ข้ามกาลบันดาลรัก 172.2-175.1

ตอนที่ 172-2 รักแรกพบ

 

จางฟู่กุ้ยพาจางเฉิงบุตรชายมาด้วย จางเฉิงที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด เห็นผู้คนสวมเสื้อผ้ามอซอมากมายกำลังกินอาหารอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ ตกใจเข้าไปหลบอยู่หลังจางฟู่กุ้ย จางฟู่กุ้ยเองก็ตาโตอ้าปากค้างเช่นกัน


 


 


เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาต้อนรับพวกเขา ลืมกระทั่งจะทักทาย ถามนางอย่างตกอกตกใจ “แม่นางเมิ่ง เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”


 


 


“น้องชายข้าสอบถงเซิงได้ ครอบครัวพวกเราก็เลยจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีให้กินเปล่าสามวันเพื่อเฉลิมฉลอง” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ


 


 


จางฟู่กุ้ยพยักหน้าเข้าใจโดยพลัน หัวเราะเสียงลั่น “วันนั้นพวกเราเห็นในใบรายชื่อแล้ว น้องชายเจ้าสอบระดับจังหวัดได้ที่หนึ่ง จัดงานฉลองก็สมควรแล้ว หากเป็นเฉิงเอ๋อร์ ข้าคงจัดงานใหญ่โตยิ่งกว่านี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดต่อความ แต่ยิ้มแล้วพาพวกเขาเข้าไปในบ้าน


 


 


คนในบ้านเมิ่งออกมารอรับในลานบ้านแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวแนะนำแก่จางฟู่กุ้ย “นี่คือท่านพ่อท่านแม่ข้า”


 


 


จางฟู่กุ้ยกล่าวทักทายสองสามคำ พูดกับทั้งสองคนอย่างอิจฉา “พวกท่านทั้งสองมีบุตรสาวเก่งกาจเพียงนี้ นับว่าเป็นบุญวาสนาโดยแท้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแนะนำต่อ “นี่คือซุนซ่านเหรินและหลานสาวของเขา วันนี้มาเป็นแขกบ้านพวกเราพอดี ทุกคนต่างทำการค้า จะได้รู้จักกันไว้ ไม่แน่ว่าภายหน้าจะได้คบค้าสมาคมกัน”


 


 


ทั้งสองกล่าวทักทายกันอย่างเบิกบาน


 


 


คนทั้งหมดกลับเข้าไปในบ้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างหมดจดไร้ร่องรอย “พี่ใหญ่ ที่นี่ไม่มีธุระของท่านแล้ว ท่านพาแม่นางซุนออกไปเดินเล่นเถอะ”


 


 


ซุนซ่านเหรินที่เดินตามหลังมาได้ยินคำนี้ หยุดชะงักฝ่าเท้า


 


 


เมิ่งเสียนหน้าแดงเรื่อ ขยี้หัวถาม “ไปเดินเล่นที่ไหน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาทำเสียเรื่องในช่วงเวลาสำคัญ แทบอยากจะเตะเขาสักสองที พูดอย่างข่มกลั้น “บ้านเราเพิ่งจะปลูกมันฝรั่งไม่ใช่หรือ? ท่านพาแม่นางซุนไปเดินดูแปลงมันฝรั่งอย่างไร”


 


 


เมิ่งเสียนถามอย่างไม่เข้าใจ “มันฝรั่งเพิ่งจะปลูก ยังไม่งอกออกมา มีอะไรน่าดูกัน?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแทบอยากจะบีบเค้นหัวใจเขาแล้ว ขบเขี้ยวฟันพูดว่า “แม่นางซุนน่าจะไม่เคยเห็นว่ามันฝรั่งปลูกอย่างไร ท่านพานางไปดู และจะได้ตรวจสอบด้วยว่าวันนี้คนงานมารดน้ำมันฝรั่งตรงตามเวลาหรือไม่”


 


 


ซุนเชี่ยนเห็นปฏิกิริยาของนางก็หลุดขำ


 


 


เมิ่งเสียนรับคำ พูดอย่างสุภาพ “เชิญแม่นางซุน”


 


 


เห็นซุนเชี่ยนออกไปกับเมิ่งเสียน เมิ่งเชี่ยนโยวค่อยโล่งอก เดินออกไปด้านนอก ตามหาเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉ บอกพวกเขาว่าเถ้าแก่จางมารับกระเป๋านักเรียนแล้ว ให้พวกเขาสองคนเข้าไปพูดคุย


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเคยเจรจากับจางฟู่กุ้ยแล้ว ภายในใจสงบนิ่ง ไม่รู้สึกประหม่ากลัว เดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าไปข้างในอย่างเชื่อฟัง


 


 


ซุนเหลียงไฉกลับรู้สึกครั่นคราม เอ่ยถามเมิ่งเชี่ยนโยว “ประเดี๋ยวพอพวกเราเจอเถ้าแก่จางต้องพูดอย่างไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้าและอี้เซวียนเจรจากับเขาเรียบร้อยแล้ว วันนี้เขาเพียงเข้ามารับกระเป๋านักเรียน พวกเจ้าเพียงรักษาความสัมพันธ์กับเขาเอาไว้ก็พอ”


 


 


ซุนเหลียงไฉพยักหน้า


 


 


สมแล้วที่ซุนซ่านเหรินเป็นพ่อค้า แม้จะไม่มีเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในบ้าน ก็ไม่ทำให้เสียบรรยากาศ แต่ร่วมเสวนากับจางฟู่กุ้ยอย่างถูกคอออกรสออกชาติ สองสามีภรรยาเมิ่งเพียงนั่งเป็นไม้ประดับอยู่อีกด้าน


 


 


เห็นทั้งสามคนเข้ามา จางฟู่กุ้ยมองสองสามีภรรยาเมิ่งอย่างอิจฉาอีกครั้ง พูดว่า “บุตรชายฉลาดปราดเปรื่อง บุตรสาวเก่งกาจสามารถ พวกท่านมีโชควาสนาโดยแท้”


 


 


เมิ่งชื่อกำลังจะเอ่ยปากบอกว่าเมิ่งอี้เซวียนเป็นบุตรเขยตัวเอง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ชิงพูดขึ้นก่อน “เถ้าแก่จางกล่าวชมเกินไปแล้ว บุตรชายท่านก็ไม่ได้แย่ เพียงแค่ยังไม่ได้รับการเจียรนัยเท่านั้น”


 


 


จางฟู่กุ้ยทอดถอนใจ “เฉิงเอ๋อร์เป็นบุตรชายคนเล็กสุดของข้า ถูกเลี้ยงดูตามใจมาแต่เกิด ตอนนี้มีอายุสิบกว่าปีแล้ว นอกจากการเรียนที่พอจะทำให้ข้าปลาบปลื้มใจได้บ้าง สิ่งอื่นไม่มีอะไรควรค่าให้กล่าวถึง”


 


 


ซุนซ่านเหรินพูดอย่างเบิกบาน “ท่านยังดีกว่าข้ามากนัก หลานชายข้าแม้แต่การเรียนก็ยังไม่ไหว วันๆ รู้จักแต่กินเล่นเกียจคร้าน โชคดีข้าส่งมาให้แม่นางเมิ่งสอนสั่งชั่วระยะเวลาหนึ่ง ตอนนี้จึงดีขึ้นบ้าง”


 


 


พูดจบหันไปพูดกับซุนเหลียงไฉ “ไฉเอ๋อร์ ยังไม่เข้ามาแสดงความเคารพ?”


 


 


ซุนเหลียงไฉเดินขึ้นหน้า คำนับจางฟู่กุ้ย กล่าวทักทาย


 


 


จางฟู่กุ้ยกล่าวว่า “หลานชายท่านนับว่าดูดีมากแล้ว ไฉนเลยจะเหมือนบุตรชายข้า เจอคนแปลกหน้าก็จะหลบซ่อน”


 


 


ซุนซ่านเหรินโบกมือ “สามเดือนก่อน เขาหาได้เป็นเช่นนี้ไม่ เป็นเด็กที่ไม่มีสัมมาคารวะอย่างสิ้นเชิง เป็นเด็กเกเรที่รู้จักแต่ก่อเรื่อง หากไม่ได้แม่นางเมิ่งอบรมสั่งสอนอย่างเต็มที่ ภายหน้าหลานชายข้าคนนี้จะต้องเป็นเพียงคุณชายเหลือขอคนหนึ่ง”


 


 


จางฟู่กุ้ยตกตะลึง “การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ของหลานชายท่านล้วนเป็นฝีมือของแม่นางเมิ่ง?”


 


 


ซุนซ่านเหรินพยักหน้า


 


 


จางฟู่กุ้ยหันไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว กล่าวชื่นชม “ไม่คิดว่าแม่นางเมิ่งนอกจากทำการค้าแล้ว ยังรู้จักสอนสั่งเด็กด้วย ถึงว่าน้องชายเจ้าอายุเพียงเท่านี้ก็สอบถงเซิงได้แล้ว เรื่องนี้เจ้าจะต้องมีส่วนช่วย น่าเสียดายนัก พวกเราสองบ้านอยู่ไกลกันเกินไป ไม่เช่นนั้นข้าจะส่งเฉิงเอ๋อร์มาอยู่บ้านเจ้า ให้เจ้าก็ช่วยสอนสั่งเขาด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ ยกยิ้มพูด “เถ้าแก่จางกล่าวเกินไปแล้ว ตัวข้าเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ไฉนเลยจะสอนสั่งพวกเขาได้ ที่พวกเขาเปลี่ยนได้เช่นนี้ เพราะพื้นฐานดั้งเดิมของพวกเขาดีอยู่แล้ว ข้าเพียงแค่คอยกวดขันพวกเขาอีกเล็กน้อย พื้นฐานของบุตรชายท่านก็ไม่เลว เชื่อว่าภายหน้าจะต้องมีอนาคตเกรียงไกร”


 


 


จางฟู่กุ้ยถอนใจ “ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ”


 


 


จางเฉิงนั่งบนเก้าอี้อีกด้านไม่พูดไม่จา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปส่งสายตาให้เมิ่งอี้เซวียน เมิ่งอี้เซวียนเข้าใจทันที เดินไปตรงหน้าจางเฉิง พูดด้วยน้ำเสียงสดใส “ในห้องข้ายังมีกระเป๋านักเรียนลวดลายแตกต่างกันอีกมาก สวยทุกแบบเลย เจ้าอยากเข้าไปดูกับข้าหรือไม่?”


 


 


จางเฉิงดวงตาเปล่งประกาย พยักหน้ายินดี


 


 


เมิ่งอี้เซวียนดึงมือเขา “ไป ข้าจะพาไปดู”


 


 


จางเฉิงเดินตามเข้าไปอย่างชื่นบาน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปส่งสายตาให้ซุนเหลียงไฉอีกครั้ง เขาก็เดินตามออกไปด้วย


 


 


จางฟู่กุ้ยเริ่มรู้สึกประหลาดใจระคนยินดี กล่าวว่า “บุตรชายข้าคนนี้ไม่ว่าข้าพาไปที่ไหน จะต้องตามติดข้าแจ ไม่เคยออกห่างจากข้าแม้แต่ก้าวเดียว ไม่คิดว่าวันนี้จะยอมไปเล่นกับอี้เซวียน นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เถ้าแก่จาง จากที่ข้าเห็น บุตรชายท่านมิได้แย่ถึงขนาดที่ท่านกล่าวมา เพียงแค่ปกติมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นน้อยเกินไป ถึงทำให้เขาเป็นคนขี้อายเช่นนี้ พอท่านกลับไป ให้เขาชวนคนที่มีอายุเท่ากันไปเล่นที่บ้าน เวลานานเข้า เขาอาจจะค่อยๆ ดีขึ้นก็เป็นได้”


 


 


ได้ยินนางพูดเช่นนี้ จางฟู่กุ้ยก็ดีอกดีใจพูดว่า “พอกลับไปข้าจะไปทำตามที่แม่นางบอก หากเป็นดังที่เจ้าว่า เฉิงเอ๋อร์ไม่กลัวคนแปลกหน้าอีก ข้าจะมีของกำนัลชิ้นใหญ่มอบให้เจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ข้ามิได้ทำอะไรไม่ เถ้าแก่จางกล่าวเกินไปแล้ว”


 


 


ระหว่างที่คนทั้งหมดพูดคุยสรวลเส ในลานบ้านกลับมีเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานของจางเฉิงดังลอยมา จางฟู่กุ้ยลุกขึ้นอย่างไม่เชื่อ เดินมาหน้าประตู เห็นภายใต้การสอนของเมิ่งอี้เซวียน จางเฉิงกำลังหมุนเครื่องเล่นในมือเบาๆ จนลอยสูงอย่างมีความสุข


 


 


เป็นครั้งแรกที่จางเฉิงเล่นเครื่องเล่นนี้ ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่เห็นว่าพอใช้มือปั่น เครื่องเล่นจะบินลอยสูง ตัวเองก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก


 


 


จางฟู่กุ้ยไม่เคยเห็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจากใบหน้าของบุตรชายตัวเองเช่นนี้มาก่อน ตื้นตันใจจนเกือบน้ำตาคลอเอ่อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขา “นี่คือแมลงปอไม้ไผ่ เป็นเครื่องเล่นที่ข้าคิดประดิษฐ์ขึ้นในยามว่าง หากบุตรชายท่านชอบ ประเดี๋ยวจะให้พี่ใหญ่ข้าทำให้เขาหนึ่งอัน”


 


 


จางฟู่กุ้ยกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณแม่นางเมิ่งๆ”


 


 


กลับมาพูดถึงเมิ่งเสียน ที่พาซุนเชี่ยนมายังแปลงมันฝรั่ง ชี้ตามแนวคันดินแล้วพูดกับนาง “มันฝรั่งปลูกอยู่ตามแนวคันดินเหล่านี้ ตอนนี้หน่ออ่อนข้างในยังเล็ก ยังไม่งอกออกมา รอให้ผ่านไปสักระยะหนึ่ง ทั่วแนวคันดินนี้จะเต็มไปด้วยใบต้นมันฝรั่ง ถึงตอนนั้นใต้แนวคันดินจะเต็มไปด้วยมันฝรั่งลูกใหญ่ๆ”


 


 


ซุนเชี่ยนเคยกินมันฝรั่งที่เหลาจวี้เสียน แต่ไม่เคยเห็นมันฝรั่งจริงๆ เกิดความอยากรู้อยากเห็น ถามขึ้น “มันฝรั่งมีหน้าตาอย่างไร? พวกท่านไปได้เมล็ดพันธุ์มันฝรั่งมาจากที่ใด? แล้วทำอย่างไรให้พวกมันเจริญเติบโต?”


 


 


เมิ่งเสียนขยี้หัว ตอบว่า “น้องสาวเป็นคนพบมันฝรั่งบนเขาโดยบังเอิญ ไม่ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ เพียงนำหน่ออ่อนที่งอกออกมาจากมันฝรั่งลงไปปลูกก็ได้แล้ว”


 


 


พอได้ยินว่ามันฝรั่งไม่ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ก็งอกออกมาได้ ซุนเชี่ยนยิ่งทวีความอยากรู้อยากเห็น ถามว่า “ข้าขุดออกมาดูสักอันได้หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเสียนรีบยับยั้งนาง “ไม่ได้ น้องสาวบอกแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเจริญเติบโตของมันฝรั่ง หากเจ้าขุดออกมา มันฝรั่งนั้นก็จะไม่เติบโตแล้ว”


 


 


เห็นท่าทีร้อนรนของเขา ซุนเชี่ยนพ่นหัวเราะออกมาดัง “พรืด” “ข้าหยอกท่านนะ ท่านยังจะคิดเป็นจริง ทำไมท่านถึงหลอกง่ายเช่นนี้?”


 


 


เมิ่งเสียนถูกนางเย้าแหย่ เขินจนหน้าแดง


 


 


ซุนเชี่ยนยั่วเย้าเขา “ท่านเป็นผู้ชายอกสามศอก ใบหน้าบางยิ่งกว่าข้า อะไรนิดหน่อยก็หน้าแดง”


 


 


ครั้งนี้แม้แต่ใบหูก็แดงก่ำแล้ว


 


 


ซุนเชี่ยนหัวเราะร่วน


 


 


คนที่หาบน้ำมารดน้ำในแปลงดินต่างมองมาอย่างประหลาดใจ ทั้งคาดเดาในใจว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นใคร


 


 


ซุนเชี่ยนก็ไม่หลบหลีก ยืนอย่างเปิดเผยให้พวกเขามองประเมินตามใจ


 


 


เมิ่งเสียนก็รับรู้ได้ถึงสายตามองประเมินของทุกคน รีบพูดเตือนนาง “ไม่ต้องหัวเราะแล้ว ทุกคนมองเจ้าหมดแล้ว”


 


 


ซุนเชี่ยนพูดอย่างไม่แยแส “มองก็มองไปสิ ข้าก็ไม่ได้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่”


 


 


เมิ่งเสียนไม่พูดอะไร ยืนอักอ่วนอีกด้านเป็นเพื่อนนาง


 


 


พอเห็นพวกเขายืนด้วยกันไม่พูดไม่จา คนงานก็ยิ่งให้ประหลาดใจ


 


 


ยืนอีกครู่หนึ่ง เมิ่งเสียนทนกับสายตามองประเมินของพวกเขาไม่ไหวแล้ว พูดขึ้น “พวกเรากลับเถอะ ที่บ้านยังมีธุระอีกมาก” พูดจบ ก็หันหลังเดินดุ่ยๆ กลับไป 

 

 


ตอนที่ 172-3 รักแรกพบ

 

ซุนเชี่ยนเจตนาเดินอย่างแช่มช้า ดูว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร


 


 


เมิ่งเสียนเดินไปไม่กี่ก้าว พบว่านางไม่เดินตามมา จึงเดินช้าลงรอนาง แต่อย่างไรก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้านาง จำต้องหันกลับไปเร่งเร้า “เจ้าช่วยเดินเร็วหน่อยได้หรือไม่?”


 


 


ซุนเชี่ยนหยุดฝีเท้าพลัน พูดโป้ปด “เมื่อครู่ตอนขามาคงเดินเร็วเกินไป ตอนนี้ข้าเจ็บขา”


 


 


เมิ่งเสียนร้อนรนเดินกลับไปข้างนาง ถามขึ้น “เช่นนี้จะทำอย่างไร?”


 


 


ซุนเชี่ยนแสร้งทำเป็นอับจนปัญญา “ข้าก็ไม่รู้”


 


 


เมิ่งเสียนใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วกัดฟันพูด “เจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าจะกลับไปบังคับรถม้ามา” พูดจบก็หันหลังเตรียมจะวิ่งกลับบ้าน


 


 


ซุนเชี่ยนร้องตะโกนรั้งเขา “ช้าก่อน!”


 


 


เมิ่งเสียนมองนางอย่างข้องใจ


 


 


“ไม่ต้องบังคับรถม้ามาแล้ว ท่านประคองข้าเดินกลับไปเถอะ!” ซุนเชี่ยนพูด


 


 


เมิ่งเสียนได้ฟังคล้ายจะตกใจขวัญผวา พลันถอยหลังไปสองสามก้าว พูดว่า “ให้ข้ากลับไปบังคับรถม้าเถอะ” พบจบก็วิ่งหน้าตั้งกลับไป ความเร็วนั้นราวกับเบื้องหลังมีจิ้งจอกวิ่งไล่กวด


 


 


ซุนเชี่ยนตะลึงอ้าปากค้างมองเขาที่เพียงพริบตาก็วิ่งไปไกลเหมือนลมวูบหนึ่ง แอบลอบถอนหายใจ เดินกลับไปด้วยความรู้สึกหดหู่


 


 


เมิ่งเสียนวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงหน้าประตูบ้าน เห็นผู้คนกำลังกินเลี้ยงหลิวสุ่ยสี ถึงนึกขึ้นได้ว่า รถม้าบ้านตัวเองต่อให้ประกอบเสร็จก็เอาออกมาไม่ได้ กระวนกระวายใจเดินอาดๆ เข้ามาหาเมิ่งเชี่ยนโยวในบ้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ กำลังพูดคุยอยู่ในบ้าน เห็นเมิ่งเสียนเดินหายใจหอบเข้ามาคนเดียว ก็ให้ประหลาดใจถาม “พี่ใหญ่ แม่นางซุนเล่า?”


 


 


เมิ่งเสียนมองทุกคนในบ้านแวบหนึ่ง พูดว่า “น้องสาว เจ้าออกมาหน่อยเถิด ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไปนอกบ้าน


 


 


เมิ่งเสียนพูดกับนางเสียงเบา “ตอนขากลับแม่นางซุนบอกว่าขาเจ็บ ข้าให้นางพักอยู่ที่แปลงดิน ตัวเองกลับมาบังคับรถม้า แต่รถม้าของพวกเราเอาออกมาไม่ได้ เช่นนี้จะทำอย่างไรดี?”


 


 


เห็นเขาพลาดโอกาสที่ดีเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวแทบอยากจะเคาะกะโหลกที่แข็งตะปุ่มตะป่ำเหมือนไม้ต้นอวี๋[1]ของเขานัก คำรามเสียงเบาใส่เขาอย่างเคืองขุ่น “ไม่มีรถม้าท่านก็ไปประคองแม่นางซุนกลับมาสิ”


 


 


เมิ่งเสียนลนลานโบกมือ “ไม่ได้ๆ ทำเช่นนั้นจะเสื่อมเสียชื่อเสียงแม่นางซุนได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอยากจะร้องคำรามใส่เขานัก ที่ต้องการก็คือให้เขาทำลายชื่อเสียงแม่นางซุนอย่างไร แต่ในบ้านมีคนอยู่มาก นางทำได้แต่คิด ไหนเลยจะกล้าร้องคำราม เพียงแค่นเสียงหึแล้วพูดว่า “ข้าจะไปรับแม่นางซุนกลับมากับท่าน”


 


 


เมิ่งเสียนรบเร้านาง “งั้นพวกเรารีบไปเถอะ”


 


 


เห็นท่าทีร้อนรนของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือดีใจดี


 


 


ทั้งสองเดินพ้นประตูมาได้ไม่ไกล ก็เห็นซุนเชี่ยนเดินอ้อยอิ่งกลับมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววิ่งเข้าไป กุลีกุจอถาม “แม่นางซุน ขาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


ซุนเชี่ยนยิ้มเก้อเขิน “พักครู่หนึ่งก็ดีขึ้นมากแล้ว”


 


 


เมิ่งเสียนอธิบาย “รถม้าในบ้านเอาออกมาไม่ได้ ข้าเลยไปหาน้องสาวให้มาช่วยเจ้า ทำให้ล่าช้าเสียเวลา หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสา”


 


 


ซุนเชี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “เป็นความผิดของข้าเอง ไฉนเลยจะกล้าตำหนิท่าน?”


 


 


เมิ่งเสียนตะลึงงัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปากแอบอมยิ้ม


 


 


ซุนเชี่ยนก็รู้สึกว่าน้ำเสียงตัวเองผิดปกติ หน้าแดงเรื่อ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างมีนัยแอบแฝง “แม่นางซุนอย่าได้ถือสา พี่ใหญ่ข้าไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับหญิงสาว ไม่รู้ว่าพวกนางคิดอ่านอย่างไร แต่หากพี่ใหญ่ข้าจริงจังตั้งมั่นกับใคร จะต้องดีกับคนผู้นั้นไปทั้งชีวิต”


 


 


ซุนเชี่ยนฟังความหมายแฝงในคำพูดนางออก ใบหน้ายิ่งฝาดแดง ชำเลืองมองเมิ่งเสียนแวบหนึ่ง


 


 


เมิ่งเสียนก็หน้าแดงเรื่อ กล่าวตำหนิเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเก้อเขิน “น้องสาว เจ้าพูดเรื่องพวกนี้ทำไม?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแอบถอนหายใจ หันไปพูดกับซุนเชี่ยนอย่างแหนงหน่าย “พี่ชายข้าสมองดั่งไม้ต้นอวี๋ เจ้าอย่าเก็บไปใส่ใจ”


 


 


ซุนเชี่ยนเห็นนางกล่าวถึงเมิ่งเสียนเช่นนี้ก็ให้หัวเราะขบขัน


 


 


เมิ่งเสียนมองนางอย่างงุนงง


 


 


ทั้งสามเดินเข้ามาในลานบ้าน ซุนเชี่ยนเห็นคนทั้งหมดกำลังเล่นแมลงปอไม้ไผ่ก็ให้ประหลาดใจ สาวเท้าเดินเข้าไปพูดขึ้น “ขอข้าเล่นบ้างได้หรือไม่”


 


 


เมิ่งเสียนเห็นซุนเชี่ยนเดินเหินกระฉับกระเฉง ตกใจอ้าปากร้องลั่น “น้องสาว นางๆๆ…”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตวาดเขาอย่างไม่ได้ดั่งใจ “หุบปาก!”


 


 


เมิ่งเสียนกลับอ้าปากค้างกว้างกว่าเดิม มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างฉงน ไม่เข้าใจทำไมนางต้องตวาดตัวเอง


 


 


จางเฉิงที่ถือแมลงปอไม้ไผ่นิ่งอึ้งเล็กน้อย ยื่นแมลงปอไม้ไผ่ในมือให้นางอย่างกล้าๆ กลัวๆ


 


 


ซุนเชี่ยนรับมา ลองปั่นมือเลียนแบบพวกเขา แมลงปอไม้ไผ่ก็หมุนติ้วลอยคว้างกลางอากาศ


 


 


ซุนเชี่ยนพูดกับจางเฉิงอย่างตื่นเต้น “เจ้าดูเถิด ของข้าสูงกว่าเจ้าอีก”


 


 


จางเฉิงลืมความสั่นกลัวแล้ว พูดอย่างไม่ยอม “ของข้าสูงกว่าเจ้า ไม่เชื่อเดี๋ยวเจ้าคอยดู” พูดจบหลังจากเฝ้ามองให้แมลงปอไม้ไผ่ร่วงลงมา ก็รีบวิ่งไปเก็บ จากนั้นออกแรงสุดชีวิตปั่นไม้ไผ่ เป็นดั่งที่เขาพูดดังคาด แมลงปอไม้ไผ่ลอยละลิ่วสูงยิ่งกว่าเมื่อครู่


 


 


ซุนเชี่ยนกล่าวชื่นชม “เจ้าเด็กทะเล้น ก็ได้ สูงกว่าของข้าจริงๆ”


 


 


จางเฉิงไม่เคยได้ยินใครเรียกตนเองเช่นนี้มาก่อน ยืนจังก้าอยู่ตรงนั้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ขบคิดวางแผน หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉ “เมื่อคุณชายจางชอบแมลงปอไม้ไผ่เช่นนี้ พวกเจ้ากับพี่ใหญ่ไปช่วยกันทำให้เขาสองอันเถอะ”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเข้าใจนัยยะจากคำพูดนางทันที พยักหน้า เชื้อเชิญจางเฉิง “วิธีการทำของสิ่งนี้ง่ายมาก เจ้าก็มาทำด้วยกันกับพวกเราเถอะ”


 


 


จางเฉิงไม่เคยทำของสิ่งนี้มาก่อน พยักหน้าดีใจ


 


 


เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉไปเดินหาไม้ไผ่สองสามแผ่นกลับมา ให้เมิ่งเสียนผ่าแยกออก แล้วสอนจางเฉิงว่าต้องฝนอย่างไร


 


 


ซุนเชี่ยนเห็นว่าไม่ยาก จึงเข้ามาร่วมวงกับพวกเขาด้วย


 


 


ตอนที่จางฟู่กุ้ยและซุนซ่านเหรินเดินออกมา เห็นจางเฉิงใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มกำลังฝนไม้ไผ่แผ่นอย่างสนุกสนาน ให้ประหลาดใจ พูดว่า “พี่ซุน แม่นางเมิ่งไม่ใช่เล่นจริงๆ บุตรชายข้าไม่เคยมีความสุขเช่นนี้มาก่อน”


 


 


ซุนซ่านเหรินก็เลื่อมใสในตัวเมิ่งเชี่ยนโยวมากเช่นกัน ลูบเคราพูดอย่างเบิกบาน “ถูกแล้ว เรื่องที่พวกเราคิดว่าจัดการได้ยาก พอมาอยู่ในมือนางกลับง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ บางครั้งข้ายังสงสัยว่านางนั้นหรือคือเด็กสาวอายุเพียงสิบกว่าปี”


 


 


สองสามีภรรยาเมิ่งได้ยินพวกเขากล่าวชมเชยบุตรสาวตัวเองเช่นนี้ ย่อมปิติยินดีอย่างมาก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพวกเขาเดินออกมา จึงพาพวกเขามาที่ห้องฝั่งตะวันตก มาดูกระเป๋านักเรียนจำนวนมากที่เย็บเสร็จแล้ว ทั้งหยิบกระเป๋านักเรียนทุกลวดลายออกมาอย่างละหนึ่งใบ วางตรงหน้าจางฟู่กุ้ย บอกเขาว่า ลูกหลานบ้านเศรษฐีส่วนใหญ่จะซื้อกระเป๋านักเรียนทุกลวดลายไปอย่างละใบ


 


 


จางฟู่กุ้ยมองดูลวดลายทุกแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ให้ประหลาดใจ หลังจากตรวจดูฝีมือการเย็บกระเป๋านักเรียนสองสามใบอย่างง่ายๆ ก็พูดว่า “แม่นางเมิ่ง ขอกระเป๋านักเรียนคุณภาพดีมาให้ข้าอีกลวดลายละสามสิบใบเถอะ ข้ากลัวกระเป๋านักเรียนหนึ่งร้อยใบจะถูกแย่งซื้อหมดอย่างเร็ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลอบยินดี ขานรับคำ “เถ้าแก่จางมีสายตาแหลมคม ข้าจะเตรียมให้ท่านเดี๋ยวนี้”


 


 


จางฟู่กุ้ยหัวเราะลั่น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งชื่อบรรจุกระเป๋านักเรียนที่จางฟู่กุ้ยต้องการด้วยตัวเอง ทั้งพูดว่า “ต้องขอโทษด้วยที่ครั้งนี้ต้องให้ท่านมาด้วยตัวเอง ภายหน้าหากท่านต้องการสินค้าอีกให้คนมาส่งข่าวก็พอ พวกเราจะจัดส่งไปให้”


 


 


จางฟู่กุ้ยโบกมือ พูดว่า “ข้ามาครั้งนี้ นับว่าไม่เสียเที่ยว ไม่เพียงเฉิงเอ๋อร์มีความเปลี่ยนแปลง ข้าก็ได้ผลประโยชน์กลับไปไม่น้อย ภายหน้าหากแม่นางเมิ่งเข้าไปในจังหวัดอีกจะต้องมาที่บ้านข้า พวกเราจะได้พูดคุยกันให้เต็มที่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ารับคำ “มีเวลาข้าจะต้องไป”


 


 


เมิ่งเสียนสอนคนทั้งหมดทำแมลงปอไม้ไผ่จำนวนหนึ่ง หลังจากจางเฉิงเลือกเฟ้นแล้ว ก็หยิบออกมาสองอัน กำไว้ในมือแน่น ดีใจยกใหญ่


 


 


ซุนเชี่ยนก็เลือกไปหนึ่งอัน


 


 


เมื่อเจรจาความเสร็จเรียบร้อยแล้ว จางฟู่กุ้ยก็กล่าวคำลา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้าเริ่มเย็นแล้ว คิดจะรั้งพวกเขาให้อยู่ต่อ แต่พอคิดว่าบ้านตัวเองสถานที่ไม่เพียงพอ จึงหันไปมองซุนซ่านเหรินอย่างลำบากใจ


 


 


ซุนซ่านเหรินเข้าใจทันที พูดกับจางฟู่กุ้ยอย่างเบิกบาน “วันนี้ก็เย็นมากแล้ว เดินทางกลับจังหวัดตลอดคืนเกรงจะไม่ปลอดภัย เอาอย่างนี้เถอะ น้องจางตามข้าไปพักในตำบลสักคืน พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางเป็นอย่างไร”


 


 


จางฟู่กุ้ยและซุนซ่านเหรินเพิ่งเจอกันดั่งรู้จักกันมานาน พูดคุยถูกคอ บวกกับการเดินทางตอนกลางคืนก็ไม่ปลอดภัยจริงๆ จึงรับปากเต็มคำ “พวกเราเป็นคนต่างถิ่นไม่คุ้นเคย ต้องรบกวนพี่ซุนแล้ว”


 


 


ซุนซ่านเหรินโบกมือหยอยๆ “ไม่รบกวน ตอนกลางคืนพวกเราจะได้พูดคุยกันอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเหวินเปียวนำกระเป๋านักเรียนไปจัดวางบนรถม้าที่จางฟู่กุ้ยพามาด้วย จางฟู่กุ้ยร้องเรียกจางเฉิง นำเขากล่าวคำลา


 


 


แม้จางเฉิงจะไม่ได้พูด แต่ก็ไม่ยืนด้านหลังจางฟู่กุ้ยอย่างสั่นกลัวอีก


 


 


ซุนเชี่ยนกล่าวลาสองสามีภรรยาเมิ่งอย่างสุภาพอ่อนน้อม จึงเดินออกไปพร้อมซุนซ่านเหริน


 


 


งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีด้านนอกยังดำเนินต่อ ในตอนนั้นคนทั้งหมดไม่ตกใจแล้ว เดินไปข้างรถม้าตัวเอง ก้าวขึ้นรถม้า


 


 


ซุนซ่านเหรินสั่งคนรถให้บังคับรถม้านำทางไปยังโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดของตำบล


 


 


เมื่อส่งคนทั้งหมดกลับ สองสามีภรรยาเมิ่งที่คอยอยู่ด้วยตลอดมาครึ่งค่อนวันถอนใจโล่งอก เมิ่งชื่อพูดว่า “เหนื่อยจะแย่แล้ว ต่อไปข้าจะมุ่งมั่นกับการเย็บกระเป๋านักเรียนเท่านั้น พวกเจ้าใครก็อย่ามาให้ไปต้อนรับแขกอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นรู้สึกว่าตัวเองยิ้มจนหน้าแข็งค้างไปหมดแล้ว ได้ฟังก็พยักหน้าเห็นพ้อง “ใช่ ต่อไปเรื่องเช่นนี้ไม่ต้องมาเรียกข้าและแม่เจ้าอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเสียงลั่น


 


 


งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวันผ่านพ้นไปด้วยดี คนในครอบครัวเมิ่งทั้งหมดยังมีลูกๆ หลานๆ ในสกุลเมิ่งที่มาช่วยเหลือต่างเหน็ดเหนื่อยจนผิวหนังลอยเป็นชั้น พักผ่อนสองสามวันถึงฟื้นคืนกลับมา


 


 


คืนวันที่จัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวคำนวณอย่างคร่าวๆ ใช้เงินไปหลายร้อยตำลึง เมิ่งชื่อได้ฟังก็ตบหน้าอกพูดอย่างปวดใจ “ต่อไปจะไม่จัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีแล้ว แค่สามวันก็ละลายเงินไปมากมายเช่นนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่มเชื้อไฟ “ท่านแม่ ยังไม่หมดนะ คาดว่าพรุ่งนี้เหล่าผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ในละแวกใกล้เคียงก็จะเข้ามากล่าวคำอวยพร ถึงตอนนั้นพวกเราจะเลี่ยงเลี้ยงรับรองอาหารพวกเขาสักมื้อไม่ได้”


 


 


เมิ่งชื่อร้องอุทาน “ยังต้องเลี้ยงอาหาร? กระเป๋านักเรียนร้อยกว่าใบของข้าขายไม่ได้กำไรแล้ว!”


 


 


 


 


[1] ต้นอวี๋ เป็นไม้เนื้อแข็งในสกุลต้นอัลมัส เป็นการเปรียบเปรยว่ามีความคิดโบราณ คร่ำครึ

 

 

 


ตอนที่ 173-1 ซุนเชี่ยนสารภาพรัก เมิ่งเสียนผวาตกใจ

 

ทั้งครอบครัวหัวเราะครืน


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดหยอกเย้า “เดี๋ยวนี้แม่เจ้าขี้งกขึ้นเรื่อยๆ”


 


 


เมิ่งชื่อถลึงตาใส่เขา “กระเป๋านักเรียนชั้นดีของข้าเพิ่งจะขายได้ใบละหกตำลึง ยังรวมเงินค่าแรงคนงานอยู่ในนั้น เงินหลายร้อยตำลึงนั่นข้าต้องขายกระเป๋านักเรียนกี่ใบถึงจะได้กำไรกลับคืนมา?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ท่านแม่ เงินพวกนี้ข้าจ่ายเอง ไม่ต้องใช้เงินขายกระเป๋านักเรียนของท่าน”


 


 


เมิ่งชื่อยิ่งโมโหเท้าสะเอวแอ่นอก “ไม่ได้ ตกลงกันแล้วว่าแม่เป็นคนจ่าย แม่จะไม่ยอมให้ภายหน้าพ่อเจ้ามาหัวเราะเยาะได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ


 


 


งานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีผ่านพ้นไปแล้ว เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉก็สมควรไปโรงเรียนแล้ว


 


 


คืนวันก่อนหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวใส่ซองแดงเป็นเงินสองตำลึงหลายใบ


 


 


เมิ่งชื่อเห็นก็ให้สงสัย ถามนางว่าเตรียมซองแดงนี้ไปทำอะไร?


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบว่าตัวเองรับปากพวกอาจารย์ว่าถ้าอี้เซวียนสอบถงเซิงได้จะมอบซองแดงให้พวกเขา


 


 


เมิ่งชื่อก็ให้เจ็บปวดใจอีกครั้ง


 


 


เช้าตรู่วันถัดมา เมิ่งเชี่ยนโยวให้เหวินเปียวและเหวินหู่ออกเดินทางเร็วขึ้นสองเค่อ พอมาถึงหน้าประตูโรงเรียน อาจารย์เวรก็เพิ่งมาถึง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวและน้องๆ ยืนข้างรถม้า ก็ให้ประหลาดใจ เดินเข้าไปถาม “เหตุใดวันนี้พวกเจ้าถึงมาเช้าเช่นนี้?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคลี่ยิ้มหยิบซองแดงใบหนึ่งออกมา วางบนมืออาจารย์ “เพราะคำอวยพรของท่านอาจารย์ น้องชายข้าถึงสอบถงเซิงได้ นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยของข้า หวังว่าท่านอาจารย์จะรับไว้”


 


 


อาจารย์รีบบอกปัด “ไม่ได้เด็ดขาด ที่อี้เซวียนสอบถงเซิงได้ เพราะเขามีความรู้ดี ข้าหาได้ช่วยอะไรเขาไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเกลี้ยกล่อม “ท่านรับไว้เถอะ ต่อไปยังต้องรบกวนท่านช่วยดูแลอี้เซวียนด้วย”


 


 


อาจารย์ได้รับเงินค่าสอนเพียงเดือนละห้าตำลึง เห็นห่อซองแดงซองใหญ่ก็ให้หวั่นหวามหัวใจ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวดึงดันจะให้ให้ได้ จึงไม่บอกปัดอีก รับมาใส่ชายแขนเสื้อตัวเอง “ขอบใจแม่นางเมิ่ง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ


 


 


อาจารย์รู้สึกว่าตัวเองรับซองแดงมารู้สึกประดักประเดิด จึงหยั่งเชิงพูดขึ้น “มีเรื่องบางอย่าง ไม่รู้ว่าสมควรพูดหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เชิญท่านอาจารย์พูด”


 


 


อาจารย์ขบคิดครู่หนึ่ง พิจารณาถ้อยคำแล้วกล่าวว่า “อี้เซวียนฉลาดล้ำเกินคน ยากจะหานักเรียนคนไหนเทียบเทียมได้ เอาแต่อยู่ในโรงเรียนเกรงจะถ่วงอนาคตของเขา ข้าแนะนำแม่นางหาอาจารย์เลื่องชื่อมาประสิทธิ์ประสาทวิชาให้เขาเป็นการส่วนตัว ภายหน้าเขาจะต้องมีอนาคตที่เกรียงไกร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน ได้ฟังก็ชะงักงันไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มพูดว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่แนะนำ ข้าจะลองนำกลับไปคิดทบทวนให้ดี”


 


 


อาจารย์พยักหน้า “หวังว่าแม่นางจะตัดสินใจได้โดยไว อย่าได้ถ่วงอนาคตของน้องชายท่าน”


 


 


หน้าประตูโรงเรียเริ่มมีรถม้าทยอยเข้ามา อาจารย์กลับไปยืนหน้าประตูใหญ่ เปิดประตูใหญ่ออกตรงตามเวลา


 


 


พอเห็นเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉเดินเข้าไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวยืนครุ่นคิดข้างรถม้าครู่หนึ่ง แล้วสั่งการเหวินเปียว “ไปร้านยาเต๋อเหริน”


 


 


เรื่องที่เมิ่งอี้เซวียนสอบถงเซิงได้ สกุลเมิ่งจัดงานเลี้ยงหลิวสุ่ยสีสามวัน ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสามวันข่าวนี้ก็แพร่สะพัดมาถึงในตำบล เหวินซื่อและหมอชราก็รู้เรื่องนี้แล้ว


 


 


เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาแต่เช้า หมอชราที่เพิ่งจะนั่งลงข้างโต๊ะตรวจ พูดขึ้น “น้องชายเจ้าอายุเพียงเท่านี้ก็สอบถงเซิงได้ ขอแสดงความยินดีกับแม่นางเมิ่งด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวประหลาดใจ “ข่าวมาถึงในตำบลเร็วเช่นนี้เลย?”


 


 


หมอชรายิ้มพูด “โรงหมอแห่งนี้มีผู้ป่วยจากทุกสารทิศ ข่าวย่อมจะรวดเร็วกว่าที่อื่น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าถาม “นายท่านของพวกท่านเล่า?”


 


 


หมอชรานึกว่าปรุงยารักษาแผลเป็นเสร็จแล้ว นึกยินดีในใจ “นายท่านของพวกเราอยู่ชั้นบน ข้าจะพาเจ้าขึ้นไป” พูดจบ เดินนำทาง พานางขึ้นไปชั้นบน


 


 


เหวินซื่อกำลังตรวจดูบัญชี เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นมา โยนบัญชีในมือทิ้งไปทันที ลุกขึ้นยืน พูดอย่างดีใจ “ข้ากำลังจะเตรียมของกำนัลไปแสดงความยินที่บ้านพวกเจ้าพอดี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไป “เอามา!”


 


 


เหวินซื่อตะลึงเล็กน้อย ถามอย่างไม่เข้าใจ “อะไร?”


 


 


“ของกำนัลอย่างไร เจ้ามิได้จะส่งไปบ้านพวกเราหรือ? ข้ามาเอาไปพอดี ไม่ต้องรบกวนเจ้าเทียวไปเทียวมา” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ


 


 


เหวินซื่อตะเบ็งเสียง “ยายตัวแสบ ไม่เคยเกรงใจเลยสักนิด ข้ายังเตรียมของกำนัลไม่เสร็จ เจ้าก็ยื่นมือออกมาแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชักมือกลับ เบะปาก “ข้าว่าแล้ว เจ้ามันก็ดีแต่ปาก หาได้ตั้งใจจะมอบของกำนัลให้พวกเราจริงๆ”


 


 


เหวินซื่อโมโหแผดเสียงดังขึ้น “ข้าไม่มีความตั้งใจอย่างไร เมื่อวานข้าปรึกษากับเหล่าอวี๋ตั้งเป็นนาน ถึงตกลงกันได้ว่าจะซื้ออะไรให้พวกเจ้า นี่ก็ให้พนักงานออกไปซื้อหาตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ใช่ไหม เหล่าอวี๋?”


 


 


หมอชราช่วยประสานเสียง “ที่นายท่านพูดเป็นความจริง พนักงานที่ออกไปซื้อของกำนัลน่าจะใกล้กลับมาแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพนักหน้า “ก็ได้ ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้ง”


 


 


เหวินซื่อได้ฟังก็ยิ่งให้โมโห “เจ้ามายั่วโมโหข้าแต่เช้า เจตนาใช่หรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปัดมือ พูดด้วยน้ำเสียงเอ้อระเหย “วันนี้ข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้า ข้าไม่กล้าล่วงเกินเจ้าหรอก”


 


 


เหวินซื่อได้ฟัง พลันเก็บอาการโมโห วางท่าวางทางกลับไปนั่งบนเก้าอี้ ยกขาไขว่ห้าง ถามนางอย่างสบายอารมณ์ “มีเรื่องอะไรจะขอร้องข้า พูดมาเถอะ ถ้าข้าพอใจจะรับปากเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีวางมาดเสแสร้งของเขา หยิบถ้วยน้ำชาเปล่าบนโต๊ะได้ก็ขว้างออกไป


 


 


เหวินซื่อตกใจสะดุ้งโหยง เบี่ยงกายเร้นหลบ “นังตัวแสบ เจ้าทุ่มใส่ข้าทำไม”


 


 


“เห็นแล้วขวางหูขวางตา”


 


 


เหวินซื่อสะอึกกึก


 


 


หมอชราแอบขำ


 


 


เหวินซื่อแผดเสียงอีกครั้ง “เจ้าใช้ท่าทีเช่นนี้มาขอร้องข้าอย่างนั้นเรอะ จะบอกให้นะ ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก ระวังข้าจะไม่ช่วยเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่แยแส “ไม่ช่วยก็ไม่ต้องช่วย ข้าจัดการเองก็ได้”


 


 


เหวินซื่อสะอึกกึกอีกครั้ง


 


 


หมอชราเข้าไปกอบกู้สถานการณ์ “แม่นางเมิ่ง ท่านมีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ นายท่านของพวกเราจะต้องช่วยท่าน”


 


 


เหวินซื่อโมโหแค่นเสียงหึ กลับไม่ได้พูดโต้แย้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขาตามตรง “เจ้าเขียนจดหมายให้ท่านแม่ทัพฉู่ ให้เขาช่วยหาอาจารย์ที่มีความรู้ดีในเมืองหลวงและปรมาจารย์ที่มีวิทยายุทธสูงส่งมาอย่างละคน”


 


 


เหวินซื่อได้ฟังก็ลืมความโมโห ถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าจะหาคนเช่นนี้ไปทำอะไร?”


 


 


“เมื่อครู่อาจารย์ที่โรงเรียนพูดว่า น้องชายข้าอัจฉริยะฉลาดเลิศล้ำ อยู่ที่โรงเรียนเกรงจะถ่วงอนาคตของเขาได้ แนะนำให้ข้าหาอาจารย์มีชื่อมาประสิทธิ์ประสาทวิชาให้เขา ข้าจะไปรู้จักคนเหล่านี้ได้จากไหน คิดว่าในเมืองหลวงมีคนมีการศึกษาสูงเยอะ ดังนั้นจึงคิดจะขอให้ท่านแม่ทัพฉู่ช่วยหาให้สักคน”


 


 


เหวินซื่อพยักหน้า “ข้าก็ได้ยินมาว่าน้องชายเจ้าอายุยังน้อยก็สอบระดับจังหวัดได้ที่หนึ่ง เด็กแบบนี้สมควรได้รับการสอนสั่งอย่างเต็มที่ ประเดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมาย ให้พี่ฉู่ช่วยเจ้าหาให้หนึ่งคน แต่ว่าปรมาจารย์ที่มีวิทยายุทธสูงส่งข้าว่าไม่ต้องแล้ว วิทยายุทธของคุณชายเจ้าสำนักคุ้มภัยสกุลเหวินถือว่าไม่เลวแล้ว ให้เขาสอนน้องชายเจ้าได้สบาย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “เขาก็บอกข้าว่าอี้เซวียนเป็นอัจฉริยะด้านการยุทธ์ แนะนำข้าให้หาปรมาจารย์ที่มีวิทยายุทธสูงส่ง เริ่มแรกข้าไม่ได้เก็บมาใส่ใจ แต่หลายวันก่อนตอนที่พวกเรากลับมาจากจังหวัดเกือบจะเกิดเรื่องขึ้น ดังนั้นข้าถึงคิดจะให้ท่านแม่ทัพฉู่ช่วยหาปรมาจารย์ให้คนหนึ่ง”


 


 


เหวินซื่อร้องตกใจ “แม้แต่เจ้าสำนักคุ้มภัยยังบอกว่าเขาเป็นอัจฉริยะด้านการยุทธ์ จะต้องไม่ธรรมดา แต่คนที่มีวิทยายุทธสูงไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ เจ้าคงต้องอดทนรอไปก่อน”


 


 


“ข้ารู้ ดังนั้นตอนที่เจ้าเขียนจดหมาให้บอกเขาว่า อาจารย์ให้รีบหา สำหรับปรมาจารย์ให้ยืดเวลาออกไปได้ เหวินเปียวและเหวินหู่ยังพอสอนพวกเขาก่อนไปได้ระยะหนึ่ง”


 


 


เหวินซื่อพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว” แล้วพูดขึ้นว่า “ข้ายังไม่เคยเจอคนที่ฉลาดปราดเปรื่องเยี่ยงน้องชายเจ้ามาก่อน หากวันไหนมีเวลาก็พามาให้ข้าได้เห็นบ้างเถิด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ “ช่างเถอะ เจ้าพาน้องชายข้าเสียคนไปจะยุ่งยาก”


 


 


เหวินซื่อหวีดร้องโวยวาย “เหล่าอวี๋ เจ้าดูนางพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง ข้าเพียงอยากเห็นหน้าคาดตา จะทำเสียคนได้อย่างไร?”


 


 


หมอชราก้มหน้ายืนอยู่อีกด้าน ไม่กล้าพูดจา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างรำคาญ “เลิกร้องได้แล้ว รีบเขียนจดหมาย ข้ายังมีธุระที่บ้านนะ”


 


 


เหวินซื่อโมโหชี้หน้านางพูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปข้างตรงเบื้องหน้าเขา จัดวางพู่กันให้เขา พูดรบเร้า “เร็วเข้า!”


 


 


เหวินซื่อไม่ขยับ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยั่วเย้า “ขอเพียงเจ้าเขียนจดหมายนี้เสร็จ ข้ารับประกันจะปรุงยารักษาแผลเป็นให้เสร็จนำมาให้เจ้าภายในสองเดือน”


 


 


เหวินซื่อมีปฏิกิริยาสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นพูดอย่างโอหังอวดดี “ยานั้นไม่เอาก็ได้ อย่างไรข้าก็เป็นผู้ชาย ใบหน้ามีรอยแผลเป็นก็ไม่เห็นเป็นอะไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูดชมเชย “ช่างจองหองนัก หวังว่าพอข้าปรุงยาเสร็จเจ้าจะยังพูดเช่นนี้”


 


 


พุดจบก็หันหลังเดินออกไป


 


 


เหวินซื่อลนลานพูด “ข้าจะเขียนให้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแอบทำมือเป็นผู้ชนะกับหมอชรา


 


 


หมอชราปิดปากกลั้นขำ


 


 


ไม่นานเหวินซื่อก็เขียนจดหมายเสร็จ ส่งให้พนักงานให้เขารีบนำไปส่ง


 


 


พนักงานที่ออกไปซื้อของกำนัลกลับมา นำของกำนัลที่ซื้อมาวางบนโต๊ะอย่างระวัง


 


 


เหวินซื่อชี้ของกำนัลบนโต๊ะ พูดอย่างได้ใจ “ข้าหาได้โกหกเจ้าไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา หยิบของกำนัลบนโต๊ะแล้วเดินออกไปอย่างไม่เกรงใจสักนิด


 


 


เหวินซื่อถามเสียงดัง “เจ้าไม่ดูหรือว่าข้างในเป็นของสิ่งใด?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงดังลอยกลับมา “ไม่ต้องดูแล้ว อย่างไรเจ้าก็ไม่มีทางซื้ออะไรดี”


 


 


เหวินซื่อโมโหจะกระโจนออกไปหาความกับนาง


 


 


หมอชราขวางรั้งเขา พูดเตือนสติ “นายท่าน ยาๆ”


 


 


เหวินซื่อหยุดชะงักฝีเท้า ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “นังตัวดี รอเจ้าปรุงยาเสร็จก่อน ดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”


 


 


หมอชราแอบค่อนขอดในใจ ยังไม่รู้ว่าใครจะจัดการใครเล่า


 


 


เหวินซื่อโมโหหวีดร้องโวยวาย เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกสะใจสบายอารมณ์ ออกไปจากร้านยาเต๋อเหรินด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


 


 


เหวินหู่เดินเข้ามา รับของกำนัลในมือนาง วางบนรถม้าอย่างระวัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นบนรถม้า สั่งการเหวินเปียวให้กลับบ้าน

 

 

 


ตอนที่ 173-2 ซุนเชี่ยนสารภาพรัก เมิ่งเสียนผวาตกใจ

 

ซุนซ่านเหรินคอยอยู่ดูแลจางฟู่กุ้ยพักที่โรงเตี๊ยมเยว่ไหลในตำบลหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากส่งพวกเขากลับไป ถึงกลับเข้ามาในบ้านตัวเอง


 


 


วันนี้ซุนเชี่ยนไม่ได้ออกไปดูแลการค้า เอาแต่รออยู่ในบ้าน ได้ยินว่าซุนซ่านเหรินกลับมาแล้ว ก็รีบเดินมายังเรือนของเขา พูดกับซุนซ่านเหรินตามตรง “ท่านปู่ ข้ามาหาท่านเพราะมีเรื่องจะพูดด้วย”


 


 


ซุนซ่านเหรินคลับคล้ายจะเดาออกว่าเป็นเรื่องอะไร โบกมือให้บ่าวรับใช้ออกไป ถามนางอย่างอ่อนโยน “เจ้าพึงใจเมิ่งเสียนหรือ?”


 


 


ซุนเชี่ยนชะงักงัน แล้วพยักหน้า “หลานรู้สึกว่าเขาเปิดเผยจริงใจ เป็นตัวเลือกที่ดีของการเป็นสามี”


 


 


ซุนซ่านเหรินพยักหน้าสนับสนุน “ปู่เคยเห็นเด็กคนนี้หลายครั้ง เป็นคนไม่เลวจริงๆ”


 


 


ซุนเชี่ยนยินดี “แปลว่าท่านปู่เห็นด้วยแล้ว?”


 


 


ซุนซ่านเหรินยิ้มพูด “เด็กโง่ ปู่เห็นด้วยจะมีประโยชน์อะไร ที่สำคัญคือคนฝ่ายนั้นต้องเห็นด้วย เข้ามาพูดทาบทามสู่ขอ”


 


 


ความยินดีบนใบหน้าซุนเชี่ยนมลายหาย “คนผู้นั้นสมองทื่อ ข้าส่งสัญญาณให้หลายครั้งแล้วก็ยังไม่ได้ผล”


 


 


ซุนซ่านเหรินพูดแนะนำนาง “ปู่ว่าแม่นางเมิ่งก็มีเจตนาจะส่งเสริมพวกเจ้า เอาไว้ตอนเย็นเจ้าไปรอนางที่ประตูโรงเรียน ขอแผนการดีๆ จากนาง”


 


 


ซุนเชี่ยนเริ่มรู้สึกไม่ดี “เช่นนี้จะไม่เหมาะสมหรือไม่? แม่นางเมิ่งยังเป็นเด็กสาว จะมีแผนการที่ดีให้ข้าได้อย่างไร?”


 


 


“แม้แม่นางเมิ่งจะเป็นเพียงเด็กสาว แต่กลับมีความคิดที่พิศดารแปลกใหม่ อีกอย่างเมิ่งเสียนก็เป็นพี่ชายนาง นางย่อมรู้ดีกว่าใคร เจ้าถามนาง ไม่มีทางพลาดแน่นอน”


 


 


ซุนเชี่ยนยังคงลังเล “หากนางหัวเราะขบขันหลานจะทำอย่างไร?”


 


 


ซุนซ่านเหรินเก็บคืนอาการ พูดอย่างตั้งใจ “เชี่ยนเอ๋อร์ ปู่เคยสอนเจ้าว่า ไม่ว่าเรื่องใดเมื่อควรลงมือก็ควรลงมือ อีกทั้งนี่ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตเจ้า หากเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเป็นเขาเท่านั้น เจ้าก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เขามา คำหัวเราะขบขันกับการได้แต่งงานกับเขา เจ้าคิดดูเถิดว่าจะเลือกอย่างไหน?”


 


 


ซุนเชี่ยนไม่ลังเลอีก “ได้ เย็นนี้ข้าจะไปขอคำแนะนำจากนาง หากนางอยากหัวเราะเยาะข้าก็ให้นางหัวเราะเยาะไปเถอะ”


 


 


ซุนเชี่ยนฟื้นคืนสีหน้าเบิกบาน “ถูกต้องแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือให้บ้านแม่นางเมิ่งมาทาบทามสู่ขอเลยจะยิ่งดี”


 


 


ซุนเชี่ยนหน้าแดง กระทืบเท้า “ท่านปู่ ไฉนเลยจะเร็วได้เช่นนั้น?”


 


 


เป็นครั้งแรกที่ซุนซ่านเหรินเห็นอาการเขินอายของหลานสาว หัวเราะครื้นเครง


 


 


ยามเย็น ซุนเชี่ยนให้คนรถบังคับรถม้ามารอหน้าโรงเรียนแต่เนิ่นๆ


 


 


ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงเห็นรถม้ายังนึกว่าเข้ามารับซุนเหลียงไฉ ก็ให้มุ่นหัวคิ้ว


 


 


คนรถบอกซุนเชี่ยนเสียงเบาว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงแล้ว


 


 


ซุนเชี่ยนลงจากรถม้า เดินมาข้างรถนาง คลี่ยิ้มกล่าวทักทายเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มถามนาง “ไม่ทราบว่าแม่นางซุนมีเรื่องอันใด?”


 


 


ซุนเชี่ยนพูดอย่างเปิดอก “วันนี้ข้ามาหาเจ้า เพราะมีเรื่องอยากขอคำแนะนำจากเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจกระตุก ลุกลนพูด “แม่นางซุนขึ้นมาพูดบนม้าเถอะ”


 


 


ซุนเชี่ยนพยักหน้า ขึ้นไปนั่งบนรถม้าแล้วปิดม่านรถลง


 


 


แม้ปกติซุนเชี่ยนจะเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องชีวิตคู่ครอง ให้ตัวเองพูดก็ยังรู้สึกเขินอาย ดังนั้นหลังจากขึ้นมาบนรถม้า พิจารณาถ้อยคำด้วยใบหน้าแดงเรื่อครู่หนึ่ง ถึงพูดออกไปตามตรง “ข้าพึงใจพี่ใหญ่ของเจ้า แต่คล้ายว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรด้วย ข้าอยากถามเจ้า พอจะมีวิธีอะไรทำให้เขามาสู่ขอข้าได้?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่านางจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ ให้ตกใจนิ่งอึ้ง ทว่าก็ชอบในนิสัยเปิดเผยจริงใจเช่นนี้ของนาง จึงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ข้าเป็นพวกทึ่มทื่อ เจ้าจะให้เขาเสนอตัวมาทาบทามสู่ขอ เหมือนจะยากไปเสียหน่อย”


 


 


สีหน้ารอคอยของซุนเชี่ยนตกวูบ เริ่มพูดอย่างสิ้นหวัง “เช่นนั้นจะทำอย่างไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มพูด “ข้าจะสอนวิธีหนึ่งให้เจ้า ดึงดูดความสนใจจากพี่ใหญ่ข้า เรื่องต่อจากนี้ไปก็จะพูดง่ายขึ้นเอง”


 


 


ซุนเชี่ยนดวงตาเปล่งประกาย รีบร้อนถาม “วิธีอะไร?”


 


 


“เจ้าไปสารภาพรักกับพี่ใหญ่ข้า เช่นนี้เขาก็จะสนใจเจ้าแล้ว”


 


 


ซุนเชี่ยนลนลานโบกปัดมือ “ไม่ได้เด็ดขาด หากข้าทำเช่นนั้น ภายหน้าหากพวกเราแต่งงานกัน เขาจะดูแคลนข้าได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเตือนนาง “พี่ใหญ่ข้ามีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิงน้อย ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของหญิงสาว หากเจ้ารอให้เขาคิดได้เอง ไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานแค่ไหน หากเจ้าสารภาพรักกับเขา ดึงดูดความสนใจจากเขา ให้เขาคอยคิดพะวงถึงเจ้าทุกเช้าค่ำ เรื่องสู่ขอหลังจากนั้นก็ง่ายดายแล้ว”


 


 


ซุนเชี่ยนยิ่งหน้าแดง ถามนางเสียงเบา “หากข้าทำเช่นนั้น ภายหน้าคนในครอบครัวพวกเจ้าก็จะดูแคลนข้าหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือนางขึ้นยกยิ้มพูด “ไม่หรอก บิดามารดาข้าคอยแต่จะให้พี่ใหญ่ได้แต่งงานทุกวัน หากเจ้าทำเช่นนี้ พวกเขาดีใจยังไม่ทันเล่า จะดูแคลนเจ้าได้อย่างไร สำหรับข้า ข้าเป็นออกความคิด ย่อมต้องยืนอยู่ข้างเจ้า เจ้าเพียงใช้ความกล้าทำให้เต็มที่ ข้าขอรับประกัน ต่อให้พี่ใหญ่ข้ายังไม่รู้สึกตัว บิดามารดาข้ารู้เข้าจะต้องกุมตัวเขาไปสู่ขอเจ้าถึงบ้านเอง”


 


 


ซุนเชี่ยนได้ฟังเริ่มเป็นกังวล “หากเขาถูกบังคับ ต่อไปจะไม่ชอบข้าหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่เคยมีหญิงสาวพูดสารภาพรักกับพี่ใหญ่ข้ามาก่อน หากเขารับปาก เจ้าจะเป็นหญิงสาวคนแรกที่เข้ามาอยู่ในใจเขา ต่อไปเขาจะต้องเห็นเจ้าเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า”


 


 


ซุนเชี่ยนถามอย่างไม่เชื่อ “จริงหรือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าหนักแน่น “จริงแท้แน่นอน ข้าไม่หลอกเจ้าหรอก เจ้ามีนิสัยเปิดเผยจริงใจ ข้าเห็นเจ้าครั้งแรกก็ชอบแล้ว อยากได้เจ้ามาเป็นพี่สะใภ้ใจจะขาด”


 


 


ซุนเชี่ยนตัดสินใจเด็ดขาด “ได้ ข้าเชื่อเจ้า แต่ว่า สารภาพรักต้องพูดอะไรบ้าง?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งงัน แล้วหัวเราะก๊าก


 


 


ซุนเชี่ยนถูกหัวเราะจนทำอะไรไม่ถูก ถามอย่างแคลงใจ “ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือกลั้วหัวเราะ “ไม่ ไม่มี”


 


 


ซุนเชี่ยนยิ่งให้ฉงนงงงวย


 


 


หลังจากหัวเราะพอแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวถึงกวักมือเรียกนาง “เจ้าเอียงหูมานี่ ข้าจะพูดให้เจ้าฟัง”


 


 


ซุนเชี่ยนได้ยินก็ยื่นหน้าเข้าหา เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกระซิบกระซาบที่ข้างหูนาง


 


 


ซุนเชี่ยนฟังจบตาลุกวาว ถามตะกุกตะกัก “ตะ ต้องพูดเช่นนี้?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดให้กำลังใจ “ข้ายอมขายพี่ใหญ่ข้าให้เจ้าแล้ว เจ้าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดี”


 


 


ซุนเชี่ยนพูดอย่างจริงใจ “ขอบใจ”


 


 


ประตูโรงเรียนเปิดแล้ว หลังจากกล่าวขอบใจเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง ซุนเชี่ยนก็กลับไปขึ้นรถม้าตัวเอง สั่งคนรถเดินทางกลับบ้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลงจากรถม้าลงมา เดินมารอหน้าประตูโรงเรียน


 


 


นับตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียนมา เมิ่งอี้เซวียนเป็นถงเซิงคนแรกที่สอบระดับจังหวัดได้ที่หนึ่ง ตั้งแต่ครูใหญ่ไปถึงอาจารย์ในโรงเรียนต่างปิติยินดีแทบคลั่ง วันนี้เห็นเขาเข้ามาเรียน อาจารย์ใหญ่กล่าวชื่นชมเขาอย่างสุดหัวใจต่อหน้านักเรียนทุกคน ทำเอานักเรียนที่เริ่มมีอายุมากมองมาด้วยสายตาสะท้อนแววริษยาชิงชัง


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรับรู้ถึงสายตาของพวกเขา รู้สึกเซ็งๆ เบื่อหน่ายทั้งวัน แม้แต่ซุนเหลียงไฉที่เป็นคนเรื่อยเปื่อยไม่คิดอะไรยังรับรู้ได้ว่าเขาผิดปกติ ถามเขาว่าเป็นอะไร


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้าอย่างอ่อนล้า บอกว่าไม่เป็นอะไร


 


 


ในที่สุดก็ทนมาได้ถึงเวลาเลิกเรียน เมิ่งอี้เซวียนรีบเก็บของใส่กระเป๋านักเรียนของตัวเองเดินออกมา ไม่แม้แต่จะรอซุนเหลียงไฉ กลับเป็นซุนเหลียงไฉที่เห็นเขาเดินจ้ำอ้าวออกไป จึงรีบเก็บของใส่กระเป๋านักเรียนตัวเอง วิ่งเร็วจี๋มาข้างเขา เดินออกมาพร้อมเขา


 


 


เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนรออยู่หน้าประตูโรงเรียน เมิ่งอี้เซวียนดวงตาลุกวาว ความกลัดกลุ้มใจทั้งหมดมลายหายไปสิ้น รีบวิ่งไปตรงหน้านาง แหงนหน้าแย้มยิ้ม ถามนางอย่างดีใจ “เจ้ามาได้อย่างไร?”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไป รอจนซุนเหลียงไฉเดินออกมาถึงเดินกลับมาข้างรถม้าพร้อมกัน “ว่างก็เลยมา วันนี้ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนสีหน้าหมองมัวลง อึดใจหนึ่งก็ยกยิ้มพูด “ครูใหญ่กับอาจารย์ชมเชยข้าด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของสีหน้าเขา นึกคลางแคลงใจ พอนั่งบนรถม้าดีแล้วจึงถาม “เป็นอะไร? มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือ?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “ไม่มี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่ซุนเหลียงไฉ


 


 


ซุนเหลียงไฉก็ติดใจสงสัยมาตลอดว่าเขาเป็นอะไร เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวมองมาที่ตัวเอง จึงพูดว่า “เขาทำหน้าเบื่อหน่ายแบบนี้ตลอดทั้งวัน ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งอี้เซวียนอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ถามขึ้น “มีเรื่องในใจ?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนยังคงส่ายหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว กลับไม่ถามเขาอีก


 


 


ซุนเหลียงไฉรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องโดยสารไม่ค่อยดี จึงไม่กล้าพูดเอะอะมะเทิ่งเหมือนปกติ นั่งนิ่งเงียบไปกับพวกเขาด้วยตลอดทาง พอมาถึงหน้าประตูบ้าน ไม่รอให้จอดสนิทก็รีบกระโดดลงจากรถม้า สูดลมหายใจยาวเต็มปอดหลายครั้ง บ่นอุบอิบเสียงเบา “อึดอัดจะตายแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รีบลงจากรถ ถามขึ้น “แก้ไขเองได้หรือไม่?”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนแหงนหน้าคลี่ยิ้ม พยักหน้าหนักแน่น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพินิจมองเขาอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ถึงลงจากรถม้า เมิ่งอี้เซวียนเดินตามลงไป


 


 


วันนี้ที่บ้านเป็นไปอย่างที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอก ผู้มียศถาบรรดาศักดิ์จำนวนหนึ่งถือของกำนัลเข้ามาแสดงความยินดี สองสามีภรรยาเมิ่งไม่เคยพูดคุยเจรจากับผู้มียศถาบรรดาศักดิ์มาก่อน พลันทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไร โชคดีที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเมิ่งเสียนเอาไว้ก่อน หากผู้มียศถาบรรดาศักดิ์เข้ามา ให้เมิ่งต้าจินและบุตรชายคนโตของหัวหน้าสกุลเมิ่งเข้ามา


 


 


พอเห็นทั้งสองคนเข้ามา สองสามีภรรยาเมิ่งก็ให้โล่งอก


 


 


พอได้ยินว่าเมิ่งต้าจินเป็นผู้ใหญ่บ้าน เหล่าผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ก็อ่อนน้อมลงมา หลังจากพูดคุยกันพักใหญ่ ก็ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสต่อสกุลเมิ่ง เกิดความคิดอยากจะประสบสอพลอด้วย


 


 


ตอนที่พวกเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมา เป็นเวลาเย็นย่ำ เหล่าผู้มียศถาบรรดาศักดิ์กลับกันไปหมดแล้ว พวกเมิ่งต้าจินก็กลับไปแล้ว


 


 


เมิ่งชื่อกำลังเตรียมอาหารค่ำอยู่ในครัว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมา เล่าเรื่องผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ที่มาบ้านตัวเองวันนี้ให้นางฟัง สุดท้ายพูดว่า “พวกเขาล้วนเป็นบุคคลที่แม่เคยแต่ได้ยินคนอื่นเล่าให้ฟัง ไม่คิดว่าวันนี้จะมาบ้านพวกเรา ข้าและพ่อเจ้าถึงกับเซ่อไปเลย ไม่รู้ว่าควรต้อนรับพวกเขาอย่างไร โชคดีที่ลุงใหญ่เจ้าเข้ามา ไม่เช่นนั้นวันนี้ได้ขายหน้าเป็นกระบุงโกยแน่แท้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่วน


 


 


ตอนกินอาหารค่ำ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งเสียนต่อหน้าทุกคน “พี่ใหญ่ พรุ่งนี้ท่านตามข้าไปหอน้ำชาของครอบครัวซุนซ่านเหรินหน่อยเถอะ ข้าอยากไปถามเรื่องการขายกระเป๋านักเรียนของพวกเรา ว่าเขามีคำแนะนำอะไรดีๆ หรือไม่”


 


 


เมิ่งเสียนหาได้รู้สึกกังขา พยักหน้ารับคำ “ได้”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเงยหน้ามองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง เห็นรอยยิ้มเจือนัยแฝงที่มุมปากนาง แน่ใจว่าเรื่องจะต้องไม่ใช่อย่างที่นางพูด หันไปมองเมิ่งเสียนอย่างเห็นใจแวบหนึ่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็นสายตาเขาแล้ว ถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง


 


 


เมิ่งอี้เซวียนลนลานก้มหน้ากินข้าว

 

 

 


ตอนที่ 173-3 ซุนเชี่ยนสารภาพรัก เมิ่งเสียนผวาตกใจ

 

หลังจากกลับมาถึงบ้าน ซุนเชี่ยนไม่แม้แต่จะกินข้าว ก็เข้าไปล้มตัวนอนบนเตียงในห้องตัวเอง ขบคิดถึงคำพูดสารภาพรักที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้นางพูดพรุ่งนี้ ใบหน้าพลันร้อนวูบวาบ


 


 


ซุนวั่งและภรรยาไม่เคยถูกชะตาบุตรสาวคนนี้ เห็นนางไม่เข้ามากินข้าว ก็ไม่ถามไถ่ กลับเป็นซุนซ่านเหรินที่สั่งบ่าวรับใช้ให้ไปเรียกนาง


 


 


บ่าวรับใช้พูดอย่างนบนอบ “คุณหนูซุนบอกแล้ว นางมีเรื่องบางอย่างให้ขบคิด ไม่มาร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยแล้ว”


 


 


ซุนวั่งได้ฟังก็เบ้ปาก บ่นอุบอิบอย่างดูแคลาน “เสแสร้งแกล้งทำ นางจะมีเรื่องอะไรให้ขบคิด แปดส่วนจะต้องไม่อยากกินข้าว ถึงหาเหตุผลนี้มาอ้าง”


 


 


ซุนซ่านเหรินตวาดเขา “หุบปาก เจ้าไม่พูดไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้”


 


 


ซุนวั่งตกใจไหล่หด


 


 


หญิงชราซุนรักบุตรชายมาก ทนเห็นเขาหวาดกลัวเช่นนี้ไม่ได้ พูดกับซุนซ่านเหรินอย่างไม่พอใจ “วั่งเอ๋อร์หาได้พูดผิด เหตุใดต้องตวาดเขาด้วย?”


 


 


ซุนซ่านเหรินโมโหจนวางตะเกียบลง “บุตรสาวไม่มากินข้าว คนเป็นพ่อไม่คิดจะซักถาม ยังเที่ยวพูดเหลวไหล มีพ่อเช่นเขาด้วยเรอะ?”


 


 


ซุนวั่งเห็นหญิงชราให้ท้ายตัวเอง เริ่มมีความกล้ามากขึ้น “นังตัวดีนั่นก็ไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตา ทำไมข้าต้องเป็นห่วงนางด้วย?”


 


 


ซุนซ่านเหรินยิ่งโมโหเดือดดาล “นั่นเพราะใครเป็นผู้คนก่อ นับตั้งแต่เชี่ยนเอ๋อร์ลืมตาดูโลก พวกเจ้าเห็นนางเป็นเด็กผู้หญิง ก็ไม่ชอบนาง หากไม่เพราะข้าคอยปกป้อง พวกเจ้าได้ทุบตีก่นด่านางไม่เว้นวันเป็นแน่ โดยเฉพาะหลังจากมีไฉเอ๋อร์ พวกเจ้าก็ยิ่งรักใคร่ ไม่เคยใส่ใจนางอีก กระทั่งเมื่อสองปีก่อนที่นางป่วยหนัก พวกเจ้าก็ไม่เคยมาดูดำดูดีนางเลย กระทำต่อนางเช่นนี้ ยังจะให้นางเห็นเจ้าอยู่ในสายตา”


 


 


ซุนวั่งเบะปาก พูดพึมพำ “บุตรสาวก็คือสินค้าขาดทุน สักวันก็ต้องแต่งไปอยู่บ้านคนอื่น ข้าไม่ให้นางอดตายก็นับว่าไม่เลวแล้ว”


 


 


ซุนซ่านเหรินโมโหจนมือสั่น “เจ้ายังมีหน้าพูด หากนางไม่คอยตามติดข้า หลายปีมานี้นางได้อดตายไปนานแล้ว”


 


 


ซุนวั่งไม่ยอมรับ “นังตัวแสบนั่นอยากหัวแข็งเองทำไม ตั้งแต่รู้ความก็แสดงปฏิกิริยาไม่ดีต่อข้า หากไม่ใช่เพราะนางเอาแต่ไม่ชอบหน้าข้า ข้าจะปฏิบัติต่อนางเช่นนี้หรือ?”


 


 


ซุนซ่านเหรินยิ่งให้โมโห “เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปเรื่องการแต่งงานของเชี่ยนเอ๋อร์เจ้าห้ามข้องเกี่ยว”


 


 


ซุนวั่งไม่ยินยอม เถียงคอเป็นเอ็น “ไม่ได้ ข้าตกลงกับเพื่อนของข้าแล้ว รอให้พ้นปีนี้ไป จะให้นังตัวดีแต่งกับบุตรชายของเขา ข้าจะคืนคำไม่ได้”


 


 


ซุนซ่านเหรินไม่เคยได้ยินซุนวั่งเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน ได้ฟังก็นิ่วหน้า ถามเสียงเข้ม “เพื่อนคนไหนของเจ้า?”


 


 


ซุนวั่งเห็นเขาเอ่ยถาม นึกว่าเขาก็เห็นด้วย รีบร้อนพูดอย่างยินดี “ก็เพื่อนคนที่ชอบไปหอน้ำชาดื่มน้ำชากับข้าอย่างไร บุตรชายเขากับนังตัวดีอายุเท่ากัน แต่ไม่เคยพูดสู่ขอสำเร็จ มาวิงวอนให้ข้ายอมให้นางแต่งกับบุตรชายเขา ข้าก็เลยรับปากไป”


 


 


สิ้นเสียง จานที่บรรจุอาหารเต็มแน่นใบหนึ่งก็ถูกซุนซ่านเหรินทุ่มใส่ทั่วทั้งหัวและใบหน้าเต็มๆ


 


 


ซุนวั่งไม่ทันได้รับมือป้องกัน ถูกทุ่มเข้าใส่อย่างจัง อาหารร้อนกรุ่นในจานละเลงติดหนึบบนตัวเขา ลุกขึ้นแผดเสียงหวีดร้องด้วยความปวดแสบปวดร้อน


 


 


หญิงชราและภรรยาซุนวั่งตกใจสะดุ้งพร้อมกัน


 


 


หญิงชราลุกขึ้นร้องระงม “วั่งเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?”


 


 


ภรรยาซุนวั่งเดินเข้าไปช่วยเขาปัดอาหารตามตัวออก


 


 


สาวใช้ที่อยู่คอยรับใช้ต่างก็ตกใจตัวสั่น หันมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรเข้าไปช่วยเหลือหรือไม่


 


 


ภรรยาซุนวั่งตวาดพวกเขา “พวกขี้ข้า มัวมองอะไรอยู่? ยังไม่รีบเข้ามาช่วย อยากถูกโบยใช่หรือไม่?”


 


 


บ่าวรับใช้หันไปมองซุนซ่านเหริน ไม่เห็นเขาออกคำสั่ง จึงไม่มีใครกล้าขยับ


 


 


สาวใช้ของภรรยาซุนวั่งตรงเข้าไปช่วย ซุนซ่านเหรินตะเบ็งเสียงลั่น “ใครกล้าช่วยเขา ข้าจะให้พ่อบ้านจับไปขายทิ้ง”


 


 


เหล่าสาวใช้ตกใจชะงักฝีเท้า ไม่กล้าเดินขึ้นหน้า


 


 


หญิงชราร้องโวยวายด้วยความโมโห “ท่านเสียสติไปแล้วหรือ พวกเรามีบุตรชายเพียงคนเดียว ท่านจะต้องตีเขาให้ตายถึงจะพอใจหรือไร?”


 


 


ซุนวั่งปัดอาหารบนตัวออกไปหมดแล้ว ไม่สนความเจ็บปวด หันไปร้องคำรามใส่ซุนซ่านเหริน “มีบิดาที่ไหนเป็นอย่างท่าน? ไม่แยกแยะถูกผิดก็ทุ่มใส่ข้าด้วยอาหารจานร้อน”


 


 


หลังจากซุนซ่านเหรินทุ่มจานใส่เขา ยังคงไม่หายแค้น พูดเกรี้ยวกราด “เพื่อนพวกนั้นของเจ้า ข้าให้คนสืบความมาแล้ว ล้วนมีแต่พวกล่องลอยเกียจคร้าน ไม่ทำงานทำการ เที่ยวหลอกกินหลอกดื่มคนไปทั่ว คนเช่นนั้นจะมีบุตรชายดีได้อย่างไร นี่ไม่เท่ากับว่าเจ้าผลักเชี่ยนเอ๋อร์ลงเหวเรอะ?”


 


 


ซุนวั่งไม่ยอม เถียงกลับอย่างเคืองขุ่น “ข้าผลักนางลงเหวอย่างไร บุตรชายของเพื่อนข้าคนนั้น ข้าก็ได้เห็นมาแล้ว มีมือมีเท้า ไม่ใช่คนพิการ หน้าตาก็ถือว่าใช้ได้ ขอเพียงนางแต่งเข้าไปก็จะได้เป็นผู้นำครอบครัวทันที”


 


 


ซุนซ่านเหรินหัวเราะเยาะหยัน ถามขึ้น  “เมื่อบุตรชายเพื่อนเจ้าดีเช่นนี้ เหตุใดถึงพูดสู่ขอไม่สำเร็จ?”


 


 


ซุนวั่งดวงตาลอกแล่ก อึกๆ อักๆ พูดไม่ออก


 


 


ซุนซ่านเหรินตวาดเสียงลั่น “พูด!”


 


 


ซุนวั่งตกใจตัวสั่นระริก โพล่งปากพูดออกไป “เด็กคนนั้นเจ้าชู้มักมากไปเสียหน่อย แต่ว่าผู้ชายมีหลายภรรยาก็เป็นเรื่องปกติ พวกเขารับปากข้าแล้ว เมื่อนังตัวดีนั่นแต่งเข้าไปจะได้เป็นใหญ่ ภายหน้าก็จะไม่มีใครมาแย่งตำแหน่งนี้ของนางเด็ดขาด”


 


 


สิ้นเสียง ก็มีจานอาหารร้อนกรุ่นบินลอยเข้ามาอีก แม้ซุนวั่งจะมองเห็น กลับหลบไม่ทัน ถูกลวกร้องปวดแสบปวดร้อนอีกครั้ง


 


 


ซุนซ่านเหรินยังไม่หายแค้น ลุกขึ้นหาสิ่งของที่ใช้ตีได้


 


 


แม้ซุนเชี่ยนจะเป็นเด็กผู้หญิง แต่ก็เป็นหลานของแรกของสกุล ในตอนแรกหญิงชราก็รักเอ็นดูนางมาก กระทั่งมีซุนเหลียงไฉ ถึงไม่สนใจใคร่ดีนางอีก แต่ความรู้สึกในใจยังคงอยู่ไม่คลาย พอได้ยินว่าซุนวั่งหาคู่ครองเช่นนี้ให้ซุนเชี่ยน ก็ให้โมโหโกรธกริ้ว ก่นด่าเสียงเขียว “ส่งบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเองไปลงนรกหุบเหวเช่นนั้น บิดาเจ้าไม่ตีตายก็แปลกแล้ว”


 


 


ซุนวั่งถูกทุ่มของใส่สองครั้งติดกัน ร่างกายมีแผลพุพอง เจ็บจนร้องไม่ออก ได้ยินหญิงชราที่ลำเอียงรักตนเองมาตลอดพูดเช่นนี้ ระเบิดอารมณ์พูดว่า “ข้าเป็นบิดาของนังตัวดีนั่น เรื่องคู่ครองของนางข้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจหรือ? ข้าขอบอกทุกคนไว้ตรงนี้ เรื่องการแต่งงานนี้ข้ารับปากไปแล้ว นางอยากแต่งก็แต่ง ไม่อยากแต่งก็ต้องแต่ง ไม่เช่นนั้นข้าจะเอาหน้าไปวางที่ไหน”


 


 


ซุนซ่านเหรินหาไม้ขนไก่มาได้ เดินไปตรงหน้าซุนวั่งออกแรงฟาดไม่ยั้ง


 


 


ซุนวั่งถูกตีร้องครวญคราง วิ่งหนีซุกซุนไปทั่วห้อง


 


 


ภรรยาซุนวั่งได้แต่ปวดใจหลั่งน้ำตา มองหญิงชราด้วยสายตาวิงวอน


 


 


ครั้งนี้หญิงชราตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว สักคำเดียวก็ไม่ช่วยพูดขอร้องแทนซุนวั่ง


 


 


คนทางนี้กินข้าวด้วยความโกลาหล ซุนเชี่ยนที่อยู่อีกด้านไม่รู้เรื่องสักนิด ยังคงนอนบนเตียงตัวเองคิดว่าพรุ่งนี้จะพูดกับเมิ่งเสียนอย่างไร


 


 


เช้าตรู่วันถัดมา เมิ่งเสียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไปส่งเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉไปโรงเรียนด้วยกัน


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกลับคืนสู่สภาวะเดิมแล้ว คนทั้งหมดพูดคุยสรวลเสไปจนถึงตำบล


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงพาเมิ่งอี้เซวียนมาส่งถึงหน้าประตู มองจ้องเขาเขม็ง


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพูดรับรอง “ข้าจัดการเองได้”


 


 


มองส่งพวกเขาสองคนเดินเข้าไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาบนรถม้าสั่งเหวินเปียวให้ไปหอน้ำชา


 


 


ตอนเช้าหลังจากซุนเชี่ยนตื่นถึงได้รู้ว่าเมื่อวานเพราะเรื่องการแต่งงานของตัวเองให้เกิดเรื่องโกลาหลใหญ่โต นางผลุนผลันเข้าไปปลอบใจซุนซ่านเหริน ทั้งบอกเรื่องที่เมื่อวานไปพบเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้นางสารภาพรักกับเมิ่งเสียนให้เขาฟัง


 


 


แม้ซุนซ่านเหรินจะรู้สึกว่าซุนเชี่ยนทำเช่นนี้ปล่อยตัวเกินไป แต่พอคิดว่าเป็นความคิดของเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด ทั้งคิดถึงเรื่องที่บุตรชายไม่เอาถ่านของตัวเองไปรับปากคนไม่ได้เรื่องพรรค์นั่นให้เชี่ยนเอ๋อร์ จึงไม่สนใจอะไร ลุกขึ้นไปหอน้ำชากับนางทันที


 


 


รถม้าของเมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งมาถึงหน้าประตูหอน้ำชา เสี่ยวเอ้อเฝ้าประตูที่ได้รับคำสั่งเข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น พูดอย่างอ่อนน้อม “นายท่านของพวกเราบอกไว้แล้ว หลังจากท่านมาถึง ให้พาท่านขึ้นไปห้องน้ำชาชั้นสอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ตามเสี่ยวเอ้อขึ้นไปชั้นสองพร้อมเมิ่งเสียน


 


 


ซุนซ่านเหรินและซุนเชี่ยนที่ได้ฟังเสี่ยวเอ้อเข้ามารายงานก็ออกมายืนรอที่หน้าประตู พอเห็นพวกเขาเข้ามา พูดขึ้นอย่างเป็นกันเอง “พวกเจ้ามาแล้ว รีบเข้ามานั่งข้างใน พวกเราดื่มชาไปพลางพูดคุยไปพลาง”


 


 


ทั้งสี่คนเข้ามานั่งในห้องน้ำชา หลงจู๊ชงชามาให้พวกเขาด้วยตัวเอง เมื่อรินให้ทุกคนเต็มถ้วยแล้ว ถึงถอยออกไปด้วยความนบนอบ ทั้งหับประตูลงอย่างเบามือ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคลี่ยิ้มพูด “คืนสองวันก่อนโชคดีได้ท่านช่วย ถึงไม่ต้องให้พวกเถ้าแก่จางเดินทางกลับจังหวัดกลางดึก วันนี้พวกเรานอกจากเข้ามาขอบคุณท่านแล้ว ยังอยากซักถาม เกี่ยวกับกระเป๋านักเรียน เถ้าแก่จางมีความคิดเห็นอื่นหรือไม่”


 


 


ซุนซ่านเหรินโบกมือ หัวเราะเหอะๆ พูดว่า “แม่นางเมิ่งเกรงใจไปแล้ว กระเป๋านักเรียนเป็นการค้าของพวกเราสองครอบครัว ข้าออกแรงบ้างก็สมควรแล้ว สำหรับเถ้าแก่จางนั้น นอกจากกล่าวชมเชยเจ้าเป็นกระบุงโกย ดูเหมือนจะพึงพอใจการค้ากระเป๋านักเรียนนี้มาก บอกว่าเมื่อกลับไปหากว่าขายได้เร็ว ครั้งหน้าเขาจะสั่งเยอะขึ้น”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ยกน้ำชาขึ้นจิบคำหนึ่ง ร้องอุทาน “ซุนซ่านเหริน นี่คือน้ำชาอะไร กลิ่นถึงหอมกรุ่นเช่นนี้”


 


 


พูดจบกระแซะบอกเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ข้าไม่เคยดื่มน้ำชาที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย ท่านลองดื่มดูเล่า”


 


 


เมิ่งเสียนยกถ้วยชาขึ้น จิบคำเล็ก เป็นดังที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจริงๆ ตัวชาทิ้งรสชาติหอมหวานทั่วปาก ยากจะลืมเลือน พูดสนับสนุนทันควัน “เป็นใบชาชั้นดีโดยแท้ อร่อยกว่าใบชาของบ้านพวกเราเสียอีก”


 


 


ซุนซ่านเหรินหัวเราะเบิกบาน “นี่เป็นชาใหม่ที่พวกเราเพิ่งนำเข้ามาได้สองวัน หากแม่นางเมิ่งชอบ เอากลับไปสักหน่อยก็ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “พวกเราไม่ค่อยรู้เรื่องใบชา ให้พวกเรามาก็เสียของเปล่าๆ สู้ต่อไปพวกเราว่างๆ เข้ามาดื่มที่นี่จะดีกว่า”


 


 


ซุนซ่านเหรินพยักหน้า “ก็ดี แม่นางเมิ่งอยากมาเมื่อไหร่ก็มาได้เมื่อนั้น ประเดี๋ยวข้าจะกำชับหลงจู๊ ต่อไปจะเก็บห้องน้ำชาเอาไว้ให้พวกเจ้าโดยเฉพาะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจสะดุ้ง ร้อนรนปฏิเสธ “ไม่ต้องๆ พวกเรายังไม่แน่ว่าจะมีเวลาว่างตอนไหน อย่าให้เสียเวลาการค้าของท่านเลย” พูดจบก็เปลี่ยนเรื่องพูด “ทว่า ข้าสนใจใบชาที่เพิ่งนำเข้ามาใหม่ของพวกท่านนัก ซุนซ่านเหรินพอจะพาข้าไปดูหน่อยได้หรือไม่”


 


 


ซุนซ่านเหรินเข้าใจ ลุกขึ้นยืนพลัน “ไม่มีปัญหา ข้าจะพาแม่นางไปเดี๋ยวนี้”


 


 


เมิ่งเสียนก็รีบร้อนลุกขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขา “พี่ใหญ่ ท่านไม่รู้เรื่องใบชา ไม่ต้องไปแล้ว ประเดี๋ยวข้าก็กลับมา”


 


 


เมิ่งเสียนไม่มีความรู้เรื่องใบชาเลยจริงๆ ได้ฟังก็ไม่ทัดทาน กลับไปนั่งบนเก้าอี้ตามเดิม


 


 


ซุนซ่านเหรินหันไปพูดกับซุนเชี่ยน “เชี่ยนเอ๋อร์ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนคุยกับคุณชายเมิ่ง ปู่และแม่นางเมิ่งจะรีบกลับมา”


 


 


ซุนเชี่ยนรับคำเสียงใส


 


 


ซุนซ่านเหรินและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไป


 


 


ภายในห้องน้ำชาเหลือซุนเชี่ยนและเมิ่งเสียนเพียงสองคน


 


 


เมิ่งเสียนนั่งบนเก้าอี้อย่างกระสับกระส่าย


 


 


ซุนเชี่ยนเห็นเช่นนั้น รินน้ำชาให้เขาเพิ่ม แย้มยิ้มถาม “ไม่ทราบว่าคุณชายเมิ่งมีแม่นางที่ต้องใจแล้วหรือไม่?”


 


 


เมิ่งเสียนตกตะลึง เงยหน้ามองซุนเชี่ยน ใบหน้าแดงเรื่อ แล้วก้มหน้าลงทันควัน ครู่ใหญ่ถึงตอบกลับเสียงเบา “มะ ไม่มี”


 


 


ซุนเชี่ยนยังคงยิ้มหวานถาม “เช่นนั้นคุณชายเมิ่งเห็นว่าข้าเป็นอย่างไร?”


 


 


เมิ่งเสียนเงยหน้ามองนางอย่างตะลึงงัน


 


 


ซุนเชี่ยนถูกมองจนหัวใจเต้นรัว แต่ยังคงพูดว่า “คุณชายเมิ่งไม่ต้องตกใจไปหรอก วันนั้นที่ข้าเห็นท่านก็เกิดเป็นรักแรกพบต่อท่าน กลับไปคิดทบทวนที่บ้านเป็นนาน วันนี้ถึงรวบรวมความกล้าพูดเช่นนี้กับท่าน หวังว่าท่านจะรับข้าไปพิจารณาอย่างจริงจัง”


 


 


สิ้นเสียงนาง เมิ่งเสียนก็ตกใจลุกพรวด เกือบจะพลิกโต๊ะชาตรงหน้าคว่ำ พูดกับนางอย่างตื่นตระหนก “มะ แม่นางซุน ท่านอย่า อย่าพูดล้อเล่นเลย ข้าเป็นเพียงเด็กบ้านนอกยากจนคนหนึ่ง ไหนเลยจะคู่ควรกับเจ้า”


 


 


ซุนเชี่ยนกำลังจะพูด


 


 


เมิ่งเสียนกลับทิ้งคำพูดว่า “ข้าจะไปดูว่าน้องสาวดูใบชาเสร็จหรือยัง” แล้ววิ่งแจ้นออกไปราวกับด้านหลังมีผีไล่ตามกวด


 


 


ซุนเชี่ยนยืนตะลึงอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น งงเป็นไก่ตาแตก 

 

 


ตอนที่ 174-1 ตี้ซือ

 

เมิ่งเสียนกลับไม่ได้วิ่งไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว แต่วิ่งกลับมาบนรถม้าอย่างขวัญหนีดีฝ่อ 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่เห็นท่าทีของเขา ถามอย่างเป็นห่วง “คุณชาย ท่านไม่เป็นอะไรนะ?” 


 


 


เมิ่งเสียนมือข้างหนึ่งกุมหน้าอก มืออีกข้างโบกเป็นพัลวัน หายใจหืดหอบตอบกลับว่า “ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” 


 


 


ท่าทางของเขาไม่เหมือนคนไม่เป็นอะไร ทั้งสองหันหน้ามองกันอย่างคลางแคลงใจ กลับไม่ได้ถามอีก 


 


 


เมิ่งเสียนวิ่งออกไปอึดใจหนึ่ง ซุนเชี่ยนเหม่อมองประตูห้องน้ำชาที่ยังแกว่งไหว ยังคงไม่ได้สติกลับมา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนซ่านเหรินแสร้งจะไปดูใบชา ความจริงคอยเฝ้าดูความเคลื่อนไหวทางนี้โดยตลอด เห็นเมิ่งเสียนวิ่งแนบออกไป ทั้งสองรีบร้อนเดินกลับเข้ามา เห็นซุนเชี่ยนที่ยังยืนงง เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยความร้อนใจ “แม่นางซุน เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?” 


 


 


ซุนเชี่ยนถึงได้สติคืนกลับมา ฝืนยิ้มเจื่อนๆ พูดว่า “ข้าไม่เป็นไร แต่เหมือนจะเกิดเรื่องกับพี่ใหญ่เจ้า วิ่งแนบออกไปแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจกระตุกวูบ พูดว่า “ข้าจะไปดูเขา” พูดจบก็หันหลังหุนหันลงไปชั้นล่าง 


 


 


เห็นปฏิกิริยาของสองพี่สอง ซุนเชี่ยนพูดกับซุนซ่านเหรินอย่างไม่เข้าใจ “ข้าไม่ได้พูดอะไรผิดนะ ทำตามที่นางสอนข้าทุกอย่าง ทำไมพวกเขาถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้” 


 


 


ซุนซ่านเหรินก็รู้สึกประหลาดใจ แต่อย่างไรก็ผ่านเรื่องราวมามาก จึงไม่มีอาการแสดงออกทางใบหน้า แต่พูดปลอบใจซุนเชี่ยน “บางทีอาจจะเกิดความผิดพลาดกลางคัน ประเดี๋ยวแม่นางเมิ่งจะต้องกลับมา พวกเราถามนางก็ได้แล้ว” 


 


 


ซุนเชี่ยนพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้อนเดินลงมา ยังไม่ถึงหน้าประตูหอน้ำชา ก็ตะโกนร้องเรียกเหวินเปียว “พี่ใหญ่ข้าเล่า?” 


 


 


เหวินเปียวตอบกลับ “คุณชายอยู่ในรถขอรับ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างรถ เปิดม่านรถเข้าไปนั่งด้านใน กลับต้องตกใจจังงังกับสภาพของเมิ่งเสียนที่เหงื่อออกโซมกาย หวาดผวาตาลอย 


 


 


เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นมาบนรถม้า เมิ่งเสียนลนลานพูดเสียงเบา “น้องสาว เมื่อกี้แม่นางซุนบอกว่าชอบข้า ครั้งนี้ข้าไม่เชื่อง่ายๆ แล้ว รีบวิ่งออกมาทันที” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “พี่ใหญ่ ก็แค่แม่นางซุนสารภาพรักกับท่านเท่านั้น ทำไมต้องตกใจกลัวถึงขั้นนี้?” 


 


 


เมิ่งเสียนลนลานตอบ “ข้าจะไม่กลัวได้อย่างไร ข้าเป็นเพียงเด็กบ้านนอกยากจนคนหนึ่ง คุณหนูตระกูลใหญ่อย่างพวกเขาจะชอบพอข้าได้อย่างไร ข้าเคยโดนหลอกครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้จะไม่ยอมโดนหลอกอีก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “พี่ใหญ่ คุณหนูซุนและคุณหนูสกุลอวี้ไม่เหมือนกัน คุณหนูสกุลอวี้มีแผนการ ส่วนคุณหนูซุนชอบพอท่านด้วยใจจริง” 


 


 


เมิ่งเสียนโบกมือ พูดอย่างหนักแน่น “ไม่มีทางเด็ดขาด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดโน้มน้าว “จะไม่มีทางได้อย่างไร พี่ใหญ่ข้าทั้งรูปงาม ทั้งมีความรู้ มีตรงไหนเทียบคนอื่นไม่ได้ คุณหนูซุนชอบพอท่านก็สมควรแล้ว” 


 


 


เมิ่งเสียนทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว “น้องสาว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไม่อยากเป็นคนโง่ให้ใครมาหลอกปั่นหัวได้อีก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคิดจะพูดเกลี้ยกล่อมเขา “แต่ข้าเห็นคุณหนูซุนมีนิสัยจริงใจเปิดเผย ไม่เหมือนคนที่จะมีแผนการนะ” 


 


 


เมิ่งเสียนกลับพูดกับนางเหมือนเข้าใจทุกอย่างดี “เจ้าไม่รู้อะไร คุณหนูสกุลใหญ่อย่างพวกนางเผชิญโลกมามาก จิตใจยอกย้อนยากแท้หยั่งถึง บางครั้งสิ่งที่พวกเราเห็นเบื้องหน้าอาจจะไม่ใช่โฉมหน้าที่แท้จริงของพวกนางก็ได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาปักใจเชื่อเช่นนี้ไปแล้ว ก็ให้ถอนใจยาว ดูท่าภายหน้าคุณหนูซุนจะต้องลำบากหน่อยแล้ว จึงไม่พูดหว่านล้อมอีก แต่พูดขึ้นว่า “ท่านวิ่งพรวดพราดออกมาเช่นนี้ อย่างไรก็ไม่ดีต่อคุณหนูซุน พวกเรากลับเข้าไปขอขมาเถอะ” 


 


 


เมิ่งเสียนยังยืนกรานปฏิเสธ “ข้าไม่กลับไป หากนางมาพัวพันตอแยข้าต่อหน้าพวกเจ้า บอกว่าข้าทำลายชื่อเสียงนาง ให้ข้ารับผิดชอบจะทำอย่างไร? เจ้าอยากกลับก็กลับไป ข้าจะรออยู่ในรถม้านี่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีเด็ดขาดของเขา ถอนใจอย่างจนใจ เดินกลับเข้ามาในห้องน้ำชา 


 


 


ซุนซ่านเหรินและซุนเชี่ยนกำลังรอนางกลับมาอย่างว้าวุ่นใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะเดินพ้นประตูเข้ามาซุนเชี่ยนก็ร้อนรนถาม “พี่ใหญ่เจ้าวิ่งออกไปเร็วเช่นนั้น เพราะไม่ถูกใจข้าอย่างนั้นหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนึกถึงสภาพของเมิ่งเสียน พ่นหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว “พี่ใหญ่ข้าถูกเจ้าสารภาพรักจนตกใจขวัญหนีไปแล้ว ไม่กล้าแม้แต่จะกลับมาขอขมาเจ้า” 


 


 


ซุนเชี่ยนหน้าแดงเรื่อ พูดโอดครวญ “ไหนเจ้าบอกว่าวิธีของเจ้าจะต้องไม่มีปัญหาอย่างไร ตอนนี้ดีแล้ว ทำพี่ใหญ่เจ้าขวัญหนี ต่อไปข้าควรทำอย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดึงมือนางมายกยิ้มพูด “เรื่องนี้ไม่ยาก พอเจ้าว่างก็ไปเที่ยวไปบ้านข้าบ่อยๆ เวลาผ่านไปนานเข้าพี่ใหญ่ข้ารู้ว่าเจ้ามีนิสัยอย่างไร ก็จะยอมรับเจ้าเอง” 


 


 


ซุนเชี่ยนไม่เห็นด้วย “หากข้าไปบ้านเจ้าบ่อยๆ คนในหมู่บ้านเอาไปซุบซิบนินทาจะทำอย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตีมือนางเบาๆ “เช่นนั้นก็ยิ่งดี ถึงตอนนั้นจะได้ให้พี่ใหญ่ข้ารับผิดชอบไปเลย” 


 


 


ซุนเชี่ยนมีสีหน้าหมองมัวลง “ข้าไม่อยากบีบบังคับเขาเช่นนั้น หากเขาไม่ได้ชอบข้าจากใจจริง ต่อให้ภายหน้าพวกเราแต่งงานกัน ก็จะกลายเป็นคู่เวรคู่กรรม” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับประกัน “เจ้าวางใจเถอะ ขอเพียงพี่ใหญ่ข้าแต่งงานกับเจ้า ก็จะไม่ลังเลใจอีก จะต้องดีกับเจ้าไปทั้งชีวิต” 


 


 


ซุนเชี่ยนเริ่มลังเล ซุนซ่านเหรินพูดอย่างเบิกบาน “เชื่อที่แม่นางเมิ่งพูดเถอะ ต่อไปการค้าของครอบครัว เจ้าจัดการให้น้อยลง คอยเทียวไปเทียวมาบ้านแม่นางเมิ่ง หากคนอื่นถามเจ้า เจ้าก็บอกว่าไปหาไฉเอ๋อร์” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็สนับสนุน “งั้นก็ตกลงตามนี้ ข้ากลับไปจะไปแอบบอกท่านแม่ ให้นางก็คอยช่วยพวกเจ้าด้วย” 


 


 


ซุนเชี่ยนห้ามปราบ “ห้ามกลับไปพูดเด็ดขาด หากเรื่องไม่สำเร็จ ข้าจะไม่มีหน้าไปบ้านพวกเจ้าอีก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปลอบใจนาง “วางใจเถอะ ข้ายอมรับเจ้าเป็นพี่สะใภ้ของข้าแล้ว ใครอื่นเข้ามาข้าจะไล่ไปให้หมด” 


 


 


ซุนเชี่ยนได้ฟังก็เขินหน้าแดง 


 


 


ซุนซ่านเหรินนั่งลูบเคราอยู่อีกด้านอย่างเบิกบานใจ 


 


 


เมื่อตกลงเรื่องเรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยวก็บอกลาซุนซ่านเหรินกลับมาบนรถม้าอีกครั้ง 


 


 


เมิ่งเสียนเห็นนางออกมาคนเดียวก็แอบถอนใจโล่งอก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นอาการของเขาก็ให้รู้สึกขบขัน พูดสัพยอกเขา “พี่ใหญ่ ข้ารับปากแม่นางซุนแล้ว พอกลับไปบ้านจะไปบอกท่านพ่อท่านแม่ของพวกเรา ให้พวกเขาเชิญแม่สื่อไปพูดสู่ขอ” 


 


 


เมิ่งเสียนลืมไปแล้วว่าอยู่บนรถม้า ตกใจลุกพรวด หัวกระแทกหลังคารถอย่างจัง กุมหัวเจ็บจนพูดไม่ออก 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสะดุ้งตกใจ รีบลุกขึ้น ลนลานถาม “พี่ใหญ่ ไม่เป็นอะไรนะ?” 


 


 


เมิ่งเสียนกุมหัวอึดใจหนึ่งถึงถามขึ้น “น้องสาว เจ้ารับปากนางแล้วจริงๆ หรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวทำหน้ารู้สึกผิด “พี่ใหญ่ ข้าล้อท่านเล่นนะ ท่านกลับคิดเป็นจริงไปได้?” 


 


 


เมิ่งเสียนได้ฟังเช่นนั้นไม่รู้สึกเจ็บหัวแล้ว คลายมือออก พูดอย่างเริงร่า “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี” แล้วพูดกำชับนาง “พอกลับถึงบ้าน ห้ามเอ่ยเรื่องนี้กับท่านพ่อท่านแม่เด็ดขาด หากพวกเขาคิดเป็นจริงได้แย่แน่ๆ จะต้องรีบไปพูดสู่ขอที่บ้านคุณหนูซุน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มประหลาดใจในปฏิกิริยาของเมิ่งเสียน ถามขึ้น “พี่ใหญ่ ท่านไม่ชอบคุณหนูซุนเช่นนี้เลยหรือ?” 


 


 


เมิ่งเสียนส่ายหน้า “ข้าจะไม่ยอมข้องเกี่ยวกับคุณหนูบ้านไหนอีกแล้ว ข้าเพียงต้องการหาหญิงสาวลูกชาวนาว่านอนสอนง่ายสักคน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างเรียบง่ายก็เพียงพอแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เคยรู้ความคิดนี้ของเมิ่งเสียนมาก่อน คุณหนูสกุลอวี้ได้ทิ้งเงามืดผืนใหญ่ไว้ในใจเมิ่งเสียนโดยแท้ หวังว่าความจริงใจของซุนเชี่ยนจะทำให้พี่ใหญ่หวั่นไหวได้ ไม่เช่นนั้นงานแต่งงานนี้คงสำเร็จได้ยากแล้ว  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอาแต่คิดเรื่องในใจเดินทางกลับบ้านไปพร้อมเมิ่งเสียน 


 


 


เหล่าหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียน ได้ยินเมิ่งชื่อบอกว่าขายกระเป๋านักเรียนไปได้ในคราเดียวถึงร้อยกว่าใบ ต่างดีอกดีใจกันยกใหญ่ แม้แต่ความเร็วในการเย็บกระเป๋านักเรียนก็เพิ่มสูงขึ้น 


 


 


กลับมาถึงบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวว่างไม่มีอะไรทำ จึงแนะให้เมิ่งเสียนเข้าไปเก็บกวาดห้องฝั่งตะวันตก 


 


 


เมิ่งเสียนรับคำ 


 


 


ในห้องฝั่งตะวันตกนอกจากกระเป๋านักเรียนที่เย็บเสร็จวางไว้อย่างเป็นระเบียบแล้ว ยังมีของกำนัลชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เซี่ยงเจียงเฟิงและจูหลานมอบให้ตอนปีใหม่วางสะเปะสะปะอยู่บนโต๊ะ 


 


 


ทั้งสองนำของกำนัลไปวางกองรวมกัน เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดแต่ละกล่องออก พบว่าในกล่องหลายใบนั้นนอกจากของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นเอกลักษณ์จากเมืองหลวงที่เซี่ยเจียงเฟิงซื้อมา ที่เหลือล้วนเป็นยาสมุนไพรล้ำค่า ตอนที่เห็นยาสมุนไพรในกล่องสีเข้มกล่องหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบขึ้นมาหนึ่งกำ พูดอย่างตื่นเต้น “ถ้าข้ารู้ว่าในนี้มียาสมุนไพรชนิดนี้ ข้าได้ปรุงยารักษารอยแผลเป็นเสร็จไปนานแล้ว” จากนั้นก็เปิดกล่องที่เหลือทั้งหมดออกดูอย่างละเอียด พบว่าข้างในยังมีโสมคนอีกสองชิ้น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเมิ่งเสียนให้ขนย้ายกล่องบรรจุยาสมุนไพรเหล่านี้ไปไว้ห้องตัวเอง ส่วนของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ ที่เหลือเอาไปให้เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงที่กำลังเล่นในบ้าน ให้พวกเขาเล่นได้ตามใจ 


 


 


ห้องฝั่งตะวันตกว่างขึ้นมาทันตาเห็น 


 


 


ทั้งสองเก็บกวาดเรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ครานี้ดีแล้ว ต่อให้ท่านแม่และคนทำงานเย็บกระเป๋านักเรียนได้อีกหลายพันใบก็จะมีที่เก็บแล้ว” 


 


 


หลายวันต่อมา เมิ่งเชี่ยนโยวนอกจากสลับวันไปภูเขาร้างและแปลงดินดูฉั่งฉิกและมันฝรั่ง เวลาที่เหลือก็จะมานั่งปรุงยารักษารอยแผลเป็น 


 


 


ช่วงเวลานี้ ซุนเชี่ยนได้ใช้ข้ออ้างนำของมาส่งให้ซุนเหลียงไฉหนึ่งครั้ง เมิ่งเสียนเห็นนางมาหา ตกใจจนไม่กล้าเข้าบ้านไปหนึ่งวันเต็มๆ แม้แต่ข้าวกลางวันก็ไปกินที่บ้านเมิ่งต้าจิน 


 


 


เมิ่งชื่อรู้สึกประหลาดใจ ถามเมิ่งเสียนว่าเป็นอะไร 


 


 


เมิ่งเสียนอึกๆ อักๆ พูดไม่ออก 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉก็ไม่รู้คิดวิธีอะไรได้ ขายกระเป๋านักเรียนได้วันละหลายใบทุกวัน 


 


 


ทางด้านจางฟู่กุ้ยกลับไม่มีข่าวอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ร้อนใจ กำชับเมิ่งชื่อและคนอื่นให้เย็บกระเป๋านักเรียนไปตามความเร็วที่เคยทำ  

 

 


ตอนที่ 174-2 ตี้ซือ

 

ช่วงเช้าวันนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวปรุงยาอยู่ในห้องเหมือนปกติ เมิ่งเสียนที่เพิ่งจะไปแปลงปลูกมันฝรั่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ร้องดังลั่น “น้องสาว เจ้ารีบไปดูเถิด มันฝรั่งงอกใบออกมาแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจลุกพรวด วางยาสมุนไพรในมือลง รีบร้อนเดินออกไปจากห้อง 


 


 


เมิ่งเสียนรบเร้านางอย่างดีใจ “เร็วๆ ใบงอกออกมาแล้ว” 


 


 


ทั้งสองวิ่งแล่นมาถึงแปลงดิน แวบเดียวเมิ่งเชี่ยนโยวก็เห็นคันดินสูงเป็นลูกๆ มีใบสีเขียวสดงอกออกมาหนึ่งชั้น เดินเข้าไปอย่างยินดี ตรวจดูอย่างละเอียด 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ตื่นเต้นดีใจจนกลั้นไม่อยู่ “เมื่อวานนี้คืนเดียวใบพวกนี้ก็งอกออกมาแล้ว ตอนที่พวกเรามาถึงก็ดีใจกันยกใหญ่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดหน้าบาน “มีใบงอกออกมาแล้ว แสดงว่ามันฝรั่งทั้งหมดกำลังเติบโต จากนี้ไปพวกเราต้องยิ่งประคบประหงมให้ดี” 


 


 


คนทั้งหมดพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินวนรอบแปลงดินหนึ่งรอบ เห็นสีเขียวเต็มรอบคันดิน ให้ปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก 


 


 


ใบมันฝรั่งโตเร็วมาก ไม่กี่วันก็เลื้อยเต็มทั้งคันดิน ทอดมองไกลๆ สีเขียวชอุ่มไปทั้งผืน เห็นแล้วก็ให้มีความสุข 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปรุงยาเสร็จแล้ว เตรียมไว้ว่าวันไหนไปส่งเมิ่งอี้เซวียนที่โรงเรียนจะเอาไปให้เหวินซื่อ 


 


 


ไม่คิดว่าวันนี้ตอนเช้า พนักงานร้านยาเต๋อเหรินจะบังคับรถม้าตรงมาบ้านเมิ่งเชี่ยนโยว พูดกับนางอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง นายท่านของพวกเรามีเรื่องด่วน ให้ข้ามารับท่านเข้าไป” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว ถามทันควัน “เกิดเรื่องกับนายท่านของพวกเจ้า?” 


 


 


พนักงานโบกมือเป็นพัลวัน “หาไม่ๆ” 


 


 


“เช่นนั้นเป็นเรื่องด่วนอะไร?” 


 


 


พนักงานรีบโบกปัดมือ “ข้าก็ไม่ทราบ นายท่านเพียงให้ข้าเข้ามารับท่าน ไม่ได้บอกข้าว่ามีเรื่องอะไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “รู้แล้ว เจ้ารอประเดี๋ยว ข้ากลับเข้าไปเอาของในบ้านพวกเราค่อยไป” 


 


 


พนักงานรับคำเสียงอ่อน ยืนรอด้านนอกอย่างสุภาพเรียบร้อย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาเอายาในบ้าน บอกเมิ่งชื่อว่านายท่านร้านยาเต๋อเหรินมีธุระอยากพบตัวเอง ส่งรถม้ามารับนาง นางจะออกไปสักหน่อย 


 


 


เมิ่งชื่อไม่เห็นด้วย จะให้เหวินเปียวไปส่งนางให้ได้ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเมิ่งชื่อเป็นห่วงตัวเอง พยักหน้ารับคำ 


 


 


เมิ่งชื่อออกไปเรียกเหวินเปียวและเหวินหู่ด้วยตัวเอง กำชับพวกเขาหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นต้องคุ้มครองเมิ่งเชี่ยนโยวให้ดี 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท่าทีราวกับจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น คลี่ยิ้มพูดว่า “ท่านแม่ ข้าถามพนักงานแล้ว บอกว่ามิได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนายท่านของพวกเขา คงจะมีโรคประหลาดที่รักษาไม่ได้อยากให้ข้าเข้าไปช่วย ท่านไม่ต้องห่วงหรอก” 


 


 


เมิ่งชื่อขมวดคิ้วมุ่น “วันนี้แม่รู้สึกใจคอไม่ดีเลย เอาแต่รู้สึกว่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ระหว่างทางไปพวกเจ้าระมัดระวังด้วย รีบไปรีบกลับ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูดปลอบประโลมนาง ทั้งรับประกันว่าจะรีบไปรีบกลับ ถึงขึ้นรถม้าไปท่ามกลางแววตาพะวักพะวงใจของเมิ่งชื่อ 


 


 


เหวินเปียวบังคับรถม้านำหน้าไปอย่างมั่นคง พนักงานร้านยาเต๋อเหรินตามหลังมาในระยะห่างตามสมควร 


 


 


 มาถึงร้านยาเต๋อเหริน เหวินเปียวและเหวินหู่ยังคงรออยู่ด้านนอก เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในร้านยาเต๋อเหริน 


 


 


พนักงานได้รับคำสั่งจากเหวินซื่อแล้ว เห็นนางเข้ามา ตรงเข้าไปพูดอย่างอ่อนน้อม “แม่นาง นายท่านของพวกเราสั่งเอาไว้แล้ว พอท่านมาให้ตรงขึ้นไปหาเขาบนชั้นสอง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินขึ้นไปชั้นสอง 


 


 


เหวินซื่อกำลังนั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นมา หยิบจดหมายบนโต๊ะขึ้นพูดอย่างลำพองใจ “ท่านพี่ฉู่ตอบจดหมายมาแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขึงตาใส่เขา นั่งบนเก้าอี้ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ตอบจดหมายมาแล้วเจ้าก็บอกสิ ต้องให้พนักงานไปบอกว่ามีเรื่องด่วนกับข้า ทำเอาข้าพะวักพะวงใจมาตลอดทาง” 


 


 


เหวินซื่อชักเท้าที่ไขว่ห้างกลับ พูดอย่างไม่พอใจ “ยายตัวแสบ ข้าไม่บอกว่ามีจดหมายตอบกลับมาเพราะหวังดีกับเจ้า หากให้คนอื่นรู้ว่าเจ้าติดต่อกับท่านพี่ฉู่ เจ้าเองที่จะลำบาก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าที่เขาพูดเป็นความสัตย์ จึงไม่คิดหยุมหยิมกับเขา พูดอย่างรำคาญ “ก็ได้ รีบอ่านมาว่าท่านแม่ทัพฉู่ว่าอย่างไร” 


 


 


เหวินซื่อกลับแสดงท่าทีเห่อเหิม ชูจดหมายในมือ ต่อรองเงื่อนไข “ข้าอ่านจดหมายให้เจ้าก็ได้ แต่เจ้าต้องรับปากข้าว่าต่อไปจะไม่ยั่วโมโหข้าอีก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอนตัวไปด้านหลัง นั่งบนเก้าอี้อย่างสบายใจ เอ่ยถามเสียงเนิบ “รู้ไหมว่าข้าเกลียดอะไรที่สุด?” 


 


 


เหวินซื่อย้อนถาม “เกลียดอะไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบถ้วยชาบนโต๊ะขึ้น แย้มยิ้มพูด “ข้าเกลียดที่สุดก็คือคนที่มาข่มขู่ข้า” พูดจบ ก็ขว้างถ้วยชาในมือใส่เหวินซื่อ 


 


 


เหวินซื่อเบี่ยงตัวหลบได้ กำลังจะพูด ถ้วยชาด้านหลังกลับบินลอยเข้ามา 


 


 


เหวินซื่อไม่ทันระวัง ถูกถ้วยชาปะทะเข้าอย่างจัง เจ็บร้องเสียงลั่น “ยายตัวแสบ เจ้ากล้าลงมือหนักกับข้าเรอะ?” 


 


 


หมอชราที่กำลังเขียนใบสั่งยาให้คนป่วยชั้นล่างรีบตวัดมือเขียนให้เสร็จ กำชับพนักงานไปจัดยา แล้วเร่งรุดขึ้นมาชั้นบน เห็นถ้วยชาแตกกระจายเต็มพื้นก็ตกใจตัวลอย 


 


 


เหวินซื่อยังร้องโวยวาย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตวาดเขาอย่างสุดทน “หุบปาก!” 


 


 


เหวินซื่อหุบปากเงียบฉับพลัน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปข้างโต๊ะ หยิบจดหมายขึ้น ฉีกออก วางใส่มือเขา พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “อ่าน!” 


 


 


เหวินซื่อตัวสั่นเทิ้ม ถือจดหมายให้ดี อ่านออกมาแต่โดยดี กลับยิ่งอ่านเสียงยิ่งเบา สุดท้ายก็หยุดอ่าน กวาดตาอ่านเนื้อความในจดหมายจนจบ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว 


 


 


เหวินซื่อมองนางอย่างตื่นตระหนก ถามขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านพี่ฉู่เขียนว่าอย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูเขาที่หาเรื่องใส่ตัวอีก พูดอย่างแหนงหน่าย “ถ้าข้ารู้ว่าเขียนว่าอะไร จะให้เจ้าอ่านเรอะ?” 


 


 


เหวินซื่อไม่ใส่ใจท่าทีของนาง แต่มองไปโดยรอบ แน่ใจว่าไม่มีใครได้ยิน ถึงกดเสียงต่ำพูดอย่างแผ่วเบา “ท่านพี่ฉู่เชิญตี้ซือ[1]มาให้น้องชายเจ้า!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตัวลุกขึ้นพลัน คว้าจดหมายในมือเขามา อ่านตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ใจความในจดหมายคร่าวๆ คือ ด้วยเหตุผลหลายประการ ตี้ซือเกษียณตัวกลับบ้านเกิด จดหมายของเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงพอดี ฉู่เหวินเจี๋ยจึงไปขอร้องตี้ซือให้มาประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้น้องชายนาง หลายปีก่อนตี้ซือติดค้างหนี้บุญคุณเขา จึงรับปากทันควัน แต่เสนอเงื่อนไขสองประการ หนึ่ง หากศิษย์ไม่คู่ควรให้สอนสั่ง เขาจะไม่ไว้หน้าเขา เดินทางกลับบ้านเกิดทันที สอง เขาจะสอนเพียงสามปี สามปีให้หลังจะกลับไปใช้บั้นปลายชีวิตที่บ้านเกิด ฉู่เหวินเจี๋ยบอกนางว่าตนเองตบปากรับคำต่อข้อเสนอของเขาแล้ว อีกสองวันตี้ซือจะเดินทางออกจากเมืองหลวง ทั้งครอบครัวรวมถึงสาวใช้และบ่าวรับใช้มีประมาณสิบกว่าคน ถึงตอนนั้นเขาจะส่งคนคอยคุ้มกันมาตลอดทาง หวังว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อม 


 


 


อ่านจดหมายจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตะลึงงัน หันไปมองเหวินซื่ออย่างเลื่อนลอย 


 


 


เหวินซื่อได้สติกลับมาแล้ว ลูบคางตัวเองครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ห้ามป่าวประกาศออกไปเด็ดขาด ให้มีเพียงเราสามคนที่รู้เท่านั้น” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่ได้ พวกเขาพากันมาทั้งครอบครัวและบ่าวไพร่สิบกว่าชีวิต ไม่อยากให้เป็นเป้าสายตาใครคงยาก” 


 


 


เหวินซื่อไม่มีความคิดแล้ว ถามขึ้น “เช่นนั้นจะทำอย่างไร หากให้คนอื่นรู้เรื่อง นับจากนี้ไปครอบครัวพวกเจ้าอย่าหวังจะได้สงบสุขอีก” พูดจบ ก็พูดตำหนิฉู่เหวินเจี๋ย “ท่านพี่ฉู่ก็จริงๆ เลย คนมีความรู้ในเมืองหลวงตั้งมากมาย เขาเชิญใครมาสักคนก็ได้แล้ว ทำไมต้องเชิญตี้ซือมาด้วย? เขาไม่คิดบ้างว่าหากมีคนรู้สถานะของพวกเขา ครอบครัวพวกเจ้าจะเกิดเรื่องยุ่งแค่ไหน?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟังไม่พูดอะไร หันหลังเดินออกไป 


 


 


เหวินซื่อถามนางไล่หลัง “เจ้าคิดจะทำอย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับมากะทันหัน 


 


 


เหวินซื่อตกใจสะดุ้ง ถอยหลังกรูดไปหลายก้าว “เจ้า เจ้าจะทำอะไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงขวดยาและกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อวางลงบนโต๊ะ “นี่คือยารักษารอยแผลเป็น ข้าเขียนวิธีใช้ลงในกระดาษแล้ว เจ้าคอยทาให้ตรงตามเวลาทุกวันก็พอ” 


 


 


เหวินซื่อปิติยินดี คว้าขวดยามาไว้ในมือ “นับว่ายายตัวแสบอย่างเจ้ายังเป็นคนดีอยู่บ้าง ไม่ลืมปรุงยาให้ข้า” 


 


 


เสียงเ**้ยมเกรียมของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นด้านข้าง “ต่อไปอย่าให้ข้าได้ยินเจ้าเรียกข้าว่ายายตัวแสบอีก ไม่เช่นนั้นข้าไม่รังเกียจที่จะเพิ่มรอยแผลบนใบหน้าเจ้าเพิ่มอีกสองรอย” 


 


 


พูดจบหันหลังสืบเท้าออกไป 


 


 


ทิ้งเหวินซื่อให้ยืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม 


 


 


หมอชราก็ปลาบปลื้มยินดี พูดด้วยความดีใจ “นายท่าน ครานี้ดีแล้ว ท่านไม่ต้องไม่กล้าออกจากบ้านเพราะรอยแผลเป็นบนใบหน้าอีกแล้ว” 


 


 


เหวินซื่อไม่ได้ดีใจไปกับเขาด้วย แต่กลับถามเขา “เหล่าอวี๋ เมื่อครู่ยายตัวแสบนั่นกำลังข่มขู่ข้าใช่หรือไม่?” 


 


 


หมอชรารีบร้อนพูด “นายท่าน แม่นางเมิ่งบอกแล้วไง ห้ามท่านเรียกนางเช่นนั้นอีก ท่านต้องจำให้ดี หากทำให้นางโมโหขึ้นมาไม่แน่ว่านางจะกล้าลงมือกับท่านจริงๆ” 


 


 


เหวินซื่อไม่เข้าใจ “ข้ามิได้เรียกนางเช่นนี้มาตลอดหรือ?” 


 


 


หมอชราพูดอย่างแหนงหน่าย “นายท่าน เมื่อก่อนเพราะใบหน้าท่านมีรอยแผลเป็น แม่นางเมิ่งทราบว่าท่านอารมณ์ไม่ดีถึงไม่คิดหยุมหยิมกับท่าน ตอนนี้มียารักษาแผลเป็นแล้ว ใบหน้าท่านจะต้องหายวันหายคืน ถึงตอนนั้นท่านเรียกนางเช่นนั้น นางจะต้องไม่ปล่อยท่านไปแน่ ต่อไปท่านอย่าเรียกนางเช่นนั้นจะดีที่สุด” 


 


 


เหวินซื่อแคลงใจ “เป็นเช่นนั้นหรือ?” 


 


 


หมอชราพยักหน้าหนักแน่น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวออกจากร้านยาเต๋อเหริน ขึ้นบนรถม้า สั่งการเหวินเปียว “กลับบ้านใหญ่” 


 


 


เหวินเปียวเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของนาง รู้ว่ามีเรื่องเร่งด่วน จึงเพิ่มความเร็วรถม้า ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็กลับมาถึงบ้านใหญ่สกุลเมิ่ง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เดินอาดๆ เข้าไปในลานบ้าน 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินกำลังซักผ้าอยู่ในลานบ้าน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา แย้มยิ้มทักทายนาง “โยวเอ๋อร์ เจ้ามาแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รับคำ กลับถามว่า “ท่านปู่และลุงใหญ่อยู่บ้านหรือไม่?” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินตอบนาง “ท่านปู่ฝึกเขียนอักษรอยู่ในห้อง ลุงใหญ่เจ้า เหรินเอ๋อร์และอี้เอ๋อร์ออกไปรดน้ำที่แปลงมันฝรั่งด้วยกัน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนกลับไปทางประตู สั่งการเหวินเปียว “ไปแปลงมันฝรั่งเรียกลุงใหญ่ข้ากลับมา บอกว่าข้ามีเรื่องด่วนจะปรึกษา หลังจากกลับมาแล้ว จงกลับไปบอกมารดาข้า ว่าข้ากลับมาแล้ว มีเรื่องมาปรึกษาท่านปู่และลุงใหญ่” 


 


 


เหวินเปียวรับคำบังคับรถม้าไปยังแปลงดินโดยไว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาในลานบ้าน 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของนาง ถามอย่างเป็นห่วง “โยวเอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ข้าคิดจะเชิญอาจารย์มาสอนเป็นการส่วนตัว เลยมาถามท่านปู่และลุงใหญ่ว่าได้หรือไม่?” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินไม่สงสัยอะไร พูดขึ้นว่า “รีบเข้าไปในบ้านเถอะ ข้าจะไปเรียกลุงใหญ่เจ้าให้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยับยั้งนาง “ไม่ต้องแล้ว ข้าให้เหวินเปียวไปรับแล้ว ประเดี๋ยวลุงใหญ่ก็คงกลับมา” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวเท้าเดินเข้าไปในบ้าน 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินซักผ้าในลานบ้านต่อ 


 


 


สองผู้เฒ่าได้ยินเสียงเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว เห็นนางเข้ามา หญิงชราเมิ่งยิ้มกวักมือเรียกนาง “โยวเอ๋อร์ รีบมานั่งข้างๆ ย่า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวผ่อนคลายความรู้สึก แย้มยิ้มเข้าไปนั่งข้างหญิงชราเมิ่ง พูดกับเมิ่งจงจวี่ว่า “ท่านปู่ ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่าน” 


 


 


เมิ่งจงจวี่กำลังฝึกเขียนอักษร ได้ฟังก็วางพู่กันในมือลง ล้างไม้ล้างมือ นั่งบนเก้าอี้แล้วพูดว่า “เรื่องอะไร?” 


 


 


“หลายวันก่อนตอนที่ข้าไปส่งอี้เซวียนไปโรงเรียน อาจารย์ของพวกเขาบอกว่าอี้เซวียนฉลาดปราดเปรื่อง อยู่ในโรงเรียนเกรงจะถ่วงอนาคตของเขา ให้ข้าหาอาจารย์ที่มีความรู้สูงมาสอนสั่งเขาเป็นการส่วนตัว ข้าจึงให้เพื่อนช่วยหาอาจารย์จากเมืองหลวงมาท่านหนึ่ง วันนี้เขาตอบจดหมายมาแล้ว ข้ากลับไม่รู้ว่าควรให้พวกเขามาหรือไม่ ดังนั้นจึงเข้ามาถามความคิดเห็นจากท่านปู่” 


 


 


เมิ่งจงจวี่ได้ฟังก็พยักหน้า “นี่เป็นเรื่องดี ปู่ไม่มีความคิดเห็นต่าง” 


 


 


“แต่ว่าอาจารย์ท่านนั้นมีภูมิหลังไม่ธรรมดา ข้ากลัวจะนำพาความยุ่งยากมาสู่ครอบครัวเรา” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 


 


 


เมิ่งจงจวี่ลูบเคราแล้วยิ้มพูด “คนที่มีความรู้ดีในเมืองหลวง มีใครที่มีภูมิหลังธรรมดาบ้าง ในเมื่อเขารับปากจะมาอยู่บ้านพวกเรา จักต้องเป็นคนที่อัธยาศัยดีเข้าหาได้ง่าย เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลหรอก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก หยิบจดหมายออกมายื่นให้เมิ่งจงจวี่ “ท่านปู่อ่านจดหมายนี้ก่อนเถอะ” 


 


 


เมิ่งจงจวี่รับจดหมายมาเปิดออก อ่านอย่างละเอียด เพิ่งจะดูได้อึดใจเดียว ก็ถลึงตาโต กระทั่งอ่านจบ ก็ตกใจลุกพรวด แม้แต่จานฝนหมึกที่ถูกชนล้มก็ไม่สนใจ พูดเสียงสั่น “นี่ๆๆ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ข้าตัดสินใจไม่ได้ จึงได้เข้ามาถามท่านปู่” 


 


 


หญิงชราเมิ่งเห็นจานฝนหมึกล้มคว่ำ รีบลงจากเตียงเข้าไปเก็บขึ้นพลางพูดบ่น “เจ้าก็อายุขนาดนี้แล้ว ยังจะตื่นเต้นตกใจ ครานี้ดีแล้ว กระดาษเซวียนมีแต่น้ำหมึก ดูสิว่าต่อไปเจ้าจะใช้สิ่งใดมาฝึกเขียนอักษร” 


 


 


เมิ่งจงจวี่ไม่ได้ยินเลยว่านางพูดอะไร ได้แต่ถามเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่มั่นใจ “นี่ นี่เป็นความจริง?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


เมิ่งจงจวี่เผยอปากค้างอยู่เป็นนานก็พูดไม่ออก 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] พระอาจารย์ของฮ่องเต้หรือพระราชโอรสก่อนจะขึ้นครองราชย์  

 

 


ตอนที่ 174-3 ตี้ซือ

 

ในที่สุดหญิงชราเมิ่งก็สังเกตเห็นอาการผิดปกติของเขา ถามอย่างประหลาดใจ “ในจดหมายเขียนว่าอย่างไร? ถึงทำเจ้าตกใจได้ถึงขั้นนี้?” 


 


 


เมิ่งจงจวี่โบกมือให้นางเป็นพัลวัน “เจ้าออกไปช่วยสะใภ้จินเอ๋อร์ซักผ้า ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับโยวเอ๋อร์” 


 


 


หญิงชราเมิ่งเป็นภรรยาซิ่วไฉมาหลายปี ย่อมแยกแยะอะไรได้ เห็นเมิ่งจงจวี่ไม่อยากให้ตนเองรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไม่ถามมาก หันหลังเดินไปในลานบ้าน 


 


 


เมิ่งจงจวี่กดเสียงถามเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ เจ้ารู้จักเพื่อนคนนี้ได้อย่างไร แล้วเขารู้จักตี้ซือได้อย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างกระชับ “เพราะความบังเอิญครั้งหนึ่ง ข้าได้ช่วยเหลือชีวิตเขา เขาระลึกในใจไม่ลืม ดังนั้นครั้งนี้พอข้าขอความช่วยเหลือจากเขา เขาถึงหาบุคคลยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาให้พวกเรา” 


 


 


เห็นนางไม่ยินดีจะเล่าให้มาก เมิ่งจงจวี่จึงไม่ถามอีก ขมวดคิ้วครุ่นคิด 


 


 


หลังจากเจอเมิ่งต้าจินเหวินเปียวก็บอกเขาว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีเรื่องด่วนอยากพบเขา 


 


 


เมิ่งต้าจินรีบขึ้นรถม้ากลับมาบ้าน เห็นหญิงชราเมิ่งและภรรยาตัวเองซักผ้าอยู่ในลานบ้านด้วยกัน พูดอย่างห่วงใย “ท่านแม่ ให้สะใภ้ซักคนเดียวก็พอ ท่านเข้าไปพักในบ้านเถอะ” 


 


 


หญิงชราเมิ่งโบกมือ “บิดาเจ้าและโยวเอ๋อร์คุยธุระกันอยู่ในบ้าน ข้าไม่สะดวกจะเข้าไป” 


 


 


เมิ่งต้าจินได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็ให้ข้องใจ สาวเท้าเดินเข้าไปในบ้าน ซักถามเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ เจ้ามีเรื่องอันใดอยากพบข้า?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเรื่องเมื่อครู่ขึ้นอีกรอบ ทั้งยื่นจดหมายให้เขา 


 


 


เมิ่งต้าจินอ่านจดหมายเสร็จก็ให้ตกตะลึงพรึงเพริด แต่ไม่นานก็พูดด้วยความยินดี “นี่เป็นเรื่องดี หากอี้เซวียนได้รับการสอนสั่งจากตี้ซือจริงๆ อนาคตในภายหน้าก็จะสว่างไสวเรืองรองแล้ว” 


 


 


เมิ่งจงจวี่เริ่มเป็นกังวล “หากเรื่องนี้ป่าวประกาศออกไป จะเกิดปัญหายุ่งยากกับครอบครัวเมิ่งของพวกเราหรือไม่?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็คิดถึงจุดๆ นี้ ถึงเข้ามาซักถามความคิดเห็นพวกเขา 


 


 


ไม่คิดว่าเมิ่งต้าจินจะพูดอย่างเบาสบาย “สุขเอยซ่อนทุกข์โศก โศกเล่าเคล้าคลึงสุข[1] ต่อให้มีคนรู้ ก็ไม่แน่ว่าจะไม่ใช่เรื่องดี” 


 


 


เมิ่งจงจวี่พลันกระจ่างแจ้ง “พ่อที่ขลาดเขลาเอง ยังดีที่เจ้าคิดได้ทะลุปรุโปร่ง เจ้าพูดถูกต้อง นี่หาใช่เรื่องไม่ดีไม่ หากอี้เซวียนเป็นที่พึงพอใจของตี้ซือ ก็ถือว่าเป็นโชควาสนาของเขา ทั้งมีส่วนช่วยต่ออนาคตในภายหน้าของเขาเป็นอย่างมาก” 


 


 


เมิ่งจงจวี่คืนจดมายในมือให้เมิ่งเชี่ยนโยว พูดว่า “ทว่า เรื่องนี้ทางที่ดีนอกจากพวกเราแล้ว อย่าให้คนอื่นรู้จะเป็นการดีที่สุด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เก็บจดหมายไว้อย่างดี “ข้าทราบแล้ว ดังนั้นพอข้าได้รับจดหมายนี้ก็ตรงมาหาท่านปู่และท่านทันที” 


 


 


เมิ่งจงจวี่ลูบเคราพูดว่า “เมื่อพวกเราตกลงเรื่องนี้ได้แล้ว ก็รีบตระเตรียมเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอึดอัดใจ “ในจดหมายบอกว่าพวกเขามีสิบกว่าชีวิต พวกเราไหนเลยจะมีสถานที่มากขนาดนั้นให้พวกเขาพักอาศัยกัน อย่าบอกว่าให้พวกเราเข้าเมืองไปซื้อเรือนสำเร็จหลังหนึ่ง มาให้พวกเขาพักอาศัยหรอกนะ?” 


 


 


เมิ่งจงจวี่พูดว่า “ใครบอกไม่มีสถานที่ พวกเราเพิ่งจะสร้างเรือนใหญ่เสร็จไม่ใช่หรือ ให้พวกเขาเข้าไปอาศัยอยู่ก่อนอย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคัดค้าน “ท่านปู่ เรือนใหญ่หลังนั้นสร้างให้ท่านกับท่านย่าอยู่ จะให้พวกเขาเข้าไปอยู่ได้อย่างไร? พวกเรามาคิดหาวิธีอื่นเถอะ หากไม่ได้จริงๆ พวกเราก็เข้าเมืองไปซื้อเรือนสักหลังให้พวกเขา” 


 


 


เมิ่งจงจวี่โบกมือ “ตี้ซืออาศัยอยู่ในเมืองหลวงมานาน บ้านเรือนแบบไหนไม่เคยได้เห็นบ้าง เกรงว่าต่อให้เจ้าไปซื้อเรือนในเมือง ก็ไม่เข้าตาเขา สู้ให้เขาอาศัยอยู่ในเรือนใหญ่ เช่นนี้พวกเราทั้งได้ประหยัดเงิน และอี้เซวียนยังได้เล่าเรียนได้อย่างสบายใจด้วย” 


 


 


ไม่ว่าพูดอย่างไรเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เห็นด้วย ดึงดันจะเข้าไปซื้อเรือนในตำบลให้ได้ 


 


 


เมิ่งจงจวี่พูดหว่านล้อมนาง “ปู่อายุปูนนี้แล้ว จะได้เสวยสุขหรือไม่ไม่สำคัญ ขอเพียงอี้เซวียนสอบขุนนางได้ นำพาเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่วงศ์สกุล ชีวิตนี้ของปู่ก็ถือว่าสมปรารถนาแล้ว” 


 


 


เมิ่งต้าจินก็พูดโน้มน้าว “เจ้าเชื่อท่านปู่เจ้าเถอะ จัดหาที่พักให้ตี้ซือก่อน เรื่องภายหลังจากนี้ค่อยพูดกันอีกที” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวซาบซึ้งใจอย่างที่สุด พูดรับประกันกับพวกเขา “ท่านปู่ ท่านวางใจเถอะ หากตี้ซือมาพักที่นั่นจริงๆ ข้าจะปลูกคฤหาสน์ใหญ่เรือนใหม่ให้ท่านอีกหลัง” 


 


 


เมิ่งจงจวี่ปลาบปลื้มใจพูดว่า “เด็กดี เจ้ามีน้ำใจนี้ก็พอแล้ว ปู่อยู่ในบ้านใหญ่นี้ก็สุขสบายดีแล้ว” 


 


 


คนทั้งหมดตกลงใจตอนบ่ายจะให้คนเข้าไปทำความสะอาดเรือนใหญ่อย่างสะอาดเอี่ยม จากนั้นค่อยไปซื้อเครื่องเรือนที่เหมาะสมจำนวนหนึ่งเข้ามา 


 


 


เมื่อตกลงเรื่องเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงกลับมาบ้าน 


 


 


เมิ่งชื่อกำลังทำอาหารเที่ยง เห็นนางเข้ามา ส่งเสียงถามนาง “โยวเอ๋อร์ เหวินเปียวบอกว่าพอเจ้ากลับมาในเมือง ก็ไปบ้านใหญ่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสนี้พูดขึ้น “ข้ากำลังจะบอกท่านเรื่องนี้พอดี ข้าเชิญอาจารย์ที่มีความรู้มากคนหนึ่งมาให้อี้เซวียน อีกไม่กี่วันจะมาถึง ท่านปู่บอกว่าให้พวกเขาพักอาศัยที่เรือนใหญ่หลังใหม่ก่อน” 


 


 


เมิ่งชื่อตกใจ “เหตุใดไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน? พอมีอาจารย์แล้ว อี้เซวียนก็ไม่ต้องเข้าไปเรียนในเมืองแล้วใช่หรือไม่?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าก็ไม่คิดว่าจะเร็วเช่นนี้ จึงไม่ทันได้บอกกล่าวท่าน หากว่าอาจารย์รับปากจะสอนสั่งอี้เซวียน ต่อไปเขาก็ไม่ต้องเข้าเมืองแล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อให้ฉงน “หากว่าอะไร? อาจารย์ท่านนั้นยังไม่ยินดีสอนหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “อาจารย์ท่านนั้นเป็นคนที่มีความรู้ลึกล้ำ ไม่ยินดีสอนเด็กที่ไม่ฉลาด พอเขามาถึง จะทำการทดสอบอี้เซวียนก่อน หากอี้เซวียนสมดังความต้องการของเขา เขาถึงจะยอมอยู่สอนสั่ง หากไม่ได้ เขาจะกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิด” 


 


 


คนที่มีความรู้มากจะมีนิสัยประหลาด เมิ่งชื่อเคยได้ยินคนอื่นเล่าต่อกันมา พอได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ก็เริ่มเป็นกังวล “หากอี้เซวียนไม่เป็นไปตามความต้องการของเขาจริงๆ ไม่เท่ากับเสียโอกาสครั้งสำคัญหรือ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบโยนนาง “หากอี้เซวียนไม่เป็นไปตามความต้องการของเขา พูดได้เพียงว่าคุณสมบัติเขายังไม่ดีพอ พวกเราก็ไม่ต้องคาดหวังกับเขาให้สูงเกินไปอีก แต่หากเขาได้รับเลือก มีอาจารย์ท่านนี้คอยสอนสั่ง อนาคตในภายหน้าของเขาจะยิ่งราบรื่นสดใส” 


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนหัวข้อพูด “ช่วงบ่าย พวกเราจะไปเก็บกวาดเรือนใหม่ ท่านไม่ต้องไปแล้ว คอยเร่งความเร็วในการเย็บกระเป๋านักเรียนเถอะ ข้าคาดว่าอีกไม่กี่วันเถ้าแก่จางจะต้องเข้ามารับสินค้า” 


 


 


เมิ่งชื่อปิติดีใจ “จริงเรอะ เถ้าแก่จางจะยังเข้ามารับกระเป๋านักเรียนอีก?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


เมิ่งชื่อพรวดพราดลุกขึ้นยืน พูดว่า “แม่จะรีบไปทำอาหาร กินอิ่มแล้วจะได้รีบไปเย็บกระเป๋านักเรียน” 


 


 


เห็นท่าทีละโมบของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวก็หลุดขำ 


 


 


ตอนกินข้าวเที่ยง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเรื่องที่บอกเมิ่งชื่อขึ้นมาอีกรอบ 


 


 


พอได้ยินว่าเป็นอาจารย์ผู้มีความรู้มาก เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ดีอกดีใจ ไม่มีความเห็นต่างโดยสิ้นเชิง หลังจากกินอิ่มก็เข้าไปหยิบเครื่องมือทำความสะอาดตรงไปเรือนใหม่ทันที 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและลูกๆ สี่คน ครอบครัวเมิ่งต้าจินสี่คน เมิ่งซานถงและภรรยารวมถึงเมิ่งเสียวเถี่ย คนจำนวนมากนี้ใช้เวลาเก็บกวาดตลอดทั้งช่วงบ่าย ถึงเก็บกวาดเรือนใหม่จนสะอาดเอี่ยม 


 


 


ตอนเที่ยงเมิ่งเหรินได้ยินเมิ่งต้าจินบอกว่าจะให้อาจารย์ที่เชิญมาสอนเมิ่งอี้เซวียนเป็นการส่วนตัวเข้าพัก ก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากที่ปัดกวาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว กลับเหม่อมองเรือนงามหลังใหญ่นี้อย่างอาลัยอาวรณ์ไม่คลาย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลอบสังเกตเห็นทั้งหมดนี้ในสายตา 


 


 


ตกเย็นหลังจากเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉกลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวบอกข่าวนี้กับพวกเขา 


 


 


ซุนเหลียงไฉเริ่มไม่ยินยอม “หากมาเรียนที่บ้านเป็นการส่วนตัว เช่นนั้นกระเป๋านักเรียนของพวกเราจะทำอย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเขา “การขายกระเป๋านักเรียนมีหลากหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องขายแต่ในโรงเรียนเท่านั้น” 


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่เข้าใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกตัวอย่างหลายวิธีให้เขา อย่างเช่นไปร้องเรียกเร่ขายในตลาดสด หรือเอาไปฝากขายในร้านค้า ยังสามารถบอกที่อยู่บ้านตัวเองกับนักเรียนในโรงเรียน หากพวกเขาต้องการสามารถมาซื้อโดยตรงที่บ้านได้ หรือจะส่งข่าวมาก็ได้ ต่อให้ซื้อกระเป๋านักเรียนใบเดียว พวกเขาก็จะส่งให้ 


 


 


ซุนเหลียงไฉไม่เคยได้ยินวิธีการขายที่แปลกพิสดารเหล่านี้มาก่อน เบิกตาโตอย่างตื่นเต้น 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนก็แอบจดจำวิธีเหล่านี้ไว้ในใจ 


 


 


วันถัดมา หลังจากพาทั้งสองคนไปส่งโรงเรียนตามปกติ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไปซื้อเครื่องเรือนในร้านเครื่องเรือนในตำบล 


 


 


รูปแบบของเครื่องเรือนเหมือนกันแทบจะทั้งหมด ความแตกต่างว่าของดีหรือของด้อยอยู่ที่เนื้อไม้ที่นำมาทำเท่านั้น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพินิจพิจารณาเลือกอยู่ครึ่งวัน ถึงได้เครื่องเรือนที่ทำจากเนื้อไม้ต่างกันสามชนิด หันไปพูดกับเถ้าแก่เจ้าของร้าน “ข้าต้องการเครื่องเรือนสามชุดนี้ ท่านดูว่าราคาเท่าไหร่?” 


 


 


เถ้าแก่ไม่เคยเจอลูกค้ามือหนักเช่นนี้มาก่อน มาถึงก็ซื้อเครื่องเรือนสามชุดในคราเดียว ดีใจยิ้มแป้น หยิบลูกคิดออกมาปัดขึ้นปัดลงคำนวณราคา แล้วพูดว่า “ทั้งหมดสี่ร้อยแปดสิบตำลึง ท่านซื้อเยอะ ข้าจะให้ส่วนลด เหลือเพียงสี่ร้อยหกสิบตำลึงก็พอ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหั่นราคา “สี่ร้อยตำลึงเถอะ ข้าจ่ายเงินให้ทันที” 


 


 


เถ้าแก่ส่ายหน้าดุจคลื่นซัดโหม “ไม่ได้ พวกเราไม่ได้มีกำไรขนาดนั้น อย่างมากข้าให้เจ้าได้อีกสิบตำลึง เป็นสี่ร้อยห้าสิบตำลึง” 


 


 


เถ้าแก่นึกว่านางจะเป็นเหมือนลูกค้าคนอื่นๆ จะเพิ่มราคาให้อีกหน่อย ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดว่า “สามร้อยห้าสิบตำลึง” 


 


 


ลูกคิดในมือเถ้าแก่เกือบจะตกลงพื้น “แม่นาง มีใครซื้อของเยี่ยงเจ้ากัน ยิ่งให้ก็ยิ่งกดราคา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดทันควัน “สามร้อยตำลึง” 


 


 


เถ้าแก่ตกใจโบกมือเป็นพัลวัน “ได้ๆๆ สี่ร้อยตำลึงก็สี่ร้อยตำลึง เจ้าจ่ายเงินให้เรียบร้อย ข้าจะให้พนักงานไปส่งของให้เจ้าเดี๋ยวนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจ่ายเงินอย่างเบิกบาน เขียนที่อยู่เรือนใหม่ ไม่รอพนักงานขนถ่ายสินค้าเสร็จ ก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้ากลับมาบ้านก่อน เพื่อให้เมิ่งเอ้ออิ๋นไปดูว่าจะวางเครื่องเรือนตรงไหน 


 


 


ยังไม่ถึงหน้าประตูบ้าน เหวินเปียวก็เห็นเมิ่งชื่อยืนชะเง้อคออย่างกระสับกระส่ายอยู่หน้าประตูบ้าน จึงบอกเมิ่งเชี่ยนโยวเสียงเบา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกม่านรถออก ร้องถาม “ท่านแม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” 


 


 


เมิ่งชื่อสืบเท้าเดินเข้ามา น้ำเสียงข่มกลั้นความปิติดีใจไม่อยู่ “โยวเอ๋อร์ เมื่อครู่เถ้าแก่จางให้คนมาส่งข่าวแล้ว บอกว่าให้พวกเรารีบส่งกระเป๋านักเรียนไปห้าร้อยใบโดยด่วน” 


 


 


 


 


 


[1] สุขเอยซ่อนทุกข์โศก โศกเล่าเคล้าคลึงสุข เป็นการเปรียบเปรยว่าเรื่องดีอาจจะมีจุดจบที่แย่ เรื่องแย่ก็อาจจะมีจุดจบที่ดีได้  

 

 


ตอนที่ 175-1 วาจาของแม่ทัพรองชุย

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ดีใจตามไปด้วย กระโดดพรวดลงจากรถม้า กระโจนเข้าสู่อ้อมกอดเมิ่งชื่อ 


 


 


เมิ่งชื่อสะดุ้งตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง ปากก็พร่ำบ่นว่า “เจ้าจะรอให้รถม้าจอดสนิทก่อนไม่ได้หรือไร? หากหกล้มไปจะทำอย่างไร?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นซุกซน กอดแขนนางแน่น ในน้ำเสียงเบิกบานเจือความกระเง้ากระงอด “ท่านแม่ ก็ข้าดีใจมากนี่นา ท่านวางใจ ข้าไม่เป็นไรหรอก” 


 


 


เมิ่งชื่อหันเดินกลับไปพร้อมนางพลางจิ้มหน้าผากนางอย่างเอ็นดู “เช่นนั้นก็ไม่ได้ ตอนนี้เจ้าเป็นสาวแล้ว ต้องระวังกิริยาอาการ อย่าให้คนอื่นหัวเราะเยาะได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นนางจะอบรมอีก รีบพูดรบเร้า “ท่านแม่ ข้ารับประกันกับท่าน ต่อไปจะไม่ทำเช่นนี้แล้ว จะต้องรอให้รถม้าหยุดสนิทก่อน แล้วค่อยเดินลงมาช้าๆ” 


 


 


เมิ่งชื่อพูดขึ้น “แม่ ไม่เชื่อคำรับประกันของเจ้าหรอก ครั้งก่อนเจ้าก็พูดเช่นนี้ สุดท้ายครั้งนี้ก็ยังทำอีก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นซุกซน เปลี่ยนหัวข้อเรื่อง “ท่านแม่ ท่านได้นับหรือยัง กระเป๋านักเรียนในบ้านเรามีพอห้าร้อยใบหรือไม่?” 


 


 


เมิ่งชื่อถูกชักจูงไปดังคาด ตบหน้าผากตัวเอง “แม่เอาแต่ดีใจ ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท แม่จะไปนับเดี๋ยวนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงกอดแขนนางไม่ปล่อย “ไม่ต้องแล้ว พวกเราไปดูสมุดบัญชีเถอะ” 


 


 


ทั้งสองเดินเข้ามาในบ้าน 


 


 


เหล่าหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนต่างก็ได้ยินข่าวดีนี้กันหมดแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความปิติชื่นบาน เส้นด้ายในมือแต่ละคนตวัดไปมาบนเนื้อผ้า ความเร็วในการเย็บเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดสัพยอกกับเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ด้วยความเร็วเช่นนี้ อีกไม่นานเท่าไหร่ โรงเย็บของท่านนี้จะต้องขยายแล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อถือเป็นจริง พูดอย่างดีใจ “เจ้าอย่าพูดเป็นเล่น เมื่อครู่แม่ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน รอให้ส่งขายกระเป๋านักเรียนชุดนี้ออกไปก่อน เราค่อยมาสรุปรวมยอดกัน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบสมุดบัญชีออกมา คำนวณอย่างละเอียด ช่วงที่ผ่านมาเมิ่งชื่อและคนทั้งหมดเย็บกระเป๋านักเรียนได้เกือบหนึ่งพันใบแล้ว ตัดที่ขายออกไปและนำมาใช้เอง จะเหลือไม่ถึงหนึ่งร้อยใบ 


 


 


ปิดสมุดบัญชี เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยกยิ้มพูด “ท่านแม่ ท่านจะร่ำรวยแล้ว ช่วงที่ผ่านมาพวกท่านเย็บกระเป๋านักเรียนไปเกือบหนึ่งพันใบ หากวันนี้ขายให้เถ้าแก่จางห้าร้อยใบ จะเหลือไม่ถึงหนึ่งร้อยใบแล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อดีใจระคนประหลาดใจ “พวกเราเย็บได้มากเช่นนั้นเลยหรือ?” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


ส่วนผู้หญิงคนอื่นๆ ก็ไม่คิดว่าโดยไม่ทันรู้สึกตัวจะเย็บกระเป๋านักเรียนได้มากเช่นนี้ ได้ฟังเช่นนั้น ก็ให้ดีอกดีใจ มีคนในนั้นอดพูดชมตัวเองไม่ได้ “พวกเราเก่งกันมากจริงๆ เกรงว่าในหมู่บ้านนี้จะไม่มีใครสู้ได้แล้ว” 


 


 


คนในบ้านต่างขบขันหัวเราะครื้นเครง 


 


 


ตอนเที่ยงที่พวกเมิ่งเอ้ออิ๋นกลับมากินข้าว เมิ่งชื่อบอกข่าวดีนี้กับพวกเขา 


 


 


คนทั้งหมดก็ดีใจมากเช่นกัน 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นยังพูดหยอกเย้าครอบครัวตัวเองว่า “ตอนนี้แม่เจ้าเป็นเสาหลักของบ้านแล้ว ต่อไปพวกเราจะต้องพึ่งพานางดำรงชีวิตแล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อลำพองได้ใจ “ถูกต้อง จะบอกให้นะ ต่อไปเจ้าต้องเชื่อฟังข้า ข้าให้เจ้าไปทางตะวันออกเจ้าห้ามไปตะวันตกเด็ดขาด” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นแสร้งแสดงอาการหวาดกลัวตัวหงอรับคำทันควัน “ผู้น้อยทราบแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ หัวเราะเอิ๊กอ๊าก 


 


 


เมิ่งชื่อเขินหน้าแดง โมโหตีเมิ่งเอ้ออิ๋นเล็กน้อย แล้วหัวเราะร่วนตามไปด้วย 


 


 


ตอนบ่าย ทั้งครอบครัวร่วมแรงร่วมใจ นับกระเป๋านักเรียนออกมาห้าร้อยใบ แยกตามลวดลายที่แตกต่างกัน แล้วทำหมายเลขกำกับไว้ 


 


 


หลังจากทำเสร็จ เมิ่งชื่อถึงคิดปัญหาหนึ่งได้ “โยวเอ๋อร์ ใครจะเป็นคนนำสินค้าไปส่งให้เถ้าแก่จาง?” 


 


 


ปัญหานี้เมิ่งเชี่ยนโยวได้คิดเอาไว้แล้ว ตอบทันควัน “เดิมควรจะเป็นข้าเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉพวกเราสามคนไปด้วยกัน แต่อาจารย์ที่เชิญมาไม่รู้ว่าจะมาถึงวันไหน พวกเราจะจากไปไหนไม่ได้ ดังนั้นข้าตัดสินใจให้เหวินเปียวและเหวินหู่เป็นคนไปส่งสินค้า อย่างไรเมื่อก่อนพวกเขาก็เป็นผู้คุ้มภัย เรื่องการส่งสินค้าไม่น่าจะมีปัญหา” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้าสนับสนุน “ได้ ให้พวกเขาไปส่งสินค้า แต่ทางที่ดีเจ้าให้พวกเขาบอกเถ้าแก่จางด้วยว่า มีธุระในบ้านปลีกตัวมาไม่ได้จริงๆ เอาไว้คราวหน้าจะต้องไปส่งสินค้าให้เขาด้วยตัวเอง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับคำ “ทราบแล้ว ท่านพ่อ ข้าจะกำชับพวกเขาเอง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกเหวินเปียวและเหวินหู่เข้ามา บอกพวกเขาเรื่องที่ตัดสินใจจะให้พวกเขานำสินค้าไปส่งที่จังหวัด 


 


 


เรื่องประเภทนี้มาอยู่ในมือพวกเขา ง่ายเหมือนปอกกล้วย ทำได้อย่างง่ายดาย ย่อมรับคำทันควัน ทั้งรับประกันว่าจะส่งกระเป๋านักเรียนให้ถึง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวคำที่เมิ่งเอ้ออิ๋นกำชับแก่พวกเขาอีกครั้ง ทั้งสองก็พยักหน้ารับคำ 


 


 


สุดท้ายเมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับพวกเขาว่า “พรุ่งนี้พวกเจ้าจงออกเดินทางแต่เช้า เพิ่มความเร็วในการเดินทางเสียหน่อย ทำเวลากลับมาให้ทันพรุ่งนี้ตอนค่ำ” 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่พยักหน้า 


 


 


วันรุ่งขึ้นอีกหนึ่งชั่วยามกว่าฟ้าจะสาง เหวินเปียวและเหวินหู่ก็เข้ามาจัดเก็บรถม้าเรียบร้อย นอกจากเมิ่งเจี๋ยเมิ่งชิงแล้ว คนทั้งครอบครัวต่างช่วยกันบรรทุกกระเป๋านักเรียนขึ้นรถคนละไม้ละมือ  


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับทั้งสองคนอีกครั้ง หากพบเจอสถานการณ์อันตราย อย่าได้ขัดขืนต่อสู้ รักษาชีวิตรอดสำคัญที่สุด สำหรับทรัพย์สิน สินค้าต่างๆ ให้ละทิ้งไปได้ทั้งหมด 


 


 


เหวินเปียวและเหวินหู่พยักหน้าแสดงว่าจะจดจำไว้แล้ว จึงบังคับรถม้าเข้าไปส่งสินค้าในจังหวัดภายใต้แสงจันทร์นวลอ่อน 


 


 


เมื่อทั้งสองคนจากไป เรื่องการส่งเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉไปโรงเรียนย่อมต้องตกเป็นหน้าที่ของเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียน 


 


 


แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเมิ่งเสียนก็ไม่ยอมไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีทางเลือก จำต้องให้เหวินเป้าไปแทน 


 


 


เมิ่งชื่อประหลาดใจ ถามเมิ่งเสียนว่าเพราะเหตุใดถึงไม่ยอมไปส่งพวกเขาที่โรงเรียน 


 


 


เมิ่งเสียนไม่กล้าพูดเรื่องที่ซุนเชี่ยนสารภาพรักกับตนออกมา ลุกลี้ลุกลนหยิบเครื่องมือไปยังแปลงมันฝรั่ง 


 


 


เมิ่งชื่อสัมผัสได้ว่าเมิ่งเสียนมีเรื่องปิดบังตนเอง เตรียมจะซักถามหลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมา ว่านางรู้ว่าเป็นอะไรหรือไม่ 


 


 


หลังจากส่งทั้งสองคนเข้าโรงเรียนแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็นั่งรถม้ากลับมาบ้าน 


 


 


เมิ่งชื่อกำลังจะซักไซ้นางเรื่องเมิ่งเสียน ม้าเร็วตัวหนึ่งก็ควบมาหยุดที่หน้าประตูบ้าน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงฝีเท้าม้าเดินออกมาจากบ้าน คนบนม้ากำลังพลิกตัวลงจากหลังมา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวในลานบ้าน ผลุนผลันพูด “แม่นางเมิ่ง นายท่านของพวกท่านกล่าวว่าท่านอาจารย์กำลังจะมาถึงแล้ว ให้ท่านเตรียมตัวไปรับคนในตำบลให้พร้อม” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถึงเห็นชัดว่าเป็นพนักงานร้านยาเต๋อเหริน รีบเดินออกไป พูดรับคำ “ทราบแล้ว เจ้าจงรีบไปบอกนายท่านของพวกเจ้า ข้าจะไปถึงภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม” 


 


 


พนักงานน้อมรับคำ พลิกตัวขึ้นบนหลังม้า พุ่งทะยานจากไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าในบ้าน แล้วกำชับเหวินเป้า “ไปบ้านใหญ่” 


 


 


เหวินเป้ารีบรุดบังคับรถม้ามาถึงบ้านใหญ่ 


 


 


เมิ่งจงจวี่กำลังฝึกเขียนอักษรอยู่ในบ้าน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตะลีตะลานเข้ามาในบ้าน พูดว่า “ท่านปู่ ท่านอาจารย์ใกล้ถึงตำบลแล้ว!” 


 


 


พู่กันในมือเมิ่งจงจวี่ร่วงลงบนกระดาษเซวียน หันกลับไปถามด้วยอารามปิติ “มาถึงเร็วเช่นนี้เลยรึ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


เมิ่งจงจวี่หันไปพูดกับหญิงชราเมิ่งอย่างตื้นตันใจ “เร็ว ไปนำเสื้อผ้าที่ข้ายังไม่เคยใส่ตัวนั้นออกมา ข้าจะเข้าไปตำบลรับท่านอาจารย์พร้อมโยวเอ๋อร์” 


 


 


หญิงชราเมิ่งเห็นเขามีกิริยาตื่นเต้นยินดี รีบเข้าไปควานหาเสื้อผ้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ท่านปู่ ท่านค่อยๆ เตรียมตัว ข้าจะไปแปลงดินเรียกลุงใหญ่และท่านพ่อ” 


 


 


เมิ่งจงจวี่พยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินออกมาจากบ้าน ให้เหวินเป้ารีบตรงไปแปลงดินเรียกเมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นมา 


 


 


เหวินเป้ารู้ว่ามีเรื่องด่วน บังคับรถม้ามุ่งหน้าไปโดยไว 


 


 


มาถึงแปลงมันฝรั่ง ไม่รอรถม้าจอดสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวก็เปิดม่านบังรถร้องพูดเสียงลั่น “ท่านลุงใหญ่ ท่านพ่อ ท่านอาจารย์มาถึงแล้ว พวกเรารีบไปต้อนรับเถอะ” 


 


 


เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นได้ฟังรีบรุดสาวเท้าตรงมา 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรอพวกเขาขึ้นนั่งบนรถม้า สั่งเหวินเป้ากลับไปที่บ้าน ถึงบอกพวกเขาว่า เมื่อครู่พนักงานร้านยาเต๋อเหรินมาส่งข่าว ให้ไปรับคนที่ร้านยาเต๋อเหริน 


 


 


รถม้ามาถึงบ้านเมิ่งเอ้ออิ๋นก่อน ให้เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ลงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า 


 


 


รถม้าถึงเร่งรุดมายังบ้านใหญ่ 


 


 


เมิ่งจงจวี่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ยืนเนื้อตัวสะอาดสะอ้านอยู่หน้าประตูใหญ่ เห็นคนทั้งหมดเข้ามา รีบบอกเมิ่งต้าจิน “เจ้ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พวกเราจะได้รีบไป อย่าได้ไปช้าให้ตี้ซือเกิดภาพจำที่ไม่ดีกับพวกเราได้เป็นอันขาด” 


 


 


เมิ่งต้าจินรีบรุดเดินเข้าไปในบ้าน หลังจากจัดการตัวเองอย่างพิถิพิถัน เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ก็เร่งรุดออกมา เดินขึ้นรถม้า 


 


 


จากนั้นก็เข้าไปรับเมิ่งเอ้ออิ๋นที่จัดการเนื้อตัวอย่างมีชีวิตชีวา 


 


 


ไม่ต้องให้เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการ เหวินเป้าก็บังคับรถม้ามุ่งทะยานออกไป ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามกว่าก็มาถึงหน้าประตูร้านยาเต๋อเหริน 


 


 


เหวินซื่อกำลังรออยู่หน้าประตู เห็นรถม้าเข้ามา ก็พูดกับเหวินเป้าทันที “ไม่ต้องหยุดรถ พวกเขาใกล้จะถึงประตูเมืองฝั่งตะวันตกแล้ว พวกเรารีบไปต้อนรับเถอะ” 


 


 


พูดจบ พลิกตัวขึ้นรถม้า นำทางอยู่ด้านหน้า เหวินเป้าบังคับรถม้าตามหลังไป 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)