พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1722-1727

 บทที่ 1722 ตั้งป้ายรับสมัคร

 

ในตึกศาลา กาน้ำชาใสใบหนึ่งส่งกลิ่นหอม จินม่านเหมือนจะเคยชินกับการต้มน้ำชาที่นี่แล้ว นางยกถ้วยสุราจิบช้าๆ คอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของหยางชิ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบๆ


ในมือหยางชิ่งถือแผ่นหยกอันหนึ่ง กำลังตรวจอ่านอะไรบางอย่างด้วยสมาธิทั้งหมดที่มี หลังจากอ่านจบแล้ว เขาก็วางแผ่นหยกลงบนโต๊ะ แล้วหลับตาอมยิ้มอย่างชื่นมื่น ให้ความรู้สึกเหมือนผ่อนคลายยามได้ดื่มสุราชั้นดี


จินม่านวางถ้วยน้ำชาลง “ข่าวงานเลี้ยงวันเกิดพระตำหนักอุทยานที่หกลัทธิรวบรวมมาได้อยู่ที่นี่หมดแล้ว แต่จะจริงหรือเท็จก็ไม่รู้ ตามหลักแล้วบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ไม่น่าจะแพร่ข่าวได้เร็วขนาดนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเองอะไรกันแน่”


หยางชิ่งลืมตามองนางพลางยิ้มบางๆ “น่าจะเป็นประมุขชิงที่ปล่อยข่าว”


“หืม!” จินม่านงงเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน แล้วถามต่อว่า “ราชาปราชญ์คิดจะทำอะไรกันแน่?”


“รอดูเงียบๆ ก็พอ” หยางชิ่งกล่าว


“ดึงตัวทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนมาจากทัพเหนือใต้ออกตก ราชาปราชญ์จะเดิมพันชนะได้เหรอ? ถ้าแพ้ขึ้นมาเกรงว่าจะอันตรายถึงชีวิต พวกเราต้องเตรียมตัวรับมือหรือเปล่า” จินม่านลังเล


“ฮ่าๆ…” หยางชิ่งหัวเราะเบาๆ แล้วเงยหน้าดื่มน้ำชาหนึ่งอึกหมดถ้วย แล้วตบถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ จากนั้นเดินไปทอดสายตามองทะเลกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตที่ริมหน้าต่าง สีหน้าดูสุขสันต์หรรษา


จินม่านลุกขึ้นเดินเข้าไปหา มองเขาพร้อมถามว่า “หรือข้าพูดอะไรผิดไปเหรอ? ยังไม่ต้องพูดถึงกลุ่มขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์จะแอบขัดขวางหรือเปล่า ลำพังแค่สถานที่อย่างจวนแม่ทัพภาคตลาดผี กำลังพลเกรียงไกรของสี่ทัพจะถ่อไปทำลายอนาคตตัวเองทำไม?”


ในสายตาของหยางชิ่งที่ทอดมองไปไกลแฝงด้วยสง่าราศีและความล้ำลึก ยิ้มอย่างดีอกดีใจ “แพ้ไม่ได้หรอก! ขอเพียงราชาปราชญ์ผ่านด่านที่งานเลี้ยงวันเกิดได้ ก็เท่ากับเอาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ไม่แพ้แล้ว ต่อให้ขุนนางใหญ่ตำหนักสวรรค์จะขัดขวางอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ขัดขวางไม่ไหวเช่นกัน นอกเสียจากพวกเขาจะฆ่าราชาปราชญ์ทิ้งเสียเล ทว่าในเมื่อประมุขชิงลงมือแล้ว มีหรือที่จะทนดูราชาปราชญ์ประสบอันตราย? ไม่มีความกังวลตามมาแล้ว ทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนเป็นของที่อยู่ในกระเป๋าราชาปราชญ์แล้ว!”


“อ้อ!” จินม่านทั้งประหลาดใจทั้งไม่เข้าใจ “หมายความว่ายังไง?”


“ไม่ต้องใจร้อน อีกไม่นานก็จะรู้เอง ประมุขปราชญ์จินตั้งตารอดูก็พอ!” หยางชิ่งส่ายหน้ายิ้มเบาๆ สายตาที่มองไปยังที่ไกลๆ มีสง่าราศีเป็นพิเศษ


ถึงแม้เขาจะช่วยร่างทิศทางใหญ่ของเรื่องครั้งนี้ให้เหมียวอี้ตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าการลงมือทำโดยละเอียดทั้งหมดก็ยังต้องพึ่งพาเหมียวอี้ เขาไม่มีทางคาดเดาได้ว่าในงานเลี้ยงวันเกิดจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรบ้าง ดังนั้นตั้งแต่เหมียวอี้เริ่มไปที่อุทยานหลวง หัวใจเขาก็กังวลอยู่กับที่นั่นแล้ว เรียกได้ว่าอกสั่นขวัญแขวน รู้อย่างลึกซึ้งว่าถ้าพลาดนิดเดียว เหมียวอี้ก็จะตกอยู่ในภัยอันตรายที่เอาคืนไม่ได้ ได้แต่ฝากความหวังไว้กับความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของเหมียวอี้ เมื่อไปอยู่ตรงสถานที่นั้นแล้ว หกลัทธิก็ไม่มีทางช่วยอะไรเหมียวอี้ได้อีก


ทว่าตอนนี้เมื่อดูจากข่าวที่ได้มา ก็พบว่าเหมียวอี้แสดงความสามารถในงานเลี้ยงได้อย่างกล้าหาญ ละเอียดรอบคอบ สุขุมเยือกเย็น ความกล้าหาญยามเสี่ยงอันตรายลำพังกับทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่โดดเด่นทำให้หยางชิ่งสะท้อนใจที่สู้ไม่ไหว สำเร็จแล้ว! เขารู้ว่าแผนการนี้สำเร็จแล้ว!


สำหรับการเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาสามารถคาดเดาทุกอย่างได้แล้ว สายตาที่ทอดมองไปไกลอมยิ้มชัดเจน พลางพึมพำกับตัวเองว่า “การใหญ่ควรค่าแก่การเฝ้าคอย!”


“อะไรนะ?” จินม่านได้ยินไม่ค่อยชัด จึงเอ่ยถามเขา


หยางชิ่งดึงสติกลับมา เอียงหน้ามองนาง แล้วถามกลั้วหัวเราะเปลี่ยนประเด็นสนทนา “คนนั้นที่เป็นสายลับอยู่ที่ตำหนักสวรรค์เป็นใครกันแน่?”


จินม่านอึ้งไปชั่วขณะ เข้าใจแล้วว่าเขากำลังถามถึงอะไร นางส่ายหน้าตอบว่า “ไม่รู้สิ ตามหลักแล้ว จะมีแต่เขาที่ติดต่อมาหาพวกเราก่อน พวกเราไม่เคยเป็นฝ่ายติดต่อไปหาเขาเลย ไม่เคยรู้ว่าเป็นใคร”


หยางชิ่งจ้องนางครู่หนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถามคำถามนี้ เขามาอยู่ที่นี่นานแล้ว รู้เรื่องบางเรื่องแล้วเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นพวกจินม่านถูกคนผนึกไว้ในสถานที่แห่งหนึ่งแสนกว่าปี จนกระทั่งเหมียวอี้มาที่แดนอเวจีถึงได้หลุดพ้น ถึงแม้จินม่านจะไม่ยอมบอก แต่เขาก็พอจะเดาออกแล้วว่าเป็นฝีมือใคร หลังจากเขารู้ถึงศักยภาพของหกลัทธิที่เหลือรอดอยู่ที่นี่ ได้รู้ว่าอาศัยกำลังพลเท่านี้แต่สามารถโจมตีกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่ล้อมปราบจนถอยกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ไปหาคนที่เข้าร่วมศึกใหญ่ในปีนั้นแล้วทำความเข้าใจสถานการณ์รบในปีนั้น ก็รู้แล้วว่าหกลัทธิมีสายลับทางตำหนักสวรรค์คอยเปิดเผยแนวทางแก้ไขสถานการณ์ทางทหารให้ จึงสืบจากปากจินม่านเพื่อยืนยันว่ามีคนคนนั้นอยู่จริงหรือไม่


“ทำไม? เจ้าคิดว่าข้าโกหกหรอก?” จินม่านขมวดคิ้วมุ่น


หยางชิ่งส่ายหน้า แล้วมองไปนอกหน้าต่างอีก เขาหันหน้ารับลมทะเล กล่าวช้าๆ เหมือนพึมพำกับตัวเอง “ข้าเพียงสะท้อนใจกับสายตาในการเลือกคนของใครบางคน ใช้เวลาไปแสนปีถึงจะเฟ้นหาคนแบบนี้มาได้สักคน เรียกได้ว่าสิ้นเปลืองกำลังความคิดจริงๆ! แล้วตอนนี้ข้าก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว คนที่เขาต้องการเลือกไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์พิเศษอะไร ไม่จำเป็นต้องฉลาดเกินไปด้วย บางทีสิ่งที่ต้องการอาจจะเป็นทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เหนือกว่าคนอื่น ทักษะการลงมือปฏิบัติที่เหนือกว่าคนอื่น ทักษะการปรับตัวดำรงชีวิตที่เหนือชั้น จะได้สะดวกต่อการบรรลุเป้าหมายของเขา เกรงว่านี่ต่างหากคือเหตุผลที่เขาเลือกคนคนนี้แทนที่จะเลือกคนอื่น…”


สวนกลางเขียวขจี เหมียวอี้เหมือนจะนึกไม่ถึงว่าเรื่องการเดิมพันที่งานเลี้ยงจะแพร่ข่าวเร็วขนาดนี้ ตามหลักแล้วถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับบุคคลระดับสูงของตำหนักสวรรค์ โดยทั่วไปข่าวก็จะไม่แพร่ออกไปง่ายๆ ถ้าจะมีการกระจายข่าวก็เกิดขึ้นในวงแคบเท่านั้น แต่ครั้งนี้ข่าวกับแพร่ไปทั่วทั้งใต้หล้าอย่างรวดเร็ว ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจจริงๆ


เขาเองก็มีคนส่งข้อความมาถามด้วยความห่วงใยไม่ขาดสาย ถึงได้รู้ว่าข่าวนี้แพร่ออกไปในวงกว้างแล้ว หวงฝู่จวินโหรวรวมทั้งบรรดาอนุภรรยาต่างก็ส่งข่าวมาถาม รวมทั้งพวกอวิ๋นอ้าวเทียนที่แดนอเวจีด้วย แล้วก็มีพวกฝูชิงอีก แต่กลับไม่มีการถามไถ่จากทางอวิ๋นจือชิวและหยางชิ่ง ทางนั้นเหมือนจะเงียบมาตลอด


จนกระทั่งหวงฝู่จวินโหรวส่งข่าวมาบอกอีกครั้ง ว่าสืบรู้แล้วว่าทางสมาคมวีรชนได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้กระจายข่าว เหมียวอี้จึงได้เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน ที่เรียกว่า ‘เบื้องบน’ ก็ย่อมหมายถึงวังสวรรค์ เขาถึงได้กำหนดเป้าหมายได้ว่าน่าจะเป็นประมุขชิง คาดว่าคงจะช่วยตนประชาสัมพันธ์ กลัวว่าตนจะแพ้เดิมพันไงล่ะ!


พักฟื้นเงียบๆ ที่อุทยานหลวงครึ่งเดือน เมื่อบาดแผลดีขึ้นพอสมควรแล้ว เหมียวอี้ถึงได้ตัดสินใจกลับ


ทางนี้เพิ่งจะเหาะออกจากดาวเคราะห์ของอุทยานหลวง ก็ถูกตงฟางเลี่ยขวางเอาไว้แล้ว ตงฟางเลี่ย เป็นรองผู้ตรวจการใหญ่ของหน่วยองครักษ์ขวา เขาได้รับคำสั่งให้คุ้มกันส่งเหมียวอี้กลับจวนแม่ทัพภาคตลาดผี สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้ตกใจในความเมตตานิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าวังสวรรค์จะส่งคนระดับรองผู้ตรวจการใหญ่มาคุ้มกันส่งด้วยตัวเอง แต่พอนึกถึงประมุขชิงที่อยู่เบื้องหลัง เขาก็ปล่อยวางทันที


เขาไม่เห็นคนอื่น ทั้งการเดินทางมีเพียงตงฟางเลี่ยคนเดียวที่คุ้มกันส่ง


ระหว่างทาง ตงฟางเลี่ยสอบถามเหมียวอี้หลายครั้งว่าทำไมต้องสร้างทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนที่ตลาดผี เหมียวอี้ปฏิเสธอ้อมๆ ไม่ยอมคายคำตอบ ถึงแม้ตัวเองจะเดาออกว่าประมุขชิงสั่งให้ตงฟางเลี่ยมาถาม แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสำเร็จและล้มเหลว เขาเองก็ไม่รู้กำพืดตงฟางเลี่ยแน่ชัด ไม่กล้าเปิดเผยอะไรให้ฟังง่ายๆ บอกเพียงว่าไปถึงตลาดผีก็ย่อมรู้แล้ว


ตอนใกล้ถึงตลาดผี เหมียวอี้ถึงได้รู้ว่าตงฟางเลี่ยไม่ได้มาคุ้มกันส่งคนเดียวเลย พอโบกมือก็เรียกทัพใหญ่ออกมาหนึ่งกองทัพ แล้ววางกำลังไว้ตามทางตลอดทาง เมื่อถามดูถึงได้รู้ว่าเตรียมป้องกันคนเล่นไม่ซื่อที่คอยดักกำลังพลที่จะมาขอพึ่งพาที่ตลาดผี แล้วก็มีอีกพันคนติดตามตงฟางเลี่ยกับเหมียวอี้เข้าตลาดผีด้วยกัน ตงฟางเลี่ยบอกว่ากำลังพลกลุ่มนี้ต้องพักอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีระยะยาวเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้เหมียวอี้ จนกว่าเดิมพันจบลงถึงจะถอนกำลังออกไป


ส่วนหลังจากการเดิมพันจบลง เหมียวอี้ก็เข้าใจได้เช่นกัน ว่าถึงตอนนั้นประมุขชิงก็ไม่สนใจความเป็นความตายของเขาแล้ว


พอถึงจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ตงฟางเลี่ยก็เรียกรวมกำลังพลของตระกูลโค่วที่อยู่ทีนี่ แล้วหยิบคำสั่งของตำหนักนารีสวรรค์ขึ้นมา ประกาศคำสั่งตรงนั้นเลยว่า ให้กำลังพลตระกูลโค่วที่อยู่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีถอนกำลังออกไปเดี๋ยวนี้ ห้ามล้าช้าเสียเวลา แบบนี้เท่ากับไม่ต้องให้ตระกูลโค่วถอนกำลังคนกลับไปเองแล้ว ตำหนักนารีสวรรค์เตะคนของตระกูลโค่วออกไปล่วงหน้า สาเหตุก็ไม่ซับซ้อน เหมียวอี้เดาออกแล้วเช่นกัน ว่าเบื้องบนไม่วางใจกำลังพลของตระกูลโค่ว นับว่าปกป้องความปลอดภัยของเหมียวอี้ด้วย


ตระกูลโค่วถอนกำลังพลตามคำสั่งทันที คนที่ตงฟางเลี่ยพามารับงานป้องกันจวนแม่ทัพภาคตลาดผีต่อ โดยมีตงฟางเลี่ยคุมการวางกำลังด้วยตัวเอง


จวนแม่ทัพภาคใหม่เดิมทีอยู่ในจุดที่ค่อนข้างเงียบสงบลับตาคน ตอนนี้เนื่องจากเหมียวอี้กลับมาแล้ว รอบข้างจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นคึกคัก ตอนนี้ผู้คนรู้เรื่องการเดิมพันที่งานเลี้ยงวันเกิดหมดแล้ว คนจากฝ่ายต่างๆ มารวมตัวกันสืบที่นี่ อยากจะเห็นว่าจะรับสมัครทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนได้อย่างไร


ตงฟางเลี่ยที่มองความเคลื่อนไหวนอกประตูหันตัวกลับเข้ามาในกำแพงอีกครั้ง แล้วถ่ายทอดคำสั่งอย่างเย็นเยียบ “กำลังพลหกร้อนผลัดเวรกันรอรับคำสั่งอยู่ในจวนแม่ทัพภาค เตรียมรับมือความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สั่งให้กำลังพลสี่ร้อยเฝ้านอกจวนจวนแม่ทัพภาค ผู้ที่ถือวิสาสะเข้ามาใกล้ ฆ่าไม่ละเว้น! ถ้ามีความเสียหายอะไร ก็หิ้วหัวมาพบข้า!”


“รับทราบ!” ลูกน้องของเขาเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป


ในจวน หลังจากห่างกันไปสักพักแล้วกลับมาพบกันใหม่ เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวจับมือสบตากันพักหนึ่ง เข้าใจกันทุกอย่างโดยไม่ต้องพูดอะไร


“เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ กลัวว่าค่ำคืนยาวนานแล้วความฝันจะแปรเปลี่ยน!” เหมียวอี้สั่งอย่างใจเย็น อวิ๋นจือชิวพยักหน้าขานรับ “เตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแลว”


หลังจากปล่อยมือนางแล้ว เหมียวอี้ก็เดินก้าวยาวออกไป อวิ๋นจือชิวและพวกหยางเจาชิงรีบเดินตามอยู่ข้างหลังเขา เดินมาถึงพระอุโบสถชั้นบน เป็นจุดที่เคยเจอกับอวี้หลัวช่าและเม่ยจีครั้งแรก


แผ่นหินที่เตรียมไว้เรียบร้อยตั้งอยู่กลางพระอุโบสถ แผ่นป้ายหินที่ราบเรียบขาดเพียงอักษรบนป้ายหิน


เหมียวอี้เดินวนแผ่นหินรอบหนึ่ง จากนั้นยืนนิ่ง หลับตาลงช้าๆ หลับตายืนเงียบอยู่ตรงหน้าแผ่นป้ายครู่หนึ่ง


พอลืมตาอีกครั้ง เขาก็โบกทวนเกล็ดย้อนมาไว้ในมือ เขาออกทวนปล่อยเสียงเย็นพร้อมเสียงมังกรคำราม หัวทวนแหลมคมทิ้งร่องรอยอักษรไว้บนผิวป้ายหินอย่างรวดเร็ว ฝุ่นผงที่ถูกกรีดออกมาถูกพลังอิทธิฤทธิ์ที่ปล่อยจากตัวทวนกวาดออกไป เผยตัวอักษรแต่ละตัวที่ไม่นับว่าสวยงามนักทว่าสลักไว้อย่างแข็งแรงมีพลัง ดูมีพลังอำนาจไปอีกแบบ ตัวอักษรปรากฏคนตามการเคลื่อนไหวของหัวทวน


พอเขียนเสร็จหน้าหนึ่งแล้ว ก็สะบัดทวนเร่งเขียนที่หน้าถัดไปอย่างรวดเร็ว


เมื่อเห็นตัวอักษรที่เขียนเสร็จบนหน้านั้นแล้ว หยางเจาชิงถึงได้รู้ว่าเหมียวอี้ต้องการรับสมัครคนแบบไหน เรีบกได้ว่าตกตะลึงอ้าปากค้าง


พอเขียนสองหน้าเสร็จแล้ว ตึ้ง! เหมียวอี้กระทุ้งทวนบนพื้น แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ยกออกไป ตั้งนอกประตูจวนแม่ทัพภาค รับสมัครคนเดี๋ยวนี้!”


“ขอรับ!” หยางเจาชิงกุมหมัดเอ่ยรับ แล้วเก็บแผ่นหินที่สูงเกือบหนึ่งจั้งออกไป


บังเอิญเจอกับตงฟางเลี่ยในลานบ้าน หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะ “นายท่านตงฟาง โปรดมอบลูกมือให้ข้าสี่คน”


ตงฟางเลี่ยมองเขาศีรษะจดเท้า แล้วถามเสียงเรียบ “เอาไปทำอะไร?”


หยางเจาชิงตอบว่า “ท่านแม่ทัพภาคเพิ่งเขียนป้ายอักษรรับสมัครคนเสร็จ ต้องการจะตั้งป้ายไปนอกจวนแม่ทัพภาค กลัวว่าจะมีคนถือวิสาสะมาทำลายป้ายอักษรหิน หวังว่าจะมีคนเฝ้าให้ทั้งวันทั้งคืนขอรับ”


เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ? ตงฟางเลี่ยตกใจ พอยกมือดีดนิ้ว ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังก็ตะโกนทันที “ทหาร!”


ผ่านไปไม่นาน ทหารยามที่เฝ้าประตูจวนแม่ทัพภาคตลาดผีฝั่งซ้ายและขวาก็หลีกทาง ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งคุ้มกันหยางเจาชิงเดินออกจากประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาคแล้ว ตงฟางเลี่ยก็อยู่ในนั้นเช่นกัน


พอเดินออกจากประตูใหญ่ได้ประมาณห้าสิบจั้ง หยางเจาชิงก็มองดูตำแหน่งรอบๆ แล้วโบกมือเรียกแผ่นหินออกมา เสียงแผ่นหินตกลงพื้นดังโครม ป้ายอักษรหินสูงเกือบหนึ่งจั้งปักลงนอกประตูจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอย่างเป็นทางการ


ตงฟางเลี่ยที่เดินตามมาดีใจที่ได้เห็นก่อน กวาดสายตามองตัวอักษรหยาบๆ ธรรมดาบนป้ายอักษรหินที่เขียนว่า ‘รับสมัคร’ แล้วรีบมองลงมาข้างล่าง ทำให้เขาถลึงตาโตสองข้าง ทำท่าเหมือนทำใจเชื่อได้ยาก

 

 

 


บทที่ 1723 ข้าเจ็บปวดทรมานยิ่งนัก!

 

คนที่สามารถเป็นรองผู้ตรวจการใหญ่กองทัพองครักษ์ได้ ตงฟางเลี่ยก็ไม่ใช่คนที่ขาดประสบการณ์ความรู้ ส่วนเหตุใดจึงทำท่าทางเหลือเชื่อกับป้ายอักษรหินขนาดนี้ เป็นเพราะต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่ากลุ่มเป้าหมายที่หนิวโหย่วเต๋อต้องการจะรับสมัครคือคนพวกนี้


บนป้ายอักษรหินเขียนคำว่า ‘รับสมัคร’ ตัวใหญ่ ส่วนข้างล่างเขียนว่า : หนิวผู้นี้เดิมทีเป็นนักพรตอิสระ ยืนอยู่บนโลกนี้อย่างยากลำบาก ตอนหลังโชคดีได้ทำการค้าที่ตลาดสวรรค์ พอเริ่มประกอบกิจการรุ่งเรืองก็เจอคลื่นลม จึงไปขอพึ่งพาเป็นทหารเลวของตำหนักสวรรค์ จากนั้นสร้างผลงานจนเลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการตลาดสวรรค์ สะสมผลงานจนเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ แต่ก็เจออุปสรรคอีก ถูกย้ายไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่หน่วยองครักษ์ซ้าย จากนั้นสะสมผลงานจนได้เป็นแม่ทัพภาคหน่วยองครักษ์ซ้าย พอทำผิดก็ย้ายมาเป็นแม่ทัพภาคที่ตลาดผี เลื่อนตำแหน่งลดตำแหน่งหลายครั้ง ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ มาจนถึงทุกวันนี้ ขรุขระตลอดทาง ในระหว่างนั้นยากลำบากขนาดไหน คนนอกก็จินตนาการได้ ตอนนี้ได้รับอำนาจจากบัญชาสวรรค์ สามารถรับกำลังพลหนึ่งแสนจากสี่ทัพมาอยู่ใต้บังคับบัญชาได้ ทว่าหนิวเข้าใจถึงความลำบากของทหารระดับต่ำอย่างลึกซึ้ง จึงตั้งใจวางป้ายไว้ตรงนี้ กำลังพลที่ต้องการรับเข้ามาจำกัดเพียงทหารระดับเทพแห่งภูผา เทพเจ้าเฝ้าประตู ผีหลักเมือง เทพแห่งผืนดินในสังกัดของสี่ทัพเท่านั้น ตำแหน่งสูงเกินนี้อย่ามารบกวน หนิวมิบังอาจคบผู้ที่มีฐานะสูงกว่า! ทุกประโยคคือความจริง มีอุดมการณ์ชัดเจน หากไม่รังเกียจที่ตลาดผีมีความรู้ตื้นเขิน หวังว่าผู้มีอุดมการณ์จากสี่ทัพจะมาสมัคร จำกัดเวลาภายในหนึ่งปีนี้ เลือกจ้างผู้ที่มีความสามารถ หนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคตลาดผีรอด้วยความเคารพ!


สิ่งที่บรรยายไว้ตอนแรกคือประสบการณ์คร่าวๆ ของหนิวโหย่วเต๋อ คนที่พอจะเข้าใจต่างรู้ว่าในระหว่างนั้นหนิวโหย่วเต๋อผ่านอุปสรรคมาไม่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้ตงฟางเลี่ยตกใจก็คือ นึกไม่ถึงว่าเป้าหมายในการรับสมัครของหนิวโหย่วเต๋อจะจำกัดอยู่ที่พวกเทพแห่งภูผา เทพเจ้าเฝ้าประตู เทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมือง ตั้งใจตัดคนที่ตำแหน่งสูงกว่านั้นออก ทหารยศต่ำพวกนี้จะนับเป็นทหารเกรียงไกรของสี่ทัพได้อย่างไรกัน?


เจ้าหนุ่มนี่บ้าไปแล้วสินะ? นี่เจ้าตั้งใจจะทำให้แพ้เดิมหรือเปล่า? ตงฟางเลี่ยสีหน้าเคร่งขรึม เขาย่อมรู้วว่าการเดิมพันนี้มีความหมายอย่างไรต่อฝ่าบาท ไม่อย่างนั้นกองทัพองครักษ์จะส่งคนมาด้วยตัวเองทำไม เขาเดินไปตรวจที่อีกหน้าหนึ่งของอักษรบนป้ายหิน พบว่าเนื้อหาของสองฝั่งเหมือนกัน จึงอดไม่ได้ที่จะมองหยางเจาชิงด้วยสายตาเย็นเยียบ


“นายท่านตงฟางปล่อยคนมาอ่านป้ายหินรับสมัคร เหลือคนเฝ้าไว้แค่สี่คนเท่านั้น!” หยางเจาชิงบอกเขา แล้วก็กุมหมัดคารวะหันตัวเดินจากไป


ตงฟางเลี่ยขมวดคิ้ว ทันใดก็ได้ยินเสียงฮือฮามาจากที่ไกลๆ จึงเอียงหน้ามองไป เห็นเพียงผู้ไม่เกี่ยวข้องที่อยู่ไกลๆ เริ่มวิพากษ์วิจารณ์แล้ว อักษรบนป้ายหินสะดุดตาคั้งอยู่ตรงนี้ จะให้เล็ดรอดดวงตาอิทธิฤทธิ์ของนักพรตก็คงยาก


“รับสมัครแต่นักพรตระดับเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดิน เอ่อนี่…”


“หนิวโหย่วเต๋อนี่กำลังล้อเล่นใช่มั้ย? นี่ไม่ใช่วิ่งชนคำว่า ‘แพ้’ หรอกเหรอ?”


“นั่นก็ไม่แน่ เจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อเหมือนคนโง่เหรอ? อย่างมากก็บุ่มบ่ามไปหน่อย เขาทำอย่างนี้แปลว่าต้องมีเหตุผลแน่นอน ไม่จำเป็นต้องรนหาที่ตาย?”


ผู้ติดตามของกองทัพองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ เริ่มเดินวนอักษรบนป้ายหินพร้อมวิพากวิจารณ์แล้ว ตงฟางเลี่ยได้ยินแล้วตะลึง จึงจ้องอักษรบนป้ายหินอีกรอบ เขาเริ่มทำสีหน้าเข้าใจบ้างแล้ว เหมือนนึกอะไรบางอย่างได้แล้วนิดหน่อย แต่พอลองคิดดูอีกก็ไม่เข้าใจ เขารีบหยิบระฆังดาราออกมา รายงานสถานการณ์ที่นี่ขึ้นไปเบื้องบน


หนึ่งในภารกิจที่เขามาที่นี่ก็คือดูว่าหนิวโหย่วเต๋อมีวิธีรับสมัครอย่างไร จะได้รายงานได้ทุกเมื่อ เรื่องนี้ย่อมต้องรายงานทันที


ถึงแม้อักษรบนป้ายหินจะมีกองทัพองครักษ์กันไว้ แต่กลับไม่มีทางห้ามพวกคนที่ไม่เกี่ยวข้องที่กำลังรวมตัวกันมากขึ้นอย่าต่อเนื่องตรงที่ไกลๆ ได้ เดาได้ไม่ยากเลยว่าเนื้อหาบนอักษรบนป้ายหินสร้างความฮือฮาขนาดไหน ข่าวแพร่กระจายเหมือนกระแสน้ำ ไม่นานทั้งตลาดผีก็เกิดเสียงตอบรับใหญ่โตเหมือนหม้อเดือด


“นายท่าน เรียบร้อยแล้วขอรับ” หยางเจาชิงกลับมารายงาน


เหมียวอี้ที่ยืนสังเกตความเคลื่อนไหวข้างนอกอยู่ริมหน้าต่างบอกว่า “เห็นแล้ว” เขาหันกลับมาบอกอวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกันอีก “ฮูหยินรายละเอียดเรื่องสรรหาคนต้องส่งต่อให้เจ้าแล้ว” ตอนนี้ในมือเขาไม่ค่อยมีคนที่ใช้งานได้สักเท่าไร สรุปก็คือจะให้เขาถามตอบทุกคนที่เข้ามาสมัครด้วยตัวเองไม่ได้ เขาไม่วางใจกำลังพลกองทัพองครักษ์ของตงฟางเลี่ย กังวลว่าคนของวังสวรรค์จะอาศัยโอกาสนี้ปะปนเข้ามา แต่ในมืออวิ๋นจือชิวยังมีลูกน้องคนสนิทอยู่อีกกลุ่ม


อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ข้าจะส่งต่อให้พวกช่างหินไปจัดการ”


สายตาเหมียวอี้ดูค่อนข้างล้ำลึก


ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านกำลังคุยธุระกับแขก หลังจากชีเจวี๋ยเข้ามารอได้สักครู่ รอจนแขกกล่าวอำลาแล้ว ชีเจวี๋ยถึงได้รายงานว่า “เถ้าแก่ หนิวโหย่วเต๋อกลับมาแล้ว ตงฟางเลี่ยจากหน่วยองครักษ์ขวาคุ้มกันส่งมาที่นี่ด้วยตัวเอง คนของตระกูลโค่วถูกไล่ไปแล้ว”


เฉาหม่านจิบน้ำชาอย่างเอื่อยเฉื่อย แล้วกล่าวพร้อมแสยะยิ้ม “เป็นเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้ว”


ในขณะนี้เอง ชีเจวี๋ยที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็ชะงักไป แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมาฟังครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำสีหน้าตะลึงค้าง เห็นได้ชัดว่าเสียอาการแล้ว


เฉาหม่านเหลือบมองแวบหนึ่ง “เป็นอะไรไป?”


ชีเจวี๋ยดึงสติกลับมา จัดระเบียบความคิดแล้วรายงานว่า “หนิวโหย่วเต๋อตั้งป้ายหินรับสมัครที่ประตูจวนแม่ทัพภาคขอรับ”


“อ้อ! เร็วขนาดนี้เลย เกรงว่านั่งยังไม่ทันก้นร้อนเลยกระมัง…” เฉาหม่านแปลกใจนิดหน่อย จากนั้นก็ชะงักอีก เหมือนตระหนักอะไรบางอย่างได้จากปฏิกิริยาที่ผิดปกติของชีเจวี๋ย จึงถามว่า “หรือว่าป้ายหินรับสมัครมีอะไรคลาดเคลื่อน?”


“ป้ายหินรับสมัครจำกัดระดับผู้รับสมัคร ว่าไม่เอาทหารเกรียงไกรของสี่ทัพ รับแค่กำลังพลระดับเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดินเท่านั้น” ชีเจวี๋ยตอบ


“อะไรนะ?” เฉาหม่านทั้งตกใจทั้งประหลาดใจ “จะเป็นไปได้ยังไง ข่าวผิดหรือเปล่า?”


ชีเจวี๋ยตอบว่า “น่าจะไปผิดพลาดขอรับ บ่าวถามกลับไปแล้ว สายลับที่อยู่ตรงนั้นส่งข่าวมา คัดลอกอักษรบนป้ายหินมาทุกตัวอักษร แถมพอมีอักษรบนป้ายหินนี้ออกมา ด้านนอกก็เหมือนเคลื่อนไหวใหญ่โตมาก เหมือนนึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะรับคนประเภทนี้”


เฉาหม่านอ้าปากค้างไปครู่หนึ่ง วางถ้วยน้ำชาลงช้าๆ แล้วยืนขึ้น เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา “เจ้าหนุ่มนี่เล่นลูกไม้อะไร ถ้ารับสมัครทัพเกรียงไกรหนึ่งแสนไม่ได้ ต่อให้ได้กำลังพลหนึ่งแสนมาแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ตงฟางเลี่ยนำคนมาด้วยตัวเองแล้ว ถ้าเขากล้าทำให้การเดิมพันนี้แพ้ เกรงว่าตงฟางเลี่ยคงจะเป็นคนแรกที่จะไม่ปล่อยเขาไป ส่วนทางประมุขชิง…” เสียงเขาเงียบไปกะทันหัน รีบเดินไปเปิดหน้าต่างออก มองไปทางจวนแม่ทัพภาค แล้วจู่ๆ ก็ตบช่องหน้าต่าง กล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “เรื่องราวเปิดโปงแล้ว ข้ายังจะเลอะเลือนอีก เหมือนเห็นผีเลย เรื่องที่ชัดเจนขนาดนี้ทำไมข้านึกไม่ถึงตั้งแต่แรก!”


“เหตุใดเถ้าแก่คิดอย่างนั้น?” ชีเจวี๋ยก้าวเข้ามาถามอย่างประหลาดใจ


“เฮ่อๆ…” เฉาหม่านส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “แพ้แล้ว! เลือกอีกเส้นทางหนึ่ง ช่างเป็นวิธีที่อัศจรรย์ ทำไมเจ้าหนุ่มนั่นจึงคิดถึงสิ่งนี้ได้ ทำให้คนเหลือเชื่อจริงๆ พอใช้แผนนี้ เกรงว่าทุกคนที่เบิ่งตามองคงจะถูกเจ้าหนุ่มนั่นโจมตีอย่างสง่าผ่าเผยจนทำอะไรไม่ถูก ขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์แพ้แล้ว ความพ่ายแพ้ถูกกำหนดไว้แล้ว เอาคืนไม่ได้แล้ว!”


ชีเจวี๋ยยังคงทำสีหน้าสงสัย “เถ้าแก่ บ่าชราโง่เง่า ไม่ทราบ…”


เฉาหม่านโบกมือ ไม่ได้พูดอะไรอีก รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทางตระกูลเซี่ยโห้ว


“อะไรนะ? กำหนดขอบเขต รับแค่พวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดิน แบบนี้นับว่าเป็นกำลังพลที่เกรียงไกรอะไรกัน? เจ้าลูกลิงนั่นคิดว่าข้าไม่กล้าตัดหัวเขาหรือไง?”


วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร อู๋ฉวี่รีบร้อนเข้ามาหา รายงานความคืบหน้าการรับสมัครคนที่ตลาดผี ทำให้ประมุขชิงฟังจนเบิกตาโพลง ลุกขึ้นคำราม ความโมโหปะทุราวกับฟ้าผ่า เขารู้สึกเหมือนตัวเองโดนปั่นหัว


“ฝ่าบาทระงับโทสะ เรื่องนี้อาจจะมีเงื่อนงำบางอย่าง ถามตงฟางเลี่ยไปก็ไม่มีประโยชน์ สั่งให้หนิวโหย่วเต๋อบอกเหตุผลมาโดยตรงเลยดีกว่าขอรับ” อู๋ฉวี่กกล่าว


“ฝ่าบาท!” ซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างกันพลันกลอกตาล่อกแล่ก แล้วจู่ๆ ก็หันตัวมาคารวะประมุขชิง “ยินดีกับฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อใช้แผนเด็ดแล้ว การเดิมพันนี้ฝ่าบาทชนะแน่นอน!”


ประมุขชิงกับอู๋ฉวี่งงทั้งคู่ ต่างก็รู้ว่าเขาไม่ยิงธนูโดยไร้เป้าแน่นอน ตรงนี้ไม่มีคนนอก ไม่จำเป็นเป็นต้องกังวลว่าถามลูกน้องแล้วจะเสียหน้า ประมุขชิงหายโกรธลงเล็กน้อย ขมวดคิ้วถามว่า “แผนเด็ดตรงไหน?”


ซ่างกวนชิงอมยิ้มพลางชี้แนะ “สี่ทัพดูเหมือนถูกสี่อ๋องสวรรค์ควบคุมไว้เข็มงวด ทว่าพวกที่หลอกลวงเบื้องบน ระรานเบื้องล่างมีเยอะมาก ต่างคนต่างทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ในบรรดาเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดิน คนที่วรยุทธ์อ่อนแอ คนที่หดหู่ท้อแท้เพราะโดนข่มไม่ให้แสดงความสามารถมีเยอะมาก ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แน่นอนขอรับ!”


“อืม…” ประมุขชิงเอามือขยี้เคราเงียบๆ นานมาก แต่กลับเริ่มตาลุกวาวทีละนิด แล้วจู่ๆ ก็ลูบไม้ลูบมือหัวเราะลั่น “แผนเด็ด เป็นแผนเด็ดจริงๆ!”


อู๋ฉวี่เข้าใจกระจ่างในฉับพลันเช่นกัน


ประมุขชิงพลันโบกมือชี้เขา “ข้ามีโอกาสชนะอยู่ในมือ จะให้คนชั่วไร้ยางอายมาก่อกวนไม่ได้เด็ดขาด ถ่ายทอดคำสั่งต่อตงฟางเลี่ย จะต้องรักษาความปลอดภัยของหนิวโหย่วเต๋อให้ดี อย่าให้มีความผิดพลาดอะไร!”


“รับทราบ!” อู๋ฉวี่กุมหมัดเอ่ยรับบัญชา


“ข้าอยากจะเห็นว่าตาแก่สี่คนนั่นจะหน้าดำคร่ำเครียดขนาดไหน! ฮ่าๆๆ…” ประมุขชิงเงยหน้าหัวเราะลั่น ท่าทางสะใจมาก


จวนอ๋องสวรรค์โค่ว


โค่วเจิงเดินตรงเข้ามาในเขตต้องห้าม กวาดสายตามองไปรอบๆ สายตาไปหยุดอยู่บนตัวโค่วหลิงซวีกับถังเฮ่อเหนียนที่เดินอยู่ในป่าไผ่ด้านข้าง ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินเข้าไป


ถังเฮ่อเหนียนย่อตัวคำนับเล็กน้อย  “คุณชายใหญ่มาแล้ว”


โค่วเจิงกุมหมัดคารวะ แล้วหันตัวไปบอกโค่วหลิงซวี “ท่านพ่อ ตำหนักนารีสวรรค์ออกคำสั่งให้คนที่อยู่ฝั่งตลาดผีถอยออกมาแล้วขอรับ”


“ข้ารู้แล้ว” โค่วหลิงซวีพยักหน้า บอกใบ้ว่ากำลังคุยเรื่องนี้กันอยู่


โค่วเจิงบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อตั้งป้ายหินรับสมัครนอกประตูจวนแม่ทัพภาค ทำให้เกิดเสียงฮือฮาไม่น้อย”


“อ้อ เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ?” โค่วหลิงซวีรู้สึกผิดคาด ถามว่า “บอกอะไรไว้บ้าง?”


“ค่อนข้างแปลกขอรับ บนป้ายหินกำหนดขอบเขตไว้ บอกว่าไม่เอาทหารเกรียงไกรของสี่ทัพ ต้องการแค่พวกเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดิน…” โค่วเจิงรายงานเนื้อหาบนป้ายหินให้ฟังคร่าวๆ ขณะเดียวกันก็ยื่นแผ่นหยกที่คัดลอกทุกตัวอักษรให้


“…” โค่วหลิงซวีไม่ได้รับแผ่นหยก แต่ขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าเจือความสงสัย


ถังเฮ่อเหนียนยื่นมือรับแผ่นหยกมาแทน ขณะกำลังอ่านแผ่นหยกพลางครุ่นคิด จู่ๆ ก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว หลุดอุทานว่า “แย่แล้ว! ท่านอ๋อง…”


โค่วหลิงซวียกมือห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ สี่หน้าดูค่อนข้างแย่ ท่ามกลางสายตาสอบถามของโค่วเจิง จู่ๆ เขาก็ยกมือขึ้นมากุมอก พลางร้องว่า “ข้าเจ็บปวดทรมานยิ่งนัก!”


ถังเฮ่อเหนียนถือแผ่นหยกพร้อมกุมหมัด “ท่านอ๋องทำให้ให้สบาย ก็แค่ตำแหน่งโหว ไม่จำเป็นต้องจริงจังเกินไป!”


โค่วหลิงซวีส่ายหน้าอย่างยากลำบาก ถอนหายใจด้วยความเสียดาย “ข้าไม่ได้เจ็บปวดเพราะเสียดายตำแหน่งโหวตำแหน่งเดียว แค่เสียดายที่ตัวเองมีตาหามีแววไม่ เสียทหารชั้นดีไปแล้วหนึ่งคน!”


โค่วเจิงไม่ค่อยเข้าใจ จึงมองถังเฮ่อเหนียน “ท่านอาถัง?”


“หนิวโหย่วเต๋อใช้แผนเด็ดแล้ว!” ถังเฮ่อเหนียนส่ายหน้าอย่างเสียดาย แล้วอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด


จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง ในเขตต้องห้าม มีเสีนงก๊อกแก๊กดังชัดเจน ในระหว่างนั้นมีเสียงกระเด็นกระดอนปะปน


อิ๋งอู๋หม่านที่นั่งเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนบิดารู้สึกดีใจมาก หลังจากเขาเริ่มเข้าประชุมราชสำนักแทนตระกูลอิ๋ง ท่าทีของบิดาที่มีต่อเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีแล้ว ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ที่เชิญเขาให้มาเล่นหมากล้อมด้วยกัน ทว่าพอจั่วเอ๋อร์รายงานเรื่องหนิวโหย่วเต๋อวางป้ายรับสมัครทางตลาดผีแล้ว หลังจากท่านบิดาขมวดคิ้วครุ่นคิดพักหนึ่ง จู่ๆ ก็ระเบิดอารมณ์โกรธ คว้าชามหมากทุ่มกระจายเต็มพื้น หมากในชามกระเด็นบนพื้นมั่วไปหมด เขาตกใจจนรีบลุก ทั้งหวาดกลัวทั้งหวั่นเกรง

 

 

 


บทที่ 1724 ผลแพ้ชนะถูกกำหนดแล้ว

 

อิ๋งอู๋หม่านยังไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน อิ๋งจิ่วกวงก็สั่งจั่วเอ๋อร์ด้วยเสียงต่ำแล้ว “ให้เจ้าเด็กเนรคุณนั่นมาพบข้า!”


เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ อิ๋งอู๋หม่านก็เข้าใจว่าหมายถึงเจ้ารองอิ๋งอู๋เชวีย ช่วงนี้มีเพียงเจ้ารองที่ถูกท่านพ่อเรียกว่าเด็กเนรคุณ พอได้ฟังคำพูดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อแทนอิ๋งอู๋เชวีย ครั้งก่อนตอนเพิ่งกลับมาจากวังสวรรค์ พอท่านพ่อเห็นเจ้ารองก็บอกว่า เอายาให้เขากิน จากนั้นสั่งให้คนไปเอาแส้สยบมังกรมา ผลปรากฏว่าเจ้ารองบาดแผลเก่าจากแส้ยังไม่ทันหาย ท่านพ่อก็ลงมือโบกแส้ใส่เจ้ารองอีกจนสาหัสปางตาย ตอนนี้ได้ยินคำพูดที่แฝงด้วยความเดือดดาล เหมือนเจ้ารองจะทำอะไรผิดอีกแล้ว


ว่ากันตามจริง การที่เจ้ารองโชคร้ายซ้ำซ้อนกลับทำให้เขาแอบดีใจนิดหน่อย สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะยิ่งในสายตาท่านพ่อตราตรึงลึกเท่าไรว่าเจ้ารองไร้ความสามารถ ก็ยิ่งไม่มีทางคุกคามตำแหน่งของเขาได้


และในขณะนี้เอง จั่วเอ๋อร์ก็รีบโน้มน้าวว่า “ท่านอ๋อง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณชายรอง แค่คุณชายรองบังเอิญโดนเท่านั้นเอง ดูจากป้ายหินรับสมัครนี้แล้ว เหมือนไม่ใช่การกระทำที่เพิ่งฉุกคิดได้เลยจริงๆ สิ่งนี้ยิ่งพิสูจน์ว่าเรื่องที่งานเลี้ยงวันเกิดคือความตั้งใจของหนิวโหย่วเต๋อ ต่อให้คุณชายรองไม่ไปติดกับดัก หนิวโหย่วเต๋อก็ต้องพาลหาเรื่องโดยไร้เหตุผลอยู่ดี ที่จริงการที่เขากับคุณชายรองขัดแย้งกัน เดิมทีก็เป็นการพาลหาเรื่องโดยไร้สาเหตุอยู่แล้ว เพราะจงใจจะอาศัยโอกาสแสดงความสามารถ…”


โชคดีที่นางกล่าวโน้มน้าว อิ๋งจิ่วกวงแสยะยิ้มสองสามที แล้วก็ไม่พัวพันเรียกอิ๋งอู๋เชวียมาพบอีก นับว่าปล่อยอิ๋งอู๋เชวียไปสักครั้ง จากนั้นก็ยื่นมือกำหมากบนกระดานมาไว้ในมือ แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “เสียตำแหน่งโหวไปตำแหน่งเดียวแล้วยังไงล่ะ ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากจะเอาตำแหน่งโหวสองตำแหน่งไปแลกกับความจงรักภักดีของเจ้าเด็กนี่ด้วยซ้ำ! ตาถั่วแล้ว นึกถึงไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี้นอกจากจะห้าวหาญแล้ว ยังวางแผนได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้ด้วย เป็นแม่ทัพที่มีความสามารถจริงๆ ถ้าได้มาทำงานรับใช้ ในอนาคตก็เพียงพอที่จะแบกรับความเสี่ยงให้ตระกูลอิ๋งของข้าไม่น้อย ทั้งยังช่วยเจ้าได้อีกแรงด้วย หลังจากข้าตายก็หมดกังวลไปแล้วเกินครึ่ง!” เขายกมือชี้อิ๋งอู๋หม่านอีก “น่าเสียดาย น่าทอดถอนใจ เดิมทีเป็นคนที่อยู่ในมือข้า ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยให้เขาลอดซอกนิ้วไปได้ ข้าเพียงแค้นที่ตัวเองไร้ความสามารถในการมองคน!”


อิ๋งอู๋หม่านเหมือนหมอกลงสมองอย่างแท้จริง อยากจะถามแต่ก็ไม่กล้าถาม อย่างไรเสียท่านพ่อก็เพิ่งโมโหไ กลัวว่าจะหาเรื่องซวยให้ตัวเอง ได้แต่มองตาปริบๆ


ดวงดาวพร่างพรายเต็มท้องฟ้า จันทร์กระจ่างส่องสว่าง จวนท่านปู่สวรรค์เซี่ยโห้ว ใต้ต้นไม้โบราณที่สูงระฟ้า บนกิ่งไม้แขวนโคมไฟเอาไว้ ข้างล่างเป็นกระดานหมากล้อม เซี่ยโห้วท่ากับเซี่ยโห้วลิ่งกำลังเล่นหมากล้อมด้วยกัน


เว่ยซูรีบก้าวเข้ามา แล้วยืนพูดอยู่ข้างๆ เขา “นายท่าน คุณชายรอง หนิวโหย่วเต๋อตั้งป้ายหินรับสมัครนอกประตูจวนแม่ทัพภาคตลาดผีขอรับ”


สายตาเซี่ยโห้วลิ่งจ้องกระดานหมากพร้อมอมยิ้ม “เจ้าหนุ่มนั่นน่าสนใจมาก ตอนอยู่งานเลี้ยงวันเกิดมั่นใจเต็มเปี่ยมอย่างนั้น คาดว่าป้ายหินรับสมัครคงจะมีลูกเล่นอะไรใหม่ๆ สินะ?”


“ป้ายหินรับสมัครกำหนดขอบเขตเอาไว้ ว่าจะไม่รับทหารเกรียงไกรของสี่ทัพ รับแค่พวกเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดิน…” เว่ยซูกล่าวถึงอักษรบนป้ายหินอย่างช้าๆ


“อ้อ!” เซี่ยโห้วลิ่งเงยหน้าอย่างแปลกใจ ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แต่กลับได้ยินเสียงบางอย่าง พอหันกลับมามอง ก็เห็นตัวหมากที่คีบอยู่ตรงซอกนิ้วเซี่ยโห้วท่าตกลงกระเด็นบนกระดานหมาก ขณะที่ทำสีหน้าตกใจ รอยยิ้มเจื่อนก็ค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าเช่นกัน


แค่มองปราดเดียว เซี่ยโห้วลิ่งก็รู้แล้วว่าบิดาฟังจนเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงเงยหน้ามองเว่ยซูด้วยแววตาสอบถามทันที “หรือว่ามีความหมายลึกล้ำอีกอย่าง?”


“…” เว่ยซูอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เดิมทีอยากจะบอกประมาณว่า ‘คุณชายสามชี้แนะมา’ แต่พอนึกได้ว่าอยู่ต่อหน้าคุณชายรอง เรื่องที่คุณชายรองยังไม่เข้าใจ ถ้าตัวเองพูดต่อหน้านายท่านว่าคุณชายสามเข้าใจกระจ่างแล้ว ก็จะทำให้คุณชายรองไม่พอใจ ดังนั้นจึงต้องกลืนคำพูดลงไป แล้วชี้แนะว่า “คุณชายรอง อย่าดูถูกพวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินเชียวขอรับ ในจำนวนนั้นมีพวกที่วรยุทธ์ไม่อ่อนแอแต่ถูกข่มไว้เพราะไร้เส้นสายภูมิหลัง คาดว่าคงมีจำนวนไม่น้อย อย่าว่าแต่หนึ่งแสนเลย คาดว่าต่อให้หนึ่งล้านก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเช่นกัน”


เซี่ยโห้วลิ่งแปลกใจ “แล้วยังไงล่ะ? เกรงว่าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอาจจะไม่ได้ดีไปกว่าตำแหน่งเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดินสักเท่าไรหรอก อย่างน้อยพวกเทพแห่งภูผาเทพแห่งผืนดินก็มีอาณาเขตของตัวเอง ยังสามารถใช้ชีวิตอิสระเสรีได้บ้าง ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อสามารถเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล แต่เขาล่วงเกินคนไว้มาเท่าไรล่ะ? แล้วจะชดใช้ที่ทรยศสี่ทัพยังไง เกรงว่าจะไม่คุ้ม”


เว่ยซูมองเซี่ยโห้วท่าแวบหนึ่ง เขาไม่พูดอะไรแล้ว


“เจ้ารอง เจ้าอยู่กับความร่ำรวยมานานแล้ว ลองเจียดเวลาไปท่องโลกบ้าง ตีสนิทกับคนระดับล่างมากๆ หน่อย สิ่งนี้จะเป็นผลดีกับเจ้า” เซี่ยโห้วท่ากล่าวเสียงเรียบ


พอฟังออกว่าท่านพ่อกำลังตำหนิที่ตนมีความสามารถไม่พอ เซี่ยโห้วลิ่งก็ทำสีหน้าจริงจังทันที รีบลุกขึ้นยืน จัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย แล้วโค้งตัวค้างไว้ “ขอรับ! ลูกจดจำคำของท่านพ่อไว้แล้ว เพียงแต่ได้โปรดอย่าเคลือบแคลงในในตัวลูก”


เซี่ยโห้วท่ากดมือลง หลังจากบอกใบ้ให้เขานั่งลงแล้ว เขายื่นมือไปดึงหมากบนกระดานขึ้นมา เก็บหมากที่วางผิดกลับมา เสร็จแล้วถึงได้กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “แผนนี้เด็ดมาก เป็นแผนชั่วที่โจ่งแจ้งสง่าผ่าเผย แต่กลับโจมตีใจคนที่สุด เรียกได้ว่าคาดเดาใจคนได้หมดแล้ว แทงไปที่จุดด้อยของตำหนักสวรรค์โดยตรง ข้าทำใจเชื่อได้ยากจริงๆ ว่าคนหยาบอย่างหนิวโหย่วเต๋อจะคิดแผนนี้ให้ เจ้ารองเอ๊ย เจ้าถามว่าทำไมจึงมีคนไปขอพึ่งพาน่ะเหรอ แค่ข้าเล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง หลังจากฟังจบเจ้าก็ก็พอจะรู้บ้างแล้ว”


เซี่ยโห้วลิ่งพยักหน้า “ลูกจะล้างหูรอฟัง”


สายตาเซี่ยโห้วท่ากำลังกวาดมองบนกระดานหมากราวกับครุ่นคิดว่าจะลงหมากอย่างไร “ข้าถามเจ้าหน่อย ทำไมการทดสอบที่แดนอเวจีถึงมีนักพรตระดับล่างเป็นฝ่ายไปเสี่ยงอันตรายเองเสียส่วนใหญ่ แต่พวกลูกหลานชนชั้นสูงกลับถูกกดดันจนหมดทางเลือกถึงได้ไป?”


เซี่ยโห้วลิ่งบอกว่า “ลูกชายเข้าใจความหมายของท่านพ่อ เสี่ยงอันตรายเพื่อความร่ำรวยไงล่ะ ลูกหลานชนชั้นสูงไม่ขาดเงินทอง ย่อมไม่เอาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงง่ายๆ เป็นหลักการเดียวกัน ตอนนี้การทดสอบแดนอเวจีแทบจะรกร้าง ไม่มีใครไปเสี่ยงไปเข้าร่วมแล้ว ถ้าในบรรดาเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินพวกนั้นมีผู้ที่มีอุดมการณ์ แล้วทำไมไม่ไปสมัครเข้าร่วมล่ะ?”


เซี่ยโห้วท่าบอกว่า “ผู้มีอุดมการณ์ไม่ได้หมายความว่าจะโง่กันหมด เรื่องที่มองไม่เห็นความหวัง เหตุใดต้องพากันไปเข้าร่วมเพื่อเอาชีวิตไปทิ้งล่ะ? ลูกหลานผู้มีอำนาจบางส่วนที่เขเร่วม ส่วนใหญ่มีผู้ติดตามจำนวนมาก คนที่ทดสอบได้อันดับต้นๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกหลานผู้มีอำนาจ เจ้าลืมไปแล้วเหรอว่าขนาดเซี่ยโหวหลงเฉิงยังได้อันดับต้นๆ เลย ในบรรดาคนที่อยู่อันดับเดียวกันล้วนเป็นลูกหลานผู้มีอำนาจที่ได้ตำแหน่งอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้มีตั้งกี่คนที่รอดชีวิตจากการทดสอบกลับมาแล้วยังต้องรอตำแหน่งล่ะ? อัตราส่วนคนที่รอดชีวิตกลับมาคิดเป็นเท่าไร? และถึงแม้ในนามตลาดสวรรค์จะถูกตัดจากท้องถิ่นไปให้ตำหนักนารีสวรรค์ดูแลแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตอำนาจของกำลังพลท้องถิ่น จะหลีกเลี่ยงอิทธิพลนี้ได้เหรอ? อำนาจท้องถิ่นกระตือรือร้นที่จะใช้อีกวิธีการหนึ่งเพื่อควบคุมตลาดสวรรค์อีกครั้ง เจ้าไม่เห็นเหรอ? จะมีสักกี่คนในตลาดสวรรค์ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับขุนนางเต็มราชสำนักเหมือนหนิวโหย่วเต๋อได้? ไม่ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมีหกลัทธิหนุนหลังหรือไม่ เจ้าคิดว่าตอนแรกหนิวโหย่วเต๋อเต็มใจไปเข้าร่วมการทดสอบที่แดนอเวจีงั้นเหีอ? ผู้มีอุดมการณ์ที่พอจะมีสมองสักหน่อยล้วนไม่หลับหูหลับตาทุ่มเทชีวิตทำงานหรอก และนี่ก็คือจุดที่ร้ายกาจ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อสามารถรับคนพวกนี้มาไว้ในมือได้จริง ก็จะมีรากฐานที่ทำให้ยืนได้อย่างมั่นคงในใต้หล้า มีโอกาสที่จะเข้าไปข้างหน้าต่อแล้ว ใต้บังคับบัญชาเขาจะมีแต่คนเก่งที่ใช้ประโยชน์ได้!”


เซี่ยโห้วลิ่งตกอยู่ในความเงียบ


แก๊ก! เซี่ยโห้วท่าทำหมากตัวหนึ่งตกพื้นเสียงดังมาก เตือนสติเซี่ยโห้วลิ่งแล้ว


เซี่ยโห้วลิ่งกำลังจะยื่นมือไปหยิบตัวหมาก แต่เซี่ยโห้วท่ากล่าวกลั้วหัวเราะว่า “คืนนี้เปรี้ยวปากนิดหน่อย เจ้ารอง ไม่ได้ชิมฝีมือเจ้ามานานแล้วนะ”


“ฮ่าๆ!” เซี่ยโห้วลิ่งยิ้มอย่างสดใส แล้ลุกขึ้นยืน “ท่านพ่อรอสักครู่ ลูกจะไปทำกลับแกล้มสุราสักสองสามอย่าง” เขายื่นมือบอกใบ้ให้เว่ยซูช่วยเขาเล่นหมากล้อมต่อ จากนั้นหันตัวเดินก้าวยาวออกไป


เว่ยซูทำได้เพียงนั่งลงเก็บตัวหมากมาไว้ในมือ แล้วจ้องกระดานหาที่ลงหมาก


ใครจะคิดว่าจู่ๆ เซี่ยโห้วท่าที่นั่งตรงข้ามจะกล่าวเสียงเรียบว่า “ดูจากปฏิกิริยาของเจ้าแล้ว เจ้าสามคงจะมองทะลุแผนเด็ดของหนิวโหย่วเต๋อแล้วใช่มั้ย?”


เว่ยซูเงยหน้ามองอย่างตกใจ สบประสานสายตาอันชาญฉลาดของเซี่ยโห้วท่าที่มองกดดันเข้ามาพอดี ทำให้ใบหน้าเต็มไปด้วยความขื่นขม ตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าที่นายท่านบอกว่าเปรี้ยวปากเป็นเพียงข้ออ้าง ที่จริงต้องการจะถามเขาหลังจากกันคุณชายรองไปแล้ว เขาไม่กล้าปิดบัง พยักหน้าเบาๆ พร้อมกล่าวเสียงอ่อน “คุณชายสามเป็นคนส่งข่าวมาขอรับ คุณชายสามชี้แนะว่า หนิวโหย่วเต๋อยืนอยู่ในจุดที่ไม่แพ้แล้ว”


ชั่วพริบตานั้น เซี่ยโห้วท่าก็หลับตาลงช้าๆ ความเจ็บปวดพรั่งพรูบนใบหน้า “ถ้าไม่รู้จักความลำบากในโลกนี้ แล้วจะเข้าใจทั้งปรุโปร่งทั้งข้างล่างข้างบนได้อย่างไร จะควบคุมตระกูลที่ใหญ่ขนาดนี้คล่องมือได้อย่างไร? เวลาที่มั่นใจในตัวเองก็หมายความว่ากำลังหลับหูหลับตาอวดดีเช่นกัน! สิ่งที่เจ้าสามฝึกฝนมา เจ้ารองยังมีบางจุดที่สูไม่ได้ แล้วเจ้าเองก็เหมือนจะกลัวเจ้ารองมาก”


เว่ยซูตกใจจนมือสั่น


เซี่ยโห้วท่าหรี่ตามองปฏิกิริยาของเขา แล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้ากว่าปกติ “เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก ทำงานจองตัวเองให้ดี เจ้าติดตามข้ามานานขนาดนี้ สิ่งที่อยู่ในสมองก็คือสมบัติล้ำค่า ไม่ว่าใครจะได้ขึ้นสู่ตำแหน่งก็ไม่กำจัดเจ้าทิ้งหรอก ล้วนใช้งานเจ้าได้ หวังว่าเจ้ารองจะฟังเข้าใจ ตั้งใจฝึกฝนให้ดีก็แล้วกัน”


ลมราตรีพัดวูบเข้ามา ภายใต้โคมไฟที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง เว่ยซูก้มหน้าเงียบๆ


จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว ในห้องหนังสือของฮ่าวเต๋อฟาง ซูอวิ้นรายงานเรื่องตั้งป้ายรับสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีให้ฟัง หลังจากรู้ถึงความเกี่ยวโยงที่ร้ายกาจแล้ว ฮ่าวเจ๋อที่อยู่ข้างๆ ก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านพ่อ ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว สงสัยจะต้องกำจัดหนิวโหย่วเต๋อให้เร็วๆ หน่อย”


ไม่ว่าจะเป็นตระกูลอิ๋งหรือตระกูลฮ่าว หลังจากผลักดันตัวแทนตระกูลให้เข้าประชุมราชสำนักอย่างเปิดเผย บรรดาอ๋องสวรรค์ก็พูดคุยใกล้ชิดกับลูกชายตัวเองถี่มาก ถ้าจะพูดให้ชัดหน่อยก็คือกำลังชี้แนะฝึกฝน


ฮ่าวเต๋อฟางที่นั่งพิงเก้าอี้หลังโต๊ะยาวทำเสียงฮึดฮัด “จะกำจัดยังไงล่ะ? ถ้าปกป้องแค่นี้ยังทำไม่ได้ เช่นนั้นประมุขชิงก็นั่งในตำแหน่งไม่ได้แล้ว ไม่มีโอกาสลงมือแล้ว”


ฮ่าวเจ๋อครุ่นคิดเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าจะมีทางห้ามเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินพวกนั้นหรือเปล่า?”


ฮ่าวเต๋อฟางถอนหายใจเบาๆ “จะห้ามได้ยังไง? เจ้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าใครบ้างจะไปขอพึ่งพา? จะห้ามเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินได้ทุกคนเลยเหรอ? ใต้หล้าใหญ่ขนาดนั้น ดาราจักรกว้างใหญ่ คนพวกนั้นอยู่ระดับต่ำสุดทั่วพื้นที่ ต้องส่งคนไปมากเท่าไรถึงจะห้ามได้ล่ะ? นอกเสียจากจะให้ผู้บังคับบัญชาของคนพวกนั้นเตือนแล้วจะทำยังไงได้อีก แถมพวกเขาก็ถูกผู้บังคับบัญชาของพวกเขาข่มไว้ข้างล่าง พวกเขาไม่เคยได้รับบทเรียนจากคำเตือนของผู้บังคับบัญชาเชียวเหรอ? ขู่คนพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์เลย ถ้าพอจะอ่านสถานการณ์ออกสักหน่อย ก็คงไม่ใช้ชีวิตอนาถขนาดนั้นหรอก ตอนนี้มีทางไปแล้ว มีทางจะหลุดพ้นจากการควบคุมของสี่ทัพแล้ว ทั้งยังมีบัญชาจากราชันสวรรค์ ไม่มีอะไรให้ห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว ตบก้นหนีไปได้เลย พวกเขามองผู้บังคับบัญชาตัวเองเป็นศัตรูมานานแล้ว จะมองเห็นคำเตือนอยู่ในสายตาอีกเหรอ? ต่อให้ห้ามได้ แต่การห้ามคนมากมายขนาดนั้นต้องเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดไหน ประมุขชิงเป็นคนหูหวกตาบอกหรือไง? ถ้าห้ามได้แล้วก็เท่ากับพวกเราส่งจุดอ่อนไปให้อีกฝ่าย พวกเราก็แพ้การเดิมพันนี้อยู่ดี สงสัยการอยู่ในความร่ำรวยมานานจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร เจ้าน่ะ เจียดเวลาไปคลุกคลีกับคนระดับล่างเยอะๆ หน่อยนะ”


ฮ่าวเจ๋อกัดฟันพูด “ท่านพ่อ อย่าบอกนะว่าจะเอาแต่ดูอยู่อย่างนี้ จะไม่มีวิธีการอื่นแล้วเชียวหรือขอรับ?”


ฮ่าวเต๋อฟางพิงหลังเงยหน้า แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “พอใช้แผนนี้ ผลแพ้ชนะก็ถูกตัดสินไว้แล้ว แพ้แล้ว เป็นแผนชั่วที่ใช้ได้อย่างสง่าผ่าเผย! ตาแก่โค่วพลาดแม่ทัพชั้นดีอย่างนี้ไป…ซูอวิ้น ต้องคิดหาทางเอามาเป็นพวกสิถึงจะเป็นกลยุทธ์ชั้นยอด! ทำให้เขาสวามิภักดิ์ก่อน เมื่อโอกาสมาถึงก็ใช่ว่าจะทำงานให้ข้าไม่ได้!”

 

 

 


บทที่ 1725 กองทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้า

 

จวนอ๋องสวรรค์กวง ในตำหนักหลักด้านใน ก่วงลิ่งกง โกวเยว่กำลังคุยงานกัน เรื่องที่คุยก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใด เป็นเรื่องตั้งป้ายรับสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีนั่นเอง เมหือนกับบ้านอื่นๆ ก่วงจวินอันก็อยู่ตรงนี้ด้วยเช่นกัน หลังจากคุยกันสักพักก็เหลือเพียงเสียงทอดถอนใจที่ไร้ประโยชน์เอาไว้


“ท่านอ๋อง หวังเฟยขอพบขอรับ” จู่ๆ ก็มีคนมารายงานจากนอกตำหนัก


“อืม” เสียงนี้ก่วงลิ่งกงนับว่าอนุญาตแล้ว หันกลับมามองก่วงจวินอันว่า “เจ้าออกไปก่อน”


ก่วงจวินอันกุมหมัดคารวะแล้วถอยออกไป พอเดินมาถึงประตูก็เจอกับเม่ยเหนียงที่แต่งกายงดงามหรูหราอีก จึงทำความเคารพอีกครั้ง “คำนับหมู่เฟย!”


คำทักทายนี้แม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกเลี่ยน ผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าเขาไม่รู้ตั้งเท่าไร แต่เขายังต้องเรียกว่าหมู่เฟย มารดาที่ให้กำเนิดเขากลับไม่ได้ถูกเรียกว่า ‘หมู่เฟย’ ความรู้สึกนี้เหมือนมีหนามแหลมติดอยู่ที่คอ แต่ภายนอกกลับยังต้องแสดงออกว่าเคารพ


เม่ยเหนียงพยักหน้ายิ้มบางๆ หลังจากนางเข้ามา ก่วงจวินอันก็ออกไปแล้ว


พอเข้ามาในตำหนัก เม่ยเหนียงก็คำนับ “ท่านอ๋อง” ส่วนโกวเยว่ก็คำนับนาง


ก่วงลิ่งกงชี้เม่ยเหนียง แล้วกล่าวกับโกวเยว่ด้วยรอยยิ้มเจื่อน “จะว่าไปแล้ว ยังคงเป็นหวังเฟยที่ตามีแวว เหนือกว่าเจ้ากับข้าเสียอีก”


โกวเยว่งงไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ว่าระหว่างเม่ยเหนียงกับก่วงลิ่งกงเคยคุยอะไรกันไว้กันแน่


เม่ยเหนียงก็งงเช่นกัน ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร นางยังไม่รู้เรื่องตั้งป้ายรับสมัครคนที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ “ท่านอ๋องกำลังหัวเราะเยาะข้าหรือคะ?”


เมื่อเห็นทั้งสองมีท่าทีฉงน ก่วงลิ่งกงก็เอียงหน้าบอกโกวเยว่ “เรื่องที่ตลาดผี เจ้าบอกให้วังเฟยฟังสักหน่อยเถอะ”


“ขอรับ!” หลังจากโกวเยว่เข้าใจแล้ว ก็เล่ารายละเอียดเรื่องตั้งป้ายรับสมัครที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีให้ฟังทันที


หลังจากฟังจบ เม่ยเหนียงก็ยังงุนงงเหมือนหมอกลงสมอง หลังจากครุ่นคิดนิดหน่อย ก็ถามอย่างสงสัยว่า “รับแค่พวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินเหรอคะ? เดิมพันไว้ว่าจะรับสมัครทหารเกรียงไกรของสี่ทัพไม่ใช่เหรอ?”


“ข้าเพิ่งจะชมไปเอง ตอนนี้เลอะเลือนอีกแล้วเหรอ?” ก่วงลิ่งกงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ในบรรดาเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินไม่ขาดพวกที่วรยุทธ์พอไหวหรอก”


“อ้อ!” เม่ยเหนียงเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน “ข้าเข้าใจแล้ว หมายถึงพวกนักพรตที่โดนอำนาจบีบคั้นจนทำตามอุดมการณ์ไม่ได้”


ในจุดนี้ พอชี้แนะนิดหน่อย นางกลับหัวไวยิ่งกว่าพวกฮ่าวเจ๋อเสียอีก สิ่งนี้ทำให้ก่วงลิ่งกงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าทอดถอนใจ เขาบอกโกวเยว่ว่า “ถ้าเจ้ามีเวลาว่าง ก็เร่งรัดให้ลูกหลานตระกูลก่วงลดตัวลงไปคลุกคลีกับคนระดับล่างมากๆ หน่อย”


โกวเยว่เข้าใจความลำบากของเขา ไม่ใช่ว่าพวกฮ่าวเจ๋อฉลาดน้อยกว่าเม่ยเหนียง พวกเขาฉลาดกว่าเม่ยเหนียง ทว่าประสบการณ์ความรู้บางอย่างกลับสู้ผู้หญิงอย่างเม่ยเหนียงไม่ได้ เขาพยักหน้าตอบ “ขอรับ!”


เม่ยเหนียงไม่รู้ว่าคำพูดนี้ของก่วงลิ่งกงสื่อถึงด้านไหนอีก เพียงแต่นางไม่สะดวกจะถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับลูกหลานตระกูลโค่วมากเกินไป นี่ก็คือจุดที่ลำบากสำหรับ ‘หมู่เฟย’ อย่างนาง แล้วนางก็สนใจเรื่องหนิวโหย่วเต๋อมากกว่า จึงถามหยั่งเชิง “อย่าบอกนะว่าท่านอ๋องจะนั่งดูตัวเองแพ้เดิมพันเฉยๆ ไม่คิดหาทางห้ามหรือคะ?”


“ข้าก็อยากจะห้ามเหมือนกัน แต่กลับไม่มีทางห้ามได้…” เหมือนกับที่ฮ่าวเต๋อฟางบอกฮ่าวเจ๋อ ก่วงลิ่งกงพูดถึงอุปสรรคให้ฟัง


ถึงแม้เม่ยเหนียงจะชื่นชมหนิวโหย่วเต๋อมาก แต่ตอนนี้ก็ยังครุ่นคิดโดยยืนอยู่ฝั่งก่วงลิ่งกง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมท่านอ๋องไม่ใช้งานคนเก่งที่อยู่ท่ามกลางเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินในตำแหน่งสำคัญให้มากขึ้นหน่อยล่ะ คิดเสียว่าหยุดยั้งไม่ให้พวกเขาไปพึ่งพาที่ตลาดผี”


ก่วงลิ่งกงถอนหายใจเบาๆ “ยากแล้ว! ยังไม่ต้องพูดถึงว่าทำแบบนี้จะโดนข้อหา ‘ขัดขวางการรับสมัคร’ แล้วจุดอ่อนตกอยู่ในมือประมุขชิง ถ้าทำอย่างนี้จริง ก็จะกระทบกับโครงสร้างปัจจุบันของสี่ทัพแน่นอน”


เม่ยเหนียงแปลกใจ “จะเป็นไปได้ยังไงคะ ตัวละครระดับล่างที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักจะสร้างผลกระทบกับโครงสร้างสี่ทัพได้ยังไง?”


ก่วงลิ่งกงส่ายหน้า “สิ่งที่เรียกว่าพรรคพวกคืออะไรล่ะ? ก็หมายถึงคนทั้งระดับล่างระดับบนล้วนเป็นพวกเดียวกันไง ยกตัวอย่างเช่นผู้บัญชาการข้างล่าง ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ควบคุมพวกเขาโดยตรง แต่พวกเขาล้วนถูกควบคุมโดยผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าอีกที สี่ทัพมีผู้ใต้บังคับบัญชามากขนาดนั้น จะให้ข้าไปควบคุมเองทีละคนก็ไม่ไหวหรอก ดังนั้นจึงต้องให้ผู้ใต้บังคับบัญชาควบคุมต่อเนื่องลงไปทีละขั้น แล้วแต่ละขั้นก็ล้วนมีผลประโยชน์ที่ตัวเองต้องการ ผลประโยชน์ที่คนระดับล่างร้องขอ ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา ก็จะต้องปกป้องผลประโยชน์ไว้ในระดับหนึ่ง


ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของจอมพลใต้สังกัด ข้าเองก็ต้องพยายามกับเรื่องนั้นเพื่อพวกเขาเหมือนกัน ถ้าข้าปกป้องผลประโยชน์ของจอมพลใต้สังกัดไม่ได้ เมื่อเวลานานไป เจ้าคิดว่าจอมพลพวกนั้นยังจะฟังคำสั่งข้าอยู่หรือเปล่าล่ะ? ระดับที่ต่ำลงกว่านั้นก็ใช้หลักการเดียวกัน คนพวกนั้นที่โดนอำนาจบีบบังคับก็อยู่ในกลุ่มผลประโยชน์เหมือนกัน นี่ก็คือสิ่งที่พรรคพวกทนไม่ได้ ถ้าข้าบุ่มบ่ามเริ่มใช้งาน นั่นก็จะไม่ใช่การใช้งานคนจำนวนน้อยๆ แล้ว จะต้องหาตำแหน่งจำนวนมากมารองรับคนพวกนั้นด้วย หมายความว่าเบื้องล่างจะต้องมีคนจำนวนมากต้องหลีกทางให้พวกเขา คนเบื้องล่างจะยอมตกลงเหรอ? ถ้าคนจำนวนน้อยก็ยังจัดการง่ายหน่อย คนเบื้องล่างไม่กล้าไม่ไว้หน้าข้าหรอก แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับสมาชิกในวงกว้างเกินไป เบื้องล่างไม่มีทางให้ความร่วมมือ หรือจะให้พวกเขานิ่งดูดายปล่อยให้พวกที่โดนอำนาจบีบบังคับขึ้นสู่ตำแหน่งแล้วมาล้างแค้นพวกเขาทีหลังเหรอ? แถมข้ายังต้องยืนยันอีกว่ามีพวกไหนบ้างที่อาจจะไปพึ่งพาตลาดผี ต้องให้เบื้องล่างต่างคนต่างตรวจสอบในพื้นที่ตัวเองด้วย อ๋องผู้นี้จะตรวจสอบเองทีละคนไหวเหรอ? เรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ตัวเอง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและครอบครัวตัวเอง คนเบื้องล่างจะให้ความร่วมมือไหม? พวกเขามีแต่จะหลอกลวงเบื้องบน ระรานเบื้องล่าง ไม่มีทางส่งรายชื่อของจริงขึ้นมา ถึงขั้นอยากจะเตะคนพวกนั้นไปพึ่งพาที่ตลาดผีไวๆ ด้วยซ้ำ


สำหรับเบื้องล่าง พวกเขารู้สึกว่าไม่ว่าคนพวกนั้นจะไปพึ่งพาตลาดผีหรือไม่ ก็ไม่มีผลกระทบต่อพวกเขาเลยสักนิด ในสายตาพวกเขา การเดิมพันของเบื้องบนเกี่ยวอะไรกับพวกเขาล่ะ? และผู้บังคับบัญชาก็ทำได้เพียงปิดตาข้างเดียวกับเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าทำให้ทหารเสียกำลังใจ ก็จะสั่นคลอนการควบคุมเบื้องล่าง หวังเฟยที่รัก เจ้าคิดว่าข้าตำแหน่งสูงอำนาจเยอะพลังอิทธิฤทธิ์สูงแล้วจะทำอะไรตามใจได้เหรอ? การปกครองใต้หล้าไม่ได้ง่ายเหมือนที่เจ้าคิดหรอก เมื่อทุกคนเคยลิ้มรสหวานแล้วก็ย่อมมีผลประโยชน์ของตัวเอง จะยอมคายสิ่งที่ได้เข้าปากมาอย่างง่ายๆ ได้ยังไง  อีกทั้งยังไม่ใช่ตอนที่ใต้หล้ายังไม่ถูกำหนดที่ทุกคนล้วนไม่มีอะไร นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า บุกยึดใต้หล้านั้นง่าย แต่ปกครองใต้หล้านั้นยาก!”


เม่ยเหนียงเงียบไป วันนี้นับว่าได้รับการสั่งสอนแล้ว นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถามอีกว่า “เช่นนั้นจะสัญญากับคนพวกนั้นก่อนได้หรือเปล่า คุมไม่ให้พวกเขาไปตลาดผี รอให้การเดิมพันจบแล้วค่อยจัดการอีกที?”


ก่วงลิ่งกงชี้นาง “ความคิดของผู้หญิง เจ้าคิดว่าคนพวกนั้นโง่กันหมดเลยเหรอ? ขนาดการทดสอบที่แดนอเวจียังกำจัดพวกเขาได้ไม่หมดเลย เป็นคนที่พอจะมีสมองทั้งนั้น ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาจะเชื่อคำสัญญาของอ๋องผู้นี้หรือเปล่า ถูกกดขี่มานานหลายปีขนาดนี้ พวกเขาจะไม่รู้ชัดได้ยังไงว่าอำนาจที่กดอยู่เหนือหัวพวกเขาน่าเอียนขนาดไหน? พวกนั้นล้วนเป็นคนที่เกาะกลุ่มกัน ต่อให้จบเรื่องแล้วเลื่อนตำแหน่งให้ได้ ทั้งข้างล่างข้างบนสมคบกัน พวกเขาก็ต้องพิจารณาเหมือนกันว่าจะนั่งในตำแหน่งได้อย่างมั่นคงหรือเปล่า อย่าว่าแต่สี่ทัพเลย ต่อให้เป็นกองทัพองครักษ์ เจ้าค่อนข้างสนใจหนิวโหย่วเต๋อ ไม่เคยได้ยินเชียวเหรอว่าตอนแรกที่หนิวโหย่วเต๋อไปรับตำแหน่งที่กองทัพองครักษ์แล้วเข้าประตูไม่ได้ด้วยซ้ำ? จ้านหรูอี้ไปกองทัพองครักษ์แล้วโดนเล่นงานยับเยินขนาดไหน? ไม่ใช่ทุกคนที่จะโดนกลั่นแกล้งแล้วไม่ล้มเหมือนหนิวโหย่วเต๋อหมด อย่างน้อยหนิวโหย่วเต๋อไปกองทัพองครักษ์ก็ยังพาลูกน้องคนสนิทไปช่วยเหลือได้ แต่คนพวกนั้นไปรับตำแหน่งลำพัง แม้แต่คนช่วยป้องกันคนชั่วก็ไม่มี เบื้องบนแกล้งปิดตาข้างเดียว คนระดับเดี๋ยวกันแอบเล่นไม่ซื่อ คนระดับล่างร่วมมือกันทำชั่ว ทั้งข้างบนข้างล่างไม่มีใครสนับสนุนสักคน คนพวกนั้นถูกเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาแล้วยังไง? เมื่อไปถึงขั้นที่เอากลับคืนไม่ได้  สักวันก็ต้องถูกเล่นงานตาย ถูกข่มมาหลายปี ถ้าแม้แต่หลักการนี้ยังไม่รู้ นั่นต่างหากที่แปลก”


เมื่อได้ยินอะไรพวกนี้ เม่ยเหนียงก็เรียกได้ว่าทอดถอนใจไม่หยุด จึงลองออกความคิดอีก “ในเมื่อเรื่องราวไปถึงขั้นที่เอาคืนไม่ได้แล้ว ท่านอ๋องไม่คิดบ้างเหรอว่าจะแอบส่งคนของตัวเองไปที่นั่น จะได้ฉวยโอกาสเข้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผี?”


ก่วงลิ่งกงเอามือไขว้หลังพลางถอนหายใจยาว “นี่ก็คือจุดที่ยอดเยี่ยมของแผนการของหนิวโหย่วเต๋อ ทำให้คนจนปัญหาแบบหน้าตาเฉย แทงโดนจุดอ่อนของสี่ทัพพอดี ทำไมเขาถึงไม่รับคนที่เรียกว่าทหารเกรียงไกรของสี่ทัพน่ะเหรอ? อักษรบนป้ายหินเขียนสรรพคุณของตัวเองเป็นชุดว่าไต่เต้าขึ้นมาจากระดับต่ำ เข้าใจความลำบากของคนระดับต่ำอะไรนั่นล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล ถ้าจะพูดให้ถูก เขาไม่เชื่อมั่นใจตัวทหารเก่งๆ ที่มาพึ่งพาเลย เขาถึงจำกัดแค่พวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินไง อีกทั้งคนพวกนั้นก็ถูกข่มมาหลายปี หมดความหวังใดๆ ต่อเบื้องบนแล้ว เรียกได้ว่าสี่ทัพช่วยคัดออกให้หนิวโหย่วเต๋ออย่างสะอาดเรียบร้อย ล้วนเป็นกำลังพลสำเร็จรูปทั้งนั้น เอาไปก็ใช้งานได้เลย เฮ้อ! หนิวโหย่วเต๋อได้ชุบมือเปิบแล้ว ได้ชุบมือเปิบครั้งใหญ่ เวรตะไลเอ๊ย!” ยังพูดไม่ทันจบก็โพลงคำหยาบออกมาแล้ว นี่ต้องรู้สึกไม่ยอมขนาดไหนกัน


เม่ยเหนียงขมวดคิ้ว “พอมาดูแบบนี้ ต่อให้ท่านอ๋องถ่ายทอดคำสั่งบังคับให้คนพวกนั้นย้ายออกจากตำแหน่งพวกนั้นชั่วคราวก็ไม่ได้เหมือนกัน แบบนั้นเกี่ยวข้องกับวงกว้าง เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่เกินไป อยากจะปิดบังประมุขชิงก็ทำไม่ได้ ข้อหาขัดขวางการรับสมัครจะกลายเป็นจุดอ่อนแน่นอน ท่านอ๋อง แล้วจะปฏิเสธได้มั้ยว่าคนที่เขารับไปไม่ใช่ทหารเกรียงไกรของสี่ทัพ ถึงยังไงก็เป็นพวกเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดิน มีอะไรให้ว่าเหมือนกันนะ”


ก่วงลิ่งกงหัวเราะแห้ง “คำพูดนี้จี้จุดแล้ว เป็นเรื่องที่ทำให้คนวุ่นวายใจอีก ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ว่าคนที่จะไปพึ่งพามีวรยุทธ์เป็นยังไง ในเมื่อต้องการจะเลือกรับเข้า ศักยภาพของกำลังพลหนึ่งแสนนั่นคงไม่แย่แน่นอน เกรงว่าเจ้าเด็กนั่นคงจะสร้างกองทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่มีศักยภาพแข็งแกร่งที่สุดท่ามกลางคนระดับเดียวกัน ถึงตอนนั้นจะให้คนทนความรู้สึกได้ยังไง?”


“กองทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้า?” เม่ยเหนียงตกใจ เรียกได้ว่าสูดหายใจลึกด้วยตระหนก สายตาวูบไหวไม่หยุดนิ่ง


ก่วงลิ่งกงพูดต่อว่า “เจ้าเป็นคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยง เจ้าเวรหนิวโหย่วเต๋อนั่นกล้าโอ้อวดต่อหน้าขุนนางเต็มราชสำนักว่าตัวเองสามารถสู้ตัวต่อตัวหรือนำทัพทำสงครามก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้น คนที่เขารับไว้จะไม่นับเป็นทหารเกรียงไกรของสี่ทัพเหรอ ตอนยังไม่มีกำลังพล เจ้าเด็กนั่นยังกล้ากำเริบเสิบสานขนาดนั้น เมื่อในมือมีทัพใหญ่ที่เป็นทหารกล้าแล้ว เจ้าคิดว่าเขาจะเกรงใจเหรอ? ถ้าใครกล้าปฏิเสธ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะพิสูจน์ด้วยวิธีแข็งกร้าว ผลงานที่เขาเคยบัญชาการรบก็เห็นๆ กันอยู่ เรื่องความสามารถไม่มีอะไรต้องสงสัย ใครจะกล้าไปเสี่ยงอันตรายง่ายๆ ล่ะ ถ้ารับคำท้าขึ้นมาแล้วโดนเขาโจมตีจนกลายเป็นสวะไร้ประโยชน์ จะเก็บเศษหน้าไหวเหรอ? ใครจะพูดได้ว่าคนที่เขารับจะไม่ใช่ทหารเกรียงไกร? ความจริงได้พิสูจน์ทุกอย่างแล้ว! มีเรื่องอะไรบ้างที่เจ้าบ้านั่นทำไม่ได้ พวกเราจำเป็นต้องสร้างความอัปยศให้ตัวเองเหรอ?” พูดจบก็เอามือไขว้หลังเดิน “ถ้าเขาสร้างทัพใหญ่ที่ห้าวหาญขนาดนั้นได้จริงๆ ในมือมีกำลังทหารมากขนาดนั้น กลายเป็นเจ้าอาณาเขต คุมแดนรัตติกาลเพียงผู้เดียว เบื้องบนไม่มีใครคุมลงมาทีละขั้นด้วย อำนาจการตัดสินใจเยอะเกินไป ถ้าไม่เกิดเหตุไม่คาดคิด เกรงว่าเขาจะต้องค่อยๆ ก้าวหน้าเป็นรูปเป็นร่างแล้ว!”


เม่ยเหนียงรีบถาม “ถ้าสามารถสร้างทัพใหญ่ที่มีศักยภาพอย่างนั้นได้จริง วังสวรรค์คงไม่รู้สึกดีอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อนัก ประมุขชิงจะให้เขาคุมกำลังพลกลุ่มนั้นเหรอ? จะย้ายเขาไปแล้วให้คนอื่นมารับช่วงแทนหรือเปล่า?”


ก่วงลิ่งกงเดินไปเดินมาพร้อมบอกว่า “เจ้าคิดจริงเหรอว่าทุกคนที่ไปแล้วตั้งป้ายแบบนั้นจะทำให้รับสมัครคนได้? ถ้ามีคนไปพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ นั่นก็ล้วนเป็นความสำเร็จที่หนิวโหย่วเต๋อสร้างขึ้นโดยอาศัยปัจจัยต่างๆ ที่สะสมมาตลอดทาง กอปรกับงานเลี้ยงครั้งนั้นอาศัยกำลังของคนคนเดียวสร้างการเดิมพันจนชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า แล้วเจ้าหนุ่มนั่นก็ปราชาสัมพันธ์ตั้งป้ายว่าไม่รับทหารเกรียงไกรของสี่ทัพ สร้างผลกระทบที่เลวร้ายที่สุด กำลังอาศัยประเด็นนี้แสดงความสามารถและซื้อใจคนจริงๆ ดังนั้นคนที่ไปขอพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อก็ไปเพราะตัวบุคคล ไม่ได้ไปเพราะสวัสดิการของตลาดผี สวัสดิการของตลาดผีดึงดูดคนได้ด้วยเหรอ? ใครกล้ารับประกันว่าไปแล้วจะนั่งตำแหน่งของหนิวโหย่วเต๋อได้?”

 

 

 


บทที่ 1726 จิตใจว้าวุ่น

 

“อย่าบอกนะว่าจะขัดบัญชาสวรรค์เพื่อพุ่งเป้าไปหาหนิวโหย่วเต๋อ?” เม่ยเหนียงถาม


ก่วงลิ่งกงส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นหวังเฟยบอกหน่อยว่าข้าเคยทำเรื่องที่ขัดบัญชาสวรรค์หรือเปล่า? เรื่องบางเรื่องสามารถทำได้ แต่จะทำอย่างเปิดเผยไม่ได้ การที่พวกเขาไปพึ่งพาตลาดผีก็เท่ากับทรยศสี่ทัพ ไม่กล้ากลับมาที่ค่ายของสี่ทัพอีก เพราะกลัวว่าจะโดนชำระบัญชี ไม่กล้าไปที่ตลาดสวรรค์เช่นกัน เพราะถึงแม้ในนามตลาดสวรรค์จะอยู่ในสังกัดตำหนักนารีสวรรค์ แต่ที่จริงกลับถูดอิทธิพลของสี่ทัพอย่างล้ำลึก ดังนั้นถ้าพูดจากบางระดับ เมื่อไรที่คนพวกนี้ไปรวมตัวกัน ก็จะกลายเป็นกลุ่มผลประโยชน์เล็กๆ ที่มีหนิวโหย่วเต๋อเป็นหัวหน้า แน่นอน ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง นั่นก็คือถูกกองทัพองครักษ์จัดระเบียบ แต่ประมุขชิงเป็นคนที่รักศักดิ์ศรีหน้าตา หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งจะมอบตำแหน่งโหวให้เขาสี่ตำแหน่ง ถ้าเขารื้อเวทีทันทีจะไม่ถูกใต้หล้าหัวเราะเยาะหรอกหรือ? ดังนั้นภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เขาก็ไม่มีทางไปแตะต้องกำลังพลของหนิวโหย่วเต๋อเลย และต่อให้กำลังพลกลุ่มนี้จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่อย่างมากก็เก่งในขอบเขตคนระดับเดียวกัน ยังไม่อยู่ในสายตาประมุขชิงหรอก และเมื่อเวลานานไป หนิวโหย่วเต๋อบัญชาการกองทัพหลายปี จะไม่มีพลังควบคุมสักนิดเลยเหรอ? แน่นอน ถ้าประมุขชิงต้องการจะปรับปรุงกำลังพลกลุ่มนี้ พวกเขาก็ต้านไม่ไหวเช่นกัน ถึงยังไงพลังก็อ่อนแอไปหน่อย ถ้ากล้าขัดคำสั่ง ประมุขชิงก็สามารถกำจัดกำลังพลกลุ่มนี้ทิ้งได้ทุกเมื่อ”


เม่ยเหนียงฟังจนงงงวยสับสน เหมือนจะฟังเข้าใจนิดหน่อย แต่ก็เหมือนจะฟังไม่เข้าใจเลยสักนิด


ทว่าจู่ๆ ก่วงลิ่งกงก็เปลี่ยนแระเด็นสนทนา “หวังเฟยรู้สึกว่าเม่ยเอ๋อร์กับหนิวโหย่วเต๋อเหมาะสมกันมากเหรอ?”


เม่ยเหนียงอึ้งทันที รีบบอกว่า “จะเป็นไปได้ยังไงคะ? เม่ยเอ๋อร์เป็นอนุภรรยาไม่ได้หรอก มิหนำซ้ำหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่มีทางหย่ากับอวิ๋นจือชิวมาแต่งงานกับเม่ยเอ๋อร์ด้วย”


ก่วงลิ่งกงหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ล้อเล่นกับเจ้าเฉยๆ ข้ายังมีธุระอีก ถ้าเจ้าไม่มีเรื่องอื่นก็ถอยออกไปก่อนเถอะ”


เม่ยเหนียงกลอกตามองบน แล้วย่อเข่าคำนับ “ข้าขอตัวค่ะ”


โกวเยว่กุมหมัดคารวะน้อมส่ง


เม่ยเหนียงที่เดินออกมานอกประตูแล้วกลับรู้สึกเศร้าใจนิดหน่อย ในหัวใจยังมีประโยค ‘กองทัพอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ ดังก้อง พบว่าหนิวโหย่วเต๋อที่นางเอาใจช่วยมาตลอดไม่ทำให้นางผิดหวังจริงๆ ด้วย ยิ่งเป็นแบบนี้ ในใจนางก็ยิ่งรู้สึกหดหู่


หลังจากรอจนเงาคนหายไปแล้ว ก่วงลิ่งกงที่อยู่ในตำหนักก็ถามเสียงเรียบว่า “เจ้าคิดว่าระหว่างเม่ยเอ๋อร์กับหนิวโหย่วเต๋อยังมีความเป็นไปได้อยู่มั้ย?”


“เอ่อคือ…” โกวเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วตอบเบาๆ “อาศัยความงามของคุณหนู คาดว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนเห็นแล้วไม่หวั่นไหว”


ก่วงลิ่งกงหันตัวมาถาม “เจ้าหมายความว่ายังมีความเป็นไปได้เหรอ?”


“หรือว่า…” โกวเยว่ส่ายหน้า แต่ดูจากสีหน้าแล้ว เหมือนอึกอักแต่พูดไม่ออก


“มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ทำไมต้องอึกอัก?” ก่วงลิ่งกงถาม


“ท่านอ๋องยังคิดจะดึงตัวหนิวโหย่วเต๋ออยู่อีกเหรอขอรับ?” โกวเยว่ถามกลับ


“คนเก่งขนาดนี้ ถ้าไม่ไปดึงตัวมา เช่นนั้นก็แปลว่าอ๋องผู้นี้ไร้ความสามารถแล้ว ถ้าบอกว่าจะดึงตัวตอนนี้อาจจะฟังดูเพ้อฝันเช่นกัน บทเรียนจากตระกูลโค่วก็มีให้เห็นแล้ว” ก่วงลิ่งกงหรี่ตากล่าวเสียงต่ำ สีหน้าเปลี่ยนแปลงยากคาดเดา


โกวเยว่รู้จักเขาดีเกินไป เมื่อนำคำพูดก่อนหน้านี้ของเขามาเชื่อมโยงกับสีหน้าและปฏิกิริยาในตอนนี้ ก็พอจะเดาความคิดของเขาออกแล้ว เพียงแต่เรื่องบางเรื่อง คนเป็นพ่อไม่สะดวกจะพูดออกมาก็เท่านั้นเอง เขาจึงบอกว่า “บ่าวมีกลยุทธ์ชั้นต่ำอย่างหนึ่ง ซื้อตัวไม่สู้ซื้อใจ ถ้าใจเขาอยู่ฝั่งท่านอ๋อง เมื่อโอกาสมาถึง การที่หนิวโหย่วเต๋อจะทำงานรับใช้ท่านอ๋องก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ส่วนการฝืนเอาตัวมาแต่ใจไม่ได้อยู่ฝั่งนี้ นั่นก็เป็นเรื่องจอมปลอมเช่นกัน”


ก่วงลิ่งกงขานรับแล้วบอกว่า “เป็นกลยุทธ์ชั้นต่ำยังไง ลองดูให้ฟังหน่อย”


เสียงของโกวเยว่ต่ำเบาลงหลายส่วน “ก็อย่างที่บอก อาศัยความงามของคุณหนู คาดว่าคงไม่มีผู้ชายคนไหนไม่หวั่นไหว ถ้าฝืนยัดให้หนิวโหย่วเต๋อคงไม่ใช่เรื่องดี โบราณกล่าวว่าแตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน แถมจุดประสงค์ที่ต้องการจะใช้ประโยชน์ก็ชัดเจนไปหน่อย หนิวโหย่วเต๋อเองก็ไม่ใช่คนโง่ แบบนี้มีแต่จะถูกอีกฝ่ายป้องกันด้วยซ้ำ ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันไม่ได้ก็เป็นสหายกันไปก่อน เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ ไป อาศัยความงามของคุณหนู เมื่ออยู่กับหนิวโหย่วเต๋อนานไปก็จะเกิดความรักต่อกันได้ง่าย ถ้าระหว่างทั้งสองคนเกิดอะไรขึ้นแม้แต่นิดเดียว ท่านอ๋องก็แกล้งเลอะเลือนทำเป็นไม่รู้ก็ได้ คุณหนูเป็นบุตรีแท้ๆ ของท่านอ๋อง อาศัยจุดนี้ ถ้าเขามีความรู้สึกส่วนตัวกับคุณหนู ไม่ว่าจะในด้านความรู้สึกหรือเหตุผล ใจเขาก็จะเอนเอียงมาทางฝั่งท่านอ๋อง เรื่องบางเรื่องถ้าแกล้งเลอะเลือนไว้บ้างก็อาจจะซื้อใจคนได้ง่ายกว่าการใช้เงินทองและยศสูงมาล่อ จะเกาถูกใจคนได้ง่าย จะผูกมัดคนไว้ได้ง่ายยิ่งกว่า ถ้าโอกาสเหมาะสมเมื่อไร ทุกอย่างก็จะเหมาะเจาะเหมือนน้ำมาคลองเกิด”


“เพียงแต่ทำแบบนี้จะไม่ยุติธรรมกับเม่ยเอ๋อร์ไปหรือเปล่า?” ก่วงลิ่งกงลังเล


พูดมาถึงขั้นนี้แล้วแต่ยังชักช้าลังเล โกวเยว่ก็นับว่าเข้าใจแล้ว ว่าเขาต้องรับบทคนชั่วเอง จึงพูดโน้มน้าวว่า “การรวบรัดในเวลาสั้นๆ อาจจะไม่ดีกว่าการตัดบัวให้เหลือใย บางทีคุณหนูอาจจะได้รับความไม่ยุติธรรมบ้าง แต่สิ่งที่คุณหนูทำก็เป็นการเสียสละเพื่อทั้งตระกูลโค่ว ถ้าตระกูลโค่วดี คุณหนูถึงจะได้อยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงทำให้หนิวโหย่วเต๋อผูกหัวใจไว้ที่ตัวคุณหนู ในอนาคตก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสทำให้คุณหนูสมปรารถนา และถ้ามองจากบางมุม การให้คุณหนูกับเขามีความสัมพันธ์ลับๆ กัน ทนรับความไม่ยุติธรรมนิดหน่อยเพื่อเอาใจหนิวโหย่วเต๋อกับอวิ๋นจือชิว บางทีอาจจะคว้าใจหนิวโหย่วเต๋อได้มากกว่าขอรับ”


ก่วงลิ่งกงทำท่าลังเล เหมือนลำบากใจที่จะตัดสินใจมาก แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้าช้าๆ “อย่าให้ฮูหยินรู้เรื่องนี้นะ”


“ขอรับ!” โกวเยว่กุมหมัดเอ่ยรับ รู้ว่าเขาอนุญาตแล้ว


จวนเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ในหอสง่างามน้อย ผังก้วนกํบพ่อบ้านเฉินหวยจิ่วกำลังสบตากันอยู่พักหนึ่ แล้วสุดท้ายก็ถอนหายใจ “ช่างเป็นแม่ทัพชั้นดีจริงๆ ถ้าเขาทำงานให้ข้าได้ก็คงดี”


เฉินหวยจิ่วบอกว่า “เขาดึงดูดสายตาคนมากเกินไป เกรงว่าเบื้องบนคงจะจับตาดูแล้ว นายท่านดึงตัวเขาไว้ไม่เหมาะสม นายท่านแอบสานสัมพันธ์อันดีกับเขาแล้วไม่ใช่เหรอ? แถมจุดอ่อนเขายังอยู่ในมือนายท่านด้วย ตราบใดที่รักษาความสัมพันธ์อันดีไว้ เรื่องในอนาคตไม่ว่าใครก็พูดได้ไม่ชัดเจน เขาอาจจะทำงานรับใช้นายท่านก็ได้ และงานของเขาก็อาจจะไม่ใช่การบุกรบราฆ่าฟัน ถ้ามีเรื่องอะไรแล้วให้เขาช่วยออกความคิดให้นายท่านก็ดีเหมือนกัน”


ผังก้วนครุ่นคิดพลางพยักหน้าเบาๆ


“แค่หวีผมยังหวีไม่เรียบร้อยเลย ไสหัวไปให้หมด”


หวงฝู่ตวนหรงที่นั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอารมณ์เสียมาก ทำให้สาวใช้สองคนตกใจแทบแย่ พวกนางรียถอยออกไปแล้ว


อู่หนิงที่เดินเข้าประตูมาหันกลับไปมองสาวใช้สองคนที่ตกใจอย่างงุนงง แล้วก็เดินไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอีก ยืนอยู่ข้างหลังหวงฝู่ตวนหรงแล้วเพ่งมองผมของนางข้างซ้ายและข้างขวา


“มองอะไรของเจ้า? ไม่เคยเห็นหรือไง?” หวงฝู่ตวนหรงจ้องกระจกพร้อมถามเขาอย่างหงุดหงิด


อู่หนิงไม่ใส่ใจ กลับถามอย่างร่าเริงว่า “ผมเจ้าหวีได้ดีมากแล้วไม่ใช่เหรอ?”


“ผู้ชายอย่างพวกเจ้าจะเข้าใจอะไร?” หวงฝู่ตวนหรงถาม


อู่หนิงส่ายหน้าหัวเรา ช่วยนางแก้มัดมวยผม แล้วหยิบหวีออกมาจัดแต่งทรงให้นางใหม่ “สองวันนี้อารมณ์เจ้าไม่ค่อยปกตินะ มีเรื่องอะไรก็เล่าให้ข้าฟังเพื่อคลายความกลัดกลุ้มได้”


หวงฝู่ตวนหรงถลึงตา “คลายความกลัดกลุ้ม? แค่เห็นเจ้าก็รำคาญแล้ว เที่ยวเล่นสบายใจทั้งวัน”


อู่หนิงไม่หยุดมือ จัดแต่งทรงผมได้ชำนาญเป็นพิเศษ กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “พอแล้ว! โหรวโหรวกำลังจะกลับมาแล้ว เจ้าเป็นแม่คน เตรียมจะให้ลูกสาวกลับมาเห็นสีหน้าของเจ้าแบบนี้เหรอ? ห่างกันไกลจะพบหน้ากันสักครั้งไม่ง่ายเลย เห็นหน้าลูกสาวแล้วระงับความโกรธหน่อย”


“พวกเจ้าสองพ่อลูกไม่มีใครทำให้ข้าเบาใจสักคน เห็นแล้วโมโห” หวงฝู่ตวนหรงตวาดใส่อย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย


อู่หนิงหัวเราะต่อไป ได้แต่ส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ด่าตามอำเภอใจ ไม่เถียงแล้ว อย่างไรเสียพูดอะไรไปก็ผิด


หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หวงฝู่ตวนหรงก็เป็นฝ่ายถามก่อน “ช่วงนี้การรับสมัครคนที่จวนแม่ทัพภาคตลาดฮือฮาไม่เบาเลยนะ! เจ้าคิดว่ายังไง?”


อู่หนิงหยุดมือเล็กน้อย จากนั้นก็จัดแต่งทรงผมต่อไป เพียงแต่กล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่ธรรมดาเลย มีคนอยากจะกดเขาไว้ที่ตลาดผี เกรงว่าจะกดไม่ไหวแล้ว เป็นตัวละครที่หาพบได้ยาก”


หวงฝู่ตวนหรงจ้องกระจกพลางถามซักไซ้ “พอเป็นแบบนี้ เขามีโอกาสกลายเป็นเจ้าอาณาเขตจริงเหรอ?”


อู่หนิงถอนหายใจ “ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลคงหนีเขาไม่พ้นแล้ว ตั้งตารอไปเถอะ”


หวงฝู่ตวนหรงแสยะยิ้ม “ขุนนางทั้งราชสำนักเป็นอะไรกันไปหมด ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนคนไร้ยางอายใช้วิธีการสกปรกเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์แล้ว”


อู่หนิงยิ้มพร้อมกล่าวว่า “เจ้าน่ะ! เจ้าก็แค่เห็นว่าเขากับโหรวโหรวเคยขัดแย้งกันไม่ใช่เหรอ นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมานานมากแล้ว ทำไมต้องเก็บมาใส่ใจอยู่อีก? แล้วอีกอย่างนะ เจ้าตัวไม่ได้ใช้วิธีการสกปรกเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์เลย แต่เป็นคนมีความสามารถที่แท้จริงต่างหาก จะไม่วางแผนเพื่ออนาคตได้ยังไงกัน? คนที่บัญชาการกองทัพ ศึกไม่หน่ายเล่ห์ ไงล่ะ! แล้วอีกอย่างนะ แผนการที่ใช้วิธีการสกปรกเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์แบบนี้เจ้าคิดออกมั้ยล่ะ? เรียกได้ว่าแผนซ้อนแผน มีแผนสำรองตลอด ไม่ธรรมดาจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อมีความสามารถขนาดนี้ ดีไม่ดีความสำเร็จอาจจะไม่ได้อยู่แค่นี้ก็ได้!”


หวงฝู่ตวนหรงฟังจนจิตใจสับสนวุ่นวาย ตีมือเขาออก แล้วกล่าวอย่างทนรำคาญไม่ไหว “ไปให้พ้น ไปให้พ้น ดูมือเท้าโง่ๆ ของเจ้าจัดทรงผมให้ข้าสิ”


“…” อู่หนิงพูดไม่ออก ปักหวีไว้บนผมงามของนางด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ แล้วสะบัดชายเสื้อเดินวางมาดออกไป แต่พอเดินไปถึงประตูก็ยื่นหัวกลับมาอีก “ฮูหยิน ข้าจะทำของอร่อยไว้รอต้อนรับลูกสาว เจ้ารีบจัดทรงผมแล้วมาช่วยข้าทำหน่อย”


“ไสหัวไป!” หวงฝู่ตวนหรงคว้าตลับแป้งโยนใส่ อู่หนิงหดหัวหลบ เหลือเพียงเสียงตลับแป้งกระแทกประตูตกพื้น


บนยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมขาวโพลน ตรงตีนถูเขาหิมะเขียวชอุ่ม น้ำแข็งละลายเป็นลำธารไม่หยุด ตรงริมฝั่งแห่งหนึ่งที่มีน้ำไหลผ่านอย่างสงบ บนโขดหินมีชายชุดเหลืองคนหนึ่งกำลังเอามือลูบเคราพลางตกปลา สายตาจ้องทุ่นลอยบนผิวน้ำ เหมือนเหม่อลอยเล็กน้อย ทุ่นลอยกะรเพื่อมไม่หยุด มีปลากัดเบ็ดแล้วแต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร


ชายชุดดำคนหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า สายตากวาดมองตามริมฝั่ง ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหก สายตาหยุดอยู่ที่ชายชุดเหลืองเบื้องล่าง ก่อนจะถลันตัวไปเหยียบลงด้านข้าง


พอชายชุดเหลืองเห็นเขา ก็ยืนขึ้นทันที ถามว่า “กลับมาเร็วขนาดนี้เชียว? ไปสืบความจริงมาแล้วเหรอ?”


“ไม่ใช่ว่าข้าเร็วหรอก ข้าเพิ่งจะเอาของดีชุดหนึ่งไปขายที่ตลาดผี ข้าบังเอิญไปที่นั่นพอดี” ชายชุดดำโยนแผ่นหยกเข้ามา แล้วกล่าวเสียงเรียบ “อักษรบนป้ายหินจวนแม่ทัพภาคตลาดผีอยู่นี่แล้ว ไม่ตกสักตัวอักษร!”


ชายชุดเหลืองรับมาอ่าน หลังจากอ่านแล้วก็เงยหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย ถามอย่างชัดเจนว่า “เป็นยังไง? ไปหรือไม่ไป”


ชายชุดดำยังคงมีสีหน้าสุขุมใจเย็น “ข้าคิดดีแล้ว ถ้าไปพึ่งพาจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ก็จะหมายความว่าทรยศฝั่งนี้ จะกลายเป็นผูกความแค้นกับฝั่งนี้”


“หนิวโหย่วเต๋อกับฝั่งนี้ผูกความแค้นกันน้อยหรือไง? อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะเจรจาสงบศึกกับฝั่งนี้แล้วขายพวกเรา” ชายชุดเหลืองกล่าว


ชายชุดดำบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อรับหนึ่งแสนคน เจ้ากับข้าอาจจะไม่ได้ดีที่สุด บวกกับตำแหน่งของเจ้ากับข้าก็ต่ำ ไปแล้วอาจจะไม่ได้ตำแหน่งดีๆ แล้วเขาอาจจะไม่รับพวกเราก็ได้”


“มีความสามารถขนาดนั้น ข้าว่าความสำเร็จของเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้แน่ ถ้าไปพึ่งพาตอนนี้ ไม่ว่าตำแหน่งในปัจจุบันจะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยในอนาคตก็ยังมีโอกาส หรือเจ้าอยากจะเป็นเทพแห่งภูผาอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิต?” ชายชุดเหลืองชี้ไปยังยอดเขาที่มีหิมะขาวโพลนด้วยสีหน้าโกรธเคือง แต่ไม่นานก็กลับมาพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “อย่างไรเสีย ต่อให้เขาจะไม่อยากรับพวกเราไว้ พวกเราก็กลับมาเงียบๆ ก็ได้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะเปิดโปงตัวตนเพื่อขายพวกเรา ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว!” เขาโยนคันเบ็ดในมือลงน้ำ แสดงออกว่าตัดสินใจแล้ว


ชายชุดดำจ้องเขาพักหนึ่ง “ไป!” จู่ๆ ก็พูดทิ้งท้ายแล้วแฉลบขึ้นฟ้าไป ชายชุดเหลืองถลันตัวตาม ทั้งสองหายไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่

 

 

 


บทที่ 1727 รับสมัครคนอย่างเป็นทางการ


ดวงอาทิตย์สองดวงบนฟ้าสว่างจ้าตา ทรายเหลืองเบื้องล่างท่วมท้น เนินทรายไรที่สิ้นสุด


กิ้งก่าประหลาดสีน้ำตาลตัวหนึ่งที่ยาวสองจั้งกว่ากำลังคลานขึ้นเนินทรายกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตอย่างเอื่อยเฉื่อย บนหลังกิ้งก่ามีชายหนุ่มวัยกลางคนสวมเสื้อแขนสั้นคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิ กางร่มบังแดดหนึ่งคัน ตัวโอนเอนอย่างช้าๆ โยกไหวไปตามจังหวะการคลานของกิ้งก่า เหมือนกำลังนั่งสมาธิฝึกตนอยู่ แต่ก็เหมือนกำลังนอนงีบอยู่ สัญลักษณ์วรยุทธ์ตรงหว่างคิ้วเป็นรูปกิ้งก่าสีแดงตัวหนึ่ง


เพียงแต่ทรายที่อยู่รอบข้างกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างประหลาด บางครั้งเม็ดทรายแต่ละเม็ดก็ก็รวมกันเป็นกองสูงไม่หยุด บางครั้งก็ก่อรูปกลายเป็นต้นไม้ใบหญ้า สรุปก็คือหลังจากกิ้งก่าคลานผ่านไปแล้ว ปรากฏการณ์ประหลาดของเม็ดทรายก็พังทลายกลับสู่สภาพเดิม


แสงแดดบนท้องฟ้าแก่กล้า เงาคนคนหนึ่งถลันตัวผ่านเข้ามา แม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งเหาะลงจากฟ้า ยืนอยู่บนเนินทรายเบื้องหน้า แล้วตะโกนเรียกเสียงดัง “หลงซิ่น!”


กิ้งก่ายักษ์คลานขึ้นไปบนเนินทรายนั้นช้าๆ แล้วก็หยุดอยู่กับที่


ร่มกันแดดยกขึ้นช้าๆ ชายหนุ่มเสื้อแขนสั้นที่ชื่อหลงซิ่นมองอีกฝ่ายแวบเดียว จากนั้นลุกขึ้นยืนจากตัวกิ้งก่าเดินลงมา ร่มบังแดดดในมือถูกถือในแนวเฉียง แล้วก็พังทลายกลายเป็นเม็ดทรายตกลงพื้น กิ้งก่าตัวนั้นก็พังทลายกลายเป็นเม็ดทรายเช่นกัน ที่แท้ร่วมบังแดดกับกิ้งก่าก็ล้วนก่อตัวขึ้นมาจากทราย


หลงซิ่นเดินเนิบนาบไปหาแม่ทัพใหญ่เกราะแดง ผิวเนินทรายพลิกขึ้นมา กลายเป็นต้นกล้าสีน้ำตาลต้นหนึ่ง มันเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่มีพุ่มบังแดด เห็นได้ชัดว่าข้างบนยังมีไอชื้น เหมือนเป็นทรายที่ทะลักขึ้นมาจากพื้นที่ลึกที่สุด นำพาความเย็นสบายมาสู่เขตร้อนระอุแห่งนี้


ใต้ร่มไม้ โต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้สองตัวทะลักขึ้นมาจากทราย หลงซิ่นนั่งลง โบกมือวางสุราสองจอก แล้วถือกาสุราใบหนึ่งรินสุราให้


แม่ทัพใหญ่เกราะแดงมองต้นไม้ใหญ่แล้วก็มองโต๊ะเก้าอี้ที่สมจริง ก่อนจะเดาะลิ้นอุทาน “พี่หลง ทรายของเจ้าเหมือนจะเล่นได้เป็นเรื่องเป็นราวเชียวนะ!”


หลงซิ่นรินสุราเสร็จแล้วยื่นมือเชิญให้นั่ง แล้วตัวเองก็คว้าจอกสุราไว้ในมือ กล่าวอย่างใจเย็นว่า “ไม่ปิดบังเจ้า หลายหมื่นปีมานี้ไม่ได้อยู่อย่างสูญเปล่า ข้าสร้างเคล็ดวิชาหนึ่งได้เอง ค่อนข้างน่าสนใจ”


“อ้อ!” แม่ทัพใหญ่เกราะแดงนั่งลง เหมือนจะไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “สงสัยพี่หลงจะมีพรสวรรค์พิเศษนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างเคล็ดวิชาฝึกตนเองได้”


“ถุย!” หลงซิ่นพูดเย้ยตัวเอง “เล่นทรายมาสามหมื่นปีแล้ว ขอเพียงไม่เล่นจนตัวเองกลายเป็นคนโง่ ไท่ว่าใครก็เล่นจนเป็นเรื่องเป็นราวได้”


แม่ทัพใหญ่เกราะแดงส่ายหน้าถอนหายใจ “คนอื่นเป็นขุนนางตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ดูเจ้าสิ ตำแหน่งต่ำลงเรื่อยๆ”


หลงซิ่นทเสียงฮึดฮัด “โจวจ้าวจะกลั่นแกล้งข้าให้ได้ ข้าจะทำอะไรได้เหรอ?”


แม่ทัพใหญ่เกราะแดงบอกว่า “โจวจ้าวไม่ใช่เทพประจำดาวเหมือนในปีนั้นแล้ว ตอนนี้ได้เป็นท่านจอมพลแล้ว เจ้าก้มหน้ายอมรับผิดมันยากขนาดนั้นเลยเหรอ? ไม่ใช่ฮูหยินเอกสักหน่อย เป็นอนุภรรยาคนหนึ่งเท่านั้น ทำไมต้องลำบากทำให้ตัวเองกลายเป็นอย่างนี้? ถ้าในปีนั้นเจ้าอดทนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาศัยคุณสมบัติและประสบการณ์ของเจ้า ไม่แน่ตอนนี้อาจได้เป็นเทพประจำดาวแล้วด้วยซ้ำ จะบีบให้เขาเล่นงานเจ้าจนตายเชียวเหรอ?”


หลงซิ่นแสยะยิ้ม “ผู้หญิงที่ข้ารักที่สุดตายอย่างมีเงื่อนงำ มีคนเห็นเองกับตาว่าลูกชายเขาชิงตัวนางไป ข้าแค่ไปขอคำชี้แจ้งจากลูกชายเขา ข้าผิดด้วยเหรอ? จะเล่นงานข้าให้ตายงั้นเหรอ? เขากล้ามั้ยล่ะ? ในปีนั้นข้าติดตามรับใช้เขา สร้างผลงานด้วยความลำบากยากเย็น ถ้าข้าตายอย่างไม่ชัดเจน แล้วคนอื่นจะคิดยังไงล่ะ? เจ้ายังไม่เข้าใจอีกเหรอ? เขาเก็บข้าไว้ไม่ยอมฆ่า ภายนอกเหมือนให้โอกาสข้า แต่ที่จริงทำเพื่อแสดงให้เบื้องล่างเห็นเท่านั้น ทำเพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่ผิด พิสูจน์ว่าเขาเป็นคนที่เห็นแก่ไมตรีเก่า พิสูจน์ว่าเขาให้โอกาสข้ามาตลอด แต่ความจริงล่ะ? ก็แค่จะให้ข้าพูดออกมาเองว่าข้าเข้าใจผิดไป เป็นข้าที่ผิดเอง จะได้ชี้แจงกับเบื้องล่างให้สะดวก ระหว่างข้ากับเขาทะเลาะกันจนถึงขั้นทิ้งปมในใจไว้แล้ว หรือเจ้าคิดว่าจะคลายปมได้ง่ายขนาดนั้นเลย? ข้าไม่ก้มหน้ายอมรับผิดยังรักษาชีวิตได้เลย ถ้ายอมรับผิดเมื่อไร เขาได้คำชี้แจงต่อเบื้องล่างเบื้องบนแล้ว เกรงว่าข้าจะต้องสิ้นชีพในไม่ช้าก็เร็ว!”


แม่ทัพใหญ่เกราะแดงบอกว่า “แต่เจ้าถ่อไปพึ่งพาหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นเรื่องเพ้อฝันเช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อเป็นตัวอะไรกันล่ะ? เป็นแม่ทัพภาคตลาดผีคนหนึ่งเท่านั้นเอง ต่อให้เป็นหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลได้แล้วยังไงล่ะ? เจ้าวรยุทธ์เท่าไร? วรยุทธ์สำแดงฤทธิ์ขั้นหนึ่งเชียวนะ เคยเป็นท่านโหวที่ได้ยืนประชุมในราชสำนักมาก่อน ตอนนี้ไปขอพึ่งพาแม่ทัพภาคตลาดผีคนหนึ่ง แบบนี้ไม่การเป็นคุยโวไร้สาระหรอกเหรอ? เจ้าเสียหน้าไหวเหรอ?”


“เสยหน้า?” หลงซิ่นชี้ไปรอบๆ “ตอนนี้ชีวิตข้าดีมากหรือไง? เป็นเทพแห่งผืนดินเฝ้าอยู่บนทะเลทรายผืนนี้ไม่รู้สึกเสียหน้าเหรอ?”


แม่ทัพใหญ่เกราะแดงจึงบอกว่า “เวลาผ่านไปนานขนาดนั้นแล้ว ทุกคนลืมเจ้าไปหมดแล้ว ใครยังจะสนใจว่าเจ้าเป็นเทพแห่งผืนดินอยู่อีก ถ้าเจ้าไม่เติบโตขึ้นมาใครจะมานึกถึงเจ้า ถ้าเจ้ากระโดดออกมา ก็จะดึงดูดสายตาของทุกคนอีกครั้ง นั่นต่างหากที่จะเสียหน้าจริงๆ”


หลงซิ่นกล่าวเสียงเรียบว่า “จะเสียหน้าหรือไม่เสียหน้าแล้วเกี่ยวอะไรกัน ผู้หญิงที่ข้ารักที่สุดตายอย่างมีเงื่อนงำ ลูกน้องคนสนิทของข้าในปีนั้นก็ถูกกวาดล้างหมดเกลี้ยง คนตายไปเยอะขนาดนั้น แต่ยังรอคำชี้แจงจากข้าอีก ทำไมข้าต้องทนรับความอัปยศอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ เพราะข้าเฝ้ารอโอกาสมาตลอด รอโอกาสที่จะลืมตาอ้าปากอีกครั้ง!”


แม่ทัพใหญ่เกราะแดงบอกว่า “หรือเจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะให้โอกาสเจ้าได้? เป็นเจ้าที่ไร้เดียงสา หรือเป็นข้าที่ไร้เดียงส? ตำแหน่งหัวหน้าภาคสูงสุดที่แดนรัตติกาลแล้ว ไม่สามารถขยายอาณาเขตได้อีก สี่ทัพไม่มีทางตัดแบ่งอาณาเขตให้ เบื้องบนไม่มีทางปล่อยให้กำลังพลแดนรัตติกาลเพิ่มขึ้นเช่นกัน ตระกูลเซี่ยโห้วจะเป็นฝ่ายแรกที่ไม่ยอม ต่อให้เจ้านั่งตำแหน่งหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลแล้วยังไงล่ะ ในมือมีกำลังพลแค่หนึ่งแสน หนิวโหย่วเต๋อนั่งตำแหน่งนั้นยังพอไหว เพราะศักยภาพเขามีจำกัด ถ้าเจ้าไปนั่งตำแหน่งนั้นก็จะกลายเป็นเป้าให้ผู้คนโจมตี! จะมีบางคนรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม จะยอมแลกทุกอย่างเพื่อกำจัดเจ้าทิ้ง! บางทีพอเจ้าเดินออกจากที่นี่แล้ว ก็อาจจะกลายเป็นตะปูแทงตาคนบางกลุ่มทันทีเลยก็ได้! ขออภัยที่ข้าพูดตรงนะ ต่อให้เจ้าต้องการจะหาโอกาส แต่นี่ก็ไม่ใช่โอกาสของเจ้า! แล้วอีกอย่าง เจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่า ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะกล้ารับเจ้ามั้ย? ถ้ารับเจ้าไว้ก็อาจจะนำปัญหายุ่งยากมาให้เขาก็ได้”


ขณะที่หลงซิ่นถือการินสุรา ก็ยิ้มเรียบๆ พร้อมกล่าวว่า “เจ้ากับข้ามีจุดยืนไม่เหมือนกัน วิธีการมองปัญหาก็ไม่เหมือนกัน เถียงกันต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร เอาเป็นว่าข้าเอาใจช่วยหนิวโหย่วเต๋อ มองเขาเป็นโอกาสอย่างหนึ่ง เจ้าเองก็ไม่ต้องมาโน้มน้าวข้าหรอก เรื่องตั้งป้ายรับสมัครยืนยันได้หรือยัง?”


“เจ้า…” แม่ทัพใหญ่เกราะแดงทำท่าเหมือนไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี สุดท้ายก็จนปัญญา โยนแผ่นหยกไว้บนโต๊ะ “อักษรป้ายรับสมัครอยู่ในนี้ไม่ตกหล่น ตรวจสอบมาแล้ว มีเรื่องนี้จริงๆ ไม่ผิดพลาดแน่นอน แต่ข้าแนะนำให้เจ้าไตร่ตรองให้ดี ไม่จำเป็นต้องไปสร้างความอัปยศให้ตัวเอง ถ้าเขาไม่ยอมรับเจ้า หลังจากข่าวที่เจ้าจะไปขอพึ่งพาแพร่ออกไป เกรงว่าท่านนั้นคงยากจะรับเจ้าได้อีก ถ้าไม่ระวังนิดเดียวก็เท่ากับรนหาที่ตายเลย!”


หลงซิ่นมองสำเนาอักษรบนป้ายหินที่เขียนในแผ่นหยก แล้วหลับตาครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนลืมตามองคนตรงหน้า พร้อมกล่าวช้าๆ ว่า “ข้าเดิมพันว่าเขาจะรับข้าไว้แน่นอน!” พูดจบก็ใช้มือสองข้างยกจอกสุราขอบคุณ เงยหน้ากระดกสุราหมดจอก แล้วร่างกายก็พลันหายไปจากที่เดิม เหลือเพียงจอกสุราใบเดียวที่หมุนอยู่บนโต๊ะ


แม่ทัพใหญ่เกราะแดงเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงเงาคนคนหนึ่งหายไปในท้องฟ้าเพียงชั่วพริบตาเดียว เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าถอนหายใจ


ในขณะนี้เอง ต้นไม้ใหญ่ที่บังแดดก็พลันถล่มลงมา บนตัวแม่ทัพใหญ่เกราะแดงมีเงามายาเกราะลมปราณระเบิดออกมาสายหนึ่ง บดบังทรายจำนวนมหาศาลที่ระเบิดปลิวว่อนเข้ามา เงาคนฝ่าทรายหายไปในขอบฟ้า ทรายที่ปลิวขึ้นมาทยอยตกลงพื้น ทั้งยังมีกาสุราและจอกสุราด้วย


บนทะเลสาบใต้ดินของตลาดผี เรืออันงดงามลำหนึ่งแล่นช้าๆ ในห้องโดยสารเรือ เฉาหม่านนั่งอยู่หลังหน้าต่างที่มีม่านไข่มุกบัง กำลังมองสถานการณ์บนฝั่ง


ทั้งตลาดผีคึกคักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เรียกได้ว่ากระแสผู้คนหลั่งไหล มีมากหน้าหลายตาไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน และดูจากสถานการณ์โดยรวมแล้ว ก็ยังมีคนทยอยกันเบียดเข้ามาที่ตลาดผีไม่ขาดสาย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นปริมาณคนมากขนาดนี้ตั้งแต่ก่อตั้งตลาดผีขึ้นมา เฉาหม่านทำสีหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง


ในจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ตงฟางเลี่ยยืนอยู่ริมหน้าต่างบนตึก มองกลุ่มคนที่ยืนเรียงแถวยาวยืดเหมือนมังกรนอกหน้าต่าง กระแสคนที่ดำเป็นพืดอยู่ข้างหลังก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ท่ามกลางคนกลุ่มนี้ คนที่ได้ป้ายลำดับถึงจะมีสิทธิ์เข้าไป และเพื่อรักษาขั้นตอนเช่นกัน คนที่รักษาขั้นตอนย่อมเป็นคนของกองทัพองครักษ์ คนที่แจกป้ายลำดับก็เป็นคนของกองทัพองครักษ์เช่นกัน


ตงฟางเลี่ยยืนมองอยู่ริมหน้าต่างนานมาก ไม่เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเลย และไม่มีทางได้เห็นด้วย เพราะแต่ละคนที่มาล้วนใส่หน้ากาก เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวไว้เผื่อสมัครไม่ผ่าน


“ป้ายลำดับแจกไปเท่าไรแล้ว?” ตงฟางเลี่ยเอียงหน้าถาม


“ใช้เวลาเดือนกว่าๆ แจกป้ายลำดับไปแล้วสามแสนกว่าแผ่น เฉลี่ยววันละเกือบหมื่นคนขอรับ” ผู้ติดตามข้างๆ ตอบ


เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนที่อยู่ข้างนอกไม่มีท่าทีว่าจะลดลง ตงฟางเลี่ยก็หรี่ตาเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมากมายขนาดนี้มาขอพึ่งพาที่แม่ทัพภาคตลาดผี ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึง เขากำลังคิดว่าใต้หล้าเป็นอะไรไปแล้วกันแน่? ใจคนเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร? สี่อ๋องสวรรค์ควบคุมทัพใหญ่อย่างเข้มงวดไม่ใช่เหรอ?


“รู้มั้ยว่ารับคนไว้เท่าไรแล้ว?” ตงฟางเลี่ยถามอีก


ผู้ติดตามที่อยู่ข้างๆ ตอบว่า “ยังไม่ได้ตัดสินขอรับ แต่ตามรายงาน คนที่เข้ามาสมัครไม่มีใครอยู่สักคน เหมือนยังหาคนที่ตรงใจไม่ได้ แต่ก็แน่ใจได้ ว่าภายในหนึ่งปีนี้จะรับให้ครบแสนคนได้ไม่มีปัญหา ฝั่งหนิวโหย่วเต๋อน่าจะได้เปรียบในการเดิมพันครั้งนี้”


นอกประตูใหญ่จวนแม่ทัพภาค คนที่ถือป้ายลำดับทยอยกันเข้าประตูมา พอเข้ามาแล้วก็มีคนแจกแผ่นหยกที่ทำขึ้นเป็นพิเศษให้พวกเขาอีก เป็นเลขที่สอดคล้องกับป้ายลำดับในมือพวกเขาพอดี คนที่เข้ามาแล้วจะเห็นประกาศที่สะดุดตา ประกาศว่าให้คนที่เข้ามาแล้วเขียนชื่อ ประวัติ ตำแหน่งขุนนาง ยศ รวมทั้งเหตุผลว่าทำไมจึงรับตำแหน่งเทพแห่งภูผา เทพแห่งผืนดินมาโดยตลอด


คนที่เข้าประตูใหญ่มาในลานด้านในแล้วก็ต้องต่อแถวเช่นกัน คนที่เข้ามาทีหลังจึงมีเวลาเพียงพอในการเขียนข้อมูลพวกนี้


กองทัพองครักษ์หกกลุ่มข้างในลานบ้านแบ่งจำนวนคนที่เข้ามาแล้วออกเป็นหกทิศทาง กระจายคนหกกลุ่มนี้ไปที่ทางใต้ดินที่ขุดไว้ชั่วคราว เพราะในทางใต้ดินเก็บเสียงได้ดีมาก ตรงทางเข้าทางใต้ดินมีคนของโรงเตี๊ยมเมฆาวายุเฝ้าไว้ ทุกครั้งที่ระฆังตรงทางเข้าทางใต้ดินส่งเสียงดัง คนที่เฝ้าตรงทางเข้าก็จะเรียกคนเข้าไปหนึ่งคน เก็บป้ายลำดับมาเทียบกับตัวเลขบนแผ่นหยกในมืออีกฝ่าย หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ผิดพลาด ถึงได้ปล่อยคนเข้าไป


หลังจากเข้ามาในทางใต้ดินแล้วก็จะเจอห้องเล็กห้องหนึ่ง ในห้องเล็กมีโต๊ะยาวหนึ่งตัว หลังโต๊ะยาวมีคนคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างหลัง ข้างๆ มีป้ายประกาศที่สะดุดตาตั้งอยู่ บอกว่าให้ถอดหน้ากากเผยโฉมหน้าที่แท้จริง และลงตราอิทธิฤทธิ์ลงในแผ่นหยกที่เพิ่งเขียนประวัติ ก่อนจะส่งให้คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาว


หลังจากคนที่เข้ามานั่งลงแล้ว คนที่นั่งตรวจสอบอยู่หลังโต๊ะยาวก็ถือแผ่นหยกขึ้นมาเทียบหน้าตา ขณะเดียวกันก็รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ลงบนแผ่นหยก วาดภาพเหมือนของผู้ที่มา ใส่เอกลักษณ์บนใบหน้าอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมอธิบายเป็นตัวอักษร และผู้ที่เข้ามาก็ไม่รู้ว่ามีคนกำลังทำแบบนี้อยู่


หลังจากตรวจสอบขั้นต้นแล้วว่าไม่มีปัญหา คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวก็รีบยัดแผ่นหยกเข้าไปในช่องทางเล็กๆ ที่อยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าปล่อยแผ่นหยกให้ไกลไปทางไหน ขณะเดียวกันก็ชี้ไปที่ประตูเล็กๆ เยื้องด้านหลัง บอกใบ้ให้เข้าไปยังด่านต่อไป


ผู้ที่มาทำตาที่บอก เดินไปเปิดม่าน แล้วเข้าไปในทางใต้ดินอีกส่วน มาถึงห้องเล็กๆ ห้องที่สอง มีคนนั่งอยู่หลังโต๊ะยาวเช่นเดียวกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)