงของตัวเองเพื่อต่อสู้กับผม คุณไม่รู้สึกว่าเป็นการเสื่อมเสียเกียรติบ้างหรือสำหรับปรมาจารย์อย่างคุณที่จะเอาแต่พึ่งพาอสูร?” เป่ยเฟิงท้าทาย


“ผมเผชิญหน้ากับคุณโดยไม่มีอสูรก็ได้…แต่ในเมื่อมันเป็นการตัดกำลังฝ่ายผม ผมก็อยากให้คุณ เพิ่มของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อีกชิ้นหนึ่งในการเดิมพัน” จางเซวียนพูด


“คุณอยากให้ผมเพิ่มเดิมพันด้วยของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อีกชิ้นหนึ่ง?” เป่ยเฟิงขมวดคิ้วขณะลดสายตาลงอย่างลังเล หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็สะบัดข้อมือ แล้วหินวิเศษสีแดงก่ำก็มาอยู่ในฝ่ามือของเขา “ผมไม่มีของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เหลือแล้ว แต่คริสตัลเลือดศักดิ์สิทธิ์นี้ทำงานด้วยการหล่อเลี้ยงจากหยดเลือดของอสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก มันสามารถปล่อยพลังงานเต็มพิกัดของผู้เชี่ยวชาญในระดับนั้น คริสตัลนี้จะเป็น แหล่งกำเนิดพลังจิตวิญญาณชั้นดีสำหรับการฝึกฝนวรยุทธของคุณ แม้อาจจะเทียบชั้นกับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้ แต่ก็น่าจะมีคุณค่าพอๆกัน คุณจะรับมันไว้ได้ไหม?”


จางเซวียนมองหินวิเศษสีแดงก่ำก้อนนั้น รู้สึกได้ทันทีถึงพลังจิตวิญญาณเข้มข้นที่แผ่ออกมาจากก้อนหิน มันเข้มข้นเสียจนแทบจะจับต้องได้ หากเขาใช้มันฝึกฝนวรยุทธ ก็คงยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่ามันเป็นประโยชน์สำหรับเขา


“ก็ได้ ผมยอมรับข้อตกลงของคุณ” จางเซวียนพพยักหน้ารับ


อันที่จริง เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองมีของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มากเกินไปสักหน่อยแล้ว เขาไม่อยากได้มันอีก ในแง่ของการใช้สอย คริสตัลเลือดศักดิ์สิทธิ์มีประโยชน์กับเขามากกว่า


บางที อาจจะเป็นเพราะยังกังวลเล็กน้อย เป่ยเฟิงประกาศลั่น “นักปราชญ์โบราณของเผ่าพันธุ์มนุษย์และนักปราชญ์โบราณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจะเป็นพยานว่าการใช้อสูรถือเป็นข้อห้ามในการดวลครั้งนี้”


จางเซวียนไม่รู้ว่าเหล่านักปราชญ์โบราณซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่คำประกาศนี้บ่งบอกชัดเจนว่า กฎเกณฑ์นั้นถูกนำมาใช้จริง ใครก็ตามที่กล้าฝ่าฝืนกฎจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง


ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะการพักรบมีความสำคัญสูงสุดสำหรับสำหรับทั้งสองฝ่าย เพื่อสงวนพละกำลังในการต่อสู้เอาไว้สำหรับการแย่งชิงมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง แม้จะเป็นความจริงที่ว่านักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกทุกคนมีค่ามากต่อทีม แต่เหล่านักปราชญ์โบราณก็จะไม่ยอมสูญเสียผลประโยชน์โดยรวมเพียงเพื่อปกป้องคนเหล่านั้น


“วางใจเถอะ ในเมื่อผมยอมรับเงื่อนไขของคุณแล้ว ผมก็จะรักษาสัญญา” จางเซวียนตอบอย่างมั่นใจขณะเก็บอสูรของเขาเข้าไปในรังนางพญามด


“ผมเชื่อมั่นในเกียรติของคุณในฐานะปรมาจารย์” เป่ยเฟิงพยักหน้า


เขาสูดหายใจลึก จากนั้นก็ก้าวออกมาก้าวหนึ่งพร้อมกับชักอาวุธ


“ท่านหัวหน้า ระวังด้วย!” ผู้อาวุโสสูงสุดคนหนึ่งร้องออกมาด้วยความเป็นห่วง


เมื่อปราศจากอสูร หัวหน้าตระกูลของพวกเขาก็เป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ ดูไม่น่าเป็นไปได้ที่จะรับมือกับคู่ต่อสู้ที่มีวรยุทธสูงกว่าถึง 2 ขั้นเต็มๆ


เป็นไปได้จริงๆหรือที่ใครสักคนจะสามารถก้าวข้ามความเหลื่อมล้ำของพละกำลังได้


“ฮ่า!” จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะก้าวออกไปแล้วสะบัดข้อมือ รากไม้ที่มีลักษณะเหมือนหยกปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเขา “ผมบอกไว้ว่าจะไม่ใช้อสูร จะรักษาสัญญา และผมก็ไม่มีของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอานุภาพไร้เทียมทาน แต่พอดีว่ารากไม้นี้เป็นสิ่งที่ผมพบโดยบังเอิญ มันทนทานมาก และยากต่อการจะใช้เป็นอาวุธ คุณคงไม่มีปัญหานะถ้าผมจะใช้มันในการดวล, ใช่ไหม?”


“รากไม้?” เป่ยเฟิงมองสิ่งที่ชายหนุ่มถือไว้ในมือ และหลังจากแน่ใจแล้วว่ามันเป็นแค่รากไม้อันหนึ่ง เขาก็พยักหน้า “คุณจะใช้มันเป็นอาวุธก็ได้”


ขอแค่ชายหนุ่มไม่ใช้อสูร ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ว่าอีกฝ่ายจะใช้ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หรือไม่ อีกอย่าง เขาก็ได้ตรวจสอบรากไม้นั้นอย่างถี่ถ้วนแล้ว และไม่พบความผิดปกติหรือแปลกประหลาดในตัวมัน


“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย…รากน้อย ฉันขอมอบที่เหลือให้แกรับผิดชอบนะ!” จางเซวียนพยักหน้าขณะโยนรากไม้ขึ้นสู่กลางอากาศอย่างเกียจคร้าน


“ให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะ!” รากไม้ตอบผ่านทางกระแสจิต


จากนั้นมันก็บินตรงดิ่งเข้าสู่มิติที่อยู่รอบตัวเป่ยเฟิง


“ก็แค่ลูกไม้ตื้นๆ!” เป่ยเฟิงคำรามขณะกวัดแกว่งอาวุธในมือเข้าใส่รากไม้นั้น


ครืนนนนน!


มิติโดยรอบสั่นสะท้าน ภายใต้การเคลื่อนไหวของเป่ยเฟิง นักรบที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกคนหนึ่งผนึกกำลังกันกับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ ก็สามารถสำแดงพละกำลังที่ทำให้ใครต่อใครพากันหวาดกลัว


แต่ยังไม่ทันที่อาวุธของเป่ยเฟิงจะเข้าปะทะรากไม้ มิติรอบตัวทั้งคู่ก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที พริบตาต่อมา เป่ยเฟิงพบว่าตัวเขายืนอยู่ท่ามกลางทะเลทราย ต้นไม้สูงตระหง่านยืนอยู่อย่างเงียบเชียบตรงหน้าเขา สายลมอ่อนพัดโชยมา ปุยฝ้ายร่วงหล่นกับพื้นอย่างช้าๆราวกับหิมะ


เป่ยเฟิงหรี่ตาและตะโกนอย่างหวาดระแวงกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยรอบ “นี่มันอะไรกัน?”


แล้วปุยฝ้ายก็ปลิวเข้าปากโดยไม่รู้ตัวขณะที่เขาพูด


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”


“นี่มันของล้ำค่าชนิดไหน?”


นึกไม่ถึงว่ารากไม้เพียงอันเดียวจะทำให้เกิดทะเลทรายขนาดใหญ่ขึ้นได้ ทุกคนถึงกับผงะ ต่างคนต่างทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง


“เป่ยเฟิง มันเป็นแค่ภาพลวงตา คุณต้องหาทางทำลายมันให้ได้…” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญตะโกนอย่างร้อนรน


“เข้าใจแล้ว…” เป่ยเฟิงตอบ


แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ร่างของเขาก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง พริบตาต่อมา เป่ยเฟิงก็สลายร่างกลายเป็นกองทรายสีเหลือง ไม่มีร่องรอยของเขาหลงเหลืออยู่เลย


ความเงียบงันครอบงำทั่วทั้งพื้นที่นั้น


ตอนที่ 1726 การปรากฏตัวของนักปราชญ์โบราณ

ฟิ้ววว!


ต้นไม้สูงตระหง่านนั้นโอนเอนเล็กน้อย แล้วทะเลทรายก็หายวับไป ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติ ราวกับสิ่งที่พวกเขาได้เห็นก่อนหน้านี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของจินตนาการ


ความแตกต่างเดียวก็คือเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่ชื่อเป่ยเฟิงหายสาบสูญไปจากโลกนี้แล้ว


“เป่ยเฟิงตายแล้วหรือ?”


“รังสีของเขาหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย นี่ร่างของเขากลายเป็นทรายสีเหลืองแล้วจริงๆใช่ไหม?”


“เป็นแบบนั้นได้อย่างไร มันเกิดอะไรขึ้น?”


เผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่บริเวณนั้นต่างพรั่นพรึงกับสิ่งที่ได้เห็น มันช่างเหลือเชื่อเสียจนพวกเขาได้แต่จ้องมองด้วยความคลางแคลงใจ


ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ พูดได้ว่าเป่ยเฟิงคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา แต่ทั้งๆที่มีพละกำลังระดับนั้น ก็ยังต้องแหลกสลายกลายเป็นทรายสีเหลืองทันทีที่เริ่มการดวลได้ไม่นาน รากไม้อันนั้นคืออะไร?


ทำไมถึงมีอานุภาพน่าสะพรึงขนาดนี้?


ไม่ใช่เฉพาะเผ่าพันธุ์ปีศาจที่จังงังกับการพลิกผันของสถานการณ์ เซียนดาบชิงเหมิงกับปรมาจารย์คนอื่นๆที่เฝ้าดูอยู่ต่างก็อึ้งตะลึง


พวกเขาคิดว่าจางเซวียนคงจะรับมือกับเป่ยเฟิงด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะเมื่อถูกห้ามไม่ให้ใช้อสูร ใครจะไปคิดว่าลงท้ายเขาจะเอาชนะการดวลได้อย่างยิ่งใหญ่กว่าเดิมเสียอีก?


จบการดวลได้ภายในเวลาไม่ถึง 2 อึดใจ แถมยังไม่ใช่ความตายแบบธรรมดาด้วย ทุกร่องรอยของเป่ยเฟิงถูกลบหายไปอย่างสิ้นเชิง!


“เซวียนเอ๋อ, มัน…” เซียนดาบเหมิงพึมพำอย่างกังวลใจ


“ไม่มีอะไรต้องห่วง ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก เป็นแค่ความโชคดีเล็กน้อยที่ผมบอกท่านแม่ก่อนหน้านี้ ผมบังเอิญทำให้รากไม้อันนี้ยอมจำนนได้” จางเซวียนตอบพร้อมกับยิ้มให้ความมั่นใจ


ถึงรากไม้จะดูน่าสะพรึงแค่ไหน แต่อันที่จริง การรับมือกับมันนั้นง่ายมาก ขอแค่ใครสักคนปิดกั้นจุดชีพจรของเขาไว้และป้องกันไม่ให้ปุยฝ้ายสัมผัสร่างกาย รากไม้ก็ไม่อาจทำอันตรายอีกฝ่ายได้เลย ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ มันเทียบไม่ได้กับ 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่เลยด้วยซ้ำ


เซียนดาบเหมิงรู้สึกเจ็บแปลบที่อก


โชคดีเล็กน้อย?


ห้าอสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก และการสอยนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกคนหนึ่งให้หายสาบสูญไปจากโลกนี้อย่างง่ายดาย…ถ้าเรื่องแบบนี้ยังเรียกว่าความโชคดีเล็กน้อย แล้วอย่างพวกเราเรียกว่าอะไร?


พวกเราคงไม่ได้อะไรเลยกระมัง?


“กลับมาได้แล้ว!” จางเซวียนสะบัดข้อมือ เก็บรากไม้เข้าสู่รังนางพญามด จากนั้นก็โบกมืออีกครั้ง แล้วคริสตัลเลือดศักดิ์สิทธิ์กับอาวุธของเป่ยเฟิงก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือของเขา


“ในเมื่อผมชนะการดวล ผมก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ” จางเซวียนพูด


เขาไม่ใส่ใจปฏิกิริยาของเผ่าพันธุ์ปีศาจ จางเซวียนเก็บของล้ำค่าทั้ง 2 ชิ้นเข้าสู่แหวนเก็บสมบัติ


ครืนนนนน!


ทันทีที่เก็บข้าวของเหล่านั้นเสร็จ รังสีอันน่าสะพรึงก็แผ่ไปทั่วทั้งดินแดน ราวกับพายุทอร์นาโดกำลังพุ่งเข้าสู่โลก เกิดรอยแยกปรากฏทั่วไปบนพื้น ทั้งหอใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ใบไม้ร่วง และฤดูหนาวก็เริ่มสั่นสะท้านไม่หยุด ราวกับพวกมันพร้อมจะพ่ายแพ้ให้กับแรงกดดันหนักหน่วงนั้นได้ทุกเมื่อ


“นี่คือ…พละกำลังของนักปราชญ์โบราณ?” จางเซวียนหรี่ตาขณะรีบเงยหน้ามอง


แต่แรงกดดันนั้นดูจะแผ่ไปทั่วจนเขาไม่สามารถประเมินได้ว่ามันมาจากทิศทางไหน


“ถึงรากไม้อันนี้จะไม่ใช่อสูร แต่ก็มีชีวิตจิตใจของตัวเอง นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะเรียกมันว่าเป็นอสูรตัวหนึ่งได้ แล้วคุณเรียกสิ่งนี้ว่าการดวลอย่างชอบธรรมหรือ?”


เสียงทรงอำนาจดังก้องไปทั่วพื้นที่


จากนั้น จางเซวียนก็รู้สึกว่าร่างกายตึงเขม็งขึ้นมาทันที ราวกับมีพละกำลังอันน่าทึ่งบางอย่างล็อคตัวเขาไว้และกำลังข่มขู่เอาชีวิต


กร๊อบบบ!


กระดูกของจางเซวียนลั่นกราว ขณะเหงื่อเย็นๆผุดออกจากใบหน้า


เห็นได้ชัดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณมองว่าการกระทำของเขาเป็นการฝ่าฝืนกฎและตัดสินใจจะเข้าโจมตี


“ผู้เฒ่าหยู คุณไม่ได้ยินหรือว่าลูกหลานของผมได้พูดไว้ก่อนแล้วว่าจะใช้รากไม้อันนี้ ซึ่งบริวารของคุณก็ตอบตกลงนี่ คุณคิดจะสร้างปัญหาเพียงเพราะว่าบริวารของคุณพ่ายแพ้ในการดวลอย่างนั้นหรือ? ถ้าคุณปรารถนาการต่อสู้ ก็จะเป็นไปตามนั้น!”


ขณะที่จางเซวียนใกล้จะทนไม่ไหว เสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นกลางอากาศ จากนั้น พลังงานที่ให้ความรู้สึกเหมือนสายลมอันอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิก็โอบล้อมร่างของเขาไว้ ทำให้แรงกดดันหนักหน่วงนั้นหายวับไป


มันเป็นแค่การปะทะระหว่างนักปราชญ์โบราณ แต่คลื่นความสั่นสะเทือนก็ทำให้น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวกรากจนกัดเซาะโขดหิน ดูราวกับว่าแม้แต่พื้นที่ในวิหารแห่งขงจื๊อก็อาจวอดวายได้เพราะพละกำลังของพวกเขา


“นักปราชญ์โบราณของตระกูลจาง?” เมื่อรู้แล้วว่านักปราชญ์โบราณที่เพิ่งปรากฏตัวนั้นเข้าข้างเขา จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก


เท่าที่เห็น ดูเหมือนบรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางจะตัดสินใจเปิดการโจมตีเช่นกัน


“ลูกหลานของคุณพูดว่ารากไม้นี้แข็งแกร่งทนทาน แต่ไม่เคยเปิดเผยว่ามันมีความสามารถที่เป็นปริศนาแบบนี้…” เสียงชายที่ถูกเรียกว่าผู้เฒ่าหยูดังก้องไปทั่ว


“ก็ในเมื่อมันเป็นการดวล บริวารของคุณก็ควรจะรู้ว่ามีความเป็นไปได้ที่เขาจะถูกสังหาร บริวารของคุณโง่เง่าแค่ไหนกัน ถึงคาดหวังให้คู่ต่อสู้ของเขาใช้ไม้ตายอย่างใสสะอาด?” บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางคำราม “อีกอย่าง ถึงรากไม้นี้จะมีความสามารถอันน่าพิศวง แต่สำหรับอาวุธที่บริวารของคุณใช้ก็สามารถใช้คำนี้ได้เช่นกัน!”


“แพ้ก็คือแพ้ หากคุณไม่กล้าหาญพอที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ ก็ควรจะยับยั้งบริวารของคุณไม่ให้ตอบรับการดวลตั้งแต่แรก แต่ถ้าคุณอยากแก้แค้นให้บริวารของคุณจริงๆล่ะก็ ทำไมไม่เลิกหดหัวเหมือนเต่าและออกมาเผชิญหน้ากับผมล่ะ? ต่อให้ผมต้องได้รับบาดเจ็บ ผมก็ขอสาบานว่าจะเล่นงานคุณให้ได้!”


“คุณ…” ผู้เฒ่าหยูโมโหจนเสียงสั่น แต่ดูเหมือนเขาจะหวาดกลัวบรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางอยู่เล็กน้อย แทนที่จะลากเรื่องให้ยืดยาวต่อไป เขาคำราม “ผมจะไม่ใส่ใจกับการยั่วยุของคุณในวันนี้ แต่ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าคุณจะปกป้องหมอนี่ได้ตลอดไป เขาชื่อจางเซวียนใช่ไหม? ผมจะจำไว้ ผมยังมีโอกาสอีกมากที่จะจบชีวิตของเขาทันทีที่เราออกไปจากวิหารแห่งขงจื๊อ”


“พวกแกน่ะ เลิกอ้าปากค้างและทำตัวงี่เง่าเสียที กลับไปที่โดมเร่าร้อนดั่งไฟและรอเวลาที่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่จะเปิด!”


“ขอรับ!” ได้ยินคำสั่งจากบรรพบุรุษเก่าแก่ของพวกเขา เผ่าพันธุ์ปีศาจรีบหันหลังกลับแล้วมุ่งหน้าไปยังโดม


“เดี๋ยวก่อน!”


ทันทีที่เผ่าพันธุ์ปีศาจเริ่มล่าถอยกลับสู่โดมเร่าร้อนดั่งไฟ ก็ได้ยินเสียงตวาดก้อง


เสียงนั้นมาจากจางเซวียน


เห็นจางเซวียนกัดไม่ปล่อย เผ่าพันธุ์ปีศาจเหล่านั้นมีสีหน้าเคร่งเครียด “คุณยังคิดจะดวลกับพวกเราอยู่หรือ?”


“ใช่ ผมอยากท้าทายพวกคุณทั้งหมด วางใจเถอะ คราวนี้ผมจะไม่ใช้อสูรหรือรากไม้แล้ว มีใครที่ยังกล้าหาญพอจะเผชิญหน้ากับผมไหม?” จางเซวียน ไม่ได้อารมณ์ดีพอที่จะปล่อยให้ใครสักคนสร้างความกดดันและข่มขู่เขาแล้วจากไปโดยไม่ต้องชดใช้


ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยสังหารนักปราชญ์โบราณเสียหน่อย!


คุณอยากฆ่าผมหรือ? ได้เลย…นั่งดูก็แล้วกันว่าผมจะเล่นงานบริวารของคุณอย่างไร!


ถ้าคุณกล้าปรากฏตัว ผมจะขว้างหน้าหนังสือสีทองเข้าใส่และทำให้คุณกลายเป็นนักปราชญ์โบราณตัวที่สองที่ผมได้สังหาร!


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งตั้งคำถามอย่างแคลงใจ “คุณแน่ใจนะ?”


“ถ้าในหมู่พวกคุณไม่มีใครกล้าหาญพอที่จะรับคำท้าดวล ทั้งๆที่ผมประนีประนอมให้มากมายแล้ว ผมก็ขอแนะให้พวกคุณกลับสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ และอย่าได้มาเสนอหน้าบนทวีปแห่งปรมาจารย์อีก ถ้าพวกคุณขี้ขลาดขนาดนี้ล่ะก็ ไม่มีทางที่จะเป็นภัยคุกคามต่อมวลมนุษย์หรอก!” จางเซวียนคำรามด้วยทีท่าหยิ่งผยอง


“คุณ…” บรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจกำหมัดแน่นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


“คุณแน่ใจนะว่าจะไม่ใช้ทั้งอสูรและรากไม้?” เสียงของผู้เฒ่าหยูดังขึ้น


“ผมขอสาบานด้วยเกียรติของปรมาจารย์ว่าผมจะใช้เฉพาะพละกำลังและอาวุธของตัวเองเท่านั้น คุณคงไม่หวาดกลัวผมเพียงเพราะผมเป็นนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติที่มีอาวุธหรอกนะ ใช่ไหม?” จางเซวียนเชิดหน้าขึ้นอย่างวางมาด ไม่แสดงความหวาดกลัวให้ผู้เฒ่าหยูเห็นแม้แต่น้อย “แต่ถ้าคุณกำลังจะห้ามไม่ให้ผมใช้อาวุธล่ะก็ ถือเสียว่าผมไม่ได้พูดอะไรเลยก็แล้วกัน!”


“เอาเถอะ! ถ้าอย่างนั้นใช้อาวุธของคุณก็ได้” ผู้เฒ่าหยูคำราม


ก่อนหน้านี้บริวารของเขาก็ใช้อาวุธ ต่อให้จางเซวียนมีอาวุธอันทรงพลังอยู่ในมือ แต่ด้วยระดับวรยุทธอันจำกัด ก็คงทำอะไรไม่ได้มาก


“มีใครกล้าสู้กับผมไหม?” จางเซวียนชี้นิ้วออกไปและท้าทายอย่างอาจหาญ “ถ้าบริวารของคุณหวาดกลัว ผมก็ไม่รังเกียจนะที่จะให้ทุกคนเข้ามารุมผมพร้อมๆกัน พูดอีกอย่างก็คือ ผมสามารถสู้กับพวกเขาได้จนครบ ถ้าผม, จางเซวียน, แสดงความหวาดกลัวออกมาแม้แต่น้อยล่ะก็ ผมจะถอนตัวจากการเป็นทายาทตระกูลจางเลย!”


“พูดได้ดีนี่ สมกับเป็นคนของตระกูลจางของเรา!” บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางชมเชยด้วยความจริงใจ จากนั้นเขาก็หันไปคำรามใส่เผ่าพันธุ์ปีศาจ “ผู้เฒ่าหยู ลูกหลานของผมอ่อนข้อให้มากแล้ว คุณคงไม่หวาดกลัวเขาหรอกนะ ใช่ไหม?”


“คุณ…” นึกไม่ถึงว่าจะโดนนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติดูถูก ผู้เฒ่าหยูโมโหจนแทบระเบิด “ได้สิ คุณอยากได้อะไรผมก็จะให้ แต่มันจะไม่ใช่แค่การดวลธรรมดานะ จะเป็นการดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย พูดอีกอย่างก็คือ การดวลครั้งนี้จะไม่จบจนกว่าหมอนี่จะตาย หรือไม่บริวารของผมก็ตาย คุณกล้ารับคำท้าหรือเปล่า?”


เขาหมดความอดทนแล้วจริงๆ


นับตั้งแต่ได้เป็นนักปราชญ์โบราณ ไม่เคยมีใครกล้าพูดจาโอหังกับเขา แต่ชายหนุ่มคนนี้อาจหาญเยาะเย้ยเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เผ่าพันธุ์ปีศาจซึ่งมีศักดิ์ศรีอย่างเขาจะยอมรับได้


หมอนี่ครอบครองอสูรทรงพลังและรากไม้ที่มีอานุภาพไร้เทียมทาน แต่ระดับวรยุทธยังอ่อนด้อย เขาอาจมีวิธีการบางอย่างที่จะรับมือกับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน ถึงได้กล้าท้าทายแบบนี้ แต่ผู้เฒ่าหยูก็ไม่เชื่อว่าจะไม่มีบริวารของเขาคนไหนที่ยับยั้งหมอนี่ไม่ได้!


รู้ดีว่าอีกฝ่ายจงใจใช้โอกาสนี้คิดสังหารลูกหลานของเขา บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางคำราม “ผู้เฒ่าหยู คุณก็ช่างมีหน้ามาพูดนะ…”


ขณะที่เขากำลังจะปฏิเสธคำท้า เสียงหนึ่งก็ขัดขึ้น


“ได้สิ ผมรับคำท้าของคุณ!”


ตอนที่ 1727 ผมจะน้อมรับมันไว้

เห็นจางเซวียนผลีผลามรับคำท้าของผู้เฒ่าหยู บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางถึงกับพรั่นพรึง


“คุณพิจารณาถี่ถ้วนแล้วหรือ?” เขาถามจางเซวียนด้วยความกังวลใจ “คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้อสูรหรือรากไม้นะ ใช้ได้เฉพาะอาวุธของตัวเองเท่านั้น และตอนนี้ก็สายเกินกว่าจะคืนคำแล้ว”


“ผมไม่คิดจะถอย และหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ถอยเหมือนกัน” จางเซวียนตอบอย่างมั่นใจ เขายืดตัวตรงและพูดต่อ “การเอาชนะเผ่าพันธุ์ปีศาจเป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบของผมในหน้าที่ปรมาจารย์ ต่อให้ผมไม่อาจเทียบชั้นกับมันได้ และทุกอย่างที่ทำไปกลายเป็นความสูญเปล่า ผมก็จะไม่ถอย!”


“พูดได้ดีมาก!” บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางคำรามพร้อมกับหัวเราะลั่น


“ทำใจให้สบายและใช้สมาธิกับการกำจัดเผ่าพันธุ์ปีศาจเถอะ ในเมื่อเรายอมรับข้อตกลงแล้ว ผู้เฒ่าหยูคนนั้นก็คงไม่กล้ากลับคำและเข้ามาก้าวก่ายการดวลหรอก และถ้าเขาเปิดการโจมตีล่ะก็ จะต้องเจอกับศิลปะเพลงดาบอันดุเดือดของผมแน่!”


“เฮอะ! ผมจะดีใจมาก ขอแค่คุณไม่คืนคำก็พอ!” ผู้เฒ่าหยูคำรามตอบ “อย่างที่พวกคุณได้ยินแล้ว เจ้าหนุ่มนั่นท้าทายพวกเราทุกคน ซึ่งพวกคุณก็มีทางเลือกในการที่จะเล่นงานเขาให้สิ้นซากหากพวกคุณต้องการ…เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเราได้รับการถ่ายทอดสายเลือดของเทพเจ้ามา เราคือผู้ไร้เทียมทาน และจะไม่ยอมพ่ายแพ้ให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ หากพวกคุณเพลี่ยงพล้ำในการต่อสู้ครั้งนี้ ผมก็ไม่คิดว่าพวกคุณควรจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป แต่หากเอาชนะเขาได้ ผมจะมอบเลือดหยดหนึ่งของผมให้กับพวกคุณทุกคน!”


“หยดเลือดของนายท่าน?”


“นายท่านวางใจเถอะ พวกเราจะไม่ทำให้นายท่านผิดหวัง!”


เมื่อได้ยินเรื่องผลตอบแทน ใบหน้าของบรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจก็แดงก่ำด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตาของพวกมันเป็นประกายเจิดจ้า


“ลุยเลย!”


ฟึ่บ!


ทันทีที่จบประโยค เผ่าพันธุ์ปีศาจราว 10 ตัวก็เข้าตีวงล้อมจางเซวียน สกัดกั้นเส้นทางหลบหนีของเขาไว้หมด


“คุณ…”


นึกไม่ถึงว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะหน้าไม่อายถึงขนาดเข้ารุมจางเซวียน เหล่าปรมาจารย์ที่อยู่ในโดมใบไม้ผลิอบอุ่นพากันโกรธเกรี้ยว


“ไม่เป็นไร ผมรับมือได้ พวกคุณไม่จำเป็นต้องฝ่าฝืนกฎเพื่อเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้…” เห็นเหล่าปรมาจารย์ตั้งท่าจะเข้ามาช่วยเขา จางเซวียนโบกมือและหัวเราะหึๆ จากนั้นก็หันไปตั้งคำถามกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ “ก่อนหน้านี้ เราตกลงกันแล้วว่าผมใช้อาวุธของผมได้ ถูกไหม?”


“แน่นอน!” เสียงผู้เฒ่าหยูดังกึกก้อง


“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย ให้ผมนำอาวุธออกมาก่อนที่จะเริ่มการดวลนะ” จางเซวียนพยักหน้า เขาสะบัดข้อมือ และหอกสวรรค์กระดูกมังกรก็ปรากฏอยู่ในมือของเขา ด้วยการกวัดแกว่งเบาๆ มันก็กลายร่างเป็นมังกรดึกดำบรรพ์ตัวใหญ่มหึมาที่โผขึ้นสู่กลางอากาศ


“นี่คือ…หอกสวรรค์กระดูกมังกรของนักปราชญ์โบราณหรันชิว ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณใช่ไหม? ไม่หรอก…ไม่ใช่นี่ พละกำลังของมันถูกสกัดกั้นไว้ ตอนนี้จึงสามารถสำแดงพลังได้ในระดับของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น เพียงเท่านี้ทำร้ายพวกเราไม่ได้หรอก…” เห็นอาวุธที่จางเซวียนนำออกมา ผู้เฒ่าหยูนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจก่อนจะครุ่นคิดหนัก


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหอกสวรรค์กระดูกมังกรจะเป็นอาวุธที่มีอานุภาพไร้เทียมทานมากหากมีความแข็งแกร่งถึงขีดสุด ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังต้องวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้หากต้องเผชิญหน้ากับมัน แต่เรื่องนี้จะเปลี่ยนไปหากพละกำลังของมันถูกสกัดกั้นไว้


เพราะบริวารส่วนใหญ่ของเขามีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานแล้ว และเกือบทุกตัวก็มีของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในครอบครอง อย่างน้อยที่สุด ก็น่าจะทำให้หอกสวรรค์กระดูกมังกรอ่อนแรงลงได้มาก


ผู้เฒ่าหยูมั่นใจว่าบริวารของเขาจะรับมือไหว แต่ครู่ต่อมา ชายหนุ่มก็สะบัดข้อมืออีกครั้งและนำ โลหะก้อนใหญ่ออกมา


มันเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เช่นกัน


“ก้อนอิฐที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่? ดูเหมือนจะถูกหลอมขึ้นจากหม้อต้นกำเนิดทองคำด้วย…ใครกันที่ร่ำรวยถึงขนาดนำหม้อต้นกำเนิดทองคำมาใช้ในเรื่องแบบนี้?” ผู้เฒ่าหยูขมวดคิ้ว


แต่นั่นยังไม่จบ


ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!


ในชั่วพริบตา อาวุธก็ปรากฏเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกิดเป็นวงล้อมที่คุ้มกันจางเซวียนไว้


กระบี่เปลวเพลิงสีดำ หอกของเป่ยชิง พันธนาการถ่วงวิญญาณ หินหมึกของนักปราชญ์โบราณจื่อร่ง…


ของล้ำค่า 6 ชนิดแผ่แรงกดดันน่าสะพรึงออกมา เทียบได้กับนักรบที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกถึง 6 คน


“คุณ…คุณมีของล้ำค่าที่ทรงพลังขนาดนี้อยู่ในครอบครองได้อย่างไร?” ทุกคนคิดว่าชายหนุ่มคงแค่นำของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ออกมาสักชิ้นหนึ่งเพื่อช่วยเหลือเขาในการต่อสู้ เพราะถึงอย่างไร ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็เป็นทรัพย์สมบัติที่มีมูลค่ามาก แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะงัดของล้ำค่าออกมาได้มากมายขนาดนี้ในชั่วพริบตา?


ช่างเป็นภาพที่หรูหราฟู่ฟ่าจนทำให้ทุกคนจังงัง


อย่าว่าแต่ความหายากและมูลค่าของของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แค่เพียงจะทำให้ของล้ำค่าสักชิ้นยอมจำนนได้ก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีหรือแม้แต่เป็นร้อยปีแล้ว


แต่ชายหนุ่มอายุเพียง 20 ปีคนหนึ่งสามารถทำให้ของล้ำค่าจำนวนมากยอมจำนนได้ ช่างเหลือเชื่อเสียจริง


“เล่นงานมัน!”


เห็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากปรากฏตัวในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที เผ่าพันธุ์ปีศาจรู้ทันทีว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป พวกมันจะต้องพ่ายแพ้แน่ หนึ่งในนั้นจึงตะโกนขึ้นมาเพื่อสั่งการให้ทั้งกลุ่มเข้าโจมตี


“รอเดี๋ยว ผมยังนำของล้ำค่าออกมาไม่หมดเลย!…” จางเซวียนบ่นขณะสะบัดข้อมืออีกครั้ง


ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!


ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อีก 4 ชิ้นปรากฏ มันคืออาวุธของเป่ยเฟิงและของล้ำค่าชิ้นอื่นๆที่จางเซวียนได้มาจากการดวล 2 ครั้งก่อนหน้า


ทันทีที่ของล้ำค่าอีก 4 ชิ้นปรากฏ นิ้วของจางเซวียนก็ขยับอย่างแผ่วเบา จัดวางพวกมันไว้ให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง


วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง!


ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 4 ผนึกกำลังกันเป็นหนึ่งเดียว แสดงอาการยอมจำนนให้จางเซวียน พวกมันยอมรับเขาเป็นเจ้านายของมัน


ฟิ้วววว!


จากนั้น ของล้ำค่าทั้ง 4 ชิ้นก็ลอยขึ้นสู่กลางอากาศแล้วพุ่งตรงเข้าใส่กองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจ


“ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ 10 ชิ้น? นี่…แบบนี้เรียกว่าการดวลอย่างชอบธรรมหรือ?”


“นี่คือความหมายของการที่เขาพูดว่า ‘ต่อให้ผมเทียบชั้นกับพวกมันไม่ได้และทุกอย่างที่ทำไปต้องสูญเปล่า ผมก็จะไม่ถอย’ ใช่ไหม?”


เห็นของล้ำค่าในตำนานลอยละล่องอยู่รอบตัวจางเซวียน กองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจขนลุกขนชันไปทั้งตัว พวกมันแทบกระอักเลือดออกมาด้วยความท้อใจ


หากเป็นของล้ำค่าเพียงชิ้นเดียว ก็ยังพอจะรับมือไหว แต่นี่มีถึง 10 ชิ้น…นั่นเท่ากับต้องเผชิญหน้ากับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานถึง 10 คนพร้อมๆกัน พวกมันมีโอกาสที่จะรับมือกับพละกำลังระดับนี้ไหวหรือ?


เมื่อหวนนึกถึงคำพูดของชายหนุ่มที่พูดออกมาก่อนหน้า ซึ่งหยิ่งผยองราวกับวีรบุรุษผู้โดดเดี่ยวที่อยู่ท่ามกลางศัตรู พวกมันก็คับอกคับใจจนบอกไม่ถูก


เทียบชั้นไม่ได้…เทียบชั้นไม่ได้บ้านคุณน่ะสิ!


ทุกอย่างที่ทำไปต้องสูญเปล่า!


คนที่เสียเปรียบน่ะคือพวกเรา ไม่ใช่คุณ!


“พวกคุณรีรออะไรอยู่ จะรอให้ความตายวิ่งเข้ามาหรือไง?” ผู้เฒ่าหยูคำรามอย่างคลุ้มคลั่ง


ในฐานะนักปราชญ์โบราณ เขามีชีวิตมายาวนานหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่ยังไม่เคยพบอะไรที่น่าหวาดผวาขนาดนี้


“ขะ-ขอรับ!”


ยิ่งปล่อยให้เวลายืดเยื้อออกไปเท่าไหร่ จางเซวียนก็จะยิ่งมีเวลาผนึกกำลังระหว่างของล้ำค่าแต่ละชิ้นมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหากของล้ำค่าเหล่านี้ร่วมมือกัน พวกมันย่อมไม่มีโอกาสชนะแน่ ดังนั้นเผ่าพันธุ์ปีศาจจึงพุ่งเข้าใส่อย่างดุเดือด


เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่คำรามออกคำสั่งให้เปิดการโจมตีเมื่อครู่นี้คือผู้ที่เข้าถึงจางเซวียนเป็นคนแรก อาวุธที่มันใช้คือง้าวที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่


เขาคือหนึ่งในเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกทั้ง 6 ตัว ในแง่ของพละกำลังก็เทียบเท่ากับเป่ยหยวน ความแข็งแกร่งมหาศาลที่เขาสำแดงออกมานั้นหลอมรวมเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบกับอาวุธที่ใช้ ด้วยการกวัดแกว่งเพียงเล็กน้อย เสียงระเบิดดังสนั่นก็กึกก้องไปทั่ว มิติที่อยู่โดยรอบถึงกับบิดเบี้ยวเพราะแรงปะทะ


จางเซวียนรู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลที่พุ่งตรงลงมายังศีรษะของเขา


ขณะที่ดูเหมือนว่าตัวเขาจะแยกออกเป็น 2 ส่วน เวลาก็ถูกเร่งให้เร็วขึ้นทันที จางเซวียนหันหลังกลับไปเพื่อเผชิญหน้ากับง้าวได้อย่างสบายๆ ก่อนจะเคาะนิ้วลงไปบนนั้น


เกิดเสียงหึ่งด้วยความตื่นเต้นดังมาจากง้าว จากนั้นร่างใหญ่โตของมันก็สั่นสะท้านด้วยความโกรธเกรี้ยว มันดิ้นรนหนีจากมือของเผ่าพันธุ์ปีศาจ หันคมของมันเข้าใส่พร้อมกับกวัดแกว่งอย่างดุเดือด


“เวรแล้ว…”


นัยน์ตาของเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นเบิกโพลงด้วยความพรั่นพรึงกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน


พริบตาต่อมา ศีรษะของมันก็กลิ้งอยู่กับพื้น แม้ตอนที่กำลังจะตาย ก็ยังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น


“นั่น…เขาเพิ่งทำให้ง้าวเล่มนั้นยอมจำนนหรือ?”


เหล่าปรมาจารย์ถึงกับจังงังกับสิ่งที่เห็น


ผู้เฒ่าหยูก็แทบคุ้มคลั่ง


ทำให้อาวุธของพวกเขายอมจำนนและแปรเปลี่ยนมาเป็นเจ้านายของมันได้ในระหว่างการสู้รบ…พวกเขามาเจอกับศัตรูที่มีความสามารถระดับนี้ได้อย่างไร?


ยังไม่ทันที่ทุกคนจะหายจังงัง ชายหนุ่มก็พุ่งเข้าใส่กองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจ อาวุธทุกชนิดที่สัมผัสกับปลายนิ้วของเขาแปรพักตร์มาเป็นบริวารของเขาทันที พร้อมกันนั้น ทั้งก้อนอิฐ หอกสวรรค์กระดูกมังกร และอาวุธชิ้นอื่นๆต่างก็ผนึกกำลังกันเพื่อเล่นงานกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจ


“ตอนแรก ผมคิดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจทำเกินไปที่เข้ารุมสกรัมปรมาจารย์จาง แต่ทำไมตอนนี้ถึงดูเหมือนว่าจะเป็นปรมาจารย์จางที่รังแกพวกมัน?”


“ฉกฉวยเอาอาวุธของศัตรูมาได้ ทั้งยังกลายเป็นเจ้านายของพวกมันด้วย ผมสงสัยเหลือเกินว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนั้นจะช้ำใจสักแค่ไหน!”


“ไม่จำเป็นต้องสงสัยหรอก มันย่อมเลวร้ายกว่าที่คุณจะจินตนาการได้แน่ ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมปรมาจารย์จางถึงกล้าท้าทายพวกมันทุกตัวพร้อมกันทีเดียว ดูเหมือนเขาเตรียมการไว้แล้วตั้งแต่ต้น เขาวางแผนที่จะสังหารเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหมด”


…..


ท่ามกลางเสียงออกความเห็นเซ็งแซ่ จางเซวียนหลบออกมาจากกลุ่มฝูงชน เขาเอาสองมือไพล่หลังไว้และเฝ้าดูการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจกับอาวุธทั้งหมดของเขา


จางเซวียนอดรำพึงไม่ได้ “ผมสำนึกในบุญคุณมากเลยสำหรับของขวัญที่พวกคุณมอบให้ ผมจะน้อมรับมันไว้!”


ตอนที่ 1728 เลือดนักปราชญ์โบราณ

“พลั่ก!”


“น้อมรับบ้านคุณสิ!”


เผ่าพันธุ์ปีศาจที่ถูกอดีตอาวุธของพวกมันโจมตีอย่างดุเดือดแทบคลุ้มคลั่ง ความจนปัญญาเอ่อล้น จนน้ำตาไหลอาบหน้า


คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าพวกเราไม่เคยคิดจะมอบอาวุธให้คุณ! สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ไม่ใช่การน้อมรับอาวุธของพวกเรา แต่เป็นการขโมยเข้าใจไหม?


การดวลอย่างชอบธรรมควรจะหมายถึงการที่เราใช้พลังปราณต่อสู้กัน แต่ดูสิ่งที่คุณทำอยู่สิ


ชอบธรรมกับผีอะไร!


ถ้าเป็นอย่างนี้ สู้คุณปล่อยอสูรออกมากัดพวกเราให้ตายเสียดีกว่าอย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องอับอายขายหน้า…


ด้วยการโจมตีอย่างดุเดือดของอาวุธที่อยู่ภายใต้การควบคุมของจางเซวียน เผ่าพันธุ์ปีศาจร่วงผล็อยลงไปทีละตัวสองตัว ในชั่วพริบตา กว่า 30 ตัวก็ถูกสังหาร


ได้เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ในที่สุดนักปราชญ์โบราณที่ชื่อผู้เฒ่าหยูก็หมดความอดทน


“แก…แกรนหาที่ตายแล้ว!”


การที่เขาต้องการให้บริวารเข้าท้าทายนักรบที่เป็นมนุษย์ก็เพื่อหาโอกาสเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่ในเมื่อบริวารของเขาถูกสังหารไปเกือบหมดแล้ว จะแย่งชิงโควต้าไปเพื่ออะไร?


เพราะตัวเขาเองก็เข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ไม่ได้!


ฟึ่บ!


ฝ่ามือขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ สกัดกั้นมิติที่อยู่โดยรอบหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ไว้ พละกำลังอันน่าอัศจรรย์ที่ดูเหมือนจะฉีกกระชากได้แม้แต่สวรรค์พุ่งลงมาจากท้องฟ้า พร้อมจะเล่นงานจางเซวียนให้เละเป็นเนื้อบด


“ทรงพลังจริงๆ!”


เมื่อรู้สึกได้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา จางเซวียนขับเคลื่อนพลังปราณเต็มพิกัด หวังจะหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็พบว่าร่างของตัวเองถูกตรึงให้อยู่กับที่ ไม่ว่าจะดิ้นรนสักแค่ไหนก็ขยับเขยื้อนไม่ได้เลย


เหล่านักปราชญ์โบราณคือนักรบที่ทรงพลังที่สุดในทวีปแห่งปรมาจารย์ แม้แต่วัตถุที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกก็ยังต้องแหลกสลายเพราะพละกำลังของพวกเขา ด้วยระดับวรยุทธของจางเซวียนในเวลานี้ เขาไม่มีโอกาสรับมือกับพละกำลังนั้นได้เลย


วิ้งงงง!


ขณะที่จางเซวียนใกล้จะหมดความอดทน ประกายเย็นเยือกของดาบก็สว่างวาบขึ้นกลางอากาศ


ประกายดาบนั้นไม่ได้มีเป้าหมายที่ฝ่ามือซึ่งกำลังพุ่งลงมาจากท้องฟ้า และไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการบรรเทาแรงกดดันที่จางเซวียนได้รับอยู่ด้วย มันพุ่งไปที่ความว่างเปล่าที่อยู่ในมิตินั้น


ฉึกกก!


เสียงดาบจ้วงแทงเข้าใส่เนื้อสดๆดังก้องไปทั่ว จากนั้น เลือดก็หยดลงมาจากความว่างเปล่าในมิติ


ดูเหมือนบรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางได้พยายามยื้อเวลาเพื่อหาตำแหน่งที่ซ่อนของตาเฒ่าหยูก่อนจะทำการโจมตี


“แก…” ตาเฒ่าหยูร้องโหยหวนด้วยความโกรธ


ในเวลาเดียวกัน ฝ่ามือที่อยู่บนท้องฟ้าก็สั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะหายวับไป


เกิดรอยแยกกระจายตัวไปทั่วความว่างเปล่านั้น ตาเฒ่าหยูรู้ดีว่าตัวเองกำลังเพลี่ยงพล้ำ จึงรีบหนีโดยไม่ลังเล


“ฮ่าฮ่า! น่าตื่นเต้นจริงๆ!” บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางคำรามและหัวเราะลั่น


การสังหารนักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณนั้นเป็นเรื่องยากมาก อันที่จริง ทั้งสองได้ต่อสู้กันมาหลายปีแล้ว แต่การต่อสู้ก็หาผลแพ้ชนะไม่ได้ คราวนี้บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางตั้งใจโจมตีเข้าที่จุดอ่อนของตาเฒ่าหยูโดยตรง แม้จะไม่รุนแรงพอที่จะโค่นตาเฒ่าหยู แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ต้องพักฟื้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง


เหตุผลที่เขาทำได้ก็เพราะลูกหลานของเขาได้ยั่วยุตาเฒ่าอยู่จนสูญเสียการควบคุมอารมณ์ ทำให้โจมตีโดยขาดสติ


เขาลดสายตาลงมองสมรภูมิรบอีกครั้ง และพบว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 30 ตัวนอนเป็นศพระเกะระกะอยู่กับพื้น


อาวุธกองใหญ่ตกเป็นของจางเซวียน พวกมันเต้นระบำรำฟ้อนอย่างรื่นเริงอยู่รอบตัวเขา ราวกับเหล่านางสนมที่เรียกร้องความพึงพอใจจากจักรพรรดิ


“คุณอาจยังอายุน้อย แต่ทั้งความสามารถและไหวพริบนั้นถือว่าไม่เลวเลย!” บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางให้คำชมเชย


จากนั้น พละกำลังหนึ่งก็กวาดไปทั่วสมรภูมิรบอย่างช้าๆ รวบรวมหยดเลือดที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วเอาไว้ หยดเลือดสีแดงก่ำนั้นรวมตัวกันกลางอากาศก่อนจะลอยเข้าสู่ขวดหยกใบหนึ่ง


“ก็เพราะคุณที่ทำให้ผมมีโอกาสเล่นงานตาเฒ่าหยูจนได้รับบาดเจ็บ ในฐานะผู้อาวุโสของตระกูลจาง ผมจะปล่อยให้คุณงามความดีของคุณสูญเปล่าไม่ได้ ผมขอมอบหยดเลือด 5 หยดของนักปราชญ์โบราณให้กับคุณ!”


“ขอบคุณมาก บรรพบุรุษ!” จางเซวียนรับขวดหยกมาด้วยความยำเกรง


พูดตามตรง เขายังไม่รู้ว่าหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณนั้นมีประโยชน์อย่างไร แต่ข้อเท็จจริงที่ว่ามันสามารถทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจเกิดความคลุ้มคลั่งและยอมรับคำท้าของเขาแม้จะรู้ว่าต้องเผชิญกับความเสี่ยง ก็ย่อมแน่นอนว่าหยดเลือดนี้จะต้องเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่า


“หยดเลือดของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณนั้นมีเจตนาสังหารเข้มข้น จึงอาจไม่เป็นประโยชน์กับวรยุทธของคุณนัก แต่มันก็เป็นทรัพย์สมบัติที่คุณจะพึงได้จากสงคราม ไม่ใช่สิ่งตอบแทนของผม ในฐานะบรรพบุรุษ ผมจะตระหนี่ถี่เหนียวกับสิ่งที่ผมได้รับไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงขอมอบขวดหยกใบนี้ให้คุณด้วย มันมีหยดเลือดของผมอยู่ 5 หยด ใช้มันให้ดีและยกระดับวรยุทธของคุณให้สูงขึ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมเชื่อว่าคุณจะนำพาตระกูลจางไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดได้สำเร็จ” บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางพูด


ทันทีที่เขาพูดจบ ขวดหยกใบหนึ่งก็ปรากฏ ก่อนที่มันจะเข้าถึงตัวจางเซวียน เขาก็รู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลที่ไหลเวียนอยู่ภายในหยดเลือดซึ่งบรรจุอยู่ในขวดหยกใบนั้น ราวกับพวกมันพร้อมจะระเบิดเป็นเปลวไฟได้ทุกขณะ


แม้สายเลือดตระกูลจางของจางเซวียนจะถูกดึงออกไปหมดแล้วแต่ในเมื่อหยดเลือดนี้เป็นของนักปราชญ์โบราณที่มาจากตระกูลเดียวกัน จึงน่าจะมีประโยชน์กับเขามากกว่าหยดเลือดของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณ


“เซวียนเอ๋อ รีบกล่าวคำขอบคุณบรรพบุรุษเสียสิ!” เซียนดาบเหมิงส่งโทรจิตเตือนจางเซวียนด้วยความร้อนใจ


“ขอบคุณมาก บรรพบุรุษ!” จางเซวียนโค้งคำนับอย่างงาม


“ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจไปหรอก นี่คือสิ่งที่คุณสมควรได้รับ”บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางพูด


เมื่อเสียงนั้นหยุดลง รังสีอันงามสง่าที่อบอวลอยู่ในอากาศก็หายวับไป ราวกับมันไม่เคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน


รู้ดีว่าบรรพบุรุษเก่าแก่กลับสู่การซ่อนตัวดังเดิมแล้ว จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่


ไม่ต้องสงสัยเลยว่านักปราชญ์โบราณจำนวนมากจะต้องหาทางมาที่วิหารแห่งขงจื๊อเพื่อหวังว่าจะได้รับมรดกตกทอดล้ำค่าของปรมาจารย์ขง และในเมื่อเป็นอย่างนั้น จึงไม่ดีนักหากพวกเขาจะเที่ยวสำแดงพละกำลังไปทั่ว


อีกอย่าง มีแต่ต้นไม้ที่แยกตัวออกจากพรรคพวกของมันเท่านั้นที่จะตกเป็นเหยื่อของพายุใหญ่


หากพวกเขาสร้างความขุ่นเคืองให้กับนักปราชญ์โบราณคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ และนักปราชญ์โบราณเหล่านั้นเลือกที่จะผนึกกำลังกันเพื่อตอบโต้ พวกเขาคงตายก่อนที่จะทันได้รู้ตัว


จางเซวียนส่งโทรจิตหาเซียนดาบชิง “เลือดนักปราชญ์โบราณใช้ทำอะไรได้บ้าง?”


“เลือดทุกหยดของนักปราชญ์โบราณมีพลังงานในระดับที่น่าทึ่ง”เซียนดาบชิงอธิบายด้วยนัยน์ตาที่เปล่งประกายของความตื่นเต้น“ยิ่งไปกว่านั้น มันยังบรรจุเอาความเข้าใจเรื่องวรยุทธตามแบบของนักปราชญ์โบราณไว้ด้วย ดังนั้น หากใครก็ตามได้ซึมซับหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณเข้าสู่ร่างกาย วรยุทธของเขาจะพุ่งพรวด สูงขึ้นจนถึงระดับที่นึกไม่ถึงเลยทีเดียว!”


“ซึมซับ?”


“ใช่แล้ว ยกตัวอย่างนะ ถ้ามนุษย์คนหนึ่งได้สัมผัสกับหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณและซึมซับมันได้สำเร็จโดยที่ร่างกายของเขาไม่ถูกพลังแผดเผาจนมอดไหม้ไปเสียก่อน ก็จะสามารถยกระดับจากนักรบธรรมดาไปสู่การเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ทันที”เซียนดาบชิงอธิบาย


“เอ่อ…” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตกใจ


เขาต้องใช้ทั้งเวลา ความพยายาม และทรัพยากรมากมายกว่าจะยกระดับจากนักรบทั่วไปมาเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ แต่ด้วยหยดเลือดเพียงหยดเดียวของนักปราชญ์โบราณ ก็เกินพอที่จะทำแบบนั้น


ช่างน่าสะพรึงเสียจริง!


แน่นอนว่าจางเซวียนเข้าใจว่านั่นเป็นแค่การยกตัวอย่าง เพราะเรื่องจริงก็คือไม่มีทางที่มนุษย์ทั่วไปจะซึมซับพลังมหาศาลที่อยู่ภายในหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณได้ ต่อให้พวกเขาได้มันมาด้วยวิธีการอะไรสักอย่าง พลังปราณของมนุษย์เหล่านั้นก็จะถูกแผดเผาอย่างรุนแรงจากการฝ่าด่านวรยุทธ


ซึ่งผลจากสิ่งนั้นจะทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขายังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่านักปราชญ์โบราณโดยทั่วไป และยากที่จะผลักดันวรยุทธให้สูงขึ้นอีกได้อันเนื่องมาจากรากฐานที่ไม่แข็งแรง


“แต่อันที่จริง ความเย้ายวนของเลือดนักปราชญ์โบราณนั้นไม่ใช่พลังงานมหาศาลหรือความเข้าใจเรื่องวรยุทธที่ไหลเวียนอยู่ในเลือด สิ่งที่ทำให้พวกเราแทบคลุ้มคลั่งจริงๆนั้นก็คือพลังของการเกิดใหม่ที่อยู่ในเลือดของนักปราชญ์โบราณ หากนักรบคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอแค่จิตวิญญาณของเขายังไม่แตกสลาย หยดเลือดของนักปราชญ์โบราณเพียงหยดเดียวจะสามารถทำให้เขาฟื้นกลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์ดังเดิมได้ อานุภาพของมันทรงพลังเสียจนแม้แต่ศีรษะที่หลุดออกจากบ่าไปแล้วก็ยังสามารถต่อให้ติดได้เหมือนเดิม หากนักรบผู้นั้นยังไม่สูญสิ้นลมหายใจสุดท้าย!” เซียนดาบชิงอธิบาย


“คือ…” จางเซวียนถึงกับตัวแข็ง


เขาไม่รู้จะบรรยายความพรึงเพริดของตัวเองในตอนนี้อย่างไร


ด้วยพลังปราณเทียบฟ้า จางเซวียนมีความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายที่เปรียบเสมือนปาฏิหาริย์ ซึ่งทำให้เขาฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้น หากใครสักคนตัดศีรษะของเขาออกไป ก็คงไม่มีทางที่เขาจะฟื้นคืนชีพจากอาการบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้นได้


แต่เลือดนักปราชญ์โบราณสามารถทำให้ผู้นั้นกลับมีชีวิตได้ดังเดิมพูดอีกอย่างก็คือหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณไม่ต่างอะไรกับการต่อชีวิต!


ไม่แปลกใจแล้วที่บรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจพากันตื่นเต้นเมื่อได้ยิน มันเป็นสมบัติล้ำค่าที่ประเมินค่ามิได้จริงๆ!


“ท่านพ่อ, ท่านแม่ ผมจะมอบหยดเลือดให้คนละหยดนะ ผมคงไม่ใช้เลือดหมดทีเดียวทั้ง 5 หยดหรอก…” เมื่อหายตกใจแล้ว จางเซวียนเปิดจุกขวดหยกและกระดิกนิ้ว


เลือด 2 หยดที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังลอยเข้าหาเซียนดาบชิงเหมิง


คงจะดีกว่าหากเขาจะมอบหยดเลือดให้ท่านพ่อกับท่านแม่ของเขาเพื่ออย่างน้อยทั้งคู่จะได้เก็บไว้ใช้ป้องกันตัวยามเกิดอันตรายเพราะถึงอย่างไร จางเซวียนก็คงไม่ใช้เลือดหมดทั้ง 5 หยด การทำแบบนี้จึงไม่ได้เสียหายอะไร


มีอันตรายที่คาดเดาไม่ได้มากมายรออยู่ในวิหารแห่งขงจื๊อ มันจะทำให้เขาสบายใจขึ้นหากท่านพ่อกับท่านแม่มีทรัพย์สมบัติที่สามารถช่วยชีวิตของตัวเองได้


“คือ…”


นึกไม่ถึงว่าลูกชายของพวกเขาจะมอบสมบัติล้ำค่าให้โดยปราศจากความลังเล เซียนดาบชิงเหมิงสบตากันก่อนจะกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น


มีลูกชายแบบนี้…แล้วพวกเขาจะยังต้องการอะไรอีก?


ตอนที่ 1729 จ้าวหย่าอยู่ไหน?

รู้ดีว่านั่นคือการแสดงความกตัญญูจากลูกชาย เซียนดาบชิงเหมิงจึงไม่ปฏิเสธของขวัญของจางเซวียนและรับหยดเลือดจากเขาไว้


แม้หยดเลือดจะมีขนาดเล็กมาก แต่เมื่อมันหยดลงบนมือของเซียนดาบชิงเหมิง ทั้งคู่ก็แทบทรุดฮวบลงกับพื้น


น้ำหนักนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะกับหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณ แม้เส้นขนเพียงเส้นเดียวของพวกเขาก็หนักราวกับภูเขาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะการที่เซียนดาบชิงเหมิงเพิ่งยกระดับวรยุทธไปหมาดๆ พวกเขาคงแทบยกมันไม่ไหว


“ท่านพ่อกับท่านแม่ควรรีบซึมซับมันเข้าสู่ร่างกายนะ” จางเซวียนพูดยิ้มๆ


“ได้สิ”


ทั้งคู่ทรุดตัวลงนั่งโดยไม่ลังเล ต่างคนต่างซึมซับหยดเลือดเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นก็ค่อยๆส่งมันเข้าไปที่จุดตันเถียน


ครู่ต่อมา ทั้งคู่ก็ลืมตาขึ้นอย่างปุบปับ


“ท่านพ่อท่านแม่ทำสำเร็จไหม?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


“การซึมซับเลือดของนักปราชญ์โบราณจะง่ายดายแบบนั้นได้อย่างไร พ่อเก็บมันไว้ในจุดตันเถียนเพื่อจะได้ขัดเกลาพลังปราณอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไป พลังปราณของพ่อก็จะหลอมรวมเข้ากับรังสีของนักปราชญ์โบราณ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อวรยุทธของพ่อ” เซียนดาบชิงตอบยิ้มๆ


ถ้าการซึมซับหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณเป็นเรื่องง่าย ก็คงไม่คู่ควรกับชื่อเสียงของมันที่ได้ชื่อว่าเป็นทรัพย์สมบัติเลอค่าที่นักรบมากมายนับไม่ถ้วนต่างแสวงหา


มันเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายปีหรือเป็นทศวรรษเพื่อพากเพียรให้ได้มันมา


ด้วยเหตุนี้ ทั้งคู่จึงเลือกจะเก็บเลือดไว้ในจุดตันเถียนก่อน ซึ่งเมื่อขัดเกลาพลังปราณแล้ว ก็จะสามารถซึมซับมันเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ และหากมีเวลามากพอ หยดเลือดก็จะหลอมรวมเข้ากับร่างกายอย่างสมบูรณ์ ทำให้พวกเขามีความสามารถในการฟื้นคืนชีพ


“ผมเข้าใจแล้ว” จางเซวียนพยักหน้า “ผมจะลองดูเหมือนกัน”


จากนั้นเขาก็ทรุดตัวลงกับพื้น ด้วยการเคาะนิ้วเบาๆ จางเซวียนซึมซับเลือดของนักปราชญ์โบราณจากขวดหยกเข้าสู่ร่างกายของเขา


ทันทีที่หยดเลือดเข้าสู่ร่างกาย มันก็หลอมรวมเข้ากับร่างของเขาทันที ไม่เพียงแต่จะปราศจากการต่อต้าน จางเซวียนยังรู้สึกได้ว่าหยดเลือดว่ายระริกอยู่ในร่างของเขา ราวกับว่าในที่สุดมันก็ได้กลับคืนสู่ต้นกำเนิดของมัน


“เอ่อ…” จางเซวียนงุนงงมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น “เราซึมซับหยดเลือดด้วยวิธีการนี้ได้อย่างไร?”


เซียนดาบชิงเหมิงบอกว่ามันเป็นกระบวนการที่ยากเย็น ต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามอย่างมาก แล้วทำไมมันถึงง่ายดายสำหรับเขา?


“ลูกซึมซับมันแล้วหรือ?” ได้ยินว่าลูกชายซึมซับหยดเลือดเข้าสู่ร่างเป็นผลสำเร็จแล้ว เซียนดาบชิงเงยหน้าขึ้นและส่งสายตาตั้งคำถาม


“ใช่” จางเซวียนพยักหน้าขณะรีบประเมินสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากรับหยดเลือดเข้าสู่ร่างกาย


“พ่อคิดว่าพ่อเข้าใจ” เซียนดาบชิงพูด “เมื่อ 20 ปีก่อน ตอนที่บรรพบุรุษเก่าแก่ของเราได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาต้องการหยดเลือดของทายาทตระกูลจางเพื่อยื้อชีวิตไว้ ในครั้งนั้น คนเดียวในตระกูลจางที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ถึงขั้นก็คือลูก หรือพูดอีกอย่างก็คือเลือดส่วนหนึ่งของลูกไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา!”


“เลือดของผมไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา?” จางเซวียนอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเรื่องนั้น


ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เขาอดรู้สึกแปลกๆกับเรื่องนี้ไม่ได้ ดูราวกับว่าเขาได้กลับมาพบกับลูกชายที่หายสาบสูญไปนาน!


“เหตุผลเบื้องต้นที่เราถ่ายเลือดของลูกเข้าสู่ร่างของบรรพบุรุษเก่าแก่ ก็เพื่อยื้อชีวิตของเขาไว้ แต่ความบริสุทธิ์ขั้นสูงสุดของสายเลือดของลูกทำให้สภาวะร่างกายของบรรพบุรุษเก่าแก่เกิดวิวัฒนาการ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาสูงขึ้น ด้วยเหตุนี้ เมื่อลูกพยายามซึมซับหยดเลือดของบรรพบุรุษเก่าแก่ ก็เหมือนกับว่าหยดเลือดนั้นได้กลับคืนสู่ต้นกำเนิดของมัน เป็นธรรมดาที่ลูกจะซึมซับหยดเลือดนี้ได้ง่ายกว่าพวกเรามาก” เซียนดาบชิงอธิบายพร้อมกับยิ้มให้


“ผมเข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้าขณะตัดสินใจว่าจะไม่ครุ่นคิดเรื่องนี้อีก


เขาเพ่งสมาธิกับการรับหยดเลือดที่เพิ่งซึมซับเข้าสู่ร่างกาย และพบว่ามันหลอมรวมเข้ากับเลือดของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่เพียงเท่านั้น ยังรู้สึกได้ถึงความสดชื่นที่เกิดขึ้นในส่วนลึกของร่างกายด้วย


มันเป็นความรู้สึกที่ลึกลับซึ่งยากจะอธิบาย ราวกับมีชีวิตชีวาเกิดขึ้นใหม่ในร่างของเขา หากจะต้องอธิบายเป็นคำพูด ก็เหมือนกับว่าหากใครบางคนตัดแขนของเขาออกมา มันก็สามารถงอกใหม่ได้ในทันที ไม่มีเหตุที่เขาจะต้องกังวลใจเรื่องการได้รับบาดเจ็บอีกต่อไป


แต่จางเซวียนก็รู้สึกได้ว่าแม้จะมีพลังชีวิตมากมายอยู่ในร่างกายแต่ก็ใช่ว่ามันจะมีขีดจำกัด สักวันจะต้องเหือดแห้งไปเช่นกัน


มียาเม็ดชนิดหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อยาฟื้นฟูสภาพร่างกายขนานใหญ่ ซึ่งทำให้แขนขาที่ได้รับบาดเจ็บสามารถงอกขึ้นใหม่ได้แต่ประสิทธิภาพของมันก็ด้อยกว่าหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณมาก


ข้อแรก ยาเม็ดฟื้นฟูร่างกายขนานใหญ่มีผลน้อยมากกับนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เพราะพลังงานในตัวมันที่มีจำกัด ข้อสอง หยดเลือดของนักปราชญ์โบราณสามารถคืนชีพให้ผู้นั้นได้ ไม่ว่าเขาจะบอบช้ำสักแค่ไหน หรือต่อให้ศีรษะหลุดจากบ่าก็ตาม พูดอีกอย่างก็คือ ยาเม็ดฟื้นฟูสภาพร่างกายขนานใหญ่ทำได้เพียงแค่กระตุ้นให้แขนขางอกขึ้นใหม่ แต่หากศีรษะของผู้นั้นหลุดออกจากบ่าแล้ว ยาฟื้นฟูสภาพร่างกายขนานใหญ่จำนวนมากแค่ไหนก็ไม่อาจเยียวยาผู้นั้นได้


เราควรมอบหยดเลือดนี้ให้ลั่วชิงด้วย จางเซวียนคิดพร้อมกับยิ้มออกมาขณะเก็บหยดเลือดอีกสองหยดที่เหลือเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ


การจะได้ทรัพย์สมบัติล้ำค่าขนาดนี้มาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาก็ไม่คิดจะเก็บมันไว้กับตัวเพียงคนเดียว ยังมีคนที่เขารักและอยากปกป้องอยู่


ส่วนหยดเลือดของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณ เราจะหาเวลาพิจารณาทีหลังว่าจะทำอะไรกับมันได้บ้าง…


ในเมื่อพลังปราณเทียบฟ้าของเขาสามารถหลอมรวมเข้ากับพลังปราณของเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ จางเซวียนก็อาจใช้หยดเลือดของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณได้เช่นกัน แต่ตอนนี้มีปรมาจารย์อยู่ใกล้ๆมากมาย ไม่ใช่เวลาและสถานที่ที่จะมาทดสอบหยดเลือด เขาคงต้องเก็บไว้ทีหลัง


“อ้อ ใช่สิ! ท่านพ่อท่านแม่ได้ข่าวเรื่องจ้าวหย่า แล้วตอนนี้จ้าวหย่าอยู่ไหน?” จางเซวียนลุกขึ้นยืนและมองหน้าเซียนดาบชิงเหมิง


เขากำลังจะถามเรื่องนี้ ก็พอดีกับที่เผ่าพันธุ์ปีศาจเข้ามาท้าทายเซียนดาบชิงอย่างกะทันหัน จึงยังไม่ทันได้รู้เรื่องกัน ในเมื่อตอนนี้เผ่าพันธุ์ปีศาจไปหมดแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องหยิบยกเรื่องนี้กลับมาพูดอีกครั้ง


“ที่นี่มีโดมอยู่ 4 หลัง พวกเราอยู่ในโดมใบไม้ผลิอบอุ่น เผ่าพันธุ์ปีศาจยึดครองโดมร้อนเร่าดั่งไฟ อสูรอยู่ในโดมใบไม้ร่วงชื่นใจส่วนโดมหนาวเหน็บเย็นเยือกนั้นก็ถูกยึดครองโดยบุคคลนิรนามจำนวนมาก ก่อนหน้าที่ลูกจะมาถึง แม่สัมผัสได้ถึงรังสีเย็นเยือกจากคนเหล่านั้น จึงเข้าไปดูใกล้ๆ มีแวบหนึ่งที่แม่คิดว่าแม่เห็นลูกศิษย์ของลูก” เซียนดาบเหมิงตอบ


เซียนดาบเหมิงอาจอารมณ์ร้อนในบางครั้ง แต่เธอเป็นคนที่เก็บรายละเอียดได้ครบถ้วน และในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับลูกชายของเธอ เธอจึงจับตาดูอย่างใกล้ชิด ถึงรังสีนั้นจะเบาบาง แต่เซียนดาบเหมิงก็รับรู้ความรู้สึกนั้นได้ไม่ยาก


“แปลว่า…มีโอกาสที่จ้าวหย่าจะอยู่ในโดมหนาวเหน็บเย็นเยือกใช่ไหม?” จางเซวียนถามอย่างร้อนรน เขารีบลุกขึ้นยืนและเดินไปมองดูที่หน้าต่าง


ในบรรดาโดมทั้ง 4 หลัง โดมใบไม้ผลิเชื่อมโยงกับโดมใบไม้ร่วงและโดมฤดูร้อนเชื่อมโยงกับโดมฤดูหนาว


หากมองจากโดมใบไม้ผลิอบอุ่น โดมหนาวเหน็บเย็นเยือกดูจะถูกอีกสองโดมที่เหลือบดบังไว้ ทำให้เขาไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ที่นั่น


“แต่แม่ก็เห็นเพียงแวบเดียวก่อนที่เธอจะหายตัวไปในกลุ่มฝูงชนแม่คิดว่าเธอดูคล้ายลูกศิษย์ของลูก แต่ก็ยืนยันไม่ได้ว่าใช่เธอหรือไม่” เซียนดาบเหมิงพูดต่อ


“เราจะรู้ก็ต่อเมื่อไปดูด้วยตาตัวเอง” จางเซวียนพูด


ตราบใดที่มีโอกาสที่จ้าวหย่าจะอยู่ในโดมหนาวเหน็บเย็นเยือก ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของเขาในฐานะอาจารย์ของเธอที่จะสำรวจพื้นที่นั้น


เห็นจางเซวียนตั้งใจจะเดินทางไปที่นั่น เซียนดาบชิงรีบเสริม “พ่อจะไปด้วย อย่างน้อยก็พอช่วยเหลือลูกได้…”


“ไม่มีปัญหาหรอก ผมรับมือได้” จางเซวียนส่ายหน้าและปฏิเสธความช่วยเหลือของเซียนดาบชิง


ถึงเซียนดาบชิงเหมิงจะไม่ใช่นักรบที่อ่อนแอ แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าอีกฝ่ายสามารถลักพาตัวจ้าวหย่ากับเว่ยหรูเหยียนไปได้อย่างเงียบๆก็หมายความว่าคนกลุ่มนั้นเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือด้วยได้ยาก อีกอย่างเขาก็ยังไม่แน่ใจว่ากลุ่มคนที่ลักพาตัวจ้าวหย่ากับเว่ยหรูเหยียนไปเป็นศัตรูจริงหรือไม่ จึงปลอดภัยกว่าหากจะมุ่งหน้าไปที่นั่นตามลำพัง


รู้ดีว่าลูกชายของตัวเองมีวิธีการที่เหนือชั้นกว่า เซียนดาบชิงได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาและแนะนำว่า “ระวังตัวด้วย!”


“ได้” จางเซวียนตอบก่อนจะรีบออกเดินทางไปยังโดมหนาวเหน็บเย็นเยือก


“ผู้บุกรุก กรุณาหยุดก่อน!”


ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะเข้าสู่โดมหนาวเหน็บเย็นเยือก ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นกลางอากาศ จากนั้นแรงกดดันหนักหน่วงก็โถมทับลงมา


“นักปราชญ์โบราณหรือ?” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความตกใจ


เขาเพิ่งสัมผัสพละกำลังอันไร้เทียมทานแบบนี้มาเมื่อครู่ก่อน มันเป็นพลังที่มีแต่นักปราชญ์โบราณเท่านั้นถึงจะแสดงออกมาได้!


ดูเหมือนนักปราชญ์โบราณผู้นั้นไม่ได้คิดจะโจมตีเขา เป็นไปได้ว่าแรงกดดันที่โถมทับลงมาคือคำเตือนที่บอกเขาว่าโดมหนาวเหน็บเย็นเยือกอยู่ภายใต้การคุ้มกันของนักปราชญ์โบราณเช่นกัน


แต่เรื่องนี้ก็พอคาดเดาได้ หากผู้ที่อยู่ในโดมหนาวเหน็บเย็นเยือกไม่ได้มีพละกำลังขนาดนี้ ก็คงถูกคนอื่นกำจัดไปแล้ว ไม่มีทางที่พวกเขาจะพักอยู่ในโดมอย่างปลอดภัยได้


“ผู้อาวุโส ผมไม่มีเจตนาร้าย ผมมีศิษย์น้องคนหนึ่งซึ่งน่าจะอยู่ในโดมหนาวเหน็บเย็นเยือก และอยากขอเข้าไปดูสักหน่อย” จางเซวียนประสานมืออย่างสุภาพ


ถึงจะมีความเป็นไปได้ที่บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจางจะอยู่ในบริเวณนี้เช่นกัน แต่จางเซวียนก็ไม่กล้าคาดหวังอะไรให้มาก


“ผมรู้จักคุณ, จางเซวียน, อายุ 20 ปี, หัวหน้าสามตระกูลชั้นนำและปูชนียสถานนักปราชญ์ คุณคือผู้โค่นล้มกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีถึง 110000 ตัวในอาณาจักรใต้ดิน, ช่วยชีวิตมนุษย์ไว้จากหายนะน่าประทับใจมาก” นักปราชญ์โบราณผู้นั้นพูด


จางเซวียนประหลาดใจกับการที่นักปราชญ์โบราณนิรนามรู้วีรกรรมของเขา จึงประสานมือและโค้งคำนับ “ผมไม่คู่ควรกับคำชมของคุณหรอก”


“ด้วยคุณงามความดีที่คุณมีต่อมวลมนุษย์ ผมยินดีที่จะต้อนรับคุณด้วยน้ำใจไมตรีสูงสุดหากเป็นโอกาสอื่น แต่ตอนนี้ ผมเกรงว่าคงไม่อนุญาตให้คุณเข้าสู่โดมหนาวเย็นเยือกได้ ต้องขออภัยสำหรับเรื่องนั้นด้วย” นักปราชญ์โบราณพูด


“เพราะอะไร?” จางเซวียนขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงคำพูดของอีกฝ่าย ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา จางเซวียนตั้งคำถาม “ผู้อาวุโส คุณเป็นปรมาจารย์หรือเปล่า?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)