ยอดหญิงสกุลเสิ่น 172.2-173.2
ตอนที่ 172-2 ฝึกฝนต่อ
องค์ชายรองซีเหลียงวิ่งหนีกลับไปในสภาพจนตรอก คนทุกระดับชั้นในซีเหลียงอกสั่นขวัญหาย พ่ายแพ้ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อน แม้ว่าจะแพ้เหมือนกัน แต่ความเสียหายครั้งก่อนก็ไม่มากนัก แต่ครั้งนี้ แค่ทหารและม้าก็เสียไปเป็นหมื่นแล้ว ซ้ำยังเสียเสบียงและวัตถุดิบต่างๆ อีกด้วย
องค์ชายรองพ่ายศึกทั้งยังบาดเจ็บที่ขา รู้สึกเสียหน้า บวกกับที่เขาตบอกรับปากเสด็จพ่อไว้ว่าจะทำหน้าที่ให้สำเร็จตามคำสั่งเพื่อที่จะกุมอำนาจทหาร นึกถึงสายตาที่เย็นชาและผิดหวังของเสด็จพ่อ นึกถึงพี่ใหญ่และน้องสี่ที่จ้องมองตาเป็นมัน องค์ชายรองก็นั่งไม่ติดแล้ว
ไม่ได้ ยอมแพ้เช่นนี้ไม่ได้! เพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบ องค์ชายรองจึงประกาศเกินจริงว่าทหารชายแดนต้ายงกล้าหาญร้ายกาจอย่างไร ราวกับขุนพลจากสวรรค์ลงมาบนโลกมนุษย์ มิน่าเล่าครั้งก่อนพี่ใหญ่ถึงถูกลอบทำร้าย ตอนนี้เขาได้รับบทเรียนแล้ว แสร้งวิ่งไปเยี่ยมเยี่ยมพี่ใหญ่เขาที่จวนเที่ยวหนึ่ง
หากไม่ใช่ว่าตระกูลฝั่งมารดาขององค์ชายรองมีอำนาจมากอย่างยิ่ง ประมุขซีเหลียงก็คงมีความคิดที่จะตัดขาดลูกชายคนนี้แล้ว เขามีบุตรชายที่โง่เขลาเพียงนี้ได้อย่างไร มิหนำซ้ำยังเป็นบุตรที่คลานออกมาจากท้องราชินีอีกด้วย มอบดินแดนไว้ในมือเขาตนจะวางใจได้อย่างไร ต้องโทษราชินีคนเดียวเลย ตอนเด็กบุตรคนรองฉลาดอย่างยิ่ง แต่ถูกราชินีตามใจจนเขาเสียคน
องค์ชายใหญ่หลี่หยวนเผิงที่สำนึกผิดอยู่ในจวนรู้ความคิดของพ่อเขา ต้องประณามเขาแน่นอนเหอๆ เห็นได้ชัดว่าเขาวางอำนาจไม่ลง เล่นอุบายถ่วงดุลหนึ่งตา ทั้งยังพาลใส่ผู้อื่น ช่าง… หลี่หยวนเผิงทำได้เพียงใช้เสียงหัวเราะเหอๆ ตอบสนอง
มีเพียงองค์ชายรองคนโง่ผู้นั้นที่มองสถานการณ์ไม่ออก ยังคิดว่าเสด็จพ่อชื่นชมเขาอยู่ หารู้ไม่ว่าเสด็จพ่อนั่งมองพวกเราสามพี่น้องขึ้นสังเวียนกันอยู่
“องค์ชายใหญ่ นี่เป็นโอกาสดีของท่านแล้ว!” กุนซือชาวฮั่นลูบหนวด บนใบหน้ามีสีหน้ายินดี
ก่อนหน้านี้องค์ชายรองนำทัพออกรบเขายังเป็นกังวล กลัวว่าองค์ชายรองจะมีจุดยืนมั่นคงในกองทัพ เช่นนั้นนายท่านก็คงจะทุ่มแรงเพื่อพวกเขาโดยไม่ได้รับผลตอบแทนเลยจริงๆ
ตอนนี้ดีแล้ว องค์ชายรองพ่ายแพ้กลับมา อำนาจทหารก็กลับมาอยู่ในมือของนายท่านอีกครั้งมิใช่หรือ
ทว่าองค์ชายใหญ่หลี่หยวนเผิงกลับไม่รีบไม่ร้อน “รออีกหน่อย” เขาไม่รีบ เขาไม่รีบแม้แต่นิดเดียว มีสิทธิ์อะไร เขาเป็นคน ไม่ใช่สุนัขที่รู้จักแต่เนื้อแต่กระดูกเสียหน่อย
เสิ่นเวยเก็บตัวอยู่ในห้องอุ่นๆ เล่นหมากล้อมกับสวีโย่ว ห้องของนางผ่านการปรับเปลี่ยนเป็นพิเศษ ในชั้นที่สองของผนังรอบด้านต่างก็ก่อกำแพงไฟไว้ บนพื้นปูพรมหนาๆ หนึ่งชั้น อุ่นยิ่งนัก! นางสวมเสื้อสองชั้นอยู่ในห้องก็ไม่รู้สึกหนาว
เถาฮวาหอบฟูกผ้าห่มมาไว้ในห้องนางแล้ว เห็นอยู่ว่ามีเตียงแต่นางก็ไม่นอน ชอบนอนบนพรม เหมือนสุนัขพันธุ์ปั๊ก เสิ่นเวยเห็นแล้วก็อยากกระโดดโลดเต้นกับนางบนพรม
“สองวันนี้ยุ่งอะไรอยู่หรือ” สวีโย่ววางหมากไปพลางถามไปพลาง
ตั้งแต่ที่นำกองทหารเด็กกลับมาจากป่า เด็กน้อยก็ขังตัวเองอยู่ในห้องไม่ออกมา กินข้าวก็ให้
เถาฮวายกเข้าไปให้ แปลกยิ่งนัก ไม่รู้เหมือนกันว่าวางแผนอะไรอีก
ถึงแม้เด็กน้อยจะวางแผนชั่วร้ายเขาก็ไม่ได้สนใจ ช่วงเวลาสำคัญนางฆ่าคนเขาก็เต็มใจจะยื่นดาบอยู่ข้างๆ แต่นึกไม่ถึงว่าเด็กน้อยคนนี้จะไม่ยอมเจอแม้แต่เขา กลายเป็นว่าได้ทรัพย์สินส่วนตัวไปแล้วก็ถีบหัวส่งเขาเลยหรือ เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง
เสิ่นเวยหาว “ข้าจะยุ่งอะไรได้ ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเรื่องนั้น” ทนมาสองคืนแล้ว เสิ่นเวยง่วงอย่างยิ่ง แต่คุณชายใหญ่สวีคนโรคจิตผู้นี้ก็ยืนกรานจะเล่นหมากล้อมกับนางให้ได้
วางหมากหาย่าเจ้าสิ! ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนโบราณจะชอบกิจกรรมนี้อะไรขนาดนี้ เปลืองเซลล์สมองจริงๆ ฆ่าเวลาอย่างไรล่ะ ยังคงเป็นสวีโย่วที่ใช้ความผ่อนคลายสบายใจเป็นมาตรฐานหลัก
เสิ่นเวยวางหมากดีอย่างยิ่ง ทว่าแต่ไหนแต่ไรนางไม่ชอบกิจกรรมนี้ แต่หลังจากนี้นางยังมีเรื่องที่ต้องขอความช่วยเหลือจากสวีโย่ว จึงทำได้เพียงฝืนเล่นเป็นเพื่อนเขาพักหนึ่ง
มือที่คีบหมากของสวีโย่วหยุดชะงัก เรื่องเล็กน้อยเรื่องนั้นงั้นหรือ ใครจะรู้ว่าที่นางพูดหมายเรื่องอะไร อย่างไรเสียเรื่องเล็กน้อยของนางก็มีเยอะ เขาไม่ได้มีความคิดจิตใจเชื่อมถึงกันเสียหน่อย
“เฮ้อ แพ้แล้วๆ ไม่เล่นแล้ว ข้าง่วงจะตายอยู่แล้ว ขอนอนก่อน” เสิ่นเวยหยิบหมากขึ้นชนปากกระบอกปืนของสวีโย่ว ฮะฮ่า ชั่วขณะก็บาดเจ็บล้มตายเป็นวงกว้าง เสิ่นเวยยอมแพ้อย่างมีความสุข มือเล็กๆ วางลง ขาดแค่หยิบผ้าเช็ดหน้าก็สามารถส่งสวีโย่วออกไปด้วยความดีใจได้แล้ว
สวีโย่วเห็นความกลัดกลุ้มในแววตาของเสิ่นเวย ยังคงสงสัยอยู่จริงๆ “เจ้าทำอะไรกันแน่” เหตุใดถึงทำให้ตัวเหนื่อยล้าเช่นนี้
“ท่านดูเองเถอะ อ่านเสร็จแล้วก็ปิดประตูห้องข้าด้วย” เสิ่นเวยหาวพลางเดินไปที่เตียงเตาผิง นางเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบังสวีโย่วจริงๆ อย่างไรเสียไม่ช้าไม่เร็วเขาก็ต้องรู้ เพียงแต่ตอนนี้นางง่วงเกินไป เช่นนั้นก็ให้เขาไปอ่านเองเถอะ
สวีโย่วหยิบกระดาษหลายแผ่นบนโต๊ะขึ้นมา ในกระดาษเขียนเต็มไปด้วยอักษรตัวเล็กแน่นขนัด อีกทั้งยังวาดรูปไว้อีกด้วย เมื่อเขาอ่านจบ สายตาที่มองไปบนเตียงเตาผิงก็ซับซ้อน
ที่แท้แล้วเรื่องเล็กน้อยที่นางวางแผนก็คือการฝึกซ้อมต่อของกองทหารเด็กนี่เอง! แผนฉบับนี้วางได้อย่างละเอียดรอบคอบอย่างยิ่ง ไม่รู้จริงๆ ว่าสมองเล็ก ๆ นั่นของนางคิดออกมาได้อย่างไร เขาเองก็ควรลอกไปฝึกทหารลับในภายหลังด้วยดีหรือไม่
เสิ่นเวยนอนเต็มอิ่มแล้วก็มีชีวิตชีวาอีกครั้ง ส่วนการทดสอบครั้งที่สองของกองทหารเด็กก็ได้เอ่ยถึงกำหนดการแล้ว คราวนี้ระดับความยากเพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่หลังจากที่เสิ่นเวยบอกเนื้อหาและเงื่อนไขในรายละเอียดแล้ว กองทหารเด็กต่างก็โห่ร้องดีใจขึ้นมา
ดียิ่งนัก อิจฉาทหารชายแดนที่สามารถลงสนามรบฆ่าศัตรูได้มานานแล้ว ตอนนี้ดีแล้ว ในที่สุดคุณชายสี่ก็อนุญาตให้พวกเขาได้เห็นเลือดสักหน่อยแล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่เลือดของทหารซีเหลียง แต่ก็ดีกว่าไม่ได้เห็นเลย!
เสิ่นเวยตกตะลึงกับการตอบสนองของกองทหารเด็ก อายุยังน้อยก็กระหายการฆ่าฟันเช่นนี้แล้ว ไม่ชอบความสงบสุขเช่นนี้ได้อย่างไร หรือว่าในสายเลือดของบุรุษล้วนมีส่วนประกอบของความเ**้ยมโหดอยู่ ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อยก็ตาม
ใช่แล้ว ถูกต้อง แผนการการทดสอบที่เสิ่นเวยคิดมาตลอดหลายคืนก็คือการปราบโจร
โจรภูเขาละแวกเมืองชายแดนล้วนถูกเสิ่นเวยนำคนไปทำลายหมดแล้ว ไม่มีทางก็ทำได้เพียงค้นหาในที่ไกลๆ ผ่านการสืบค้นของทหารลับ บนเขาลูกหนึ่งที่ห่างจากเมืองชายแดนสองร้อยลี้มีรังโจรอยู่หนึ่งแห่ง โจรค่อนข้างเยอะ ประมาณแปดร้อยคน หน้าที่ของกองทหารเด็กคือปราบโจรรังนี้เสีย
ดูสิ ระดับความยากเพิ่มขึ้นแล้วใช่หรือไม่ อีกทั้งยังเพิ่มขึ้นมากอย่างยิ่ง
อันดับแรก โจรภูเขารังนี้ไม่อยู่ภายในขอบเขตอำนาจของท่านเสิ่นโหว กองทหารเด็กข้ามเขตปราบโจรต้องก่อให้เกิดความไม่พอใจจากกลุ่มอำนาจอื่นๆ การปราบโจรครั้งนี้จะนำมาซึ่งปัญหาแน่นอน
ตามเจตนาของเสิ่นเวย ‘ให้พวกเขาไปเงียบๆ กลับมาเงียบๆ พยายามไม่ดึงดูดความสนใจของกลุ่มอำนาจอื่นๆ’
แต่จะทำให้ได้เช่นนี้ไหนเลยจะง่ายเพียงนั้น พวกเขาสามร้อยกว่าคน ไม่ใช่คนเดียว ไหนเลยจะไม่ดึงดูดความสนใจคนอื่นได้ อีกทั้ง จะปราบโจรก็จำต้องฆ่าฟันมิใช่หรือ จะไม่เกิดการเคลื่อนไหวเลยได้อย่างไร
ข้อสอง จากเมืองชายแดนไปยังรังโจรเป็นระยะทางสองร้อยกว่าลี้ การเคลื่อนพลเป็นปัญหาใหญ่ ออกเดินทางเมื่อไร จัดเส้นทางเดินอย่างไร จะหลีกเลี่ยงความสนใจจากกลุ่มอำนาจอื่นๆ อย่างไร เรื่องเหล่านี้ต้องตรึกตรองให้ได้
สุดท้ายก็เป็นข้อที่กดดันที่สุด โจรมีแปดร้อยคน กองทหารเด็กมีไม่ถึงสี่ร้อยคนด้วยซ้ำ จำนวนคนเป็นครึ่งหนึ่งของพวกเขา โจรล้วนแต่เป็นชายร่างใหญ่กำยำที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว กองทหารเด็กยังเป็นเด็กที่โตไม่เต็มวัยอยู่เลย ต่อสู้กับพวกเขาแล้วจะชนะหรือ จะถูกคนอื่นปราบกลับมากกว่ากระมัง
“ตั้งแต่การกำหนดเส้นทางการเคลื่อนทัพ ไปจนถึงหน้าที่ปราบโจรให้สำเร็จด้วยวิธีที่ยอดเยี่ยม และกลับมาอย่างปลอดภัย ทั้งหมดให้พวกเจ้าคิดกันเอง นับแต่นี้ไปข้าจะดูอย่างเดียว ไม่ออกความคิดเห็นใดๆ” เสิ่นเวยกล่าวอย่างเข้มงวด “ให้เวลาพวกเจ้าปรึกษาครึ่งชั่วยาม ครึ่งชั่วยามให้หลังพวกเราออกเดินทางตรงเวลา จำไว้ พวกเจ้าเป็นกลุ่มเดียวกัน เป็นกลุ่มเดียวกัน!” แขนของเสิ่นเวยวาดอยู่กลางอากาศอย่างหนักแน่น ความจริงแล้วกำลังเตือนสติพวกเขาอยู่ ‘ในสนามรบ แต่ไหนแต่ไรวีรบุรุษไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือการรวมพลังสู้ศึก’
เสิ่นเวยยังคงใช้กลยุทธ์ทหารลับเปิดทางและคุ้มกันเส้นทาง นางพาทหารลับไปทั้งหมดยี่สิบคน บวกกับอีกยี่สิบคนที่นางยืมตัวมาจากท่านปู่ จึงมีทั้งหมดสี่สิบคน
คนสี่สิบคนจะดูแลคนสามร้อยกว่าคนหมดได้อย่างไร นางยังหวังว่าจะปกป้องชีวิตของกองทหารเด็กไว้ได้อย่างสุดความสามารถ แม้ว่าจะสอบตก นางก็ยังหวังว่าพวกเขายังมีชีวิตกลับไปหาพ่อแม่ได้ เช่นนี้แล้วจะไม่ยืมกำลังคนจากสวีโย่วได้อย่างไร พบครั้งแรกแปลกหน้าพบอีกครั้งก็คุ้นเคย อย่างไรเสียนางก็ยืมจนชินแล้ว
เสิ่นเวยคิด หากการทดสอบปราบโจรครั้งนี้พวกเขาสามารถผ่านด่านทั้งหมดได้ เช่นนั้นศึกครั้งหน้าพวกเขาก็มีคุณสมบัติเข้าร่วมแล้ว มีเพียงผู้ที่มีชีวิตรอดจากบททดสอบที่ดุเดือดรุนแรงในสนามรบจึงจะเป็นยอดฝีมือ!
เผชิญหน้ากับหน้าที่ที่ลำบากเช่นนี้ กองทหารเด็กไม่มีใครถอยหลังแม้แต่คนเดียว พวกเขาขมวดคิ้วมุ่น แบ่งกลุ่มสามถึงห้าคนรวมหัวศึกษาข้อมูลที่มีจำกัด หัวหน้าแต่ละกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างรวดเร็ว ร่วมแรงกันกำหนดแผนการที่พอจะเป็นไปได้ พวกเขาเข้าใจคำพูดของคุณชายสี่เป็นอย่างดี คำพูดประโยคนี้ติดตามอยู่ในขั้นตอนการฝึกซ้อมทั้งหมดของพวกเขา ‘พวกเขาเป็นกลุ่มเดียวกัน ตั้งแต่วันนั้นที่เข้าจวนโหวพวกเขาก็คือกลุ่มเดียวกัน’
หนึ่งคนร่วงทุกคนล่ม หนึ่งคนโรจน์ทุกคนรุ่ง
ตอนที่ 173-1 เด็กน้อยผู้เจิดจรัส
กองทหารเด็กตั้งขบวนทัพเรียบร้อยออกจากประตูเมืองด้วยความเป็นระเบียบ มีทหารชายแดนที่เฝ้าประตูเมืองสะกิดเพื่อนทหารอย่างสงสัย “ทหารเด็กน้อยกลุ่มนี้จะไปไหนกัน”
“ทหารเด็กน้อยหรือ” เพื่อนทหารหันกลับไปมองอย่างดูถูก “อย่ามองว่าพวกเขาอายุน้อย นี่เป็นกลุ่มคนที่คุณชายสี่ฝึกฝนออกมากับมือ เก่งอย่างยิ่ง ไม่กี่วันก่อนออกประตูเมืองไปเที่ยวหนึ่ง ท่าทางเคร่งขรึมนั้น จุ๊ๆ แม้แต่ท่านโหวของพวกเรายังชื่นชมเลย”
“มีเรื่องอะไรๆ รีบพูดมา!” ทหารชายแดนตัวผอมๆ คนนี้รีบไต่ถามเพื่อนทหาร “พี่ชาย ข้าเพิ่งมารับหน้าที่นี้ไม่ใช่หรือ ไหนเลยจะรู้เรื่องนี้”
เพื่อนทหารจึงเล่าที่มาของกองทหารเด็กหนึ่งรอบด้วยความพอใจอย่างถึงที่สุด ไม่กี่วันก่อนออกจากเมืองไปทำอะไร ท้ายที่สุดก็กล่าวด้วยความอิจฉา “หากข้าได้ไปฝึกฝนใต้บังคับบัญชาคุณชายสี่บ้างก็คงจะดี” เงินเดือนไม่ต้องพูดถึง สิ่งสำคัญก็คือสามารถปกป้องชีวิตได้! ไม่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาคุณชายสี่เหล่านั้นหรือ แต่ละคนดูแล้วก็ไม่ได้อายุมากไปกว่าเขา แต่พวกเขาเข้าๆ ออกๆ สนามรบโดยไม่เสียไปแม้แต่คนเดียว
นี่ก็คือความสามารถ ท่ามกลางวิกฤติที่ยากจะคาดเดาการมีความสามารถที่เก่งกล้าปกป้องชีวิตได้จึงจะถูกต้อง
เสิ่นเวยกับสวีโย่วนำคนไปยังสถานที่เป้าหมายก่อน ภูเขาที่ตั้งอยู่ในเขตเฮยผิงลูกนี้มีชื่อไพเราะ ชื่อว่าเขาเฟิ่งหวง เกิดจากเขาเล็กๆ เจ็ดลูกก่อตัวขึ้นมา ครองพื้นที่กว้างขวางอย่างถึงที่สุด ทอดยาวเกินร้อยลี้
สถานการณ์ของกองทหารเด็กส่งมาถึงมือเสิ่นเวยผ่านทหารลับอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เมื่อออกจากเขตเมืองชายแดนแล้วพวกเขาก็หมอบซุ่มทันที เปลี่ยนเป็นเข้าป่าพักผ่อนตอนกลางวัน เดินทางตอนกลางคืน เช้าวันที่สามพวกเขาก็ไปถึงที่ราบที่โอบล้อมด้วยภูเขาแห่งหนึ่งซึ่งห่างจากเขาเฟิ่งหวงประมาณห้าลี้แล้ว
เสิ่นเวยได้ยินทหารลับรายงานว่าพวกเขายังส่งกลุ่มเล็กสองกลุ่มปลอมตัวไปสืบสถานการณ์ นางก็ยิ้ม โอ้โห พวกเด็กน้อย มีแผนสกปรกไม่น้อยเลย! นางยิ่งตั้งตารอท่าทีต่อไปของพวกเขา
“หัวหน้าใหญ่ หัวหน้าใหญ่ ตีนเขามีไก่อ่อนอยู่ตัวหนึ่ง” ลูกน้องชื่อโหวจื่อผู้หนึ่งเข้ามารายงานด้วยสีหน้าดีใจทั้งใบหน้า
เซี่ยงอวิ๋นเทียนหัวหน้าใหญ่โจรภูเขาเฟิ่งหวงตื่นเต้นขึ้นมาในชั่วขณะ “รีบว่ามา” อากาศหนาวเหน็บ บวกกับซีเหลียงโจมตีชายแดน สามเดือนติดต่อกันอย่าว่าแต่กลุ่มพ่อค้า แม้แต่คนเดินถนนยังไม่เห็นแม้แต่เงา หากยังไม่เริ่มทำอะไรอีกก็คงจะต้องอดตาย
โหวจื่อรีบกล่าว “เป็นคุณชายลูกเศรษฐี อายุไม่มาก ผู้น้อยคิดว่าน่าจะประมาณสิบสี่สิบห้าปี พาบ่าวรับใช้มาด้วยสองคน คุณชายผู้นี้หนีออกจากบ้าน ผู้น้อยตามพวกเขามาตลอดทาง ได้ยินว่าเพราะไม่พอใจการสมรสที่ครอบครัวหมั้นหมาย และฟังว่าซีเจียงเกิดสงคราม ด้วยความอารมณ์ร้อนจึงวิ่งมาสมัครทหารที่ซีเจียง อยากสร้างคุณูปการทหารเพื่อให้คนในครอบครัวได้มองเขาใหม่ จุ๊ๆ ช่างไม่รู้ฟ้าสูงดินต่ำจริงๆ ร่างเล็กๆ ที่อ่อนแอเปราะบางราวกับไก่อ่อนของเด็กน้อยผู้นั้น ยังกล้าคิดจะสร้างคุณูปการทหาร ไม่ถูกทหารซีเหลียงแทงตายก็น่าแปลก”
โหวจื่อเหยียดหยามอย่างถึงที่สุด เขาตามนายบ่าวสามคนนี้ไปตลอดทาง เห็นพฤติกรรมกินดีอยู่ดีของคุณชายลูกเศรษฐีผู้นั้นชัดเจน อยู่ชานเมืองกันดานนี้แล้วยังมีของให้กินก็ไม่เลวแล้ว แต่เด็กรับใช้ตรงหน้ายื่นหมั่นโถวสีขาวไปให้ คุณชายผู้นั้นก็กัดเพียงคำเดียวจากนั้นก็คายออกมา ตะโกนลั่นอยากกิน
สุ่ยจิงเกา[1] แม้เขาจะไม่รู้ว่าสุ่ยจิงเกาคืออะไร แต่ฟังจากชื่อก็พอจะทำให้เขาน้ำลายสอแล้ว
“หัวหน้าใหญ่ ท่านไม่เห็น เด็กคนนั้นสวมชุดผ้าไหมทั้งร่าง เพียงแค่จี้หยกชิ้นนั้นที่ห้อยอยู่บนเอวก็รู้แล้วว่าราคาเท่านี้” โหวจื่อยื่นมือบอกตัวเลข “ยังมีปิ่นหยกอันนั้นที่ปักอยู่บนศีรษะ แหวนหยกที่มือ ซ้ำบ่าวรับใช้ยังแบกห่อผ้าหนึ่งใบใหญ่ คาดว่าข้างในน่าจะมีเงินอยู่ไม่น้อย”
“จริงหรือ” ดวงตาของหัวหน้าใหญ่เป็นประกายสามส่วน เพียงแค่จี้หยกก็มีราคาถึงแปดร้อยตำลึงแล้ว ต่อให้ในห่อผ้าจะไม่มีของที่มีราคา ก็ยังคุ้มค่าอยู่ดี
โหวจื่อตบเข่าฉาดกล่าว “หัวหน้าใหญ่ไม่เชื่อสายตาโหวจื่อหรือ ผู้น้อยเคยดูผิดที่ไหนกัน”
“นั่นก็จริง” สายตาที่หัวหน้าใหญ่มองโหวจื่อยังคงเชื่อใจ ตอนที่ยังไม่ได้ขึ้นเขาโหวจื่อผู้นี้ก็ถวายตัวแลกเงิน สายตาเฉียบแหลม “ตอนนี้ไก่อ่อนนั่นอยู่ไหนแล้ว”
โหวจื่อครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วกล่าว “คาดว่าตอนนี้น่าจะใกล้ถึงตีนเขาพวกเราแล้ว” อันที่จริงคุณชายลูกเศรษฐีผู้นั้นทนทรมานอย่างยิ่ง เดินไปไม่ถึงครึ่งลี้ก็ร้องขอหยุดพัก พักครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาสองเค่อ ทั้งยังร้องตะโกนให้บ่าวรับใช้แบกเขาไม่หยุด สบายใจจริงๆ หากเขาเป็นบ่าวรับใช้คงจะโยนคุณชายผู้นั้นทิ้งแล้วขโมยเงินวิ่งหนีไปนานแล้ว
“ได้ เจ้ารีบนำคนไปเถอะ พาคนลงเขาให้มากกว่าสองคน” หัวหน้าใหญ่ออกคำสั่ง เขาคาดการณ์ว่าบ่าวรับใช้สองคนนั้นน่าจะเป็นยุทธ์ มิเช่นนั้นคงจะไม่อาจคุ้มกันคุณชายมาถึงที่นี่ได้
โหวจื่อนำคนเจ็ดแปดคนลงเขา ซ่อนอยู่ในที่อำพรางมองไปบนถนน เอ๋ บังเอิญจริงๆ นายบ่าวสามคนนั้นก่อนหน้านี้กำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่บนหินข้างทางพอดี
คณชายลูกเศรษฐีที่สวมชุดหรูผู้นั้นกำลังกินเนื้อแห้งไปพลางต่อว่าบ่าวรับใช้ที่คุกเข่านวดเท้าให้เอยู่ไปพลาง “เจ้าไม่ได้กินข้าวหรือไร แรงแค่นี้จะมีประโยชน์อะไร โอ๊ย เจ้าออกแรงขนาดนี้ทำไม คิดจะบีบข้าให้ตายหรือ ไร้ประโยชน์จริงๆ แม้แต่นวดเท้ายังทำไมได้ หากรู้อย่างนี้ข้าคงเอาเอ้อร์โก่วจื่อมาแทน ไสหัวไปเสีย” เขาถีบบ่าวรับใช้ที่คุกเข่าอยู่ออกไปข้างๆ
บ่าวรับใช้สองคนนี้มองดูแล้วท่าทางสิบเอ็ดสิบสองปี ถูกคุณชายถีบก็ไม่โกรธ ยังหัวเราะเจื่อน เมื่อมองดูก็รู้ว่าสมองไม่ค่อยปราดเปรียวนัก
ต่อมาเขาก็เริ่มด่าทอบ่าวรับใช้อีกคน “ข้านำเงินมามากมายเพียงนี้ แต่เจ้าให้ข้ากินแค่นี้หรือ นี่เรียกว่าเป็นเนื้อแห้งได้ด้วยหรือ กลิ่นเหม็นคาว ทั้งยังแข็งเหมือนหิน เจ้าคิดจะทำให้ฟันข้าหลุดหมดหรือไร เจ้าว่าข้าโชคร้ายเพียงนั้นได้อย่างไร บ่าวฉลาดๆ ทั้งจวนเหตุใดข้าถึงเลือกพวกเจ้าสองคนนี้ น่าโมโหจริงๆ”
“คุณชาย พวกเรามีเงินก็จริง แต่ป่าเขาชานเมืองเช่นนี้ บ่าวจะไปหาอาหารที่ไหนมาให้ท่านได้ คุณชายยอมผ่อนปรนสักหน่อยเถิด” บ่าวรับใช้กล่าวขอร้องด้วยใบหน้าขมขื่น “คุณชาย พวกเรากลับกันเถอะ! ตอนนี้นายท่านกับฮูหยินคงจะร้อนใจแย่แล้ว ฟังว่าทหารซีเหลียงโหดเ**้ยม คุณูปการทหารไหนเลยจะสร้างง่ายเพียงนั้น พวกเรากลับกันดีหรือไม่”
“บัดซบ!” คุณชายลูกเศรษฐีโมโหในชั่วพริบตา ยกมือตบบ่าวรับใช้ผู้นี้ทันที “ต่อให้ทหารซีเหลียงจะน่ากลัว คุณชายของเจ้าก็ร่ำเรียนทั้งบุ๋นทั้งบู๊จนชำนาญตั้งแต่เล็ก จะกลัวทหารซีเหลียงเล็กๆ ได้อย่างไร ท่านพ่อท่านแม่เอาแต่ยุ่งเรื่องนู้นเรื่องนี้ทั้งวันน่ารำคาญจะตายอยู่แล้ว ยังคิดจะยกนางเสือตระกูลหลิวผู้นั้นให้ข้าอีก ไม่มีทางเสียหรอก!”
โหวจื่อกับและคนที่เขาพามาเห็นฉากๆ นี้ก็ถลึงตาโต ให้ตายเถอะ นี่มันคุณชายตระกูลใด เหตุใดถึงโง่เพียงนั้น เพียงแค่เดินทางยังต้องให้คนอื่นนวดเท้ายังมีหน้ามาพูดว่าชำนาญบุ๋นบู๊อีกหรือ หากเขาชำนาญบุ๋นบู๊ข้าก็คงเป็นเทวดาบนโลกมนุษย์แล้ว
กลิ่นหอมของเนื้อแห้งพัดเข้ามาในสายลม คนหลายคนกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ เนื้อแห้งสกปรกที่ถูกคุณชายลูกเศรษฐีโยนทิ้งชิ้นนั้น ในสายตาของพวกเขากลับเป็นอาหารรสเลิศที่หาได้ยาก มารดาเขาสิ ฤดูหนาวนี้หาผลกำไรได้ไม่ดี พวกเขาแทบจะไม่มีอะไรตกถึงท้องแล้ว
โหวจื่อและคนอื่นๆ ส่งสายเป็นนัย ไก่อ่อนตัวใหญ่ตัวหนึ่งเช่นนี้ ไม่อาจปล่อยไปได้
เผชิญหน้ากับโจรที่วิ่งออกมากะทันหัน บ่าวรับใช้ตกใจอย่างยิ่ง ก้าวขึ้นไปข้างหน้าจะปกป้องคุณชายของตนไว้ข้างหลัง ใครจะรู้คุณชายผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่กลัว ซ้ำยังมีสีหน้าดีใจทั้งใบหน้า “ไอหยาๆ โจรชั่วจากไหนกัน กินหมัดข้าดูสักตั้ง” เขาแกว่งหมัดวิ่งเข้าไปทันที
โจรหลายคนเห็นคุณชายผู้นี้ท่าทางโง่เขลา ในแววตาก็เต็มไปด้วยความสงสาร
“โอ๊ย เจ็บ!” เสียงร้องโอดครวญราวกับหมูถูกเชือดดังขึ้นมา หมัดคุณชายลูกเศรษฐีผู้นั้นยังไม่ทันต่อยออกไปก็ถูกโหวจื่อคว้าแขนไว้ ทั้งดึงทั้งบิด จับไว้ในมือราวกับลูกไก่ตัวเล็กๆ
“คุณชาย!” บ่าวรับใช้ตกใจหน้าถอดสี คิดจะตีแต่กลับเป็นห่วงคุณชายที่อยู่ในมือคนอื่น
“โอ๊ย โอ๊ย ข้าเจ็บนะ พวกเจ้าโจรชั่วเหล่านี้รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้น…โอ๊ย…” คำขมขู่ยังไม่ทันจะออกจากปาก โหวจื่อก็ออกแรง คุณชายลูกเศรษฐีก็สั่นไปทั้งร่างร้องโอดครวญ
โจรคนอื่นวิ่งเข้ามาดึงจี้หยก แหวนหยกและเครื่องประดับมีค่าต่างๆ บนร่างคุณชายลูกเศรษฐีแล้ว แย่งห่อผ้าในอกบ่าวรับใช้มาแล้วเช่นกัน เป้าหมายังเบนไปอยู่ที่ชุดผ้าไหมที่อบอุ่นและสวยหรูของเขา คล้ายชั่วขณะก็จะเปลื้องผ้าเขาแล้ว
คุณชายลูกคุณเศรษฐีเห็นท่าไม่ดี นี่มันจังหวะถึงแก่ชีวิตแล้ว! รีบตะโกนกล่าว “พวกเจ้าแค่ต้องการเงินมิใช่หรือ ในบ้านข้ามีเงินเยอะ พวกเจ้าอย่าฆ่าข้า พ่อข้าจะนำเงินกำใหญ่มาให้พวกเจ้า ข้าเป็นลูกคนเดียวในบ้าน พ่อข้าจะต้องช่วยข้าแน่นอน”
โจรหลายคนดีใจในชั่วขณะ ลูกคนเดียวหรือ ลูกคนเดียวก็สิ! พวกเขาชอบลูกคนเดียวที่สุด เด็กคนนี้ยังเข้าใจสถานการณ์จริงๆ ดูจากเครื่องประดับและตั๋วเงินตำลึงกว่าพันใบในห่อผ้าของเขานี้ ที่บ้านจะต้องเป็นมหาเศรษฐีแน่นอน เรื่องเช่นการจับตัวเรียกค่าไถ่นี้ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยทำ ไปๆ พาขึ้นเขา
[1] สุ่ยจิงเกา เป็นของว่างที่มีลักษณะใสคล้ายวุ้น
ตอนที่ 173-2 เด็กน้อยผู้เจิดจรัส
โหวจื่อนำผลกำไรจากการปล้นมาพบหัวหน้าใหญ่แล้ว “หัวหน้าใหญ่ เด็กนั่นเป็นคนโง่ กลายเป็นเนื้อบนเขียงพวกเราแล้วยังกล้าโวยวาย ผู้น้อยโยนเขาไว้ในห้องเก็บฟืนแล้ว ให้เขาตั้งสติสักหน่อยจะได้รู้ถึงความน่ากลัวของพวกเรา”
เซี่ยงอวิ๋นเทียนหัวหน้าใหญ่มองเห็นตั๋วเงินก็มีความสุขอย่างถึงที่สุด หยิบตั๋วเงินย่อยประมาณสามตำลึงหนึ่งใบในนั้นให้โหวจื่อ กล่าวชม “ทำได้ไม่เลว” เขาหยุดครู่หนึ่งจึงกล่าว “เด็กนั่นบอกหรือไม่ว่าบ้านอยู่ไหน ส่งคนสองคนไปส่งจดหมายที่บ้านเขา อืม เขาเป็นลูกคนเดียวใช่หรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ควรเรียกสักสามถึงห้าหมื่นตำลึงมิใช่หรือ”
โหวจื่อรับเงินมาในใจก็เบิกบาน เมื่อได้ยินอีกว่าจะได้เงินที่มากเพียงนี้ ดวงตาก็ตะลึงงัน “ขอรับๆ ผู้น้อยจะไปเตรียมการ”
ทว่าหัวหน้าใหญ่กลับเรียกให้เขาหยุด “หาห้องให้เด็กคนนั้น อย่าเอาไว้ในห้องเก็บฟืน นี่เป็นของล้ำค่า เสียหายอะไรขึ้นมาจะไม่คุ้มกัน”
โหวจื่อคิดตาม ก็จริง! เด็กนั่นอ่อนแอเปราะบางไม่แน่ว่าอาจจะตายเพราะลมหนาวได้ หากคนตายก็จะแลกเงินมาไม่ได้ “ยังคงเป็นท่านหัวหน้าใหญ่ที่ละเอียดรอบคอบ” เขาประจบหัวหน้าใหญ่เล็กน้อย
คุณชายลูกเศรษฐีที่ถูกเปลี่ยนจากห้องเก็บฟืนมายังห้องข้างยังคงมีสีหน้าเหยียดหยัน เอ่ยวาจาไม่พอใจ “เหตุใดเตียงถึงแข็งเพียงนี้ ข้าจะนอนได้อย่างไร ยังมีชาแก้วนี้ ถุยๆๆ นี่มันใบชาอะไรกัน ใบไม้แห้งน่ะสิไม่ว่า โอ๊ย เหตุใดเก้าอี้ถึงเย็นเพียงนี้ เบาะเล่า เหตุใดถึงไม่รู้จักวางเบาะ หัวหน้าใหญ่พวกเจ้าเล่า ข้าอยากพบเขา ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่”
“คุณชายๆ” บ่าวรับใช้ทั้งสองของเขาสีหน้าเป็นทุกข์แทบจะร้องไห้แล้ว เจอเจ้านายที่ไม่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรเช่นนี้จะทำอย่างไรดี
บนใบหน้าโหวจื่อปรากฏความเหยียดหยาม “เจ้าเงียบหน่อย หวังว่าพ่อเจ้าจะเห็นความสำคัญเจ้าจริงๆ มิเช่นนั้นล่ะก็ หึๆ!” คนถูกเรียกค่าไถก็ต้องอยู่อย่างคนถูกเรียกค่าไถ ยังอยากพบหัวหน้าใหญ่ของพวกเขาอีก ฝันไปเถอะ!
โหวจื่อกลับหลังหันเดินออกไปแล้ว สามคนในห้องสบตากับปราดหนึ่ง คุณชายลูกเศรษฐีด่าทอดูถูกเรื่องนี้เรื่องนั้นต่อ กระทั่งเสียงฝีเท้าเดินออกไปไกลจึงหยุดลง
บ่าวรับใช้อายุน้อยเกาะประตูมองออกไปข้างนอกเงียบๆ เห็นว่าไม่มีคนจึงหันหลังกลับมาพยักหน้า ทั้งสามถอนหายใจพร้อมกัน ในที่สุดก็แฝงตัวขึ้นเขามาได้แล้ว
ถูกต้อง สามคนนี้ก็คือกองทหารเด็กที่ปลอมตัวมา คุณชายลูกเศรษฐีที่โง่เขลาย่อมต้องเป็น
ฟังจงหลี่ แม้ว่าเมืองชายแดนจะมีเงื่อนไขต่างกันเล็กน้อย แต่พ่อของเขาก็เป็นแม่ทัพ ซ้ำในครอบครัวเขาก็ยังเป็นลูกคนสุดท้อง การแสร้งเป็นคุณชายหยิ่งผยองเผด็จการและไม่รู้ประสายังคงเป็นเรื่องง่าย
บ่าวรับใช้สองคน คนหนึ่งคือหลี่จื้อ อีกคนหนึ่งชื่อเสี่ยวอู่ เดิมหลี่จื้อก็เป็นเด็กในครอบครัวยากจน แสดงเป็นบ่าวรับใช้ที่รู้ศิลปะการต่อสู้เล็กน้อยก็ไม่อาจทำให้คนสงสัยได้ เสี่ยวอู่ก็เป็นคนที่ซื่อเป็นแมวนอนหวด อย่าเห็นว่าเขามีหน้าตาไร้เดียงสา ความจริงแล้วปราดเปรียวอย่างยิ่ง
ฟังจงหลี่พยักหน้าให้ทั้งสอง หลังจากนั้นโจรสองคนที่คุ้มกันประตูเรือนก็ได้ยินเสียงดังในห้อง ตามมาด้วยบ่าวรับใช้ทั้งสองที่ร้องไห้หน้าเสียวิ่งออกมา เด็กน้อยผู้นั้นยังใช้มือกุมศีรษะ ดูก็รู้ว่าถูกตีมา
เมื่อเห็นโจรมอง หลี่จื้อก็กล่าวหน้าเศร้า “คุณชายข้าบอกว่าหงุดหงิด ไล่พวกข้าสองคนออกมา!”
โจรทั้งสองมองหน้ากันปราดหนึ่ง ในใจรู้สึกสงสาร เจอเจ้านายเช่นนี้ยังไม่สู้เป็นอิสระอย่างโจรเช่นพวกเขา
ด้วยเหตุนี้ช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งเค่อ โจรบนเขาเฟิ่งหวงก็รู้จักคุณชายโง่เขลาผู้ถูกจับมาบนเขาแล้ว บ่าวรับใช้ข้างกายคุณชายผู้นั้นน่าสงสาร อากาศหนาวแล้วยังถูกไล่ออกมาตากลมข้างนอกอีก
การเห็นใจคนอ่อนแอเป็นหลักทำนองคลองธรรมของมนุษย์ โจรเองก็ไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นคนทั้งสองที่น่าสงสารเดินเตร่ไม่มีที่จะไปก็ไม่ได้ทำให้ลำบากใจ
หลี่จื้อกับเสี่ยวอู่ดูเหมือนเดินเตร่ไปเรื่อย ทว่าความจริงแล้วกลับตั้งใจ เร็วอย่างยิ่งก็หาด่านการป้องกันการรุกรานและที่ซ่อนตัวบนเขาเจอหลายแห่ง
ตกเย็น เพราะว่ากลางวันหาเงินมาได้มากมายเพียงนี้ กลุ่มโจรก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง บวกกับตอนบ่ายล่าสัตว์ในเขามาได้จำนวนหนึ่ง พวกเขาจึงก่อกองไฟย่างเนื้อกินกลางลาน ดื่มสุราไปพลางกินเนื้อไปพลาง พูดคุยหัวเราะสนุกสนาน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสุราแรงไปหรือเพราะอะไร โจรในลานแต่ละคนจึงง่วงงุนขึ้นมา ร่างกายโซเซจากนั้นก็ล้มนอนลงบนพื้น วินาทีก่อนที่จะล้มลงไปยังคิดว่า สุราคืนนี้เข้มถึงใจจริงๆ
ยังมีโจรจำนวนมากที่ล้มลงเช่นเดียวกัน รวมถึงหัวหน้าสามของเขาเฟิ่งหวง พวกเขาต่างก็ฟุบอยู่บนโต๊ะ นอนหลับสนิทยิ่งนัก!
ในเงามืดหลี่จื้อกับเสี่ยวอู่สบสายตากันเล็กน้อย แอบดีใจเงียบๆ ไม่คิดว่ายานอนหลับที่หมอหลิวให้มาจะมีประโยชน์จริงๆ
ถูกต้อง ยาที่วางโจรหลายร้อยคนบนเขาเฟิ่งหวงก็คือฝีมือของสองคนนี้ เขาทั้งสองวางยาสลบที่มีฤทธิ์แรงไว้ในบ่อน้ำ ห้องครัว และกองไฟ โดยเฉพาะในกองไฟ ควันสามารถลอยออกไปไกลตามลมได้ ขอเพียงแค่ดมก็อย่าหวังว่าจะรอด
โจรแปดร้อยคนย่อมไม่อาจถูกวางยาทั้งหมดได้ ที่เหลืออยู่ก็ไม่เป็นไร ไม่เห็นหรือว่าสัญญาณก็ส่งออกไปแล้ว ตั้งแต่ตีนเขาก็มีคบไฟสว่าง กองทหารเด็กชูคบไฟเริ่มล้อมเขาไว้เงียบแล้วๆ
มุ่งขึ้นเขาทีละก้าวๆ ประหนึ่งสางผม
โจรบนเขาที่ยังมีสติย่อมพบความผิดปกติแล้ว กว่าจะเข้าไปในห้องของหัวหน้าใหญ่ได้ก็พบว่าคุณชายโง่เขลาที่จับขึ้นมาตอนกลางวันผู้นั้นกำลังถือกริชแทงเข้าไปบนร่างหัวหน้าใหญ่ด้วยสีหน้าดุร้าย หัวหน้าใหญ่ที่น่าสงสารของพวกเขายังไม่ทันได้ร้องก็สิ้นชีพแล้ว ที่เสียชีวิตเหมือนกันยังมีหัวหน้ารองหัวหน้าสามที่ดื่มสุราอยู่กับหัวหน้าใหญ่
เมื่อฟังจงหลี่ได้รับสัญญาณก็วิ่งตรงมาหาหัวหน้าทั้งสาม จับโจรต้องจับหัวหน้า จัดการหัวหน้าสามคนนี้ก่อนจึงจะวางใจได้
โจรแปดร้อยคน อย่างน้อยก็ถูกวางยาไปแล้วครึ่งหนึ่ง ที่เหลืออยู่ กองทหารเด็กย่อมมีกำสังสู้ ยิ่งไปกว่านั้นยาสลบในกองไฟกระจายออกมา มักจะมีโจรสลบไปบ่อยครั้ง เจ้าถามว่าเหตุใดกองทหารเด็กถึงไม่เป็นไรงั้นหรือ นั่นก็เพราะว่าพวกเขาใช้ยาถอนพิษล่วงหน้าอย่างไรเล่า
แสงไฟและเสียงฆ่าผสานเป็นผืนเดียวกัน กองทหารเด็กเห็นคุณค่าของโอกาสฝึกฝนครั้งนี้มากอย่างถึงที่สุด ทุกคนต่างก็แย่งชิงอยากฆ่าโจรให้ได้เยอะๆ ฝึกความกล้าหาญและประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากับข้าศึก พวกเขานำทุกอย่างที่เรียนในช่วงนี้ออกมาใช้ทั้งหมด สงบอารมณ์ ต่อให้ในใจจะลนลานเพียงใดก็ต้องกัดฟันทน แม้ว่าจะหลับตาก็ต้องแทงดาบแทงกระบี่ในมือเข้าไปในอกโจร
แสงไฟตลอดทาง การเข่นฆ่าตลอดทาง
ตอนที่กองทหารเด็กขึ้นมาถึงบนเขา ฟังจงหลี่และคนทั้งสองก็กำลังถือดาบหั่นผักหั่นแตงอยู่ คนที่สลบไสลแต่ละคนนั้นจะต่างอะไรจากผักจากแตงกัน
กองทหารเด็กเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้ว ต่างก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้ ฟังจงหลี่กับหลี่จื้อเป็นคนที่มียุทธ์โดดเด่นที่สุดในกลุ่มพวกเขา แม้แต่เสี่ยวอู่ที่อายุน้อยคนนั้นก็ไม่ใช่เล่นๆ ทว่าตอนนี้กลับตกอยู่ในการฆ่า ‘คนตาย’ น่าอัดอั้นมิใช่หรือ
“ยิ้มอะไรกัน รีบมาช่วยเร็ว ที่เหลือก็เป็นของพวกเจ้าแล้ว คุณชายขอพักเสียหน่อย” ฟังจงหลี่จะไม่อัดอั้นได้อย่างไร บอกว่าจะฆ่าฟันมิใช่หรือ บอกว่าเป็นศึกใหญ่มิใช่หรือ เหลือคนเป็นคนตายเกลื่อนพื้นให้เขาหมายความว่าอย่างไร แม้ว่าเขาจะสังหารหัวหน้าสามคน แต่ก็ยังคงแก้ไขความจริงที่เขาอัดอั้นอย่างยิ่งไม่ได้
กองทหารเด็กลูบจมูกเข้าสู่การหั่นผักหั่นแตง คนมากแรงเยอะ เร็วอย่างยิ่ง โจรบนเขาเฟิ่งหวงก็หมดลมหายใจแล้ว
ขั้นต่อไปควรทำอะไร กองทหารเด็กยืนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรโลหิต บ้างก็ผ่อนคลายอย่างถึงที่สุด บ้างก็มีสีหน้าตื่นตระหนก บ้างก็หน้าขาวซีด แต่ทุกๆ คนล้วนแต่กำหมัดยืนหลังตรง
ตอนนี้พวกเขาเพิ่งจะเข้าใจว่าเหตุใดคุณชายสี่ถึงไม่อนุญาตให้พวกเขาลงสนามรบ เหตุใดคุณชายสี่มักจะเน้นย้ำว่าทหารที่ไม่เคยเห็นเลือดคนไม่ใช่ทหารที่แท้จริง! ฆ่าหมูกับฆ่าคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เผาให้หมดเถอะ!” มีคนเสนอ เผารังโจร เลี่ยงไม่ให้เกิดโจรขึ้นอีก
“ไม่ได้!” หลี่จื้อคัดค้านทันที “อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่ใช่อาณาเขตของพวกเรา เขาเฟิ่งหวงห่างจากเขตป้องกันเมืองเฮยผิงเพียงยี่สิบลี้ วางเพลิงเผาภูเขาจะดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้”
“ถูกต้อง วางเพลิงไม่ได้” ฟังจงหลี่เองก็เห็นด้วยกับความคิดของหลี่จื้อ “เขตป้องกันอยู่ใกล้เพียงนั้น โจรรังนี้บนเขาเฟิ่งหวงยังใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจเช่นนี้ จำนวนคนก็เยอะเพียงนี้ ที่นี่จะต้องมีลับลมคมในเป็นแน่ ไม่แน่ว่าอาจจะมีการสมรู้ร่วมคิดระหว่างกองทัพกับโจร พวกเรารีบถอยทัพจะดีกว่า”
ฐานะต่างกัน สายตาในการมองสถานการณ์ก็ต่างกัน หลี่จื้อคิดเพียงแค่ไม่อาจดึงดูดความสนใจของผู้อื่น แต่ฟังจงหลี่กลับคิดถึงกองทัพกับโจร กระทั่งการสมรู้ร่วมคิดของขุนนางกับโจร
ต่อให้หลี่จื้อจะฉลาด จะพยายามมากกว่านี้ ทว่ากลับถูกฐานะจำกัด เขาไม่ได้รับข้อมูลด้านนี้ ฟังจงหลี่ต่างออกไป เขาเกิดในตระกูลทหาร ตั้งแต่เล็กก็ได้ยินเรื่องในแวดวงขุนนางเหล่านี้อยู่เป็นประจำ
“หาคลังของพวกเขา เอาของที่ขนได้ไปให้หมด” เสี่ยวอู่กล่าว
คราวนี้กลับไม่มีคนคัดค้าน เพราะว่าคุณชายสี่สอนซ้ำๆ ว่า ‘การต่อสู้คือการสู้เพื่อเงิน เพื่อเสบียง ดังนั้นพวกเจ้าไปรบที่ใด สิ่งสำคัญอันดับแรกก็คือการแย่งวัตถุดิบ มีวัตถุดิบจึงจะมีรากฐานในการสู้รบต่อ’
แต่ของมากมายเพียงนี้จะขนกลับไปได้อย่างไร พวกเขาเร่งทัพเดินทาง ในมือไม่มีแม้แต่รถสักคัน รังโจรก็ไม่ได้มีรถเยอะเพียงนั้น ไม่อาจแบกกันไปคนละกระสอบได้กระมัง ดูท่าแล้วที่เตรียมมายังคงไม่พอ
ขณะที่กองทหารเด็กกำลังคิดทบทวน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่คุ้นเคยของคุณชายสี่ดังขึ้น ชั่วขณะทุกคนก็ประหลาดใจ เอ๋ คุณชายสี่มาแล้ว
“คุณชายสี่” หลังจากประหลาดใจแล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกอับอายหลายส่วน เดิมคิดว่าตัวเองเก่งมากแล้ว แต่ความเป็นจริงกลับต่อยหน้าพวกเขาอย่างแรง
เสิ่นเวยคลุมเสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำหนึ่งตัว ปรากฏตัวให้เห็นความองอาจผ่าเผยมากเป็นพิเศษ นางมองกองทหารเด็กที่นางสร้างขึ้นมากับมือ กล่าวเสียงดังกังวาน “แม้ว่าจะไม่พอ แต่โดยภาพรวมก็ไม่เลวเลย พวกเจ้าคิดอย่างมีหลักการไม่ได้ทำอย่างบุ่มบ่าม ข้าชื่นชมยิ่งนัก สำหรับการขนส่งเสบียง” นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้วกล่าว “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องร้อนใจ จางสง เฉียนเป้า ไปเถอะ”
หลังจากคำพูดของเสิ่นเวย ก็มีคนจำนวนมากก้าวออกมาจากไหนก็ไม่รู้ คนที่นำหน้าคืออาจารย์
จางสงกับอาจารย์เฉียนเป้ามิใช่หรือ ที่แท้แล้วลูกน้องของคุณชายสี่ก็มาช่วยด้วยเช่นกัน แต่คาดไม่ถึงว่าพวกเขาไม่สังเกตเห็นเลยแม้แต่นิดเดียว ดูท่าแล้วสิ่งที่พวกเขาต้องเรียนยังมีอีกเยอะ
สายลมยามราตรีพัดผ่าน ความปีติยินดีในชัยชนะผ่านพ้นไป ในอกกองทหารเด็กแต่ละคนต่างก็เข้าใจกระจ่าง ชนะไม่เหลิง แพ้ไม่ถอดใจ! ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามไม่อาจถูกชัยชนะทำให้สติเลอะเลือนได้ โดยเฉพาะต้องถ่อมตัวรอบคอบ ไม่อาจหยิ่งผยองทะนงตนได้
คุณชายสี่ใช้ความเป็นจริงมาสอนบทเรียนชีวิตให้พวกเขาอีกหนึ่งบท
เสิ่นเวยเห็นกองทหารเด็กตระหนักได้ถึงปัญหาแล้ว มุมปากก็ยกยิ้มน้อยๆ ด้วยความชื่นชม จุดเด่นยังคงต้องกล่าวยอมรับ “ปราบโจรครั้งแรกทำได้ขนาดนี้ก็ไม่เลวมากแล้ว ที่เหลือพวกเจ้าก็แค่ค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์ในการรบจริง หวังว่าพวกเจ้าจะสามารถเติบโตไปเป็นชายหนุ่มที่ทำให้ข้าภูมิใจได้ ไม่ใช่เด็กน้อยที่หนีทหารขี้ขลาด!” เสียงของเสิ่นเวยกังวานมีพลัง
“ปฏิบัติตามคำสอนของคุณชายขอรับ” เสียงกังวานดังก้องท้องฟ้ายามราตรี ตอนนี้ ในใจของทุกคนต่างก็ห้าวหาญฮึกเหิม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น