ลำนำบุปผาพิษ 1724-1725

 บทที่ 1724 นางยังคงรักเขายิ่งนัก…


ตี้ฝูอีสามารถสื่อสารกับมันได้มาโดยตลอด ไม่กี่วันมานี้มันมักจะเอ่ยวาจามีลับลมคมในบางอย่างขึ้นในสมองของเขาอยู่เสมอ เสียดแทงหัวใจของตี้ฝูอี


หากเป็นเมื่อก่อน ตี้ฝูอีคงผนึกสำนึกรู้ของมันไปนานแล้ว ให้มันหลับลึกต่อไปไม่ต้องพูดพล่ามอีก


แต่ไม่กี่วันมานี้ ไม่ว่ามันจะพูดจาพิกลอันใดเขาล้วนฟังอยู่เงียบๆ ไม่โต้แย้ง ไม่ตอบรับ หัวใจยังคงเจ็บปวดอยู่เสมอ ราวกับอาศัยสิ่งนี้มาลงโทษตัวเขาเอง


‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงก็เป็นตัวท่านรนหาที่เอง หลังจากท่านกับนางออกมาจากเขตหวงห้าม ก็ไม่ควรจะแตกหักกับนาง ข้ารู้ว่าลิขิตสวรรค์ที่ท่านต้องล่วงลับไม่อาจเปิดเผยได้ ถ้าเปิดเผยออกมาผลกรรมจะตกอยู่ที่ตัวนาง แต่ท่านสามารถอยู่ร่วมกับนางได้อีกหนึ่งปีเต็มเชียวนะ ในหนึ่งปีนี้ท่าจะมีความสุขยิ่งนัก นางก็จะมีความสุขยิ่งนักเช่นกัน…’


ตี้ฝูอีเงียบงัน หากว่าเขาเห็นแก่ตัวสักหน่อย ก็น่าจะทำแบบนี้จริงๆ เช่นนั้นหลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาหนึ่งปีไปเขาล่วงลับดับสูญ ก็ไม่รับรู้อะไรแล้ว ไม่ต้องทุกข์ทรมานอีก


แต่นางล่ะ? คนรักจากไปอย่างกะทันหัน เกรงว่านางคงแตกสลายอย่างสิ้นเชิง…


คนสองคนที่รักกันหากว่าถูกลิขิตให้ต้องพลัดพรากจากตาย ผู้ตายเมื่อสิ้นชีพก็พ้นทุกข์ แต่ผู้ที่ยังอยู่สิถึงจะเป็นฝ่ายที่ต้องทุกข์ทรมานที่สุด


โดยเฉพาะยามที่ชีวิตยืนยาวไร้สิ้นสุด ความทุกข์ทรมานนี้ก็จะแผ่ขยายไปอย่างไร้ที่สิ้นสุดด้วยเช่นกัน


เขาก็แค่ไม่อยากให้นางประสบพบพานความทุกข์ทรมานเช่นนั้น ดังนั้นถึงได้ดำเนินแผนการนี้…


เพียงแต่คนกำหนดมิอาจสู้สวรรค์ลิขิตได้…


‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ถ้อยคำเหล่านั้นของท่านข้าได้ยินหมดแล้ว อันที่จริงท่านก็หวังดีต่อนางเช่นกัน…หากนางทราบถึงความยากลำบากเหล่านี้ของท่าน คงยินดียิ่งนัก…เนื่องจากจวบจนยามที่นางสิ้นชีพ สิ่งที่ใส่ใจที่สุดยังคงเป็นท่านไม่รักนาง ท่านเห็นนางเป็นตัวแทนของผู้อื่น…สุดท้ายที่นางทำเช่นนั้น อันที่จริงคืออยากให้ท่านสมปรารถนา เพราะนางไม่อยากเห็นท่านหัวขาวหงอกเช่นนี้…ปากนางพร่ำบอกว่าชิงชังท่าน ความจริงแล้วนางยังปล่อยวางท่านไม่ได้เลย ยังคงอยากให้ท่านสมปรารถนา…’


ตี้ฝูอีหลับตาลงนิดๆ ใช่แล้ว หากว่านางชิงชังเขามากพอ ก็คงไม่สละชีวิตของตัวนางเพื่อเขา เพียงเพื่อมอบสังขารนี้ออกมา เพียงเพื่อให้เขาดึงจิตสำนึกออกมาได้…


หากว่านางเห็นแก่ตัวสักนิด เกลียดเขามากอีกสักนิด ผลลัพธ์ก็คงไม่เป็นเช่นยามนี้


นางยังคงรักเขายิ่งนัก…


หัวใจเสมือนถูกคนรัดพันด้วยเส้นไหม ค่อยๆ รัดรึงให้แน่น รัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเจ็บปวดจนชาหนึบอีกครั้ง เขากุมมือน้อยๆ ของนางแน่น


มือน้อยๆ ของนางเย็นเฉียบ เขาเคยทดลองดูนับครั้งไม่ถ้วนด้วยต้องการทำให้มันอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง ทว่าล้วนไม่เป็นผลทั้งสิ้น


‘นี่ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านคงจะไม่อยู่ที่นี่ไปตลอดโดยไม่ออกไปเลยกระมัง? ยามนี้ด้านนอกโกลาหลวุ่นวายยิ่งนัก ท่านต้องออกไปควบคุมสถานการณ์โดยรวมนะ…’


ตี้ฝูอีไม่ลืมตา ต่อให้ภายนอกฟ้าถล่มดินทลายแล้วอย่างไรเล่า? นางไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นสำหรับเขาแล้วโลกใบนี้จะดีจะร้ายก็ไม่มีความหมายเลยสักนิด


อายุขัยเขาอยู่ได้อีกห้าเดือน ห้าเดือนนี้เขาจะอยู่ข้างกายนางตลอด ไม่แยกจากกันอีก ไม่ปล่อยให้ผู้ใดหรือเรื่องใดมารบกวนได้ จวบจนถึงวันที่เขาล่วงลับดับขันธ์…


คล้ายว่าหยกนภาจะอ่านความคิดของเขาได้ จึงร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้! เทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่ไม่อยู่แล้ว ถ้าท่านล่วงลับดับขันธ์ไปเช่นนี้อีก โลกใบนี้จะล่มสลายลงอย่างสมบูรณ์ ทุกคนจะตกตายตามกันไปหมด…’


หยกนภาลอยขึ้นมาแล้ว หมุนเป็นวงอยู่กลางอากาศ อากาศที่ว่างเปล่ามีภาพฉากหนึ่งปรากฏขึ้นมา


ในภาพสี่คาบสมุทรปั่นป่วน ภูเขาไฟระเบิด อุกกาบาตร่วงหล่น ฝุ่นธุลีปกคลุมท้องนภา บดบังแสงอาทิตย์ทั้งหมด ทวากลับกลายเป็นราตรี ไม่มีรุ่งอรุณอีกต่อไป มวลน้ำมหาศาลท่วมท้นไปทั่วแผ่นดิน ผู้คนที่หลบหนีเอาชีวิตรอดบ้างก็ถูกลาวาภูเขาไฟกลืนกิน บ้างก็ถูกอุกกาบาตทับตาย บ้างก็จมน้ำตาย…ทั้งโลกเกิดเหตุการณ์โลกาวินาศ


————————————————————————————-


บทที่ 1725 ข้าว่าท่านควรจะไปดูดาวทำนายชะตาสักหน่อยนะ (1)


หยกนภาพร่ำเตือนด้วยความหวังดี “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นสถานการณ์ของโลกใบนี้หลังจากที่ท่านดับสูญไป ท่านปกปักษ์คุ้มครองแผ่นดินมากว่าหมื่นปีแล้ว ต่อไม่ชมชอบมัน แต่ดีร้ายอย่างก็ต้องมีความรู้สึกบ้างกระมัง? คงไม่ปล่อยให้แผ่นดินนี้พินาศไปเช่นนี้กระมัง?”


ตี้ฝูอียังคงเงียบงัน ประหนึ่งเข้าฌานแล้ว


หยกนภาวนเวียนอยู่รอบตัวเขา เปล่งแสงกะพริบอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายมันก็ฉายภาพสถานการณ์ให้เขาอีกครั้ง ในฉากเป็นพวกหลานไว่หูกับเยี่ยนเฉิน เยี่ยนเฉินกับหลานไว่หูน่าจะคืนดีกันแล้ว เยี่ยนเฉินกำลังฉุดดึงหลานไว่หูหนีเอาชีวิตรอดจากแผ่นดินที่ล่มสลาย…


ทว่าเมื่อโลกาวินาศมาถึงไหนเลยจะยังมีที่ปลอดภัยอยู่? ถึงแม้วรยุทธ์ของพวกเขาจะสูง แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ฟ้าถล่มดินทลายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าวรยุทธ์ของเขาไม่มากพอ


เยี่ยนเฉินพาหลานไว่หูเหินทะยาน ถึงแม้จะหลีกหนีจากธารลาวาได้ ทว่าหลบเลี่ยงอุกกาบาตที่ร่วงลงมาจากฟากฟ้าไม่พ้น เพื่อช่วยจิ้งจอกน้อยเยี่ยนเฉินจึงถูกอุกกาบาตยักษ์ลูกหนึ่งตกใส่ ดิ่งลงสู่ปฐพีในทันใด ร่วงหล่นลงไปในลาวา หลานไว่หูทึ่มทื่ออยู่ครู่หนึ่ง เบิกตากว้างกรีดร้องออกมา “พี่เยี่ยนเฉิน!” จากนั้นนางก็กระโดดลงสู่ลาวาเช่นกัน…


บางครั้งในฉากก็มีเชียนหลิงอวี่ ไป๋หลี่เช่อ หลัวจั่นอวี่ กู้เซี่ยเทียน หลัวซิงหลาน…ผู้คนในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เหล่านั้น รวมถึงเหล่าญาติสนิทมิตรสหายของกู้ซีจิ่วแวบขึ้นมา ฉากที่แต่ละคนถูกภัยพิบัติกลืนกิน นองโลหิตมากเพียงใดก็มี โหดร้ายทารุณมากเพียงใดก็มี


หยกนภายังเพิ่มเสียงพากย์เข้าไปอีก ‘เทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะไม่สนใจคนเหล่านี้ได้หรือ? ซีจิ่วใส่ใจคนเหล่านี้ยิ่งนัก คนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องตายและไม่สมควรตาย ทว่ากลับต้องย่อยยับเพราะความรักของพวกท่าน ถ้าพวกเขาต้องมีจุดจบเช่นนี้ ต่อให้ซีจิ่วตายไปแล้วก็คงไม่สบายใจหรอก…’


สายตาของตี้ฝูอีร่อนลงบนฉากเหล่านั้น ไม่ทราบเช่นกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ดูคล้ายว่าจะสะเทือนใจ


หยกนภามองเห็นหนทางแล้ว!


ด้วยเหตุนี้มันจึงพยายามต่อไป เปลี่ยนฉากอีกครั้ง หนนี้เป็นภาพของพวกมู่เฟิงทั้งสี่กับเหล่าข้ารับใช้คนสนิทของเขาเหล่านั้น สี่ทูตไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเลย ข้ารับใช้เหล่านั้นก็จงรักภักดีต่อเขาเช่นกัน มีมากมายหลายคนที่เคยติดตามเขาเผชิญหน้ากับความเป็นความตายมาหลายครั้งแล้ว และพวกเขาก็หนีไม่รอดจากภัยพิบัตินี้เช่นกัน…


พวกเขาฝึกฝนมาอย่างยากลำบาก เห็นได้ชัดไม่ยินดีจะสิ้นชีพไปเช่นนี้ บ้างก็กรีดร้องโววายย บ้างก็ร่ำไห้อย่างขมขื่น มีมากมายหลายคนที่ก่อนตายตะโกนออกมาว่า ‘ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ช่วยด้วย!’


มีภาพขณะที่พวกเขากำลังสิ้นหวังก่อนจะถูกภัยพิบัติกลืนกินอยู่มากมาย ซ้ำหยกนภายังขยายภาพใบหน้าของพวกเขาเป็นพิเศษด้วย ให้ตี้ฝูอีได้เห็นชัดยิ่งขึ้น ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ คนเหล่านี้ท่านไม่ไยดีแล้วหรือ?’


สีหน้าตี้ฝูอีซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม เพียงแต่ยังคงไม่เอื้อนเอ่ยวาจา


ถึงแม้เขาจะพบเห็นความเป็นความตายจนชาชินไปนานแล้ว แต่ความเป็นความตายของผู้คนในภาพเหตุการณ์เหล่านี้เขายังคงไยดีอยู่ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่พวกเขาไม่สมควรต้องตาย


เขาไม่ไยดีความเป็นความตายของตนได้ แต่ความเป็นความตายของคนเหล่านี้เล่า?


สายตาของตี้ฝูอีร่อนลงที่หยกนภา สายตาของเขาเสมือนมีรูปลักษณ์จับต้องได้ ในความลึกล้ำแฝงความเฉียบคมเอาไว้ หยกนภาเมื่อถูกเขาก็สั่นสะท้าน หดไปด้านหลัง ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านมองข้าแบบนี้ทำไม?’


“ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะรู้มากถึงเพียงนี้…”


หยกนภาเป็นหยกที่หยิ่งผยองภาคภูมิ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตี้ฝูอีก็ยังคงหายใจไม่ทั่วท้องอยู่บ้าง ‘ข้า…ข้าเป็นหยกนภานี่นา เรื่องราวบนโลกนี้น้อยนักที่ข้าจะไม่รู้’


“เจ้ามองเห็นอนาคตได้?”


หยกนภาเปล่งแสงวาบ ‘สามารถทำนายได้บางส่วน’


บทที่ 1725 ข้าว่าท่านควรจะไปดูดาวทำนายชะตาสักหน่อยนะ (2)


น้ำเสียงตี้ฝูอีเยียบเย็นเล็กน้อย “เช่นนั้นเรื่องของซีจิ่วในวันนี้เจ้าก็ทำนายไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกันหรือ?”


หยกนภาสะดุ้งโหยง ‘ปะ…เปล่านะ! ความเคลื่อนไหวของนางอยู่นอกเหนือการทำนายของข้าอย่างสมบูรณ์…ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเป็นแบบนี้…ความจริงแล้ว นางต้องไม่ตายสิ…’


นัยน์ตาตี้ฝูอีส่องประกายนิดๆ จับจ้องร่างมัน “เจ้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกันหรือ?”


‘ชะ…ใช่สิ! นางเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไปนะ เป็นผู้ปกครองคนใหม่ของโลกใบนี้ ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องไม่ตาย…’


แววตาของตี้ฝูอีมืดมนลง


ใช่แล้ว ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่ตาย นอกจากถึงขอบเขตที่กำหนดแล้ว…


ในอดีตเขาประสบความเป็นความตายมากมายนับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายก็รอดพ้นอันตายมาได้เสมอ ทุกความยากลำบากล้วนทำให้วรยุทธ์ของเขาก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น


เขามีชีวิตอยู่เนิ่นนานเกินไป บางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกเบื่อหน่าย ถึงขั้นที่เคยคิดเสาะแสวงหาความตายและลองปฏิบัติดูแล้วด้วย บากบั่นทรมานไปมากมาย แต่อย่างมากเขาก็แค่ต้องทนทุกข์กับบทลงโทษด้วยการมีชีวิตอยู่มากขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น ทว่าไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สิ้นชีพเลย


เว้นแต่มารสวรรค์ตนนั้นจะสามารถเข้าแทนที่เขาได้…


‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริงข้าก็ฉงนยิ่งนักเช่นกัน ก่อนที่เทพศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไปยังไม่เติบใหญ่ขึ้น สามารถถูกมารสวรรค์สังหารได้ ข้อนี้ข้ารู้อยู่แล้ว แต่เมื่อพลังวิญญาณของนางบรรลุขั้นสิบแล้ว จะได้รับการปกปักษ์จากสวรรค์ ก่อนถึงขอบเขตที่กำหนดเอาไว้ จะไม่สิ้นชีพเด็ดขาด แต่หนนี้กลับประหลาดนัก ไม่น่าเชื่อว่านางจะสิ้นชีพไปจริงๆ…’


หยกนภาอดไม่ได้ที่จะวนเวียนรอบร่างของกู้ซีจิ่วสองรอบ ซ้ำยังหมอบนิ่งอยู่บนข้อมือของนางด้วย ‘ตายแล้วจริงๆ ด้วย! ข้าสัมผัสถึงดวงวิญญาณของนางไม่ได้เลย…’


ตี้ฝูอีหลุบตามองนางที่อยู่ในอ้อมแขน


ใช่แล้ว เขาก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันว่านางตายแล้วจริงๆ เคยลองเรียกวิญญาณของนางมามากกว่าหนึ่งครั้ง แม้แต่เสี้ยววิญญาณก็เรียกมาไม่ได้เลย…


เมื่อปรากฏสถานการณ์เช่นนี้มีอยู่เพียงสามกรณ๊เท่านั้น หนึ่ง นางยังไม่ตาย สอง นางไปเกิดใหม่แล้ว สาม นางดับขันธ์ไปแล้ว…


แต่ได้เห็นดวงวิญญาณของนางแตกสลายภายในอ้อมแขนตนเองกับตา เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ตาย ส่วนการเกิดใหม่ก็ต้องใช้เวลา


โดยเฉพาะกับคนที่ดวงวิญญาณเคยแตกสลาย ถ้าคิดจะถือกำเนิดใหม่ต้องรวบรวมวิญญาณให้ครบก่อน จากนั้นก็ต้องข้ามสะพานไน่เหอดื่มน้ำแกงยายเมิ่งที่ยมโลก…กระบวนการนี้ อย่างเร็วที่สุดก็ยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี


ส่วนเขาก็เคยเรียกดวงวิญญาณในยามที่นางเพิ่งหมดลมไปอยู่หลายครั้ง ล้วนไม่เป็นผล…


ส่วนกรณีที่สาม การดับขันธ์พลังยุทธ์ต้องบรรลุขั้นทวยเทพแล้ว แถมยังต้องถึงขอบเขตเวลาที่กำหนดแล้วด้วย ถึงจะดับขันธ์ ไม่อาจฝ่าฝืนได้


เท่าที่เขารู้ เมื่อเทพถึงคราวดับขันธ์จะสูญสิ้นไปอย่างสมบูรณ์ สูญสลายไปจากโลกใบนี้ วิญญาณสักเศษเสี้ยวก็ไม่มีหลงเหลืออยู่


กู้ซีจิ่วยังไม่ได้กลายเป็นเทพ อีกทั้งยังไม่ถึงขอบเขตที่กำหนด ไม่อาจดับขันธ์ได้…


สามกรณีนี้ล้วนถูกปัดทิ้งไป ไม่ว่าอย่างไรตี้ฝูอีก็คาดเดาไม่ออกเลยว่าสถานการณ์เช่นนี้ของนางคืออะไรกันแน่


เนื่องจากได้รับความกระทบกระเทือนลึกล้ำเกินไป หลายวันมานี้ตี้ฝูอีจึงว้าวุ่นเลอะเลือน สมองอันปราดเปรื่องก็คร้านจะทำงาน คิดเพียงว่าอยากลาลับจากโลกนี้ตามนางไป…


ยามนี้เมื่อถูกหยกนภาสะกิดขึ้นมาเช่นนี้ ข้อสงสัยในใจเขาก็ยิ่งล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ


สายตาเขาร่อนลงที่หยกนภา เจ้าหยกนี่มีความเป็นมาที่พิเศษยิ่งนัก มาหากู้ซีจิ่วด้วยตัวเอง นับว่าเป็นกุนซือของกู้ซีจิ่ว และมีประโยชน์ใช้สอยพิเศษบางอย่างด้วย


เนื่องจากยามปกติแล้วเจ้าสิ่งนี้ค่อนข้างเอะอะโวยวาย ยามที่ตี้ฝูอีอยู่กับกู้ซีจิ่ว มักจะผนึกสตินึกรู้ของมันอยู่บ่อยครั้ง ทราบว่ามันไม่มีพิษมีภัยต่อกู้ซีจิ่ว เขาจึงไม่ใส่ใจมันมากนัก ยามนี้จู่ๆ เขาก็รู้สึกขึ้นมาว่าเจ้าหยกชิ้นนี้ไม่ธรรมดายิ่ง…


หยกนภาถูกเขาจ้องจนรู้สึกขนลุกแล้ว หดถอยหลังไปอย่างระแวดระวังอีกครั้ง


“เมื่อปีนั้นเหตุใดเจ้าถึงมาหาซีจิ่วด้วยตัวเอง?” จู่ๆ ตี้ฝูอีก็ซักถาม


หยกนภาแข็งทื่อไปแวบหนึ่ง ‘นั่นเพราะ…ข้าถูกชะตากับนาง…’


ตี้ฝูอีพลันฉวยตัวมันเอาไว้ “ข้าต้องการฟังความจริง!”


กำลังมือเขาไม่น้อยเลย เมื่อหยกนภาถูกเขาจับไว้ก็เสมือนเป็ดที่ถูกบีบคอ กรีดร้องออกมา ‘ปล่อยมือนะ! ปล่อยมือ! อย่าได้ไร้มารยาทต่อหยกเทพ! มิเช่นนั้นท่านจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์อีก!’


นัยน์ตาตี้ฝูอีทอแสงวาบ จับประเด็นสำคัญได้แล้ว “ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์อีกงั้นหรือ? เจ้าเกี่ยวพันอันใดกับวิถีสวรรค์?”


หยกนภานิ่งงันไปครู่หนึ่ง


มันหดถอยหลังไปอีกเล็กน้อย ‘ไม่…ไม่เห็นรู้เรื่องเลย วิถีสวรรค์อะไรกัน?’


ตี้ฝูอีจ้องมองมันโดยไม่เอ่ยวาจา ทว่าสายตากลับเยียบเย็นขึ้นเรื่อย…


หยกนภากระสับกระส่ายแล้ว หวั่นเกรงว่าเขาจะหงุดหงิดแล้วทุบมันให้แหลกดั่งศิลา ‘ข้า…เรื่องราวกี่ยวพันถึงลิขิตสวรรค์ ข้าบอกไม่ได้!’


ตี้ฝูอีตกตะลึง คาดไม่ถึงว่ายังมีลิขิตสวรรค์ที่ตัวเขาก็ไม่ทราบอยู่ด้วย…


ตี้ฝูอีไม่ปล่อยมันไป “ทันทีที่เจ้าพบนางก็รับรู้ได้แล้วใช่ไหมว่านางคือเทพศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไป?”


หยกนภาเงียบงัน


“เจ้าเคยแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ต่อนางหรือไม่?”


‘แน่นอนว่าไม่เคย! มิเช่นนั้นคงดึงดูดทัณฑ์สวรรค์มาแล้ว! ข้อนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์น่าจะรู้ดีกว่าข้านะ’


ตี้ฝูอีหลับตาลงนิดๆ เขากระทำตามใจตนเสมอมา ไม่ค่อยแยแสทัณฑ์สวรรค์สักเท่าใด ในอดีตก็มิใช่ว่าไม่เคยแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ เคยดึงดูดทัณฑ์สวรรค์มาเช่นกัน ล้วนถูกเขาถูไถผ่านไปได้ทั้งสิ้น


แต่ทัณฑ์สวรรค์นี้ไม่เพียงแต่ตกใส่ร่างของผู้แพร่งพรายเท่านั้น ยังตกใส่ร่างของผู้ที่รับรู้อีกด้วย


อีกทั้งเมื่อแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ออกมาแล้ว ผลลัพธ์สุดท้ายจะย่ำแย่ยิ่งกว่าในอดีต…


ดังนั้นตี้ฝูอีจึงไม่เคยแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ต่อคนที่ใส่ใจเลย เลี่ยงไม่ให้เป็นการชักภัยไปหาผู้อื่น


หยกนภาหวั่นเกรงว่าเขาจะนำเรื่องที่กู้ซีจิ่วดวงวิญญาณแตกสลายมากล่าวโทษมัน จึงรีบเอ่ยขึ้นว่า ‘ข้าเป็นผู้ที่รู้หนักรู้เบา ดังนั้นเรื่องราวที่เกี่ยวพันถึงลิขิตสวรรค์ ไม่เคยบอกกล่าวแก่นางเลย’


ตี้ฝูอีไม่พูดอะไรแล้ว กระชับอ้อมแขนโอบกู้ซีจิ่ว หลับตาลง


หยกนภาวนเวียนรอบตัวเขาอย่างระมัดระวังยิ่งนักรอบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขามีทีท่าว่าอยากจะหลับใหลไป จึงเอ่ยขึ้นอย่างอดไว้ไม่อยู่ ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะหลับใหลไปจริงๆ ไม่ได้นะ! ตอนนี้ภายนอกยุ่งเหยิงวุ่นวาย ถ้าท่านยังไม่ไปยับยั้งความโกลาหลอีก สิ่งที่ข้าแสดงให้ท่านเห็นเหล่านั้นจะกลายเป็นความจริงขึ้นมา!’


“แล้วข้าจะยับยั้งความโกลาหลได้อย่างไรเล่า?” ในที่สุดตี้ฝูอีก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว “ยังมีเวลาอีกห้าเดือน บางทีสวรรค์อาจจะยังมีผู้ที่พลังใหม่วิญญาณขั้นสิบโผล่มา ส่งเทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่มาอีกงั้นหรือ?”


‘เรื่องนี้…พูดยากนัก’ หยกนภากระอึกกระอัก พูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ เอ่ยชี้แนะเขา ‘ข้าว่าท่านควรจะไปดูดาวทำนายชะตาสักหน่อยนะ’


ตี้ฝูอีจ้องมันครู่หนึ่ง “เจ้าสัมผัสถึงบางอย่างได้อีกแล้วใช่หรือไม่?”


หยกนภาสะบัดหน้าเผ่นหนีไป ‘ลิขิตสวรรค์ไม่อาจแพร่งพราย!’


….


สุดท้ายตี้ฝูอีก็อุ้มกู้ซีจิ่วมาที่สวนดอกไม้ด้านหลังอีกครั้ง เงยหน้ามองดวงดาวบนท้องนภาครู่หนึ่ง ตกตะลึงแล้ว!


นภาดาษดาราที่ปลอดโปร่งเสมอมาปรากฏเมฆดำมืดทึบ และใจกลางเมฆทะมึน เขามองเห็นดวงดาวที่ค่อนข้างแปลกประหลาดดวงหนึ่ง


มีแสงห้าสี ขนาดใหญ่เอาการ ทว่าสว่างไม่มากพอ มีเมฆดำโอบล้อมมันไว้เป็นชั้นๆ ทำให้แสงของมันส่องลอดออกมาไม่ได้ ดูน่าหดหู่อย่างยิ่ง


นี่คือ…


ตัวแทนของเทพศักดิ์สิทธิ์หรือ?!


ไม่น่าเชื่อว่าตัวแทนของเทพศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏตัวแล้ว เห็นทีว่าสวรรค์ก็คงไม่อยากให้โลกใบนี้ล่มสลายไปอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน…


ตี้ฝูอีมองกู้ซีจิ่วที่อยู่ในอ้อมแขน นิ้วมือพลันกำแน่น เดิมทีตำแหน่งเทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่นี้เป็นของนาง!


หยกนภาที่กระโดดโลดเต้นอย่างปีติลิงโลด ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวแล้ว! ขอเพียงท่านตามหาตัวแทนเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้พบ ถ่ายทอดทักษะที่จำเป็นบางอย่างให้แก่อีกฝ่าย ก็สามารถรักษาโลกใบนี้ไว้ได้แล้ว เช่นนั้นเมื่อเจ้านายหวนกลับมาอีกครั้งก็ไม่ถึงขั้นต้องเซ้งต่อร้านที่เจ๊งไปแล้ว…’


ตี้ฝูอีสั่นสะท้าน “เจ้าว่าอย่างไรนะ?! นายของเจ้าจะหวนกลับมา?!”


หยกนภาก็ตระหนกเช่นกัน!


ซวยแล้ว! ดูเหมือนมันจะแพร่งพรายลิขิตสวรรค์ไปนิดหน่อยแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)